องครักษ์เสื้อแพร 878-879

 ตอนที่ 878 แม้อยู่ต่างเมือง แต่ก็เหมือนอยู่บ้าน

โดย

Ink Stone_Fantasy

วาจาหวังทงไม่รู้สึกดีกับบัณฑิตและสายตาดูถูกก็ชัดเจนอย่างไม่คิดปิดบัง ทว่าเมิ่งตั๋วเป็นขันที ถานเจียงเป็นทหารแต่กำเนิด ย่อมต้องเห็นด้วยกับจุดยืนนี้ พากันยิ้ม


แผ่นดินหมิงบุกเบิกแผ่นดิน ที่ใดที่กำลังถูกจัดการ มักมีสัญลักษณ์หนึ่ง ก็คือราษฎรที่นั่นสามารถเรียนหนังสือเข้าสอบขุนนางได้ หากมีบัณฑิตเกิดขึ้น ก็ย่อมแสดงถึงการจัดการที่ได้ผลเด็ดขาด ยอมสยบให้แก่ฮ่องเต้ หากมีบัณฑิตระดับจิ้นซื่อ ก็เท่ากับเป็นผลสำเร็จ


แน่นอน หลังจากนี้ก็ย่อมทำให้ราชสำนักตั้งหน่วยงานทางการได้ ให้ทางการมาควบคุมดูแล


เมืองกุยฮว่าเฉิงกับพื้นที่รอบๆ ตอนแรกหวังทงกำหนดให้เป็นโรงนาหลวง ให้ขุนนางคุมงานแทนฮ่องเต้ เมืองกุยฮว่าเฉิงเช่นนี้ ขันทีที่นี่สามารถกอบโกยผลประโยชน์ได้มากมาย ไม่ว่าเปิดเผยหรือทางลับได้ไปไม่รู้เท่าไร


เมืองจี้โจว เมืองต้าถงกับกองกำลังสังกัดวังหลวง  ล้วนมีทหารสูงวัยจำนวนมากปลดประจำการมาอยู่ที่นี่ ขุนพลทหารล้วนได้รับประโยชน์หลายสิ่งอย่างมากมายจากที่นาและการค้าในเมืองกุยฮว่าเฉิง


ที่นี่มีผลประโยชน์เช่นนี้ ในวังกับกองทหารแบ่งสรรกัน ย่อมไม่อยากให้ขุนนางบุ๋นมาข้องเกี่ยว ที่จริงแล้วหากเมืองกุยฮว่าเฉิงจัดการมั่นคงได้ ขุนนางบุ๋นก็คงขอมาเป็นขุนนางท้องถิ่นที่นี่ แล้วก็ขับขุนนางในวังออกไปและกดขี่ขุนนางบู๊เอาไว้แบบเดิมก็เป็นไปได้มาก


ขุนนางบัณฑิตบนแผ่นดินหมิงแย่งผลประโยชน์กับฮ่องเต้ แย่งประโยชน์กับแผ่นดินหมิง แต่ไรมาไม่เคยสนใจจะวางตัวให้อยู่ในที่ควรอยู่ แต่กลับเอาแต่แก่งแย่ง


ความคิดราษฎรเองก็กลับคิดว่าตนเองด้อยกว่า มีแต่พวกเรียนตำราจึงจะสูงส่ง ราษฎรที่ย้ายถิ่นฐานมา ถึงกับเป็นแรงงานทาสชาวนาที่ถูกจับเป็นเชลยมาก่อน พอได้มีชีวิตที่เข้าที่เข้าทางไม่ต้องกังวลว่าจะหนาวหรือหิวตายแล้ว ก็จะให้บุตรหลานได้เรียนหนังสือ เพื่อคิดจะลืมตาอ้าปากในวันหน้า หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ คิดจะหยุดพวกขุนนางบุ๋นไม่ให้ข้องเกี่ยวก็คงยาก


วิธีการของหวังทงก็ง่ายและตรงไปตรงมา ก็คือจัดการสังหารความเป็นไม่ได้ทั้งหมดเสียก่อน ให้ลูกหลานชาวบ้านที่เพิ่งย้ายถิ่นฐานมาได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก ให้นายช่างและทหารเก่าในเมืองกุยฮว่าเฉิงได้มีคนสืบทอด สามารถเป็นคลื่นลูกหลังขึ้นแทนได้


“ท่านโหวกล่าวได้ดี  เมืองกุยฮว่าเฉิงอย่างไรก็เพิ่งจะยึดมาได้ การเรียนการสอนยังไม่พัฒนา หากทางนี้ต้องการเรียนหนังสือกัน ใช่ว่าเป็นการทำให้เสียเวลาต่ออนาคตหรือ อย่างไรไปเมืองต้าถง มณฑลซานซีจะดีกว่า!”


