อยากกินไหมล่ะ 877-879

 บทที่ 877 ปานจื่อทอดกรอบ

“สวัสดีครับ หัวหน้าเชฟเฉา” หยวนโจวพยักหน้าแล้วทักทายเขา


“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ อาหารในครัวต้องทำใหม่ๆเพื่อให้คุณสามารถกินได้ทันทีที่มาถึง ช้าไปหรือเร็วไปสักนาทีก็ไม่ดีนัก ดังนั้นผมเลยไม่ได้ออกไปต้อนรับคุณที่ประตูเลย” เฉาจื่อซูอธิบายอย่างรีบร้อนขณะที่กำลังเดินมาหาเขา


ใช่แล้วล่ะ ตามความเข้าใจในมารยาทของเฉาจื่อซู เขาต้องลงไปที่ประตูแล้วต้อนรับแขกด้วยตนเอง


แต่บังเอิญว่ามีอาหารที่ต้องปรุงใหม่ๆ ดังนั้นเฉาจื่อซูจึงไม่ได้ลงไปต้อนรับหยวนโจวเพื่อดึงรสชาติที่ดีที่สุดของอาหารออกมาและเพื่อให้หยวนโจวได้กินอาหารที่อร่อยที่สุด


“ไม่เป็นไรครับ อาหารสำคัญกว่า” หยวนโจวไม่ใส่ใจเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ เมื่อขอโทษไปตามพิธีแล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมไม่รู้สึกผิดในใจอีก


“หัวหน้าเชฟหยวนใจกว้างจริงๆ เชิญทางนี้เลยครับ ไปเอาอาหารเรียกน้ำย่อยมาซิ” เฉาจื่อซูกล่าวกับหยวนโจวก่อนพลางอมยิ้มแล้วสั่งบริกรที่ยืนอยู่ทางด้านข้าง


“ขอบคุณครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้นมา


“ไม่เป็นไรครับ พออาหารเรียกน้ำย่อยถูกยกมาเสิร์ฟแล้ว ผมยังต้องกลับเข้าครัวไปตรวจสอบอาหารที่ทำไว้ ขออย่าได้ถือสาที่ผมไม่สามารถร่วมกินอาหารกับคุณได้เลยนะครับ” เฉาจื่อซูระเบิดหัวเราะออกมาแล้วกล่าวขึ้นมาทันที


หยวนโจวอยากจะบอกว่าเขากินอาหารคนเดียวมาหลายปีแล้ว


การแลกเปลี่ยนเพื่อมิตรภาพไม่จำเป็นต้องเป็นการแข่งขันจริงๆก็ได้ มารยาทในระดับดังกล่าวนับว่าทำได้พอเหมาะพอดีเชียวล่ะ


“ไม่หรอกครับ ที่จริงกินอาหารคนเดียวก็ไม่เลวอยู่นะครับ ในเมื่อเงียบแล้วผมก็จะได้จดจ่ออยู่กับการชิมได้” หยวนโจวส่ายหน้าแล้วกล่าวอย่างจริงจัง


“มีแต่คนบอกว่าเถ้าแก่หยวนไม่ใส่ใจเรื่องหยุมหยิม ดูท่าทางจะเป็นเรื่องจริงสินะครับ” เฉาจื่อซูกล่าวขึ้น


คราวนี้หยวนโจวไม่ตอบเขาได้แต่พยักหน้าเท่านั้น แล้วเขาก็ตามเฉาจื่อซูเข้าห้องแยกไป


ทันทีที่เขาเข้ามาในห้องก็เห็นภาพเขียนจีนโบราณขุนเขาและสายน้ำอยู่ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าขุนเขาก็หมายถึงเขาหลงเหมินที่เป็นชื่อห้องแยกนั่นเอง


มันเป็นภาพเขียนน้ำหมึกที่ค่อนข้างเปี่ยมไปด้วยอารมณ์แห่งกวีนิพนธ์ เมื่อตัดสินจากคุณภาพแล้วจะต้องเป็นผลงานของปรมาจารย์อย่างแน่นอน


นับเป็นความสุขทีเดียวที่ได้กินอาหารไปพลางชื่นชมภาพเขียนไปพร้อมๆกัน เทียบกันแล้วร้านของฉันเรียบง่ายกว่ากันเยอะเลย แถมยังเป็นแค่สถานที่สำหรับการกินอาหารโดยปราศจากสิ่งของไร้สาระอีกต่างหาก หยวนโจวแอบคิดในใจ


จะว่าไปแล้วหยวนโจวลืมนึกถึงผู้คนที่เดินผ่านร้านอาหารเล็กๆกับนี่แหละชีวิตอันเป็นภาพเขียนทั้งสองในร้านของเขาเองไป ถึงแม้ว่าจำนวนภาพเขียนของเขาจะไม่เยอะเท่าในร้านซู แต่กลับแพงกว่ากันมากเลยทีเดียว


“ก๊อก ก๊อก”


เฉาจื่อซูเพิ่งจะแนะนำเมนูในวันนี้ตอนที่ประตูถูกเคาะ


“เข้ามาได้” เฉาจื่อซูหยุดคุยกับหยวนโจวแล้วตอบออกไป


จากนั้นบริกรสองที่คนหนึ่งเป็นชายและอีกคนหนึ่งเป็นหญิงก็เดินเข้ามา พวกเขาทั้งคู่แต่งกายในชุดต้วนต๋าอันเป็นเครื่องแต่งกายแบบจีนฮั่นเป็นพิเศษ


บริกรชายยกถาดอยู่ทางด้านข้างส่วนบริกรหญิงยกจานออกมาแล้ววางลงบนโต๊ะทีละจาน เมื่ออาหารทุกจานวางอยู่บนโต๊ะแล้ว บริกรหญิงก็อ้าปากแล้วกล่าวขึ้นมา


“นี่คืออาหารจานเย็นหกอย่าง ทานให้อร่อยนะคะ” หลังจากกล่าวเช่นนั้น พวกเขาก็ค่อยๆเดินออกไปจากห้องไป พวกเขาไม่ได้รายงานชื่ออาหารเนื่องจากหยวนโจวไม่ใช่ลูกค้าและอันที่จริงก็เป็นแค่การแลกเปลี่ยนวิชาเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงข้ามขั้นตอนนี้ไป


“ขอบคุณครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วนั่งลง


“หัวหน้าเชฟหยวน ผมไม่รบกวนคุณชิมอาหารแล้วล่ะ ผมจะไปที่ครัวเพื่อเตรียมอาหารจานร้อนแล้วยกมาเสิร์ฟนะครับ” เฉาจื่อซูกล่าวขึ้น


