องครักษ์เสื้อแพร 875-877

 ตอนที่ 875 เพียงปีหนึ่ง ทุกอย่างเปลี่ยนไป

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขบวนหวังทงออกเดินทางไปเมืองกุยฮว่าเฉิง ตั้งแต่หวังทงไปถึงพลทหาร ทุกคนล้วนราวกับกำลังท่องเที่ยว คุ้นเคยเส้นทางแห่งชัยชนะนี้อย่างยิ่ง


ทว่าอย่างไรก็ผ่านไปปีหนึ่งแล้ว ความคุ้นเคยก็มีความไม่คุ้นเคยอยู่ แม้ว่าใกล้ปีใหม่ แต่พอออกจากช่องเขาสังหารพยัคฆ์ กลับไม่ได้เงียบเหงาแม้แต่น้อย ตลอดเส้นทางมาคึกคัก มีทั้งคนและรถม้าไปมาขวักไขว่


หม่าต้งเป็นผู้บัญชาการทหารที่เมืองต้าถง ให้การต้อนรับหวังทงหลายวันก่อนส่งทหารตามมายังเมืองกุยฮว่าเฉิง  คนที่ส่งมาเป็นหม่าหย่งที่ปีก่อนติดตามหวังทงไปตีเมืองกุยฮว่าเฉิง คุ้นเคยกันยิ่ง เขาตอนนี้เป็นรองขุนพลฝ่ายซ้ายเมืองต้าถง ย่อมเข้าใจที่ทางแถบนี้มาก


“ท่านโหว ตอนนี้เมืองกุยฮว่าเฉิงสงบ เมืองกุยฮว่าเฉิงถึงช่องเขาสังหารพยัคฆ์มีโรงบ้านใหญ่ 10 กว่าแห่งแล้ว เปิดเส้นทางน้ำแล้ว เก็บเกี่ยวย่อมได้ผลไม่เลว ตอนนี้ที่ท่านโหวเห็นอยู่แท้จริงแล้วเพราะว่าปีใหม่จึงได้เงียบเหงา รอให้พ้นวันที่ 15 เดือนหนึ่ง คนก็มากเหมือนเดิม!”


หลังออกจากช่องเขาสังหารพยัคฆ์มาก็สามารถเห็นเส้นทางได้ชัดเจน คิดว่าคงมีคนเดินผ่านมาก บนพื้นยังปรากฏร่องรอยอยู่ ปีก่อนตอนนี้ที่รถใหญ่กับกองทัพมายังทุ่งหญ้านอกด่าน ก็แค่พอมองออกว่าเส้นทาง พื้นที่เท้าเดินย่ำไปยังมีหญ้ารกร้างและกองดินแฉะให้เห็นอยู่


เดินทางมาระยะทางหนึ่งวัน เดินทางจนฟ้ามืดก็จะมีเผ่ามองโกลมาต้อนรับทำการค้าด้วย แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิม พอฟ้ามืด ก็จะเห็นหมู่บ้านขนาดใหญ่พอควร หมู่บ้านนี้อยู่บนสองฝั่งเส้นทาง เปิดเป็นร้านพักจอดรถง่ายๆ


“ปีก่อนท่านโหวนำพวกเราบุกมา จากนั้นคนไม่น้อยก็เริ่มมาบุกเบิก ฝ่าบาททรงพระเมตตา ยกเว้นภาษีให้หลายปี ปีนี้ชาวบ้านพวกนี้แม้ว่าจะมาที่นี่เพาะปลูกได้แค่ฤดูกาลหน้า แต่ผลเก็บเกี่ยวเป็นของตนเองหมด ก็พอกิน”


หวังทงสุขภาพฟื้นคืนเร็ว ทำให้คนติดตามมาด้วยครั้งนี้พากันแปลกใจ หลังผ่านช่องเขาสังหารพยัคฆ์ หวังทงก็เริ่มฝึกกำลังบนหลังม้า  ไม่ต่างอันใดกับสภาพร่างกายก่อนที่เคยเป็นมา


ตอนเหนือของเมืองต้าถง รอบเมืองกุยฮว่าเฉิง เดิมที่เคยเป็นศูนย์กลางเผ่าอันต๋า หวังทงนำกำลังยึดครองมาได้ หวังทงจึงรู้สึกสนใจที่นี่มาก  หม่าหย่งเข้าใจดี จึงได้จงใจคุยเรื่องนี้


“หลายวันก่อนทางเหอหนานมีอ๋องโจวและอ๋องอีส่งคนคนมา ต้องการให้มณฑลซานซีกับเมืองต้าถงตรวจสอบด่านให้เคร่งครัด หากเป็นพวกมาจากเหอหนาน หากเป็นคนงานจวนอ๋องให้ส่งตัวกลับไป ใครจะไปสนใจพวกเขา คนมากมายเช่นนั้น พวกเหอหนานมีอะไรกินกันที่ไหน”


หม่าหย่งกล่าวตรง ๆ หวังทงก็แค่หัวเราะผ่าน ๆ ไป อ๋องที่เหอหนานมีมาก  อ๋องมีตั้งหลายคน ไม่ต้องพูดถึงอ๋องระดับจวิ้นอ๋องที่รองลงมา อ๋องชนชั้นสูงที่เหอหนานครองที่นากว้างใหญ่ พวกชาวนาทำงานกันขยันขันแข็ง ยังต้องทนขูดรีด พวกขุนนางแม้แต่ใจร้าย แต่ก็ยังสนใจธรรมเนียมและชื่อเสียงตนอยู่ แต่พวกอ๋องพวกนี้ อำนาจล้นฟ้า ผู้ใดจะสนใจชาวนาลำบากยกาจน


เมืองต้าถงมณฑลซานซีทางนี้ไม่เหมือนกัน ที่ดินที่นี่ไม่เหมาะแก่เพาะปลูก กิจการอื่นจึงรุ่งกว่า พอตีเมืองกุยฮว่าเฉิงได้ ที่นาก็มีจำนวนมากต้องการเพาะปลูก ต้องการชาวนา รวบรวมคนจากมณฑลซานซีมาได้ไม่มาก แต่เหอหนานที่ติดกับมณฑลซานซี มีคนมาก ย่อมเป็นแหล่งรวมชาวนามายังที่นี่


ส่วนเรื่องชาวนาคิดมาเอง หรือว่าทางซานซีส่งคนไปรับสมัครมา หม่าหย่งไม่ได้เอ่ยถึง หวังทงเองก็ขี้เกียจจะสนใจ


ที่นาอ๋องในเหอหนานกว้างใหญ่ ดูแลชาวนาราวกับสัตว์เลี้ยง ไม่ให้ความสำคัญแต่อย่างใด เฝ้าก็ไม่เข้มงวด ทำให้ชาวนาพวกนี้สามารถนำครอบครัวหนีออกมาได้ และเดินทางข้ามมณฑลมา ในเรื่องนี้หากบอกว่าทางเมืองต้าถงมณฑลซานซีไม่เกี่ยวข้อง เกรงว่าคงยาก


