หมอดูยอดอัจฉริยะ 878-881
ตอนที่ 878 พันลี้ในพริบตา
“เยี่ยเทียน ของที่อยากได้พวกแกก็ได้ไปแล้ว พวกแกจะไปกันได้หรือยัง?”
วานรขาวเกิดและโตอยู่ที่นี่ ผูกพันกับสถานที่นี้อย่างลึกซึ้ง แต่ก็ยังเอ่ยปากไล่เยี่ยเทียนให้ออกไป เพราะกลัวว่าดินแดนราวสวรรค์แห่งนี้จะถูกคนอื่นค้นพบเข้า ด้วยกำลังของมันเกรงว่าจะปกป้องดูแลไม่ได้
“ได้สิ พี่วานรขาว พวกเราจะไปรอพี่ที่ตรงนั้น”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เขายังอยากดูวิธีที่วานรขาวใช้เปิดปิดประตูถ้ำอีกครั้ง เขาเดินนำโก่ซินเจีย เจ้าสิงห์ขนทองและเจ้าเหมาโถวไปรออยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขา
วานรขาวร่ายมนต์อีกครั้ง หมู่อาคารตระการตาเกิดเสียงโครมครามกึกก้อง ค่อยๆจมลงไปใต้พื้นดินอย่างรวดเร็วง่ายดายเหมือนตอนที่ปรากฎขึ้น ชั่วครู่ต่อมาก็ปกคลุมด้วยภูเขาหัวโล้นลูกหนึ่ง
มองดูยอดเขาหัวโล้นแล้วเยี่ยเทียนถอนหายใจ
“เพียงแค่ย้ายต้นไม้มาปลูกเสียหน่อย อีกไม่ถึงสิบปียอดเขานี้ก็แทบไม่เหลือร่องรอยอะไรอีก วิธีการนี้ฉันเองยังทำไม่ได้เลย!”
ถ้ำซ่อนอยู่ใต้ดิน พลังธรรมชาติเรียกได้ว่าเข้มข้นที่สุดในเขตอาณจักรแห่งเทพกสิกร แม้แต่สวนสมุนไพรก็ยังเทียบไม่ได้ เมื่อมีพลังวิเศษอย่างอุดมสมบูรณ์ พืชพันธุ์ต่างๆเติบโตอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่ปี พืชที่เกิดใหม่จะปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขาแล้ว
“ศิษย์น้องเล็ก เธอไม่ต้องน้อยใจไป วันหน้าเธอประสบความสำเร็จขึ้นมา คนตระกูลซือคงยังต้องให้ความเคารพเธอเลย!”
โก่วซินเจียทำความเข้าใจเรื่องดินแดนแห่งเซียนแล้ว ตัวเขาเองมองศิษย์น้องคนเล็กของตนได้อย่างปะลุปรุโปร่ง เขาอายุแค่ยี่สิบกว่าก็ฝึกวิชาถึงขั้นนี้ อีกแค่ก้าวเดียวก็จะถึงขั้นจินตัน ตั้งแต่โบราณมาไม่มีใครเทียบเยี่ยเทียนได้
“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมแค่โชคดีกว่าคนอื่น!”
เยี่ยเทียนยิ้ม เห็นวานรขาวเข้ามาใกล้แล้วก็รีบเดินออกไปรับ แล้วเอ่ยเชื้อเชิญ
“พี่วานรขาว ตระกูลซือคงไม่เหลือทายาทแล้ว พี่ไม่จำเป็นต้องเฝ้าอยู่ที่นี่”
แม้ตอนที่เจอกับวานรขาวครั้งแรกเยี่ยเทียนจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่วานรขาวยังถือว่ามีคุณธรรม สุดท้ายแล้วได้คืนกระดิ่งซานชิงให้เยี่ยเทียน ตอนหลังยังช่วยดูแลเจ้าเหมาโถวเป็นอย่างดี การที่เยี่ยเทียนฝึกถึงขั้นเซียนเทียนได้ถือเป็นหนี้บุญคุณวานรขาวอยู่ไม่น้อย
“ไม่ไป ข้าอยู่ในป่าแบบนี้สบายกว่า”
วานรขาวส่ายหัว
“เยี่ยเทียน ถ้าแกใจดีละก็ ทุกปีเอาเหล้ามาส่งให้ข้าที่นี่ก็พอ”
ตอนเด็กๆวานรขาวเคยติดตามเจ้านายออกไป แต่มันไม่พอใจในโลกมนุษย์นัก อากาศขมุกขมัวไม่สดชื่น ผู้คนต่างมองมันด้วยสายตาแปลกประหลาด ทำให้มันไม่คุ้นชิน หลายปีมานี้มันจึงไม่ได้ออกไปปรากฏกายให้ใครเห็น
“เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นพี่ดูแลตัวเองดีๆ!”
เยี่ยเทียนคำนับวานรขาว แล้วดึงโก่วซินเจียเข้ามาใกล้ อ้าปากคายมีดบินประจำตัวที่เก็บไว้ในตันเถียนออกมา
“พวกแกจับให้ดีนะ!”
เยี่ยเทียนหันไปกำชับกับสิงห์ขนทองและเหมาโถวที่เกาะอยู่บนบ่าและกำลังแทะลูกท้ออยู่ เขาแค่นึกอยู่ในใจ มีดบินยาวสามนิ้วลอยเข้ามาอยู่ตรงหน้า ขยายกลายเป็นดาบชิงเฟิงยาวสามศอก เยี่ยเทียนขึ้นไปยืนอยู่บนดาบ โอนเอนเล็กน้อย
เขาปล่อยพลังปราณแท้ออกมาแล้วตะโกนสั่งเบาๆว่า
“ไป!”
ร่างของเยี่ยเทียนก็หายวับไปจากเบื้องหน้าของวานรขาว เมื่อเจ้าวานรขาวเงยหน้าขึ้นมาอีกทีเห็นเงาของพวกเขาลอยละลิ่วไปอยู่ไกลๆ
อาณาเขตแห่งเทพกสิกรห่างจากเมืองหลวงเป็นพันกิโลเมตร แม้เยี่ยเทียนจะเพิ่งฝึกเหาะด้วยมีดบิน กายที่อยู่บนมีดโอนเอนไปมาไม่มั่นคง แต่เพียงไม่นาน เยี่ยเทียนก็มาถึงเขตน่านฟ้าของเมืองหลวงแล้ว
ยังไม่ทันรอให้เจ้าหน้าที่สังเกตการณ์น่านฟ้าแห่งเมืองปักกิ่งสังเกตเห็นความผิดปกติของกลุ่มเมฆ เยี่ยเทียนได้เหาะลงที่เรือนสี่ประสานของตัวเอง ความเร็วของมีดบินแม้แต่กล้องตรวจจับความเร็วยังตามจับไม่ทัน!
มองดูเรือนสี่ประสานที่คุ้นเคยแล้วโก่วซินเจียเหม่อลอย ถามเยี่ยเทียนว่า
“ศิษย์น้องเล็ก นี่มันของวิเศษอะไรกัน? ทำไมถึงเดินทางได้เป็นพันลี้ในชั่วพริบตาเดียว?”
เมื่อฝึกถึงระดับเซียนเทียน โก่วซินเจียสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ เพียงแต่ช้ากว่าเหาะด้วยมีดอยู่มาก ทั้งยังสิ้นเปลืองพลังปราณแท้ เขาคิดไม่ถึงว่าชั่วเวลาอาหารหนึ่งมื้อ เขาได้เหาะข้ามหุบเขาเป็นหมื่นๆลูกมาถึงเมืองหลวง เหมือนกับอยู่ในความฝัน
“ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ถึงขนาดในชั่วพริบตาหรอก ถ้าถึงขั้นจินตันเมื่อไหร่ถึงจะทำได้อย่างที่ศิษย์พี่พูด!”
สีหน้าเยี่ยเทียนซีดลงไปเล็กน้อย ความเร็วของมีดบินขึ้นอยู่กับพลังลมปราณที่มีอยู่ของเขา ในเวลาชั่วหนึ่งก้านธูป เยี่ยเทียนสูญเสียพลังปราณไปถึงแปดส่วน ถ้าไม่มีพลังปราณอยู่อย่างเพียงพอ จากมีดบินอาจจะกลายเป็นมีดคลานก็เป็นได้
“นี่….นี่มันสุดยอดไปเลย มีของวิเศษชิ้นนี้ ที่ไหนๆในโลกก็ไปได้?”
เห็นเยี่ยเทียนยังไม่เก็บมีดบินเข้าไป โก่วซินเจียตาวาว เขากับจั่วเจียจวิ้นถึงจะมีของวิเศษอยู่กับตัวหลายชิ้น แต่ถ้าเทียบกับมีดบินของเยี่ยเทียนแล้ว ของที่เขามีนั้นเหมือนของเล่นเด็กไปเลย
เยี่ยเทียนคิดเล็กน้อย ตอบว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมมีของดีอยู่อีกอย่าง เดี๋ยวค่อยเอาให้พี่ดู ส่วนมีดบินผมจะบอกว่าผมสร้างมันขึ้นมากับมือก็ไม่ผิด แต่ต้องใช้ทองคำจำนวนมหาศาล….”