“อืม ไม่ต้องปิดประตูหรอกครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วสั่ง


“ไม่มีปัญหาครับ” เฉาจื่อซูยิ้มกว้างและพยักหน้าแล้วเดินออกไป


ทันทีที่เขาเข้าห้องไปแล้ว หยวนโจวก็รู้ว่าหากประตูและม่านเปิดออก เขาก็จะเห็นสภาพภายในครัวได้ทันที


ด้วยสายตาอันเฉียบคมของเขา หยวนโจวจึงสามารถมองเห็นเครื่องใช้ในครัวที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบได้ง่ายๆและเตาแก๊สที่สะอาดราวกับเป็นของใหม่เอี่ยมอ่องในครัวรวมไปถึงเชฟที่ยุ่งง่วนอยู่ข้างใน


เนื่องจากหยวนโจวสามารถมองเห็นครัวได้อย่างชัดเจน ผู้คนในครัวเองก็สามารถมองเห็นหยวนโจวกินอาหารได้เช่นกัน แบบนี้พวกเขาก็จะสามารถเข้าใจกันและกันได้


และนี่ก็คือสาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เฉาจื่อซูเลือกห้องนี้


หยวนโจวยอมรับแผนผังนี้มากทีเดียว เขาเองก็รู้สึกได้ว่าเฉาจื่อซูเจ้าเล่ห์ไม่เบา


“เขาทั้งเจ้าเล่ห์และมีฝีมือจริงๆ ไม่สิ ฉันควรจะบอกว่าเขาฉลาดและเป็นหัวหน้าเชฟที่มีไหวพริบเชียวล่ะ” หยวนโจวมองเฉาจื่อซูเดินออกมาแล้วบ่นพึมพำอยู่ในใจ


แน่นอนว่าเฉาจื่อซูเองก็ค่อนข้างพึงพอใจมากทีเดียวที่หยวนโจวบอกให้เขาไม่ต้องปิดประตู


หัวหน้าเชฟหยวนผู้นี้ช่างเป็นคนเปิดเผยและตรงไปตรงมา เป็นคนดีคนหนึ่งทีเดียว! เฉาจื่อซูคิดในใจแล้วเดินเข้าครัวไป


หลังจากทุกคนออกไปหมดแล้ว หยวนโจวก็กันไปมองอาหารหลายๆจาน อาหารจานเย็นทั้งหกจานวางอยู่บนโต๊ะเป็นรูปกลีบดอกไม้


แต่ปริมาณในแต่ละจานน้อยมากเสียจนสามารถกินหมดได้ในสองคำ พวกมันดูงามวิจิตรทว่าก็มีปริมาณน้อยด้วย


รูปร่างและลักษณะภายนอกของแต่ละจานจะแตกต่างกันไปตามอาหารชนิดต่างๆในจาน


ยกตัวอย่างเช่นเต้าหู้แห้งผัดเห็ดป่า จานเป็นเพียงแค่รูปใบไม้สีเขียวมรกตที่เห็นเส้นใบได้อย่างชัดเจน


ในจานสีเขียวมรกต เต้าหู้แห้งหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าสีน้ำตาลและสีขาวเสิร์ฟพร้อมเห็ดสีน้ำตาลเข้มนิดหน่อยดูเหมือนจะช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้ดีทีเดียว


นอกเหนือไปจากนั้น ทุกจานยังมีน้อยมากอีกต่างหาก ด้วยปริมาณที่น้อยถึงเพียงนั้น พวกมันจึงสามารถกระตุ้นทั้งความอยากอาหารของเขาและช่วยให้เขาสามารถชิมอาหารจานถัดมาได้ นี่คือวิธีการกินอาหารจานเย็นที่ถูกต้อง


หยวนโจวไม่รั้งรออีกต่อไป เขาหยิบตะเกียบของตัวเองออกมาจากกระเป๋าด้านในแล้วเริ่มชิมไปทีละจาน


“ขอลองชิมเต้าหู้แห้งก่อนก็แล้วกันนะ” หยวนโจวกล่าวขึ้น


ข้อดีของตะเกียบไร้รสของเขาก็คือพวกเขาสามารถสกัดกั้นรสชาติอื่นที่ผสมปนเปกันได้แม้ว่าหยวนโจวจะเอื้อมไปกินอาหารอีกอย่างแล้วก็ตามที แต่นับเป็นข่าวดีสำหรับหยวนโจวผู้มีประสาทรับรสว่องไวเช่นนั้น


มิฉะนั้นก็คงลำบากกับการเปลี่ยนตะเกียบสำหรับอาหารต่างๆมากเหลือเกินทั้งยังอาจส่งผลต่ออรรถรสในการกินอีกด้วย


“อาหารเรียกน้ำย่อยต้องโดดเด่นเรื่องรสชาติที่ค่อนข้างเผ็ดชาและเปรี้ยว นอกเหนือไปจากนั้น รสเปรี้ยวดูเหมือนจะเป็นกรดผลไม้เหมือนๆกับรสชาติส่วนใหญ่ในใช้กันในมณฑลกุ้ยโจว” หยวนโจวค่อยๆชิมอย่างละเอียดถี่ถ้วน


หยวนโจวสามารถมองเห็นทั้งครัวได้อย่างชัดเจนแต่กลับไม่เห็นบริกรเลยสักคน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกประหลาดใจอย่างแท้จริงเมื่อมีคนยกอาหารจานร้อนเข้ามาในห้องทันทีที่เขากินอาหารจานเย็นหมด


ถึงอย่างไรหยวนโจวก็เพิ่งจะกินอาหารจานเย็นหมดตอนนั้นเอง อาหารจานร้อนก็ถูกยกมาเสิร์ฟแล้ว ช่างเลือกเวลาได้น่าประทับใจเอามากๆเลย


แน่นอนว่าคนที่ไม่สะทกสะท้านอะไรอย่างหยวนโจวก็เพียงแค่รักษาความสงบนิ่งของเขาไว้เท่านั้น เขาพยักหน้าด้วยความสุภาพแล้วมองไปที่อาหารจานใหม่


“นี่คือปานจื่อทอดกรองที่หัวหน้าเชฟของเราทำขึ้นเป็นพิเศษ ทานให้อร่อยนะครับ” บริกรบุ้ยใบ้ไปยังอาหารในมือของเขา จากนั้นเขาก็ค่อยๆออกไปจากห้องจนกระทั่งลับตาไปจนหยวนโจวมองไม่เห็น