เมิ่งตั๋วยิ้มกล่าว หม่าหย่งด้านหลังกลับสบถด่ารุนแรงว่า


“หากคิดจะสอบตำแหน่งขุนนางอยากมาสุขสบายที่นี่ พวกเราทางนี้ไม่ต้องการ ค่ายทหารอย่างเราต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมา ภาษีก็จ่ายมาไม่เคยขาด อาศัยอะไรที่จะให้พวกเรียนหนังสือไม่กี่เล่ม สอบได้ตำแหน่ง ได้มาเป็นหัวหน้าคุมเรา”


“หม่าหย่ง วาจาเจ้านี่ หากขุนนางบุ๋นได้ยินเข้า เกรงว่าคงถ่มน้ำลายมิดตัวเจ้าไปแล้ว!”


หวังทงยิ้มสัพยอก หม่าหย่งส่ายหน้ายิ้มเฝื่อน กล่าวถึงตรงนี้ เมิ่งตั๋วกลับยิ่งเข้าใจ หากที่แห่งนี้ที่เพิ่งบุกเบิกมามีขุนนางบุ๋นหรือบัณฑิต พวกนั้นก็จะมีที่นาที่ยกเว้นภาษี ดีไม่ดียังมีคนเอาที่ดินไปมอบให้ขอพึ่งบารมีด้วย เช่นนี้ภาษีก็ยิ่งเก็บได้น้อย


“ท่านโหวกล่าวได้ถูกต้อง ไม่อาจทำให้พวกบัณฑิตเสียเวลาก้าวสู่อนาคต ได้แต่ให้พวกบัณฑิตคิดเรียนหนังสือออกไปจากที่นี่ให้หมดทั้งครอบครัว”


ทุกคนหัวเราะฮาลั่น แม้หวังทงมาถึงเมืองกุยฮว่าเฉิงฐานะแขก แต่หวังทงวางท่าทางแบบเจ้าของ ให้คนนำไปยังที่พักเรียบร้อย ก่อนจะออกมาร่วมงานเลี้ยงยามค่ำ


*****************


ตลอดการเดินทาง การมาถึงจวนที่พักนี้เรียกได้ว่าถึงที่พักเรียบร้อย บรรดาทหารติดตามอารักขาเริ่มขนย้ายของ รอให้พวกผู้หญิงจัดเก็บของเรียบร้อย สาวใช้ทั้งหลายก็เริ่มปัดหวาดทำความสะอาด จากนั้นค่อยประคองบรรดาภรรยาหวังทงลงมา


จวนนี้หวังทงมาครั้งแรก ตามปกติวิสัย  เขาจะนำทหารสองสามคนไปเดินวนแต่ละจุดรอบหนึ่งเพื่อให้คุ้นเคยพื้นที่ จะได้ป้องกันเหตุที่คาดไม่ถึง


เดินไปถึงด้านหลังจวนกลับเห็นหญิงมีอายุพอควรแต่งกายเรียบร้อยหลายคนกำลังสั่งการคนงานหญิงให้จัดการปัดกวาด นางเหล่านี้หวังทงไม่เคยเห็นมาก่อน กำลังงงอยู่นั้น ถานต้าหู่ถานเอ้อร์หู่ที่ตามมาด้านหลังก็กล่าวเบาๆ ว่า


“ท่านโหว มารดาข้าน้อยกับอาสะใภ้ขอรับ”


หวังทงอึ้งไป ก่อนจะได้สติ ขมวดคิ้วหันไปกล่าวว่า


“บิดาและอาเจ้าตอนนี้อยู่เมืองกุยฮว่าเฉิงมีหน้ามีตา  เช่นนี้มันไม่สมควร งานพวกนี้ให้คนงานทำก็พอ ให้มารดากับอาสะใภ้เจ้าเข้าไปเป็นเพื่อนคุยกับน้าหม่าด้านในนั่นก็พอ อย่าต้องออกมายุ่งกับงานข้างนอกนี่”


เห็นหวังทงขมวดคิ้ว ถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่ก็ใจเต้นตึก ยังคิดว่าตนทำอะไรผิดไป พอได้ยินเช่นนี้ก็วางใจ รีบวิ่งไป


แม่ลูกไม่ได้เจอกันนาน พอเห็นสองพี่น้องตระกูลถาน สตรีสูงวัยเหล่านั้นก็ร่ำไห้ออกมา ถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่รีบปลอบใจ หญิงตระกูลถานพอได้เห็นว่าหวังทงอยู่ด้วย ก็รีบพากันคำนับ หวังทงยิ้มพยักหน้า ถานต้าหู่กับเอ้อร์หู่พากันบอกล่าวและผลักไสให้เข้าไปด้านใน เสร็จแล้วจึงได้วิ่งกลับมา


“เดินรอบจวนเสร็จ พวกเจ้าก็พักได้ กลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้าน ไปเป็นเพื่อนบิดามารดาเจ้า!”


