ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 872-875
ตอนที่ 872 เขากระบี่หัก
“อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง พูดไปแล้วก็บังเอิญ โอสถประลองกระบี่ที่เจ้าช่วยปรุงตอนนั้นน่าจะเป็นของที่เตรียมไว้ให้ศิษย์ลับคนหนึ่งในสังกัดของข้า ดูท่ายามนั้นผู้อาวุโสจงคงไม่ได้ปรุงแค่เม็ดเดียว ในเมื่อวันนี้เจ้าถามถึงเรื่องโอสถประลองกระบี่ ข้าก็จะอธิบายอย่างละเอียดให้เจ้าฟังสักหน่อย กระบี่บินพลังจิตวิญญาณจะเลื่อนระดับเป็นลูกกลอนกระบี่สำเร็จต้องผ่านการประลองกระบี่นับพันนับหมื่นครั้งไม่หยุด นอกจากนี้การประลองกระบี่นับพันนับหมื่นครั้งนี้ต้องไม่ใช่การประลองกระบี่ของคนสองคน แต่ต้องเป็นการพยายามประลองกระบี่กับหลายๆ คน ใช้ปราณกระบี่ของอีกฝั่งฝึกปรือกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกฝนกระบี่ทั่วไปกว่าจะสร้างลูกกลอนกระบี่สำเร็จ ต้องประลองกระบี่อย่างน้อยก็หลายร้อยปี อย่างมากเป็นเวลานับพันปี โอสถประลองกระบี่เป็นโอสถที่ผู้ฝึกฝนกระบี่สมัยโบราณทดลองนับครั้งไม่ถ้วนจนปรุงขึ้นมาได้สำเร็จ มีไว้กระตุ้นกระบี่บินให้ประลองกระบี่ โอสถชนิดนี้จะแผ่จิตกระบี่ออกมากระตุ้นและดึงดูดจิตกระบี่ของกระบี่บินในอาณาเขตระยะหนึ่งให้พวกมันต่อสู้กันเอง หลังจากผ่านการลับฝนนับพันนับร้อยครั้งเช่นนี้ กระบี่บินย่อมเลื่อนระดับกลายเป็นลูกกลอนกระบี่เอง” บุรุษชุดเทาเอ่ยช้าๆ อย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
“ศิษย์ยังมีเรื่องหนึ่งไม่เข้าใจ แม้มีโอสถประลองกระบี่ แต่จะไปตามหากระบี่บินมากมายปานนั้นมาให้กระบี่ประลองได้จากที่ใด”
บุรุษชุดเทาเหมือนจะเดาได้ว่าในมือหลิ่วหมิงมีโอสถประลองกระบี่ แต่อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าผู้อาวุโสจงมอบให้เขา หลิ่วหมิงก็ย่อมไม่พูดอะไรมากปล่อยให้เรื่องนี้คลุมเครือ
“หากคนทั่วไปต้องการใช้โอสถประลองกระบี่ย่อมยากลำบากอย่างยิ่ง ในสมัยโบราณจะใช้วิธีจัดงานกระลองกระบี่ขึ้นทุกช่วงเวลาหนึ่งเพื่อดึงผู้ฝึกฝนกระบี่จำนวนมากให้เข้าร่วมประลองกระบี่ แม้ตอนนี้โอสถประลองกระบี่ขาดการสืบทอดมานาน แต่ผู้ฝึกฝนกระบี่ที่อื่นก็ยังจัดงานเช่นนี้อยู่เป็นระยะเพื่อฝึกปรือกระบี่บินของตน ในหมู่งานเหล่านี้ ‘งานทดสอบกระบี่’ ซึ่งจัดขึ้นทุกสามร้อยปีของตำหนักกระบี่สวรรค์นิกายใหญ่อายุหมื่นปีมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด นิกายเราเป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ย่อมไม่จำเป็นต้องทำเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ ยอดเขากระบี่สวรรค์ครอบครองเขากระบี่หักอยู่ ที่นั่นเป็นสถานที่ซึ่งศิษย์ ผู้อาวุโสและผู้ควบคุมยอดเขารุ่นแล้วรุ่นเล่าของยอดเขาทิ้งกระบี่ที่ไม่ต้องการไว้ ด้วยเหตุนี้ทั่วทั้งภูเขาจึงมีกระบี่บินนับไม่ถ้วน เป็นสถานที่ยอดเยี่ยมในการบรรลุจิตกระบี่และฝึกปรือกระบี่บิน ศิษย์ในยอดเขาเมื่อจะเลื่อนเข้าสู่ระดับแก่นแท้ล้วนมีโอกาสเข้าไปด้านในอย่างไม่มีค่าใช้จ่ายครั้งหนึ่ง แม้เจ้าไม่ใช่ศิษย์ของยอดเขากระบี่สวรรค์แต่หากอาศัย ‘ป้ายกระบี่หัก’ แผ่นนี้ก็เคลื่อนย้ายจากด้านหลังวิหารหลักของยอดเขากระบี่สวรรค์เข้าไปในเขาแห่งนี้ได้หนึ่งครั้ง หลังจากนั้นหากต้องการเข้าไปอีกต้องเสียแต้มคุณูปการของนิกายสองล้านแต้ม”
บุรุษชุดเทาเอ่ยพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้น แสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกมาจากในแขนเสื้อของเขา มันหมุนกลางอากาศอยู่รอบหนึ่งก็กลายเป็นป้ายสามเหลี่ยมขนาดเท่ากำปั้นแผ่นหนึ่งร่วงลงในมือของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงกวาดสายตาบนป้ายในมือรอบหนึ่งก็เห็นว่าบนผิวของป้ายมีแสงแวววาวสีแดงไหลวนอยู่เลือนราง ด้านบนสลักภาพกระบี่บินขนาดหนึ่งชุ่นกว่าที่ประณีตไม่ธรรมดาไว้เล่มหนึ่ง
“ขอบคุณผู้อาวุโสสูงสุดยิ่ง!”
หลิ่วหมิงยินดียิ่ง เขาเก็บป้ายเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างรวดเร็วแล้วค้อมกายคำนับผู้อาวุโสหานอีกครั้ง
“ข้าขอเตือนเจ้าอีกสักหน่อย ยามกระบี่บินพลังจิตวิญญาณประลองกระบี่กัน หากปราณกระบี่แผ่วเบาลงเพระเสียพลังมากเกินไปก็จำต้องเก็บเข้าไปบำรุงในร่างใหม่อีกครั้ง หากปล่อยให้มันประลองกระบี่ถี่เกินไปจนจิตวิญญาณของตัวกระบี่บินเสียหาย นั่นย่อมได้ไม่คุ้มเสีย สถานการณ์เช่นนี้มิใช่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน” บุรุษชุดเทาเอ่ยเตือนอีกด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
“ศิษย์จะจำคำสอนไว้ให้มั่น” หลิ่วหมิงตอบอย่างนอบน้อมอีกครั้ง
“ข้ายังมีงานอีก หากไม่มีธุระอื่นแล้ว เจ้าไปเถอะ” บุรุษชุดเทาสะบัดแขนเสื้อ เอ่ยไล่แขก
หลิ่วหมิงคำนับขอบคุณอีกครั้งก็หมุนตัวออกจากโถงของถ้ำที่พักไปทันที เขาบินไปยังถ้ำที่พักของตนเองอย่างรวดเร็ว
“เจ้ากับหลิ่วหมิงคนนี้ดูท่าจะมีความสัมพันธ์ไม่ตื้นเขิน ก่อนหน้านี้ที่เทียนเกอให้เขาเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ เจ้าคงผลักดันอยู่ด้านหลังสินะ” ในถ้ำที่พัก ผู้อาวุโสหานที่ดูเหมือนนั่งหลังตรงนิ่งไม่ขยับอยู่ฉับพลันก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ หนึ่งประโยค
“ศิษย์พี่หาน ข้าเพียงรู้สึกว่าเด็กคนนี้ค่อนข้างน่าสนใจเท่านั้น ไม่ได้ขอให้ศิษย์พี่หานมอบป้ายเข้าเขากระบี่หักให้หลิ่วหมิงคนนั้นเสียหน่อย นี่เป็นความคิดของท่านเอง”
ณ มุมโถงถ้ำที่ผู้อาวุโสหานอยู่มีแสงสีทองสว่างขึ้น ชายหนุ่มผู้สวมชุดสีทองคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาแล้วหัวเราะร่าเอ่ยขึ้น
เขาก็คือจินเทียนชื่อ!