หยวนโจวเลิกชะเง้อคอเพื่อค้นหาคนผู้นั้นว่าปรากฏตัวและหายตัวไปได้อย่างไรกัน


“จะเกี่ยวข้องกับโครงสร้างสถาปัตยกรรมหรือเปล่านะ?” หยวนโจวเอียงศีรษะนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่เห็นบริกรที่เพิ่งจะมาเสิร์ฟอาหารเมื่อสักครู่นี้เลย


“ความสามารถในการสังเกตเช่นนี้ช่างยอดเยี่ยมไปเลยจริงๆ” หยวนโจวหันกลับมาแล้วบ่นพึมพำอยู่ในใจ เขากินอาหารจานเย็นเกือบหมดแล้วตอนที่อาหารจานใหม่ถูกยกมาเสิร์ฟ


“ปานจื่อทอดกรอบงั้นรึ? นี่ไม่ใช่อาหารจานโปรดของจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ฉางไต้เฉียนผู้นั้นหรอกหรือ?” บังเอิญว่าหยวนโจวก็รู้จักอาหารจานนี้


เขารู้จักอาหารจานนี้ก็เพราะตูดไก่ย่างเห็ดเป็นอาหารที่สาบสาญไปที่เจ้าระบบตกรางวัลให้นั่นเอง


ตูดไก่ย่างเห็ดเป็นอาหารจานโปรดของฉางไต้เฉียน ดังนั้นหยวนโจวจึงศึกษาอัตชีวประวัติของเขามาอย่างละเอียดจึงได้รู้ว่าจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้เองก็ชอบกินเหมือนกัน


ยิ่งไปกว่านั้นยังกล่าวได้ว่าฝีมือการทำอาหารของฉางไต้เฉียนดีกว่าความสามารถในการเขียนภาพของเขาเสียอีก อย่างที่ทุกคนรู้ๆกันอยู่ ความสามารถในการเขียนภาพของฉางไต้เฉียนจัดว่าได้รับการยกย่องให้เป็นอันดับ 1 ในช่งระยะเวลา 500 ปีโดยสวีเปยหง เมื่อตอนที่เขากำลังท่องเที่ยวประเทศแถบตะวันตกเพื่อความบันเทิง เขาก็ได้รับการยกย่องให้เป็น “พู่กันแห่งตะวันออก”


นอกเหนือไปจากนั้นเขายังได้รับความนิยมพอๆกับปีกัสโซ่ พวกเขามีฉายาว่า “ฉางไต้เฉียนแห่งตะวันออกและปีกัสโซ่แห่งตะวันตก” ไม่ว่าผู้ใดก็คงจินตนาการถึงความสามารถอันโดดเด่นในการเขียนภาพของเขาได้


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังมีคนบอกว่าฝีมือในการทำอาหารของฉางไต้เฉียนก็สุดยอดมากเช่นกัน เขาไม่เพียงจะรู้วิธีกินแต่ยังรู้วิธีทำอีกต่างหาก


“อาหารจะมีรสชาติของจิตรกรฉางไต้เฉียนหรือเปล่านะ?” หยวนโจวตั้งหน้าตั้งตารอคอยอาหารจานนี้มาก เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเอื้อมไปที่ปานจื่อทอดกรอบ


[0] ปานจื่อ(扳指) เป็นแหวนหยกสวมนิ้วหัวแม่มือส่วนต้วนต๋า (短打) เป็นชุดเครื่องแต่งกายสมัยราชวงศ์ฮั่นที่สั้นและสวมใส่สบายชนิดหนึ่งที่เหมาะแก่การเคลื่อนไหวและการทำงาน


บทที่ 878 หยวนโจวผู้หนักแน่น

ความรู้เกี่ยวกับปานจื่อทอดกรอบของหยวนโจวส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เข้าค้นหามาได้และอัตชีวประวัติของฉางไต้เฉียนที่เจ้าระบบหามาให้


ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างแน่ใจเรื่องอาหารจานนี้มาก แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยลิ้มลองมาก่อนเลย


ปานจื่อทอดกรอบเป็นสีแดงอมทอง ทางด้านข้างมีผักกาดหอมสีเขียวสดวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบพร้อมซอสจิ้มถ้วยเล็กๆ


อาหารจานนี้สามารถกินได้ด้วยตะเกียบทันทีหรือจะห่ออยู่ในผักกาดหอมแล้วค่อยกินกับซอสจิ้มก็ได้


ที่จริงแล้วปานจื่อคือส่วนปลายของลำไส้หมู แน่นอนว่าหมูย่อมมีส่วนปลายลำไส้เพียงแห่งเดียว มันจะถูกตัดให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ถึงแม้จะนำไปทอดในน้ำมันก็ยังไม่แข็งเลย เมื่อคีบขึ้นมาอยู่ระหว่างตะเกียบก็จะรู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่มอยู่หน่อยๆ


“ดูเหมือนปานจื่อเลยแฮะ” หยวนโจวค่อยๆมองดูให้ละเอียดถี่ถ้วนแล้วกล่าวยืนยัน


จากนั้นเขาก็ยัดเข้าปากแล้วเริ่มเคี้ยวทันที


จริงๆแล้วส่วนปลายของลำไส้เป็นอาหารที่เคี้ยวยากชนิดหนึ่งแต่อาหารชนิดนี้กลับมีความแปลกอย่างหนึ่ง ทันทีที่เข้าปากไปแล้ว หยวนโจวก็จะสามารถรู้สึกได้ถึงพื้นผิวอันกรุบกรอบและส่วนปลายของไส้อ่อนที่อยู่ข้างใน


“กรุบ กรุบ” เมื่อเขากัดเข้าไปก็กลิ่นหอมประหลาดก็ระเบิดออกมาจากภายใน รสชาติช่างแตกต่างจากเนื้อหมูโดยสิ้นเชิง อันที่จริงแล้วมันเป็นรสชาติที่เหนือคำบรรยายอย่างหนึ่ง แต่ก็ยังดึงดูดให้เขาเคี้ยวมันต่อไปได้


ส่วนปลายของลำไส้สุกเกินไปและรสชาติก็ค่อนข้างอ่อนเพราะถูกนึ่งเอาไว้ล่วงหน้า ผนวกกับพื้นผิวสีน้ำตาลกรุบกรอบจึงให้รสชาติที่ดี


