อยากกินไหมล่ะ 872-873
บทที่ 872 นึกว่าใครที่แท้เธอเองหรอกเหรอนั่น?
หยวนโจวนึกถึงเรื่องที่เฉาจื่อซูเสนอให้เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อมิตรภาพ แต่ทว่ากลับไม่กระทบต่อการทำงานระหว่างเวลาอาหารค่ำแม้แต่น้อย
ตอนที่กำลังทำอาหารหยวนโจวก็จะโยนทุกสิ่งทุกอย่างออกจากหัวเช่นเคย แม้ว่าเขาจะอารมณ์เสียหรือรู้สึกไม่สบายใจขนาดไหนก็ช่าง แต่เขาก็จะทำเช่นเดิม
ตราบใดที่เขาไม่สบายใจจนถึงจุดที่ส่งผลต่อการทำงานของเขา เขาก็จะไม่ลาหยุดหรอก
แน่นอนว่าสิ่งนี้อาจจะทำให้เชฟดูเหมือนเป็นอาชีพที่น่าสงสาร แต่อันที่จริงแล้วเรื่องนั้นใช้ได้กับทุกอาชีพเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่นสตรีที่มีนามว่าอาเม่ยบุตรสาวแสนสวยจากครอบครัวยากจนที่จะมาเยือนที่ร้านเป็นบางครั้งบางคราว ถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตาของเธอจะไม่อาจเทียบได้กับญินยาหรือเจียงฉางซี่ แต่น้ำเสียงของเธอกลับไพเราะที่สุดในร้านเลยเชียวล่ะ แค่ได้ฟังเสียงของเธอก็นับนับได้ว่าเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งแล้ว
เธอเป็นผู้นำทีมของแผนกร้องเรียนในบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่ง เธอได้รับค่าตอบแทนค่อนข้างดีทีเดียวและงานในแต่ละวันของเธอก็เกี่ยวข้องกับการรับโทรศัพท์เพื่อตอบสนองข้อเรียกร้องของลูกค้า เป็นที่น่าสังเกตว่าเมื่อบรรดาลูกค้าถึงจุดที่พวกเขาจะโทรหาแผนกร้องเรียนก็ไม่ค่อยจะมีใครอารมณ์ดีสักเท่าไหร่นักหรอก
ไม่มีใครที่จะสามารถใจเย็นได้ตลอดเวลาหรอกเนื่องจากมนุษย์ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ แม้ว่าพวกเขาจะตระหนักถึงปัญหาในตัวผลิตภัณฑ์และระเบิดอารมณ์อย่างไร้ความหมายใส่พนักงานฝ่ายบริการลูกค้าแล้วก็ตามที แต่พอโกรธขึ้นมาก็ไม่มีใครสามารถใจเย็นและมีเหตุผลได้หรอก
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่คุณปู่ของอาเม่ยจากไป เธอจึงขอลางานไปร่วมพิธีศพ แต่หัวหน้าแผนกอนุญาตให้เธอลาได้หลังเที่ยงวันเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงต้องไปทำงานต่อในช่วงเช้า
และเมื่อตอนที่เธอตกอยู่ในอารมณ์เศร้าโศกเช่นนี้ยังต้องมาถูกพวกลูกค้าตำหนิใส่ไม่หยุดหย่อนอีก ลูกค้าบางคนโกรธมากเป็นพิเศษเนื่องจากเกิดปัญหามากมายขึ้นผลิตภัณฑ์ และขณะที่กำลังตำหนิอยู่นั้นก็บริภาษไปถึงครอบครัวของเธอ แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นอาเม่ยก็ต้องรักษาความสุภาพของเธอเอาไว้
เมื่อถึงวัยผู้ใหญ่ที่จะต้องเข้าสู่สังคม และสังคมก็หาใช่มารดา แน่นอนว่าการจากไปของสมาชิกในครอบครัวเป็นเหตุผลที่ดีในการลาหยุด แต่กฎของบริษัทก็ยังเป็นกฎของบริษัทอยู่วันยังค่ำ