“ข้าเห็นว่าเด็กคนนี้ค่อนข้างมีพรสวรรค์ในศาสตร์กระบี่ กระบี่บินพลังจิตวิญญาณก็ไม่ธรรมดาทีเดียว มีพรสวรรค์น่าส่งเสริมอย่างแท้จริงจึงมอบป้ายให้ไป” ดวงตาทั้งสองข้างของบุรุษชุดเทามีประกายแสงเจิดจ้าไหลวนอยู่ด้านในแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ฮ่ะๆ ไม่ว่าอย่างไรเด็กคนนี้ก็นับว่าได้ประโยชน์ไปไม่น้อย ข้าใคร่รู้ยิ่งนักว่าเขาจะหลอมลูกกลอนกระบี่ออกมาได้จริงหรือไม่ ถึงอย่างไรรวมศิษย์พี่เข้าไปด้วยแล้ว ทั้งนิกายยอดบริสุทธิ์ผู้ฝึกฝนกระบี่ที่มีลูกกลอนกระบี่ก็มีน้อยนิดไม่กี่คน เอาล่ะ ประมุขนิกายเคยบอกว่าเรื่องนั้นใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ข้าก็คงต้องขอตัวไปฝึกฝนบ้างแล้ว พยายามฟื้นพลังเพิ่มขึ้นมาอีกสักนิด เช่นนี้ถึงเวลาจึงจะมั่นใจขึ้นบ้าง” จินเทียนชื่อหัวเราะเบาๆ เอ่ยขึ้นอีกหนึ่งประโยคแล้วหายวับไปกับอากาศอีกครั้ง
“ใกล้จะเริ่มต้นแล้วหรือ ไม่รู้ว่าครั้งนี้นิกายยอดบริสุทธิ์ของเราจะมีสักกี่คนที่มีชีวิตรอดออกมาจากที่แห่งนั้นได้” ผู้อาวุโสหานพึมพำกับตนเองประโยคหนึ่งแล้วหลับตาทั้งสองข้างลงช้าๆ
เวลานี้หลิ่วหมิงกำลังขี่เมฆอยู่ระหว่างทางอย่างกระตือรือร้น เขาย่อมไม่รับรู้บทสนทนาของคนทั้งสอง
สามวันหลังจากนั้นเขาไปตามหาศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์หลายคนที่เคยมีวาสนาพบหน้ากันสองสามหน แล้วสอบถามเรื่องราวของเขากระบี่หักเล็กน้อยอย่างเหมือนเจตนาแต่ก็ไม่เจตนา
น่าเสียดายที่ศิษย์เหล่านี้พลังไม่สูง ด้วยเหตุนี้จึงรู้เกี่ยวกับที่แห่งนี้น้อยนัก รู้เพียงว่าเขากระบี่หักมีอีกชื่อหนึ่งว่าสุสานกระบี่ การจะเข้าไปในนั้นต้องใช้แต้มคุณูปการของนิกายจำนวนมหาศาล อย่างอื่นนอกเหนือจากนี้ก็ไม่รู้แล้ว
หลิ่วหมิงจึงได้แต่วิ่งไปหอนานัปการอีกครั้งเพื่อเรื่องนี้ หลังตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับเขากระบี่หักจนแน่ใจแล้วอีกครั้งถึงเริ่มเตรียมตัว
เช้าวันที่สี่เขาตรวจสอบของในแหวนย่อส่วนเล็กน้อยแล้วขี่เมฆตรงไปยังยอดเขากระบี่สวรรค์
หนึ่งชั่วยามให้หลัง เบื้องหน้าประตูของห้องศิลาห้องน้อยแห่งหนึ่งด้านหลังวิหารหลักของยอดเขากระบี่สวรรค์ หลิ่วหมิงผู้สวมชุดดำทั้งร่างกำลังสนทนาอะไรบางอย่างกับชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงที่สวมเครื่องแบบศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์คนหนึ่ง
“ศิษย์พี่หลิ่วหมิงแห่งยอดเขาลั่วโยวนี่เอง ชื่นชมชื่อเสียงมานานแล้ว” ชายหนุ่มผอมสูงประสานมือเอ่ยขึ้น
“ศิษย์น้องพิธีรีตองไปแล้ว ข้าเดินทางมาครั้งนี้เพราะต้องการเข้าไปในเขากระบี่หัก” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้น
“นี่…เกรงว่าจะไม่ได้ ตามกฎของยอดเขาเรา ผู้ที่ไม่ใช่ศิษย์ฝึกฝนกระบี่ระดับแก่นแท้ไม่อาจเข้าไปในเขากระบี่หักได้ แม้เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ก็ต้องใช้แต้มคุณูปการจำนวนไม่น้อยถึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าไป” ชายหนุ่มผอมสูงเอ่ยด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เรื่องเหล่านี้ข้าเข้าใจ แต่ศิษย์น้องโปรดดูสิ่งนี้”
หลิ่วหมิงล้วงป้ายที่ส่องแสงสีแดงเรืองๆ แผ่นหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้ออย่างไม่รีบร้อน แล้วส่งให้ชายหนุ่มผอมสูง
ชายหนุ่มผอมสูงเห็นป้ายปุบก็เผยสีหน้าประหลาดใจเอ่ยขึ้นว่า
“นี่มัน ‘ป้ายกระบี่หัก’ ศิษย์พี่หลิ่วทำไมถึงได้…แต่ในเมื่อมีป้ายอนุญาตแผ่นนี้ย่อมเข้าไปด้านในได้ตลอดเวลา เพียงแต่ ‘ป้ายกระบี่หัก’ แผ่นนี้ใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังใช้เสร็จจะถูกเก็บคืนไป ตอนนี้ศิษย์พี่หลิ่วยังพลังยังไม่ถึงระดับแก่นแท้…คิดดีแล้วหรือ?”
“ขอบคุณศิษย์น้องที่เตือน ข้าเข้าใจดี ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ข้าเคลื่อนย้ายไปเขากระบี่หักได้เลยหรือไม่?” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ พลางประสานมือเอ่ยถาม
“เรื่องนั้นได้แน่นอน ด้านหลังห้องศิลามีค่ายกลเคลื่อนย้ายสองค่ายกล ค่ายกลที่ส่องแสงสีแดงคือค่ายกลเคลื่อนย้ายไปเขากระบี่หักแห่งนั้น เพราะเขาทั้งลูกมีกระบี่ถูกทิ้งไว้มากเกินไปจึงทำให้ปราณกระบี่ในนั้นสับสนวุ่นวายและโจมตีกันและกันเกิดเป็นพลังมหาศาลเกินไป ดังนั้นผู้อาวุโสรุ่นก่อนจำนวนหนึ่งของยอดเขาเราจึงร่วมมือกันวางชั้นจำกัดไว้บนเขาลูกนี้ เข้าไปด้านในผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายได้เท่านั้น นี่คือยันต์เคลื่อนย้ายอีกแผ่นหนึ่ง หากท่านพบสถานการณ์ใดแล้วต้องการออกมาก็ขยี้ยันต์นี้เป็นพอ”
ชายหนุ่มผอมสูงเอ่ยอย่างจริงจังแล้วล้วงยันต์สีขาวขมุกขมัวแผ่นหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อส่งให้หลิ่วหมิง
“ขอบคุณศิษย์น้องที่เตือน”
หลังหลิ่วหมิงรับยันต์มาก็ขอตัวกับชายหนุ่มผอมสูงแล้วเดินผ่านเข้าไปในห้องศิลาจนมาถึงพื้นที่ว่างขนาดราวครึ่งหมู่ผืนหนึ่งด้านหลังห้อง
เขาเห็นเพียงสองฝั่งของที่ว่างมีค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่ฝั่งละอัน อันที่อยู่ด้านซ้ายมือทอแสงสีฟ้าอ่อนกะพริบวูบวาบ ศิลายักษ์ก้อนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างสลักอักษรสีแดงตัวโตสามตัวไว้ ยังพออ่านออกลางๆ ว่าคือ ‘สระชำระกระบี่’ ส่วนด้านขวามือคือค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ส่องแสงสีแดงเรืองๆ อันหนึ่ง ด้านบนเขียนไว้ว่า ‘สุสานกระบี่’”
หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วยกเท้าเดินไปหาค่ายกลเคลื่อนย้ายทางด้านขวา
ปรากฏว่าเขาเพิ่งเหยียบเข้าไปในค่ายกล ทันใดนั้นค่ายกลก็ส่องแสงสีแดงเรืองรองวงหนึ่งขึ้นมาล้อมร่างเขาไว้ด้านใน
ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าเบื้องหน้ามีแสงสีแดงแสบตาส่องสว่าง ชั่วขณะหนึ่งไม่อาจลืมตาทั้งสองข้างขึ้นได้ ต่อจากนั้นหูก็ได้ยินเสียงสายลมแผ่วเบาดังขึ้นเป็นระลอก แสงเรืองรองรอบร่างฉายอยู่ครู่หนึ่งก็หายไปจากในห้องศิลา
เวลาผ่านไปสองสามลมหายใจ เมื่อเขาลืมตาสองข้างขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตนเองอยู่ในมิติสีขาวกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
ทั้งมิติทอดสายตามองไม่เห็นสุดขอบ ห่างไปหนึ่งลี้กว่าคือภูเขายักษ์สีเทาสูงหลายพันจั้งที่มองไม่เห็นยอดลูกหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ ราวกับกระบี่ยักษ์ค้ำฟ้า
หลิ่วหมิงหรี่สองตาลง ในดวงตาฉายประกายเจิดจ้า มองเขายักษ์ไกลๆ นั่นจนเห็นชัดเจน
บนเขาตั้งตรงที่ดูเหมือนโล่งเตียนลูกนี้มีประกายแสงเย็นเยียบกะพริบวิบวับเพราะกระบี่บินสารพัดขนาดที่ปักอยู่เต็มไปหมดบนผิวดิน
กระบี่บินเหล่านี้สั้นยาวไม่เท่านั้น เล่มที่ยาวโผล่ออกมาจากพื้นดินเกือบหนึ่งจั้งกว่า ส่วนเล่มที่สั้นไม่ถึงหนึ่งฉื่อ กระบี่บินส่วนใหญ่ในนั้นล้วนหักบิ่นไม่ครบเล่ม แต่บนผิวยังคงแผ่แสงจิตวิญญาณเรืองๆ ออกมา มีเพียงส่วนน้อยที่หม่นหมองไร้ประกาย เห็นชัดว่าถูกฝังอยู่ในเขากระบี่หักมานานปีแล้ว
ส่วนยอดของยอดเขามีวงแหวนแสงหลากสีสันเจิดจ้าสะดุดตายิ่งนัก เขาเพ่งสายตามองจึงพบว่ามันคือแสงจิตวิญญาณที่แผ่ออกมาจากกระบี่บินหลายเล่มที่สีสันต่างกัน
พริบตานั้นที่หลิ่วหมิงปรากฏตัว กระบี่หักทั้งหมดบนเขาก็คล้ายจะสัมผัสได้ พวกมันสั่นไหวเบาๆ แล้วส่งเสียงครวญดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้แทบจะในเวลาเดียวกันราวกับกำลังกระเหี้ยนกระหือรือ
ในเวลาเดียวกันปราณกระบี่สายแล้วสายเล่าก็ลอยเชื่องช้าขึ้นมาจากกระบี่เหล่านี้ที่ถูกทิ้งอยู่ทั่วเขา จนเต็มเปี่ยมทั่วทั้งบริเวณตั้งแต่ด้านบนจรดด้านล่างแล้วส่งเสียงกระทบกันไปมาดังเคร้งๆ กลางอากาศ
ชั่วพริบตานั้นฝักกระบี่ที่เอวของหลิ่วหมิงก็สั่นเล็กน้อย กระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่ผนึกอยู่ด้านในเห็นชัดว่ากระเหี้ยนกระหือรืออยากจะออกมาเช่นเดียวกัน เหมือนตอบรับเสียงเรียกของกระบี่ที่ถูกทิ้งเหล่านี้
“เขากระบี่หักแห่งนี้สมคำร่ำลือจริงๆ!”
