หมอดูยอดอัจฉริยะ 872-877
ตอนที่ 872 โต้กลับ
“จับ!”
เหอปู้อวี่ตวาดออกไปหนึ่งคำ แล้วตาขายผืนใหญ่นั้นก็ย่อส่วนลงอย่างรวดเร็วดั่งมีชีวิต ห่อหุ้มพันธนาการสิงห์ขนทองไว้กลางอากาศ ไม่ว่าสิงห์ขนทองจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่อาจจะหลุดพ้นได้เลย
“ตาข่ายนี้หลอมขึ้นจากเส้นไหมทองหมื่นปี เจ้าหนูน้อย อยู่นิ่งๆ ในนั้นไปเถอะนะ!”
เมื่อเห็นสิงห์ขนทองดิ้นรนไม่หยุด เหอปู้อวี่ก็ยิ้มน้อยๆ อย่างได้ใจ ภูมิหลังฐานะเขาไม่ได้รุ่มรวยมากนัก และสิ่งนี้ก็คือหนึ่งในของวิเศษที่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้ที่เขามีอยู่ไม่กี่ชิ้น
“น…นี่มันตาข่ายฟ้าดิน “เฉียนคุน” ของนายท่านนี่นา แก…แกได้มันมาได้ยังไง?”
การปะทะกันระหว่างเยี่ยเทียนและเหอปู้อวี่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ตอนแรกยังพูดคุยกันด้วยไมตรีอยู่แท้ๆ แต่แล้วจู่ๆ ก็หันหน้าเข้าต่อสู้กัน วานรขาวและโก่วซินเจียจึงต่างอึ้งกันไปครู่หนึ่ง นึกว่าเหอปู้อวี่กำลังทดสอบพลังฝีมือของเยี่ยเทียนอยู่จริงๆ เสียอีก
จนกระทั่งสิงห์ขนทองถูกกักตัวไปแล้ว วานรขาวถึงเพิ่งจะหลุดจากภวังค์ การที่นายท่านจะมอบของแทนตัวให้แก่อีกฝ่าย เพื่อให้ช่วยมานำข้าวของกลับไปให้แทนท่านนั้นก็ยังพอเข้าใจได้อยู่ แต่ตาข่ายฟ้าดิน เฉียนคุนนี้เป็นของวิเศษที่นายท่านใช้คุ้มกาย ปกติแม้แต่มันเองยังไม่ได้แตะเลย ตามหลักแล้วต่อให้มีความสัมพันธ์อันดีกับคนผู้นี้ขนาดไหน ก็ไม่น่าจะยกของให้อีกฝ่ายได้เลย?
“ก็ต้องเป็นพี่ซือคงมอบให้ข้าอยู่แล้วน่ะสิ!”
เหอปู้อวี่ยังคงยิ้มแป้น แต่ภายใต้รอยยิ้มนั้น กลับแฝงไว้ด้วยความเย็นเยียบอันน่าอกสั่นขวัญแขวน เขาสะบัดมือซ้ายหนึ่งที แล้วคันศรหน้าตาเหมือนของเด็กเล่นคันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ ส่วนในมือขวาของเหอปู้อวี่ก็มีลูกธนูสีดำทะมึนปรากฏขึ้นดอกหนึ่ง
“น้องเยี่ย รับธนูข้านี้อีกสักดอกเป็นไร?”
จิตสังหารแผ่ออกมาจากถ้อยคำของเหอปู้อวี่โดยไม่ได้ปกปิดเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าสามารถรับธนูดอกนี้ของข้าได้ อย่างนั้นเจ้าก็น่าจะไปดินแดนแห่งทวยเทพได้อยู่ แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ทิ้งชีวิตน้อยๆ ของเจ้าไว้ที่นี่แหละ!”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ในที่สุดเหอปู้อวี่ก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริงอันเหี้ยมเกรียมออกมา แม้ว่าเยี่ยเทียนจะมีพลังฝีมือสูงกว่าเขาไปขั้นหนึ่ง แต่เหอปู้อวี่มีชีวิตอย่างขวนขวายในดินแดนแห่งทวยเทพมาหลายร้อยปี จึงย่อมมีพื้นฐานอย่างเหลือเฟือชนิดที่เยี่ยเทียนไม่มีทางเทียบได้แน่
คันศรและลูกธนูที่ถืออยู่ในมือขณะนี้ เหอปู้อวี่ก็ได้มาจากถ้ำที่พำนักของผู้บำเพ็ญอาวุโสแห่งหนึ่ง
สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้บำเพ็ญท่านนั้นมีพลังฝีมือระดับหยวนอิงช่วงกลาง ท่านหล่อหลอมคันศรและลูกธนูนี้ขึ้นมาด้วยตนเอง โดยจะต้องถ่ายจิตดั้งเดิมของตนเสี้ยวหนึ่งเข้าสู่ลูกธนู หากจิตดั้งเดิมนั้นไม่ดับสูญไป ลูกธนูก็จะสามารถล่าสังหารเป้าหมายได้ไกลเป็นพันลี้ เพียงพอที่จะปลิดชีพผู้ที่มีพลังฝีมือระดับจินตันช่วงต้นได้
อาศัยคันศรและลูกธนูนี้ เหอปู้อวี่ได้สังหาร ‘สหายสนิท’ ที่เห็นเขาเป็นมิตรมาหลายคนแล้ว ทำให้ได้ยาวิเศษและของวิเศษมาไม่น้อย ไม่อย่างนั้นแล้ว ผู้บำเพ็ญพเนจรอย่างเขาก็คงจะไม่อาจพัฒนาไปถึงระดับเซียนเทียนช่วงปลายได้เลย เพราะคงจะแก่ชราและถึงแก่กรรมไปเสียก่อน
“แกก็แค่มีพลังฝีมือระดับจินตันช่วงปลาย นึกว่าฉันคงจะเสร็จแกแน่ๆ แล้วสินะ?”
เมื่อเห็นเหอปู้อวี่นำคันศรและลูกธนูนั้นออกมา เยี่ยเทียนก็รู้สึกใจหายวาบ บนแผ่นหลังขนลุกซู่ เขารู้สึกได้ถึงอันตรายชนิดหนึ่งที่ยังไม่เคยพบเจอมาก่อนเลย จึงไม่กล้าชักช้าอีก ตั้งจิตโดยพลัน ประกายแสงสีขาวประกายหนึ่งปรากฏขึ้นข้างหลังเหอปู้อวี่
‘เจ้าโง่ ใช้กรงเล็บฉีกตาข่ายนั่นออกมาสิ!’
ขณะเดียวกัน เยี่ยเทียนก็ส่งกระแสจิตไปถึงสิงห์ขนทองที่กำลังดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่กลางอากาศ เจ้าตัวเล็กนี่ติดจะโง่เกินไปสักหน่อย มัวแต่ใช้ปากฉีกทึ้งตาข่ายนั่น มีกรงเล็บว่างอยู่คู่หนึ่งกลับไม่รู้จักใช้
หลังจากได้ยินกระแสจิตของเยี่ยเทียน สิงห์ขนทองก็ฉุกคิดได้ทันที กรงเล็บน้อยๆ ทั้งสองข้างเกาะเกี่ยวกับรูตาข่าย แล้วออกแรงฉีกแยกออกจากกัน ของวิเศษที่หล่อหลอมขึ้นจากไหมทองหมื่นปีชิ้นนั้นถึงกับถูก สิงห์ขนทองน้อยฉีกขาดไปทันทีราวกับทำจากกระดาษ
“หืม นี่มันสัตว์วิเศษอะไรกันแน่? ทำไมถึงฉีกตาข่ายฟ้าดิน เฉียนคุนขาดได้?”
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ เหอปู้อวี่ที่ตอนแรกมั่นใจว่าตนชนะแน่แล้วก็กลับเปลี่ยนสีหน้าไป เมื่อเห็นว่าสิงห์ขนทองตัวนั้นกำลังจะฝ่าออกมาจากตาข่ายฟ้าดิน เฉียนคุน คันศรและลูกธนูในมือที่กำลังเล็งไปทางเยี่ยเทียนจึงเบนไปทางสิงห์ขนทองแทน
เสียงเหนี่ยวสายธนูดัง “เฟี้ยว!” ลูกธนูที่เหอปู้อวี่ถ่ายจิตดั้งเดิมเข้าไป พุ่งไปทางสิงห์ขนทองน้อยอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
“โฮก!”
สิงห์ขนทองเพิ่งจะฝ่าออกมาจากตาข่ายฟ้าดินเฉียนคุน ก็เห็นลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งมาหาทันที ความสามารถในการรับรู้ถึงอันตรายของมันยังไวกว่าเยี่ยเทียนมาก อุ้งเท้าน้อยๆ ทั้งสองข้างปัดป้องออกไปข้างหน้า แล้วร่างก็อันตรธานไปจากที่เดิมในทันใด
แต่ไม่ว่าสิงห์ขนทองน้อยจะรวดเร็วเพียงใดก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ดี เยี่ยเทียนมองเห็นอย่างชัดเจนว่า ณ ตำแหน่งที่ธนูดอกนั้นและร่างของเจ้าตัวน้อยหายไปพร้อมๆ กัน มีโลหิตสีทองอ่อนๆ กระเซ็นลงมาหลายหยด และยังมีเส้นขนของสิงห์ขนทองน้อยลอยปลิวอยู่กลางอากาศอีกด้วย
“แกนะแก จงตายซะเถอะ!”
เมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กได้รับบาดเจ็บ เยี่ยเทียนจึงโมโหเดือดดาลขึ้นมาทันที พอตั้งจิตสั่งการ ประกายขาวที่ปรากฏขึ้นข้างหลังเหอปู้อวี่นั้นก็ฟันปราณแท้คุ้มกายของเหอปู้อวี่จนเปิดออกอย่างไร้สุ้มเสียง แล้วพุ่งตรงเข้าไปที่กลางหลัง ทะลุออกมาที่หน้าอก
“มีดบิน?”
เหอปู้อวี่เพ่งสมาธิส่วนใหญ่ไปที่ตัวเยี่ยเทียนและสิงห์ขนทองมาตลอด จึงคาดไม่ถึงเลยว่าการจู่โจมจะมาจากข้างหลัง แต่ว่าต่อให้เขาเตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้า แต่มีดบินคู่กายของเยี่ยเทียนนั้นใช่สิ่งที่เขาจะต้านทานได้ที่ไหนกัน?
ขณะที่มีดบินพุ่งทะลุออกมาจากหน้าอกของเหอปู้อวี่ นัยน์ตาของเขาขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า สีหน้าบ่งบอกว่าไม่เชื่อว่านี่เป็นความจริง มือขวาแตะลงไปบนหน้าอกซ้ำๆ กันหลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจหยุดโลหิตที่ทะลักออกมาจากหน้าอกได้
เยี่ยเทียนฟูมฟักอู๋เหินมาหลายปี อีกทั้งยังเพิ่มวัสดุล้ำค่าหายากสารพัดอย่างเข้าไปด้วย ขณะที่มันแทงทะลุร่างของเหอปู้อวี่ไป ปราณมีดอันทรงพลังนั้นก็ได้ตัดพลังชีวิตภายในร่างกายของเขาไปจนหมดแล้ว ไม่เพียงเฉพาะหัวใจของเหอปู้อวี่เท่านั้น แม้แต่อวัยวะภายในอื่นๆ ก็ถูกกระเทือนจนแหลกไปหมดแล้ว
“เคร้ง!” เสียงโลหะกระทบกันดังกังวานขึ้นมา ที่แท้เป็นเสียงมีดบินของเยี่ยเทียนเข้าไปขวางลูกธนูดำที่กำลังไล่ล่าสิงห์ขนทองดอกนั้นนั่นเอง
เมื่อส่วนสำคัญของร่างกายบาดเจ็บ จิตดั้งเดิมของเหอปู้อวี่ย่อมได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงเช่นกัน ลูกธนูดอกนั้นเปล่งเสียงราวกับร้องโหยหวนออกมา แล้วร่วงลงไปบนพื้น เหอปู้อวี่ไม่อาจใช้จิตดั้งเดิมควบคุมของวิเศษชิ้นนี้ได้อีกแล้ว
“โฮก!”
เมื่อเห็นว่าลูกธนูที่กำลังไล่ล่ามันอยู่ถูกเยี่ยเทียนขัดขวางไว้ สิงห์ขนทองที่ตอนแรกกำลังโถมร่างไปข้างหน้าก็เปล่งเสียงคำรามออกมา ร่างพลันหยุดนิ่งอยู่กับที่ ลำแสงสีทองพาดผ่านไป แล้วร่างของมันก็ไปปรากฏขึ้นข้างๆ เหอปู้อวี่ ใช้กรงเล็บควักหัวใจของอีกฝ่ายออกมาโดยไม่ลังเล จับใส่ปากแล้วเริ่มเคี้ยว
“อย่าเพิ่งฆ่ามันนะ!”
เมื่อเห็นสัญชาตญาณดุร้ายของสิงห์ขนทองน้อยตื่นขึ้นมา เยี่ยเทียนจึงขยับร่างวูบ ยื่นมือไปคว้าคอของสิงห์ขนทองไว้ อุ้งเท้าหน้าของเจ้าตัวเล็กข้างนั้นจึงค่อยๆ คลายจากลำคอของเหอปู้อวี่
“น…นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
การประมือระหว่างเยี่ยเทียนและเหอปู้อวี่นั้น สามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้ภายในเวลาชั่วกระต่ายกระโดดนกเหยี่ยวบินโฉบ จนโก่วซินเจียเห็นแล้วตาลายไปหมด สมองก็ยังมึนงงอยู่เล็กน้อย เพราะจนกระทั่งตอนนี้ ภาพที่ทั้งสองฝ่ายสนทนากันอย่างสนิทสนมจริงใจเมื่อครู่ก็ยังค้างอยู่ในสมองของเขาอยู่เลย
“เรื่องอะไรน่ะหรือ?”