อาเม่ยเข้าใจเรื่องนั้นดี ดังนั้นเธอจึงไม่ถือสากับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เธอยังกล่าวอีกว่าเธอเคยเห็นคนที่ตั้งครรภ์เก้าเดือนแต่ก็ยังไม่ทำงานอยู่เลย การหาเลี้ยงชีพไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย นั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มักจะคิดถึงบ้านอยู่เสมอ
ย้อนกลับไปที่หัวข้อเดิมกันเถอะ ระหว่างเวลาอาหารค่ำ บรรดาลูกค้าเข้าร้านไปต่อแถวกันเช่นเคย และทุกคนก็นั่งลงตรงที่นั่งที่ชอบก่อนที่จะสั่งอาหาร
อู๋ไห่มักจะกินอาหารอย่างรวดเร็วแถมยังกินเยอะอีกต่างหาก ขณะที่เขากินหมดไปสองรอบแล้ว เจียงฉางซี่ก็เพิ่งจะมาถึง
“วันนี้นายกินไวมากเลยนะ” เจียงฉางซี่กล่าวขณะที่นั่งลงตำแหน่งที่อู๋ไห่นั่งก่อนหน้านี้
“งั้นมั้ง วันนี้ฉันไม่ค่อยอยากอาหาร็เลยกินได้น้อยอ่ะ” อู๋ไห่กล่าวอย่างเศร้าสร้อยพลางลูบหลวดเคราไปด้วย
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?” เจียงฉางซี่ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“หลินหลินใกล้จะกลับมาแล้วน่ะสิ” อู๋ไห่บ่น
“นั่นไม่ใช่ข่าวดีหรือไงกัน? ฉันไม่ได้เจอเธอตอนปีใหม่เลย ผ่านมาตั้งครึ่งค่อนปีแล้วตั้งแต่ฉันได้เจอเธอครั้งสุดท้ายน่ะ” เจียงฉางซี่กับอู๋หลินมีอุปนิสัยที่เข้ากันได้ดี แต่ละครั้งที่พวกเธอเจอกันก็จะเริ่มคุยกันจนนับได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทกันเลยก็ว่าได้
“เวรเอ้ย ความทรมานของฉันจะเริ่มต้นขึ้นทันทีที่ยัยทอมบอยกลับมาน่ะสิ” อู๋ไห่รู้สึกปวดหัวเมื่อนึกถึงความสามารถในการต่อสู้ของอู๋หลินขึ้นมาได้
“ฮ่าฮ่า เป็นความผิดของนายที่ชอบไปก่อเรื่องนี่นา จำตอนที่นายเดินทางไปเขียนภาพได้ไหม? นายเกือบต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลเสียแล้วนะ” เจียงฉางซี่หัวเราะซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ใช่แล้วล่ะ ระหว่างการเดินทางไปเขียนภาพของอู๋ไห่ เขาต้องไปโรงพยาบาลเนื่องจากอาหารเป็นพิษ แม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังยืนกรานที่จะกินอาหารมื้อแรกที่ร้านหยวนโจวให้ได้ก่อนจะไปโรงพยาบาล
ในตอนนั้นเจิ้งเจียเหว่ยเริ่มเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงอย่างไรบางครั้งอู๋ไห่ก็ดื้อมากทีเดียว หลังจากกินอาหารแล้วก็มีเพียงแค่ตอนที่เขาปวดท้องจนถึงจุดที่เขาล้มลงไปกลิ้งกับเตียงกลางดึกเท่านั้นแหละที่เขาจะยอมให้เจิ้งเจียเหว่ยพาไปส่งโรงพยาบาล
เนื่องจากหยวนโจวไปเยี่ยมอู๋ไห่ตอนกลางคืน บรรดาลูกค้าขาประจำจึงพากันรู้เรื่องนี้กันจนหมด นั่นก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เจียงฉางซี่พูดเรื่องนั้นขึ้นมา
