องครักษ์เสื้อแพร 871-874
ตอนที่ 871 ซ่อนอาหารใต้กระโปรง
โดย
Ink Stone_Fantasy
แม้ว่าไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ติดตามหวังทงได้ไม่ถึงสองเดือน แต่นางก็ยังคงไม่เชื่อว่าวาจานี้มาจากปากของหวังทง ตามหลักแล้วอายุเช่นหวังทงย่อมกำลังหนุ่มกำลังแน่น ความงามระดับไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่แตะต้อง
ทว่าไจ๋ซิ่วเอ๋อร์พบว่า หวังทงไม่สนใจนางมากไปกว่าข่งรั่วเหมย ทุกวันเอาแต่ทำงาน ดังนั้นจึงบอกว่าเหมือนชายแก่อายุ 50
คนเช่นนี้ กลางคืนอยู่ ๆ กล่าวเช่นนี้ นับว่าเผยธาตุแท้แล้วหรือนี่?
ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์อายก็ส่วนอาย แต่ชาติกำเนิดอย่างไรก็มาจากแม่น้ำฉินไหวเหอ เห็นอะไรมามาก รู้ว่าขุนนางชนชั้นสูงมักจะชอบไม่เหมือนคนทั่วไป จะว่าไป ตอนนี้หวังทงเก็บไว้เป็นอนุ การขอเช่นนี้ก็มิได้เกินไปอันใด
ในห้องนอนมีความสุขอย่างไรนั้นมีความหลากหลาย ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์คิดไปร้อยแปด ในเวลาสั้น ๆ สีหน้าแดงก่ำ สองตาส่องประกาย สองมือค่อยๆ เลิกกระโปรงขึ้น
ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เคลื่อนไหวช้าๆ ค่อยๆ เลิกขึ้นทีละนิด เป็นวิธีการล่อลวงใจบุรุษอย่างหนึ่ง ทว่ายามนี้เทียนจินอากาศหนาว ใต้กระโปรงย่อมไม่ใช่กางเกงตัวบาง ผ้าฝ้ายจะบางเบาอย่างไรก็ย่อมมีความหนา คงไม่ได้งามดึงดูดใจสักเท่าไร
แต่หวังทงกลับจ้องมองอย่างตั้งใจ พอเลิกกระโปรงได้ระดับ ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์แม้รู้ว่าอย่างไรต้องมีวันนี้ หากในใจก็เริ่มเต้นโครมครามเคร่งเครียดไม่น้อย ลมหายใจหนักเริ่มถี่ รอคอยเวลาที่จะมาถึง……
“พอ ปล่อยลงได้!”
ในตอนนั้นเอง หวังทงอยู่ๆ กล่าวเช่นนี้ ทำเอาไจ๋ซิ่วเอ๋อร์อึ้งไปก่อนได้สติ อารมณ์เมื่อครู่วับหายไปในพริบตา เหลือไว้แต่ความแปลกใจ
พอปล่อยกระโปรงลง หวังทงก็จ้องมองกระโปรงครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้าถามขึ้น
“เจ้าต้องการสิ่งใด?”
สบตากับหวังทง เห็นสายตาหวังทงไม่ได้มีความรู้สึกพิศวาส ใด ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์จึงได้รู้ว่าตนเข้าใจผิดไป ถูกหวังทงถามเช่นนี้ ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์สะกดเก็บสีหน้า นิ่งคิดพักหนึ่ง ส่ายหน้ายิ้มเฝื่อนกล่าวว่า
“เรียนนายท่าน ข้าน้อยวันๆ อยู่แต่ที่นั่น ทุกวันก็เห็นแต่ห้องเหลี่ยมๆ ที่จริงแล้วก็เบื่อมาก ไม่รู้ว่าตนเองต้องการสิ่งใด…….หากให้กล่าวว่าต้องการสิ่งใดตอนนี้ ได้ออกจากกรงทองมาก็คิดจะไปดูให้ทั่ว ใต้หล้ากว้างใหญ่ ก็อยากจะไปทุกที่ หากไม่ได้ ก็รู้สึกไม่ได้ดังใจหวัง”
“หญิงในโลกนี้ ความคิดเช่นเจ้าคาดว่าไม่มาก เรื่องนี้ง่ายมาก ติดตามข้า เจ้าก็จะได้ไปเหนือใต้ทั่วหล้า”
หวังทงพยักหน้ายิ้มกล่าวจบ ก็เสียงดังขึ้นว่า