หวังทงยิ้มกล่าว ถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่รีบพากันกล่าวขอบคุณ ได้เห็นภาพเมื่อครู่ทำให้หวังทงรู้สึกดี เดินวนรอบจวนได้รอบหนึ่งก็เข้าไปเรือนด้านใน


พอเข้าไปด้านใน ก็พอดีกับหานเสียนำจางหงอิงและบรรดาผู้หญิงกำลังลาดตระเวนดู ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยเองก็ก้มหน้าเดินตามอยู่ พอเห็นพวกนาง หวังทงยิ้มกล่าวว่า


“พวกเจ้าลำบากเดินทางมาแล้ว กลับเข้าห้องไปพักผ่อนให้ดีๆ คืนนี้พวกเจ้าฉลองปีใหม่กันเอง ข้ามีธุระ”


สตรีทั้งหมดพากันคำนับพร้อมเพรียง ตามหลักธรรมเนียมในจวนแล้ว สถานการณ์ตอนนี้มีแต่ภรรยาหลักอย่างหานเสียจึงมีสถานะพอจะกล่าวกับหวังทง คนอื่นๆ หากแทรกขึ้นถือว่าเสียมารยาท


หานเสียคำนับแล้วเดินมาด้านหน้าหวังทง ยิ้มกล่าวว่า


“นายท่าน ไปทำงานของท่านเถิด พวกเราพี่น้องฉลองปีใหม่ด้วยกันก็ไม่เหงาแล้ว”


“หากข้าวของใช้ในห้องกับคนใช้ไม่พอ ที่นี่เป็นที่เรา หากมีอันใดต้องการใช้แล้วไม่พอ ก็ไปบอกตระกูลถาน”


“นายท่านวางใจ ที่นี่ข้าวของใช้ครบครัน  ส่วนเรื่องสาวใช้ปรนนิบัติพวกนี้ก็เป็นพวกทาสชาวนาที่เป็นชาวฮั่น ของใช้ในห้องก็ครบครัน ทว่าข้ากลับรู้สึกว่าฟุ่มเฟือยเกินไป”


หานเสียขมวดคิ้วกล่าวประโยคสุดท้าย แม้ว่าอยู่ร่วมกันมานาน แต่หวังทงก็รู้ว่าหานเสียเป็นเด็กรู้ประหยัด อย่างไรก็เคยมีชีวิตที่ยากลำบากมาก่อน จางหงอิงก็ช่วยงานนางหม่ามาหลายปี ก็ละเอียดรอบคอบ ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ อดไม่ได้ยิ้มถาม หานเสียตอบว่า


“ในห้องนี่กับห้องรับแขกล้วนเป็นพรมชั้นดี เห็นลายและฝีมือทอแล้ว เมืองหลวงและเทียนจินก็คงราคาหลายร้อยถึงหลายพันตำลึง ของใช้ในห้องก็ล้วนเป็นเครื่องเงินและทอง หรูหราฟุ่มเฟือยเช่นนี้ จะตัดทอนวาสนา…”


หวังทงได้ยินกลับอดหัวเราะไม่ได้ ยกมือลูบท้ายทอยหานเสียเบาๆ แม้ว่าเป็นสามีภรรยา  แต่หวังทงก็โตกว่าหานเสียมาก อายุมากกว่าหลายปี การกระทำเช่นนี้แสดงถึงความสนิทสนมไม่สู้กล่าวว่าเป็นท่าทีต่อเด็กจะดีกว่า การกระทำเช่นนี้หานเสียไม่หลบ หากหน้าแดงก่ำ กล่าวเบาๆ ว่า


“ท่านพี่ พี่น้องเรายังอยู่ตรงนี้นะ!”


จางหงอิง ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยพากันยิ้ม ทำเป็นเสมองทางอื่น หวังทงยิ้มกล่าวว่า


“เจ้าคิดว่าพรมนี่ราคาสูง แต่ที่นี่กลับเป็นของปกติที่ใช้กันในชนชั้นสูง หากซื้อที่นี่ก็แค่สิบถึงร้อยตำลึง  ยังมีพวกเครื่องเงินและทองพวกนี้ เจ้ารู้ไหม เครื่องกระเบื้องเคลือบนี่ที่นี่ราคาเท่าไร ราคาเท่าเครื่องเงินและทอง พวกเขาไม่ใช้เครื่องกระเบื้องเคลือบกับเครื่องทองแดง แต่ใช้เครื่องเงินและทอง”


หานเสียย่อมไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน พอหวังทงกล่าวเช่นนี้จึงได้เข้าใจ หวังทงกล่าวต่อว่า