หลิ่วหมิงพึมพำกับตนเองหนึ่งประโยคแล้วมองสภาพรอบด้านอีกครั้ง
ตอนที่ 873 ประลองกระบี่
สุดท้ายหลิ่วหมิงก็ค้นพบว่านอกจากเขากระบี่หักลูกนี้ตรงหน้า ทั้งมิติก็ไม่มีสิ่งใดอื่นอีก รอบด้านมีเพียงม่านแสงสีขาวขมุกขมัวก่อตัวเป็นกำแพงปราณ บนกำแพงปราณมียันต์สีขาวน้ำนมตัวแล้วตัวเล่ากะพริบไม่หยุดอยู่ลางๆ ปราณกระบี่สายแล้วสายเล่าถูกดูดซับเข้าไปในยันต์เป็นระยะแล้วหายไปอย่างเงียบเชียบประหนึ่งตุ๊กตาวัวโคลนจมลงในมหาสมุทร
“เอ๋?” ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็สีหน้าเปลี่ยนไป เขาสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วโคจรพลังเวทบริสุทธิ์ในร่าง จากนั้นตบบนฝักกระบี่เบาๆ หลังจากบังคับให้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณสงบลง ฉับพลันกระทืบเท้าพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ชั่วครู่ให้หลังเขาก็กลายเป็นแสงสีทองเส้นหนึ่งมาถึงบนเวทีแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับยอดเขา
ลำแสงดับหายไป หลิ่วหมิงปรากฏร่างขึ้นอีกครั้งบนเวที ไม่ไกลจากตัวเขาคือป้ายศิลาเก่าแก่เรียบง่ายที่แลดูผ่านเวลามาเนิ่นนานแผ่นหนึ่ง
ติดกันกับป้ายศิลามีกระบี่ยาวสีทองเล่มหนึ่งปักอยู่ในศิลาโผล่ออกมาเพียงหนึ่งฉื่อกว่า ตัวกระบี่ส่องแสงสีทองขมุกขมัว บนคมกระบี่จุดที่ห่างจากด้ามกระบี่ราวหกเจ็ดชุ่นมีรอยบิ่นขนาดเท่าข้อนิ้วหัวแม่มือสองรอย ตรงด้ามกระบี่หายไปค่อนครึ่ง
แต่กระบี่เล่มนี้ดูเหมือนจะไม่เก่านัก ลายมังกรขดบนด้ามกระบี่ยังคงเห็นชัดเจนและยังแผ่จิตกระบี่อันไม่ยอมศิโรราบสายหนึ่งออกมาอยู่เลือนราง
จุดที่แตกต่างจากกระบี่หักมากมายที่อยู่แถบกลางภูเขากับตรงตีนเขาก็คือระยะหลายร้อยจั้งรอบกระบี่เล่มนี้ไม่มีกระบี่หักเล่มอื่นอยู่เลย สูงจากมันขึ้นไปก็มีกระบี่เพียงไม่ถึงร้อยกว่าเล่มเท่านั้น แล้วด้านข้างกระบี่แต่ละเล่มก็ล้วนมีป้ายศิลาแผ่นหนึ่งแทบทั้งสิ้น นี่ย่อมบ่งบอกว่ากระบี่ทุกเล่มบริเวณนี้ล้วนมีเรื่องราวของตนเอง
วันเวลาในอดีตที่ถูกกลบฝังเหล่านี้ท้ายที่สุดก็จะถูกผู้คนลืมเลือน สุดท้ายก็หลงเหลือเพียงป้ายศิลาธรรมดาๆ แผ่นหนึ่งกับซากกระบี่ที่ยังคงทอประกายเล็กน้อยเล่มหนึ่ง
แต่ประกายแสงแผ่วจางที่ก่อตัวเป็นเงาของกระบี่ยามสมบูรณ์ไม่เสียหายเล่มแล้วเล่มเล่าก็ยังคงย้ำเตือนทุกคนที่เข้ามายังที่แห่งนี้ถึงความรุ่งโรจน์ในอดีตของซากกระบี่เหล่านี้ที่ราวกับว่าเกิดขึ้นเมื่อวาน
“กระบี่เลี่ยหยาง!”
ตอนนี้เองหลิ่วหมิงเพิ่งมองไปที่อักษรสลักบนป้ายศิลาเบื้องหน้าอย่างละเอียดแล้วก็ตะลึงไปในทันใด เขาเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาสังเกตแต่ไกลแล้วว่าจิตกระบี่ที่กระบี่สีทองเล่มนี้แผ่ออกมาแลดูคุ้นเคย ตอนนี้เมื่อเห็นคำว่า ‘เลี่ยหยาง’ อีกก็นึกขึ้นได้ในทันใด กระบี่เล่มนี้ก็คือกระบี่บินสีทองเล่มนั้นที่เงามายาจินเลี่ยหยางใช้ในวังมายานภาหยกตอนนั้น
หลิ่วหมิงเคยประมือกับเงามายาของจินเลี่ยหยางในแดนมายาของห้องว่างเปล่าลึกลับอยู่หลายครั้งจึงมองออกตั้งแต่แวบแรก
ในตอนนี้เองกระบี่น้อยสีทองเบื้องหน้าก็คล้ายสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของหลิ่วหมิง แสงสีทองเปล่งประกายเจิดจ้า ปราณกระบี่รุนแรงล้ำลึกสายแล้วสายเล่าโถมเข้าใส่ใบหน้าของเขา ทำให้ฝักกระบี่ที่เอวเขาคลายตัวออกเอง พร้อมกันนั้นแสงสีทองสายหนึ่งก็พุ่งรวดเร็วออกมา
หลิ่วหมิงตอบสนองเร็วอย่างที่สุด มือข้างหนึ่งฉวยกระบี่ว่างเปล่าแล้วกำไว้ในมือ จากนั้นขยับร่างกายลอยลงไปที่ตีนเขาทันทีอย่างไม่ลังเลสักนิด
เมื่อเขากลับมาถึงตีนเขา เหยียบลงบนแผ่นดินอีกครั้ง ในที่สุดกระบี่ว่างเปล่าในมือก็ค่อยๆ สงบลง
การขึ้นลงเขารอบหนึ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงได้รู้ว่าเขากระบี่หักแห่งนี้ แม้ยิ่งขึ้นไปด้านบนซากกระบี่จะยิ่งน้อย แต่ความแข็งแกร่งของปราณกระบี่ที่แผ่ออกมากลับตรงกันข้าม
อย่างเมื่อครู่นี้เขาไม่ทันได้ใช้โอสถประลองกระบี่ กระบี่เลี่ยหยางเล่มนั้นก็ร่ำๆ จะบินพุ่งออกมาเองแล้ว หากเริ่มแรกไปแตะตรงยอดเขาเข้าจริงๆ อันตรายมากเพียงใดคิดดูก็รู้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ตัดสินใจเริ่มต่อสู้กับกระบี่บินธรรมดาชั้นล่างสุดก่อน ฝึกฝนอย่างค่อยเป็นค่อยไปถึงจะดี หลังกระบี่บินฝึกปรือจนพอประมาณแล้วค่อยพัฒนาไปประลองกับกระบี่ด้านบนตามลำดับ
เขาสงบจิตใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบโอสถประลองกระบี่ระดับสูงที่มีเปลวเพลิงสามสีหุ้มอยู่เม็ดนั้นออกมาจากในแหวนย่อส่วนอย่างไม่รีบร้อน
เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นโยนโอสถประลองกระบี่เม็ดนี้ขึ้นไปบนอากาศ ในเวลาเดียวกันมือก็ตั้งท่าเคล็ดกระบี่ กระบี่น้อยสีทองสั่นไหวอยู่ในมือเขาก่อนจะพุ่งรวดเร็วออกไปกลางอากาศ
จากนั้นเคล็ดกระบี่ที่มือเขาก็เปลี่ยนไปทันที หลังจากปราณกระบี่สีทองอ่อนสายแล้วสายเล่าบนกระบี่ว่างเปล่าผนึกรวมกันกลางอากาศก็กลายเป็นลูกบอลแสงสีทองอ่อนลูกหนึ่ง พุ่งเข้าใส่เปลวเพลิงสามสี
เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นแผ่วเบา!
เปลวเพลิงสามสีผสานกับปราณกระบี่สีทองอ่อนแล้วระเบิดออก เผยให้เห็นมุกกลมที่ส่องแสงสีเงินขมุกขมัวเม็ดหนึ่งด้านใน หมุนติ้วอยู่กลางอากาศ
ทันใดนั้นบนท้องฟ้าก็มีเปลวเพลิงหลากสีหลายดวงปรากฏขึ้นพร้อมกับที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ สายหนึ่งกระจายฟุ้งออกมา
ในเวลาเดียวกันนั้นกระบี่บินสารพัดรูปแบบที่ตีนเขากระบี่หักก็ส่งเสียงครางเบาๆ ออกมาอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย ภูเขาทั้งลูกเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
บนกำแพงผาตรงตีนเขาซึ่งอยู่ใกล้หลิ่วหมิงที่สุด กระบี่หักสีเทายาวราวหนึ่งฉื่อกว่าที่บนตัวกระบี่มีรอยบิ่นขนาดเท่ากำปั้นรอยหนึ่งฉับพลันก็เปล่งแสงสีเทาแล้วกลายเป็นแสงรัศมีสีเทายาวสองสามจั้งเส้นหนึ่งพุ่งเข้าใส่มุกกลมสีเงินบนท้องฟ้า
“ไป!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ปากก็ตวาดเบาๆ คำหนึ่งขณะที่มือตั้งท่าเคล็ดกระบี่ทันที กระบี่น้อยสีทองวนกลางอากาศรอบหนึ่งก็พลันพร่าเลือนหายไป
หลังจากกะพริบวูบหนึ่ง ทันใดนั้นแสงสีทองยาวหนึ่งจั้งกว่าเส้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งแล้วพุ่งเร็วรี่ผ่านแสงสีเทาไป
“ชิ้ง” เสียงประหนึ่งฉีกโลหะดังขึ้น!