“ด้านนอกถอยออกไป”
ได้ยินด้านนอกรับคำ ครู่หนึ่งผ่านไป ด้านนอกก็มีคนตะโกนบอก หวังทงชะโงกเข้าใกล้กล่าวกับไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ที่รู้สึกแปลกใจว่า
“มีเรื่องหนึ่งข้าอยากให้เจ้าช่วย”
*****************
หวังทงมาถึงเทียนจินแล้ว ทางเมืองหลวงส่งคนมาสอบถามแล้วก็หยุดไป เพราะระยะทางเมืองหลวงไปเทียนจินแค่สองสามวันเดินทาง อีกไม่กี่วันหวังทงก็ถึงเมืองหลวงแล้ว ถึงตอนนั้นฝ่าบาทย่อมทรงเรียกเข้าเฝ้า
จากรายงานคนที่ส่งไปสอบถามนั้น เห็นว่าสุขภาพหวังทงฟื้นตัวเร็วมาก เดาว่าพอถึงเมืองหลวงคงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ถึงตอนนั้นอาจยังอะไรไม่ดีนัก ก็ให้หมอหลวงในวังกับหมอดังในเมืองรักษาได้ ยาก็ไม่ขาดแคลน น่าจะใช้ยาขจัดพิษได้อย่างเร็ว
ที่คิดไม่ถึงก็คือ หวังทงอยู่เทียนจินได้สองวัน อยู่ ๆ ก็สุขภาพอ่อนแอลง หมอมาตรวจแล้วก็ดูไม่ออกว่าเป็นอะไร กล่าวแต่ว่ารากของอาการเก่ายังคงอยู่ ยังต้องพักรักษาตัว
แม้ว่าพระสนมเอกเจิ้งใกล้มีพระประสูติการแล้ว แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยังใส่พระทัยหวังทง หมอหลวงหลายคนก็นั่งรถม้ามายังเทียนจินดูอาการให้หวังทง
ไม่เพียงแต่เมืองหลวง แม้แต่คนสนิทที่เทียนจินของหวังทงเองก็ร้อนใจ ไปหาหมอดังจากซานตงและเขตปกครองเหนือ หมอดังหลายคนได้ข้อสรุปไม่แตกต่างกันนัก เป็นความอ่อนแอหลังจากบาดเจ็บ ต้องพักรักษาตัวให้ดี
มีคนสังเกตว่าหวังทงไม่สนใจการงานราชการ เรื่องต่าง ๆ ไม่ทำแล้ว ทุกวันเอาแต่อยู่ในห้อง อาหารสามมื้อก็ให้อนุอย่างไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ยกเข้าไป ตอนเข้ากับบ่ายให้ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยประคองออกไปเดิน สุขภาพอ่อนแอยิ่ง
ไม่รู้สาเหตุ เพราะอาหารทุกวันสามมื้อก็กิน แต่ถึงกับผอมเช่นนี้ได้ สุขภาพอ่อนแอเช่นนี้ ร่างกายน่าจะมีปัญหาใหญ่แล้ว
หมอตรวจแล้วให้ตำรับยามา ล้วนเพื่อเร่งเนื้อให้คนผอมมีเนื้อหนังขึ้น พอส่งเข้าจวนมา ไม่ว่ากี่วันผ่านไป ร่างกายก็ยังไม่เห็นดีขึ้น
ทางเมืองหลวง พระสนมเอกเจิ้งใกล้มีพระประสูติการ ทุกคนเริ่มหันไปสนใจทางนั้น ไม่สนใจเรื่องหวังทงเท่าไร ไม่ว่าอย่างไร บรรดาหมอก็มีความเห็นตรงกันว่า ไม่มีผลอันใดถึงแก่ชีวิต
ว่ากันว่าทางเมืองหลวง ฮูหยินติ้งเป่ยโหวกับภรรยารองอีกสองล้วนต่างอยากมาเยี่ยม แต่ถูกหวังทงห้ามไว้ ตอนนี้คนปรนนิบัติข้างกายมีแค่ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยสองคน
แต่ว่ากันตามหลักแล้ว สองนางนี้ก็เป็นเหมือนนายหญิง อย่างไรก็ย่อมไม่ให้พวกนางทำงานใช้แรงงงาน กู่จื้อปินร้านสามธาราออกหน้า ซื้อสาวใช้มาให้ พอมาถึงก็ได้รับคำสั่งให้ทำตามคำสั่งไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมย
จากรูปการณ์นี้ ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยแม้รักกันดังพี่น้อง หากพี่น้องแท้ๆ ก็มีความแก่งแย่งกันอยู่บ้าง
คนรอบข้างก็ย่อมสังเกตเรื่องนี้ แต่คนรับใช้ที่มาใหม่กลับสังเกตเรื่องอื่นด้วย พวกนางกับนายหญิงรุ่งก็รุ่งด้วยกัน พังก็พังด้วยกัน จึงต้องใส่ใจในเรื่องนี้
ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยทั้งสองนาง หน้าตาท่าทางไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ดีกว่าข่งรั่วเหมยมาก ตอนนี้ปรนนิบัติหวังทงก็เป็นนาง ความใกล้ชิดให้กับผู้ใดก็ย่อมกระจ่าง
วันที่ 27 เดือนสิบ ตอนกลางวัน สาวใช้ข่งรั่วเหมยมองเห็นไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ออกมาจากห้องหวังทง ค่อยๆ เดินไปห้องตนเอง พากันวิพากษ์วิจารณ์
“ได้ยินว่าฮูหยินไจ๋ ตอนนั้นเป็นนางคณิกาแดนใต้ เจ้าดูนางวางท่าทางสิ หากไม่รู้ ยังคิดว่าเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่นะเนี่ย”
“ใช่ๆ ชาติกำเนิดเช่นนั้น ไหนเลยจะเทียบกับฮูหยินเราได้ เจ้าดูนางสิ วันๆ เอาแต่ส่งสายตาล่อลวง ส่งอาหารเข้าไปก็ทำเป็นเดินนวยนาดออกมา ไม่รู้ว่าจะล่อลวงผู้ใด เชอะ!”
“ดูนางจะได้ใจได้กี่วัน นายท่านมีภรรยาเมืองหลวงอีกสามคน ฮูหยินทั้งสามจะไปตอแยด้วยได้อย่างไร ถึงตอนนั้นเจ้านางจิ้งจอกนี้คงสิ้นท่าเอง!”
“หุบปากเดี๋ยวนี้ รีบไปทำงานตัวเองไป!!”
ขณะวิพากษ์วิจารณ์ออกรสกันอยู่ ไม่ทันสังเกตว่าประตูห้องด้านหลังเปิดแง้มไว้ เผยสีหน้าบึ้งตึงข่งรั่วเหมย ตำหนิดัง สาวใช้ปากมากก็รีบเงียบกริบทันที
ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เองก็ก้าวเดินนวยนาดเกินไปอยู่ ดูแล้วท่าทางอ้อนแอ้นมาก น่าดึงดูดจริง ทว่าท่าทางเหมือนช้าไปสักหน่อย ให้คนเห็นเข้าก็คงรู้สึกแปลก อยู่ในเรือนส่วนตัว นอกจากในห้องหวังทงแล้ว ด้านนอกก็มีแต่สตรี เจ้าอยู่ในห้องล่อลวงก็แล้วไป ออกมาข้างนอกแล้วทำให้ใครดูกัน
ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ผลักประตู เดินเข้าในห้องตนเอง พอปิดประตู ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์จึงได้ถอนหายใจยาว เลิกกระโปรงขึ้น หว่างขามีถุงหนังอยู่ แขวนถุงหนังไว้เช่นนี้ จะเดินเร็วก็คงยาก ได้แต่ค่อยๆ ทำทางเยื้องย่างอรชร
ในถุงหนังนั้นบรรจุอาหารที่ยกเข้าไปในห้องหวังทง ทุกวันหวังทงให้คนนอกเห็นว่ากินอาหารสามมื้อไปไม่น้อย แต่ร่างกายกลับผ่ายผอมลง ให้คนนอกดูว่าเป็นปัญหาสุขภาพจริง ไม่ใช่แกล้งทำ แม้หมอดังจะมาตรวจก็คงได้ข้อสรุปเช่นนี้
หวังทงป่วยจริงป่วยปลอม ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรจับตาดูอยู่ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังสักหน่อย ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ทุกครั้งที่ยกอาหารเข้าไปให้หวังทงก็จะเก็บออกมา จากนั้นก็กินหมด เทียบกันแล้ว ทุกครั้งอาหารที่ส่งให้ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ นางไม่ค่อยได้กิน เอาแต่เลือกกินตินั่นนี่ ทำเอาภาพนางในสายตาคนในจวนนั้นไม่ดี ถึงกับมีคนไปบอกหวังทง ทว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กินน้อย แต่กลับอ้วนท้วนขึ้นเล็กน้อย
ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ไม่รู้ว่าหวังทงทำเช่นนี้เพื่ออะไร นางแค่รู้สึกสนุกไปด้วยหากทำเช่นนี้ เดิมคิดว่าติดตามหวังทงแล้วก็คงได้แต่เก็บตัวในจวน คิดไม่ถึงว่ากลับมีลูกเล่นให้สนุกเช่นนี้ น่าสนุกจริงๆ นางอยู่ในห้องค่อยกินข้าวและคิดไป ทุกครั้งอดหัวเราะไม่ได้ การมีความลับกับคนหนึ่ง แล้วต้องรักษาความลับไว้นั้นสนุกจริงๆ
ทางนี้กำลังหัวเราะ ก็ได้ยินข้างนอกมีคนเคาะประตู ได้ยินเสียงฝีเท้า เป็นสาวใช้พากันเข้ามาหลบในห้อง
นี่เป็นกฎหวังทงตั้งขึ้นพิเศษ ร่างกายอ่อนแอไม่ออกไปรับแขก หากมีรายงานเรื่องสำคัญ ให้เคาะกลองด้านนอก หญิงด้านในให้หลบเข้าห้อง คนนอกจึงเข้ามาได้
***************
“ผู้บัญชาการ พระสนมเอกเจิ้งหลายวันก่อนประสูติพระโอรสมังกร”
คนมารายงาน หวังทงนั่งอยู่บนเก้าอี้ร่างกายผ่ายผอมราวท่อนไม้แห้ง ได้ยินก็เงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างอ่อนแรงว่า
“ส่งสารไปถวายพระพรด้วย”
“เรียนผู้บัญชาการ ท่านหยางเตรียมไว้แล้ว”
“เมืองหลวง มีปฏิกิริยาอย่างไร?”
“ขุนนางในราชสำนักย่อมถวายสารถวายพระพรไปตามปกติ ทว่าในสำนักสมาคมแต่ละแห่ง ในร้านน้ำชาแต่ละแห่ง ล้วนมาขุนนางวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้น”
หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“หากเป็นธิดามังกร ย่อมเงียบสงบ แต่เมื่อเป็นมังกร เกรงว่าคงต้องเกิดเหตุแย่งชิงแล้ว!”
หวังทงกล่าวมานั้น คนที่มารายงานย่อมไม่กล้ากล่าวต่อ หวังทงเงียบไปก่อนจะกล่าวอีกว่า
“เจ้าตอนนี้กลับไปเมืองหลวง บอกว่าข้าออกเดินทางแล้ว จะกลับถึงเมืองหลวงแล้ว”
******************
วันที่ 3 เดือนสิบเอ็ดปีที่ 12 ในรัชสมัยว่านลี่ ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทงเสร็จภารกิจแดนใต้กลับสู่เมืองหลวง เมืองหลวงตอนนี้จับจ้องแต่ข่าวพระประสูติการของพระสนมเอกเจิ้ง หวังทงกลับเมืองหลวงไม่มีผู้ใดสนใจนัก มีแต่พวกหวังทงไปต้อนรับ
ตอนที่ 872 หวังทงยังคงจงรักภักดี
โดย
Ink Stone_Fantasy
ออกจากเมืองหลวงไป ก็ไม่ได้ไปอย่างยิ่งใหญ่ ตลอดทางไปทำหน้าที่ผู้แทนพระองค์ประสบเหตุมากมาย เห็นร่างกายหวังทงซูบผอม ผ่ายผอมราวกับท่อนไม้แห้ง ทุกคนล้วนใจไม่ดี
หวังทงเมื่อก่อนกลับเมืองหลวง ในวังย่อมส่งคนมาต้อนรับ แต่ครั้งนี้กลับเงียบกริบ ในสายตาชาวเมืองหลวงที่ไวมากนัก ก็ย่อมสังเกตเห็นได้ทันที
หลังองครักษ์เสื้อแพรตั้งหน่วยงานขึ้นมาสองสามหน่วยงาน ระบบก็ยิ่งชัดเจน การดำเนินการก็ยิ่งดี งานในความรับผิดชอบของหวังทงในเมืองหลวงก็มีแค่นี้ สิ่งที่ต้องรายงานก็ไม่มาก