เมื่อเห็นว่าพลังชีวิตของเหอปู้อวี่ถูกตัดขาดไปทั้งร่างแล้ว เยี่ยเทียนถึงจะผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก แค่นหัวเราะตอบว่า
“คนผู้นี้มีเจตนาร้ายแฝงอยู่ในใจมาตั้งแต่แรกแล้ว ตอนแรกศิษย์พี่ใหญ่เองก็ดูออกนี่ครับ ทำไมตอนหลังกลับมาหลงเชื่อมันไปได้ล่ะ?”
“ที่เธอพูดคุยกับเขาไปก่อนหน้านี้ เป็นการเสแสร้งแกล้งทำทั้งหมดเลยหรือ?”
โก่วซินเจียได้ยินแล้วอดหัวเราะเจื่อนๆ ไม่ได้ เขารู้สึกว่าตัวเองแก่ชราแล้วจริงๆ แม้ว่าเยี่ยเทียนจะบอกเจตนาให้เขารู้ไว้ก่อนแล้ว แต่โก่วซินเจียก็ยังถูกการสนทนาวิสาสะของทั้งคู่ตบตาเข้าจนได้
“เฮอะ มันเองก็ทำเหมือนกันไม่ใช่หรือครับ?”
เยี่ยเทียนแค่นเสียงดังเฮอะ มองดูเหอปู้อวี่ที่อยู่บนพื้นแล้วพูดขึ้นว่า
“แกไม่ต้องคิดว่าจะให้จิตดั้งเดิมหลบหนีไปหรอกนะ ไม่มีโอกาสหรอก!”
เยี่ยเทียนรู้ว่า หลังจากที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียนช่วงปลาย จิตดั้งเดิมก็จะถูกหลอมจนแข็งแกร่งสุดเปรียบปาน ต่อให้สูญเสียกายเนื้อไป ก็ยังสามารถดำรงอยู่ในโลกนี้ต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง ยามนี้เหอปู้อวี่แสร้งตายอยู่บนพื้น แสดงว่ากำลังคิดจะให้จิตดั้งเดิมหนีออกไปหาที่จุติใหม่แน่ๆ
“แกยังไม่เคยเข้าสู่มิติแดนแห่งทวยเทพมาก่อน ทำไมถึงได้รู้อะไรๆ มากมายขนาดนี้เล่า?”
พอเยี่ยเทียนพูดจบ เหอปู้อวี่ที่ตอนแรกมีใบหน้าซีดเผือด ดวงตาทั้งคู่หลับสนิทนั้นก็ลืมขึ้นมาทันที ในดวงตาทั้งคู่เปี่ยมด้วยความเคียดแค้นขมขื่น ฉายความสับสนอย่างหนักออกมาด้วย
บำเพ็ญพรตมาหลายร้อยปี สุดท้ายกลับต้องมาลงเอยเช่นนี้ เหอปู้อวี่รู้สึกเจ็บใจนัก
“โลกของปุถุชนนั้นขาดแคลนปัจจัยต่างๆ แล้วแกหลอมมีดบินคู่กายออกมาได้อย่างไรกัน? แล้วอำพรางมีดบินนั้นไว้ข้างหลังข้าตั้งแต่เมื่อใด?”
ตามความคิดของเหอปู้อวี่ ถ้าเยี่ยเทียนยังไม่เคยเข้าสู่มิติแดนแห่งทวยเทพมาก่อน ความรู้และประสบการณ์ของเขาก็น่าจะมีอยู่อย่างจำกัด ยิ่งไม่น่าจะมีของวิเศษใดๆ อยู่ในครอบครองได้ แต่เหอปู้อวี่กลับคาดไม่ถึงเลยว่า เยี่ยเทียนจะมีมีดบินคู่กายที่แม้แต่ผู้บำเพ็ญมากมายในดินแดนแห่งทวยเทพยังไม่มี หากไม่อาจไขปัญหานี้ให้กระจ่างได้ เหอปู้อวี่คงตายตาไม่หลับแน่
“แกน่ะแพ้ภัยจากอุบายอันชาญฉลาดของตัวเองนั่นแหละ”
เยี่ยเทียนมองเหอปู้อวี่อย่างเย็นชา
“สมบัติประจำตระกูลของตระกูลซือคงนั้นล้ำค่าถึงระดับไหนกัน? แล้วจะให้แกเก็บไว้เป็นของแทนตัวง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร? อย่างนั้นก็หมายความว่าแกต้องได้มันมาจากการฆ่าคนชิงทรัพย์แน่ เพราะฉะนั้นฉันก็เลยระแวงแกมาตั้งแต่แรกแล้ว…”
แม้ว่าเหอปู้อวี่จะมีชีวิตอยู่มานานแล้ว ความคิดจิตใจก็อำมหิตพอตัว แต่เขาติดตามอาจารย์ไปบำเพ็ญพรตอยู่ตามป่าเขาตั้งแต่เยาว์วัย ต่อมาก็ได้เข้าไปอยู่ในดินแดนแห่งทวยเทพเลย ความสามารถในการหลอกลวงต้มตุ๋นนั้นจึงได้มาจากการศึกษาด้วยตนเองล้วนๆ
เยี่ยเทียนแม้จะอายุไม่มาก แต่เขาได้ออกไปท่องยุทธภพปะปนอยู่ในสังคมตั้งแต่อายุสิบขวบ มีคนแบบไหนบ้างเล่าที่ยังไม่เคยพบเจอ? แค่ฟังคำพูดของเหอปู้อวี่ประโยคเดียว เขาก็เห็นพิรุธแล้ว และเขาเองก็มีจิตคิดสังหารอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรก ตอนที่สิงห์ขนทองฉีกชุดนักพรตของอีกฝ่าย เยี่ยเทียนก็ได้ซุกซ่อนมีดบินไว้ใต้พื้นด้านหลังเหอปู้อวี่อย่างเงียบเชียบ
“นายท่านเป็นอะไรไป? แกฆ่านายท่านไปแล้วงั้นรึ?”
ระดับสติปัญญาของวานรขาวไม่ได้ด้อยไปกว่ามนุษย์ มันย่อมฟังเข้าใจในสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมาทั้งหมด จึงเปล่งเสียงร่ำร้องออกมาอย่างโศกเศร้า คว้าพลองเหล็กเย็นกระโจนเข้ามา แล้วฟาดไม้พลองลงไปที่กะโหลกศีรษะของเหอปู้อวี่ทันที
“อย่าวู่วามไป ยังมีเรื่องต้องถามมันอีกนะ!”
เยี่ยเทียนจับไม้พลองที่กำลังฟาดลงมาไว้ แล้วพูดขึ้นอีกว่า
“ถ้าแกยอมตอบคำถามมาโดยดี ฉันก็จะให้แกได้ตายแบบสบายๆ!”
“เจ้าหนุ่มเอ๋ย สักวันท่านเหอผู้นี้จะต้องกลับมาลบล้างความแค้นในวันนี้แน่!”
ดวงตาทั้งคู่ของเหอปู้อวี่พลันเบิกกว้าง เงาจางๆ เงาหนึ่งพุ่งออกมาจากหว่างคิ้วของเขา จิตดั้งเดิมซึ่งอยู่ในร่างเปลือยเปล่า และมีหน้าตาเหมือนกับเหอปู้อวี่ไม่มีผิดนั้นมองซ้ายมองขวาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเหาะตรงไปยังทิศทางที่จะออกจากภูเขาทันที
“คิดหนีเรอะ?”
เยี่ยเทียนรวบรวมจิต อากาศโดยรอบนั้นก็ราวกับถูกแช่แข็งไปทันที จิตดั้งเดิมของเหอปู้อวี่ที่กำลังจะหลบหนีจึงชะงักค้างอยู่กลางอากาศทั้งอย่างนั้น
ตอนที่ 873 กลืนกิน
“อย่าให้มันมากเกินไป คนแซ่เยี่ย แกกับฉันไม่เคยมีบุญคุณความแค้นต่อกัน ทำไมต้องถึงกับฆ่ากันด้วย?”
จนถึงตอนนี้จิตดั้งเดิมถูกกักกันเอาไว้ เหอปู้อวี่ถึงจะรู้สึกถึงความกลัวในใจ เขาฝึกเต๋ามาสามร้อยกว่าปี จิตดั้งเดิมหนักแน่นนักหนา แต่เมื่อจิตออกจากร่างกาย ดวงจิตจะสามารถดำรงอยู่ได้แค่สิบกว่าวันเท่านั้น
ถ้าในสิบกว่าวันนี้ช่วงชิงร่างคนอื่นมาได้ เหอปู้อวี่จะต้องอยู่อย่างอดสูไปอีกหลายปี คนเราอายุยิ่งยืนยิ่งรักชีวิต ต่อให้การช่วงชิงร่างอื่นจะทำให้เขาต้องแลกกับตบะที่ฝึกมาเป็นร้อยปี แต่อย่างน้อยเขายังอยู่บนโลกได้อีกหลายสิบปี
“น้องเยี่ย แกกับฉันแค่ทดสอบวิชากันเฉยๆ กายหยาบของฉันสูญไปแล้ว ดวงจิตนี้ก็อยู่ได้อีกไม่กี่วัน ไม่ต้องบังคับขู่เข็ญกันปานนี้หรอก?”
คำพูดของเหอปู้อวี่ขอความเห็นใจ เขาอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ มองดูแล้วเหมือนเยี่ยเทียนไม่รู้ว่ามีวิธีแย่งชิงร่างจากคนอื่นได้
“พี่เหอ ฉันทำลายร่างของพี่ แล้วจะปล่อยดวงจิตของพี่เอาไว้ ให้กลับมาล้างแค้นฉันทีหลังหรือ?”
เยี่ยเทียนใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่ในถ้อยคำแสดงถึงการคุกคามเอาชีวิต ถ้าเหอปู้อวี่ได้ร่างใหม่แล้ว ระดับญาณของเขาลดลงฮวบฮาบ ไม่มีทางเป็นอันตรายต่อเยี่ยเทียนได้อีก แต่เหอปู้อวี่ที่ได้ร่างใหม่มาจะหันไปทำร้ายครอบครัวของเขาได้ไม่มีปัญหา เยี่ยเทียนไม่มีทางเหลือเสี้ยนหนามเอาไว้
“แต่….”
จู่ๆ เยี่ยเทียนกลับคำ
“ถ้าพี่เหอพอจะบอกฉันเรื่องเกี่ยวกับดินแดนแห่งทวยเทพว่า พี่เป็นศิษย์ของสำนักไหน ฉันจะไม่บีบบังคับให้มากเกินงาม แล้วก็จะไม่ลงมือกับพี่เหออีก”
ปีก่อนมีการปรากฏตัวของติงหง ปีนี้ยังมาเจอเหอปู้อวี่อีก ทั้งสองคนต่างมาจากดินแดนแห่งทวยเทพ เยี่ยเทียนรู้สึกไม่วางใจเพราะคนพวกนี้ต่างเป็นคนที่เก่งกาจทั้งนั้น การมีปัญหากับพวกเขาจะทำให้เดือดร้อนไปถึงครอบครัวได้
ดังนั้นเขาจึงอยากรู้เรื่องราวของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เยี่ยเทียนจึงถามออกไป แน่นอนว่าแม้เหอปู่อวี่จะเล่าให้เยี่ยเทียนฟังในเรื่องที่เขาอยากรู้ เยี่ยเทียนก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปอยู่ดี ตัวเองไม่ลงมือเอง ไม่ได้หมายความว่าศิษย์พี่ใหญ่จะไม่ลงมือ
เสียงของเยี่ยเทียนยังไม่ทันขาดคำ วานรขาวที่ถือไม้กระบองเหล็กอันใหญ่ยืนอยู่ข้างๆเยี่ยเทียนตะโกนออกมา
“เยี่ยเทียน ให้เขาบอกออกมาว่าเจ้านายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อก่อนพอเห็นกระบี่สั้นที่ตกทอดกันมาในตระกูลซือคงนั้น วานรขาวไม่ได้คิดมากไปเอง แต่ตอนที่ตาข่ายฟ้าดินเฉียนคุน ปรากฏออกมานั้น มันก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ของสิ่งนี้เป็นของวิเศษมีฤทธิ์คุ้มครองของตระกูลซือคง ไม่มีทางส่งต่อไปสู่มือคนอื่น
“พี่เหอ พี่ดูสิ ไม่ใช่ว่าฉันบังคับพี่หรอกนะ!”
เยี่ยเทียนยิ้มเยาะออกมา
“พี่เล่าออกมาแต่โดยดีเถอะ หรือจะให้ฉันต้องลงมือ?”
เมื่อเข้าถึงระดับเซียนเทียนได้ ผู้ฝึกต้องให้ความสำคัญกับการฝึกจิตดั้งเดิม พวกเขาสามารถปิดผนึกการรับรู้ทั้งหกของร่างกายได้ ดังนั้นความรู้สึกเจ็บปวดนั้นไม่มีความหมายเลย อย่างเช่นตอนที่เยี่ยเทียนทำลายร่างของเหอปู่อวี่นั้นเขาไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด
เมื่อเป็นเช่นนี้ เพื่อการลงโทษศัตรู ในโลกของเทพเซียนก็มีวิธีการควบคุมและทรมานจิตดั้งเดิมเหมือนกัน เยี่ยเทียนเคยอ่านวิธีพวกนี้มาจากบันทึกของจางซันเฟิง แต่ยังไม่เคยใช้กับใครมาก่อน ตอนนี้เป็นโอกาสเหมาะที่จะนำมาลองใช้
“ถ้าแกยังบังคับฉันอีก ฉันจะระเบิดจิตดั้งเดิมของตัวเองเสีย แกจะไม่มีทางรู้ในสิ่งที่อยากรู้!”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้เหอปู้อวี่หมดหวัง เขาไม่ฉลาดเจ้าเล่ห์เท่า ตบะญาณก็ด้อยกว่า อยู่มาได้สามร้อยกว่าปีกลับถูกเยี่ยเทียนปั่นหัวหยอกเล่นเอาได้ เหอปู้อวี่ตอนนี้อยากจะระเบิดตัวเองทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
“เอ๋? มีเรื่องยุ่งยากเข้ามาอีกแล้ว!”