ในมือเยี่ยเทียนยังมีของวิเศษล้ำค่าอีกหลายชิ้น ทั้งกระดิ่งซานชิง ในตัวกระดิ่งยังมีฤทธิ์ช่วยสงบจิตใจเสริมการฝึกวิชาอีกด้วย ทั้งยังปลดปล่อยเสียงคลื่นสั่นสะเทือนปราบมารปราบศัตรูได้ด้วย ถือเป็นอาวุธที่มีคุณทั้งด้านคุ้มครองและด้านการต่อสู้
แต่กระดิ่งซานชิงพกพาไม่ไหนไม่ค่อยสะดวก เยี่ยเทียนจึงไม่ค่อยนำมันติดตัวไปด้วยบ่อย หลังจากมีมีดบินแล้วยิ่งไม่สนใจมันเข้าไปใหญ่ ตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่เข้าถึงระดับเซียนเทียนแล้ว
“ดีสิ ดีกว่าไม่มีอะไรเลย”
โก่วซินเจียพยักหน้า แล้วจ้องมีดบินของเยี่ยเทียนไม่วางตา เอ่ยต่อว่า
“ศิษย์น้องเล็ก ทองคำน่ะฉันกับศิษย์น้องรองจะไปหามาให้ แล้วนำมาให้เธอช่วยหลอมมีดบินให้พวกเราอีกสักเล่มนะ!”
โก่วซินเจียอายุเกือบร้อยปี ตามหลักแล้วควรจะไม่มีห่วงอะไรอีก แต่เมื่อเห็นมีดบินเล่มนี้เข้า เขานึกถึงนิยายเรื่อง “จอมยุทธแห่งเขาซู่ซาน” จึงอยากมีไว้ครอบครองบ้าง
“เอาเถอะ ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราไปข้างหน้ากันเถอะ ได้ยินพวกเขาโวยวายกันอยู่ไหม!”
เยี่ยเทียนยิ้ม สำนักเสื้อป่านของเขามีลูกศิษย์น้อย มีเหรอที่เขาจะไม่ช่วย?
เขาดึงตัวโก่วซีนเจียเข้าไปในบ้าน ตอนที่คุยอยู่กับโก่วซินเจียนั้น เจ้าเหมาโถวกับสิงห์ขนทองช่างใจร้ายเหลือเกินไม่เห็นความสำคัญของการเดินทางด้วยความเร็ว หลายปีที่เหมาโถวจากบ้านไปกลายมาเป็นเจ้าของที่ พาสิงห์ขนทองเที่ยวชมรอบตัวบ้าน ทำให้เหล่าคุณป้าของเยี่ยเทียนตกอกตกใจกันใหญ่
“เหมาโถว ทำไมแกกลับมาแล้วล่ะ? ยังมีเจ้านี่อีก พวกแกมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร?”
เยี่ยเทียนได้ยินเสียงป้าใหญ่โวยวายดังออกมา ตามด้วยเสียงร้องเรียกเสียงแหลมของหลิวหลันหลัน ตอนนั้นเธอเป็นคนเลี้ยงดูให้อาหารเจ้าเหมาโถวอยู่ทุกวัน จึงผูกพันกันมาก เมื่อเห็นมันก็อุ้มเจ้าเหมาโถวขึ้นมากอด น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง
“เอ๊ะ เยี่ยเทียน กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ความวุ่นวายกลางบ้านเกิดขึ้นเมื่อเจ้าเหมาโถวกลับมา ซ่งเวยหลันเห็นบุตรชายของตนก็รีบเดินเข้ามารับ จากที่เยี่ยเทียนเคยบอกไว้ น่าจะอีกสามสี่วันถึงจะกลับมาบ้าน
เห็นอวี๋ชิงหย่าสวมชุดกระโปรงสีขาวนั่งมองตัวเองอยู่ใต้ต้นไม้ เยี่ยเทียนยิ้มตอบว่า
“แม่ครับ ผมคิดถึงภรรยาแล้ว กลับมาเร็วหน่อยไม่ได้หรือครับ?”
“ทะเล้นดีนัก แม่คะ สั่งสอนเขาหนักๆเลย!”
ได้ยินที่เยี่ยเทียนว่าแล้วอวี๋ชิงหย่าหน้าแดงขึ้นมา อดไม่ได้อยากบีบปากเยี่ยเทียนเข้าทีหนึ่งแต่ในใจรู้สึกถึงความหอมหวานราวกับดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์
“โอ๊ย ช่วยด้วย ช่วยด้วย แม่ครับ ศิษย์พี่ใหญ่ก็มาด้วย แม่ไว้หน้าผมหน่อย”
เห็นว่ามารดาเชื่อตามคำของลูกสะใภ้ลงโทษเขาโดยการดึงหู เยี่ยเทียนร้องออกมาเสียงดังทำให้คนอื่นๆพากันหัวเราะขำขัน
“เหมาโถว เสี่ยวจิน พวกแกอย่าเที่ยวก่อเรื่องนะ!”
ทุกคนต่างเอ็นดูเจ้าเหมาโถว เยี่ยเทียนอดไม่ได้กำชับพวกมันอีกครั้ง ทั้งสองตัวเป็นสัตว์เลี้ยงของเขาในสายตาคนอื่น แต่แท้จริงแล้วพวกมันเป็นปีศาจดีๆนี่เอง!
“โฮก!”
สิงห์ขนทองมองเยี่ยเทียนอย่างไม่พอใจ เจ้าเหมาโถวกระโดดไปพันรอบคอเยี่ยเทียนทีหนึ่งเป็นการเอาใจ
“ทุกคนคุยเล่นกันไปก่อน ผมกับศิษย์พี่ใหญ่มีเรื่องต้องปรึกษากัน”
คนในบ้านเคยชินกับความลึกลับของเยี่ยเทียน ไม่มีใครถามต่อให้มากความ หลังจากคุยเรื่อยๆกับครอบครัวสักพัก เยี่ยเทียนดึงโก่วซินเจียออกมาทางเรือนด้านหลัง แล้วหยิบกระดิ่งซานชิงออกมาให้เขา
“กริ๊งๆ!”
แค่สั่นเบาๆ เสียงไพเราะเพราะพริ้งดึงดูดพลังปราณแท้ของโก่วซินเจีย เสียงมันดังราวกับกำลังชำระล้างจิตใจให้สุขสงบ เสียงกระดิ่งนี้ส่งผลไปถึงคนอื่นที่อยู่ในเรือนตอนกลางด้วย
“ไม่เลวเลย กระดิ่งซานชิงมีอิทธิฤทธิ์ไม่เบา!”
โก่วซินเจียเป็นคนดูของเป็น เขาดีใจมาก
“นี่ ศิษย์พี่ใหญ่ รอให้กลับไปที่บ้านที่ฮ่องกงก่อนค่อยวิเคราะห์มันต่อ ที่นี่ผมทนกับเจ้านี่ไม่ไหว!”
ท่าทางโก่วซินเจียกำลังจะสั่นกระดิ่งอีกครั้ง เยี่ยเทียนรีบห้ามไว้ เมื่อครู่เสียงกระดิ่งมีฤทธิ์สงบจิตใจ หากศิษย์พี่ใหญ่ไม่ระวังสั่นกระดิ่งเสียงเรียกวิญญาณออกมา เกรงว่าเพื่อนบ้านคนอื่นในรอบรัศมีหลายร้อยเมตรจะอยู่ไม่สุขไปหลายวัน
“ฉันพลาดไปแล้ว”
โก่วซินเจียได้ยินดังนั้นก็เข้าใจทันที เขายิ้มออกมา เอ่ยปากบอกว่า
“ศิษย์น้องเล็ก ชิงหย่าเข้ามาแล้ว ฉันขอตัวไปพักผ่อนก่อน!”
เขายกย่ามยาสมุนไพรแบกขึ้นหลัง ยังมีกระดิ่งซานชิงที่รอให้เขาค้นคว้าต่อ โก่วซินเจียไม่อยากคุยกับเยี่ยเทียนต่อแล้ว
“นิสัยไม่ดี นายอยู่ต่อหน้าพ่อแม่กับพวกป้า นายไม่อายบ้างเหรอ?”
โก่วซินเจียออกไปแล้ว อวี๋ชิงหย่าหยิกเข้าที่เอวเยี่ยเทียนแรงๆทีหนึ่ง แล้วกระซิบเสียงเบาบอกเยี่ยเทียนว่า
“ที่รัก เวลานายออกไปข้างนอกพกมือถือไปด้วยเถอะ!”
ตอนที่ 879 การดำรงชีวิต
“ทำไมฉันต้องพกมือถือไปด้วยเล่า?”