เสียงครวญครางดังขึ้นท่ามกลางแสงสีเทาในทันใด แสงสีเทาอ่อนบนกระบี่น้อยสีเทาสลายไปก่อนมันจะแปลงกลับไปเป็นกระบี่หักหม่นหมองไร้แสงเล่มหนึ่งใหม่อีกครั้ง เสียง “ฉึบ” ดังขึ้นครั้งหนึ่งเมื่อมันบินวนกลับไปปักที่เดิม
บนกำแพงผาใกล้ๆ มีไอหมอกสีเทาอ่อนสายแล้วสายเล่าลอยออกมาล้อมกระบี่สั้นเล่มนี้อย่างรวดเร็ว
“ดูท่าเขากระบี่หักแห่งนี้จะมีความสามารถในการบำรุงกระบี่หักเหล่านี้” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในดวงตาก็ทอประกายประหลาดใจขณะที่เอ่ยพึมพำกับตนเองเสียงเบา
ตั้งแต่กระบี่น้อยสีเทาพุ่งออกมาจนกระทั่งมันปักกลับไปในเขากระบี่ใหม่อีกครั้ง ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาสองสามลมหายใจเท่านั้น
เวลานี้เอง เสียง “ชือๆ” พักหนึ่งก็ดังมาจากตรงนั้นตรงนี้ไม่ขาด กระบี่หักมากกว่าเดิมพากันลอยออกมาจากพื้นภูเขา กลายเป็นแสงกระบี่หลากสีสันมากมายถี่ยิบพุ่งดังหวีดหวิวเข้าใส่กระบี่น้อยสีทองที่อยู่กลางอากาศ
“แย่แล้ว!”
หลิ่วหมิงรีบทะยานร่างโจนเข้าไปคว้าโอสถประลองกระบี่ไว้ในมือ แล้วเก็บเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
แม้ก่อนหน้านี้เขาเคยจำลองการใช้โอสถประลองกระบี่ในแดนมายามาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังประเมินความสามารถในการท้าทายซากกระบี่ของโอสถเม็ดนี้ต่ำเกินไป
……
ในเวลาเดียวกัน ณ ถ้ำที่พักแห่งหนึ่งบนยอดเขากระบี่สวรรค์ ชายหนุ่มชุดผ้าไหมหน้าตาน่านับถือ บนศีรษะสวมกวานหยกคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิมองม่านแสงสีขาวกลางอากาศเบื้องหน้า
“เฮ้อ พวกตาเฒ่ากลุ่มนี้นับวันยิ่งก่อเรื่องเก่งจริงๆ! คนรุ่นหลังระดับแก่นเสมือนหนึ่ง แม้ผสานทรายธารดาราเข้าไปในกระบี่จนกระบี่คมกริบกว่ากระบี่บินทั่วไปไม่น้อย แต่จะหลอมลูกกลอนกระบี่ยามนี้ก็ยังรีบร้อนเกินไปอยู่บ้าง จิ๊ๆ …แล้วยังมอบโอสถประลองกระบี่ระดับสูงให้เขาอีก หากควบคุมไม่อยู่สักครั้ง เกรงว่าคงอันตรายถึงชีวิต แต่คนผู้นี้ไม่ใช่ศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์ของข้าก็ได้แต่ดูโชคของตัวเขาเองแล้ว”
หลังจากชายหนุ่มชุดน้ำเงินเอ่ยกับตนเองหลายประโยคฉับพลันก็สะบัดมือข้างหนึ่ง แสงสีน้ำเงินหอบหนึ่งพุ่งดังฟู่เข้าใส่ม่านแสงสีขาว
บนผิวม่านแสงกระเพื่อมแผ่วเบาระลอกหนึ่งแล้วส่งเสียงดัง “ปุ้ง” กลายเป็นแสงสีขาวจุดแล้วจุดเล่ากระจายหายไป
……
เวลานี้หลิ่วหมิงซึ่งอยู่ในสุสานกระบี่ที่เขากระบี่หักกำลังนั่งขัดสมาธิ บนหน้าผากเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วไหลลงมาไม่หยุด
สองมือเขาทำท่าเคล็ดกระบี่ต่อเนื่อง ขณะที่กลางท้องฟ้าแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งฉวัดเฉวียนไม่หยุดอยู่กลางวงล้อมของแสงเรืองรองหลายสิบสาย เสียงดาบกระบี่ปะทะกันก็ดัง “เคร้งๆ” ออกมาเป็นระยะ
เนื่องจากโอสถประลองกระบี่ระดับสูงเม็ดนี้แข็งแกร่งเกินไป เวลาสั้นๆ เพียงครู่เดียวที่เรียกออกมาก็ดึงดูดกระบี่บินหลายสิบจนถึงนับร้อยเล่มบินพุ่งมาหาตนด้านนี้ กระบี่บินต่อสู้กันอุตลุดกลางท้องฟ้าจนกลายเป็นกลุ่มก้อน
แล้วไม่ทราบเพราะเหตุใดกระบี่บินบางส่วนจึงต่อสู้กันเองกลางท้องฟ้า แต่นี่กลับทำให้หลิ่วหมิงลอบโล่งอก
แม้กระบี่บินเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นพวกที่ระดับต่ำที่สุดของทั้งภูเขา ปราณกระบี่อ่อนแอที่สุด แต่หลายสิบจนถึงนับร้อยเล่มรุมเข้ามา ต่อให้กระบี่ว่างเปล่าคมกริบอย่างยิ่ง แต่ผลัดกันเข้ามาเช่นนี้ก็สู้ไม่ไหว
เห็นชัดว่าแสงสีทองบนผิวกระบี่ว่างเปล่าเวลานี้หม่นแสงลงกว่าก่อนหน้านี้อยู่บ้าง แม้มีทรายธารดาราปกป้อง แต่บนตัวกระบี่ก็ยังปรากฏรอยร้าวเล็กๆ ที่ตาเปล่ามองเห็นหลายแห่ง
พลังจิตของตัวหลิ่วหมิงเองก็สูญเสียไปอย่างรวดเร็วไม่หยุดพร้อมกับกระบี่บิน แม้เขามีหนอนพลังจิตช่วย อีกทั้งพลังจิตเหนือกว่าคนระดับเดียวกัน ตอนนี้ก็ทนไม่ไหวนัก
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ระดับแก่นแท้ขั้นต้นคนอื่น เกรงว่ากระบี่คงพังคนสิ้นชีวิตไปนานแล้ว
ในเวลาเดียวกันนี้ก็ยังมีกระบี่บินบนยอดเขาถูกจิตกระบี่ตรงนี้ดึงดูดมาอีก กระบี่สองสามเล่มบินเร็วรี่มายังด้านนี้
หลังจากหลิ่วหมิงถอนหายใจอย่างจนปัญญาเล็กน้อย มือข้างหนึ่งก็กวักกลางอากาศ กระบี่บินสีทองบินวนรอบหนึ่งแล้วฟันกระบี่บินสองเล่มให้ถอยออกไปเร็วประหนึ่งสายฟ้าแลบ จากนั้นส่งเสียงดัง “ฟึบ” บินพุ่งกลับมาในฝักกระบี่ที่เอวของเขา
เมื่อมือข้างหนึ่งของเขาลูบฝักกระบี่เบาๆ มันก็ซ่อนเร้นหายไป ในเวลาเดียวกันเขาก็โคจรพลังเวทในร่างอย่างไม่กล้าชักช้า กรอกพลังเวทเข้าไปยังภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนบนหัวไหล่ กระตุ้นมันออกมาในพริบตา เขาเก็บงำกลิ่นอายจากนั้นโฉบเข้าไปหลังหินเขียวขนาดมหึมาก้อนหนึ่งที่ตีนเขา
เป็นดังเช่นที่เขาคิด กระบี่บินเจ็ดแปดสิบเล่มที่เหลือกลางท้องฟ้า เมื่อสูญเสียเป้าหมายหลักไปก็เริ่มต่อสู้กันเอง
เวลาผ่านไปไม่นานในที่สุดกระบี่บินเหล่านั้นก็ใช้ปราณกระบี่สายสุดท้ายไปจนหมดแล้วหยุดต่อสู้ กระบี่บินแต่ละเล่ม บินพุ่งกลับไปที่เขากระบี่หัก ในหมู่พวกมันมีหลายเล่มหม่นหมองไร้ประกาย พลังจิตวิญญาณเสียหายอย่างสมบูรณ์จนร่วงหล่นสะเปะสะปะลงบนพื้น
ตอนนี้หลิ่วหมิงจึงหลับตาสองข้างลงอย่างวางใจ เขาส่งจิตสัมผัสแทรกเข้าไปในฝักกระบี่ว่างเปล่าข้างเอวเพื่อสำรวจสภาพของกระบี่ว่างเปล่าอย่างละเอียด
สภาพของกระบี่บินว่างเปล่าในตอนนี้เห็นชัดว่าไม่น่ายินดีนัก นอกจากรอยร้าวขนาดเล็กเหล่านั้นที่เห็นก่อนหน้านี้ บนตัวกระบี่ยังมีรอยกรีดเปะปะอีกนับไม่ถ้วน แม้รอยเหล่านี้ล้วนเป็นความเสียหายที่ไม่สาหัส แต่อย่างน้อยก็ต้องบำรุงนับสิบวันหรือครึ่งเดือนถึงจะฟื้นคืนสภาพเดิมได้
แต่หลิ่วหมิงไม่รีบร้อน!
ความผิดพลาดเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะไม่ได้ควบคุมโอสถประลองกระบี่ยามใช้ให้ดี มีเวลาว่างเช่นนี้ก็พอดีให้เขาได้จำลองการใช้โอสถประลองกระบี่ในแดนมายาสักหน่อย
กระบี่บินส่วนใหญ่ตรงหน้าล้วนเป็นกระบี่บินระดับต่ำ หากหลังจากนี้เขาขึ้นไปที่ช่วงกลางหรือด้านบนของภูเขาเพื่อฝึกฝนกระบี่บินแล้วควบคุมโอสถประลองกระบี่ได้ไม่ดี บางทีอาจเรียกภัยอันตรายมาถึงชีวิตได้จริงๆ
หลังจากคิดเช่นนี้ เขาจึงเติมสมุนไพรจิตวิญญาณอีกจำนวนหนึ่งเข้าไปในฝักกระบี่ จากนั้นนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม เริ่มฟื้นพลังจิตและพลังเวท
ตอนที่ 874 ฝึกปรือกระบี่
วันหนึ่งครึ่งเดือนให้หลัง เขากระบี่หักก็มีเสียงประลองกระบี่เอะอะดัง “เคร้งๆ” ขึ้นอีกครั้ง
สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าแสงกระบี่สีทองยาวหนึ่งจั้งกว่าเส้นหนึ่งวาดเร็วรี่ไล่ตามแสงกระบี่สีแดงสองสายไปติดๆ
ทันใดนั้นแสงกระบี่สีทองกลางท้องฟ้าก็เพิ่มความเร็วขึ้นในทันใดแล้วหายวับไปขณะที่อยู่ห่างออกไปไกล
ครู่ต่อมากลางอากาศห่างไปเบื้องหน้าสิบกว่าจั้งก็เกิดรอยกระเพื่อมจางๆ ชั้นหนึ่ง แสงกระบี่สีทองอ่อนสายหนึ่งปรากฏออกมาอีกครั้ง เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้น มันก็สะบั้นแสงสีแดงเส้นหนึ่งในนั้นเป็นสองท่อน
แสงกระบี่สีแดงสลายหายไป กระบี่ยาวสีแดงเล่มหนึ่งหักเป็นสองท่อนร่วงลงบนพื้นดินดัง “เคร้ง”
แสงกระบี่สีแดงอีกเส้นหนึ่งราวกับเชื่อมโยงถึงกัน มันส่งเสียงร้องครวญครางเลี้ยวกลับกลางอากาศ แล้วพุ่งเข้าชนแสงกระบี่สีทองตรงๆ ทันที
เสียง “ฉึบ” ดังขึ้นหลายหน!
หลังแสงกระบี่สีแดงฟันไขว้ปะทะกับแสงกระบี่สีทองหลายครั้งกลางอากาศก็ทานไม่ไหวถูกดีดปลิวออกไป มันกลิ้งกลางอากาศหลายครั้งแล้วร่วงเร็วจี๋ลงมาปักดัง “ฉึก” ปักเอนอยู่ห่างจากกระบี่หักสีแดงเล่มก่อนหน้านี้ไม่ไกล
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในดวงตาก็ฉายแววพึงพอใจจางๆ จากนั้นมือข้างหนึ่งกวักเบาๆ กลางอากาศ กระบี่น้อยสีทองกะพริบวูบหนึ่งกลางท้องฟ้าแล้วบินพุ่งกลับมาในมือของเขา
เขาตรวจสอบกระบี่ว่างเปล่าอย่างละเอียด หลังแน่ใจว่าไม่เป็นไรก็หยิบโอสถประลองกระบี่เม็ดนั้นออกมาโยนขึ้นไปกลางท้องฟ้าอีกหน พร้อมกันนั้นก็ผนึกปราณกระบี่บนตัวกระบี่ยิงออกไปพร้อมกัน
หลังจากเปลวเพลิงสามสีกะพริบอยู่พักหนึ่งก็แผ่กลิ่นหอมจางๆ สายหนึ่งพุ่งรวดเร็วไปทางเขากระบี่หัก
วันนี้เขาควบคุมโอสถประลองกระบี่เวลาใช้ได้อย่างพอดิบพอดีแล้ว กระบี่บินที่ถูกดึงดูดมาครั้งหนึ่งมีเพียงห้าถึงสิบเล่ม
แม้ดูเหมือนความเร็วการประลองกระบี่ลดน้อยลง แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ทำเช่นนี้ความเสียหายของกระบี่บินจะน้อยยิ่งกว่าน้อย ไม่ต้องยุ่งยากเก็บเข้าฝักกระบี่เพื่อบำรุงใหม่ ประสิทธิภาพกลับเพิ่มขึ้นมากหลายเท่า
หลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็ฟันฝ่าขวากหนาม ประลองกับกระบี่หักในภูเขาจากด้านล่างขึ้นไปด้านบนตามลำดับ เขาอาศัยพลังจิตมหาศาลของตนรวมถึงการมีทรายธารดาราปกป้องจึงฝึกปรือกับกระบี่บินแทบจะทั้งหมดที่พบได้รอบหนึ่งโดยที่ระหว่างนั้นหยุดพักไปเพียงสามครั้งเท่านั้น
เวลาผ่านไปทีละวันๆ เช่นนี้!
ครึ่งค่อนปีให้หลัง ในที่สุดหลิ่วหมิงก็มาถึงบริเวณไหล่เขา กระบี่บินที่ปักอยู่ตรงนี้หนาแน่นน้อยลงกว่าที่ตีนเขา ในบริเวณร้อยกว่าจั้งมีกระบี่บินเพียงเจ็ดแปดเล่มเท่านั้น แต่จิตกระบี่ในอากาศกลับเข้มข้นขึ้นมากกว่าสิบเท่า
ในหมู่กระบี่บินเหล่านี้ บางเล่มได้นายท่านของกระบี่ตั้งป้ายจารึกไว้ วัดจากแค่ปราณกระบี่ดุดันที่แผ่ออกมาพวกมันไม่ได้อ่อนแอกว่ากระบี่บินระดับสุดยอดหรือต้นแบบอาวุธเวทแม้แต่น้อย จินตนาการไม่ออกเลยว่ากระบี่เหล่านี้ล้วนเป็นซากกระบี่ที่พลังจิตวิญญาณเสียหายอย่างหนัก
แม้หลิ่วหมิงจะควบคุมกระบี่บินอย่างระมัดระวัง แต่พลังจิตวิญญาณก็ยังคงเสียหายหนักเป็นระยะอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ความเร็วของการฝึกปรือจึงลดลงมาก
……
หนึ่งปีให้หลัง บนไหล่เขาของเขากระบี่หัก เสียงฝึกปรือกระบี่บินดัง “เปรี้ยงๆ” ดังออกมาอีกครั้ง แสงกระบี่สีทองสายหนึ่งกะพริบวูบวาบไปมาไม่หยุดระหว่างแสงกระบี่ต่างสีสันสองสาย
หลิ่วหมิงในเวลานี้ฝึกปรือกับซากกระบี่หลายพันเล่มตั้งแต่ไหล่เขาลงมาจนหมดรอบหนึ่งแล้ว หากซากกระบี่เหล่านี้ต้องการฟื้นฟูปราณกระบี่ให้เหมือนก่อนหน้านี้ ไม่บำรุงแปดปีสิบปีเกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้
แสงกระบี่ที่กระบี่ว่างเปล่าผนึกออกมาตอนนี้แลดูคมกริบล้ำลึกขึ้นกว่าหนึ่งปีก่อนหน้าอยู่หลายส่วน เสียงกระบี่ครวญครางที่ดังออกมาก็ค่อยๆ ทุ้มต่ำลงด้วย
แต่กระบี่ว่างเปล่าเวลานี้ดูจากสีสันสว่างไสวกว่าก่อนหน้านี้อยู่หลายส่วน ไม่ว่าปราณกระบี่ที่แผ่ออกมาหรือจิตกระบี่ที่แฝงอยู่ด้านในก็แข็งแกร่งขึ้นไม่ใช่แค่เล็กน้อย
หลังเสียง “ฉึบ” ดังขึ้นหลายครั้ง!
แสงกระบี่สีฟ้าสายหนึ่งกับแสงกระบี่สีเทาสายหนึ่งก็ดีดออกไปกลายเป็นกระบี่บินหักสองเล่มเสียบลงในซอกหิน
กระบี่บินสีทองบินวนกลางท้องฟ้าอย่างเร็วไวรอบหนึ่ง จากนั้นเงาคนสีดำว่องไวร่างหนึ่งก็พุ่งโฉบขึ้นไปด้านบนของเขากระบี่หัก…
สองปีให้หลัง!