จวนติ้งเป่ยโหวในเขตอุดรยังสร้างอยู่ แต่ใกล้เสร็จแล้ว ต้นปีหน้าก็น่าจะสามารถเข้าอยู่ได้ ตอนนี้ยังคงอยู่ที่เดิม
หานเสีย จางหงอิง ซ่งฉานฉาน ภรรยาทั้งสามพอเห็นหวังทง กลับร้องไห้กันระงม ตอนไปราวกับพยัคฆ์มังกร ตอนกลับมากลับท่าทางย่ำแย่เช่นนี้ จะไม่เจ็บปวดใจได้อย่างไร
หวังทงปลอบใจสองสามคำก็ไม่ได้กล่าวอันใดต่อ เดิมเขากังวลอยู่ว่าภรรยาทั้งสามที่บ้านจะไม่เป็นมิตรกับไจ๋ซิ่วเอ๋อร์และข่งรั่วเหมย อย่างไรอาจต้องเสียเวลาคุยกันอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าสองฝ่ายกลับไม่มีความขัดแย้งใด
หรือเพราะสตรียุคนี้เข้าใจดีว่า สถานะหวังทงเช่นนี้ ย่อมไม่อาจมีสตรีแค่หนึ่งนาง ความอิจฉากับความโกรธย่อมไร้ประโยชน์ ไม่สู้ยอมรับ
พอกลับมา ยังคงเป็นไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ปรนนิบัติ ในเรื่องนี้กลับมีคนคิดมาก นางหม่า แม่หม่าซานเปียวพอรู้เรื่องนี้ก็มาพูดด้วยตนเอง ต่อมาพอรู้ว่าไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เพียงแค่ปรนนิบัติสามเวลาอาหาร ไม่ได้พักอยู่ในห้อง จึงได้ยอมจากไป
พอถึงเมืองหลวงวันที่สอง หยางซือเฉินเลี้ยงต้อนรับแล้ว วันนี้ทั้งวันก็มาคุยเรื่องงาน ล้วนรู้ว่าหวังทงสุขภาพไม่ดี ต้องการพักผ่อน งานต่าง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องมารบกวน ทว่าเรื่องใหญ่เช่นนี้ ไม่อาจสนใจอันใดอีกแล้ว
“ใต้เท้าระหว่างทางควรได้ข่าวแล้ว พระสนมเอกเจิ้งประสูติโอรส จูฉางสวิน ตอนนี้กลายเป็นข้อขัดแย้งในเมืองหลวง ฝ่าบาทถึงตอนนี้ยังไม่แต่งตั้งรัชทายาท และพระมารดาโอรสองค์โตก็เป็นเพียงสนมธรรมดา พระมารดาโอรสองค์ใหม่เป็นถึงพระสนมเอก ผู้ใดก็ยังให้ข้อสรุปเรื่องรัชทายาทไม่ได้ในตอนนี้”
หยางซือเฉินกล่าวได้ครึ่งเดียวก็มองสีหน้าหวังทง แม้ว่าอ่อนแรง แต่ก็ยังตั้งใจฟัง กล่าวต่อว่า
“บุตรชายคนโตสืบทอดตำแหน่ง เป็นธรรมเนียมแต่โบราณ แต่ดูท่าฝ่าบาทแล้ว เห็นชัดว่าต้องการแต่งตั้งโอรสองค์ใหม่นี้เป็นรัชทายาท เรื่องเช่นนี้ย่อมก่อเกิดกระแสในวงราชสำนัก ใต้เท้าถวายพระพรยินดีไปก็ควร แต่จากนี้ไป ใต้เท้าคิดทำเช่นไร จะเลือกทางใด ขอให้ตัดสินใจโดยเร็ว จะได้ไม่ปล่อยให้นานไปทำให้เสียการ”
“ฝ่าบาทเลือกอย่างไร ขุนนางอย่างเราก็ย่อมทำตาม”
ได้ยินหวังทงตอบ หยางซือเฉินอึ้งไป ตามมาด้วยส่ายหน้ากล่าวว่า
“ฝ่าบาทต้องการเช่นไร เราขุนนางย่อมทำตาม แต่ทว่าขุนนางบัณฑิตผู้ใดจะยอมรับ เดิมข้าเองยังคิดว่าจะมีพูดกันสองทาง แต่จากรายงานหลายวันนี้ที่มีมา วงการขุนนางล้วนพูดไปในทางเดียวกัน แม้แต่ชนชั้นสูงก็เช่นกัน หากฝ่าบาทไม่ทรงแต่งตั้งโอรสองค์โตเป็นรัชทายาท ก็ย่อมเกิดเหตุขัดแย้ง ใต้เท้าไม่เลือกข้าง ก็ย่อมต้องคิดถึงฝ่าบาท ต้องเตรียมการถึงจะถูก”
“เรื่องครอบครัวฝ่าบาท เราเป็นขุนนางอย่าได้ถามให้มาก ฝ่าบาทมีราชโองการมา พวกเราก็ทำตามก็แล้วกัน!”