หยวนโจวกลืนปานจื่อทอดกรอบลงไปคำหนึ่งแล้วดื่มน้ำอุ่นไปสามอึกจิดๆกันเพื่อล้างปาก


จากนั้นเขาก็หยิบปานจื่อทอดกรอบอีกชิ้นขึ้นมา คราวนี้เขาจิ้มส่วนปลายของลำไส้ลงในซอสจิ้มก่อนที่อยู่ทางด้านข้างก่อนแล้วค่อยหยิบผักกาดหอมขึ้นมาห่อ


หลังจากนั้นหยวนโจวก็พับผักกาดหอมให้เป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดเล็กด้วยตะเกียบแล้วยัดเข้าปาก เขาใช้ตะเกียบมาโดยตลอดและไม่ได้ใช้มือเลยสักนิด


คราวนี้ดูเหมือนว่าจะมีรสชาติที่แตกต่างกันมากยิ่งขึ้นในปานจื่อทอดกรอบ อย่างแรกคือความสดใหม่ของผักกาดหอม ต่อมาคือความกรุบกรอบของพื้นผิวสีน้ำตาลแล้วก็รสหวานและรสเปรี้ยวของซอสจิ้มและสุดท้ายก็คือกลิ่นหอมประหลาดของด้านในส่วนปลายของลำไส้


“หอม กรุบกรอบ เกรียม นุ่มและอร่อย” หยวนโจวค่อยๆลิ้มรสให้ละเอียดถี่ถ้วน “อาหารจานนี้นับว่าเป็นอาหารชั้นยอดเชียวล่ะ”


หยวนโจวมักจะแสดงความคิดเห็นกับอาหารด้วยวิธีการให้คะแนนระหว่าง 1-10 และอีกหลายๆระดับคือสูง กลางและต่ำ ทั้งนี้เขาได้มอบความคิดเห็นในแง่ดีแก่อาหารจานนี้ด้วย เฉาจื่อซูช่างเป็นเชฟที่มีความสามารถอย่างแท้จริง


ในสายตาของหยวนโจว ปานจื่อทอดกรอบจานนี้ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องสงสัยเลย มันผสมผสานทุกรสชาติเข้าด้วยกันได้ดีเชียวล่ะ


มีปานจื่อทอดหรอบอยู่ทั้งหมดห้าชิ้นกับผักกาดหอม อาหารงามประณีตแต่กลับถูกเสิร์ฟด้วยปริมาณน้อยนิด เหมือนกับอาหารฝรั่งเศสที่หยวนโจวเคยกินมาแล้วครั้งหนึ่ง ในตอนนี้เขากินไปทีละคำอย่างมีความสุขเหลือเกิน


ดังนั้นอาหารจานนี้จึงหมดลงในไม่ช้า ในตอนนี้ บริกรชายที่ปรากฏตัวขึ้นและหายตัวไปอย่างลึกลับก็ยกอาหารจานใหม่ขึ้นมาเสิร์ฟอีกครั้ง


หยวนโจวแสดงความคิดเห็นต่ออาหารอย่างเอาจริงเอาจังอยู่ในใจเช่นเคย อาหารที่ตามมาติดๆกันสองจานต่างมีการออกแบบที่งามประณีตแต่กลับมีปริมาณเพียงน้อยนิดเท่านั้น


ตราบเท่าที่หยวนโจวสามารถกินได้อีก อาหารก็จะถูกทำขึ้นง่ายๆแต่อร่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกเหนือไปจากนั้น หยวนโจวก็คุ้นเคยกับตารางเวลาของบริกรชายแล้ว


เอาง่ายๆเลยนะแค่ฝีเท้าก็สามารถรับรองได้แล้วว่าหยวนโจวกินอาหารจานที่แล้วจนเกลี้ยงแล้วดื่มน้ำไปอึกหนึ่งก่อนที่อาหารจานใหม่จะถูกยกมาเสิร์ฟเสียอีก ทุกอย่างเป็นที่น่าพึงพอใจยกเว้นข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆบางอย่างในอาหารจานรอง


ในขณะที่หยวนโจวกำลังกินอย่างมีความสุขอยู่ในห้องโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนอยู่นั้น เฉาจื่อซูที่กำลังเฝ้าสังเกตเขาในครัวก็รู้สึกผิดหวัง


“ถึงแม้ว่าเขาจะอายุน้อยอยู่เลย แต่หัวหน้าเชฟหยวนดูเหมือนจะค่อนข้างหนักแน่นมากทีเดียว ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้เขาไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมาเลย” เฉาจื่อซูลูบศีรษะล้านเลี่ยนของเขาเองด้วยความสับสน


จะว่าไปแล้วเฉาจื่อซูก็ไม่รู้หรอกว่าหยวนโจวหาได้หนักแน่นอะไรเลย แต่มันเป็นผลมาจากการแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจของเขาล้วนๆ


“หัวหน้าเชฟครับ”


ขณะที่เฉาจื่อซูยังคาดเดาต่อไปอยู่นั้น จ้าวน้อยก็เข้ามาใกล้ๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็อ้าปากขึ้นมาทันที


จ้าวน้อยเคยเป็นผู้ช่วยเชฟโรงแรมระดับสามดาวที่หยวนโจวทำงานมาก่อน แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ว่าหยวนโจวคือผู้ที่จะมาแลกเปลี่ยนวิชาในวันนี้


เขารอคอยอยู่ทางด้านข้างอย่างรำคาญใจเพื่อดูว่าหยวนโจวผู้นี้จะใช่คนที่เขารู้จักจริงๆหรือเปล่า


แม้ว่าเขาจะเคยเห็นรายงานและภาพถ่ายของหยวนโจวมาแล้วก็ตามที แต่เขาก้ยังไม่อยากจะเชื่อเลย


ในความรู้สึกของเขา หยวนโจวไม่นับเป็นอะไรได้เลยนอกจากลูกมือในครัวของโรงแรม จู่ๆเขาจะมีความสามารถและมีชื่อเสียงในวงการทำอาหารไปได้อย่างไรกันเล่า?