เยี่ยเทียนเลิกคิ้ว เขารู้ว่าเหอปู้อวี่มองออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ เขาขอยอมตายเสียดีกว่าที่จะบอกเรื่องในดินแดนแห่งทวยเทพให้ตนฟัง
“เอาเถอะ พี่เหอขอสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น ฉันจะส่งพี่ออกเดินทางเอง!”
เยี่ยเทียนฆ่าคนอย่างง่ายดาย เมื่อไม่ยอมเอ่ยปากพูด เขาก็จะไม่ใจอ่อนให้ เยี่ยเทียนดีดนิ้วมือขวา มีดบินอู๋เหินที่ลอยอยู่กลางอากาศก็เกิดเสียงดังขึ้น
“โฮก!”
ตอนที่เยี่ยเทียนซัดมีดบินอู่เหิงไปที่จิตดั้งเดิมของเหอปู้อวี่นั้น เจ้าสิงห์ขนทองที่อยู่ไม่ไกลมาก ได้คำรามออกมา แล้วทะยานตัวไปข้างหน้า บังลำแสงที่พุ่งเข้าไปหาเหอปู้อวี่ ทำให้คำสั่งที่เยี่ยเทียนใช้จิตผูกมัดเหอปู้อวี่ไว้ขาดสะบั้นลง
“เจ้าบ้า แกจะทำอะไร?”
เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงว่าสิงห์ขนทองจะทำลายค่ายกลที่เขาสะกดเอาไว้ได้ เยี่ยเทียนร้อนใจขึ้นมาทันที คิดอยากสร้างค่ายกลใหม่อีกครั้งแต่ไม่ทันแล้ว
ตรงข้ามกับเยี่ยเทียน เหอปู้อวี่ที่คิดว่าตนเองต้องไม่รอดแน่ กลับลิงโลดดีใจ เมื่อหลุดจากพันธนาการ จิตดั้งเดิมพุ่งทะยานหลบไป ไม่มีกายหยาบเป็นตัวถ่วงความเร็ว จิตดั้งเดิมพุ่งตัวไปได้เร็วมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนเตรียมการมาก่อน คงไม่สามารถหน่วงเหนี่ยวเหอปู้อวี่เอาไว้ได้
“โฮก!”
ตอนที่เหอปู้อวี่เริ่มใจชื้นขึ้นอีกครั้ง ก็ได้ยินเสียงคำรามด้วยความโกรธของสิงห์ขนทองดังมาข้างหู ตามมาด้วยแรงดึงดูดอันมหาศาล ที่ดึงจิตดั้งเดิมของเขาให้บินถอยหลังกลับไป
“ไม่….ทำไมเป็นอย่างนี้?”
เหอปู้อวี่หันหลังกลับมามอง แค่ชั่วพริบตาเดียวเขาก็ตกใจจนสติเกือบหลุด เพราะว่าแรงดึงดูดนั้นมาจากปากของเจ้าสิงห์ขนทองนั่นเองที่ทำให้เขาลอยกลับไป มองดูแล้วปากของมันก็ไม่ได้ใหญ่เท่าไหร่
“แก…แกเป็นสัตว์วิเศษในตำนาน สิงห์ขนทอง!”
มาถึงระยะห่างจากปากของสิงห์ขนทองเหลือแค่ห้าหกเมตร เหอปู้อวี่ถึงจะดึงสติกลับมาได้ ความเสียใจภายหลังของเขามีมากจนล้นมหาสมุทร ถ้ารู้มาก่อนว่าเยี่ยเทียนจะพาสิงห์ขนทองมาด้วย ต่อให้เขาจะใจกล้ามากกว่านี้สิบเท่า ก็คงไม่กล้ามาลอบกัดเยี่ยเทียน
เพียงแต่ว่าเจ้าสิงห์ขนทองตัวนี้กับสัตว์ประหลาดที่โตเต็มวัย ขนาดยังต่างกันมาก เหอปู้อวี่เคยเห็นรูปสัตว์ในตำนานอย่างสิงห์ขนทองในตำราโบราณ แต่ไม่คิดว่าเจ้าหนุ่มคนนี้จะไปเกี่ยวข้องกับสัตว์โบราณ ตอนนี้ถึงจะรู้ว่าไม่ควรก็ต่อเมื่อสายเกินไปแล้ว
อีกอย่างเหอปู่อวี่ไม่มีโอกาสร้องขอชีวิต แรงดูดจากปากเล็กๆนั่น สูบจิตดั้งเดิมของเหอปู่อวี่เข้าไปเรียบร้อยแล้ว แรงสั่นสะเทือนจากดวงจิตที่แตกดับแผ่ออกมา เหอปู้อวี่จบชีวิตลงอย่างบริบูรณ์
“เอ้อ แก….แกกินจิตดั้งเดิมของเขาเข้าไปแล้วหรือ?”
เยี่ยเทียนที่กำลังวางค่ายกลได้ครึ่งๆกลางๆ ได้แต่มองตาค้าง เขานึกขึ้นมาได้ว่า สิงห์ขนทองถูกบันทึกลงในตำราสัตว์วิเศษโบราณนั้น ไม่เพียงแต่พละกำลังของมันที่มีมหาศาล มันยังมีพลังทิพย์อีกอย่าง
พลังทิพย์นี่คือมันสามารถกลืนกินดวงวิญญาณร้าย ไม่ว่าจะเป็นของสัตว์หรือของคน ต่างเป็นของบำรุงชั้นดีสำหรับมัน จิตดั้งเดิมเป็นดวงวิญญาณชนิดหนึ่ง สิงห์ขนทองเป็นดาวเคราะห์ เหอปู้อวี่จึงถูกมันกลืนดวงจิตเข้าไปจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลก
“ร้ายกาจ จิตดั้งเดิมที่ฝึกถึงระดับเซียนเทียนขั้นสูงยังถูกมันกินได้….”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังจุ๊ปากกับความแปลกประหลาดอยู่ ร่างของเจ้าซวนสิงห์โงนเงนไปมาเหมือนเมาสุรา เยี่ยเทียนยังไม่ทันตั้งตัว มันก็ฟุบลงไปนอนกับพื้น
“เอ๋? อะไรกันนี่?”
เยี่ยเทียนยื่นมือออกไปประคองได้ทันไม่ให้หัวของมันกระแทกพื้น เขารั้งร่างของมันไว้ ใช้ดวงจิตสืบดูบนร่างของสิงห์ขนทองกลับพบว่าในร่างของมันมีจิตนึกรู้หนึ่งที่แข็งแกร่งมาก
“เยี่ยเทียน มันคือสิงห์ขนทองจริงๆหรือ?”
ตอนนี้วานรขาวได้โดดเข้ามาร่วมวงด้วย สายตาที่มองดูมันมีแววหวาดกลัว สิงห์ขนทองเป็นสัตว์ในตำนาน ถือเป็นราชาแห่งสัตว์ทั้งหลาย ในเลือดของมันมีพลังความแข็งแกร่งซ่อนอยู่ แม้ตบะของวานรขาวจะสูงกว่าสิงห์ขนทอง แต่ในใจก็ยังแอบหวั่นเกรงอยู่
“ใช่ ฉันเคยพบกับพ่อแม่ของมัน เป็นสิงห์ขนทองแน่นอน”
เยี่ยเทียนพยักหน้า มองไปทางวานรขาว
“พวกแกเป็นสัตว์วิเศษเหมือนกัน รู้ไหมว่าตอนนี้มันเป็นอะไร? มีอันตรายไหม?”
สิงห์ขนทองถึงจะดุร้าย แต่มันกลับปฏิบัติต่อเยี่ยเทียนอย่างอ่อนโยน เยี่ยเทียนยังเคยติดค้างหนี้บุญคุณพ่อแม่ของมัน ตอนนี้เยี่ยเทียนจึงกังวลมาก
“มันยังเด็ก ตอนนี้น่าจะเป็นเพราะกินจิตดั้งเดิมเข้าไป….”
วานรขาวแสดงท่าทีอิจฉา มันเกิดมาหลายสิบปีถึงจะมีดวงจิตวิเศษ หลังจากนั้นอีกร้อยปีถึงจะฝึกได้จิตดั้งเดิม นี่ถือว่าก้าวหน้าอย่างรวดเร็วถ้าเทียบกับสัตว์เดรัจฉานทั่วไป แต่เจ้าสิงห์ขนทองตัวน้อยนี้เกิดมาเพียงไม่กี่ปี ก็ได้จิตดั้งเดิมแล้ว ความแตกต่างที่ชัดเจนทำให้วานรขาวอดอิจฉาไม่ได้
“อ้อ? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ควรรบกวนมัน!”
เยี่ยเทียนได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า นำร่างของสิงห์ขนทองไปวางไว้ใต้ต้นไม่ คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หยิบพลอยวิเศษธาตุไม้ออกมาวางไว้ที่เท้าหน้าของมัน เพราะตอนที่เหอปู้อวี่ยิงธนูทำให้เจ้าสิงห์ขนทองได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
“เจ้านี่สมควรตาย แต่แกทำยังไงกับเจ้านายของข้า?”
เยี่ยเทียนจัดการสิงห์ขนทองเรียบร้อย วานรขาวก็พุ่งตัวเข้าไปที่ร่างของเหอปู้อวี่ มันดูหงุดหงิดดุร้ายผิดปกติ ตอนนี้เหอปู้อวี่ก็ตายไปแล้ว ไม่มีทางตอบคำถามมันได้ เจ้าวานรขาวใช้กระบองทุบตีร่างของเหอปู้อวี่จนเละเทะ
“นี่วานรขาว คนตายไปแล้ว อย่าลบหลู่ร่างของเขาอีกเลย”
เยี่ยเทียนส่ายหัวเล็กน้อย คำโบราณว่าไว้ ปลาหมอตายเพราะปาก หินวิเศษธาตุไม้ที่เขานำออกมานั้นยังรู้สึกได้ถึงพลังจิตสังหารที่หลงเหลือของเหอปู้อวี่ เหอปู้อวี่คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มอย่างเยี่ยเทียนจะฉลาดหลักแหลมมากกว่าตน ในโลกมนุษย์ช่างโสมยิ่งกว่าดินแดนแห่งทวยเทพที่เขาเคยอยู่มา
“พี่วานรขาว ของวิเศษนี้น่าจะเป็นของที่ตกทอดในตระกูลของเจ้านายของพี่ เก็บรักษาไว้เถอะ”
เยี่ยเทียนมอบ ตาข่ายฟ้าดินเฉียนคุนให้แก่วานรขาว จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างร่างไร้วิญญาณของเหอปู้อวี่ สิ่งที่ถูกสิงห์ขนทองฉีกทำลายได้ เยี่ยเทียนไม่เห็นอยู่ในสายตา เขาพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้งว่าบนร่างนั้นยังมีของวิเศษหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่
เมื่อรับตาข่ายฟ้าดินเฉียนคุนมาแล้ว วานรขาวหลบออกไปด้านข้างอย่างรู้งาน ถึงมันจะอารมณ์รุนแรง แต่กลับไม่สำนึกตัวเอง วันนี้ถ้าไม่คำพูดของเยี่ยเทียนเตือนไว้ ตัวมันคงต้องตายด้วยน้ำมือของเหอปู้อวี่ ต่อให้เยี่ยเทียนเก็บตาข่ายฟ้าดินเฉียนคุนไป เจ้าวานรขาวก็จะไม่ว่าอะไรสักคำ
“ให้ตายเถอะ ยากจนข้นแค้นอะไรขนาดนี้? ไม่มีพลอยวิเศษเลยสักชิ้นเดียว!”
ดวงจิตของเยี่ยเทียนสำรวจไปตามร่างกายของเหอปู้อวี่ แล้วก็ต้องพรั่งพรูคำสบถออกมา
ตอนที่ 874 ได้รับการอบรมอย่างเท่าเทียม
เยี่ยเทียนคิดออกว่าในดินแดนแห่งทวยเทพต่อให้ไม่เป็นเหมือน เกาะเซียน “เผิงไหล” ก็น่าจะเป็นสถานที่ๆมีพลังวิเศษเต็มเปี่ยม มียาวิเศษอยู่ทั่วไป เหอปู้อวี่น่าจะพกสิ่งของป้องกันตัวมาบ้าง
เยี่ยเทียนใช้ดวงจิตสำรวจเสร็จแล้ว กลับพบว่านอกจากกระบี่สั้นกับตาข่ายฟ้าดินเฉียนคุนแล้ว ยังมีขวดยาอยู่อีกหลายขวด แล้วก็ไม่มีอาวุธวิเศษอื่นอีก ทำให้เยี่ยเทียนที่ตั้งความหวังเอาไว้สูงสบถออกมา
“เยี่ยเทียน ตาข่ายฟ้าดินเฉียนคุนเป็นของตกทอดมาในตระกูลซือคง ทำมาจากไหมทองหมื่นปี แกอย่าคิดว่ามันถูกเจ้าสิงห์ขนทองฉีกขาดแล้วสิ แต่คนที่ฝึกถึงระดับเซียนเทียนขั้นสูงถูกม่านนี้เข้าครอบคลุมไว้ ก็ยังหนีไปไหนไม่รอด”
วานรขาวที่อยู่มาหลายร้อยปี เห็นท่าทางดูหมิ่นของเยี่ยเทียนแล้วรีบนำเอาตาข่ายฟ้าดินเฉียนคุนยื่นให้
“ฉันไม่มีทางใช้เพลิงปราณแท้ ซ่อมแซมมันได้ เอาไปก็ไม่มีประโยชน์ ยกให้แกไปก็แล้วกัน!”
แม้มันกับเยี่ยเทียนจะเคยผูกมิตรกันเพียงเล็กน้อย แต่ในโลกของการฝึกวิชา ต่างยกย่องผู้ที่มีตบะเหนือกว่า วานรขาวรู้ว่าเยี่ยเทียนมีความปรารถนาในสิ่งเดียวกับเหอปู้อวี่ มันถึงมอบตาข่ายฟ้าดินเฉียนคุนให้เขา
“อ้อ? มันจะดีหรือ?”