แน่นอนว่าเจิ้งเจียเหว่ยย่อมต้องบอกให้อู๋หลินรู้เรื่องนี้ ไม่ว่าใครก็คงจินตนาการถึงชะตากรรมของอู๋ไห่ยามที่อู๋หลินมาพบเข้าได้
“ทำแบบนี้ไม่ได้นะ ฉันยังต้องกลับไปสตูดิโอแล้วตรวจสอบว่าเธอไม่ได้แตะต้องอะไรที่วางเอาไว้แถวนั้นก่อนฉันต้องซ่อนพวกมันเอาไว้ให้พ้นจากการทำลายล้างของเธอตอนที่เธอกลับมา” อู๋ไห่รู้สึกไขสันหลังเย็นเฉียบเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอาหารเป็นพิษเมื่อคราวก่อนเกือบทำให้เขาถูกอู๋หลินตีตายเพราะทำให้เขามีปัญหาท้องไส้
“ช้าก่อนนะ งั้นหลินหลินจะกลับมาเมื่อไหร่กันล่ะ?” เจียงฉางซี่ร้องเรียกแล้วถามขึ้นมา
“อีกสามวันน่ะ” อู๋ไห่กล่าวแล้วจากไป
เห็นได้ชัดว่าในฐานที่เป็นน้องสาว อิทธิพลของอู๋หลินสลักลึกลงในใจของอู๋ไห่เช่นกัน
“เจ้าหมอนั่นวิ่งเร็วจริงๆ ว่าไหมล่ะเถ้าแก่หยวน?” เจียงฉางซี่ส่ายหน้าพลางหัวเราะก่อนที่เธอจะพูดกับหยวนโจวที่กำลังวางจานลง
“ฉันล่ะสงสัยจริงๆเลยว่านายจะไวขนาดนั้นไหม” เจียงฉางซีถามพลางยิ้มหยอกล้อ
“แค่ก วันนี้ฉันรู้สึกหูไม่ค่อยดีเลยไม่ได้ยินเธอพูดเลย เอาไว้คุยกันคราวหน้าเถอะนะ ฉันจะกลับไปทำอาหารแล้วล่ะ” หยวนโจวไอแล้วหันมาด้วยใบหน้าเฉยเมย
“ไม่เป็นไร ฉันพูดซ้ำได้นะ” เจียงฉางซี่ยังคงหยอกล้อต่อไป
แต่หยวนโจวตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ออกจากครัว ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจคำพูดของเธอโดยสิ้นเชิง
“ฮ่าฮ่า เถ้าแก่หยวนน่ารักอย่างเคยเลย” เจียงฉางซี่กล่าวพลางพักแขนเอาไว้บนโต๊ะ จากนั้นเธอก็เริ่มสั่งอาหาร
“เอาล่ะ ฉันขอเต้าหู้น้ำมันขาว ข้าวขาวธรรมดาแล้วก็น้ำมะนาวแก้วนึง แค่นี้แหละ” เจียงฉางซี่รีบสั่งอาหารแล้วชำระเงินอย่างรวดเร็ว
“ได้ค่ะพี่เจียง ไม่นานจะมีอาหารมาเสิร์ฟนะคะ” โจวเจียพยักหน้าแล้วยื่นออเดอร์ให้หยวนโจว
เจียงฉางซี่กำลังจะหยอกล้อหยวนโจวต่อเมื่อตอนที่มีลูกค้าคนใหม่นั่งลงข้างๆเธอ
เจียงฉางซี่หันไปมองลูกค้าคนใหม่ตามสัญชาตญาน
ลูกค้าคนนั้นสวมใส่เสื้อคลุมแขนยาวผ้าป่านโดยมีเสื้อสเว็ตเตอร์สีขาวสวมทับอยู่ด้านนอกที่ให้ความรู้สึกสดชื่นและเป็นธรรมชาติ ใบหน้าของเธอดูคุ้นตามาก
“ข้อเท้าหมูตงพัวกับข้าวขาวธรรมดาอย่างละที่นะคะ” สตรีผู้นั้นสั่งอาหารทันทีที่เธอนั่งลง
“ได้ค่ะ คุณจะชำระเป็นเงินสดหรือโอนเงินดีคะ?” โจวเจียพยักหน้าแล้วถามขึ้นมา
“โอนเงินเรียบร้อยแล้วนะคะ” สตรีผู้นั้นโชว์โทรศัพท์ให้โจวเจียดู
“รอสักครู่นะคะ ออเดอร์ของคุณจะมาเสิร์ฟในไม่ช้านะคะ” โจวเจียกล่าวหลังจากยืนยันการชำระเงิน