เยี่ยเทียนแปลกใจ พลังปราณแท้ในร่างกายของเขาที่แผ่ออกมาห่อหุ้มร่างกาย เป็นพลังงานแม่เหล็ก ถึงเยี่ยเทียนพกมือถือไว้กับตัว มันก็ไม่มีสัญญาณ ตอนหลังแม้แต่โทรศัพท์ดาวเทียมเยี่ยเทียนยังขี้เกียจจะพก
“ฉันคิดถึงนายแต่ฉันไม่รู้ว่านายอยู่ที่ไหน ยังได้ยินเสียงรอสายว่าโทรศัพท์ต่อสายไม่ติด”
เสียงของอวี๋ชิงหย่าน้อยอกน้อยใจ แต่กลับเป็นความคิดที่ซื่อตรงของเธอ หลายปีมานี้เยี่ยเทียนยิ่งทำตัวลึกลับ ทำให้อวี๋ชิงหย่ารู้สึกว่ากำลังจะเสียเขาไป
“เด็กโง่ ต่อไปเธอจะไม่ได้ยินว่าโทรศัพท์ต่อสายไม่ติดอีกแล้ว!”
เยี่ยเทียนรู้สึกสะท้อนใจ ยื่นมือออกไปโอบกอดภรรยา
“ฉันให้สัญญา ก่อนที่โทรศัพท์จะติดต่อไม่ได้ ฉันจะบอกเธอก่อนทุกครั้ง ถ้าไม่ได้บอกเธอก่อนละก็ มือถือของฉันจะยังคงโทรติดอยู่เสมอ!”
“จริงหรือ?”
อวี๋ชิงหย่าเงยหน้ามองเขา เธอรู้ว่าเยี่ยเทียนเหมือนนกที่บินอยู่บนท้องฟ้า เธอไม่อยากผูกมัดสามีไว้อยู่ข้างกาย เพียงแต่ตอนที่เยี่ยเทียนไม่อยู่ เธอแค่อยากจะได้ยินเสียงของสามีบ้างเท่านั้น
“แน่นอนที่สุด ฉันเคยหลอกเธอเมื่อไหร่?”
เยี่ยเทียนยิ้ม เยี่ยเทียนดีดนิ้วทีหนึ่ง แสงไฟในห้องดับลง ไม่นานเสียงจังหวะรักก็ดังขึ้นตามมา
…………-
หลังจากได้ยาสมุนไพรมากมายกลับมาจากอาณาเขตแห่งเทพกสิกร โก่วซินเจียกลัวว่าถ้าเก็บไว้นานเกินไปฤทธิ์ยาจะเสื่อมลง วันรุ่งขึ้นเขาเดินทางกลับฮ่องกงทันที ส่วนเยี่ยเทียนต้องการจะพักผ่อนสงบจิตใจจึงอยู่ที่บ้านในปักกิ่ง
ในโลกมนุษย์พลังธรรมชาติช่างเบาบาง ไม่มีประโยชน์ใดกับเยี่ยเทียน เยี่ยเทียนกักเก็บผลการฝึกวิชาเอาไว้ภายใน แม้แต่พลังปราณแท้ที่ห่อหุ้มร่างกายอยู่เป็นปกติเขาก็เก็บมันลงไปเช่นกัน และเริ่มใช้ชีวิตแบบคนปกติ
เยี่ยเทียนไม่ค่อยมีเพื่อนอยู่ในปักกิ่งมากนัก แต่ก็ไม่น้อย สหายที่คุ้นเคยรู้ข่าวว่าเขากลับมาแล้ว อย่าง เว่ยหงจวินต่างเดินทางมาหาเขาถึงบ้าน แม้แต่ต่งเซิ่งไห่ยังบินกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมาขอบคุณเยี่ยเทียนโดยเฉพาะ
ด้านรัสเซียก็ไม่แพ้กัน ตอนที่เยี่ยเทียนเพิ่งจากมาไม่นาน พวกเขาได้ตรวจสอบสาเหตุความขัดแย้งในมอสโคว อย่างแน่ชัดแล้ว ต่งเซิ่งไห่ย่อมโดนหางเลขไปด้วย แต่ต่งเซิงไห่อยู่ในประเทศจีน ต่อมาแอบกลับไปที่ศูนย์ใหญ่สมาคม หงเหมินในซานฟรานซิสโก ทางรัสเซียก็ทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว
หลังจากเผชิญวิกฤตในเมืองไทยมาแล้วทั้งยังเกือบถูกล้างตระกูล ต่งเซิงไห่ตอนนี้รอดพ้นจากความทุกข์ยากด้วยบุญกุศลที่เคยสั่งสมมาเกือบครึ่งชีวิต ทำให้เขาดูมีสง่าราศีขึ้นมา
ยังมีจู้เหวยเฟิงที่มอบสนามมวยใต้ดินให้คนอื่นไปดูแลแทนแล้วเริ่มทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะด้วยมีพื้นฐานครอบครัวที่ดีอีกทั้งช่วงนี้ราคาบ้านและที่ดินพุ่งสูงขึ้น กิจการของเขาใหญ่โต เขาเหมือนออกจากวงการหนึ่งมาอยู่ในอีกวงการหนึ่งแทน
นอกจากการดื่มชาพบปะพูดคุยบ้างเป็นครั้งคราว เยี่ยเทียนตื่นแต่เช้าไปวิ่งออกกำลังกายเป็นเพื่อนอวี๋ชิงหย่า รับประทานมื้อเย็นเสร็จออกไปเดินเล่น การใช้ชีวิตตามประสาคนธรรมดาทำให้พลังงานอาฆาตที่สะสมจากการเข่นฆ่าคนมากมายของเยี่ยเทียนค่อยๆจางหายไป
“พี่ ได้ยินว่าพี่รู้จักเฉินจิ้งหลัน พี่ช่วยขอลายเซ็นมาให้หนูหน่อยได้ไหม?”
ตลอดบ่ายวันนั้นเยี่ยเทียนนั่งเป็นเพื่อนคุยกับมารดาอยู่ในเรือนกลาง หลิวหลันหลันสะพายเป้วิ่งเข้ามา ผ่านมาหลายปี เด็กสาวตัวซูบผอม ตัวสูงขึ้นมาก สูงถึง 168 เซ็นติเมตรแล้ว มองดูเหมือนเป็นสาวเต็มตัว
“เฮ้อ หลันหลันของเราเริ่มบ้าดาราแล้ว?”
เยี่ยเทียนก็ยิ้มออกมา เขารู้ว่าเด็กวัยนี้ต่างมีดาราเป็นต้นแบบ แน่นอนว่าเยี่ยเทียนเข้าใจดี ตอนเด็กๆเขาก็เคยอยากได้ลายเซ็นของโจวเหวินฟะที่คาบไม้จิ้มฟันถือปืนคนนั้นเหมือนกัน
“พี่ พี่จะช่วยหนูไหม?”
หลิวหลันหลันดึงมือเยี่ยเทียนอย่างอ้อนวอน เยี่ยเทียนไม่มีพี่น้อง มีเพียงลูกพี่ลูกน้องสาวคนนี้ที่เขารักทะนุถนอมที่สุด หลิวหลันหลันสอบได้คะแนนไม่ดีถูกพ่อแม่ของเธอตำหนิทุกครั้งจะต้องวิ่งมาหาเยี่ยเทียนให้ช่วย
เยี่ยเทียนแอบหันไปยิ้มกับมารดา
“ถ้าอยากได้ลายเซ็นดาราไปหาอาสะใภ้หนูสิ ต่อให้เป็นดาราฮอลลี่วู้ดในอเมริกาเขาก็หามาให้ได้!”
เยี่ยเทียนรู้จักเฉินจิ้งหลัน แต่ไม่ได้ติดต่อกันมาสามสี่ปีแล้ว แต่ข่าวคราวของเฉินจิ้งหลันเขาได้ข่าวอยู่ไม่ขาด
เหมือนกับที่ตอนนั้นเฉินจิ้งหลันมาดูดวงกับเขา หลายปีมานี้เธอโด่งดังขึ้นมาเป็นพลุแตก ทั้งโทรทัศน์ภาพยนตร์ดนตรี ยังได้ร่วมมือกับผู้กำกับใหญ่ของฮ่องกงไต้หวัน แค่เปิดโทรทัศน์ มีโฆษณาของเธอขึ้นอยู่เป็นระยะ จะให้ไม่รับรู้ข่าวของเธอคงเป็นไปไม่ได้
“หลันหลัน หนูจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอยู่แล้วยังไม่ตั้งใจเรียนอีก อยากรู้จักดาราพวกนี้ไปทำไม?”
เยี่ยเทียนพูดไม่ผิดซ่งเวยหลันรู้จักดาราทางฝั่งยุโรปอเมริกามากมาย ด้วยเหตุผลทางการงานของบริษัทที่ ต้องการดารามานำเสนอสินค้า ในสายตาของซ่งเวยหลัน ดาราพวกนี้เป็นตัวแทนของความตื้นเขินและการไม่ให้เกียรติตัวเอง เธอไม่ค่อยถูกชะตานัก
“อาสะใภ้คะ หนูเรียนดีนะคะ หนูรับรองว่าจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยหวาชิงให้ได้!”