“พวกทุ่งหญ้านอกด่านสร้างเมืองเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร มีจวนเช่นนี้ได้อย่างไร ข้างในยังมีเงินทองมากมายเช่นนี้อีก ก็เพราะการค้า ของราคา 10 ตำลึงที่นี่ ไปขายแผ่นดินหมิงก็ขายได้พันตำลึง ของแผ่นดินหมิงเองก็เช่นกัน ไปมาระหว่างกันย่อมทำกำไรประมาณมิได้”


บรรดาภรรยาหวังทงฟังแล้วก็เหมือนเข้าใจเหมือนไม่เข้าใจ หวังทงกล่าวจบ ก็คุยกับภรรยาทั้งหลายอีกสองสามคำ ก่อนจะไปยังห้องรับแขกด้านหน้า ถานเจียงกับเถ้าแก่ร้านสามธารากำลังรออยู่


ไปคุยเรื่องการค้าที่นั่นสักพักก็กลับมา นำเอกสารปึกหนึ่งกลับมาด้วย ล้วนเป็นสถิติที่ร้านสามธารารวบรวมมา ยังมีรายงานลับที่ส่วนภายในร้านสามธาราเก็บรวบรวมข่าวจากที่ต่างๆ บนทุ่งหญ้า ถานเจียงเองก็มีเรื่องราวของขบวนพ่อค้าผู้คุ้มกัน มีเอกสารมารายงานเช่นกัน


จวนพักชนชั้นสูงเผ่าอันต๋า ห้องรับแขกและห้องนอนล้วนวางแบบแปลนตามจวนชนชั้นสูงแผ่นดินหมิง เพียงแค่ไม่มีห้องหนังสือ หากมีห้องเก็บอาวุธแทน หวังทงนั่งอยู่ในห้องรับแขก พลิกอ่านเอกสารไปทีละหน้า กำลังอ่านอยู่นั้น ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ก็แอบเข้ามา พอมาถึงก็ยิ้มประจบก่อนจะคำนับ จากนั้นกล่าวว่า


“นายท่าน ที่นี่ด้านนอกแม้จะหนาว แต่ในห้องกลับอบอุ่นมาก สบายกว่าที่หนานจิงอีก”


ฤดูหนาวทางใต้ในห้องหนาวชื้น ส่วนมากก็อาศัยถ่านในเตาไฟหรือกระถางไฟให้ความอบอุ่น ไหนเลยจะเทียบได้กับกำแพงไฟและมังกรดินให้ความอุ่นจากใต้ดินนี้ได้


หวังทงชอบไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ที่ร่าเริงเช่นนี้ พอได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ก็วางเอกสารลงยิ้มถามขึ้น


“ชินแล้วยัง?”


“แห้งไปหนาวไป ใบหน้าแตกหมดแล้ว นายท่านดูสุขภาพท่านเองก็ฟื้นคืนไม่น้อยแล้ว พวกเราจะกลับไปเมื่อไรกันหรือ!”


เพราะไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เข้าร่วมขบวนการแสร้งป่วย ดังนั้นึได้ถามเช่นนี้ หากเป็นคนอื่นคงเรียกว่าเสียมารยาท หวังทงส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า


“กลับไป?  ไม่รู้ว่าตอนไหนเหมือนกัน กว่าจะได้มา ต้องอยู่ให้นานสักหน่อย”


*****************


แม้ว่าหวังทงไม่ไปยังวังข่านเดิม แต่เมิ่งตั๋วกับพวกระดับหัวหน้าในเมืองกุยฮว่าเฉิงก็ยังจัดงานเลี้ยงต้อนรับหวังทงที่พื้นที่วังข่านเดิม อย่างไรที่นี่ก็มีพื้นที่ว่างดูดีพอ มีพื้นที่ครัวกว้างพอ


หวังทงมาถึง เมิ่งตั๋วนำหวังทงไปเดินรอบครัวรอบหนึ่ง ควรค่าแก่การชม พื้นที่ว่างหน้าครัว มีอูฐตัวหนึ่งกำลังถูกย่างบนราวเหล็ก พ่อครัวหลายคนใช้เครื่องปรุงสาดไปบนอูฐที่ย่างอยู่  กลิ่นหอมอบอวล


“ได้เชิญพ่อครัวมาจากเมืองต้าถง ท่านโหวมาเมืองกุยฮว่าเฉิง อย่างไรก็ต้องได้ลิ้มรสอาหารเลิศรสทุ่งหญ้านอกด่านจึงจะได้”


เมิ่งตั๋วยิ้มกล่าว


ตอนที่ 879 งานเลี้ยงฉลองส่งท้ายปีเก่า

โดย

Ink Stone_Fantasy

อูฐย่างเป็นอาหารชั้นเลิศจากแดนซีอวี้ตะวันตก ไม่ได้พิถีพิถันอันใด แต่อูฐตัวหนึ่งย่างบนกองไฟ แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่  และอูฐนี้ยังปรุงแบบโบราณ ในท้องอูฐยัดแพะย่างไว้ ในท้องแพะยัดไก่ย่างไว้ เป็นชั้นๆ ไป