ถึงแม้ว่าเจียงฉางซี่จะรู้สึกว่าลูกค้าผู้นั้นดูคุ้นหน้าคุ้นตา แต่เธอก็นึกไม่ออกว่าเป็นใครกัน ไม่นานออเดอร์ของเธอก็มาถึง
“ได้เวลากินแล้วสิ ฉันยังต้องไปดื่มเหล้าต่ออีกนะ” เจียงฉางซี่กล่าวพลางเหลือบมองไปที่อาหารของเธอด้วยความพึงพอใจ เธอหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกิน
หลังจากนั้นไม่นาน ออเดอร์ของสตรีข้างๆเธอก็มาถึงแล้วเช่นกัน ความเร็วในการกินของเธอรวดเร็วยิ่งกว่าเจียงฉางซี่มากมายนัก
อันที่จริงแล้วเธอกินได้รวดเร็วกว่าอู๋ไห่เสียด้วยซ้ำไป เจียงฉางซี่กินอาหารของตัวเองไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นเมื่อตอนที่สตรีผู้นั้นกินข้เท้าหมูตงพัวกับข้าวจนหมดเกลี้ยงแล้ว
“เนื้อสไลซ์บางเฉียบกับก๋วยเตี๋ยวน้ำใส โอนเงินให้แล้วนะคะ” สตรีผู้นั้นสั่งอาหารจานใหม่หลังจากกินหมดแล้ว เธอโชว์โทรศัพท์ของเธอให้โจวเจียดูในทันที
“ได้ค่ะ” โจวเจียพยักหน้าแล้วจากไป
“คุณคือเฟิ่งตันที่เป็นนักโภชนาการและครูฝึกสอนการออกกำลังกายใช่ไหมคะ?” เจียงฉางซี่ถามด้วยความประหลาดใจ
เจียงฉางซี่รู้จักผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไรกัน? ก็จากวิธีกินของเธอน่ะสิ
เมื่อตอนแรกที่เธอเข้ามาในร้าน เธอก็แสดงความเร็วในการกินที่เทียบได้กับอู๋ไห่ หลังจากนั้นเธอก็มาหลายครั้งหลายคราและแต่ละครั้งเจียงฉางซี่ก็จะอยู่แถวนั้นตลอด
เจียงฉางซี่ค่อยๆรู้จักชื่อของเธอทีละเล็กทีละน้อย แต่หลังจากปีใหม่เธอก็ไม่เคยเห็นสตรีผู้นี้มาอีกเลย
บทที่ 873 ลดน้ำหนักด้วยการมีความรัก
แน่นอนว่าเท่านั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้เจียงฉางซี่ประหลาดใจได้หรอก สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจจริงๆก็คือเฟิ่งตันดูเหมือนจะผอมลงกว่าเมื่อก่อนถึงสองเท่า ไม่นับว่าเป็นการกล่าวเกินจริงแต่อย่างใดเลยเพราะเธอน้ำหนักลดไปอย่างน้อยๆก็ 10 กิโลกรัม เมื่อผอมลงเธอก็ยิ่งสวยมากขึ้น ไม่แปลกใจเลยที่จะร่ำลือกันว่าคนอ้วนจะมีแววรุ่ง
ตอนนี้เฟิ่งตันสามารถไปถ่ายโฆษณาลดน้ำหนักได้เลยล่ะ
“อืม ฉันเองแหละค่ะ เจียงฉางซี คุณก็มาด้วย” น้ำเสียงของเฟิ่งตันไม่ได้ดูเย็นชา แต่กลับท้อใจอยู่นิดหน่อย
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณงั้นเหรอคะ?” เจียงฉางซี่บุ้ยใบ้ไปที่รูปร่างของเฟิ่งตัน
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันก็แค่ผอมลงเท่านั้นเอง” เฟิ่งตันกล่าวขึ้น
“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ได้เสียเงินไปกับครูฝึกสอนการออกกำลังกายอย่างสูญเปล่าแล้วนี่คะ” เจียงฉางซี่กล่าว
“ไม่แล้วล่ะค่ะ ฉันผอมของฉันเอง” เมื่อพูดถึงเรื่องนั้น เฟิ่งตันก็ค่อนข้างภูมิใจทีเดียว