หลิ่วหมิงมาถึงจุดที่ห่างจากยอดเขาไม่ไกลอีกครั้ง บนพื้นผิวภูเขาบริเวณนี้ซากกระบี่หลากหลายแบบน้อยลงกว่าเดิมอีก
ด้านข้างไม่ไกลมีแผ่นศิลาสีเขียวตั้งตระหง่านอยู่แผ่นหนึ่ง กระบี่บินสีทองที่มีรอยบิ่นบนคมกระบี่สองรอย ด้ามกระบี่แหว่งไปค่อนครึ่งเล่มหนึ่งกำลังเอนไหวเบาๆ ตามสายลม
‘กระบี่เลี่ยหยาง’ เล่มนั้นที่หลิ่วหมิงเห็นเมื่อวันที่เข้ามาในเขากระบี่หักนั่นเอง
กระบี่เล่มนี้แตกต่างจากกระบี่หักเล่มอื่น หลิ่วหมิงเข้าใกล้มันในระยะร้อยกว่าจั้งเมื่อไร กระบี่เล่มนี้จะส่งเสียงครวญทุ้มต่ำเหมือนจะเป็นการเตือนออกมา หากเข้าใกล้มันในระยะสิบกว่าจั้งมันก็จะลอยออกจากพื้นขึ้นมาเองพร้อมกับพาปราณกระบี่ท่วมฟ้าพุ่งรวดเร็วเข้าใส่เขา
สิบกว่าวันก่อนหน้านี้ ตอนหลิ่วหมิงเพิ่งมาถึงที่แห่งนี้เคยเผลอไปแตะต้องกระบี่เล่มนี้อย่างไม่ตั้งใจจนถูกบีบให้ประลองกระบี่กับมันครั้งหนึ่ง ผลปรากฏว่ากระบี่หักที่เหลืออยู่แค่ครึ่งท่อนเล่มนี้กลับสูสีทัดเทียมกับกระบี่ว่างเปล่าที่ฝึกปรือมานาน ทำให้ในใจเขาพรั่นพรึงอย่างมาก
เขาฉวยโอกาสที่กระบี่บินสีทองสองเล่มต่อสู้กัน อ่านตัวอักษรขนาดเล็กสองสามบรรทัดแรกบนป้ายศิลาที่ก่อนหน้านี้ไม่ทันได้สังเกตอย่างละเอียด จากนั้นเขาก็ขนหัวลุก
‘กระบี่เลี่ยหยาง ใช้เหล็กเฉินหยางที่แทรกอยู่ในอุกกาบาตเป็นตัวอ่อนกระบี่ ผสานดินปราณทองคำบริสุทธิ์เข้าไปแล้วหลอมด้วยหินหนืดเพลิงพิภพอยู่เจ็ดปีจึงก่อเกิด ยาวสามฉื่อเจ็ดชุ่น สามร้อยกว่าปีก่อนหน้านี้ ในการต่อสู้กับเฟิงหู่แห่งหุบเขาปีศาจสวรรค์ ข้าใช้พลังระดับแก่นแท้ฝืนกระตุ้นวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่ง ต้านการโจมตีครั้งหนึ่งจากอาวุธเวทขวานผ่าบรรพตของอีกฝ่ายจนกระบี่หักเสียหาย แต่ก็ทำให้เขาบาดเจ็บหนักได้เช่นเดียวกัน กระบี่เล่มนี้ตะลุยแผ่นดินจงเทียนเคียงข้างข้ามาเจ็ดสิบเก้าปี ทำให้ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์บาดเจ็บทั้งหมดห้าคน สังหารผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ไปสี่สิบหกคน ผู้ฝึกฝนตั้งแต่ระดับผลึกลงไปมากมายนับไม่ถ้วน’
จินเลี่ยหยางผู้ได้ชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งของศิษย์ลับผู้นี้มีพลังเหนือผู้คนอย่างแท้จริง ถึงกับทำร้ายผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ได้ตั้งแต่ตอนพลังระดับแก่นแท้
แม้กระบี่เล่มนี้จะเสียหาย แต่พลังจิตวิญญาณยังคงอยู่ ดังนั้นจึงทำให้กระบี่บินเล่มอื่นไม่กล้าเข้าใกล้
จากที่หลิ่วหมิงคาดคะเน หากกระบี่เล่มนี้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่เสียหาย เกรงว่าคงจะแข็งแกร่งกว่าที่สัมผัสได้ตอนนี้มากกว่าร้อยเท่า ดังนั้นแม้เสียหายไปแล้วแต่ก็ยังคงบินออกมาทำร้ายคนแต่ไกลได้
ทว่าหลิ่วหมิงมาถึงที่นี่อีกครั้ง ครั้งนี้ย่อมเตรียมพร้อมอย่างรอบคอบมาก่อนแล้ว
หลังเขาสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง มือข้างหนึ่งก็ถือโอสถประลองกระบี่ขึ้นมาแล้วก้าวยาวเข้าไปทางป้ายศิลาทันที
ผลปรากฏว่าหลิ่วหมิงเพิ่งเดินไปได้ไกลอีกสิบกว่าก้าว กระบี่เลี่ยหยางที่อยู่ใกล้ๆ ป้ายศิลาก็ส่งเสียงดัง “ฟึบ” ทีหนึ่งแล้วพุ่งขึ้นฟ้า หลังมันบินวนกลางท้องฟ้ารอบหนึ่งก็กลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งรวดเร็วมายังจุดที่หลิ่วหมิงอยู่
หลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งขรึม มืออีกข้างหนึ่งฉับพลันตบฝักกระบี่สีเงินอ่อนที่เอว แสงกระบี่สีทองเส้นหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกมาเช่นเดียวกัน
รุ้งสีทองยาวเจ็ดแปดจั้งสองสายฉับพลันโรมรันกันกลางท้องฟ้า เสียงเสียดสีดังชิ้งๆ ดังขึ้นไม่ขาดหู
แสงสีทองสองสายฟาดฟันกันไม่หยุด แสงสีทองสายแล้วสายเล่ากระจายไปสี่ด้านแปดทิศ ฟันหินภูเขาโล่งเตียนก้อนแล้วก้อนเล่าป่นเป็นผุยผง
โอสถประลองกระบี่ถูกหลิ่วหมิงโยนออกไปนานแล้ว มันลอยนิ่งไม่ขยับอยู่กลางอากาศใกล้ๆ
หลังเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป เคล็ดกระบี่ที่มือหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไปในทันใด กระบี่ว่างเปล่าฉับพลันมียันต์ที่ทอแสงสีเงินระยิบระยับมากมายวนเวียนอยู่รอบๆ ทรายสีเงินซัดออกมาจากด้านใน กลายเป็นพายุหมุนสีเงินกลางอากาศแล้วล้อมกระบี่เลี่ยหยางไว้
“สำเร็จแล้ว!”
ขณะที่หลิ่วหมิงเผยสีหน้ายินดีออกมาแล้วเปลี่ยนเคล็ดกระบี่อีกครั้ง เกลียวคลื่นความร้อนลูกหนึ่งก็ซัดออกมาจากกลางพายุหมุน แสงสีทองเส้นแล้วเส้นเล่าแหวกออกมาจากระหว่างรอยแยก
หลังเสียง “ฟู่” ดังขึ้นทีหนึ่ง พายุหมุนสีเงินก็กลายเป็นทรายสีเงินสายหนึ่งแล้วระเบิดออก กระบี่เลี่ยหยางส่งเสียงครวญครางยาวทีหนึ่งแล้วพุ่งจากด้านในขึ้นไปบนท้องฟ้า
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วแล้วกวักมือเรียกกระบี่ว่างเปล่า มันโต้ลมขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นยาวสิบกว่าจั้ง จากนั้นพุ่งดังหวีดหวิวไปหากระบี่เลี่ยหยาง
เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่นก้องท้องนภา!
หลังจากกระบี่ว่างเปล่ากับกระบี่เลี่ยหยางปะทะกันอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง ดวงตะวันเจิดจ้าสีทองแสบตาที่ทำให้คนแทบไม่กล้ามองตรงๆ ดวงหนึ่งก็ลอยขึ้นมา
แสงกระบี่สีทองอ่อนเลือนรางสายหนึ่งพุ่งกลับมาจากด้านในดวงตะวันเจิดจ้า มันคือกระบี่บินว่างเปล่าที่แสงกระบี่หม่นลงไปเล็กน้อยนั่นเอง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ หัวใจพลันกระตุก มือข้างหนึ่งกวักเรียกกระบี่ว่างเปล่าที่พลังจิตวิญญาณเสียหายกลับมาทันที หลังตรวจสอบแล้วว่ามันไม่ได้เสียหายไปถึงแก่นด้านใน เขาก็เก็บมันไว้ในฝักกระบี่ว่างเปล่าเริ่มบำรุงอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกันนี้แสงกระบี่สีทองของกระบี่เลี่ยหยางก็พุ่งย้อนกลับไปทิศตรงกันข้าม มันกะพริบวูบหนึ่งก็ปักกลับไปด้านข้างป้ายศิลาทันที ผิวกระบี่หม่นหมองอยู่บ้างเห็นชัดว่าเสียหายไม่น้อยเช่นกัน ไม่อาจบินออกมาประลองกระบี่เองได้อีกต่อไปแล้ว
หลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็ใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ บำรุงกระบี่ว่างเปล่าจนฟื้นคืนสภาพเดิม แล้วออกเดินทางมุ่งสู่ยอดเขาต่ออีกครั้ง
สามปีให้หลัง!
ณ ที่แห่งหนึ่งบนเขากระบี่หัก รุ้งกระบี่สีทองยาวสิบกว่าจั้งเส้นหนึ่งกับรุ้งกระบี่สีดำยาวสิบห้าสิบหกจั้งเส้นหนึ่งกำลังฟาดฟันปะทะกันอย่างรุนแรงไปมา
ส่วนหลิ่วหมิงยืนอยู่บนป้ายศิลาแผ่นหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สองตาหรี่ลงเล็กน้อย เคล็ดวิชาที่มือเปลี่ยนไปมาไม่หยุด
จากที่เขียนบนป้ายศิลา กระบี่บินสีดำเล่มนี้ชื่อว่า ‘กระบี่หยุดจันทร์’ เป็นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่ผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์คนหนึ่งของยอดเขากระบี่สวรรค์ทิ้งไว้เมื่อหกพันปีก่อนหลังจากละสังขาร
กระบี่เล่มนี้ทรงพลังอย่างที่สุด นิสัยก็ดุร้ายอย่างยิ่ง กระหายเลือดเป็นสันดาน ทายาทผู้สืบสายเลือดของเขาไม่มีผู้ใดควบคุมมันได้ ดังนั้นจึงได้แต่ปล่อยมันไว้ในเขากระบี่หักทั้งอย่างนั้น
กระบี่เล่มนี้ตัวมันยาวเพียงหนึ่งฉื่อกว่า ทั้งเล่มสีดำสนิทประหนึ่งหมึก มองจากไกลๆ ตัวกระบี่ส่องแสงจิตวิญญาณจางๆ ดูคล้ายธรรมดาอย่างยิ่ง แต่พลังยังคงยิ่งใหญ่เหนือกว่าจินตนาการของหลิ่วหมิงไปไกล
หากไม่ใช่เพราะกระบี่เล่มนี้เสื่อมสภาพจากการผ่านกาลเวลามาหลายพันปี พลังจิตวิญญาณสลายไปไม่น้อยจนพลังที่สำแดงออกมาได้ในวันนี้ไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วนของยามรุ่งโรจน์ เกรงว่ากระบี่ว่างเปล่าประมือเพียงครั้งเดียวก็คงถูกมันสะบั้นกลายเป็นสองท่อน
แม้เป็นเช่นนี้หลิ่วหมิงก็ยังต่อสู้กับกระบี่เล่มนี้มาแล้วถึงสามครั้ง ใช้เวลายาวนานถึงหกเดือนเซาะกร่อนทำให้ปราณกระบี่ของกระบี่เล่มนี้ค่อยๆ ลดน้อยลงจนถึงระดับนี้
ในช่วงเวลานี้กระบี่ว่างเปล่าเสียหายไปสองครั้ง ครั้งแรกที่ถูกกระบี่เล่มนี้ฟัน บนตัวกระบี่ปรากฏรอยแตกยาวหนึ่งชุ่นกว่าเส้นหนึ่ง เสียหายค่อนข้างหนักจนทำให้เขาต้องเก็บกระบี่ว่างเปล่าเข้าไปบำรุงในร่างเป็นเวลาสองเดือนครึ่งเต็มๆ
แน่นอนถึงหลิ่วหมิงจะเสียเวลากับกระบี่เล่มนี้ไปมากปานนี้ แต่ตัวกระบี่ว่างเปล่าก็ได้รับประโยชน์ไม่น้อย ตัวกระบี่ว่างเปล่าที่เดิมทียาวสองฉื่อแปดชุ่นวันนี้ถูกฝึกปรือจนยาวห้าหกชุ่นแล้ว นอกจากนี้ความคมก็เพิ่มมากขึ้นกว่าตอนก่อนเข้ามาในมิติแห่งนี้สองถึงสามเท่า
วันนี้หลิ่วหมิงอยู่ห่างจากยอดเขาอีกหนึ่งพันว่าจั้ง ทอดสายตามองไป ด้านบนเหลือซากกระบี่เล็กน้อยราวสิบกว่าเล่มเท่านั้น
ตอนที่ 875 ลูกกลอนกระบี่ถือกำเนิด
ก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงเคยลอบปล่อยจิตสัมผัสออกไปกวาดผ่านป้ายศิลาไม่กี่แผ่นบนนั้นอย่างผ่านๆ พวกมันล้วนมีความเป็นมาไม่ธรรมดา แผ่นหนึ่งในนั้นคือป้ายศิลาที่ทอแสงสีม่วง ตรงนั้นเป็นถึงสถานที่หลับใหลของซากกระบี่ของผู้ฝึกฝนกระบี่ระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ผู้หนึ่งที่เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งนิกายยอดบริสุทธิ์
หลายวันนี้หลิ่วหมิงอารมณ์ไม่สงบอยู่บ้าง!