บัณฑิตไม่ย่างกรายเข้าห้องครัว แต่เมิ่งตั๋วนำหวังทงมาดู  ก็เพื่อดูความแปลกใหม่ เรียกได้ว่ามาชมบรรยากาศ สงครามวันนั้นหลังจากยึดวังข่านมาได้ ก็นำกำลังรักษาความสงบทั่วเมือง ไม่ได้มีจิตใจคิดท่องเที่ยว วันนั้นวังข่านถูกยิงถล่มไปหลายจุด ยังเป็นจุดที่สังหารกันดุเดือด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ผู้ใดจะมีใจคิดเที่ยวชมเพลิดเพลิน


มาถึงตอนนี้ ในวังนอกจากซากปรักหักพังที่ถูกขนย้ายออกไป ซ่อมแซมใหม่ ปรับพื้นที่ราบ กลับคืนสภาพวันวานอันสวยงามไม่น้อย


ข่านเผ่าอันต๋ารุ่นแรกสร้างวังนี้นั้น ก็เลียนแบบแผ่นดินหมิง ข่านเซิงเก๋อตูกู่เหลิงมาเติมความเป็นซีอวี้ภายหลัง แม้ว่าส่วนใหญ่เหมือนกับพระราชวังต้องห้ามปักกิ่ง แต่ไม่อาจเทียบกันได้ แม้แต่พระราชวังที่หนานจิงก็ยังแทบไม่อาจเทียบได้  แต่หากจะเรียกว่าจวนคหบดีชั้นสูงก็น่าจะได้


ยามนี้รักษาการแน่นหนา  แต่ละจุดล้วนมีกองหิมะขาวโพลนหนาคลุมไปหมด ทว่าทิวทัศน์ประเทศตอนเหนือกับสวนแห่งนี้ผสมผสานกันได้น่าดึงดูดยิ่ง


เมิ่งตั๋วนำทาง หวังทงเดินชมภายใต้การคุ้มกัน แต่ก็ผ่อนคลายยิ่ง  นำหวังทงเข้าเมืองมายังไม่อาจคุยงานได้ ตลอดทางเดินมาอย่างเพลิดเพลิน จึงได้พอคุยสักเรื่องสองเรื่อง


เมืองกุยฮว่าเฉิงรอบๆ เป็นพื้นที่นาดีหลายแสนหมู่ เดิมเป็นชาวนาที่เป็นชาวฮั่นถูกเผ่าอันต๋ากวาดต้อนมาทำนาที่นี่ มักจะหาทางหนีไม่ว่า ผลผลิตยังต่ำมาก


หวังทงยึดครองพื้นที่มาได้ เงินทองของมีค่าที่ได้มาก็แบ่งปันเป็นรางวัลให้ทหาร ส่วนหนึ่งแบ่งให้ทุกคน ส่วนหนึ่งแบ่งไปเมืองหลวง ในเมืองนอกเมืองยังมีเสบียงที่พวกนอกด่านไม่ทันเผาทำลาย เสบียงพวกนี้ก็แบ่งสรรให้ชายฉกรรจ์ที่เป็นแรงงานในนาไปตามส่วน คิดจะเพาะปลูกย่อมต้องการแรงงาน ต้องการคนที่อยู่ที่นี่จนชินแล้ว


เสบียงแจกจ่ายไป พอกินได้อิ่ม ทหารแผ่นดินหมิงที่มาใหม่ก็ดีกว่าพวกนอกด่านมาก เทียบกับเจ้าของที่บนแผ่นดินหมิงพวกนั้นก็นุ่มนวลกว่ามาก ทาสชาวนาส่วนจึงอยู่กันต่อ


อากาศตอนเหนือหนาวเหน็บ ปีหนึ่งทำนาได้แค่ฤดูเดียว กินอิ่มท้อง ไม่ต้องกังวลถูกกดขี่ ผลผลิตยังสามารถเก็บไว้เองได้ส่วนหนึ่ง พวกชาวนาก็ยิ่งกระตือรือร้น ลงแรงทำนาอย่างเต็มที่ ผลผลิตก็ย่อมไม่เลว


ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงรู้ว่าจะกุมอิทธิพลเมืองกุยฮว่าเฉิงไว้ให้แน่นหนาไม่อาจใจร้อน ดังนั้นจึงให้เวลาห้าปี ภาษีเมืองกุยฮว่าเฉิงห้าปีนี้เรียกว่าแทบไม่ต้องจ่าย