อ๋องส่งคนมาตามตัวกลับ ย่อมไม่มีใครอยากสนใจ หม่าหย่งพูดอยู่นั้นก็มีสีหน้าแสยะยิ้มอย่างไม่พอใจ อ๋องคืออะไร ก็แค่สุกรที่ถูกขังในเมือง วางอำนาจบาตรใหญ่ บ้าคลั่งไปวันๆ แต่ก็อยู่ได้แค่ในเมือง ยึดเมืองกุยฮว่าเฉิงมาได้ ทางนั้นมีโอกาสการค้ามากกว่า มีที่นาดีมากกว่า มณฑลซานซีตั้งแต่ขุนนางยันชาวบ้าน ล้วนมีส่วนร่วมในเรื่องนี้


กิจการพวกนี้ต้องการแรงงานมาก ต้องการชาวนามาก ต้องการผู้คุ้มกันมาก ตอนนี้พวกคนที่มา อีกหนึ่งปี หรือสองปี ก็จะกลายเป็นทรัพย์สินเงินทองและอิทธิพลที่ยากประมาณ มีความสำคัญเช่นนี้ ผู้ใดจะสนใจพวกอ๋องที่เหอหนานพวกนั้น พวกแอบทำการไม่เปิดเผยเกรงว่ามากยิ่งกว่า


เรื่องผลประโยชน์นี้แม้แต่กับฮ่องเต้ ยังส่งคนมาแย่งชิงไม่ยอมอ่อนข้อ นับประสาอันใดกับอ๋องสูงส่งที่เหอหนานพวกนั้น


“ที่นาบุกเบิกใหม่ข้างทาง ไม่มีคนจับจองหรือ?”


หวังทงถามขึ้น ที่นาดีแสนกว่าฉิ่งรอบเมืองกุยฮว่าเฉิงนับว่าเป็นที่ของในวังกับหวังทงแล้ว แต่ที่ดินตลอดเส้นทางที่บุกเบิกใหม่นี้กลับยังไม่มีเจ้าของ  หากชนชั้นสูงผู้มีอิทธิพลบอกว่าเป็นของตน เกรงว่าชาวบ้านก็คงยอม


ตอนอยู่ในด่านก็ทำงานให้ชนชั้นสูง หากออกนอกด่านมายังต้องทำงานแบบเดิม ก็ไร้ความหมาย อย่างไรก็ต้องเลือกกลับไปอยู่ดี


 “ตอนนั้นท่านโหวสั่งไว้ บอกว่าต้องรั้งให้คนอยู่ แม่ทัพใหญ่เราจึงได้ทำตามท่านโหวว่าอย่างดี ผู้ใดกล้าใช้อำนาจข่มเหงชาวบ้าน แม่ทัพใหญ่ก็จะลงดาบไม่ละเว้น”


หม่าหย่งกล่าวหนักแน่น เห็นหวังทงพยักหน้า หม่าหย่งยิ้มกล่าวว่า


“ท่านโหวช่างสามารถ เถ้าแก่ที่ทำงานให้แม่ทัพใหญ่เราคิดดูแล้ว รอให้ชาวนาพวกนี้ยืนได้มั่นคงเมื่อไร พวกเขาย่อมต้องการผู้คุ้มกัน ถึงตอนนั้นจ่ายภาษีกันอย่างเต็มใจแน่นอน  นี่แค่เริ่มต้น ถึงเวลาร้านค้าซื้อผลผลิตจากหมู่บ้าน ซื้อของแห้งหมักเค็มกับของพื้นเมืองอื่น ก็จะได้กำไรก้อนโตอีก  เรื่องเสบียงพวกเขาอย่างไรก็ต้องทำการค้าขาย ก็เป็นอีกก้อนหนึ่ง ผุยๆ หากมีชื่อเสียงดัง เป็นได้ว่าท้องที่นี่ก็จะราวแม่ไก่ฟักไข่ทองคำแล้ว!”


สงครามเมืองกุยฮว่าเฉิง หม่าหย่งนำทัพม้าเมืองต้าถงร่วมรบเป็นตายกับทหารม้าหวังทง ทหารย่อมเน้นคุยกันด้วยใจ วาจาจึงย่อมกล่าวกันตามสบาย เรื่องใดที่เป็นเรื่องคุยกันส่วนตัวกับคนกันเอง หม่าหย่งก็ไม่ลังเลที่จะกล่าวออกมาหมด


ที่หม่าหย่งว่ามา กับรายงานร้านสามธาราที่ส่งให้หวังทงนั้นเหมือนกัน เหมือนกับที่หวังทงจัดการไว้ก่อนหน้า


ทว่าชาวบ้านที่อพยพครอบครัวมายังทุ่งหญ้านอกด่าน นำเครื่องมือทำนามาด้วย  บ้านที่พักและเมล็ดพันธุ์ เมืองกุยฮว่าเฉิงย่อมจัดหารให้ก่อน ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถกู้ยืมจากพ่อค้าคหบดีมณฑลซานซีได้ด้วย ตระกูลหม่าย่อมเป็นโต้โผราบใหญ่ในการนี้


สายสัมพันธ์แบบให้ยืมนี้ ช่วงใช้คืนก็ย่อมทำกำไร  จากนั้นคนพวกนี้ก็จะลงหลักปักฐาน ความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยก็เกิดขึ้น ตอนนี้กำไรน้อยไปก่อน ค่อยๆ กำไรใหญ่วันหน้า


หวังทงไม่ได้เห็นค้านเรื่องขูดรีกหรือกำไร แต่ช่วงแรกแห่งการบุกเบิก ไม่อาจทำการโหดร้ายมากไป ไม่เช่นนั้นย่อมไม่มีชาวฮั่นอยากจะมากัน หากไม่มีชาวฮั่นมา เมืองกุยฮว่าเฉิงก็ยังคงเป็นพื้นที่ไม่มั่นคง ไม่อาจยึดครองได้มั่นคง


************


เทียบกับพวกหวังทงที่กลับมาเยือนที่เดิมแล้ว ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยที่มาจากใต้ยังไม่ชินกับอากาศหนาวและแห้ง เพิ่งมาถึงทุ่งหญ้ามอบไปรอบๆ ไร้จุดหมาย แรกๆ ก็รู้สึกแปลกใหม่ แต่พอมือเริ่มแตก ผิวหน้าเริ่มเจ็บเพราะอากาศหนาว ก็เอาแต่หลบตัวอยู่ในรถม้า