“นั่นมันน่าประทับใจมากเลยนะคะ” เจียงฉางซี่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“อันที่จริงแล้ว แม้แต่ตัวฉันเองก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะสามารถผอมลงได้มากขนาดนี้เสียด้วยซ้ำไปค่ะ” เฟิ่งตันพยักหน้า
“อาหารค่ำของคุณได้แล้วค่ะ ท่านให้อร่อยนะคะ” ขณะที่พวกเธอผลัดกันทักทายอยู่นั้น โจวเจียก็ยกอาหารจานที่สองที่เฟิ่งตันสั่งมาให้เธอ
“เอาล่ะค่ะ คุณกินก่อนเถอะ” เจียงฉางซี่เป็นนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จ เธอทราบถึงสิ่งที่ต้องทำในเวลาอันเหมาะสม เมื่อเห็นว่ามีอาหารมาเสิร์ฟเฟิ่งตัน เธอก็ยุติการพูดคุยทันที
“โอเค งั้นค่อยมาคุยกันหลังอาหารก็แล้วกันนะคะ” เฟิ่งตันเองก็พยักหน้าแล้วกล่าวขึ้นมาเช่นกัน
คราวนี้เฟิ่งตันกินเร็วมากเช่นเคย แต่หลังจากเธอกินจนเกลี้ยงแล้ว เธอก็สั่งอาหารเพิ่มอีกเป็นกุ้งจินหลิงกับข้าวผัดไข่อย่างละที่นั่นเอง
“ระวังหน่อยนะ! ถ้าคุณสั่งมาแล้วต้องกินให้หมด กฎของเจ้าเข็มทิศจะไม่เปลี่ยนแปลงหรอกนะคะ” เจียงฉางซี่เตือนเธอ
“ไม่เป็นไร ฉันกินหมดแน่ค่ะ ฉันไม่ได้กินอิ่มแบบนี้มานานแล้ว” เฟิ่งตันโบกมือเพื่อบ่งบอกว่าไม่มีปัญหาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้างว้าง
“มีอะไรงั้นเหรอคะ?” เจียงฉางซี่ถามขึ้นมา
“ฉันไดเอ็ตอยู่ตั้งนานแถมยังดำรงชีวิตด้วยแอปเปิ้ลแค่อย่างเดียวเท่านั้นตอนที่ฉันพยายามลดน้ำหนักเมื่อก่อนหน้านี้ ฉันเลยหิวนิดหน่อยค่ะ” เฟิ่งตันกล่าว
“คุณไม่ต้องสุดโต่งเสียขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ค่อยๆลดน้ำหนักไปทีละนิดแต่ดีต่อสุขภาพนะคะ” เจียงฉางซี่แค่แนะนำวิธีการเช่นนั้นโดยไม่พูดอะไรอีก
“ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะแฟนเก่าของฉันไม่ชอบผู้หญิงอ้วน ฉันเลยคิดว่าจะลดน้ำหนักให้ได้เร็วๆ” เฟิ่งตันส่ายหน้าแล้วกล่าวขึ้น
“การมีความรักเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดน้ำหนักเลยล่ะค่ะ” เจียงฉางซี่ไม่แม้แต่จะตอบเธอเมื่อเฟิ่งตันยังคงพูดต่อไป
“อะไรนะคะ?” เจียงฉางซี่รู้สึกว่าตัวเองได้ยินเฟิ่งตันไม่ชัดนักจึงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ฉันบอกว่าการมีความรักสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ค่ะ” เฟิ่งตันยักไหล่แล้วกล่าวออกมา
“ทำไม?” แม้แต่คนฉลาดๆอย่างเจียงฉางซี่ที่เป็นนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จก็ยังไม่สามารถเข้าใจความหมายของคำพูดของเฟิ่งตันได้เลย
ถึงอย่างไรเจียงฉางซี่ก็เคยได้ยินแต่ว่าคนอื่นเขาอ้วนขึ้นเมื่อมีความรักมากกว่าจะน้ำหนักลด แน่นอนว่าเธอย่อมเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าคนอื่นเขาจะน้ำหนักลดก็เพราะเลิกกันด้วย