หวังทงตอบแบบไม่คิดมาก หยางซือเฉินได้แต่อึ้งไป ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็เหมือนว่าคิดได้ข้อสรุปอะไรสักอย่าง ถอนหายใจ ประสานมือขอตัว
*************
หลังจากกลับเมืองหลวงมาได้วันหนึ่ง และมีหมอหลวงมาดูอาการแล้ว ก็วินิจฉัยไม่แตกต่าง ในวังพระราชทานยาดีของบำรุงล้ำค่ามาให้มากอยู่ เมื่อก่อนจะพระราชทานสิ่งใด ก็มักจะตกในมือขันที ผ่านหลายระดับไม่น้อย มักจะให้แต่ของไม่ดีนัก แต่ทว่าหวังทงนั้นแตกต่าง
ในวังมีทั้งจางเฉิง โจวอี้และเจ้าจินเลี่ยง ล้วนเป็นขันทีทรงอิทธิพลตอยจับตาดู ผู้ใดจะกล้า ส่งไปที่จวนนั้นย่อมเป็นของชั้นดีอันดับหนึ่งที่สุด
จากการวิเคราะห์ของหวังทงเอง ร่างกายตนเองตอนนี้น่าจะขจัดพิษหมดแล้ว ความอ่อนแอในตอนนี้ก็เพราะทุกวันกินน้อย แต่สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการ
วันที่ 6 เดือนสิบเอ็ด เป็นวันที่สามที่หวังทงกลับถึงเมืองหลวง ในวังมีราชโองการให้หวังทงเข้าเฝ้า อย่างไรในวังก็ต้องส่งรถม้ามารับหวังทงเข้าวัง พอเข้าสู่ประตูวังแผ่นดินหมิง ขันทีน้อยหลายคนก็แบกเกี้ยวมารอรับ พระเมตตานี้หาใดเทียบ ทว่ามีคนเห็นไม่มากนัก
หลังประชุมขุนนางเสร็จ ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับอยู่ ณ พระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินที่นี่ เจ้าจินเลี่ยงที่มารอพอเห็นหวังทงสภาพร่างกายอ่อนแอ ก็สีหน้าร้อนใจทันที หวังทงเพียงแค่ยิ้มลูบหัวเขากล่าวว่า
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่เป็นไร!”
ท่าทางอ่อนแรง ท่าทางเช่นนี้เหมือนมีปัญหาสุขภาพ เจ้าจินเลี่ยงไม่กล้ากล่าวอันใด หากกล่าวเบาๆ ว่า
“พี่หวัง ฝ่าบาทกำลังทรงรออยู่”
พอเข้าไปในพระตำหนัก ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังทอดพระเนตรฎีกา มีเสียงจางเฉิงดังขึ้นเบา ๆ เป็นระยะ พอเห็นเจ้าจินเลี่ยงประคองหวังทงเข้ามา มองดูอีกที ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้ประทับยืนส่ายพระพักตร์ตรัสว่า
“ไยปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปได้ ๆ หนานจิงที่นั่นช่างบัดซบจริง ๆ เมืองต่าง ๆ แดนใต้ก็บัดซบเช่นกัน ผู้แทนพระองค์ไปที่นั่น ตลอดทางราวกับเข้าสู่แดนศัตรู ปกติพวกนั้นดูแลประชาอย่างไร ปกครองที่นั่นอย่างไร ต้องส่งคนไปสอบสวนให้เข้มงวด เราส่งเจ้าไป….เดิมก็เพื่อให้เจ้าไปเที่ยวให้สบายใจ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เรา….เรา…”
ฮ่องเต้ว่านลี่ดำรัสติดขัด เห็นชัดว่าร่างกายผ่ายผอมของหวังทงเกินกว่าที่ทรงคาดหมาย ตั้งแต่เรื่องนั้นถึงตอนนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ได้รับรู้เรื่องราวของหวังทงทั้งหมดแล้ว
เห็นท่าทางฮ่องเต้ว่านลี่ ในวังที่มีข่าวมาว่าฮ่องเต้ว่านลี่ทรงรู้สึกผิดที่ได้ทำไปนั้นน่าเป็นจริงอยู่ ตอนแรกหวังทงไม่มีทางใดที่จะยืนยันเรื่องนี้ได้ มาถึงตอนนี้ ยืนยันหรือไม่ก็ไม่สำคัญอีกแล้ว
“กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงใส่พระทัย กระหม่อมไม่เป็นไร กระหม่อมขอแสดงความยินดีที่ฝ่าบาทมีพระโอรสเพิ่ม!!”