เยี่ยเทียนเอ่ยอย่างเกรงใจ แต่มือขวายื่นไปรับสิ่งนั้นมาแล้ว ใช้มือสองข้างออกแรงฉีก เขาก็ต้องตกใจ เพราะรู้สึกเจ็บที่ฝ่ามือเหมือนถูกมีดบาด ส่วนตาข่ายฟ้าดินเฉียนคุนไม่ปรากฏร่องรอยเลยแม้แต่น้อยและยังคงทอประกายสีทองอ่อนออกมา
“พี่วานรขาว ถ้าอย่างนั้นฉันขอรับไว้ก็แล้วกัน”
เยี่ยเทียนเห็นว่าตาข่ายฟ้าดินเฉียนคุนพกพาง่าย ใช้มือม้วนมันเป็นก้อนก็เหมือนกับมัดด้ายป่านนิ่มมัดหนึ่ง ยัดลงไปในกระเป๋า ยังไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของมันเลย ทั้งยังไม่กินพื้นที่ในกระเป๋ามากอีกด้วย
“เยี่ยเทียน ครั้งนี้ต้องขอบคุณแกมาก”
วานรขาวมองดูเยี่ยเทียนที่เมื่อหลายปีก่อนยังอ่อนแอจนใช้มือบีบก็ตายได้ ตอนนี้วานรขาวรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย ตามชั้นอาวุโสในการฝึกตบะฝึกวิชา มันควรจะเรียกเยี่ยเทียนว่าผู้อาวุโส แต่วานรขาวพูดคำนั้นไม่ออก
“พี่วานรขาวเกรงใจเกินไปแล้ว”
เยี่ยเทียนส่ายหัว
“พี่วานรขาว ก็เห็นแล้วนี่ ตอนนี้ตบะของผมอยู่ในขั้นเจี่ยตันแล้ว จะต้องรับเคราะห์กรรมอัสนีสวรรค์เมื่อไหร่ก็ได้ ครั้งนี้ที่มาถึงอาณาเขตแห่งเทพกสิกร เพราะอยากจะมาขอยาวิเศษจากพี่วานรขาว ไม่รู้ว่าได้หรือไม่?”
เยี่ยเทียนไม่อ้อมค้อม เขาบอกจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้ตามตรง ตอนแรกเขายังกังวลอยู่ว่าสวนสมุนไพรเป็นของทายาทตระกูลซือคง ถ้าเป็นของที่มีเจ้าของแล้วตนเข้าไปแย่งมา อนาคตจะต้องถูกเจ้าของมาทวงคืนให้อับอาย
แต่เมื่อได้พบกับเหอปู้อวี่ เยี่ยเทียนเดาออกว่าทายาทคนสุดท้ายของตระกูลซือคงน่าจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว
สวนสมุนไพรที่มีหลิงจือเติบโตอยู่ทั่วทั้งสวนนั้นไม่มีเจ้าของแล้ว แน่นอนว่าใครมีบุญก็จะได้ไปครอบครอง แน่นอนว่าเยี่ยเทียนนั้น “มีบุญ” มากพอที่จะได้รับส่วนแบ่งในนั้น
“คือ…สวนสมุนไพรนั่นเป็นของตระกูลเจ้านายที่สืบทอดสะสมมาเป็นพันปี!”
ได้ยินคำของเยี่ยเทียนแล้ว วานรขาวชักสีหน้า คนกับวานรสามารถแสดงออกทางสีหน้าท่าทางได้เหมือนกัน
“ช่างเถอะ เจ้านายจากไปแล้ว ตระกูลซือคงก็ไม่เหลือทายาทอีก”
วานรขาวคิดได้ว่าเจ้านายของมันน่าจะตายไปแล้ว ถ้ามันยังยืนกรานต่อไปคงจะทำให้เยี่ยเทียนไม่พอใจ จึงถอนหายใจออกมาแล้วตอบว่า
“ในสวนสมุนไพรแกอยากเด็ดยาอะไรก็เด็ดได้ตามสบาย แต่หวังว่าแกจะไม่ไปตัดถูกรากของหญ้าวิเศษนะ อีกหลายปีต่อไปมันจะได้โตขึ้นมาใหม่”
เยี่ยเทียนหัวเราะ “พี่วานรขาว วางใจเถอะ ฉันแค่เก็บสมุนไพรแค่ไม่กี่ชนิดเท่านั้น ไม่ทำเสียหายหรอก!”
เยี่ยเทียนรู้ตำแหน่งของสวนสมุนไพรดี วานรขาวจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงชะตาของสวนสมุนไพรได้ ไม่เช่นนั้นเยี่ยเทียนคงมีวิธีจัดการในแบบของเขาเอง
“เยี่ยเทียน!”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังสนทนากับวานรขาวเรื่องสวนสมุนไพรอยู่นั้น ในหัวมีเสียงเรียกชื่อตัวเองดังขึ้น เขามองหาไปทั่ว แล้วก็ดีใจที่เห็นว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าเหมาโถวฟื้นตัวแล้ว ร่างของมันเป็นเหมือนเงาสีขาวพุ่งเข้ามาอยู่ในอ้อมอกเขา
“เหมาโถว ไม่เป็นไรแล้วนะ วิธีการสื่อทางจิตนี้วานรขาวเป็นคนสอนแกใช่ไหม?”
เยี่ยเทียนขยี้หัวเจ้าเหมาโถวแรงๆ คิดถึงตอนนั้นที่เขาช่วยชีวิตเจ้าเฟอร์เร็ตนี้ออกมาจากรอยแยกของภูเขาหิมะ ทั้งเลี้ยงดูมันจนโต ความผูกพันลึกซึ้ง เหมาโถวถูกทำร้ายสาหัสและเป็นสาเหตุที่เยี่ยเทียนคิดจะสังหารเหอปู้อวี่ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน
“ใช่แล้ว ฮ่าๆๆ ฉันคุยกับนายได้แล้ว เยี่ยเทียน ฉันมีความสุขมากเลย!”
เหมาโถวตื่นเต้นเหมือนเด็ก มันม้วนตัวปีนขึ้นไปพันอยู่บนไหล่ของเยี่ยเทียน มันใช้อุ้งเท้าหน้าสองข้างพยายามสร้างทรงผมใหม่ให้เขา เป็นสิ่งที่มันชอบทำมาตั้งแต่ยังเล็ก
“เจ้าบ้า เรียกฉันว่าอาจารย์ ห้ามเรียกชื่อฉันตรงๆนะ!”
เยี่ยเทียนคำรามในลำคออย่างไม่พอใจ เขาดึงตัวเหมาโถวลงมาจากบ่า ล้วงเอาพลอยวิเศษธาตุไม้ก้อนเล็กๆที่อยู่ในปากมันออกมา โยนให้วานรขาว
“พี่วานรขาว พี่ก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน ใช้พลอยวิเศษนี้รักษาสิ ใช้ยามันจะไม่ทันใจ รอเจ้าเสี่ยวจินตื่นขึ้นมาก่อนค่อยว่ากัน!”
“ได้สิ ขอบคุณ!”
วานรขาวคว้าก้อนพลอยไว้ในมือ รู้สึกถึงพลังแห่งชีวิตที่แผ่กระจายออกมาจากพลอยนั้น มันจึงไม่พูดอะไรต่อ ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นเพื่อดูดซับพลังวิเศษนั้นใช้เดินพลังลมปราณในร่างกาย สำหรับมันแล้วเยี่ยเทียนแม้จะเป็นแขกที่มาร้าย แต่เป็นคนที่มันเชื่อถือได้
“เหมาโถว เอาไป นี่เป็นของที่อาจารย์ลุงให้แก!”
เห็นท่าทางสนิทสนมของเยี่ยเทียนกับเหมาโถวแล้ว โก่วซินเจียล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบเอาพลอยวิเศษธาตุน้ำออกมา ก่อนที่เหมาโถวจะเริ่มฝึกเต๋ามันเป็นสัตว์แสนรู้ พวกศิษย์พี่ของเยี่ยเทียนอย่างโก่วซินเจียรักใคร่เอ็นดูมันมาก
“ก็ได้ อาจารย์ก็อาจารย์ ขอบคุณอาจารย์ลุง!”
เหมาโถวเอนหัวมองพลอยวิเศษสีฟ้าก้อนนั้นแล้วครุ่นคิด ในที่สุดก็ยอมรับ มันกระโจนไปที่ฝ่ามือของโก่วซินเจียคาบพลอยธาตุน้ำเอาไว้ในปาก ร่างกายของมันเย็น เหมาะจะใช้ธาตุน้ำในการฝึกวิชา
“แกเรียกอาจารย์จริงๆด้วย?”
ได้ยินเสียงดวงจิตของเจ้าเหมาโถวเรียกเขาว่าอาจารย์แล้วเยี่ยเทียนก็อึ้งไป เมื่อครู่เขาเพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น ไม่คิดอยากรับสัตว์วิเศษ….หรือที่คนทั่วไปเห็นว่าเป็นปีศาจตัวน้อยมาเป็นลูกศิษย์
“โจวเซี่ยวเทียนเรียกนายว่าอาจารย์ ฉันก็จะเรียกบ้าง!”
เหมาโถวพยักหน้าอย่างจริงจัง
“เยี่ยเทียน ลัทธิเต๋าของเราเคยกล่าวไว้ว่าการรับศิษย์รับได้จำนวนแต่ไม่แบ่งแยก ประเภท เธอรับมันไว้ก็ไม่เป็นไรหรอก?”
เห็นเยี่ยเทียนท่าทีลังเล โก่วซินเจียจึงบอกพลางหัวเราะออกมา
สำหรับโก่วซินเจียที่อายุเกือบร้อยปี ยังสามารถเดินทางที่จะไปสู่การบรรลุเซียนได้ ก็จะทำให้อายุยืนยาวขึ้นอีกร้อยสองร้อยปี เป็นเรื่องที่ใครก็คิดไม่ถึง ตำนานปรัมปราที่เล่าสืบทอดกันมาในลัทธิเต๋านั้นเป็นเรื่องที่ถูกจดบันทึกไว้ โก่วซินเจียเชื่อว่าเป็นจริงเสียส่วนมาก
“ดี แต่ว่าแกต้องเป็นอันดับสามนะ ก่อนหน้าแกมีศิษย์พี่โจวแล้วก็ศิษย์พี่เหลย”
เยี่ยเทียนผูกพันกับเจ้าเหมาโถวมาก และรักมากที่สุดด้วย ตามหลักพุทธศาสนาที่เชื่อเรื่องผลกรรม ลัทธิเต๋าที่เชื่อเรื่องโชควาสนา เมื่อเป็นเช่นนี้ ตัวเองคงจะมีวาสนาจะเป็นอาจารย์ให้เหมาโถว
“อาจารย์คืออะไร? ฉันเรียกนายว่าอาจารย์ด้วย!”
เยี่ยเทียนเพิ่งรับเหมาโถวเป็นศิษย์ คลื่นเสียงอีกระลอกเข้ามากระทบสมองของเยี่ยเทียน เสียงนั้นดังกึกก้องจนวานรขาวที่นั่งสมาธิเดินพลังอยู่สะดุ้งโหยง
ยังไม่ทันดูให้แน่ใจว่าเป็นเสียงอะไร วานรขาวรีบหดหัวลงทันใด นายท่านตัวนี้ไม่ควรไปมีเรื่องด้วยจริงๆ มันหลบออกมาให้ไกลกว่าเดิม แล้วนั่งลงดูดซับพลังจากพลอยวิเศษต่อ
“เสี่ยวจิน? ดวงปัญญาแกเปิดแล้ว?”
เห็นว่าขาหน้าของสิงห์ขนทองหายดีแล้ว เยี่ยเทียนก็ปลื้มใจ
กายหยาบของสิงห์ขนทองนั้นใหญ่โตมาก สามารถข่มกับเหอปู้อวี่ผู้ฝึกถึงระดับเซียนเทียนขั้นสูง แต่จิตวิญญาณของมันยังไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถพูดสื่อสารกับใครได้ ตอนนี้จู่ๆมันพูดออกมา แสดงว่าดวงปัญญาของมันถูกเปิดออกแล้ว
“อืม ฉันก็จะเรียกนายว่าอาจารย์ด้วย”
สิงห์ขนทองผงกหัว แล้วก็พุ่งมาเกาะบนบ่าของเยี่ยเทียน มันอ้าปากขึ้น เสียงดังต่อเนื่องออกมาจากปากมัน
“แต่ว่าฉันอยากเป็นที่สาม เจ้าหนู แกยกให้ฉันเถอะ ต่อไปฉันจะดูแลแกเป็นอย่างดี!”
มันอาเจียนเอาดวงจิตดั้งเดิมของเหอปู่อวี่ออกมาแล้วทำให้มันรู้สึกดีขึ้นมาก ไม่เพียงแต่ความคิด ยังไปกระตุ้นความสามารถทางการสะท้อนความคิดเป็นคลื่นเสียงซึ่งเป็นความสามารถที่สืบทอดทางสายเลือดของมันออกมา
แต่ความจริงแล้วสิ่งนี้เป็นการโจมตีแบบหนึ่ง ที่ถูกเรียกว่าสิงห์ขนทองคำราม แต่มันกลับใช้วิธีนี้ในการสื่อสารภาษามนุษย์กับเยี่ยเทียน
เฟอร์เร็ตสีขาวเป็นสัตว์วิเศษอีกชนิดหนึ่ง แต่สายเลือดนั้นเทียบสิงห์ขนทองไม่ติด ทั้งด้วยมันออกจะขี้ขลาดขี้กลัวมาก พอถูกสิงห์ขนทองคำรามเข้า มันรีบกระโดดจากบ่าขวาของเยี่ยเทียนลงไปอยู่ในอ้อมอกเขา
“ใครสอนให้แกพูดแบบนี้?”
เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงว่าสิงห์ขนทองจะพูดออกมาได้แบบนี้ เขาโมโหจนตบกะโหลกของมันไปทีหนึ่ง ทำไมมันถึงวุ่นวายขนาดนี้?
“ฉันได้ยินมาจากศิษย์พี่เหลย อาจารย์ ไม่อย่างนั้นฉันจะดูแลอาจารย์ด้วย?”
สิงห์ขนทองน้อยใจจนตาหยี คำพูดพวกนี้ได้ยินมาตอนที่เยี่ยเทียนเก็บตัวฝึกวิชาในทะเล เขาอยู่กับพวกเหลยหู่แล้วบังเอิญได้ยินมา เรือลำนั้นเป็นเรือของสมาคมหงเหมิน เวลาพูดคุยกันจึงไม่ต้องระวังตัว กลับทำให้เจ้าสิงห์ขนทองเรียนเอาสิ่งที่ไม่ดีมาด้วย
“อย่าไปฟังศิษย์พี่เหลยของแกเลย แกเป็นที่สามก็ได้ แต่ว่าอย่าไปรังแกเขา!”
เยี่ยเทียนถูกเจ้าสิงห์ขนทองพูดจนไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร การอบรมสั่งสอนควรทำตั้งแต่เด็ก ต่อไปเขาเองก็ต้องมีลูก และเขาจะไม่ยอมให้เหลยหู่เข้าใกล้ลูกของเขาเด็ดขาด
“แน่นอนอยู่แล้ว ใครกล้ารังแกศิษย์น้อง ฉันจะตะปบมันให้ตายเลย!”
สิงห์ขนทองมีนิสัยแบบเด็กน้อย มันได้ยินเยี่ยเทียนแล้วดีใจจนยั้งไม่อยู่ มันอ้าปากพ่นเอาพลอยวิเศษชิ้นหนึ่งที่ปกติมันใช้เป็นอาหารว่างออกมามอบให้เหมาโถว เพื่อแสดงถึงความเป็นพี่น้อง
“ขอบคุณศิษย์พี่”
เหมาโถวเห็นพลอยชิ้นนั้นแล้วลืมความกลัวไปเสียสนิท มันรีบคาบเอาไว้ในปาก
เยี่ยเทียนนึกขึ้นได้ ก็รีบพูดว่า
“ใช่แล้ว พวกแกสองตัวพอกลับเข้าเมืองไปแล้วต้องใช้การสื่อจิตคุยกันเท่านั้น ห้ามพูดภาษาคนต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาด!”
ตอนที่ 875 ไล่แขก
ในนิยายไซอิ๋วของอู่เฉิงเอินจนถึงนิยายเรื่องโปเยโปโลเยที่แต่งโดยผู่ซงหลิงสมัยราชวงศ์ชิง ก่อนหน้านั้นยังมีเรื่องซานไห่จิงที่เล่าถึงเรื่องเซียนเทพสัตว์ในตำนานต่างๆ หลายประเทศคงคุ้นเคยกับเรื่องราวเหล่านี้ที่ถูกถ่ายทอดเป็นละครโทรทัศน์
มนุษย์อย่างเราชื่นชอบเรื่องปีศาจเรื่องลี้ลับน่าติดตามประเภทนี้ แต่ถ้าได้เจอกับตัวจริงเข้าคงจะไม่ปลื้มสักเท่าไหร่ ที่ปากบอกชอบแต่ใจไม่ได้ชอบจริงๆ น่าจะเหมาะกับคนส่วนมาก
ยกตัวอย่างเช่นเจ้าสิงห์ขนทองกับเหมาโถวอยู่ในเรือนสี่ประสานแล้วคุยภาษาคนกันอย่างครึกครื้น เหล่าคุณป้าของเยี่ยเทียนคงตกใจหัวใจวายกันหมด ดังนั้นเขาจึงต้องเน้นย้ำให้หนักแน่น ไม่ให้เจ้าสองแสบก่อเรื่อง
“ฉันไม่เห็นอยากจะพูดเลย”
เสี่ยวจินสิงห์ขนทองตั้งแต่เริ่มเกิดดวงปัญญา ใบหน้าของมันถ่ายทอดอารมณ์ได้มากมาย มันเบ้ปากตอบว่า
“อาจารย์ ฉันเจอบางอย่างจากเศษซากจิตดั้งเดิมของคนๆนั้น อาจารย์จะดูไหม?”
สิงห์ขนทองกลืนกินดวงวิญญาณได้ นอกจากดูดกลืนพลังนั้นแล้วยังสามารถกักเก็บความทรงจำที่ตกค้างบางส่วนได้ ถึงทำให้มันเป็นสัตว์ที่ฝืนธรรมชาติ ถ้ามันมีประสบการณ์การฆ่าและสติปัญญาที่เพิ่มพูนขึ้น มันจะน่ากลัวยิ่งกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายเท่า
“ความทรงจำของเหอปู้อวี่? แน่นอนว่าต้องดูสิ!”
ได้ยินดังนั้นเยี่ยเทียนตาวาวขึ้นมา แม้เขาเข้าไปในดินแดนแห่งทวยเทพไม่ได้ แต่ช่วงนี้มักมีคนจากข้างในนั้นออกมารบกวนเยี่ยเทียนอยู่เรื่อยๆ เขาอยากจะรู้จักโลกข้างในว่าเป็นอย่างไร
“มีแต่เรื่องทำร้ายคน ไม่มีอะไรน่าดู?”
สิงห์ขนทองชักสีหน้า สำหรับปีศาจอย่างมัน ความเจ้าเล่ห์เพทุบายสู้พละกำลังมหาศาลไม่ได้ ต่อให้มีแนวความคิดมากมายขนาดไหน มันก็ใช้อุ้งเท้าข้างเดียวตบจนตาย
เมื่อมันตั้งจิตก็ถ่ายทอดความทรงจำที่ตกค้างของเหอปู้อวี่ไปสู่สมองของเยี่ยเทียน ตอนที่มันกลืนวิญญาณของเหอปู้อวี่ลงไปนั้น ความทรงจำถูกทำลายเสียหายมาก จึงหลงเหลือเพียงความทรงจำที่ลึกที่สุดเท่านั้น
“ข้อมูลมากมายขนาดนี้เลย?”
เหอปู้อวี่อายุมาหลายร้อยปี เพียงแค่ความทรงจำช่วงสั้นๆทำให้ภาพในสมองของเยี่ยเทียนสับสนวุ่นวายไปหมด เขาจึงหลับตาลงสงบจิต แล้วค่อยๆตรวจดูคลื่นความทรงจำที่ไหลเข้ามาสมองของเขาทีละฉาก
“มันเป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่าเล่าถึงมีคนออกมาคิดบัญชี”
ผ่านไปครู่ใหญ่ เยี่ยเทียนค่อยๆลืมตาขึ้น เขาดูความทรงจำของเหอปู้อวี่อย่างละเอียดแล้ว สิ่งที่ทำให้เยี่ยทียนรู้สึกเศร้าหมองคือความทรงจำพวกนี้แทบไม่เกี่ยวข้องกับดินแดนแห่งทวยเทพนั้นเลย
ในความทรงจำเบื้องลึก แน่นอนว่าเขาผูกใจเจ็บว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรมกับตัวเอง ตั้งแต่อาจารย์ของเขาบรรลุเซียนแล้ว ตัวเขาก็ล่องลอยไม่มีผู้สอนสั่ง ดังนั้นทำให้เหอปู้อวี่เกิดความอิจฉาในศิษย์ตามสำนักใหญ่แห่งอื่น มีศิษย์ของสำนักใหญ่ๆห้าหกแห่งเป็นอย่างน้อยที่ตายด้วยฝีมือเขา
ผู้ที่เหอปู้อวี่ผูกเป็นมิตรนั้น สุดท้ายแล้วถูกเขาวางแผนเอาชีวิตเพื่อแลกกับเงินทอง ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงไม่กลัวว่าจะมีใครจากดินแดนแห่งทวยเทพมาเพื่อล้างแค้นเขา ทำให้เขาวางใจลง
“เบื้องหลังของคนๆนี้มีแต่ความชั่ว!”
เยี่ยเทียนพูดจบ โก่วซินเจียก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ความรู้สึกที่มีต่อดินแดนแห่งทวยเทพนั้นยิ่งเพิ่มความหวาดระแวงขึ้นมา
ในโลกแห่งนั้นอุดมไปด้วยพลังวิเศษ เหมาะจะใช้ฝึกวิชาเต๋า แต่ถ้าเทียบกับโลกมนุษย์ การมีชีวิตในที่นั้นซื่อตรงกว่ามาก ผู้ที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าจะเป็นผู้เหนือกว่า ด้วยตบะของโก่วซินเจีย ถ้าได้เข้าไปในนั้นก็ต้องอยู่ในชนชั้นล่างสุด
“เยี่ยเทียน ในนั้นมีข่าวคราวของเจ้านายฉันบ้างไหม?”
วานรขาวได้ยินเสียงเยี่ยเทียนดังมาแต่ไกล ก็รีบเข้ามาใกล้ มองเยี่ยเทียนด้วยความหวัง
“มี แต่ว่า….ท่านซือคงได้ตายไปแล้ว ส่วนคนร้ายนั้น?”
พูดถึงเรื่องนี้ เยี่ยเทียนเหลือบมองร่างแหลกเหลวของเหอปู้อวี่ เอ่ยต่อว่า
“คนๆนี้จิตใจอำมหิต เขาหลอกให้ท่านซือคงไว้ใจแล้ว….”
ในความทรงจำของเหอปู้อวี่ ยังมีเรื่องเกี่ยวกับซือคงหลงเหลืออยู่ เพราะผู้ที่มีตบะแกร่งกล้าแต่ตายด้วยน้ำมือเยี่ยเทียนคนนี้ เขาฝึกวิชาห่างจากการขึ้นจินตันเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ทั้งยังเป็นศิษย์ใกล้ชิดในสำนักวิชาสำนักหนึ่งในดินแดนแห่งทวยเทพ
เมื่อเริ่มแรกที่ซือคงเข้าไปในโลกแห่งนั้น เหอปู้อวี่ได้ผูกมิตรกับเขาโดยบังเอิญ แต่ตบะของซือคงสูงกว่าเหอปู้อวี่ พอเข้าไปในโลกนั้นก็ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ในสำนักแห่งหนึ่ง ยืมใช้ข้อมูลจากสำนัก ซือคงเก็บตัวฝึกวิชาตลอด หลังจากนั้นมาก็ได้ตัดขาดจากเหอปู้อวี่
เมื่อฝึกถึงขั้นเจี่ยตันแล้วได้รับอายุขัยเพิ่มอีกหลายสิบปี ซือคงคิดพิจารณาแล้วว่าอยากจะออกไปท่องเที่ยวในดินแดนแห่งทวยเทพเพื่อความสบายใจในการฝึกวิชาต่อ ทำให้บังเอิญไปเจอกับเหอปู้อวี่
ซือคงเติบโตมาในชีวิตสังคมเกษตรกรรม ไม่ค่อยได้สัมผัสกับโลกภายนอก ไม่มีความหวาดระแวงภัยในการคบหาสมาคมกับใคร
บวกกับคำพูดพะเน้าพะนอให้ความสนิทคุ้นเคยของเหอปู้อวี่ ทั้งยังมอบยาวิเศษพันปีที่เก็บมาเองให้ซือคงเป็นของขวัญ ทำให้ซือคงคิดว่าเขาเป็นคนรู้ใจ ไม่ได้หวาดระแวงอะไรอีก ซือคงเล่าที่มาที่ไปของตัวเองในโลกมนุษย์ให้เหอปู้อวี่ฟังจนหมด
แต่ซือคงคิดไม่ถึงเลยว่า ในช่วงเวลาที่เขาสนิทสนมกับเหอปู้อวี่ เหอปู้อวี่จะลอบวางยาพิษทำลายตันเถียนลงในสุราที่เขาหมักเองทุกวันทีละน้อย ซือคงไม่มีทางรู้สึกได้
หลังจากนั้นหนึ่งเดือนกว่า รอจนพิษสะสมในร่างกายจนถึงปริมาณหนึ่งแล้ว เหอปู้อวี่เปลี่ยนไปใส่ยาพิษอีกชนิดที่มีฤทธิ์ชักนำทำให้พิษกำเริบ
แต่ด้วยตบะที่สูงส่งของซือคง ต่อให้ถูกพิษแล้วยังสามารถทำร้ายเหอปู้อวี่ให้บาดเจ็บสาหัสได้ ด้วยเหตุนี้เหอปู้อวี่จึงต้องหลบออกมาจากดินแดนแห่งทวยเทพนั้น เพื่อมาหาของวิเศษของซือคงในอาณาเขตแห่งเทพกสิกรนี้ เพื่อนำกลับไปใช้รักษาอาการบาดเจ็บ
จากความทรงจำที่เห็น เยี่ยเทียนรู้ถึงเงื่อนงำที่ซ่อนอยู่ ในโลกแห่งเทพกับโลกมนุษย์ไม่มีความใกล้ชิดกัน สำนักใหญ่ๆ ได้ครอบครองข้อมูลส่วนใหญ่เอาไว้ จึงไม่เห็นความสำคัญกับสิ่งของบนโลกมนุษย์
แต่สำนักน้อยกลับยังมีความเกี่ยวข้องกับโลกมนุษย์อยู่มาก บางสำนักที่ต้องการหลอมทองคำก็ต้องเดินทางมาในโลกมนุษย์ อาณาเขตแห่งเทพกสิกรที่กว้างใหญ่นี้ เป็นเครื่องแสดงถึงอำนาจในโลกมนุษย์ที่ซือคงใช้แสดงต่อสำนักของเขา
ตอนแรกซือคงคิดอยากจะนำพาวานรขาวเข้ามาในโลกแห่งนี้ด้วย แต่ตรวจดวงชะตาแล้วตนเองจะมีเคราะห์หนัก เพิ่งออกจากสำนักก็พบกับเหอปู้อวี่ สุดท้ายต้องมีจุดจบที่ดวงจิตแตกสลาย
“อ่า!!!”