แม้ว่าเขาจะก้าวหน้าได้ราวกับจรวด แต่ก็ไม่อาจรวดเร็วได้ขนาดนั้นหรอก


เนื่องจากวันนี้เฉาจื่อซูเตรียมอาหารด้วยตัวเอง จ้าวน้อยจึงต้องอยู่ในครัวเพื่อช่วยและศึกษางานไปด้วย ดังนั้นจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของหยวนโจวเลย


“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ? ไฟเรียบร้อยดีใช่ไหม?” เฉาจื่อซูถามขึ้น


“รุ่นพี่กำลังดูไฟให้อยู่ครับ” จ้าวน้อยตอบอย่างนอบน้อม


“อืม งั้นนายมาทำอะไรที่นี่เล่า?” เฉาจื่อซูถามอีกครั้ง


“อาจารย์ครับ ผมไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องดีที่ปล่อยให้บริกรไปเสิร์ฟอาหาร อีกทั้งผมยังอายุน้อยและไม่สะดุดตาเลยอยากจะขอถามความเห็นของหัวหน้าเชฟหยวนตอนที่ผมยกอาหารไปเสิร์ฟน่ะครับ” จ้าวน้อยกล่าวอย่างกระตือรือร้นและสวยงาม


เขาวางบันไดเอาไว้ตรงเท้าของเฉาจื่อซูด้วยการพูดเช่นนั้นและยังให้เหตุผลที่เพียงพอที่จะทำเช่นนั้นอีกด้วย


จ้าวน้อยพูดถูก เชฟที่มีชื่อเสียงอย่างเฉาจื่อซูไม่น่าจะเข้าไปถามหยวนโจวเรื่องความเห็นหรือสังเกตสีหน้าของเขาอย่างใกล้ชิดหรอก นั่นออกจะเป็นการลดเกรดตัวเขาเองไปเสียสิ้น


แน่นอนว่าเฉาจื่อซูย่อมไม่ทำเรื่องน่าอับอายพรรค์นั้นหรอก แต่ก็อยากจะทราบความเห็นของหยวนโจวเช่นกัน


“เอาล่ะ นายไปเสิร์ฟปลาต้มเผ็ดเถอะ” เฉาจื่อซูชี้ไปทางอาหารที่เพิ่งจะปรุงเสร็จใหม่ๆแล้วกล่าวขึ้นโดยไม่ลังเล


“วางใจได้เลยครับอาจารย์ จ้าวน้อยกล่าวอย่างแยบยล


ในขณะที่กำลังยกปลาต้มเผ็ดที่เพิ่งจะปรุงเสร็จใหม่ๆ จ้าวน้อยก็เดินไปทางห้องเขาหลงเหมินอย่างไม่รีบร้อน


“ให้ผมทำเองเถอะครับ เชฟจ้าว” บริกรชายที่เพิ่งจะยกอาหารไปร์ฟเมื่อสักครู่รีบเดินเข้าไปหาแล้วบอกกับเขา


“ไม่ต้องหรอก ผมจะยกไปเสิร์ฟเขาเอง” เจ้าน้อยกล่าวอย่างจริงจัง


“ก็ได้ครับ” บริกรชายถอยกลับไปทีหนึ่งอย่างนอบน้อม


จากนั้นจ้าวน้อยก็ยกปลาต้มเผ็ดเข้าไปในห้องเขาหลงเหมินที่หยวนโจวอยู่


“นี่คือปลาต้มเผ็ดอาหารจานเด็ดของโรงแรมเรา ทานให้อร่อยนะครับ” จ้าวน้อยก้มหน้าแล้วยกอาหารขึ้นมาเสิร์ฟอย่างเอาจริงเอาจังทันทีที่เขามาในห้อง


ตลกน่า! จ้าวน้อยไม่กล้าทำให้อาหารจานเด็ดของเฉาจื่อซูมีปัญหาเพราะความอิจฉาริษยาของเขาหรอกน่า ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือแนะนำอาหารแล้ววางลงบนโต๊ะเสียก่อน


“ขอบคุณครับ” หยวนโจวเช็ดปากแล้วกล่าวโดยไม่รู้ตัว


ทุกครั้งที่มีอาหารยกมาเสิร์ฟ หยวนโจวก็จะกล่าวขอบคุณบริกรซึ่งหยวนโจวเคยชินเสียแล้ว และแน่นอนว่าเขายังคุ้นเคยกับบริกรที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันแล้วด้วย


หลังจากหยวนโจวกล่าวขอบคุณแล้ว จ้าวน้อยก็วางปลาต้มเผ็ดลงมา จากนั้นเขาค่อยเงยหน้าขึ้น


หยวนโจวที่อยู่ตรงหน้าเขาแต่งกายในชุดจีนฮั่นและนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เนื้อแข็งที่สลักเสลาอย่างประณีตด้วยหลังที่เหยียดตรงและท่านั่งตัวตรงและมั่นคง เขามีไว้ผมสั้น ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยการเตรียมพร้อมและรูปร่างที่ไม่ได้ผอมหนังหุ้มกระดูก


โดยรวมแล้ว คนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีความมุ่งมั่นเท่านั้นแต่ยังหล่อเหลาอีกต่างหาก


แต่เมื่อตัดสินจากรูปร่างหน้าตาแล้ว เขาก็คือหยวนโจวที่จ้าวน้อยรู้จักจริงๆเสียด้วย เมื่อตอนที่พวกเขาเคยทำงานด้วยกันมาก่อน หยวนโจวเป็นแค่ลูกมือในครัวของโรงแรมระดับสามดาวเท่านั้น


“หยวนโจวงั้นรึ?” หยวนโจวกล่าวออกมาโดยไม่รู้ตัว


เมื่อหยวนโจวได้ยินว่ามีคนเรียกเขาอยู่ เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาเช่นกัน


เขาจำจ้าวน้อยผู้นี้ไม่ได้ในทันที ถึงอย่างไรในครัวก็มีคนตั้งเยอะตั้งแยะแถมผู้ช่วยเชฟคนนี้ก็แทบไม่เคยพูดคุยกับเขาเสียด้วยซ้ำไป อันที่จริงแล้วหยวนโจวสนิทกับตุ้นจื่อมากกว่าเขาเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ลาออกมากว่าปีแล้วจึงทำให้หยวนโจวจำเขาไม่ได้ในทันที


“ฉันเองไง จ้าวซิน ผู้ช่วยเชฟของโรงแรม” จ้าวน้อยเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเดือดดาลแล้วกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง


“โอ้ คุณนั่นเอง ผู้ช่วยเชฟจ้าว คุณเปลี่ยนงานนี่เอง” หยวนโจวทักทายเขาอย่างสุภาพ


“ผมอยู่ร้านซูมาสองปีแล้ว หยวนน้อยผมรู้มาว่าตอนนี้คุณเองก็เป็นเชฟแล้วนี่” จ้าวน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยากจะเข้าใจได้


“มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นน่ะสิครับ ดังนั้น…” จู่ๆหยวนโจวก็นึกถึงเจ้าระบบขึ้นมา


หลังจากกล่าวเช่นนั้นออกมา ทั้งสองคนต่างตกอยู่ในความเงียบ หยวนโจวไม่รู้จักจ้าวน้อยส่วนจ้าวน้อยก็ไม่อยากพูดอะไรอีก


ถึงอย่างไรบทบาทก่อนหน้านี้ของพวกเขาก็สับเปลี่ยนกันแล้วยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงมากเสียจนตอนนี้พวกเขาหาได้อยู่ในขั้นเดียวกันอีกแล้ว พูดก็พูดเถอะนะ พวกเขาอยู่คนละโลกกันไปเสียแล้วล่ะ


“แม่งเอ๊ย!” นั่นก็คือความรู้สึกของจ้าวน้อยในตอนนี้


บทที่ 879 ความลับของปลาต้มเผ็ด

เฉาจื่อซูค่อนข้างมีความมั่นใจในอาหารที่เขาทำมากทีเดียว แต่ความมั่นใจและความอยากรู้ความคิดเห็นของผู้อื่นเป็นคนละเรื่องกันเลย ดังนั้นเขาจึงคอยจับตาดูนับตั้งแต่จ้าวน้อยยกปลาต้มเผ็ดไปเสิร์ฟ


เมื่อเขาได้ยินการผลัดกันทักทายของจ้าวน้อยกับหยวนโจว ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทั้งสองคนรู้จักกัน


การสนทนาระหว่างหยวนโจวกับจ้าวน้อยค่อยๆจบลงด้วยความอึดอัด โดยที่ความอึดอัดคงอยู่สักพักก่อนที่จ้าวน้อยจะพูดทำลายความเงียบลง


เขากล่าวว่า “ปลาต้มเผ็ดเป็นอาหารตำหรับเสฉวนที่มีชื่อเสียงมาก ทั้งยังเป็นอาหารจานเด็ดของร้านซูเราอีกต่างหาก ปลาต้มเผ็ดทั่วๆไปจะมีแค่สี่รสคือเผ็ด ร้อน นุ่มและลื่นขณะที่ของเราจะมีถึงห้ารส ลองชิมดูซิว่านายสามารถบอกอะไรได้บ้าง”


ในใจของเขาแล้ว จ้าวน้อยเองก็ไม่อยากยอมรับว่าตอนนี้หยวนโจวอยู่ในขั้นเดียวกับอาจารย์ของเขาแล้วซึ่งอาจจะตัดสินได้จากวิธีการที่เขาใช้พูดกับหยวนโจว ไม่มีความเคารพนับถือในน้ำเสียงของเขาเลยสักนิดเดียว มันเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างคนที่อยู่ในขั้นเดียวกันทั้งสองคนเท่านั้น


แน่นอนว่ารสชาติเผ็ดร้อนย่อมหมายถึงรสชาติของปลาต้มเผ็ดส่วนรสชาตินุ่มลื่นย่อมหมายถึงตัวปลาอยู่แล้ว ปลาต้มเผ็ดจะรสชาติไม่เลวเลยตราบใดที่ยังมีรสชาติทั้งนี้อย่างนี้อยู่ หยวนโจวเองก็มีอาหารท้องถิ่นเฉิงตูตำหรับเสฉวนที่รู้จักกันอีกชื่อว่าซ่างเหอปัง และปลาต้มเผ็ดก็เป็นเซี่ยเหอปังที่รู้จักกันในฐานที่เป็นอาหารท้องถิ่นฉงชิ่งตำหรับเสฉวน


ถ้าให้พูดกันจริงๆ เจ้าระบบยังไม่เคยตกรางวัลให้หยวนโจวด้วยอาหารจานนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำไป แต่ด้วยฝีมือของหยวนโจวในตอนนี้ เขาเองก็สามารถทำได้เช่นกัน หยวนโจวไม่จำเป็นต้องชิมรสชาติเพื่อรับรู้รสชาติของปลาต้มเผ็ดก็ได้


“อาหารจานเด็ดต้องค่อยๆละเลียดชิมสิ” หยวนโจวกล่าวอย่างสุภาพ


จากนั้นเขาก็หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกิน เขาคิดอยู่เสมอว่าที่เขามาที่นี่ในวันนี้สำหรับการแลกเปลี่ยนเพื่อมิตรภาพมากกว่าจะมาประชันขันแข่งกันใคร


ปลาต้มเผ็ดในสายตาของเขาถูกเสิร์ฟอยู่ในจานสีน้ำตาลอมเหลืองรูปตะกร้าใส่ปลา บริเวณพื้นผิวก้นจานให้ความรู้สึกราวกับเครื่องหวาย ส่วนขอบจานค่อนข้างแคบกว่า มีน้ำมันพริกใสแจ๋วอยู่ชั้นหนึ่งบนน้ำซุปในขณะที่เนื้อปลาสไลซ์สีขาวนุ่มกำลังโผล่ขึ้นๆลงๆ


นอกจากนี้ยังมีต้นหอมซอยขนาดเท่าๆกันลอยอยู่บริเวณผิวหน้าอีกด้วย โดยมีสีแดง ขาวและเขียวผสมผสานเข้าด้วยกัน นอกเหนือไปจากสีสันอันสดใสแล้วก็ยังระเบิดกลิ่นเผ็ดพุ่งเข้าจมูกซึ่งช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้เป็นอย่างยิ่ง


“เนื้อปลาสไลซ์ 300 กรัม” หยวนโจวเอาตะเกียบคนเบาๆแล้วกล่าวออกมาตามตรง


“อันที่จริงตามที่อาจารย์บอกมา การกระจายความร้อนยากที่จะทั่วถึงกันได้หากมีเนื้อปลาเกินกว่า 6 ชิ้นน่ะ” จ้าวน้อยพยักหน้าแล้วกล่าวอยู่ทางด้านข้าง


“อืม” หยวนโจวพยักหน้าแล้วคีบเนื้อปลาขึ้นมาแล้วเริ่มกินโดยไม่ได้พูดอะไรอีก


ทันทีที่เนื้อปลาสไลซ์เข้าสู่ปากของเขาก็ระเบิดรสเผ็ดรุนแรงอันท่วมท้นพุ่งเข้าสู่ลำคอของเขาทันที รสเผ็ดช่วยเสริมรสชาติร้อนแรงของเนื้อปลาสไลซ์ซึ่งทำให้ผู้คนอยากอ้าปากแล้วระบายลมหายใจออกมา แต่แทนที่จะทำเช่นนั้นหยวนโจวกลับเริ่มเคี้ยว