รถม้าลากสี่ตัว ด้านในมีเตาให้ความร้อน จัดแต่งสบายยิ่ง พวกผู้หญิงนั่งรถใหญ่ นายช่างตกแต่งให้พิเศษ มีไม้รองสองชั้น แผ่นไม้บุฝ้ายนิ่มและหนังสัตว์ ช่องลมก็ใช้ยางไม้อุดไว้ ช่องระบายลมก็ออกแบบเป็นปล่อง เรียกได้ว่าอุ่นและสบายมาก


เส้นทางสะดวก ข้างทางมีที่พักตลอดทาง ฤดูหนาวดินแข็งราวกับเหล็ก พวกหวังทงเดินทางได้เร็วกว่าตอนเดินทัพเสียอีก เส้นทางตอนนี้คงไม่มีพวกนอกด่านมาขวาง คิดๆ ดู ถึงกับน่าจะถึงเมืองกุยฮว่าเฉิงก่อนวันที่ 30


30 เป็นคืนวันก่อนปีใหม่ สำหรับหวังทงแล้วก็ไม่ใส่ใจนัก แต่พวกผู้หญิงกับทหารติดตามกลับใส่ใจมาก เมืองกุยฮว่าเฉิงอย่างไรก็เป็นเมืองใหญ่มีประชากรสองแสนคน ปีใหม่นี้เป็นปีใหม่แรกหลังแผ่นดินหมิงยึดครองมา จึงคิดจัดให้คึกคักกว่าที่เคย


ตลอดทางมาได้เห็นหมู่บ้านราว 20 กว่าแห่ง ล้วนเป็นหมู่บ้านสองข้างทางของเส้นทางเมืองกุยฮว่าเฉิงกับเมืองต้าถงว่ากันว่าสองข้างทางไปทางตะวันออกและตะวันตกยังมีอีกหลายหมู่บ้าน ทว่าขนาดและความรุ่งเรืองไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนบนสองข้างทางเส้นทางหลักนี้  ก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ เส้นทางหลักมีขบวนพ่อค้าไปมาพลุกพล่าน ขนส่งสินค้าสะดวก และยังมีทหารทางการมาช่วยเหลือได้เร็ว หากลึกเข้าไปก็คงไม่ได้ความสะดวกอันนี้


ตามที่หม่าหย่งว่ามา มีกองโจรม้าเล็กๆ ออกปล้น แต่ไม่กล้าลงมือกับพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงที่มีอาวุธไฟ  จึงทำให้หมู่บ้านพวกนี้ตกเป็นเป้าหมายแทน ปราบปรามหลายครั้งไม่ได้ผล สงสัยกันว่าหรือคนในหมู่บ้านสมคบกับโจรม้า ทว่าก็แค่เรื่องเล็ก ไม่ได้ทำให้เป็นเรื่องใหญ่อันใดได้


ตลอดทางมากับในหมู่บ้านไม่ได้มีแค่ชาวฮั่น หวังทงยังเห็นชาวมองโกลเลี้ยงสัตว์ แต่ไม่ใช่อยู่กันแบบชนเผ่า แต่เหมือนครอบครัว


พวกชาวฮั่นต้องเลี้ยงสัตว์เพื่อมาทำไร่ไถนา มาใช้เป็นพาหนะ และต้องการเนื้อมากิน สัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่พวกเขาย่อมเลี้ยงได้ไม่ดีเท่าพวกมองโกลที่อยู่บนทุ่งหญ้านอกด่านมานาน เมื่อพวกมองโกลมีอาหารพอ ก็ย่อมไม่อยากเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ สองฝ่ายทดแทนกันพอดี


ทว่าหวังทงได้รู้จากหม่าหย่งเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้เขาใส่ใจมาก ก็คือหมู่บ้านแต่ละแห่งได้จัดตั้งกลุ่มชายฉกรรจ์ประจำหมู่บ้านตามที่หวังทงสั่ง แต่พวกที่เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นชาวมองโกล ชาวฮั่นล้วนรู้สึกว่าไม่สู้ไปเพาะปลูกดีกว่า ไยต้องมาลำบากด้วย


“ต้องจัดการให้ดี จัดคนตามสัดส่วนคนที่อยู่ หากชาวมองโกลยอมทำ ชาวฮั่นไม่ยอมทำ นานวันเข้า จะเป็นเช่นไร หมู่บ้านพวกนี้ก็จะกลายเป็นของชาวมองโกลไป ตกใต้อาณัติพวกเขาไป เรื่องนี้ข้าจะไปคุยกับถานเจียงที่เมืองกุยฮว่าเฉิง เจ้ากลับไปบอกแม่ทัพใหญ่เจ้า อย่าละเลย”


หวังทงกล่าวจริงจัง หม่าหย่งไม่กล้ารอช้า รับคำหนักแน่น เดินทางมาได้สามวัน ถานเจียงก็นำทัพม้าเมืองกุยฮว่าเฉิงมารอรับ พอเช้าวันที่ห้า เมืองกุยฮว่าเฉิงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้ว


ตอนที่ 876 เจ้าผู้ครอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม้ว่าปีก่อนเพิ่งมา แต่มาดูกำแพงเมืองอีกทีตอนนี้ หวังทงก็ยังต้องตกใจ เพราะรอบกำแพงเมืองไม่รู้ว่าคึกคักกว่าเมื่อก่อนเท่าไร


ครั้งแรกที่มาเมืองกุยฮว่าเฉิง หวังทงนำกำลังทหารหลายหมื่นมาประชิดเพื่อบุกโจมตี เผ่าอันต๋าก็เข้มแข็งไม่น้อย จัดวางกำลังรอรับศึกที่นอกเมือง ตอนนั้นนอกเมืองนอกจากเผ่าใหญ่ที่หนีไม่ทันแล้ว ก็มีแต่กองกำลังที่พร้อมสู้ตาย ย่อมไม่มีความคึกคักเช่นนี้


วันสุดท้ายในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 12 พบว่าเมืองกุยฮว่าเฉิงเหมือนจะขยายออกไปอีกหลายเท่า กำแพงเมืองยังคงเป็นกำแพงเมืองเดิม ขนาดเมืองกุยฮว่าเฉิงก็ยังคงเดิม แต่นอกเมืองกุยฮว่าเฉิงพื้นที่ที่เคยว่างนั้นตอนนี้กลับเต็มไปด้วยผู้คน


ร่างกายหวังทงฟื้นตัวแล้ว เริ่มออกมาขี่ม้า เขามองดูสภาพรอบๆ ได้ยินเสียงอุทานตกใจของผู้คุ้มกันเช่นกัน พวกเขาก็มาเมื่อปีที่แล้วเช่นกัน


“นายท่าน คือว่า…”


ถานเจียงกำลังจะอธิบาย หวังทงกลับโบกมือยิ้มกล่าวว่า


“ไม่ต้องพูดอันใด ข้าดูเอง”