ฟังเยี่ยเทียนเล่าจบ วานรขาวโกรธแค้นอย่างหนัก มันถือกระบองเหล็กไปที่ร่างของเหอปู้อวี่ลงมือทุบจนชิ้นเนื้อแหลกเหลว
แต่ก็ ไม่ทำให้วานรขาวลดความโกรธแค้นไปได้ มันยังไปจับเสือดาวในป่ามาอีกสองตัว บังคับให้พวกมันกินเนื้อสดของเหอปู้อวี่ เสือดาวสองตัวช่างน่าสงสาร พวกมันโตมาขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่มันต้องกินอาหารกันอย่างหวาดกลัว
“ให้ตายสิ ในป่านี่เสือหรือลิงที่เป็นเจ้าป่ากันแน่?”
เห็นภาพตรงหน้าแล้วเยี่ยเทียนกระอักกระอ่วน รอจนเสือดาวกินซากจนหมดแล้ว เยี่ยเทียนบอกกับวานรขาวว่า
“พี่วานรขาว ยินดีด้วยที่พี่ล้างแค้นได้ มีทาสที่ซื่อสัตย์อย่างพี่ ซือคงคงตายตาหลับแล้ว!”
“ขอบใจแกมากเยี่ยเทียน ฉันจะพาพวกแกไปเก็บสมุนไพร!”
วานรขาวเช็ดน้ำตาแล้วเดินนำเยี่ยเทียนเข้าไปในเขาสมุนไพร
“ถ้าเทียบกับเกาะเซียนเผิงไหล ที่นี่แตกต่างกันมาก!”
ถ้าเทียบกับครั้งที่มาถึงที่นี่ครั้งแรก จิตใจของเยี่ยเทียนแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุดอยู่นิ่ง ความรู้สึกถึงพลังวิเศษในสถานที่แห่งนี้ที่เข้มข้นมากเมื่อตอนมาถึงครั้งแรกนั้นกลายเป็นเฉยชาไปแล้ว ตามที่เยี่ยเทียนคิด เกรงว่าพลังในดินแดนแห่งทวยเทพจะต้องเข้มข้นกว่านี้หลายเท่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ถ้าเจอยาตัวไหนที่เหมาะสม ก็เก็บกลับไปเถอะ เอาไว้ทำเป็นยารักษาอาการบาดเจ็บ!”
หันไปมองศิษย์พี่ใหญ่ที่กำลังตะลึงตาค้าง เยี่ยเทียนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ หากศิษย์พี่ใหญ่ได้ไปที่เกาะเซียนเผิงไหลมา คงจะทำให้เขาถูกใจกว่าที่นี่
“หา ได้ ได้ ศิษย์น้องเล็ก พวกเราจะรวยกันแล้ว!”
สีหน้าของโก่วซินเจียแสดงอาการตื่นเต้นดีใจอย่างถึงที่สุด พอเขามองออกไปเบื้องหน้า โก่วซินเจียเห็นว่ายาสมุนไพรที่นี่นอกจากจะเป็นยาที่มีอายุยาวนาน ทั้งยังมียาวิเศษที่หาได้ยากในตำราโบราณที่บนโลกมนุษย์ได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว
เขาหยิบถุงยาที่เตรียมมาแล้วโก่วซินเจียก็ลงมือเด็ดยาทีละกำใหญ่ แต่เขายังรู้จักมีมารยาท ระวังไม่เก็บลงไปถึงส่วนรากของต้นยา จะเก็บแต่เฉพาะส่วนที่ใช้ทำยา ส่วนรากนั้นแน่นอนว่าต้องรักษาเอาไว้ต่อไป
ส่วนเจ้าเหมาโถวน้อยก็ได้นำสิงห์ขนทองไปทำลายต้นท้อหลายต้นด้วยความอยากผูกมิตร ลูกท้อที่โตหน่อยจะถูกมันทั้งสองตัวกินลงท้องไปเกือบหมด วานรขาวกับเยี่ยเทียนมองอย่างเหนื่อยใจ เจ้าสองแสบกินลูกท้อมากขนาดนี้ เหมือนกับจะกินล้างกินผลาญกันเลยทีเดียว
แต่ลูกท้อพวกนี้ไม่สำคัญเลยเมื่อเทียบกับยาสมุนไพรหายาก เยี่ยเทียนขี้เกียจไปบังคับควบคุมมันทั้งสองตัว ปล่อยให้พวกมันกินกันจนอิ่มแปล้
“เยี่ยเทียน เก็บเสร็จแล้ว มียาวิเศษพวกนี้ ฉันจะปรุงยาให้เธอใช้ได้”
ยาวิเศษต้องปลูกในที่ที่มีพลังวิเศษหล่อเลี้ยง สวนสมุนไพรถึงจะเล็ก แต่มียาดีหายากที่ประเมินค่าไม่ได้ ผ่านไปชั่วโมงกว่า โก่วซินเจียถือถุงยาเดินออกมาหาเยี่ยเทียน
นอกจากยาวิเศษชั้นยอดแล้ว ยาทั่วไปก็ยังมีอย่างอุดมสมบูรณ์ เม็ดยาที่ปรุงออกมาจะมีฤทธิ์แรงกว่ายาทั่วไปถึงสามส่วน โก่วซินเจียรู้ดังนี้ก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก สำหรับเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพ่อครัวใหญ่ที่กำลังมองดูวัตถุดิบคุณภาพมากมาย
“เยี่ยเทียน ยาก็เก็บเสร็จแล้ว ตอนนี้พวกแกไปกันได้หรือยัง?”
เห็นสวนสมุนไพรที่เฝ้าทะนุถนอมมาหลายปี ถูกเก็บไปเกือบเรียบ วานรขาวมองดูแล้วเสียดายยิ่ง ถ้าไม่ใช่คนรู้จักกัน มันคงลงไปห้ามแบบสุดใจขาดดิ้น พอเห็นว่าโก่วซินเจียวางมือแล้ว จึงรีบออกปากไล่แขกทันที
เยี่ยเทียนส่ายหัว ตอบว่า
“พี่วานรขาว ขออภัยจริงๆ ฉันยังมีเรื่องจะขอร้องอีกเรื่องหนึ่ง!”
ตอนที่ 876 ถ้ำซือคง
“มีอะไรอีก?”
วานรขาวเหลือกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย
“พวกแกเด็ดยาสมุนไพรที่ปลูกมาห้าสิบกว่าปีไปเกือบหมด ยังมีเรื่องอะไรจะขอร้องฉันอีก?”
คำพูดของวานรขาวทำให้โก่วซินเจียหน้าแดง ในโลกมนุษย์ อย่าว่าแต่สมุนไพรห้าสิบปีเลย แค่เป็นสมุนไพรป่าที่มีอายุถึงสิบปียังหาแทบไม่ได้ ดังนั้นโก่วซินเจียใช้โอกาสนี้เก็บยาหายากกลับไปมากมาย
“อะแฮ่ม พี่วานรขาว พี่ก็ปรุงยาไม่เป็น มีไว้ก็ทำประโยชน์อะไรไม่ได้”
เยี่ยเทียนกระแอมแก้เก้อ แล้วพูดต่อว่า
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน รอให้ศิษย์พี่ใหญ่ปรุงยาออกมาสำเร็จ จะแบ่งให้พี่ส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ผมจะให้พลอยวิเศษธาตุไฟแก่พี่อีกสองก้อนเป็นไง?”
“อ้อ? แก….แกยังมีพลอยวิเศษธาตุไฟอยู่อีก?”
ตอนที่วานรขาวเกิดมา พลังธรรมชาติบนโลกไม่ได้สมบูรณ์เหมือนสมัยโบราณ แต่มันเคยได้เห็นพลอยวิเศษ พลอยเหล่านี้มีประโยชน์มากต่อผู้ฝึกวิชา โดยเฉพะผู้ที่อยู่ในโลกมนุษย์ ใครก็ตามที่มีไว้ครอบครองไม่คอยยอมนำมันออกมาให้ใครเห็น
ตอนแรกที่เห็นเยี่ยเทียนนำพลอยวิเศษธาตุน้ำออกมา วานรขาวประหลาดใจมาก แต่มันคิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนยังมีพลอยวิเศษธาตุไฟอยู่ในมืออีก? ถ้าเป็นจริงแล้วละก็ มันจะได้ก้าวหน้าจากด่านยากที่ติดขัดมาหลายปีแล้ว
“แน่นอนสิ พี่ลองดูว่าสิ่งนี้ใช่ไหม?”
เยี่ยเทียนแบมือออก ในกลางฝ่ามือมีพลอยขนาดเท่าหัวนิ้วก้อยสองก้อน สีแดงเรื่อทั้งอัน ภายในมีแสงสีทองล่องลอยอยู่ในเนื้อพลอยราวกับเปลวไฟที่หลอมอยู่ภายใน ต้องเป็นพลอยธาตุไฟไม่มีผิด
“ให้ฉันดูหน่อย!”
วานรขาวสีหน้าเปลี่ยนไป มันยื่นมือที่มีแต่ขนสีขาวออกมา คว้าลงไปที่กลางฝ่ามือของเยี่ยเทียน
“เดี๋ยว!”
เยี่ยเทียนเห็นทันว่าวานรขาวกำลังเอื้อมมือมาจะคว้าพลอยไป เขารีบกำมือเก็บขึ้นทันที พูดเตือนว่า
“พี่วานรขาว ผมยังมีเรื่องจะขอร้องพี่อีกนะ!”
พลอยวิเศษสำคัญมากสำหรับเยี่ยเทียน เขายอมนำมันออกมาเพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับวานรขาว แล้วจะยอมมอบให้มันง่ายๆได้อย่างไร? ในใจของเยี่ยเทียนยังเคืองเจ้าวานรขาวอยู่
“เรื่องอะไร?”
วานรขาวนิสัยขี้ระแวง ได้ฟังเยี่ยเทียนเอ่ยเช่นนั้น ก็ชักอุ้งมือขนปุยกลับไป มองเยี่ยเทียนด้วยสายตากังขา
“สมุนไพรในสวนก็ให้แกไปหมดแล้ว ความสามารถของแกก็เหนือกว่าฉัน แกยังมีเรื่องอะไรมาขอร้องฉันอีก?”
“พี่วานรขาว ฉันอยากเข้าไปในถ้ำของซือคง!”
เยี่ยเทียนไม่สาธยายให้มากความ เขาเอ่ยออกมาตรงๆ ครั้งนี้แม้ไม่มีเหอปู้อวี่ แต่เยี่ยเทียนก็รู้ว่าตัวเองยังสู้นักพรตที่อยู่ในดินแดนเห่งทวยเทพไม่ได้ ถึงเขาจะมีตบะแกร่งกล้า แต่ยังขาดวิชาการโจมตีและอาวุธวิเศษคู่กาย
วิชาการฉีกห้วงเวลาของเหอปู้อวี่นั้นเยี่ยเทียนเห็นแล้วอิจฉามาก น่าเสียดายที่สิงห์ขนทองไม่อาจนำความสามารถนี้ออกมาได้ เยี่ยเทียจึงต้องหาทางเข้าไปในถ้ำซือคง ตามความทรงจำของเหอปู้อวี่ ที่นั่นน่าจะมีอาวุธวิชาดีๆอยู่หลายชิ้น
“ไม่ได้ ไม่มีทาง!”
วานรขาวชักสีหน้าทันที แล้วตะโกนว่า
“ถ้ำของเจ้านายอยู่ใต้ดิน ฉันไม่มีวิธีเปิดมันออก แกเลิกคิดจะเข้าไปข้างในนั้นได้เลย!”
ตั้งแต่บรรพบุรุษรุ่นแรกของตระกูลซือคง ก็เริ่มเลี้ยงเจ้าวานรขาวตัวนี้ ดังนั้นมันจึงมีหน้าที่อารักขาตระกูลไปด้วยในตัว ถึงมันจะยอมรับว่าเจ้านายคนล่าสุดของมันเสียชีวิตไปแล้ว แต่มันจะไม่ยอมให้เยี่ยเทียนเปิดเข้าไปถึงใจกลางถ้ำซือคงได้แน่นอน
“พี่วานรขาว เจ้านายของพี่ก็ตายไปแล้ว ถ้ำนั่นก็ไม่มีเจ้าของแล้ว ทั้งยังอยู่ใต้ดินลึก ไม่สู้ทำให้ถ้ำนี้ได้ประสบแก่สายตาชาวโลกอีกครั้ง”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้วพูด ดวงจิตส่วนหนึ่งของเขาออกไปจากที่นี่ มุดลงลึกสู่ใต้ดินสามกิโลเมตร ไปพบกับสถานที่ที่ถูกปิดกั้นเอาไว้
สถานที่ที่ถูกปิดกั้นไว้มีอาณาเขตกว้างขวาง ทั้งยังกีดกันไม่ให้ดวงจิตของเยี่ยเทียนเล็ดรอดเข้าไปได้ ถึงจะปิดตายไว้ แต่ถ้าเยี่ยเทียนลองเสียเวลาสักเล็กน้อยน่าจะเปิดออกได้ แต่อาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือน เยี่ยเทียนไม่ควรมาเสียเวลาอยู่ที่นี่
“ฉันไม่มีวิธีอื่นจริงๆ เยี่ยเทียน แกอย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย!”