แต่เฟิ่งตันดูเหมือนจะไม่ได้ลดน้ำหนักด้วยการกินอาหารจานแล้วจานเล่าเช่นนั้น แต่กลับดูเหมือนว่าเธออยากน้ำหนักขึ้นเสียมากกว่า
“เป็นความสัมพันธ์ทางไกลระหว่างพวกคุณทั้งสองคนเหรอคะ?” จู่ๆก็มีความคิดแวบเข้ามาในหัวของเจียงฉางซี่ เธอจึงนึกถึงข้อสรุปเช่นนี้ขึ้นมาได้
“เปล่าหรอกค่ะ แฟนเก่าของฉันไม่ชอบผู้หญิงอ้วน ฉันก็เลยตัดสินใจที่จะลดน้ำหนักค่ะ” เฟิ่งตันพูดเบาๆด้วยน้ำเสียงที่ยากจะเข้าใจได้
“โอใช่ คุณเพิ่งจะบอกไปเมื่อกี๊เองนี่นา ฉันนึกว่าฟังผิดเสียอีก” จากนั้นเจียงฉางซี่ก็จำได้ว่าเมื่อสักครู่นี้เฟิ่งตันก็เพิ่งจะพูดเรื่องเดียวกันนี้ไป
“ไม่หรอกค่ะ คุณฟังไม่ผิดหรอก” เฟิ่งตันกล่าวอย่างแน่ชัด
“ถ้าหากเขาไม่ชอบที่คุณอ้วน เขาจะเลือกอยู่กับคุณทำไมกันล่ะคะ?” คำถามนี้ของเจียงฉางซี่ค่อนข้างตรงประเด็นเชียวล่ะ
“ฉันก็ไม่รู้ค่ะ” เฟิ่งตันชะงักไปสักครู่แล้วกล่าวขึ้นมา
ใช่แล้วล่ะ เฟิ่งตันเองก็รู้สึกตกใจกับคำถามของเจียงฉางซี่ เธอลองใคร่ครวญดูสักพักแต่ก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง
“งั้นคุณล่ะคะ?” เมื่อตอนที่เจียงฉางซี่ถามเฟิ่งตัน น้ำเสียงของเธอกลับอ่อนโยนมากทีเดียว
“ตอนนั้นฉันรักเขามากเลยนะคะ เขาเคยบอกฉันว่าฉันต้องออกงานกับเขาตามสมควรและคงจะดูไม่ดีแน่หากยังอ้วนอยู่ เมื่อนึกถึงความกังวลของเขาแล้ว ฉันก็เริ่มลดน้ำหนัก จริงๆแล้วตอนนั้นฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมากนักหรอกค่ะ” เมื่อพูดถึงเหตุผลของตัวเองแล้ว เฟิ่งตันก็ดูเหมือนจะมั่นใจมากทีเดียว
“อาหารของคุณได้แล้วค่ะ ทานให้อร่อยนะคะ” ขณะที่เฟิ่งตันพูดจบและมองเหม่ออยู่นั่นเอง โจวเจียก็ยกอาหารมาให้เธอ
“ขอฉันกินก่อนนะคะ” เฟิ่งตันหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกินอาหารทันทีก่อนที่เจียงฉางซี่จะมีโอกาสได้ถามอะไรเธอขึ้นมาอีก
แต่คราวนี้เธอยิ่งกินเร็วมากขึ้นไปอีก
“ช้าลงหน่อยเถิด ฉันยังกินไม่หมดสักจานเลยนะคะ ไม่ต้องรีบหรอกค่ะ” แต่คราวนี้เจียงฉางซี่ไม่ปล่อยให้เฟิ่งตันกินเร็วมากขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว เธอจึงกล่าวห้ามเธอเอาไว้
“อืม?” เฟิ่งตันยังคงยัดข้าวผัดไข่เข้าไปเต็มปาก
“ถ้าหากคุณกินเร็วเกินไปจะรู้สึกไม่สบายท้องเอานะคะ” เจียงฉางซี่กล่าวอย่างจริงจัง
อันที่จริงแล้ว หยวนโจวก็สังเกตเห็นปัญหาของเฟิ่งตันแล้วเช่นเดียวกัน ดังนั้นอาหารจานนี้จึงล่าช้าไปสิบนาทีก่อนที่จะถูกยกไปเสิร์ฟ
ถึงอย่างไรความสามารถในการกินตามปกติของเธอก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก หากเธอยังกินอาหารที่ยกมาเสิร์ฟต่อไปคงได้รู้สึกจุกแน่