ถานเจียงยิ้มพยักหน้า ถอยม้าไปตามอยู่ด้านหลัง เมืองกุยฮว่าเฉิงสร้างโดยข่านเผ่าอันต๋ารุ่นแรก แต่เมืองกุยฮว่าเฉิงตอนนี้กลับเป็นหวังทงครอบครอง เขาต้องดูว่าครึ่งปีที่จากไป  เมืองกุยฮว่าเฉิงก่อสร้างไปถึงไหนแล้ว


เมืองใหญ่นี้ก็เหมือนเมืองหลวงหรือไม่ก็หนานจิงบนแผ่นดินหมิง รอบๆ เมืองกุยฮว่าเฉิงก็มีชาวบ้านพักอาศัยอยู่มาก แต่มีรายละเอียดบางอย่างที่ต่างจากเมืองใหญ่พวกนั้น


รอบนอกสุดเป็นรถม้าสี่ล้อลากที่แพร่หลายในเทียนจิน มีบ้างที่พึ่งมา มีบ้างที่จอดไว้เฉยๆ เหมือนกับการตั้งค่ายทหาร รถใหญ่ล้อมรอบ ด้านในมีตั้งกระโจม น่าจะเป็นขบวนพ่อค้ากลับจากทุ่งหญ้า


ขบวนพ่อค้ามากมาย รถใหญ่บรรทุกสินค้าจึงกินพื้นที่กว้าง ในเมืองตอนนี้คนยิ่งมาก ไม่มีพื้นที่ว่างให้พวกเขาได้จับจอง ดังนั้นนอกเมืองจึงกลายเป็นทางเลือกของพวกเขาไปแทน มีแต่สินค้าสำคัญและสูงค่าที่ย่อมต้องส่งเข้าไปเก็บไว้ในเมือง


นี่นับเป็นรอบนอกสุดของพื้นที่ชาวบ้านเมืองกุยฮว่าเฉิง ที่สำหรับจอดรถใหญ่ สามารถมองเห็นโกดังที่สร้างจากไม้เดิมๆ นี่เป็นสิ่งที่ต่างจากบริเวณท่าเรือเทียนจิน พ่อค้าล้วนเก็บรถใหญ่ไว้ที่นี่ พื้นที่นี้มักจะเห็นชาวฮั่นกับชาวมองโกลขี่ม้าพกดาบเป็นกลุ่มๆ บางทียังได้เห็นพ่อค้าในชุดหรูหราแบบชนชั้นสูงนั่งรถม้าผ่านมาบ้าง


เดินเข้าไปด้านในกลับต่างกันอีก รอบเมืองหลวงกับหนานจิง นอกเมืองเหมือนไร้ระเบียบ มีทั้งบ้านเรือนของคหบดี และมีทั้งเพิงพักชาวบ้านยากจน แต่ที่นอกเมืองกุยฮว่าเฉิงกลับเป็นเหมือนโรงบ้านใหญ่ติดๆ กัน เรียกว่าโรงบ้านไม่น่าเหมาะ ควรใช้คำว่า ป้อม จะดีกว่า


ใช้ดินกับไม้ก่อเป็นกำแพงสูง บนกำแพงสูงตามจุดที่สำคัญมีหอสังเกตการณ์ ด้านหน้าเปิดช่องว่าง ช่องว่างมองเข้าไปเป็นถนน ยามนี้ประตูใหญ่ด้านหน้าเปิดกว้าง สามารถมองเห็นสภาพด้านในได้


นี่ไม่ใช่โรงบ้านใหญ่ของพวกคหบดี แต่เป็นป้อมที่พักของชาวบ้าน หวังทงหันกลับไปมองถานเจียง ถานเจียงเข้าใจว่าต้องการถามจึงอธิบายว่า


“นายท่าน นอกเมืองที่พักราษฎรล้วนเป็นแบบนี้ ไม่เช่นนั้นไม่ให้พวกเขาพักอาศัย ชาวนาที่ทำนาตอนนี้ก็พักกันแบบนี้”


“น่าจะไม่มีการโจมตีของศัตรูแล้ว ข้าอยู่เมืองหลวงไม่ได้รับรายงานการทหารพวกนี้”


“นายท่าน ป้องกันไว้ก่อน อย่างไรก็โดดเดี่ยวนอกพรมแดน เกิดเหตุขึ้น ราษฎรพวกนี้ไม่ทันหนีกลับเข้าเมืองก็ย่อมเสียหายหนัก และนอกป้อมพวกนี้ หากมีศัตรูทหารม้ามาจริง  กองหินรอบนอกนี้จะขวางพวกเขาให้ต้องค่อยๆ ขนทิ้งไปทีละก้อนก่อน ในเมืองก็จะมีเวลาเตรียมป้องกัน”


“โรงบ้านพวกนี้มีผู้คุ้มกันไหม?”


“มีทุกแห่ง หากเป็นชายอายุได้ 14  ก็ต้องเข้ารับการฝึก ไม่กล้าปล่อยปละละเลยในเรื่องนี้!”


หวังทงยิ้มพยักหน้า ไม่ถามต่อ การจัดการเช่นนี้ใช้เพื่อป้องกันกองกำลังทหารม้าทุ่งหญ้านอกด่าน อาศัยอาวุธและกำแพงป้องกันตนเอง ทุ่งหญ้านอกด่านเผ่าใดก็ไม่อาจเข้าโจมตีได้ นอกจากจะล้อมไว้ระยะยาว เมืองกุยฮว่าเฉิงดึงดูดให้คนมากันมาก ในเมืองใช่ว่ามีที่ทางพอ นอกเมืองก็มีอันตรายมาก มีกำแพงสูงล้อมรอบเป็นที่พักย่อมสามารถป้องกันการโจมตีกะทันหันได้


เทียบกับบ้านพักหลังใหญ่ในเมืองที่อาศัยการป้องกันจากกำแพงเมืองแล้ว ที่นาที่กระจัดกระจายอยู่รอบเมืองกุยฮว่าเฉิงอันตรายกว่า การป้องกันเช่นนี้สำคัญสำหรับพวกเขามาก


พวกหวังทงมาพร้อมรถใหญ่หลายสิบ ทหารม้ากับทหารราบในชุดเต็มยศติดตามมา ในนั้นมีรถใหญ่ตกแต่งอย่างหรูหรา เป็นรถของพวกผู้หญิงของหวังทง ขบวนเช่นนี้เดินทางมาย่อมเป็นที่สังเกตของคนไม่รู้เท่าไร พวกชายขี่ม้าอยู่รอบนอกวนดูไปมา ชี้ชวนกันดูตามสบาย หน้าตายิ้มแย้มคิดจะเข้ามามองดูให้ละเอียด ทว่าพอเห็นพวกถานเจียงนำมา เห็นชัดว่าถานเจียงวางตัวเป็นบ่าวรับใช้ จึงไม่กล้าทำตัวตามสบายกันอีก