หลิวหลันหลันเบะปากมองเยี่ยเทียนด้วยแววตาตั้งความหวัง
“พี่ หนูบอกเพื่อนไปแล้วว่าต้องทำให้ได้ พี่ต้องช่วยหนูนะ!”
“ก็ได้ พี่รับปาก”
เยี่ยเทียนหัวเราะ
“แต่เธอต้องบอกพี่มาก่อนว่าเธอรู้ได้ยังไงว่าพี่รู้จักเฉินจิ้งหลัน?”
แค่ลายเซ็นต์เท่านั้น เยี่ยเทียนไม่จำเป็นต้องไปหาเฉินจิ้งหลันถึงที่ เพราะผู้จัดการส่วนตัวหรือบริษัทที่เซ็นต์สัญญากับนักแสดงต้องมีรูปพร้อมลายเซ็นต์ของเธออยู่แล้ว เพื่อความสะดวกเมื่อต้องการแจกจ่าย
เยี่ยเทียนยังรู้อีกว่าเฉินจิ้งหลันเซ็นต์สัญญากับบริษัทบันเทิงหวาเซิ่งแห่งฮ่องกง เขาแค่บอกกับเถ้าแก่หวาคำเดียว อย่าว่าแต่รูปใบเดียวเลย ให้มาเป็นคันรถหวาเซิ่งก็หาให้ได้ตามความประสงค์ของเยี่ยเทียน
“พี่สะใภ้เป็นคนบอกหนูเอง อิอิ สุดสัปดาห์นี้พี่สะใภ้ยังจะพาหนูไปดูคอนเสิร์ตเฉินจิ้งหลันด้วย”
ได้รับการตอบรับเป็นที่พอใจแล้วหลิวหลันหลันก็วิ่งจากไปอย่างอารมณ์ดี ทิ้งให้เยี่ยเทียนที่ทำหน้าลำบากใจกับซ่งเวยหลันที่ทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
“แม่ ทำไมมองผมแบบนั้นล่ะครับ?”
เยี่ยเทียนไม่ชอบสายตาที่มารดามองเขาแบบนั้น
“ลูก ชื่นชอบแต่พอดีไม่เป็นไร แต่อย่าให้ถึงกับแต่งเข้ามาในบ้านเลย นอกจากว่าลูกจะไปอยู่ที่ประเทศอาหรับ!”
เธอทำธุรกิจอยู่ต่างประเทศมาหลายปี ซ่งเวยหลันมีอะไรไม่เคยพบเห็นบ้าง? ลูกชายของเธอแต่งงานมาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่มีลูกเสียที และนี่ก็เป็นเรื่องที่ค้างคาใจซ่งเวยหลันอยู่เหมือนกัน แม้เธอกับลูกสะใภ้จะมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่ซ่งเวยหลันไม่ได้สนใจว่าลูกชายของเธอจะมีแฟนหลายคน
“แม่ พูดไปถึงนั่น? เอาเถอะ ผมจะไปรับชิงหย่าเลิกงานก่อน ไม่คุยกับแม่ต่อแล้ว”
มารดาทำให้เยี่ยเทียนทำตัวไม่ถูก เขาเป็นผู้ฝึกวิชาจนเข้าใกล้ขั้นจินตันเชียวนะ ทำไมแม่ถึงพูดว่าเขาเป็นคนหลายใจแบบนั้น? นอกจากอวี๋ชิงหย่าเยี่ยเทียนยังไม่เคยแตะต้องผู้หญิงคนไหนอีกเลย
“เด็กบ้า ยังจะอายอีก?”
ซ่งเวยหลันเห็นลูกชายหาข้ออ้างหลบออกไป เธอหัวเราะออกมา ถ้าเปรียบเทียบชีวิตแบบนี้กับโลกธุรกิจ ตอนนี้เธอรู้สึกว่าชีวิตที่เป็นอยู่มีความสุขสมบูรณ์ดี
เรือนสี่ประสานห่างจากสถานีโทรทัศน์ที่อวี๋ชิงหย่าทำงานอยู่ไม่ไกล เดินมาแค่สิบกว่านาทีก็ถึง แต่พอเดินมาถึงปากซอยเยี่ยเทียนหยุดยืนมองคนที่กำลังโขกหมากรุกอยู่ใต้ต้นไม้พูดว่า
“นี่ เหล่าฉาง ทำตัวดีๆหน่อย คุณไม่ควรโผล่มาให้ผมเห็นอีกนะ!”
ตั้งแต่เยี่ยเทียนกลับมาจากอาณาเขตแห่งเทพกสิกร รอบเรือนสี่ประสานของเขามีคนพวกนี้มาพักอาศัยอยู่
ฉางเฮ่าให้ลูกเมียย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วย คอยแต่ติดตามเยี่ยเทียนไปไหนมาไหนตลอดวัน เข้ารวมกลุ่มกับคนแก่ในหมู่บ้าน ใครก็คิดไม่ถึงว่าชายวัยกลางคนๆนี้ เมื่อเดือนที่แล้วเป็นทหารรักษาความปลอดภัยให้กับผู้นำประเทศอยู่เลย
ตอนแรกเยี่ยเทียนคิดว่าพวกฉางเฮ่าได้รับคำสั่งมา ให้คุ้มครองตัวเขาและครอบครัวไม่ให้อิทธิพลภายนอกมาระราน แต่ต่อมากลับพบว่าพวกเขากลัวว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ จึงมาเพื่อช่วยเขาเก็บกวาดในเรื่องที่ตนก่อไว้โดยเฉพาะ
และคนพวกนี้ก็ไม่ได้มาสืบเรื่องในบ้านของเยี่ยเทียนเลย แต่ถ้าเยี่ยเทียนออกไปไหนจะมีคนสองสามคนติดตาม เวลาผ่านไปนานๆ เยี่ยเทียนขี้เกียจสนใจแล้ว
“เยี่ยเทียน คุณทำธุระของคุณไปเถอะ หมากกระดานนี้ผมกับตาเฒ่าอวี๋ยังเล่นไม่จบ”
ฉางเฮ่าอยู่แถวเรือนสี่ประสานมานานแล้ว เขาไม่มีความรู้สึกหวาดเกรงเยี่ยเทียนเหมือนในตอนแรกอีก เขาเข้าใจแล้วว่าในสายตาของเยี่ยเทียน พวกเขาไม่ได้มีความหมายอะไรเลย หากทำสิ่งใดให้เยี่ยเทียนไม่พอใจ เยี่ยเทียนก็ไม่คิดเอาเรื่อง คำพูดจาจึงดูสนิทคุ้นเคยขึ้นมาก
“ตาเฒ่าอวี๋ ม้าตายแล้วยังมีทหารอีกสี่ รุกฆาตได้เลย!”
เยี่ยเทียนกวาดตามองหมากบนกระดานแล้วบอกเคล็ดลับให้ตาเฒ่าอวี๋ สมัยก่อนเยี่ยเทียนเคยเล่นหมากรุกกับอาจารย์หลี่ซั่นหยวนใต้เสียงเทียนอยู่เป็นประจำ ฝีมือเดินหมากของเขาเก่งไม่ธรรมดา
“ฮ่าๆ จริงๆด้วย เสี่ยวฉาง เป็นยังไง ตาเฒ่าอย่างฉันชนะแล้วนะ?”
ตาเม่าที่เวลาว่างมานั่งโขกหมากรุกกันอยู่ในตรอกราวกับเป็นเฒ่าทารก แค่การเดินหมากก้าวเดียวแข่งกันจะเป็นจะตาย ตาเฒ่าอวี๋ชนะฉางเฮ่าได้ก็ดีใจจนหน้าชื่นตาบาน คำพูดที่พูดติดปากเสมอว่าผู้ชมหมากไม่ควรวิจารณ์นั้นลืมไปเสียสนิท
“ไม่ได้ ตาเฒ่าอวี๋ เพราะเยี่ยเทียนบอกถึงชนะ ตานี้ไม่นับ เรามาเริ่มกันใหม่!”
“ตาเฒ่าอวี๋ เล่นกันไปก่อนนะ ผมขอตัวละ!”
เยี่ยเทียนหัวเราะแล้วบอกลาตาเฒ่าอวี๋ ถ้าเทียบกับการเก็บตัวฝึกวิชามาแรมวันแรมปี เยี่ยเทียนชอบวิถีชีวิตแบบนี้มากกว่า บรรยากาศของความเป็นคน ทำให้ชีวิตของเขาถูกเติมเต็มและเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกเต๋ามักจะขาด
ฉางเฮ่าถึงจะเล่นหมากรุกต่อ แต่พอเยี่ยเทียนคล้อยหลังไปสี่ห้าเมตร ก็มีคนหนุ่มสองคนแอบเดินตามไปห่างๆ
“ชิงหย่า ทางนี้”
เยี่ยเทียนเพิ่งมาถึงประตูใหญ่ของสถานีโทรทัศน์แห่งปักกิ่ง อวี๋ชิงหย่าเดินออกมาพอดี เธอเห็นเยี่ยเทียนแล้วเดินยิ้มเข้ามาหา
ตอนที่เธอเพิ่งเอามือคล้องแขนเยี่ยเทียน มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งออกมาจากประตูใหญ่ร้องเรียกเธอไว้
“คุณอวี๋ เดี๋ยวก่อน ผมอยากให้คุณพิจารณาข้อเสนอของผมอีกครั้ง”
ตอนที่ 880 ตามตื้อ
“คุณอวี๋ เขา…เขาเป็นไคร?”