ถ้าหากมีอาหารมาเสิร์ฟอีก เธอคงต้องย่อยอาหารในกระเพาะเสียก่อน แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สังเกตเห็นเรื่องนั้น โดยเฉพาะคุณเฉิงที่เฝ้าติดตามเรื่องนี้ด้วยความสนใจมาโดยตลอดเองก็สังเกตเห็นเรื่องนั้นเช่นกัน
“คุณหยวนเป็นเชฟที่ดีจริงๆเลย เขาสังเกตลูกค้าอยู่ทุกเมื่อแถมยังจดจำรสชาติที่พวกเขาชอบเอาไว้อีกต่างหาก” คุณเฉิงอดที่จะทอดถอนใจไม่ได้ นอกเหนือจากนั้นเขายังจดบันทึกลงในสมุดและเตรียมที่จะเรียนรู้อย่างจริงจัง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันรู้สึกว่ายังกินได้อีก” เฟิ่งตันส่ายหน้า
“ทำไมคุณไม่ฟังฉันพูดบ้างเลยนะ?” เจียงฉางซี่เปลี่ยนเรื่องคุย
“อะไรเหรอคะ?” เฟิ่งตันถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
“เรื่องสามีเก่าของฉันน่ะสิคะ” เจียงฉางซี่กะพริบตาให้เฟิ่งตันแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงค่อนข้างซุกซน
“มีอะไรงั้นเหรอคะ?” เฟิ่งตันสนใจอย่างที่คาด
ก็อย่างที่รู้ๆกันนั่นแหละนะ การซุบซิบนินทาเป็นสัญชาตญานตามธรรมชาติของผู้หญิงที่อยากรู้ความลับของคนอื่นอันเป็นอุปนิสัยของมนุษย์ บังเอิญว่าเฟิ่งตันดันเกิดความอยากรู้ความลับของคนอื่นขึ้นมาเสียแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเฟิ่งตันก็เคยถามเธอเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่เจียงฉางซี่ก็มักจะเล่าเรื่องที่ไม่น่าสนใจหรือมุขตลกลามกเพื่อหลบเลี่ยงการพูดถึงสามีเก่าของเธอ
“สามีเก่าของฉันมีความเชี่ยวชาญด้านเป็ดมากเชียวล่ะ” เจียงฉางซี่มักจะสร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้คนด้วยคำพูดอันแสนแปลกประหลาด เมื่อเธออ้าปากแล้วกล่าวอะไรสักอย่างออกมา เฟิ่งตันก็ถึงกับตกตะลึงไปเลย
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม อะแฮ่ม พี่เจียง พูดอะไรกันคะ?” เฟิ่งตันหน้าแดงเพราะไอ จากนั้นเธอก็จ้องมองเจียงฉางซี่ด้วยความประหลาดใจ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นจากทางด้านข้าง แม้แต่หยวนโจวก็อดที่จะหลั่งเหงื่อออกมาไม่ได้และเกือบจะสำลักน้ำลายตัวเองตาย
ยัยผู้หญิงคนนี้นี่! หยวนโจวคิดในใจ ผู้หญิงยิ่งสวยมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความสามารถในการพูดสิ่งไร้สาระได้มากเท่านั้น
“ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ ฉันกำลังพูดถึงเป็ดที่เขาทำอย่างเป็ดตุ๋นเบียร์ เขาทำได้เก่งเชียวล่ะ” เจียงฉางซี่อธิบายด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