เดินมาบนถนนสายที่สอง ก็เป็นพื้นที่โรงบ้านใหญ่อีก คนข้างทางล้วนถูกทหารม้าแหวกเป็นสองแถว มีคนไม่น้อยออกมายืนดูหน้าโรงบ้าน เมืองกุยฮว่าเฉิงแต่ไรมาไม่เคยมีใต้เท้าใหญ่ ฮ่องเต้ส่งขันทีมาดูที่นา ก็ไม่ค่อยสนใจนอกเมือง ที่นี่แต่ไรมาก็ดูแลตนเองกัน อยู่ๆ มีคนใหญ่คนโตมา ก็ย่อมทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจอยากรู้อยากเห็น


เมืองกุยฮว่าเฉิงเลียนแบบกำแพงเมืองชาวฮั่น ตอนนี้ถูกแผ่นดินหมิงยึดครอง แม้ชาวฮั่นเป็นใหญ่ แต่อย่างไรก็เป็นทุ่งหญ้านอกด่าน คนบนท้องถนนมีทั้งเผ่ามองโกลกับเผ่าทางซีอวี้ สิ่งก่อสร้างแปลกตาเช่นนี้ กอปรกับบรรยากาศต่างบ้านต่างเมือง ทำให้หวังทงสนใจอยากเดินชมต่อ ไม่เพียงแต่เขา หานเสียกับจางหงอิงก็เลิกม่านขึ้นดูเช่นกัน แม้แต่ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยที่กลัวหนาวก็ยังตื่นเต้นไม่น้อย


เดินมาระยะหนึ่งก็ได้ยินเสียงคนบนท้องถนนคนหนึ่งตะโกนดังอย่างตื่นเต้นว่า


“แม่ทัพใหญ่ แม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยขอโขกศีรษะคำนับท่าน ขอแม่ทัพใหญ่บารมียั่งยืนยาว!!”


น้ำเสียงสั่น หวังทงดึงบังเหียนม้าไว้ หันไปทางเสียง เห็นชายผู้หนึ่งโขกศีรษะอยู่บนถนน พอเงยหน้าขึ้นมา หวังทง กลับจำได้ ยิ้มกล่าวว่า


“สือซาน เจ้าอยู่ตอนเหนือนี้ชินไหม ยังตัวคนเดียวหรือเปล่า?”


สือซานผู้นี้เป็นนายกองธงเล็กผู้หนึ่งของกองกำลังหู่เวย แม้เขามีชื่อว่าเป็นครอบครัวทหารที่เทียนจิน แต่เล็กขาดบิดามารดา หวังทงบอกว่าให้ปลดประจำการได้ชุดหนึ่ง สือซานจึงได้ขอปลดประจำการ


สือซานที่คุกเข่าได้ยินหวังทงตะโกนเรียกชื่อตน ก็รู้สึกได้หน้า กล่าวอย่างซาบซึ้งใจว่า


“ขอบคุณแม่ทัพใหญ่ที่ห่วงใย ข้าน้อยแต่งภรรยาแล้ว มีงานทำแล้ว ล้วนเป็นเมตตาของแม่ทัพใหญ่ๆ”


กล่าวถึงตรงนี้ เสียงก็เริ่มจุกอกล่าวไม่ออก ได้แต่โขกศีรษะ ถานเจียงเข้ามาใกล้หวังทงกล่าวว่า


“สือซานตอนนี้เป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันขบวนการค้าส่านซี และเป็นหัวหน้าฝึกโรงนาทางตะวันออกสองแห่ง มีชีวิตที่มีหน้ามีตายิ่ง”


หวังทงพยักหน้ายิ้มกล่าวว่า


“ลุกขึ้นๆ ชายชาติทหารผ่านศึกเป็นตายมา อย่าได้มาหลั่งน้ำตาในที่สาธารณชนเช่นนี้ คนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาได้!!”


ลูกน้องเก่าเห็นตนแล้วตื่นเต้นเช่นนี้ แสดงออกอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้เช่นนี้ ก็ทำให้หวังทงรู้สึกดีไม่น้อย ถานเจียงกลับยกมือตบหน้าผาก หัวเราะตำหนิตนเองว่า


“เมิ่งตั๋วกงกงกำลังรอท่านอยู่ที่หน้าประตูเมือง แต่ข้าน้อยกลับลืม ในเมืองนอกจากพวกเราทหารที่รู้ว่าใต้เท้าจะมาแล้ว ก็มีคนรู้ไม่มาก นี่ช่าง…”


หวังทงกำลังกล่าวว่าไม่เป็นไร ถานเจียงก็กลับหันไปสั่งลูกน้อง ทหารม้าสองนายวิ่งไปด้านหน้ากองขบวน ขณะหวังทงกำลังงงอยู่ ก็ได้ยินทหารม้าสองนายตะโกนขึ้นว่า


“ติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร หวังทงใต้เท้าหวังมา…”


เดินทางมาระยะหนึ่งเพิ่งมาตะโกนดัง เสียงที่ได้ยินดังเข้าไปถึงทางด้านใน เดิมผู้คนสองข้างทางก็สนใจอยากรู้ พอได้ยินตะโกนเช่นนี้ ก็สีหน้าแปรเปลี่ยน


หวังทงเป็นใคร ติ้งเป่ยโหวกับผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ชื่อนี้สำหรับราษฎรแล้วไม่ได้รู้สึกเท่าไร แต่ชื่อหวังทงปราบเผ่าอันต๋า แม่ทัพยึดเมืองกุยฮว่าเฉิง กำลังหลายหมื่น ชาวบ้านในเมืองเกือบแสน ยังมีพวกเชื้อพระวงศ์เผ่าอันต๋าที่ล้วนสิ้นชีวิตด้วยน้ำมือเขา


เมืองกุยฮว่าเฉิงตอนนี้มีที่ดินหนึ่งในสามเป็นของหวังทง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขบวนพ่อค้า กำลังทหารและผู้คุ้มกันในเมืองทั้งหมดแทบจะเป็นลูกน้องหวังทง


หวังทงในสายตาชาวเมืองกุยฮว่าเฉิงเรียกได้ว่าเจ้าผู้ครองเมืองแล้ว หวังทงเรียกได้ว่าเป็นเจ้าของที่นี่


สีหน้าชาวฮั่นปรากฏแววเคารพหวาดกลัว ชาวมองโกลกับชาวซีอวี้พากันแอบวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ พวกเขาท่าทีแรกก็คือคุกเข่าหมอบลง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น