เขากินเข้าไปทีละคำๆ เนื้อปลาสไลซ์ปกคลุมไปด้วยชั้นเนื้อสัมผัสเรียบลื่นที่ให้รสชาติเหมือนไข่ขาวอย่างเห็นได้ชัด ถึงอย่างนั้นเฉาจื่อซูก็เป็นเชฟที่มีชื่อเสียงมากจึงสามารถกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกไปได้


ทำให้ไม่มีกลิ่นคาวหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ของไข่แต่อย่างใด


เนื้อปลาอันอ่อนนุ่มโผล่ออกมาทันทีที่เนื้อสัมผัสเรียบลื่นถูกกัดออก เนื้อปลาที่อยู่ด้านในมีรูปร่างเป็นกลีบกระเทียมทว่ากลับบรรจุกลิ่นหอมของเนื้อปลาเอาไว้ แต่ทันใดนั้นเอง อีกรสชาติที่ชัดเจนก็ทำให้ลิ้นของหยวนโจวรู้สึกชาไปในทันที


นั่นเป็นรสชาติที่ทำให้รู้สึกชา อันที่จริงแล้วความรู้สึกชาแบบนี้มาจากพริกเขียวมากกว่าจะเป็นพริกแดง อันเป็นรสชาติที่ทำให้รู้สึกชาด้วยการระเบิดกลิ่นหอมอร่อยจนยึดครองประสาทรับรสขั้นสูงสุดของเขาได้


“ซู้ด ซู้ด” หยวนโจวเคี้ยวคำเล็กๆแล้วกลืนลงไปทันที ในตอนนั้นเอง รสชาติเผ็ดร้อนเริ่มลดน้อยถอยลงและค่อยๆถูกแทนที่ด้วยรสหวานที่ระเบิดออกมา


ช่างเป็นรสหวานที่แปลกประหลาดยิ่ง อันช่วยปลอบประโลมช่องปากที่ต้องเผชิญกับพายุโหมกระหน่ำและทำให้เขารู้สึกสบายราวกับหญิงสาวผู้แสนอ่อนโยน จากนั้นเขาก็เริ่มตั้งหน้าตั้งตารอคอยเนื้อปลาคำต่อไป


รสชาติเหล่านี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับขั้นบันไดที่แตกต่างกันเมื่อยามที่จะขึ้นชั้นบน


“นายรู้สึกยังไงบ้างล่ะ? พอจะจะแยกรสชาติที่ห้าออกไหมเล่า หยวนโจว?” จ้าวน้อยลังเลอยู่สักครู่และไม่เรียกหัวหน้าเชฟหยวนโจวเสียด้วยซ้ำไป ถึงอย่างไรเขาก็รู้สึกฝืนใจที่ต้องเรียกหยวนโจวด้วยตำแหน่งนั้น


แน่นอนว่ารสชาติที่ห้าย่อมต้องเป็นรสหวานอยู่แล้วล่ะ รสชาติเผ็ดร้อนของอาหารตำหรับเสฉวนมีอยู่สองแบบ พวกมันก็คือรสชาติเผ็ดและชาจากเซียวเหอปังซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองเหยียนเฉิงในขณะที่รสชาติเผ็ดร้อนที่มาจากเซี่ยเหอปังจะเป็นรสเผ็ดที่มาก่อน ปลาต้มเผ็ดก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น มันทั้งเผ็ดและชา สิ่งที่สุดยอดไปเลยก็คือมีรสหวานที่น้อยจนแทบไม่เป็นที่สังเกตเสียยิ่งกว่ารสเผ็ดเมื่อผู้คนนึกถึงรสชาติขึ้นมาได้


“เยี่ยมมากเชียวล่ะ สัดส่วนของเกลือเหมาะเจาะทีเดียว” หยวนโจววางตะเกียบลงแล้วแสดงความคิดเห็น


รสหวานของปลาต้มเผ็ดหรือก็คือรสชาติที่ห้าถูกผสมให้เข้ากับเกลือจริงๆทำให้ความคิดเห็นของหยวนโจวค่อนข้างตรงประเด็นเลยทีเดียว แต่เนื่องจากความประทับใจแรกที่มีต่อหยวนโจวของเขาทำให้จ้าวน้อยไม่ได้นึกถึงรายละเอียดเลยสักนิด เขาเอาแต่หัวเราะเยาะใส่หยวนโจวอยู่ในใจว่าไม่สามารถบอกรสชาตินอกเหนือไปจากนี้ได้แถมยังให้คำตอบที่ไม่เกี่ยวข้องอีกต่างหาก


เนื่องจากเป็นพนักงานเสิร์ฟ จ้าวน้อยจึงไม่สามารถอยู่ได้นานนัก หลังจากพวกเขาพูดคุยกันอีกไม่กี่คำด้วยความกระอักกระอ่วนใจ เขาก็ออกจากห้องไป


อันที่จริงแล้วยังมีคำหนึ่งที่หยวนโจวไม่ได้บอกไป จะว่าไปแล้วปลาต้มเผ็ดยังมีรสชาติที่ 6 อยู่ด้วย แต่เนื่องจากวันนี้เขามาที่นี่สำหรับการแลกเปลี่ยนเพื่อมิตรภาพ เขาจึงไม่ได้เตรียมที่จะมาหาข้อบกพร่องแต่อย่างใด


หลังจากเขากลับไปที่ครัวแล้ว จ้าวน้อยก็ถ่ายทอดความคิดเห็นของหยวนโจวให้เฉาจื่อซูฟังโดยไม่มีบิดเบือนสักคำแล้วกล่าวเสริมขึ้นมาว่า “หัวหน้าคิดว่ายังไงครับ?”