ชายหนุ่มคนนั้นตามมาเห็นอวี๋ชิงหย่าเอามือคล้องแขนเยี่ยเทียนพอดี แล้วอึ้งไป สีหน้าหมองลงทันที
“คุณจ้าว ฉันบอกแล้วไงว่าฉันแต่งงานแล้ว เขาเป็นสามีของฉัน!”
อวี๋ชิงหย่าไม่รู้จะทำอย่างไร เธอกลัวเยี่ยเทียนจะโกรธเกาะแขนเขาไว้ไม่ยอมปล่อย
“ที่รัก คุณจ้าวเป็นประธานบริษัททางใต้แห่งหนึ่ง ช่วงนี้สินค้าของบริษัทเขาเข้ามาทำตลาดในปักกิ่ง เลยได้ติดต่อกับสถานีโทรทัศน์ที่ฉันทำงานอยู่….”
“พอแล้ว อธิบายอะไรกันมากมาย?”
เยี่ยเทียนยิ้ม บีบปลายจมูกอวี๋ชิงหย่าเบาๆตามความเคยชิน ตอนเด็กๆเขาไม่รู้ว่าอวี๋ชิงหย่าร้องไห้เพราะเรื่องนี้มาแล้วกี่ครั้ง
“คุณอวี๋ คุณพูดจริงหรือครับ?”
เห็นเยี่ยเทียนทำท่าทะนุถนอมอวี๋ชิงหย่าแบบนี้แล้ว คนหนุ่มคนนั้นไม่ชอบใจเอ่ยต่อว่า
“คุณอวี๋ครับ ในเอกสารของคุณเขียนว่าคุณโสด คุณไม่ได้หลอกผมใช่ไหม?”
“จ้าวจัวจวิน คุณกล้าไปดูข้อมูลส่วนตัวของฉันเหรอ?”
ได้ยินดังนั้นอวี๋ชิงหย่าชักสีหน้า ตอนแรกที่เธอแต่งงานกับเยี่ยเทียน เธอได้เข้าทำงานแล้ว ต่อมาเพราะเยี่ยเทียนมีสถานะทางสังคมที่พิเศษ เธอจึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงสถานะสมรสในข้อมูลส่วนบุคคล
เมื่อก่อนชายคนนี้มาตามจีบเธอ แต่ไม่ได้รุกหนัก และเขาก็แสดงออกอย่างเป็นสุภาพบุรุษ เมื่ออวี๋ชิงหย่าปฏิเสธอย่างเด็ดขาดแล้วเธอก็ไม่ได้สนใจจ้าวจัวจวินอีก แต่ครั้งนี้พอได้ยินว่าฝ่ายชายไปดูข้อมูลส่วนตัวของเธอ เธอโกรธเลือดขึ้นหน้า
ชายหนุ่มยิ้มแหยๆ ตอบว่า
“คุณอวี๋ครับ ผมชอบคุณจริงๆนะครับ คุณอย่ารังเกียจผมเลย”
“จ้าวจัวจวินใช่ไหม?”
เห็นอวี๋ชิงหย่าโมโหแล้ว เยี่ยเทียนยิ้ม
“ชิงหย่าเป็นภรรยาของผม เราแต่งงานกันมาหลายปีแล้ว ถ้าไม่มีธุระอื่น พวกเราขอตัวก่อน?”
เยี่ยเทียนเห็นเค้าความซื่อตรงในดวงหน้าของจ้าวจัวจวิน หว่างคิ้วสว่างไสว ไม่มีร่องรอยของความชั่วร้าย การที่เขามาตามจีบอวี๋ชิงหย่าเพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ดี ชายใดต่างหมายปอง
เยี่ยเทียนไม่ได้โกรธ ช่วงนี้เขาจิตใจสงบสุข ทำให้พลังอาฆาตในตัวลดลงไปมาก ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าตามวิสัยปกติของเยี่ยเทียน คนที่มารังควานภรรยาของเขาไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือเลวต้องถูกซัดก่อนค่อยถามที่มาที่ไป
“แต่งงานมากี่ปีแล้ว?”
จ้าวจัวจวินส่ายหน้าถามอย่างไม่เชื่อ
“ผมรู้จักคุณอวี๋มาปีกว่าแล้ว ไม่เคยพบคุณมาก่อน พวกคุณไม่ได้กำลังแสดงละครอยู่ใช่ไหม?”
จ้าวจัวจวินหันไปมองอวี๋ชิงหย่าอย่างกล้าหาญ
“คุณอวี๋ หวังว่าคุณจะให้โอกาสผมอีกครั้ง!”
จ้าวจัวจวินเป็นคุณชายเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่งจากทางใต้ เมื่อปีที่แล้วได้รู้จักกับเธอ ตอนที่พบเธอครั้งแรกเขาถึงกับตะลึงในความสวย แล้วเริ่มตามจีบอย่างบ้าคลั่ง อวี๋ชิงหย่าเคยบอกเขาว่าเธอเธอแต่งงานแล้ว
จ้าวจัวจวินก็ไปตรวจดูเอกสารข้อมูลส่วนตัวของเธอ ในนั้นเขียนว่าโสด เขาใช้เงินและอำนาจซื้อเพื่อนร่วมงานของเธอ แล้วก็รู้ว่าสามีของเธอไม่เคยมารับมาส่งเธอเลย จึงคิดว่าเป็นเหตุผลที่เธอกุเรื่องขึ้นมาเท่านั้น
แต่ด้วยการงาน จ้าวจัวจวินต้องไปต่างประเทศสักพัก หลายวันก่อนเขาใช้เหตุผลเรื่องงานเพื่อกลับมาหาเธอที่นี่และเริ่มตามจีบอวี๋ชิงหย่าอีกครั้ง เพียงแต่เขาไม่คิดว่า อวี๋ชิงหย่าจะอยู่กับผู้ชายอีกคนจริงๆ
เห็นว่าภรรยาสาวถูกชายอื่นมาตามตื้อ เยี่ยเทียนเริ่มรำคาญ จึงตีสีหน้าเรียบเฉย เอ่ยปากว่า
“พอแล้ว เมื่อก่อนไม่รู้ไม่เป็นไร ตอนนี้ผมขอบอกไว้นะว่าอย่าวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น”
“คุณผู้ชายท่านนี้ ผมเรียกร้องความสุขเป็นสิทธิ์ของผม!”
จ้าวจัวจวินมองดูเยี่ยเทียนตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้งแล้วส่ายหัว
“ความบริสุทธิ์ของคุณอวี๋ไม่ควรจะลดตัวลงมาคลุกคลีกับธุลีดิน คุณสามารถให้ความสุขแก่เธอได้มากแค่ไหน? คุณทำให้เธอไม่ต้องกังวลเรื่องการหางานหาเงินได้ไหม?”
จ้าวจัวจวินดูถูกเยี่ยเทียน เยี่ยเทียนตอนนี้ดูแต่งตัวปอนๆเกินไป
พลังที่ซ่อนไว้ กำลังภายในที่ไม่แสดงออกมาทำให้เยี่ยทียนเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ถึงจะหน้าตาดี แต่ถ้าไม่อยู่ท่ามกลางผู้คนดูไม่มีจุดเด่นใดๆ
ยิ่งกว่านั้น เขาแต่งกายด้วยชุดฝึกวิชาสีขาว ดูไม่ต่างกับคนแก่ใส่ชุดรำไท้เก็กในสวนสาธารณะ ทั้งยังไม่มีนาฬิกาข้อมือสุดหรูที่แสดงสถานะในแบบของลูกผู้ชาย รองเท้าเป็นรองเท้ากังฟูผ้าสีดำ ดูแล้วน่าเอน็จอนาจ
“คุณอวี๋ ผมอยากชวนคุณไปเล่นสกีหิมะที่สวิสฯด้วยกัน คุณพอจะมีเวลาว่างบ้างไหม?”
จ้าวจัวจวินไม่ได้เป็นคนชอบคนที่หน้าตา แต่เขาไม่รู้สึกถึงอำนาจของเยี่ยเทียนเลยสักนิด เขาคิดว่าเยี่ยเทียนเป็นเพียงข้ออ้างของอวี๋ชิงหย่าเท่านั้น
จ้าวจัวจวินหันไปโบกมือ รถโรลรอยส์สีบรอนซ์เงินมาจอดเทียบข้างๆ จ้าวจัวจวินเงียบๆ เขาเดินไปเปิดท้ายรถ นำดอกไม้ช่อใหญ่ออกมา พูดว่า
“คุณอวี๋ครับ หวังว่าคุณจะตอบตกลง โปรดวางใจ ผมจะไม่ทำอะไรหากคุณไม่ยินยอม”
“ผมว่า คุณเป็นพวกนักรักนะ แต่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่….”