สำหรับชาวฮั่นแล้ว หวังทงเป็นขุนนางใหญ่ เป็นชนชั้นสูง เป็นวีรบุรุษ สำหรับเผ่าอื่นแล้ว หวังทงเป็นมารร้าย เป็นเทพสังหาร เป็นผู้พิชิต เป็นเจ้าของที่นี่ เขาสังหารหัวหน้าเผ่าอันต๋าบนทุ่งหญ้านอกด่านที่เป็นเผ่าที่เข็มแข็งที่สุดบนทุ่งหญ้านอกด่าน การมีเขาอยู่ตรงนี้ คงได้แต่หมอบคุกเข่าแสดงความหวาดกลัวและความเคารพอย่างเดียวแล้ว


ข่าวแพร่ไปรวดเร็ว ในเมืองนอกเมือง ทหารกองกำลังหู่เวย ทหารเมืองต้าถง ทหารเมืองจี้โจวที่ทิ้งไว้ที่นี่คราก่อน ตอนนั้นหวังทงนำกำลังพิชิตชัยชนะ ปราบเมืองกุยฮว่าเฉิง ตอนนี้พวกเขาได้เป็นผู้คุ้มกันและหัวหน้าฝึกที่นี่ พวกเขาได้เป็นชนชั้นกลางในเมืองกุยฮว่าเฉิง เป็นกำลังศูนย์กลางของในเมือง พวกเขาบ้างก็อยู่บ้าน บ้างก็อยู่โรงเตี๊ยม บ้างก็กำลังฝึกอยู่ พอได้ยินหวังทงมา ก็รีบขี่ม้ากันมา ลงจากม้าก็โขกศีรษะ จากนั้นก็ไปเข้ากับขบวนม้าด้านหลัง ติดตามมาด้านหลังต่อๆ ไปแถวยาวขึ้นเรื่อยๆ


ขบวนเริ่มเดินช้าลง เมื่อครู่ถนนยังครึกครื้นอยู่ก็กลับเงียบลงมาก เห็นชาวมองโกลกับชาวซีอวี้คุกเข่า ชาวฮั่นบนท้องถนนก็หมอบคุกเข่ากับพื้น สองข้างทางเป็นชาวบ้านที่คุกเข่าอย่างเคารพ ขบวนหวังทงยิ่งยาวขึ้น ล้วนเป็นกำลังคุ้มครองเมืองกุยฮว่าเฉิงตามมาสมทบ


หวังทงเดิมขี่ม้าอยู่กลางขบวน ตอนนี้พวกที่มาสมทบกับกองขบวนเดิมก็ทิ้งระยะห่าง ให้หวังทงไปอยู่ด้านหน้าสุด ชาวเมืองกุยฮว่าเฉิงคุกเข่าหมอบเงียบๆ


ตอนที่ 877 ที่เดิมกลับมาอีกครั้งไม่เหมือนเดิม

โดย

Ink Stone_Fantasy

หวังทงขี่ม้าไปตามถนนใหญ่ มองสองข้างทางมีชาวบ้านหมอบคุกเข่า มีเงยหน้าขึ้นมองบ้าง ขบวนทหารที่ตามมาเริ่มมากขึ้นเรื่อย


วันที่ 30 เดือนสิบสอง ประตูเมืองที่เคยคึกคักอย่างมาก แต่ตอนนี้กลับเงียบผิดปกติ ข่าวที่แพร่มากับการนึกถึงเสียงปืนใหญ่ถล่มในตอนนั้นยิ่งทำให้เงียบกริบ


ม้าหวังทงค่อยๆ ย่างไป เริ่มแรกหวังทงยังมองซ้ายมองขวา แต่ต่อมาก็ได้แต่เคลื่อนม้าไปช้าๆ ในใจย่อมไม่ได้เงียบเหมือนภายนอกที่แสดงออก นี่คือรสชาติของอำนาจหรือนี่ นี่คือความรู้สึกรสชาติแห่งบารมีหรือนี่?


ที่เทียนจิน ที่กองกำลังหู่เวย มาจนถึงการนำกำลังมาบุกมืองกุยฮว่าเฉิง จากนั้นก็เป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร หวังทงก็เป็นใต้เท้าที่ทรงอิทธิพลสั่งการได้หมดแล้ว แต่ความยิ่งใหญ่และน่าเคารพยกย่องสูงส่งนั้น ไม่อาจเทียบกับวินาทีในวันนี้ ณ เมืองกุยฮว่าเฉิงนี้ได้


เริ่มแรกทหารติดตามหวังทงกับพวกที่ตามมาสมทบยังรู้สึกแปลกใจอยู่ มองราษฎรที่นอบน้อมเคารพด้วยความตกใจ เพราะบนแผ่นดินหมิงไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้ แต่พวกเขาก็ค่อยๆ รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่สมควรเป็น พวกเขาเริ่มยืดอกเชิดหน้าอย่างภูมิใจโดยไม่รู้ตัว  เริ่มเรียงแถวให้เป็นระเบียบยิ่งขึ้น ติดตามอยู่ด้านหลังหวังทง


ผู้หญิงในขบวนหวังทงเลิกม่านขึ้นดู มองลอดช่องออกมาดูแผ่นหลังหวังทงด้านหน้า ด้วยสายตาหลงใหลและเคารพยกย่อง…


…..


ถานเจียงนับว่าเป็นผู้นำชาวบ้าน แม้ว่ามีสถานะขุนนาง แต่ไม่ได้มีหน้าที่ปฏิบัติงานแท้จริง เขาเดิมเป็นบ่าวรับใช้หวังทง ออกมาต้อนรับนอกเมืองก็เป็นสิ่งสมควร แต่ขันทีและขุนนางในเมืองกุยฮว่าเฉิงไม่อาจมาต้อนรับได้ ตามธรรมเนียมวงการขุนนาง ต้องรอรับที่หน้าประตูเมือง


ขันทีที่ถูกส่งมาดูแลเมืองกุยฮว่าเฉิงก็เป็นคนคุ้นเคยของหวังทง เป็นเมิ่งตั๋วคนสนิทโจวอี้แห่งสำนักรักษาความสงบตอนนี้มาดูแลเมืองกุยฮว่าเฉิง ก็เท่ากับได้เลื่อนสองขั้น ครั้งหน้ากลับไปก็คงได้เป็นขันทีคุมกำลังนอกเมืองระดับหนึ่งแล้ว


วันที่ 30 เดือนสิบสอง แถบเมืองกุยฮว่าเฉิงหนาวมาก เมิ่งตั๋วนำขบวนติดตามมารอรับหน้าประตูเมือง รู้สึกหนาวมาก แม้จะใส่เสื้อหนังคลุมมาแล้วก็ตาม แต่ก็หนาวจนต้องกระทืบเท้าไปมา


เมิ่งตั๋วอายุไม่มาก แม้ว่าพยายามจะทำตัวให้ดูนิ่ง แต่ก็ยังคงถูมือกุมหูให้อุ่นไม่หยุด ผู้ติดตามด้านหลังก็สีหน้าร้อนใจ มีคนเข้าไปใกล้กล่าวเบาๆ ว่า


“เมิ่งกงกง เจ้าหวังทงนี่ใช้ไม่ได้ เขาคิดว่าเป็นใครกัน ถึงกับกล้าให้กงกงมารอที่นี่ เขาเป็นตัว…”


วาจายังไม่ทันจบ ก็ถูกเมิ่งตั๋วหันกลับไปตบบ้องหู ตวาดอย่างโมโหว่า


“ใครน่ะหรือ ก็บรรพชนเจ้าไง เจ้าคิดว่าใครมากัน แค่ชี้นิ้วก็ทำให้นายเจ้าแหลกเป็นผุยผงได้แล้ว ข้าจะรออยู่ที่นี่ เจ้าทนไม่ไหว ก็ไสหัวกลับไป!!”