จ้าวน้อยเตรียมที่จะบอกเฉาจื่อซูว่าหยวนโจวไม่สามารถบอกรสชาติที่ห้าได้เลยแม้แต่น้อย ทว่าเขายังไม่ทันพูดให้จบคำก็ถูกเฉาจื่อซูขัดพูดขัดจังหวะขึ้นมา


“เถ้าแก่หยวนมีประสาทรับรสที่ว่องไวทีเดียว เขาพูดได้ถูกต้องเลยล่ะ” เฉาจื่อซูถอนหายใจแล้วกล่าวขึ้น


“อาจารย์ครับ?” จ้าวน้อยแสดงท่าทีสับสนออกมา


“นายมาทีหลังก็เป็นเรื่องธรรมดาแหละนะที่จะไม่รู้ รสชาติที่ห้าขึ้นอยู่กับการควบคุมปริมาณของเกลือที่เหมาะสม” เฉาจื่อซูต้องใช้ความอดทนนิดหน่อยกับจ้าวน้อยที่มีท่าทีสาแก่ใจจึงค่อยๆกล่าวขึ้นมา


เมื่อเห็นท่าทางสับสนบนใบหน้าของจ้าวน้อยแล้ว เฉาจื่อซูก็เตือนขึ้นมาว่า “ถ้าหากพวกเราใส่เกลือมากเกินไป แล้วพวกเราจะแก้รสเค็มได้ยังไง?”


“แน่นอนว่าย่อมแก้ได้ด้วยน้ำตาลอยู่แล้วล่ะครับ” จ้าวน้อยตอบโดยไม่แม้แต่จะคิด


ถูกต้อง ถ้าหากเติมเกลือเยอะเกินไป น้ำตาลก็จะช่วยลดรสชาติเค็มลงได้ จ้าวน้อยมั่นใจในเรื่องนั้นมากทีเดียว


“ทั้งสองรสชาติของเกลือและน้ำตาลมีปฏิกิริยาต่อกันและทำลายกันเอง ฉะนั้นพวกเราย่อมไม่เติมน้ำตาลลงในปลาต้มเผ็ดโดยตรง ในขั้นตอนต่อมาของการทำอาหาร พวกเราสามารถเติมเกลือในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อผสมให้เข้ากับรสหวานได้” เฉาจื่อซูถอดหมวกเชฟของตัวเองออกแล้วลูบศีรษะล้านเลี่ยนพลางพูดออกมาเช่นนั้น


“รสหวานที่คุณเอ่ยถึงมาจากพริกดองสินะครับ?” จ้าวน้อยเองก็เป็นคนที่ค่อนข้างมีพรสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงคาดเดาได้อย่างแน่ชัด


แม้ว่าจะยังไม่ได้เริ่มศึกษาอาหารจานเด็ดของร้านซู ทว่างานประจำในครัวก็ทำให้เขามีความคิดบางอย่างขึ้นมา แต่มันก็เป็นความคิดที่แน่ชัดทีเดียว อย่างไรเสียก็ไม่มีใครสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างพริกฝักชั้นยอดกับรสหวานได้เลย


“ใช่ นั่นแหละ นายเองก็ทำได้ดีนี่นา” เฉาจื่อซูพยักหน้าพลางอมยิ้มแล้วชื่นชมเขา


“ก็คุณสอนมาดีนี่ครับ ส่วนผมเองก็ตรวจสอบวัตถุดิบพวกนี้อยู่ทุกวี่ทุกวัน” จ้าวน้อยกล่าวขึ้นมาก่อนอย่างนอบน้อมแล้วค่อยเอ่ยถึงความพยายามของตนเอง


“เชฟไม่สามารถทำอาหารอร่อยๆขึ้นมาได้หรอกเว้นแต่ว่าพวกเขาจะคุ้นเคยกับวัตถุดิบของตัวเองเป็นอย่างดี” เฉาจื่อซูพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ


“ครับ” จ้าวน้อยก้มหน้าแล้วตั้งใจฟังคำสั่งสอนของเฉาจื่อซู


ทุกวันในร้านซูจะต้องตระเตรียมพริกดองจำนวนหนึ่ง แต่พริกดองที่นี่ต่างไปจากพริกดองจากที่อื่น


นอกเหนือไปจากพริกที่ฝักชั้นยอดแล้ว พวกเขายังเติมน้ำตาลทรายชนิดที่ไม่ผ่านการฟอกสีลงไปเมื่อตอนที่ดองพริกอยู่ทุกวันด้วย โดยเฉพาะอัตราส่วนที่เหมาะสมจะนำมาซึ่งรสหวานบางส่วนแก่พริกฝักและรสหวานที่ซึมซาบเข้าไปในเนื้อปลา


จ้าวน้อยเองก็เคยเติมน้ำตาลทรายที่ไม่ผ่านการฟอกสีเช่นกัน เนื่องจากปริมาณที่มากกว่าน้ำตาลทรายที่ผ่านการฟอกสีและลักษณะภายนอกที่แตกต่างกัน จ้าวน้อยจึงสามารถจดจำได้อย่างชัดเจน อาหารจานเด็ดของร้านซูสามารถปรุงขึ้นได้ด้วยวิธีการของพวกเขาเองเท่านั้น


เฉาจื่อซูจึงสรุปว่า “การใส่เกลือมากๆจะไม่ทำให้รสชาติเค็ม แต่รสชาติที่ห้ากลับจะหายไป แต่หากน้อยกว่านี้ อาหารก็ย่อมจะไม่มีรสเค็มและไม่อาจผสมเข้ากับรสหวานได้ซึ่งจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดรสชาติแปลกๆของทั้งรสหวานและรสเค็ม การควบคุมปริมาณของเกลือให้เหมาะสมจึงต้องใช้ทักษะบางอย่าง ดังนั้นเถ้าแก่หยวนจึงพูดได้ถูกต้อง”


จ้าวน้อยพยักหน้าเพื่อบอกว่าเขาเข้าใจเรื่องนั้นแล้ว ปลาต้มเผ็ดของร้านซูเข้าใจยากจริงๆ แต่หยวนโจวสามารถจับใจความสำคัญได้อย่างรวดเร็วจริงๆงั้นหรือ?


“อีกอย่างหนึ่ง นายรู้จักหัวหน้าเชฟหยวนได้ยังไงกัน?” เฉาจื่อซูถามอย่างไม่ใส่ใจนัก


“พวกเราเคยทำงานอยู่ในโรงแรมมาก่อนน่ะครับ” จ้าวน้อยก้มหน้าและชะงักไปสักครู่แล้วค่อยกล่าวขึ้นมา


“ไม่แปลกใจเลยที่นายมีพื้นฐานทักษะการทำอาหารที่ดีเมื่อตอนที่นายมาแสดงความขอบคุณผมอย่างเป็นทางการในฐานที่เป็นอาจารย์ นายต้องเรียนรู้จากหัวหน้าเชฟหยวนให้มากๆเข้าไว้นะ” เฉาจื่อซูกล่าวขึ้นมา


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)