เยี่ยเทียนไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับจ้าวจัวจวินดี คนที่มาตามจีบภรรยาแสนสวยของเขาไม่ได้ถึงกับทำเรื่องผิดพลาดร้ายแรง ใครใช้ให้เขาหายตัวไปตั้งหนึ่งปี ไม่แปลกที่เพื่อนร่วมงานของอวี๋ชิงหย่าจะคิดว่าเธอยังโสด
จ้าวจัวจวินช่างไม่รู้อะไรเลย เขาตามจีบอวี๋ชิงหย่าแต่กลับไม่ไปสืบพื้นเพครอบครัวของเธอ ตระกูลของเธอมีกิจการสิ่งทอใหญ่โตระดับประเทศ เธอเป็นลูกสาวคนเดียวแล้วเขายังกล้าชวนเธอไปเล่นสกีที่สวิสฯอีกหรือ?
รถโรลรอยส์คันนี้ยิ่งน่าขันสำหรับเยี่ยเทียน เพราะรถยี่ห้อนี้ทุกรุ่นที่เพิ่งออกใหม่มาสำหรับให้ผู้บริหารของบริษัทใหญ่ใช้กันนั้นซ่งเวยหลันได้จองไว้ทุกคัน ถ้าเยี่ยเทียนต้องการ รถโรลรอยส์ที่จอดอยู่ที่ยุโรปก็จะมาปรากฏที่ถนนสายนี้เป็นขบวน
“คุณผู้ชายท่านนี้ ทำไมคุณถึงพูดอย่างนี้?”
จ้าวจัวจวินอยู่ต่างประเทศมาหลายปี ได้รับการสั่งสอนอบรมมาอย่างดี แม้เขาไม่ค่อยถูกชะตากับเยี่ยเทียน แต่ไม่ถึงกับพูดคำหยาบใส่เยี่ยเทียน เพียงแต่ขมวดคิ้วแน่น เขาคิดไม่ออกว่าทำไมอวี๋ชิงหย่าถึงเลือกเอาคนแบบนี้มาต่อกรกับเขา
“เยี่ยเทียน อย่าโกรธเลย”
อวี๋ชิงหย่าดึงมือเยี่ยเทียนไว้ ตอนที่กำลังจะพูดต่อกลับถูกเยี่ยเทียนขัดขึ้น
“คุณจ้าวใช่ไหม ผมขี้เกียจคุยกับคุณแล้ว ในเมื่อคุณไม่เชื่อว่าชิงหย่าเป็นภรรยาผม งั้นผมหาคนมาบอกคุณเอง!”
ระหว่างนั้นเยี่ยเทียนเดินไปทางตรอกห่างจากสถานทีโทรทัศน์ไปสามสิบเมตรแล้วโบกมือเรียกใครบางคน
“เบอร์หนึ่ง เบอร์หนึ่ง เป้าหมายกำลังเรียกพวกเรา จะเข้าไปไหม?”
เยี่ยเทียนโบกมือเรียก ชายสองคนที่ติดตามเขามาอยู่ห่างๆได้แต่อึ้งไป พวกเขาตามเยี่ยเทียนมาเกือบเดือน นอกจากบางครั้งที่เยี่ยเทียนยิ้มให้พวกเขาแล้ว ก็ไม่เคยมาหาพวกเขาเลย
“พูดอะไรอย่างนั้น เขาเรียกก็ต้องเข้าไปสิ ฉันกำลังรีบไปเดี๋ยวนี้!”
ฉางเฮ่าที่กำลังโขกหมากรุกอยู่กับตาเฒ่าในตรอกได้ยินดังนั้นก็กระตือรือร้นขึ้นมา ไม่สนใจหมากเรือกับม้าที่ถูกต้อนจนมุมแล้ว เขาลุกขึ้นวิ่งทันที
“คุณเยี่ย มีอะไรจะสั่งหรือครับ?”
ชายสองคนหลังจากคุยกันจบแล้วก็ออกจากที่ซ่อนเดินเข้าไปหาเยี่ยเทียน
เยี่ยเทียนชี้ไปที่จ้าวจัวจวิน บอกว่า
“พวกนายพาเขาไป แล้วบอกให้เขาเข้าใจว่าฉันแต่งงานแล้ว อย่ามายุ่งวุ่นวายกับชิงหย่าอีก แปลกคนจริงๆ”
“เขาเป็นเพื่อนคุณหรือครับ?”
ฟังเยี่ยเทียนจบ บอดี้การ์ดฝีมือดีทั้งสองคนตกใจมาก พวกเขาไม่กล้าติดเครื่องดักฟังใดบนตัวเยี่ยเทียน และไม่กล้าติดตามใกล้เกินไป ดังนั้นจึงคิดว่าจ้าวจัวจวินเป็นเพื่อนกับเยี่ยเทียน แต่คิดไม่ถึงว่าชายผู้โชคร้ายรายนี้มาติดพันกับภรรยาเยี่ยเทียน?
บอดี้การ์ดทั้งสองรู้สึกอยากขำแต่ไม่กล้าหัวเราะออกมา พวกเขาเคยเห็นมากับตาว่าเหล่าผู้นำประเทศมีท่าทีอย่างไรต่อเยี่ยเทียน ถ้าเยี่ยเทียนฆ่าชายคนนี้ไปเสียตอนนี้ เขาก็คงไม่มีความผิดอะไร
เยี่ยเทียนโบกมือรั้งมืออวี๋ชิงหย่าไว้แล้วตอบว่า
“ไม่ใช่เพื่อนฉัน พวกนายทำให้เขาเข้าใจก็พอแล้ว อย่ารังแกเขามากเกินไป!”
การใช้อิทธิพข่มเหงคนอื่นเป็นสิ่งที่เยี่ยเทียนไม่ชอบทำ เขาสั่งการเสร็จก็ลากอวี๋ชิงหย่าออกมา ถ้ายังรอดูอยู่ตรงหน้าสถานีโทรทัศน์จะเป็นการดึงดูดความสนใจของคนรอบข้าง เยี่ยเทียนไม่อยากถูกคนมุงดู
“นี่ พวกคุณ….”
จ้าวจัวจวินรู้สึกถึงความผิดปกติ จะเรียกให้เยี่ยเทียนอยู่ก่อน
“ผมว่า คุณไปกับพวกผมสักเที่ยวดีกว่า”
หนึ่งในบอดี้การ์ดรั้งตัวจ้าวจัวจวินไว้ เขานับถือชายคนๆนี้จริงๆที่กล้ามาหาเรื่องเยี่ยเทียน นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนอารมณ์ดีอยู่ เขาถึงยังได้ยืนพูดอยู่ปาวๆ?
“พวกคุณเป็นใคร?”
เสียงของจ้าวจัวจวินยังไม่ทันขาดคำ รถโรลรอยส์ของเขาถูกเปิดออก บอดี้การ์ดทั้งสองประกบขนาบข้างซ้ายขวาดันตัวเขาเข้าไปในรถ
“พวกคุณจะทำอะไร?”
คนรับรถเป็นทหารปลดประจำการ เขาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ตอนที่คนขับรถกำลังจะขยับตัว ปืนสีดำมันขลับถูกจ่ออยู่ที่ขมับของคนขับรถแล้ว
“ถ้าไม่อยากตายก็อย่าขยับ แค่พาพวกคุณไปสถานที่หนึ่งก็รู้แล้ว”
ตอนนี้เองฉางเฮ่าที่รีบมาถึงถูกเรียกขึ้นไปบนรถ แล้วรถโรลรอยส์ก็ขับปะปนหายไปกับการจราจรบนท้องถนน ส่วนจ้าวจัวจวินนั้นพอได้เห็นบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่แต่ละคนแล้วก็ตื่นตกใจ ต่อมาเรื่องการสืบข้อมูลภูมิหลังของจ้าวจัวจวินนั้นต้องตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย
……-
“เยี่ยเทียน นายไม่ชอบใจเหรอ?”
ตอนที่เดินกลับบ้าน อวี๋ชิงหย่าเฝ้าสังเกตสีหน้าของเยี่ยเทียน เห็นว่าเขาขมวดคิ้วไม่คลาย จึงถามอย่างอดไม่ได้ว่า
“ฉันบอกเขาชัดเจนแล้วนะ ใครให้คนแซ่จ้าวนั่นไปดูเอกสารข้อมูลส่วนตัวของฉันเล่า”
เยี่ยเทียนส่ายหัว จับมือของอวี๋ชิงหย่าแน่นขึ้น
“ชิงหย่า ฉันไม่ได้ไม่พอใจ ฉันกำลังคิดว่า พวกเราน่าจะออกไปเที่ยวกันดีไหม?”