วานรขาวส่ายหัว ไม่ยอมรับปาก
เห็นท่าว่าวานรขาวไม่ยินยอม เยี่ยเทียนทำหน้าตายแล้วเอ่ยเรียบๆว่า
“ในเมื่อพี่จนปัญญาก็ช่างเถอะ ฉันจะหาวิธีเปิดถ้ำออกมาให้ได้”
ถ้าในถ้ำมีแต่ของวิเศษทั่วไปไม่เป็นไร แต่เยี่ยเทียนเห็นจากความทรงจำของเหอปู้อวี่ว่าในถ้ำนั้นซ่อนชิ้นส่วนของตำราภาพดันหลัง ทุยเป้ยถูไว้อยู่
ว่ากันตามจริงระดับขั้นวิชาของเยี่ยเทียนในตอนนี้ไม่ต้องสนใจตำราภาพดันหลังทุยเป้ยถูแล้วก็ได้ แต่ตำราทั้งเล่มนั้นเป็นความปรารถนาสุดท้ายของอาจารย์หลี่ซั่นหยวน เยี่ยเทียนถึงตัดสินใจเอ่ยปากขอร้องวานรขาว
“ด้านซ้ายห่างไปสามกิโลเมตร ใต้ดินสี่สิบเมตร เป็นที่ตั้งของถ้ำ ฉันไม่ได้พูดผิดใช่ไหม?”
เยี่ยเทียนมองวานรขาว แล้วกล่าวต่อ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ไปเถอะ การจะเปิดถ้ำได้ผมต้องใช้เวลา พวกพี่ช่วยตั้งค่ายกลคุ้มครองให้ผมหน่อย!”
“แกกล้าเหรอ!?”
วานรขาวโกรธจัด มันยกกระบองเหล็กขึ้น
“นั่นเป็นถ้ำที่เจ้านายเหลือทิ้งไว้ ถ้าแกแตะต้องมันละก็ ฉัน….ฉันจะสู้ตายกับแก!”
พูดจบวานรขาวก็ยิ่งใจฝ่อ เพราะมันรู้ว่ามันไม่มีทางสู้เยี่ยเทียนได้ ต่อให้เยี่ยเทียนไม่ลงมือ แค่เจ้าสิงห์ขนทองก็จัดการมันได้อยู่หมัดแล้ว ยังมีโก่วซินเจียที่ฝึกได้ขั้นต้นของระดับเซียนเทียนอีก
“เยี่ยเทียน ถือว่าฉันขอล่ะ อย่าทำลายจวนถ้ำของเจ้านายเลย ได้ไหม?”
วานรขาวได้แต่ยอมก้มหัวขอร้อง วานรขาวที่อาศัยอยู่ในป่าตัวเดียวมานาน ยิ่งเข้าใจเหตุผลแบบนี้ดี
“พี่วานรขาว ถ้าฉันลงมือ จะต้องทำลายถ้ำให้เสียหาย”
เยี่ยเทียนสั่นหัว
“ฉันรู้ว่าพี่สามารถเปิดถ้ำได้ เพียงแค่พี่เปิดมันออก ฉันแค่อยากได้ของข้างในนั้นชิ้นเดียวเท่านั้น ฉันจะไม่ผิดคำพูด!”
“ของแค่สิ่งเดียว?”
วานรขาวลังเลครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ตอบตกลง
“ได้ แกต้องรับปากฉัน แต่ฉันก็มีเรื่องจะขอแกเหมือนกัน!”
“พี่จะขออะไร?”
เยี่ยเทียนยิ้ม
“บอกมาเถอะ เคยได้ยินว่าพวกลิงกังน่ะคุยยาก วันนี้ได้เจอกับตัวแล้ว”
สำหรับคนทั่วไปคำว่าลิงกังเป็นคำด่าคนอื่น แต่วานรขาวก็เป็นลิงกังมาก่อน มันจึงไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร จึงเอ่ยเงื่อนไขของตนออกมา
“หากมีวันหนึ่งแกเข้าถึงดินแดนแห่งทวยเทพได้ ฉันหวังว่าฉันจะได้เข้าไปด้วยกันกับแก ถ้าแกรับปากข้อนี้ ตอนที่แกจะจากไป แกจะหยิบสิ่งของอะไรในถ้ำไปก็ได้!”
วานรขาวแม้จะฝึกเต๋ามานาน แต่ได้รับพลังธรรมชาติอย่างจำกัด ตอนแรกคิดว่าตัวมันเองไม่มีทางเข้าถึงระดับเซียนเทียนได้อีกแล้ว และไม่มีทางได้กลายเป็นปีศาจวานรใหญ่ แต่เมื่อเห็นพลอยธาตุไฟของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ มันรู้ได้ทันทีว่าห่างจากระดับเซียนเทียนอีกไม่ไกลแล้ว
แต่เมื่อคิดว่าจะได้ไปถึงระดับเซียนเทียนขั้นสูง ถ้าอาศัยเพียงพลังธรรมชาติที่มีอยู่ วานรขาวไม่มีทางได้เลื่อนขั้นเป็นปีศาจวานรใหญ่แน่นอน คนกับสัตว์ที่มีญาณวิเศษไม่ต่างกันนัก เมื่อเห็นความหวังวางอยู่ตรงหน้า วานรขาวก็อยากจะเป็นผู้มีชีวิตอมตะ
“ได้สิ ถ้าหากว่าฉันจะเดินทางไปดินแดงแห่งทวยเทพ จะต้องพาพี่ไปด้วยแน่นอน!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เขารู้ว่าพอเข้าถึงระดับเซียนเทียนทุกขั้น ต่างจะได้เพิ่มอายุขัยอีกหลายสิบปี วานรขาวฝึกได้ถึงขั้นสูงของระดับเซียนเทียน ไม่แน่ว่ามันอาจบรรลุธรรมขั้นสูงกับเขาได้เหมือนกัน
“ได้ พวกแกตามฉันมา!”
เยี่ยเทียนตอบรับคำขอแล้ว วานรขาวเดินนำพวกเขาออกมาจากสวนสมุนไพรด้วยท่าทางดีใจ เหาะนำทางไปยังตีนเขาทางซ้าย
ประมาณสามกิโลเมตรห่างจากจุดเดิม ใช้เวลาเดินทางเพียงชั่วพริบตา เมื่อมาถึงที่หมายแล้วเยี่ยเทียนพบว่าใต้แผ่นเท้าที่เขายืนอยู่ไม่ใช่ยอดเขาสูง รอบๆยอดเขาทั้งสี่ทิศเป็นแนวปราการค่ายกลที่พรางตาอยู่อย่างที่เยี่ยเทียนมองไม่ออก
ทุกคนยืนอยู่บนยอดเขา วานรขาวหันมาคำรามใส่
“พวกแกถอยไปหน่อย!”
“ให้ตายเถอะ เล่นหนังไซอิ๋วกันหรือย่างไร?”
เยี่ยเทียนบ่นกระปอดกระแปด แต่ดึงตัวโก่วซินเจียให้ถอยหลังมาหลายร้อยเมตร มองดูเจ้าวานรโบกกระบองเหล็กไปมา พร้อมกับพึมพำคาถาที่ฟังไม่เข้าใจออกมา
“เปิด!”
เสียงเฉียบขาดของวานรขาวดังขึ้น กระบองเหล็กของมันเสียบเข้าไปในรูหินอย่างหนักหน่วง ตอนนั้นเอง ภูเขาทั้งลูกสั่นไหว หินภูเขากลิ้งร่วงลงมา ต้นไม้ใหญ่หักโค่น ภาพตรงหน้าดูราวกับตอนที่ซุนหงอคงถูกปลดปล่อยออกจากภูเขาห้านิ้วก็ไม่ปาน
“ออกมาแล้ว ถ้ำออกมาแล้ว!”
หลังคากระเบื้องสีแดงค่อยๆปรากฏขึ้นบริเวณยอดเขา ชั่วครู่ต่อมา สิ่งก่อสร้างอลังการขนาดมหึมาก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าเยี่ยเทียน ประตูบานยักษ์เริ่มตั้งแต่บริเวณตีนเขา ความสูงบดบังยอดเขาทั้งหมดเอาไว้
หลังจากสิ่งก่อสร้างปรากฏกายขึ้นแล้ว พลังธรรมชาติโดยรอบทั้งสี่ทิศพัดม้วนตัวเข้ามาโอบล้อมสิ่งก่อสร้างนั้นไว้ เห็นเป็นเมฆขาวและหมอกควัน ยิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้ดูราวกับถ้ำที่อยู่ของเหล่าเซียน
“โอ้โห ทำได้ยังไงกัน? เมื่อก่อนประเมินตระกูลซือคงต่ำไปจริงๆ!”
ภาพตรงหน้าทำให้เยี่ยเทียนอ้าปากค้าง สถาปัตยกรรมใหญ่โตขนาดนี้ถูกซ่อนไว้ในภูเขา นอกจากอาศัยค่ายกลที่ซับซ้อนสูงส่งแล้ว ยังต้องพึ่งพลังจินตันของผู้สร้างอีกไม่น้อย ไม่เช่นนั้นไม่มีทางทำได้ขนาดนี้
วานรขาวเรียกเยี่ยเทียนเข้าไปใกล้ตีนเขา แล้วทำหน้าสงบนิ่ง
“เยี่ยเทียน ทุกๆสถานที่ในที่นี้แกเข้าไปได้ แต่ว่าเจดีย์หลังสุดท้ายเป็นที่พักของเจ้านายก่อนที่จะเสียชีวิต ที่นั่นแกห้ามเข้าไปเป็นอันขาด”
เส้นทางการฝึกบรรลุเซียนเน้นย้ำเรื่องคุณธรรมฟ้า ผู้ฝึกที่ขั้นยิ่งสูง ยิ่งมีโอกาสกระทำสิ่งฝ่าฝืนคุณธรรมมากขึ้น เยี่ยเทียนบอกว่าต้องการของเพียงชิ้นเดียว วานรขาวเชื่อว่าเขาจะไม่กลับคำ เพราะมันจะไม่เป็นการดีต่อตัวเยี่ยเทียนในอนาคต
“ได้ พี่วานรขาววางใจเถอะ ฉันจะไม่เข้าไปรบกวนความสงบของท่านผู้อาวุโส!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เขาปล่อยดวงจิตออกไป ยังอดกัดลิ้นตัวเองไม่ได้
เพราะเยี่ยเทียนรู้ว่า ในเจดีย์ที่วานรขาวพูดถึง ต้องมีร่างไร้วิญญาณที่ไม่เน่าเปื่อยนั่งอยู่ในนั้นอย่างน้อยห้าร่าง เหมือนกับคราวของจางซันเฟิงตอนที่บรรลุเซียน เห็นได้ชัดว่าต่างเป็นผู้ฝึกถึงขั้นจินตันแปรเปลี่ยนเป็นเซียน ความถ่อมตัวของตระกูลซือคงทำให้ไม่ค่อยมีชื่อเสียงเรื่องการฝึกวิชามาแต่ไหนแต่ไร
ตอนที่ 877 ชิ้นส่วนคัมภีร์
“ดูท่าร่างที่ไม่เน่าเปื่อยของจางซันเฟิง ไม่ได้เป็นเพราะหัวใจของต้นไม้เพียงอย่างเดียว!”
เยี่ยเทียนมองดูร่างห้าร่างในเจดีย์แล้วจุ๊ปาก คนพวกนี้ตายไปนานแล้ว แต่กายเนื้อที่นั่งประทับอยู่ที่นี่ทุกร่างต่างแผ่พลังมหาศาลออกมาจนเยี่ยเทียนรู้สึกกดดัน
“ในเจดีย์นี้มีร่างของเหล่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลซือคงก่อนที่จะเสียชีวิต เยี่ยเทียน แกห้ามลบหลู่พวกท่านเด็ดขาด!”
วานรขาวตบะไม่แกร่งกล้าเท่าเยี่ยเทียน แต่รู้สึกได้ว่าเยี่ยเทียนใช้ดวงจิตเข้าไปสืบเสาะในเจดีย์แล้ว สีหน้าของมันจึงดูไม่พอใจนัก มันรู้สึกเหมือนว่าตอนนี้มันเป็นคนปล่อยขโมยเข้าไปในบ้านเจ้านาย
“เหอะๆ ไม่ลบหลู่อยู่แล้ว พี่วานรขาว ฉันแค่อยากรู้ว่าสถานที่เก็บคัมภีร์โบราณของถ้ำอยู่ที่ไหน?”
เยี่ยเทียนเก็บดวงจิตกลับมา แล้วบอกจุดประสงค์ของตัวเองตรงๆ ถ้าให้เขาหาเองเขาก็หามันได้พบแน่ แต่ถ้าให้ค้นหาในสถานที่ที่กว้างขวางมีห้องเป็นสิบๆห้องแบบนี้ ไม่สู้เอ่ยปากถามตามตรงๆดีกว่า
“แกหมายถึงหอคัมภีร์ใช่ไหม? ฉันจะพาแกไป!”
ได้ยินดังนั้นวานรขาวดีใจขึ้นมาทันที มันเป็นแค่ปีศาจวานรตัวหนึ่ง ใช้การฝึกวิชาแบบมนุษย์ไม่ได้ หนังสือในหอคัมภีร์เหล่านั้นสำหรับมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเยี่ยเทียนอยากไปหอเก็บสมบัติ มันคงไม่ปลื้มใจนัก
“ผู้ที่สร้างถ้ำแห่งนี้ขึ้นมาเป็นคนที่มีเทคนิคฝีมือขั้นเทพ ผู้อาวุโสที่ตั้งค่ายกลยิ่งเหนือชั้น!”