จ่ายพอเป็นพิธีแค่ส่วนหนึ่งแล้วที่เหลือก็ให้ชาวนาที่นี่ได้เก็บไว้เอง พอเป็นเช่นนี้ ย่อมถึงกับมีชาวนาส่านซีรีบย้ายครอบครัวมาทันที


เถ้าแก่ร้านสามธารามองเรื่องนี้ไปไกลกว่า หลังหารือกับถานเจียง ก็ให้ถานเจียงนำเสนอกับเมิ่งตั๋ว ร้านค้าในเมืองแต่ละร้านออกหน้า รับซื้อเสบียงที่ชาวนาผลิตได้และเหลือจากความต้องการ  จากทาสชาวนาให้เป็นชาวนาเกษรกร ในมือมีเหลือ ก็คิดจะมีชีวิตที่ดี ก็คิดจะกินคิดจะใช้ ก็ต้องขายทิ้งแลกเป็นเงิน อาศัยจังหวะนี้ โกดังในเมืองนอกเมืองก็เริ่มเต็มอีกครั้ง


ปริมาณสะสมเสบียงใกล้จะถึงระดับตอนก่อนออกรบ  และเป็นการผลิตในพื้นที่เอง สำหรับเมืองกุยฮว่าเฉิงแล้ว ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก สำหรับจิตใจคนแล้วก็ยังไม่กล้ารับประกันได้  แต่สามารถกล่าวได้อย่างชัดเจนว่าเมืองกุยฮว่าเฉิงเลี้ยงตัวเองได้ ชัดเจนว่าแผ่นดินหมิงปักหลักมั่นคง ณ เมืองกุยฮว่าเฉิงแล้ว


“หากไม่ได้ท่านโหววางโครงใหญ่ให้รอบด้าน ข้าน้อยเองคงทำไม่ได้เช่นนี้”


เมิ่งตั๋วกล่าวอย่างซาบซึ้ง  เป็นวาจาจากใจ พื้นที่ส่วนใหญ่เมืองกุยฮว่าเฉิงกับเงินทองเป็นของหวังทง การค้าในเมือง ยังมีกำลังทหาร มีอิทธิพลหวังทงไม่น้อย หากเรื่องพวกนี้หวังทงไม่ให้การสนับสนุน เขาไหนเลยจะทำได้


ตอนนี้สถานการณ์เมืองกุยฮว่าเฉิงดีเช่นนี้ เมิ่งตั๋วได้รับคำชมจากจางเฉิงและจางจิง โจวอี้มีจดหมายเช่นกัน หน้าตาเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงเส้นทางอนาคตประมาณไม่ได้


*****************


งานเลี้ยงไม่ได้มีอันใดพิเศษ เป็นแนวบรรยากาศแบบทุ่งหญ้า ในห้องโถงใหญ่ปูพรมหนา จัดเรียงเป็นโต๊ะเตี้ยๆ ทุกคนนัดขัดสมาธิกับพื้น


หวังทงนั่งอยู่ในตำแหน่งหัวหน้า สถานะถานเจียงในเมืองกุยฮว่าเฉิง  ห้องโถงนี้ย่อมมีที่นั่งเขา ทว่าถานเจียงกลับปฏิเสธ บอกว่าต่อหน้าหวังทงไม่อาจนั่งได้ ยืนปรนนิบัติก็พอ ดังนั้นถานเจียงจึงยืนด้านหลังหวังทง ราวกับทหารอารักขา


การจัดแต่งในห้องโถงก็ทำตามแบบซีอวี้ ที่นั่งหวังทงกับด้านซ้ายและขวามีที่ว่างไว้ ตอนงานเลี้ยงยังไม่เริ่มต้นดึงม่านปิดไว้ หวังทงด้านในสามารถมองเห็นด้านนอกได้อย่างง่ายดาย


ก่อนเริ่มงาน พวกแขกที่มีคุณสมบัติพอในเมืองก็มาร่วมงาน ขุนพลทหารในหลายหน่วยรวมทั้งขุนนางกรมอากร


หวังทงเคยพบ พวกเขานอบน้อมเข้ามาคำนับ


แขกที่เข้ามาด้านหลังล้วนเป็นพ่อค้าเก่าแก่ชาวฮั่นที่ร่ำรวยในเมือง ต่อมาได้กลายเป็นพ่อค้าใหญ่  ยังมีหัวหน้าเผ่าเล็กต่างๆ ก่อนหน้านี้เมิ่งตั๋วได้เคยบอกกับหวังทงไว้แล้ว รู้สึกละอายเล็กน้อยกล่าวว่า


“…ที่นี่ไม่รับระบบเจ้าผู้ปกครองมานาน ไม่ค่อยมีธรรมเนียมมารยาทเท่าไร ถึงตอนนั้นขอท่านโหวโปรดอภัย”