คำพูดของจ้าวจัวจวินนั้นทำให้เยี่ยเทียนคิดได้ นอกจากฮันนีมูนกับอวี๋ชิงหย่าที่ฮ่องกงเพียงไม่กี่วัน แล้วเขาแทบจะไม่ได้พาเธอไปเที่ยวต่างประเทศเลย
ตอนที่ 881 ให้กำเนิด
“ดีสิ ฉันไม่ได้ไปต่างประเทศมาหลายปีแล้ว เยี่ยเทียน เราไปยุโรปกันเถอะ?”
ได้ยินดังนั้นอวี๋ชิงหย่าจับมือเยี่ยเทียนแน่นอย่างดีใจ เธอรับรู้ได้ถึงความรู้สึกผิดของสามี ขณะเดียวกันใช้ปฏิกริยาทางร่างกายของตัวเองบอกเยี่ยเทียนว่าแค่มีเขาอยู่ข้างกาย เธอก็พอใจมากที่สุดแล้ว
“ยุโรป?”
เยี่ยเทียนคิดตาม
“ถ้าอย่างนั้นรอไปอีกหน่อยแล้วกัน เราไปเล่นสกีหิมะที่สวิสเซอร์แลนด์ก็ได้”
“ได้ ที่รัก ฉันว่าตามนาย”
อวี๋ชิงหย่าเอนกายซบเยี่ยเทียน สำหรับเธอแล้ว ขอแค่ได้อยู่กับเยี่ยเทียน ไปไหนก็ไม่สำคัญ
สองสามีภรรยาเดินเล่นจนกลับมาถึงบ้าน ฉางเฮ่ารออยู่หน้าบ้านแล้ว เห็นเยี่ยเทียนกลับมาถึงก็รีบเดินเข้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม
“คุณเยี่ยครับ คนๆนั้นจะไม่มารบกวนคุณผู้หญิงอีก นี่เป็นเพราะผมบกพร่องในหน้าที่ ขออภัยด้วยจริงๆครับ!”
แม้เยี่ยเทียนไม่ให้เขาปรากฏตัวต่อคนในบ้าน แต่เรื่องนี้ฉางเฮ่าต้องอธิบายให้เยี่ยเทียนฟัง เพราะเขาเคยดูเอกสารของเยี่ยเทียนมาก่อน ชายหนุ่มที่เป็นราวกับเทพเซียน โทสะไม่ค่อยรุนแรงเท่าไหร่
“รู้แล้ว คนๆนั้นไม่ได้ทำผิดอะไร อย่าทำให้เขาลำบาก”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาต้องได้ซ้อมจ้าวจัวจวินสักยก แต่ตอนนี้เขาจิตใจกว้างขวางขึ้น จึงไม่ถือสาหาความคนแบบนั้น ในโลกนี้นอกจากคนในครอบครัวแล้ว แทบไม่มีใครยั่วโมโหเยี่ยเทียนได้
“ครับ คุณเยี่ย”
ฉางเฮ่ารับปาก เห็นท่าทีรำคาญของเยี่ยเทียนก็รีบขอตัวออกไป
“ที่รัก คนๆนั้นไม่ใช่ว่าอยู่บ้านตรงปากซอยหรือ? เขาเป็นใครกันแน่?”
เดินเข้ามาในบ้านแล้วอวี๋ชิงหย่าถามเยี่ยเทียนอย่างข้องใจ ทุกวันเธอออกไปทำงาน มักเห็นฉางเฮ่าคนนี้เล่นหมากรุกอย่างสนุกสนาน ความสัมพันธ์กับพวกเพื่อนบ้านก็ดีใช้ได้
เยี่ยเทียนยิ้ม
“สถานะของแม่เราเธอก็รู้ ทางการส่งคนมาคุ้มครองแม่!”
ซ่งเวยหลันเป็นผู้บริหารใหญ่ของบริษัทระดับนานาชาติ ทั้งยังเป็นบุตรสาวของซ่งเฮ่าเทียน แค่สองสถานะนี้ เยี่ยเทียนใช้นำมาอ้างเป็นเหตุผลได้ ขอแค่ไม่ให้ภรรยาไปสอบถามจากมารดาอีก
หลังจากเกิดเรื่องนี้แล้ว เยี่ยเทียนพบว่าพวกฉางเฮ่าทำงานกันอย่างรอบคอบ แม้แต่ป้าใหญ่โต้เถียงกับแม่ค้าขายผักในตลาดไม่กี่คำวันรุ่งขึ้นแผงขายผักนั้นได้อันตรธานหายไป แน่นอนว่านอกจากเยี่ยเทียนแล้วคนอื่นๆไม่รู้
การเล่นสกีที่สวิสฯเดือนมกราคมเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด เยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่าวางแผนกันเรียบร้อย หลิวหลันหลันคร่ำครวญว่าอยากไปด้วย และด้วยเหตุที่คุณป้าทั้งหลายของเยี่ยเทียนไม่เคยไปต่างประเทศมาก่อน ซ่งเวยหลันจึงวางแผนพาทั้งบ้านไปเที่ยวยุโรป แล้วไปฉลองเทศกาลตรุษจีนที่สวิสฯเสียเลย
แต่ในขณะที่คนทั้งบ้านกำลังทำพาสปอร์ตพร้อมกันนั้น ก็เกิดเรื่องที่ทำให้แผนการผันผวนไปหมด นั่นก็คือ….อวี๋ชิงหย่าตั้งครรภ์
“ศิษย์พี่ใหญ่ นี่เป็นชีพจรตั้งครรภ์แน่นอน พี่ลองจับดูสิ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า??”
เยี่ยเทียนสิ้นเปลืองพลอยวิเศษไปห้าก้อนเพื่อเนรมิตค่ายกลขึ้นใหม่ทั้งหมด แม้ว่าเมื่อก่อนพลังธรรมชาติจะไม่ค่อยเพียงพอ ตอนนี้กลางฤดูหนาวจัด แต่อากาศภายในบ้านอบอุ่นกว่านอกบ้านเป็นสิบองศา มวลดอกไม้ยังไม่ร่วงโรย
ตอนนี้คนทั้งบ้านนั่งกันเกือบพร้อมหน้าอยู่ในสวน ยังมีอวี๋เฮ่าหรานและภรรยาที่พอได้ข่าวก็รีบเดินทางมา ลูกสาวคนเดียวตั้งครรภ์ ก็เป็นเรื่องมงคลของตระกูลอวี๋เหมือนกัน
อวี๋ชิงหย่าที่ถูกทุกคนนั่งล้อมวงอยู่ ข้างกายเธอมีโก่วซินเจียที่รีบเดินทางมาจากฮ่องกง กำลังวางนิ้วบนข้อมือ ของอวี๋ชิงหย่าเพื่อตรวจชีพจร
ผู้ที่ค้นพบว่าอวี๋ชิงหย่าตั้งครรภ์คือเยี่ยเทียนที่หลังจากรับปราะทานอาหารเช้าแล้วเธอมีอาการคลื่นไส้ เยี่ยเทียนถึงจะรู้วิชาแพทย์เพียงเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นอาการไข้หวัดทั่วไปก็ตรวจโรคได้ พอเขาตรวจชีพจรให้ภรรยาก็พบว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
ตอนที่เยี่ยเทียนจับชีพจรรู้สึกว่าลักษณะชีพจรของภรรยาไหลลื่น เหมือนไข่มุกกลิ้งบนจาน แรงชีพจรที่สัมผัสนิ้วนั้นกลมเกลี้ยงลื่นไหลอย่างแรง ทำให้เขาชะงักไป เพราะนี่เป็นลักษณะของชีพจรตั้งครรภ์
ตอนนั้นเยี่ยเทียนยังไม่กล้าประกาศออกไป เขาออกไปซื้อชุดตรวจตั้งครรภ์มา แล้วก็ตั้งครรภ์จริงๆ เยี่ยเทียนถึงกล้าบอกข่าวดีกับคนอื่นๆ
พวกเขาแต่งงานกันมาหลายปีแต่ไม่มีลูกสักที ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อวี๋ชิงหย่ากับป้าๆของเยี่ยเทียนกังวลใจ พอข่าวการตั้งครรภ์ของเธอถูกประกาศออกไป ทำให้บ้านตระกูลเยี่ยตื่นเต้นเป็นการใหญ่ แผนการเดินทางไปสวิสฯนั้นต้องถูกระงับ จิตใจของตระกูลเยี่ยตอนนี้อยู่ที่อวี๋ชิงหย่าคนเดียว
ซ่งเวยหลันคิดจะเชิญแพทย์แผนกสูตินารีเวชที่มีชื่อเสียงมาจากอเมริกา แต่เมื่อเยี่ยเทียนรู้ว่าหมอคนนั้นเป็นผู้ชายแล้วก็ถูกปฏิเสธทันที
สุดท้ายได้แพทย์เฉพาะทางสูตินารีเวชจากโรงพยาบาลชื่อดังแห่งปักกิ่งโดยการจัดการของซ่งเฮ่าเทียนส่งกลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นศาสตราจารย์หญิงสูงวัยอายุเกือบเจ็ดสิบปี ซึ่งเคยเป็นผู้ทำคลอดให้ลูกหลานคนมีตระกูลและระดับผู้นำประเทศมาแล้ว
ไม่เพียงเท่านี้ เยี่ยเทียนยังใช้เครื่องบินส่วนตัวของแม่เขาไปรับโก่วซินเจียกลับมาจากเกาะฮ่องกง เพราะถ้าเทียบกับเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียมีวิชาแพทย์สูงส่งกว่า ทั้งการฝังเข็มที่ได้ผลชะงัก ที่เยี่ยเทียนไม่มีทางเทียบติด
“ศิษย์น้องเล็ก ยินดีด้วย เป็นชีพจรตั้งครรภ์จริง”
หลังจากจับชีพจรให้อวี๋ชิงหย่าแล้วโก่วซินเจียยืนขึ้นแล้วพูดว่า
“เด็กน่าจะอายุครรภ์ประมาณห้าสิบวัน…”
ตอนนั้นเองโก่วซินเจียขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อว่า
“ตำแหน่งของครรภ์ไม่ค่อยถูกที่ถูกทาง ฉันว่าพวกเธอหละหลวมกันไปแล้ว ทำไมถึงไม่สังเกตุกันบ้าง?”