เพื่อเป็นการแสดงความเคารพแด่ผู้คนตระกูลซือคง เยี่ยเทียนและโก่วซินเจียเลือกเดินเท้าขึ้นเขาไป พวกเขาสังเกตเห็นว่าการก่อสร้างตกแต่งในแต่ละจุดมีความประณีตสวยงามแปลกตา สะพานทุกแห่งต้นไม้ทุกต้นซ่อนกลไกเอาไว้ ความสวยงามลงตัวกับทัศนียภาพได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ตัวอาคารแบ่งเป็นชั้นๆ ทั้งยังปกคลุมด้วยพลังธรรมชาติอันบางเบา ทำให้สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ไม่ผุพังไปตามกาลเวลา สีสันที่ถูกแต่งแต้มยังคงสดใหม่ราวกับเพิ่งระบาย ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเองเยี่ยเทียนจะไม่มีทางเชื่อเลยว่ามันเพิ่งโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน
“ที่นี่ถูกก่อสร้างต่อเติมโดยประมุขตระกูลซือคงรุ่นแล้วรุ่นเล่า ไม่ได้เป็นฝีมือของคนๆเดียว”
วานรขาวอธิบายให้เยี่ยเทียนฟัง พอนึกถึงเจ้านายคนสุดท้ายที่เสียชีวิตไป วานรขาวได้แต่ก้มหน้าเศร้าใจ
“ทุกสิ่งบนโลกนี้ถูกกำหนดไว้แล้ว พี่วานรขาวอย่าโทษตัวเองเลย”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า สถานที่แห่งนี้ดูราวกับสวรรค์ชั้นฟ้า สิ่งก่อสร้างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าตระกูลซือคงเคยยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากแค่ไหน แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ตัวอาคารยังคงอยู่ แต่ไม่มีคนเหลืออยู่แล้ว
เช่นเดียวกับราชวงศ์สูงศักดิ์ ไม่มีราชวงศ์ไหนที่ครอบครองใต้หล้าตลอดไป ความรุ่งเรืองความเสื่อมโทรมถูกบอกเล่าต่อกันมา เรื่องราวยังอยู่แต่ไม่มีคนในอดีตเล่าให้ฟังแล้ว
“เยี่ยเทียน ที่นี่แหละ หวังว่าแกจะยึดมั่นตามสัญญานะ!”
มาถึงบริเวณเชิงเขามีอาคารขนาดสองชั้นตั้งอยู่ วานรขาวหยุดเดิน บนบานประตูใหญ่มีป้ายเขียนว่า “หอคัมภีร์”
“พี่วานรขาวไม่เข้าไปด้วยกันเหรอ?”
เยี่ยเทียนหันมาถาม
“เจ้านายสั่งไว้ว่าไม่ให้ฉันเข้าไปในหอคัมภีร์กับหอสมบัติ”
วานรขาวส่ายหัว ตัวของมันเฝ้าที่นี่มานาน กลับไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสถานที่เก็บของสำคัญของตระกูล ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยประสาลิง มันคงจะเข้าไปเล่นซนในสถานที่เก็บของสำคัญจนเละเทะไปหมด
“ได้ งั้นฉันเข้าไปแล้วนะ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ยื่นมือออกไปผลักประตูบานใหญ่ ประตูเปิดออกอย่างง่ายดาย ไม่เหมือนกับประตูที่ถูกทิ้งร้างไม่มีคนเปิดมาหลายสิบปี
“รากฐานของตระกูลซือคงนี่มั่นคงมาก สมกับเป็นตระกูลผู้ฝึกบรรลุเซียนมาเป็นพันปี!”
เข้าไปที่ชั้นหนึ่งของหอคัมภีร์แล้ว เยี่ยเทียนอดชื่นชมไม่ได้ ห้องภายในแม้ไม่ใหญ่มาก แต่มีหนังสือมากมายวางเรียงไปตามชั้นบนผนัง บนชั้นหนังสือมีคัมภีร์โบราณอยู่หลายเล่ม บนคัมภีร์เหล่านี้ยังมีพลังธรรมชาติแผ่วๆปกคลุมไว้ พลังไม่ได้หายไปได้ มันคอยปกป้องคัมภีร์เก่าแก่พวกนี้ไม่ให้เสียหาย
“คัมภีร์หวงถิงจิง คัมภีร์เต๋าเต๋อจิง คัมภีร์ลำดับสามราชวงศ์ชิง คัมภีร์หัวใจการเดินปราณ
จากซ้ายมาขวาเยี่ยเทียนดูชื่อคัมภีร์โบราณเรียงตามลำดับ แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะหนังสือส่วนใหญ่เป็นคัมภีร์ที่มีชื่อเสียงของลัทธิเต๋า บนโลกมนุษย์ก็มีสืบทอดอยู่ ไม่มีเล่มไหนที่เกี่ยวกับการฝึกวิชาเลย
เยี่ยเทียนไม่หยิบขึ้นมาดู เพราะเหตุว่าการหยิบจับจะทำลายพลังธรรมชาติที่ควบคุมอยู่ เยี่ยเทียนไม่สามารถวางค่ายกลใหม่ให้กลับเป็นสภาพเดิมได้ ถือเป็นการทำลายคัมภีร์โบราณโดยใช่เหตุด้วย
เยี่ยเทียนโคลงศีรษะไปมา เขากลับหลังหันเดินขึ้นชั้นสอง ชั้นสองมีพื้นที่ว่างน้อยกว่ามาก มีเพียงชั้นวางคัมภีร์สองชั้นเท่านั้น ชั้นหนึ่งวางหนังสือไว้สองเล่ม ส่วนอีกชั้นมีเพียงเศษกระดาษบางวางเรียงอยู่ไม่กี่แผ่น แต่ละแผ่นขาวสะอาด มองดูแล้วแตกต่างจากกระดาษในหน้าหนังสือทั่วไป
“คัมภีร์วิสุทธิสูตร วิชาดาบหยวนกง?”
เยี่ยเทียนเดินไปที่ชั้นวางคัมภีร์สองเล่มนั้น เขาหยุดยืนแล้วอ้าปากเป่าพลังปราณออกมาจากปาก ไปที่พลังวิเศษบนตัวหนังสือ คัมภีร์วิสุทธิสูตรหน้าแรกถูกเปิดออก
“เอ๋? นี่ไม่ค่อยมีประโยชน์กับฉันเท่าไหร่!” เยี่ยเทียนอ่านที่บทสรุปในหน้าแรกคร่าวๆด้วยสีหน้าผิดหวัง คัมภีร์เล่มนี้เป็นเพียงคัมภีร์สอนวิธีฝึกจิตให้เป็นเต๋า ประโยชน์ของมันยังสู้วิชาในบันทึกของจางซันเฟิงไม่ได้เลย
“เฮ้อ วิชาดาบหยวนกงนี้อธิบายถึงการควบคุมมีดบิน?”
เยี่ยเทียนใช้วิธีเดิมเปิดคัมภีร์วิชาดาบหยวนกง เขาก็รู้สึกดีใจขึ้นมา ถึงเขาได้สร้างมีดบินประจำกายขึ้นเล่มหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่มีวิชาควบคุมมัน เพียงแต่ใช้ดวงจิตควบคุมมีดบินให้ไปจัดการกับศัตรูเท่านั้น ด้วยคุณสมบัติของมีดนั้นเขายังเข้าถึงมันได้น้อยเกินไป
“เป็นอย่างนี้นี่เอง มีดบินยังใช้แบบนี้ได้ด้วย?”
เยี่ยเทียนอ่านคัมภีร์เล่มนั้นอย่างหลงใหล ในวิชาดาบของหยวนกงนั้นมีบางสิ่งที่สามารถนำไปใช้ได้ และเป็นการเปิดประตูการเรียนรู้บานใหญ่ของเยี่ยเทียน เมื่อก่อนตัวเองไม่ได้ใช้เคล็ดลับวิชามีดบินเลย
เมื่อก่อนใช้มีดบินประจำกายจัดการศัตรูและป้องกันภัย ยังใช้เป็นยานพาหนะได้ด้วย ซึ่งความเร็วของมีดบินนั้นเร็วกว่าพลังปราณเป็นหลายร้อยเท่า ตอนที่ฝึกถึงขั้นจินตันสามารถขี่มีดบินได้ ต่อให้ระยะทางไกลเป็นพันลี้ก็เดินทางได้สะดวก นี่อาจเป็นเคล็ดลับในการกำจัดศัตรูที่อยู่ห่างออกไปพันลี้ได้อย่างง่ายดาย
“ได้เคล็ดลับวิชานี้ไป มาเที่ยวนี้ก็ไม่เสียเปล่าแล้ว”
เยี่ยเทียนใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มจดจำวิชาดาบของหยวนกงจนครบทุกตัวอักษร ตอนนี้เขารู้แล้วว่าจะใช้มันยังไง ถ้าเข้าใจถึงแก่นวิชาแล้ว ยังต้องฝึกให้ชำนาญด้วย
“เยี่ยเทียน ออกมาได้หรือยัง?”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังดื่มด่ำอยู่กับคัมภีร์ดาบ เสียงของวานรขาวดังมาจากด้านนอก พวกลิงเป็นสัตว์ที่ความอดทนต่ำมาแต่ไหนแต่ไร ให้มันรอนานถึงชั่วโมงกว่า มันทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว
“จะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
เยี่ยเทียนมองดูคัมภีร์ดาบอีกครั้ง แล้วสะกดกั้นความอยากจะหยิบมันใส่กระเป๋า เพราะถ้าวานรขาวเห็นเขานำคัมภีร์ที่เป็นเคล็ดลับวิชาของตระกูลออกไปแล้วมันจะแสดงท่าทีอย่างไร
“เอ๋? นี่มันอะไร? คัมภีร์ทุยเป้ยถูหรือ?”
ตอนที่เยี่ยเทียนเดินดูไปถึงคัมภีร์ดาบหน้าสุดท้าย แล้วเขาก็ต้องตะลึงค้าง เพราะบนชั้นหนังสือมีกระดาษวางอยู่แผ่นหนึ่ง จะเป็นทองก็ไม่ใช่เป็นหยกก็ไม่เชิง ลวดลายบนนั้นดูราวกับถูกสร้างขึ้นด้วยอะไรบางอย่าง
ข้างๆกระดาษเหล่านั้นยังมีบันทึกตัวอักษร ด้านบนมีคำสองบรรทัดเขียนจากขวาไปซ้ายว่า
“หนึ่งขีดเปลี่ยนเฉียนคุน หนึ่งคำชี้เป็นตาย!”
“ให้ตายเถอะ อะไรจะขนาดนั้น หรือว่านี่จะเป็นคัมภีร์เป็นตาย? อ่านประโยคสองบรรทัดนั้นแล้วเยี่ยเทียนหัวเราะออกมา แต่ตอนที่เขาเพิ่งสัมผัสกับกระดาษพวกนั้น ใบหน้านิ่งค้างไป
“บันทักภาพรวมชะตาลางบอกเหตุไท่ไป๋ ให้ตายสิ หรือว่านี่จะเป็นคัมภีร์ทุยเป้ยถู?”
บนกระดาษแผ่นหน้าแรกตัวอักษรยาวเหยียดปรากฏขึ้นมาในห้วงจิตของเยี่ยเทียน ทำให้เขารู้ว่าบันทักภาพรวมชะตาลางบอกเหตุไท่ไป๋ เป็นไปได้มากว่าจะเป็นชื่อดั้งเดิมของคัมภีร์ทุยเป้ยถู
“โอ้โห อย่าล้อเล่นกันเชียวนะ? ทำไมหายไปแล้วล่ะ?”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังดูอย่างละเอียดนั้น กระดาษที่เหลืออีกหลายแผ่นได้กลายเป็นกระดาษเปล่า ไม่มีตัวหนังสือ แต่เยี่ยเทียนยังรับรู้ได้ถึงพลังมหาศาล ของมีค่าชิ้นนี้ตัวเองไม่สามารถมองมันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทำให้เยี่ยเทียนหงุดหงิดขัดใจไม่น้อย
“เอาไม่เอา?”
เยี่ยเทียนตัดสินใจไม่ถูก กระดาษพวกนี้น่าจะเป็นชิ้นส่วนคัมภีร์ส่วนหนึ่ง หรือถ้าเขารวบรวมมันจนครบ ถึงจะอ่านเนื้อหาภายในได้ แต่โลกช่างกว้างใหญ่ เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าจะไปเก็บรวบรวมคัมภีร์ที่กระจัดกระจายได้ที่ไหน
“ไม่ต้องคิดมากหรอก เอาไปแล้วค่อยว่ากัน!”
ในหอคัมภีร์นอกจากวิชาดาบของหยวนกงเท่านั้นที่มีประโยชน์กับเยี่ยเทียน ของสิ่งอื่นแทบไม่มีค่าอะไรเลย ส่วนเนื้อหาในคัมภีร์ดาบนั้นเยี่ยเทียนจดจำได้ขึ้นใจจนครบ ไม่ต้องการนำตัวเล่มไปด้วย
เขาคิดครู่หนึ่งแล้วเยี่ยเทียนก็กางกระดาษพวกนั้นออกมา พลังวิเศษที่คลุมรักษาคัมภีร์อยู่นั้นไม่สูญสลาย แต่ก็ไม่ได้มีเพื่อประโยชน์อย่างอื่น เยี่ยเทียนเก็บกระดาษพวกนั้นเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ของสิ่งนี้ทนทานมาก ไม่ผุพังเน่าเปื่อยได้ง่ายๆ”
เยี่ยเทียนใช้มือบีบขอบกระดาษด้านหนึ่งแล้วกดลงไป มือของเขาที่บีบโลหะให้กลายเป็นฝุ่นผงได้ แต่กับกระดาษพวกนี้ไม่มีผลอะไรเลย มุมขอบกระดาษยังอยู่ดีเหมือนเดิม
“น่าจะเป็นของหายากชิ้นหนึ่ง?”
มองดูอักษรสองแถวบนบันทึกแล้วเยี่ยเทียนหยิบกล่องหยกออกมา นำกองกระดาษที่มีค่าเหล่านี้พับเก็บลงไป ต่อให้ของสิ่งนี้ไม่ใช่คัมภีร์ทุยเป้ยถู ก็ต้องมีที่มาที่ไม่เบา
“พี่วานรขาว ผมเอาชิ้นส่วนคัมภีร์เก่ามาด้วย พี่จะตรวจดูหน่อยไหม?”
เยี่ยเทียนไม่ได้เก็บกล่องหยกทันที ทั้งยังถือมันออกมายื่นให้วานรขาวที่รออยู่ข้างนอกดู
“ไม่ต้องหรอก….”
วานรขาวส่ายหน้า เคล็ดลับวิชาที่มนุษย์ฝึกกันไม่มีความหมายสำหรับมัน ต่อให้เป็นของล้ำค่ามากแค่ไหน มันก็ใช้ไม่ได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น