กระบี่ว่างเปล่าในวันนี้ต่อสู้กับกระบี่มานับไม่ถ้วนแล้ว แม้จะฝึกปรือเช่นนี้จนพลังก้าวหน้าขึ้นทุกวัน แต่ก็ยังอยู่ห่างจากลูกกลอนกระบี่ในตำนานอยู่มาก
หากจะต่อสู้กับกระบี่บินทั้งหมดของเขากระบี่หักทีละเล่มๆ จนครบรอบจริงๆ เกรงว่าอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายปี อย่างมากก็อาจต้องใช้สิบกว่าปีหรือยี่สิบปี
กระบี่บินที่เหลือเหล่านี้จะเล่มไหนก็ล้วนพลังท่วมฟ้า หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้กระบี่ว่างเปล่าถูกกระบี่บินเหล่านี้ทำร้ายเสียหายหนักเข้าจริงๆ จนพลังจิตวิญญาณไม่อาจฟื้นคืนได้ เช่นนั้นย่อมกลายเป็นเรือล่มปากอ่าว
ขณะที่หลิ่วหมิงครุ่นคิดสารพัดสิ่งอยู่ในใจนั่นเอง กระบี่ว่างเปล่ากลางท้องฟ้าก็กลายเป็นรุ้งสีทอง พร้อมกับมีเสียงเม็ดทรายละเอียดกระทบกันดัง “ซ่าๆ” ทรายละเอียดสีเงินส่งเสียงดังออกมาจากบนนั้นแล้ววนรอบรุ้งกระบี่สีดำไว้ด้านในประหนึ่งอสรพิษสีเงินตัวยาว
รุ้งยาวสีดำถูกม่านทรายสีเงินหุ้มก็สั่นไหวไม่หยุดแล้วส่งเสียงครวญครางทุ้มต่ำออกมา แสงสีดำหม่นแสงลงไปเล็กน้อยอีกครั้ง
“ไป!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาพลันเปล่งประกาย มือข้างหนึ่งจิ้มเบาๆ กระบี่ว่างเปล่าก็เพิ่มความเร็ว มันส่งเสียงดัง “ฟึบ” ทิ้งไว้เพียงรอยลากแวววาวเส้นหนึ่งพาดผ่านท้องนภาครึ่งหนึ่ง
“ปัง” เสียงดังสนั่นประหนึ่งจะฉีกท้องนภาสะบั้นพสุธา!
กระบี่บินสีดำพุ่งออกมาจากม่านทรายสีเงิน มันส่งเสียงครวญครางครั้งหนึ่งแล้วพุ่งเร็วรี่ลงเบื้องล่าง เสียบลงในร่องที่มันพุ่งออกมาก่อนหน้านี้เหมือนเดิม ปราณสีดำบนตัวกระบี่ม้วนขึ้นหุ้มกระบี่เล่มนี้ไว้อีกครั้งเกิดเป็นรูปจันทร์เสี้ยวสีดำขมุกขมัว
หลิ่วหมิงเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แม้กระบี่เล่มนี้ถูกกระบี่ว่างเปล่าโจมตีเต็มแรงครั้งหนึ่งแต่มันไม่ได้รับความเสียหายสักนิด เหมือนกับว่ามันเริ่มบำรุงตนเองเพราะปราณกระบี่ไม่เพียงพอเท่านั้น ลี้ลับอย่างแท้จริง
เขายังไม่ทันได้ครุ่นคิด กระบี่ว่างเปล่าเหนือศีรษะก็พลันส่งเสียงครวญครางออกมาครั้งหนึ่งแล้วเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า ทรายธารดาราที่กลายเป็นอสรพิษสีเงินม้วนตัวกลับมาเองจากนั้นปล่อยแสงสีทองวงแล้ววงเล่าออกมา
ชั่วครู่ให้หลังกระบี่บินทั้งเล่มก็กลายเป็นก้อนแสงสีทองใหญ่หนึ่งจั้งกว่าลูกหนึ่ง ลอยอยู่กลางท้องฟ้าสูงประหนึ่งดวงตะวันเจิดจ้าดวงหนึ่งแล้วหมุนวนเชื่องช้าไม่หยุด
“หรือว่า…”
หลิ่วหมิงหลับตาสองข้างลง นึกย้อนเกี่ยวกับปรากฏการณ์ประหลาดยามหลอมลูกกลอนกระบี่ที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ทันใดนั้นในใจก็ยินดีอย่างที่สุด
เขาคิดก็ไม่คิดอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งไปทางก้อนแสงสีทองในทันที ต่อจากนั้นสิบนิ้วก็ขยับเร็วไวอย่างยิ่ง ยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าไปทางท้องฟ้า
โอสถประลองกระบี่เม็ดนั้นที่ลอยนิ่งอยู่ใกล้ๆ พร่าเลือนวูบหนึ่งแล้วจมลงไปในก้อนแสงสีทองหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันใด
ครู่ต่อมาท้องนภาทั้งผืนก็ปั่นป่วน สายลมคลั่งพัดโหม ท้องนภาเหนือศีรษะเห็นชัดว่ากลายเป็นสีดำสนิทไปหมด ซากกระบี่นับพันนับหมื่นตั้งแต่ด้านบนจรดด้านล่างเขากระบี่หักส่งเสียงครวญครางแผ่วเบาออกมาอย่างพร้อมเพรียง
หลังจากนั้นเสียงแหวกอากาศดัง “ฟึบ” ก็ดังสนั่นตามมาติดๆ!
ปราณกระบี่หลากสีสันทยอยพุ่งออกจากซากกระบี่และซากดาบบนเขา พุ่งตัดสลับกันบนท้องนภาจนแทบจะล้อมเขากระบี่หักทั้งลูกไว้ พวกมันแทรกเข้าไปในดวงตะวันเจิดจ้าสีทองที่เกิดมาจากกระบี่ว่างเปล่าไม่หยุดทำให้มันขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากนั้นเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปเต็ม ดวงตะวันเจิดจ้าสีทองก็ขยายจนใหญ่สิบจั้ง จิตกระบี่น่าตะลึงสายแล้วสายเล่าเริ่มแผ่ออกมาจากด้านใน
บนหน้าหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยสีหน้ายินดีอย่างยิ่งยวด
เห็นชัดว่าวันนี้กระบี่ว่างเปล่าเข้าสู่กระบวนการผนึกลูกกลอนแล้ว มันเข้าสู่ขั้นตอนการกลายเป็นลูกกลอนกระบี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดวงตะวันสีทองกลางท้องฟ้าดูดซับปราณกระบี่มากกว่าเดิมเข้าไปด้านในตามที่เคล็ดวิชาของหลิ่วหมิงกระตุ้น หลังทุกสิ่งดำเนินไปเป็นเวลาหนึ่งเค่อเต็มๆ เมื่อปราณกระบี่ที่พุ่งออกมาจากเขากระบี่เหลือน้อยนิดไม่เท่าไรในที่สุดเสียงดังสนั่นก็ดังขึ้น!
หมอกเมฆห้าสีก้อนแล้วก้อนเล่าลอยออกมาใกล้ดวงตะวันเจิดจ้าสีทอง หลังจากถาโถมก่อตัวขึ้นอย่างเร็วไวก็กลายเป็นกลุ่มก้อนเมฆใหญ่ขนาดหลายหมู่ก้อนหนึ่งบดบังดวงตะวันสีทองไว้จนหมด ด้านในมองเห็นยันต์แวววาวตัวแล้วตัวเล่ากะพริบวูบวาบไม่หยุดอยู่เลือนราง ในเวลาเดียวกันนั้นบนกำแพงปราณรอบมิติก็มียันต์สีขาวน้ำนมตัวแล้วตัวเล่าลอยออกมาเช่นกัน
สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าเสียงหวีดหวิวดังลั่น ด้านในก้อนเมฆสีทองสาดปราณกระบี่สีทองมากมายออกมา สิ่งที่สายตามองเห็นคือรอยแผลยาวสีทองประหนึ่งจะตัดท้องนภาทั้งผืนให้เป็นชิ้นๆ
ในเวลาเดียวกัน ไม่ไกลจากยอดเขากระบี่สวรรค์ซึ่งปกคลุมด้วยหมอกหนาขาวโพลนทั้งปี กลางอากาศที่ดูเหมือนไม่มีใครอยู่ฉับพลันก็แหวกออกเป็นรอยแยกสีดำยาวหนึ่งจั้งกว่าเส้นหนึ่ง พร้อมกันนั้นปราณกระบี่สีทองมากมายก็พุ่งออกมาจากด้านใน พวกมันฉายแสงแถบใหญ่ไปยังอากาศเบื้องหน้าแล้วหายวับไป!