คนพวกนี้แสดงออกเหมือนกับที่เมิ่งตั๋วว่าไว้ แต่ละคนคุยกันเสียงดังโหวกเหวก เอะอะอย่างมาก เรื่องนี่เถ้าแก่ร้านสามธาราเมื่อวานก็มีบอกไว้แล้ว เพราะว่าคนใหญ่คนโตเมืองกุยฮว่าเฉิงมีกองกำลังของตนเอง กองกำลังพวกนี้ก็เป็นผู้คุ้มกันยามเดินทางค้าขายของพวกเขา และหากยามเมืองเกิดเหตุก็สามารถดึงเอาไปป้องกันประเทศได้


ระบบการจัดการเช่นนี้ทำให้ทุกคนล้วนมีความคิดหนึ่งว่า พวกเขาเป็นเจ้าของเมืองกุยฮว่าเฉิง แม้แต่ในวังส่งขันทีมาก็ยังต้องอาศัยพวกเขาจึงจะยืนหยัดอยู่ได้ ทำให้ยากที่จะไม่ให้คนเหล่านี้ไม่เห็นผู้ใดในสายตา


บรรดาพ่อค้าจากมณฑลซานซีทักทายปราศรัยกัน ท่าทางการวางตัวราวกับคนชั้นสูง พ่อค้าชาวฮั่นในพื้นที่ก็ส่งเสียงสนทนาเอะอะดัง พอเห็นพ่อค้าซานซีก็ให้ความเกรงใจมาก พวกพ่อค้ามองโกลกับซีอวี้ที่เข้ามาทีหลัง แม้ว่าท่าทางไม่สุภาพนัก แต่พอเห็นพ่อค้าชาวฮั่นก็ยังต้องระมัดระวังตน


พวกเขาแยกแยะชนชั้นตนเองได้ด้วย พวกขุนนางกรมอาการและพวกขุนพลทหารในห้องโถงใหญ่กลับทำตัวตามสบายมาก ดูเหมือนไม่ยี่หระกับคนตรงหน้าสักเท่าไร


เห็นบรรดาแขกเหรื่อมากันเกือบครบแล้ว เมิ่งตั๋วก็พยักหน้าบอกหวังทง ยิ้มปรบมือ สาวใช้เปิดม่าน ใช้ขอเกี่ยวแขวนไว้บนเสาสองข้าง


ในห้องโถงใหญ่คนที่รู้จักกันทักทายกันหัวเราะกันไปมา เอะอะมาก ยามนี้กลับมีคนเห็นถานเจียงยืนด้านหลังหวังทงคนพวกนี้ใหญ่โตในเมืองกุยฮว่าเฉิงมานาน รู้ว่าชนชั้นสูงแผ่นดินหมิงไม่เท่าไร หวังทงยึดเมืองกุยฮว่าเฉิงได้ล้วนเป็นข่าวที่ลือกันมา


ในใจพวกเขาไม่ได้รู้สึกเคารพหวังทงมากนัก แต่คนพวกนี้กลับรู้ว่าถานเจียงคือใคร  ตามธรรมเนียมการทหารแผ่นดินหมิง ถานเจียงก็คือขุนนางบู๊คุ้มกันเมืองกุยฮว่าเฉิง เขามีกำลัง ให้การสนับสนุนกองกำลังคุ้มกันร้านสามธารา  นี่เป็นกองกำลังที่เก่งกล้าเข้มแข็งที่สุด เขายังมีอำนาจสั่งการรวมกำลังผู้คุ้มกันของร้านค้าต่างๆ ได้ด้วย หากไม่ได้มาตรฐาน ก็จะไม่ให้เป็นผู้คุ้มกันการค้าต่อ และสถานะถานเจียงกับพี่น้องก็เรียกได้ว่ามีความสามารถแท้จริง


บรรดากลุ่มผู้คุ้มกันที่ร้านค้ารับมานั้น นอกจากทหารปลดประจำการแล้ว ก็ล้วนได้มาจากพวกที่สนิทกันบนแผ่นดินหมิงมา หรืออาจมีบ้างที่เป็นชาวทุ่งหญ้านอกด่าน ที่มาหลากหลาย แต่ก็เรียกได้ว่ามีฝีมือเก่งกล้า


พวกมีฝีมือมารวมกันก็ต้องประลองฝีมือ มีคนคิดว่าถานเจียงอายุเลย 50 แล้ว และยังมีพี่น้องอายุ 30-40 อีก น่าจะไม่เท่าไร จัดการกำราบพวกเขาได้ ตนเองก็จะได้มีสถานะในเมืองแห่งนี้ ได้เข้าแทนที่พวกเขา