เยี่ยเทียนอึ้งไป รีบตอบว่า
“ไม่หรอกมั้ง? ศิษย์พี่ใหญ่เมื่อเช้าศาสตราจารย์หวังตรวจดูแล้วบอกว่าปกติดี!”
โก่วซินเจียเบะปาก
“จะเชื่อเขาหรือเชื่อฉัน?”
“แน่นอนว่าต้องเชื่อศิษย์พี่ใหญ่อยู่แล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ ถ้ายังงั้นทำยังไงดี?”
เยี่ยเทียนรีบหัวเราะกลบเกลื่อน ถ้าไม่กลัวว่าดวงจิตของเขาจะทำร้ายตัวเด็ก เขาเกือบจะปล่อยดวงจิตเข้าไปสัมผัสตำแหน่งของตัวเด็กที่อยู่ในท้องภรรยา
“ไม่เป็นอะไรมาก ฉันเปิดยาให้กินไม่กี่ตำรับก็หายแล้ว”
เห็นเยี่ยเทียนเครียดมากโก่วซินเจียโบกมือ
“ศิษย์น้องเล็ก พวกเธอยังหนุ่มสาว ต้องรู้จักถนอมร่างกายไว้บ้าง อนาคตยังอีกยาวไกล!”
“อะแฮ่ม …..” เยี่ยเทียนรู้สึกเก้อเขินกับโก่วซินเจียจึงแกล้งกระแอมออกมา
“เหอะๆ ศิษย์พี่ใหญ่ ผม…ผมไม่มีประสบการณ์ ไม่มีประสบการณ์น่ะสิ”
“จะบ้าตาย ถ้าพูดไม่เป็นก็ไม่ต้องพูด!”
เยี่ยเทียนยังพูดไม่ทันขาดคำ อวี๋ชิงหย่ายื่นนิ้วเรียวยาวหยิกเข้าที่เอวเขาอย่างแรง เป็นการลงโทษตอนที่เขาไม่อยู่บ้านแล้วทำให้อวี๋ชิงหย่าถูกละเลย เยี่ยเทียนกลับมาครั้งนี้ได้ครึ่งปีกว่าแล้ว พวกเขาร่วมรักกันเกือบทุกวัน ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนใช้พลังของตัวเองแอบปกป้องร่างกายของอวี๋ชิงหย่าเอาไว้ เธอคงจะทนไม่ไหวไปนานแล้ว
“ไม่พูด ไม่พูด….”
เยี่ยเทียนได้แต่ยิ้มแหย ตั้งแต่เมื่อวานที่รู้ว่าภรรยาตั้งครรภ์ ใบหน้าของเขาเปื้อนยิ้มอยู่เกือบตลอดเวลา พบใครก็ยิ้มให้ เมื่อเช้าออกไปซื้ออาหารเช้าให้ภรรยายังโยนบุหรี่ให้ฉางเฮ่าซองหนึ่ง ทำเอาฉางเฮ่าตกใจจนต้องรีบไปรายงานผู้บังคับบัญชาเพราะกลัวว่าเยี่ยเทียนสติฟั่นเฟือนไปแล้ว?
เรื่องที่อวี๋ชิงหย่าตั้งครรภ์แพร่สะพัดออกไปเร็วมาก เว่ยหงจวินและจู้เหวยเฟิงเพื่อนเก่าที่อยู่ในเมืองหลวงต่างพากันมาแสดงความยินดี มีของขวัญไม่น้อยทั้งแก้วแหวนหยกเครื่องประดับวางจนเต็มบ้านไปหมด
ส่วนเฟิงค่วงกับพี่อิ๋งอิ๋งที่อยู่ในยุทธภพได้ข่าวแล้วก็มาหาถึงบ้าน หวังอิ๋งรีบเร่งให้สามีกลับไป ส่วนตัวเองยังอยู่ที่เรือนสี่ประสานนี้ต่อ ไม่ถึงเดือน ของใช้เด็กที่จำเป็นเช่นผ้าอ้อม ไปจนถึงเสื้อผ้าเด็กสี่ห้าขวบก็ถูกผู้หญิงกลุ่มนี้เตรียมไว้จนพร้อมแล้ว
ส่วนพ่อของลูกกลายเป็นหมาหัวเน่าไป เขาเข้าใกล้ภรรยาไม่ได้เลย เพราะหลังจากวันที่โก่วซินเจียจับชีพจรตรวจครรภ์แล้วก็สั่งให้ทั้งสองแยกห้องนอนกัน ภรรยาถูกเหล่าป้าๆล้อมหน้าล้อมหลังทั้งวัน เยี่ยเทียนกลายเป็นคนนอกทันที
เห็นท้องของภรรยาที่โตขึ้นทุกวันๆ รู้สึกได้ว่าอวี๋ชิงหย่าต้องเผชิญกับการคลอดบุตร เป็นความรู้สึกที่หล่อเลี้ยงจิตใจของเยี่ยเทียน การสืบทอดทางสายเลือด พวกเคล็ดวิชาจินตัน การอยู่ยงคงกระพันอะไรพวกนั้นไม่สำคัญอีกต่อไป
เวลาผ่านไปเจ็ดแปดเดือนอย่างรวดเร็ว ภรรยาของเขาใกล้คลอดเต็มที เยี่ยเทียนยิ่งเครียดหนักขึ้น ทั้งวันจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่รู้ว่าถูกมารดาของเขาแซวไปกี่ครั้งแล้ว
“แม่ ไม่เป็นไรนะ? ทำไมเข้าไปตั้งนาน?”
ตอนเช้าตื่นนอน อวี๋ชิงหย่ามีอาการเจ็บท้อง จึงถูกส่งตัวเข้าไปในห้องคลอดที่เพิ่งดัดแปลงขึ้นมาในเรือนกลาง ส่วนผู้หญิงที่มาทำคลอดได้ย้ายเข้ามาอยู่ได้สัปดาห์หนึ่งแล้ว ก็รีบลงมือทำงานทันที
ตอนแรกเยี่ยเทียนจะอยู่ด้านในด้วย แต่ถูกป้าใหญ่ไล่ออกมา เมื่อครู่เห็นมารดาของเขาเปิดม่านหน้าต่างออกมาก็รีบวิ่งเข้าไป ตอนนั้นอากาศเย็นในช่วงฤดูใบไม้ผลิของเดือนมีนาคม บนหน้าผากของเยี่ยเทียนมีเหงื่อเม็ดเป้งผุดออกมา แสดงว่าเขาเคร่งเครียดมากแต่ไหน
“ไม่เป็นไร แค่ครรภ์เคลื่อนไหวเฉยๆ แต่ว่าลูกชายแกไม่ยอมออกมาเสียที เหมือนแกตอนนั้นเลย!”
เห็นท่าทีเคร่งเครียดของบุตรชายแล้วซ่งเวยหลันเคาะเบาๆที่หน้าผากของเขาอย่างหงุดงหงิด ตอนกำลังจะเอ่ยปาก ในห้องคลอดมีเสียงตะโกนดังโหวกเหวกออกมาว่า
“น้ำคร่ำแตกแล้ว จะคลอดแล้ว เสี่ยวอวี๋ ไม่ต้องกลัว ออกแรง ออกแรงอีก!”
“ไม่เป็นไร!” ซ่งเวยหลันปลอบลูกชาย หมุนตัวเดินเข้าห้องไป ทิ้งสองพ่อลูกยืนว้าเหว่อยู่หน้าห้อง สีหน้าหมองคล้ำด้วยความวิตกกังวล
หลังจากนั้นทุกวินาทีช่างยาวนาน เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ “อุแว๊” เสียงเด็กทารกร้องไห้จ้าดังออกมาจากห้องคลอด!
“คลอดแล้ว ลูกฉันคลอดแล้ว!”
เสียงร้องไห้ของทารกก้องเข้าไปถึงใจ เยี่ยเทียนไม่สนใจอย่างอื่น เขาดึงผ้าม่านพุ่งตัวเข้าไปด้านในทันที!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น