คนพวกนี้ติดตามเมิ่งตั๋วมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เมิ่งตั๋วมีสถานะสูงส่งในเมืองกุยฮว่าเฉิงที่สุด ลูกน้องย่อมรู้สึกว่าเป็นเจ้าของเมืองกุยฮว่าเฉิง ไม่ใช่แค่ชาวฮั่น แม้แต่ต่างเผ่ายังต้องเคารพ  พวกเขาจึงค่อยๆ วางอำนาจบาตรใหญ่ คิดไม่ถึงว่าวันนี้เมิ่งตั๋วจะโมโหหนักเช่นนี้ได้


ทุกคนพากันเงียบกริบ เหตุการณ์เล็กๆ ที่เกิดขึ้นเพิ่งผ่านไป ขบวนหวังทงตอนนี้อยู่บนเส้นทางแล้ว คนเดินถนนพากันคุกเข่า ทั้งถนนเงียบกริบ


คนของเมิ่งตั๋วตั้งแต่มาถึงเมืองกุยฮว่าเฉิงก็ใหญ่โตมาก ไม่เคยเห็นสภาพเช่นนี้ พวกเขารู้สึกอึดอัดกดดัน ถึงกับหายใจลำบาก คนเมื่อครู่ผู้นั้นตอนนี้ตัวลีบมาก ไม่กล้าส่งเสียง


แม้เดินมาช้าๆ แต่ไม่นานก็มาถึงหน้าเมิ่งตั๋ว เมิ่งตั๋วรีบปรี่เข้าไปยิ้มคำนับกล่าวว่า


“ท่านโหว ข้าน้อยคำนับท่านโหว!”


“เมิ่งกงกงตอนนี้ดูเหมือนจะแข็งแรงกว่าตอนอยู่เมืองหลวง จูงม้ามา เมิ่งกงกงขึ้นม้ามาคุยกัน!”


หวังทงยิ้มพยักหน้าทักทาย ทหารข้างกายรีบจูงม้ามาให้ เมิ่งตั๋วโดดขึ้นม้า ท่าทางคล่องแคล่วว่องไว หวังทงทักทายนุ่มนวล นับว่าให้หน้าเมิ่งตั๋วมาก เมิ่งตั๋วยิ่งนอบน้อมหลายเท่า


การคุกเข่าและคำนับนอกเมืองมาถึงตอนนี้ก็หมดแถวแล้ว พอเมิ่งตั๋วคำนับ คนด้านหลังที่ติดตามมาก็คุกเข่าโขกศีรษะ เห็นขุนนางผู้ใหญ่ ขุนนางกรมอากรที่มารอด้วยก็รีบคำนับ


ม้าเมิ่งตั๋วตามมาด้านหลังม้าหวังทงครึ่งช่วงตัว  เมิ่งตัวท่าทางนอบน้อมบนหลังม้ากล่าวว่า


“ท่านโหวกลับมาเมืองกุยฮว่าเฉิง คืนนี้ข้าน้อยได้เตรียมงานเลี้ยงไว้แล้ว เชิญขุนนางกับคนใหญ่คนโตในเมืองมาร่วมด้วย ขอท่านโหวให้เกียรติ”


นี่เป็นเรื่องจำเป็น หวังทงย่อมอนุญาต เมิ่งตั๋วกล่าวอีกว่า


“พี่พักท่านโหวอยู่ที่วังข่านเดิม แม้ว่าตำหนักหลักถูกทำลายไปแล้ว แต่ที่อื่นๆ รอบๆ ยังดีอยู่ ท่านโหวพักที่นั่น ทุกอย่างย่อมสะดวก”


ตอนนั้นวังเซิงเก๋อตูกู่เหลิงถูกทำลายสิ้นสภาพ หวังทงย่อมรู้อยู่ พอได้ยินข้อเสนอเช่นนี้ ก็หันกลับไปมองเมิ่งตั๋วยิ้มเหมือนไม่ยิ้มกล่าวว่า


“ความปรารถนาดีของเมิ่งกงกงข้ารับไว้แล้ว ทว่าที่พักนั่นดูเป็นทางการมากไป ขอที่เมื่อก่อนเป็นที่พักพวกชนชั้นสูงพวกนอกด่านก็พอ ข้าอยู่ที่นั่นก็เหมือนกัน”


หากหวังทงเข้าอยู่ทึ่เคยเป็นวัง ย่อมมีคนปากมาก หวังทงย่อมไม่อยากผิดพลาดให้คนพูดมาก เมิ่งตั๋วบนหลังม้ากลับอึ้งไป ตามมาด้วยสีหน้าได้สติ คำนับจริงจังบนหลังม้า ขออภัยกล่าวว่า


“เป็นข้าน้อยคิดไม่รอบคอบ ขอท่านโหวอภัย”


หวังทงยิ้ม เรื่องนี้ผ่านไป เดินไปถึงประตูเมือง หวังทงมองดู บังเอิญว่าปีก่อนเขานำกำลังมาโจมตีก็เข้าทางประตูด้านนี้


ตอนนี้ยังมองเห็นรูกว้างที่ถูกปืนใหญ่ยิงทลาย ยังไม่ได้ซ่อมแซมคืนสภาพเดิม  แต่กลับสร้างต่อเติมเป็นป้อมปืนใหญ่แทน ด้านบนตั้งปืนใหญ่ไว้หลายกระบอก


จากด้านล่างมองขึ้นไป ก็จะเห็นปืนใหญ่สีดำมันปลาบบนกำแพงเมือง ชาวบ้านนอกเมืองกับกำแพงเมืองนี้มีระยะพื้นที่ห่างอยู่ สามารถเห็นว่าเพิ่งจากขุดคูเมืองเป็นคูน้ำใหม่ น่าจะเป็นเพราะว่าฤดูหนาวจึงยังทำไม่ทันเสร็จ ต้องหยุดไว้ก่อน


สิ่งก่อสร้างสำหรับป้องกันแบบใช้อาวุธปืนไฟเป็นหลัก ทหารและชาวบ้านก็ขยันฝึก อาศัยกำลังทหารทุ่งหญ้านอกด่านก็ย่อมยากที่จะบุกโจมตี