ทว่าพอมาหาเรื่องก็ถูกทหารสูงวัยพวกนี้จัดการจนไม่เป็นท่า ตัวต่อตัวสู้กัน ก็ยังไม่เป็นท่า พ่ายแพ้ไม่เป็นขบวน นอกจากนี้ถานเจียงยังฝึกกำลัง นำผู้คุ้มกันออกปราบโจร ล้วนมีชื่อเสียงว่าเก่งกล้า บารมีนี้ค่อยๆ สั่งสมขึ้นมา


ไม่รู้ว่าหวังทงสถานะใด แต่พอเห็นถานเจียงทำตัวเหมือนองครักษ์ยืนคุ้มกันด้านหลังหวังทง ทุกคนก็ย่อมรู้ว่าเป็นผู้ไม่ธรรมดา


เสียงเอะอะในห้องโถงใหญ่ค่อยๆ เงียบลง พ่อค้าชาวฮั่นในพื้นที่พากันรีบเดินอ้อมจากโต๊ะเตี้ยออกมา ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้มาก พากันคุกเข่าลงบนพรม โขกศีรษะด้วยความนอบน้อมอย่างที่สุดกล่าวว่า


“ข้าน้อยคำนับแม่ทัพใหญ่”


เมิ่งตั๋วข้างๆ ยิ้มกล่าวแทรกขึ้นว่า


“ตอนนี้ใต้เท้าหวังไม่ได้เป็นผู้บัญชาการทัพแล้ว ควรเรียกท่านโหว”


“หนิวเกินกัง พานเซิ่งไฉ เถียนต้าเชียน การค้าพวกเจ้าเป็นอย่างไร?”


หวังทงยิ้มถาม พวกพ่อค้าชาวฮั่นพอได้ยินหวังทงเรียกชื่อพวกเขาได้ ก็ยิ่งตื้นตัน โขกศีรษะตอบกล่าวว่า


“ด้วยบารมีท่านโหว การค้าพวกข้าน้อยล้วนราบรื่นดี ตอนนี้ทำการค้าไปถึงทะเลทรายตอนเหนือและถู่ฟานแล้ว หากไม่มีท่านโหว พวกข้าน้อยจะมีวันนี้ได้อย่างไร”


หวังทงยิ้มพยักหน้า ในห้องโถงใหญ่ยิ่งเงียบ ทุกคนนับว่ารู้แล้วว่าคนที่มาคือผู้ใด   พ่อค้าใหญ่ชาวฮั่นในพื้นที่ไม่แน่ว่าจะมีเงินมากกว่าพ่อค้าที่มาจากมณฑลซานซี แต่กำลังนั้นเรียกได้ว่าพอตัว ทหารส่วนตัวก็มี ตอนนี้มีขบวนผู้คุ้มกันนับพัน มาถึงทุ่งหญ้านอกด่าน หัวหน้าเผ่าเล็กเห็นพวกเขายังต้องนอบน้อม พูดจาอันใดในเมืองก็มีน้ำหนัก แม้แต่เมิ่งกงกงยังต้องไว้หน้า


คนเช่นนี้ ต่อหน้าหวังทงยังต้องโขกศีรษะหมอบกับพื้น เหมือนว่าเป็นดังบ่าวรับใช้ ในห้องโถงใหญ่เงียบลงก่อน จากนั้นก็ไม่รู้ใครเป็นนำ ทุกคนพากันเข้ามาคุกเข่าโขกศีรษะ


*****************


ยามนี้ในห้องโถงใหญ่ไม่ได้เสียงดังเอะอะเหมือนเมื่อครู่ หากเงียบมาก ทุกคนล้วนนั่งประจำที่เรียบร้อย


งานเลี้ยงเริ่ม อูฐย่างถูกแบกเข้ามา เมิ่งตั๋วยิ้มเดินไปด้านห้า ใช้มีดเฉือนเนื้อคอมาชิ้นหนึ่ง วางใส่จานเงินส่งให้หวังทง ทุกคนยกจอกสุราคำนับ นี่เป็นพิธีการต้อนรับแขกสูงศักดิ์ จากนั้นก็ค่อยตัดเนื้อแบ่งให้แขกคนอื่นๆ


สุราลงคอไปสองสามจอก บรรยากาศก็เริ่มคึกคักขึ้นมา มีคนนำวาจามาบอกแก่เมิ่งตั๋ว เขาฟังแล้วก็ยิ้มกล่าวกับหวังทงว่า


“ทุกคนในเมืองกุยฮว่าเฉิงนี้ขอให้ท่านโหวกล่าวอะไรสักหน่อย ขอเชิญท่านโหว…”


หวังทงยิ้มพยักหน้า เงียบไปครู่หนึ่ง ก็ยกจอกขึ้นกล่าวว่า


“ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่  ขอเพียงไม่ลงมือกันเอง ที่เหลือที่แย่งมาได้ก็ล้วนเป็นของพวกเจ้า!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)