หวังทงผลักเจ้าจินเลี่ยงที่เข้ามาประคองออก คุกเข่าขอบพระทัย ฮ่องเต้ว่านลี่เดินมาตรงหน้าตรัสว่า
“รีบนั่งลง ร่างกายเจ้ารับไม่ไหว”
ตรัสไปก็ประคองหวังทงด้วยพระองค์เอง หวังทงคำนับขอบพระทัย จางเฉิงจัดเอกสารบนโต๊ะเสร็จก็หันมามองทางนี้ ถอนหายใจเบาๆ ส่ายหน้า
สองฝ่ายนั่งลง ฮ่องเต้ว่านลี่สั่งให้ห้องเครื่องส่งยาบำรุงมา จากนั้นค่อยตรัสว่า
“ฎีกาเจ้าเราได้อ่านแล้ว ขุนนางทั้งราชสำนัก นับรวมชนชั้นสูง มีเพียงเจ้าที่ถวายฎีกาได้โดนใจเราที่สุด เจ้ากล่าวไม่ผิด เรื่องครอบครัวเรานั้นจะเป็นอย่างไร คนอื่นเกี่ยวอันใดด้วย มาพูดมาอันใดกัน”
กล่าวถึงตรงนี้ พระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ก็มีรอยแย้มสรวลตรัสว่า
“หวังทง เจ้ากลับมาครานี้ อยู่เมืองหลวงปฏิบัติหน้าที่ เจ้าก็อยู่ให้สุขสบาย เรามีโอรสธิดาเยอะแล้ว แต่เจ้ายังไม่มีเลยสักคน!”
พูดสัพเพเหระกันไปสักพัก ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ถามถึงสภาพแดนใต้ หวังทงกล่าวตรงไปตรงมาว่า
“ฝ่าบาท เขตปกครองใต้เหนือแม่น้ำแต่ละเมือง เฟิ่งหยางเป็นศูนย์กลาง จัดการได้ดีอยู่ ที่อื่นๆ นั้น เหนือแม่น้ำแยงซีเกียงก็อยู่ในมือพ่อค้าเกลือ แดนใต้อยู่ในมือชนชั้นสูง ขุนนางท้องที่ราวกับข้ารับใช้ส่วนตัวพวกเขา รับสนองนโยบายพวกเขา ที่ทำการก็มีสายพวกเขาอยู่ พวกนี้ยังมีตำแหน่งบัณฑิต ไม่ต้องเสียภาษีอีก ไม่ต้องรับภาระการเกณฑ์แรงงานอีก คนพวกนี้นับวันจะยิ่งมากขึ้น อำเภอหนึ่งมีหนึ่งตระกูล เมืองหนึ่งมีสองสามตระกูล หากเมืองซงเจียงยิ่งกว่า เมืองหนึ่งมีหนึ่งตระกูล พวกเขาไม่ยอมจ่ายภาษี ไม่ยอมเกณฑ์แรงงาน และยังริอาจฮุบที่ดินราษฎรอีก ทำให้ภาษีราชสำนักเก็บได้น้อยลงเรื่อยๆ ”
อย่างไรก็เพราะร่างกายอ่อนแอ พูดได้ไม่กี่คำ ก็เริ่มหอบ ดื่มน้ำไปคำ หวังทงจึงได้กล่าวต่อว่า
“พวกเขาสูบเลือดราชสำนักไม่หยุด แต่กลับไม่เคยทำประโยชน์ใดให้ราชสำนักเลย คนพวกนี้เป็นพวกที่เรียกตนเองว่าบัณฑิตเรียนตำรา บุตรหลานได้เป็นขุนนางแต่ละหน่วยงาน อาศัยตำแหน่งขยายอิทธิพลไม่หยุดเพื่อตนเอง ทำให้บุตรหลานตนได้ดำรงตำแหน่งขุนนางที่สูงขึ้นไปอีก เริ่มเป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ช้าเร็วก็คงทำให้เกิดภัยใหญ่ที่ยากจัดการได้”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตั้งพระทัยฟัง ตรัสว่า
“เจ้ากล่าวเช่นนี้ บัณฑิตใต้หล้าก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันหมดไม่ใช่หรือ หากราชสำนักลงมือกับพวกเขา ก็ย่อมเกิดความโกลาหลใหญ่!!”