พอเข้ามาในเมือง สภาพแตกต่างจากนอกเมือง แม้ว่ามีระเบียบกว่านอกเมือง แต่ทำให้หวังทงรู้สึกเหมือนว่าคนน้อยกว่านอกเมืองมาก เส้นทางที่เขาเดินไป น่าจะเป็นเส้นทางหลักในเมือง แต่สองข้างทางล้วนเป็นหน้าร้านร้านค้า แน่นอน ยามนี้อยู่ในช่วงปิดร้านพักปีใหม่


พอเดินมาถึงแถบนี้ ก็มองเห็นพื้นที่สองแห่งที่ว่างเปล่า หนึ่งในนั้นมีรถใหญ่จอดกับสินค้าวางไว้ อีกทางหนึ่งเป็นชาวบ้านกำลังฝึกกำลัง


จากบนหลังม้ามองได้ไกล ก็สามารถมองเห็นโกดังใหญ่ในเมือง  อีกทางหนึ่งของเมือง มีกลุ่มควันโขมง ควันดำกำลังพุ่งออกมา อันนี้หวังทงไม่แปลกใจ ก็คือที่ตั้งของโรงเหล็กและโรงช่าง


“นอกจากขุนนางกับทหารในเมือง ไม่มีราษฎรพักอาศัยหรือ?”


หวังทงถาม เพราะนอกจากร้านค้า โกดังและโรงช่างที่เห็นแล้ว ไม่เห็นอื่นใด ขุนนางกับทหารบางส่วนย่อมอยู่ในเมือง แต่ไม่มีชาวบ้านพักอาศัย เมิ่งตั๋วอึ้งไปรีบอธิบายกล่าวว่า


“เรียนท่านโหว ราษฎรนั้นมี เป็นเถ้าแก่และคนงาน รวมถึงครอบครัวของพวกที่ทำการค้าในเมือง ครอบครัวขบวนผู้คุ้มกันการค้า นายช่างโรงช่างและครอบครัว  ยังมีพ่อค้าที่ลงทะเบียนไว้และครอบครัว พวกเขาล้วนพักในเมือง ท่านโหวเข้าไม่ถูกทาง ตอนเหนือและตะวันตกของเมืองจึงเป็นที่พัก”


เขากล่าวเช่นนี้ ถานเจียงข้างๆ ก็เสริมกล่าวว่า


“ยังมีครอบครัวของคนดูแลโรงนา หากพวกเขาคิดอยู่ในเมืองก็ย่อมได้”


หวังทงพยักหน้า เมิ่งตั๋วสบตากับถานเจียง รู้สึกตื่นเต้นถามขึ้น


“ท่านโหว ในเมืองที่ทางจำกัด นอกเมืองราษฎรมาก เรื่องนี้ก็…”


วิธีการจัดการเมื่อครู่เหมือนไม่ค่อยมีน้ำใจเท่าไร อย่างไรก็เป็นพื้นที่อันตรายทุ่งหญ้านอกด่าน เกิดพวกทหารม้านอกด่านบุกมา คนในเมืองย่อมปลอดภัย แต่ราษฎรที่ล้อมนอกเมืองกลับลำบาก กำแพงโรงบ้านสูงๆ พวกนั้นน่าจะเป็นวิธีรับมือเร่งด่วน แต่ก็คงต้านไม่ได้นาน


หวังทงโบกมือตัดบทเมิ่งตั๋ว กล่าวว่า


“เจ้าทำได้ดีมาก วิธีนี้ถูกต้องที่สุด วันหน้าก็ทำแบบนี้ ย่อมดีขึ้นเรื่อยๆ!”


คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะให้คำชมเช่นนี้ เมิ่งตั๋วกับถานเจียงเห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึง


ทหารในเมืองกุยฮว่าเฉิงตอนนี้ไม่มาก กำลังป้องกันหลักมักเป็นผู้คุ้มกันขบวนการค้า ซึ่งก็คือทหารสูงวัยที่ปลดประจำการพวกนั้น พวกเขาเป็นกำลังหลัก พวกเขารับรองความปลอดภัยให้เมืองกุยฮว่าเฉิง โรงช่างผลิตอาวุธให้เมืองกุยฮว่าเฉิง เกี่ยวพันกับความปลอดภัยของเมืองกุยฮว่าเฉิง การค้าก็ต้องรับรองความปลอดภัยด้านทรัพย์สิน  รับรองการมีกินมีใช้ของในเมืองนี้ เป็นพื้นฐานสำคัญของเมือง ส่วนทางการนั้น ก็ต้องปฏิบัติงานเพื่อรักษาการดำเนินการของเมืองนี้ ติดต่อกับเมืองหลวง  ส่วนผู้ดูแลที่นาก็ต้องรับรองเสบียงให้พอกับเมืองกุยฮว่าเฉิง มีหน้าที่ผลิตและจัดการ


คนเหล่านี้จึงประกอบกันเป็นแกนหลักเมืองกุยฮว่าเฉิง มีพวกเขาอยู่ เมืองกุยฮว่าเฉิงก็จะสามารถรับรองความมั่นคงได้ และทำให้เมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางพื้นที่ทุ่งหญ้านอกด่านทั้งด้านอาหารและการทหาร รวมทั้งการค้า มีข้อดีมากมายเช่นนี้ ไม่ได้มีหน้าที่ต้องมาคอยดูแลราษฎร แม้ว่าดูไร้น้ำใจ แต่ก็เป็นการรักษาประสิทธิภาพการดำเนินงานให้สูงสุดต่อไปได้


“พวกเดิมที่เป็นชาวนา ก็พวกราษฎรนอกเมืองพวกนั้น รวมถึงพวกจากเมืองต้าถงมากุยฮว่าเฉิง หมู่บ้านตลอดเส้นทางนี้มีพวกหนุ่มๆ อยากจะก้าวหน้าก็อยากมาเรียนยุทธ์ อยากจะมีวิชาติดตัว อยากเรียนรู้การทำนาเลี้ยงสัตว์ ยังมีพวกเก่งการค้า ก็ให้พวกเขาเข้ามาอยู่ในเมือง นับว่าเป็นการให้รางวัล”


“ท่านโหววิธีนี้ดี คนที่อยู่ในเมืองได้คนเก่งมา ย่อมเป็นเร่งให้พวกเขาพัฒนา ท่านโหว เราต้องรับพวกบัณฑิตหรือไม่”


เมิ่งตั๋วถาม หวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า


“เมืองกุยฮว่าเฉิงต้องการบัณฑิตมาเรียนหนังสือทำไม ตำราปราชญ์พวกนั้นสังหารศัตรูได้หรือว่าทำกำไรเพาะปลูกสั่งสมเสบียงได้หรือ ต้องการเป็นบัณฑิตก็ให้ส่งไปเมืองต้าถง มณฑลซานซี!!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)