“เรียนผู้ควบคุมยอดเขา มิติที่เขากระบี่หักอยู่มีเค้าลางของความไม่มั่นคง คล้ายกับมีปราณกระบี่มากมายจะรั่วออกมาด้านนอก ศิษย์ไม่ทราบว่าด้านในสถานการณ์เป็นอย่างไร”
ในห้องโถงด้านข้างบนยอดเขากระบี่สวรรค์ ศิษย์ชุดน้ำเงินหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งเดินก้าวไวๆ เข้ามาจากด้านนอกแล้วประสานมือเอ่ยรายงานกับคนในห้องโถงทันที
“ข้าทราบแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด อาจารย์จะไปดูกับผู้อาวุโสคนอื่นให้รู้ชัดด้วยตนเอง” ชายหนุ่มผู้สวมกวานหยกคนนั้นโบกมือแล้วเอ่ยตอบนิ่งๆ
“ศิษย์ขอตัว!” หลังจากศิษย์ของยอดเขากระบี่สวรรค์คนนี้ค้อมกายประสานมืออีกครั้งก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องโถงด้านข้าง
“หากข้าจำไม่ผิด หลายปีนี้ยอดเขาเราไม่มีศิษย์เข้าสู่ระดับแก่นแท้ มีเพียงหลิ่วหมิงแห่งยอดเขาลั่วโยวคนนั้นที่เข้าไปในเขากระบี่หักลูกนี้เมื่อสี่ปีกว่าก่อนหน้า หรือว่า…เด็กคนนี้จะหลอมลูกกลอนกระบี่สำเร็จจริงๆ แล้วยังทำลายค่ายกลชั้นจำกัดที่อาจารย์วางไว้เมื่อครั้งนั้นได้อีกด้วย? น่าจะไม่ใช่กระมัง ไม่แน่บางทีเด็กคนนี้อาจไม่ระวังจนปลุกกระบี่บินระดับสุดยอดบางเล่มขึ้นมา…ดูท่าคงจะต้องไปเยือนด้วยตนเองสักครั้งจริงๆ แล้ว”
ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินเอ่ยพึมพำเสียงเบากับตนเองหลายประโยคจากนั้นแสงสีน้ำเงินก็สว่างขึ้นรอบร่างกลายเป็นรุ้งสีน้ำเงินสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกไปนอกโถงด้านข้าง
ตอนนี้บริเวณท้องฟ้าที่ดูเหมือนไม่มีคนแถบนั้นของยอดเขากระบี่สวรรค์มีศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์นับร้อยคนได้ข่าวจึงทยอยมารวมตัวกัน
“ศิษย์พี่หลง ท่านรู้หรือไม่ว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้น?” ชายหนุ่มใบหน้าตอบยาวผู้สวมชุดผ้าไหมสีขาวคนหนึ่งกำลงทำหน้างุนงงเอ่ยถามสตรีหน้าตางดงามผู้สวมกระโปรงยาวสีม่วงอ่อนคนหนึ่งข้างกาย
หากหลิ่วหมิงอยู่ที่นี่จะต้องจำคนผู้นี้ได้ในแวบแรกแน่นอน เขาก็คือซาทงเทียนนั่นเอง ส่วนสตรีกระโปรงม่วงผู้นี้ก็คือหลงเหยียนเฟย
“บริเวณนี้น่าจะเป็นตราผนึกของเขากระบี่หัก หรือก็คือสถานที่ซึ่งสุสานกระบี่ของยอดเขาเราตั้งอยู่ เพราะปราณกระบี่ที่รวมอยู่ในภูเขาเข้มข้นเกินไป เพื่อไม่ให้กระบี่หักต่อสู้กันไม่หยุดจนทำให้ปราณกระบี่รั่วไหลออกมาทำร้ายผู้คน ผู้อาวุโสหลายคนของนิกายสายในจึงเคยวางค่ายกลชั้นจำกัดปิดกั้นไว้ที่นี่ ท้องฟ้าตรงนี้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้จะต้องเกิดเรื่องใหญ่อะไรในเขากระบี่หักเป็นแน่” ดวงเนตรทั้งสองของหลงเหยียนเฟยเปล่งประกายเจิดจ้าแล้วเอ่ยตอบขึ้นช้าๆ
“ทำไมข้าไม่เห็นรู้ว่าในยอดเขามีของเช่นนี้อยู่ด้วย?” ซาทงเทียนเอ่ยถาม เขาตะลึงเล็กน้อยจากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหวั่นไหว
บนยอดเขาตั้งตระหง่านลูกหนึ่งด้านหลังศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์กลุ่มนี้ จินเทียนชื่อผู้สวมชุดสีทองกับผู้อาวุโสหานที่สวมชุดสีเทาผู้นั้นหยุดยืนอยู่ พวกเขากำลังสนทนาอะไรกันเสียงเบา
“ข้าจำได้ว่าตอนนั้นที่เจ้าใช้แก่นของอุกกาบาตหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณใหม่อีกครั้ง ตอนที่ผนึกลูกกลอนกระบี่ ปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินที่เกิดขึ้นก็ระดับประมาณนี้กระมัง คิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงเด็กคนนี้จะมีโชคเช่นนี้ คนรุ่นหลังช่างน่ากลัวจริงๆ” บุรุษชุดเทาสายตาทอประกาย เอ่ยขึ้นนิ่งๆ
“หึๆ ข้าก็ผิดคาดมากเช่นกัน แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ เด็กคนนี้ถึงควรค่าให้พวกเราคาดหวังใช่ไหมเล่า!” จินเทียนชื่อหัวเราะเบาๆ แล้วหมุนตัวกลับอย่างพึงพอใจ กลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่งหายวับไปจากที่เดิม
หลิ่วหมิงที่ยังคงอยู่ในเขากระบี่หักย่อมไม่รู้ว่าปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินที่เกิดจากการหลอมลูกกลอนกระบี่ของตนฉีกมิติผนึกของเขากระบี่หักจนขาด
เขาในเวลานี้พ่นโลหิตบริสุทธิ์คำแล้วคำเล่าออกมากลางท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อนิ้วมือจิ้มรัวโลหิตก็ทยอยกลายเป็นยันต์สีโลหิตตัวแล้วตัวเล่าแทรกเข้าไปในกลุ่มเมฆห้าสี
ยันต์จิตวิญญาณสีขาวน้ำนมบนกำแพงปราณรอบมิติก็ส่องแสงวูบวาบตอบรับ ราวกับว่ามิติทั้งหมดกำลังตะโกนแสดงความยินดีกับมัน!
เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้นอีกครั้ง กลุ่มเมฆระเบิดออกหมดสิ้น ลูกบอลแสงสีทองขนาดเพียงกำปั้นลูกหนึ่งลอยออกมาจากกลางท้องฟ้าแล้วหมุนเชื่องช้า มันแผ่แสงสีทองอ่อนประหนึ่งเส้นไหมเรียวเล็กเส้นแล้วเส้นเล่าออกมา
หมื่นกระบี่บนเขากระบี่หักส่งเสียงเอะอะอยู่พักหนึ่งก็ค่อยๆ สงบลง ทั้งมิติฟื้นคืนกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
เวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยให้หลัง แสงสีทองที่ฉายอยู่บนท้องฟ้าก็ค่อยๆ อ่อนแสงลงพร้อมกัน เผยหน้าตาที่แท้จริงของลูกบอลแสงออกมา มันคือมุกกลมสีทองขนาดเท่าหัวแม่มือลูกหนึ่ง
หลิ่วหมิงสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วยกแขนข้างหนึ่งขึ้นกวักกลางอากาศอย่างแผ่วเบาทันที มุกกลมสีทองอ่อนคล้ายสัมผัสได้จึงหมุนติ้วกลางอากาศรอบหนึ่งแล้วร่วงลงในมือเขาช้าๆ
หลิ่วหมิงหรี่สองตาลง สำรวจจากบนจรดล่างอย่างละเอียดไม่หยุด
เขาเห็นเพียงยันต์เล็กจิ๋วมากมายบนผิวของมันเคลื่อนวนไม่หยุดอยู่เลือนราง นอกจากนี้มุกกลมสีทองทั้งลูกก็ประหนึ่งมีชีวิต มันสั่นไหวเบาๆ พร้อมกับที่ยันต์เหล่านี้ไหลเคลื่อน
การสั่นไหวนี้แผ่วเบาอย่างที่สุด หากไม่ได้ถืออยู่ในมือตนเองก็คงสัมผัสไม่ได้สักนิด
เขาตรวจดูซ้ำไปซ้ำมาอีกพักหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าคล้ายคลึงกับที่บันทึกไว้ในคัมภีร์เป็นส่วนใหญ่ ในที่สุดถึงถอนหายใจโล่งอก ทันใดนั้นเขาก็อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งลงบนสิ่งที่อยู่ในมือ
มุกกลมสีทองพร่าเลือนวูบหนึ่งก็กลายเป็นกระบี่น้อยขนาดจิ๋วยาวสองชุ่นในทันที ผิวของมันใสแวววาวทอแสงสีทองเรืองๆ เหมือนกึ่งโปร่งใส
หลิ่วหมิงตรวจสอบกระบี่น้อยในมือซ้ำไปซ้ำมาอยู่พักหนึ่งถึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นนิ้วมือก็จิ้มทีหนึ่ง ให้กระบี่เล่มน้อยพร่าเลือนกลายเป็นสภาพมุกกลมใหม่อีกครั้ง จากนั้นเก็บมันเข้าไปในฝักกระบี่ว่างเปล่าอย่างระมัดระวังแล้วหยิบยันต์สีเงินอ่อนที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษแผ่นหนึ่งออกมาแปะไว้บนฝักกระบี่
“ผนึก!”
เขาตะโกนออกมาคำหนึ่ง
ยันต์สีเงินอ่อนฉับพลันกลายเป็นแสงสีเงินอ่อนโยนประหนึ่งหิมะแรกละลายในวสันต์ฤดูหุ้มฝักกระบี่ทั้งหมดไว้ หลังจากวาดลวดลายจิตวิญญาณดุจเส้นไหมบนฝักกระบี่และส่องแสงวูบหนึ่งแล้วก็ปิดผนึกปากฝักกระบี่ไว้แน่นหนา
หากไม่เกิดสถานการณ์ที่ถูกบีบจนไร้ทางเลือก หลายสิบปีนับจากนี้ไม่อาจปล่อยให้ลูกกลอนกระบี่ที่หลอมขึ้นมาออกจากฝักกระบี่ได้ง่ายๆ มิเช่นนั้นจะต้องผนึกไว้ในฝักกระบี่ใหม่ นับเวลาบำรุงหล่อเลี้ยงใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น