“ฉันเข้าใจแล้วล่ะคะ” ตอนนี้ใบหน้าของเฟิ่งตันชักจะชักจะแดงขึ้นเรื่อยๆแล้ว เธอพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ถึงอย่างไรก็คงเป็นเรื่องน่าอายยิ่งกว่าถ้าหากเธอทำตัวราวกับว่าเธอเข้าใจผิดจริงๆและนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ช่างเป็นเรื่องที่กะทันหันเสียจนผู้คนไม่อาจตอบสนองได้ทันที
“เขาเองก็ทำอาหารอร่อยนะ ในตอนนั้นฉันได้กินอาหารไม่ซ้ำกันในแต่ละมื้อเลยล่ะ แน่นอนว่าเขายังทำอาหารได้ไม่เก่งเท่ากับเถ้าแก่หยวนหรอกค่ะ” เจียงฉางซี่พูดธรรมดาๆในตอนแรกเริ่ม แต่เมื่อมาถึงประโยคสุดท้าย เธอก็เริ่มยืนยันเรื่องนั้นกับหยวนโจวด้วยน้ำเสียงล่อลวง
หยวนโจวย่อมต้องแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่ได้ยินพวกเธอคุยกันและเอาแต่ทำอาหารอย่างเอาจิงเอาจัง
“พี่เจียง” เฟิงตันห้ามเจียงฉางซี่เอาไว้อย่างอับจนหนทาง
“อาหารที่เขาทำอร่อยมากเลยแล้วฉันก็ได้กินอาหารไม่ซ้ำกันทุกวันเลยเชียวล่ะ ผลก็คือในตอนนั้นฉันก็เลยน้ำหนักขึ้น” เจียงฉางซี่หันกลับมาแล้วพูดถึงเรื่องนั้นต่อไป
“น้ำหนักขึ้นงั้นเหรอคะ?” เฟิ่งตันสังเกตรูปร่างของเจียงฉางซี่โดยละเอียดถี่ถ้วนยิ่ง
เจียงฉางซี่มักจะสวมชุดที่เป็นทางการเอามากๆและวันนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น เธอสวมใส่เสื้อลูกไม้และสูทสีเทาอมน้ำเงินเอาไว้ตรงร่างกายท่อนบน ส่วนท่อนล่างจะสวมใส่กางเกงสูทขากว้างพร้อมผมดัดเป็นลอนสีน้ำตาลแก่ที่ยาวประบ่า โดยทั่วไปแล้วเธอดูเหมือนจะมีความสามารถและมีประสบการณ์ทั้งยังมีความมุ่งมั่นอีกต่างหาก
แน่นอนว่าเจียงฉางซี่มักจะมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังมีใบหน้าอันแสนจะมีเสน่ห์และมีรูปร่างที่ได้สัดส่วน ดังนั้นเธอจึงไม่ดูอ้วนแต่อย่างใด
“อืม ในตอนนั้นฉันน้ำหนักขึ้น แต่หลังจากที่พวกเราหย่ากันแล้ว ฉันก็กลับมาผอมอีกครั้ง คุณก็รู้นี่นา ไม่มีใครปกป้องหญิงสาวผู้น่าสงสารคนนี้” เจียงฉางซี่เอาฝ่ามือกุมศีรษะแล้วกะพริบตาให้เฟิ่งตันพลางเอียงศีรษะ
“เอ่อ” เฟิ่งตันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีแล้วจริงๆ
เธอมักจะรู้สึกอยู่ตลอดว่าเจียงฉางซี่กำลังคุยโม้โอ้อวดว่าเธอสามารถผอมลงอย่างรวดเร็วตามที่เธอต้องการซึ่งทำให้เฟิ่งตันที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการลดน้ำหนักรู้สึกโกรธจนพูดไม่ออกแล้ว
เป็ด(鸭) มีอยู่สามความหมายในภาษาจีน ความหมายแนกคือสัตว์ที่ยังเป็นๆ ความหมายที่สองคือเนื้อสัตว์ ส่วนอย่างที่สามก็คือพวกแมงดา ดังนั้นจึงควรระมัดระวังกับความหมายอย่างที่สามเพราะอาจจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดกันได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น