“ฝ่าบาท ที่อื่นยังดี แต่แดนใต้เรียกได้ว่ากู่ไม่กลับแล้ว กระหม่อมระหว่างทางกลับได้ยินว่าตระกูลสวีสมคบกับโจรสลัด แบ่งไม่ลงตัว ทำให้ถูกล้างตระกูล หากเป็นจริง ย่อมเป็นตระกูลสวีทำตัวเอง เห็นได้ว่าตระกูลใหญ่แดนใต้ล้วนสมคบคิดคนในวงการนักเลงและพวกโจร แอบทำความชั่วไม่อาจเปิดเผย หากมีคนคิดเป็นใหญ่คิดการไม่ซื่อขึ้น คิดทำการสิ่งใด ก็ย่อมมีพวกโจรชั่วคอยช่วยเหลือ ใช่ว่านานวันจะเป็นภัยใหญ่หรือ”
หวังทงกล่าวตรงไปตรงมา ฮ่องเต้ว่านลี่ตกในภวังค์ความคิด หวังทงกล่าวอีกว่า
“ฝ่าบาท ตระกูลสวีตอนนี้ล่มสลายแล้ว ที่นาในเมืองซงเจียงหลานแสนหมู่ ขอให้ฝ่าบาทรีบยึดเป็นของในวัง เพื่อเป็นที่นาส่วนพระองค์หรือของแผ่นดินก็ย่อมได้ ไม่เช่นนั้นคงมีคนคิดครองเป็นส่วนตัว ตระกูลสวีไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีตระกูลใดขึ้นแทนอีก”
ได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อย ๆ พยักหน้า ตรัสเบา ๆ กล่าวว่า
“ตอนนี้ที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เพื่อเราด้วยความเต็มใจนั้นนอกจากในวังแล้ว ก็มีแต่เจ้าหวังทงคนเดียว”
เอ่ยถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่หันไปสบตากับจางเฉิง ส่ายหน้าตรัสว่า
“แม้ในวัง ก็คงไม่ได้มีคนคิดเพื่อเราด้วยใจทั้งหมด”
หวังทงอึ้งไป กลับมองเห็นฮ่องเต้ว่านลี่กับจางเฉิงส่ายหน้า
**************
หลังเข้าเฝ้าหวังทงก็กลับจวน รู้สึกเหนื่อยล้ามาก อย่างไรก็เข้าเฝ้าฮ่องเต้ พูดมากไปหน่อย ใช้สมองมากไปหน่อย ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายอันอ่อนแอของเขาไม่น้อย
ซ่งฉานฉานรู้ที่ทางในเมืองหลวง นางจัดการส่งคนไปเชิญหมอมีชื่อเสียงนามว่าข่งโหย่วหวามารักษา ชื่อเสียงการรักษาไม่ได้ด้อยไปกว่าหมอหลวง ข่งโหย่วหวาดูอาการให้คำวินิจฉัยต่างจากคนอื่น บอกว่าหวังทงยังคงมีพิษอยู่ในร่างกาย พิษนั้นเป็นฤทธิ์ร้อน เหลือไม่มาก หากหวังทงได้ไปพักที่อากาศหนาวสักสองสามเดือนก็จะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
ตอนที่ 873 จริงๆ เท็จๆ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หมอเทวดาเมืองหลวงข่งโหย่วหวาชื่อเสียงโด่งดัง หลายครั้งปฏิเสธตำแหน่งหมอหลวง อยากเป็นหมอรักษาชาวบ้าน การกระทำนี้ทำให้ชื่อเสียงยิ่งโด่งดัง
ที่จริงแล้วข่งโหย่วหวาเป็นหมอที่ชาวบ้านธรรมดาเข้าไม่ถึง มีแต่ชนชั้นสูงจึงตามมารักษาไหว ไทเฮาฉือเซิ่งและไทเฮาเหรินเซิ่งในวังตอนพระวรกายไม่ดีก็เคยเชิญข่งโหย่วหวาเข้าวังไปดูอาการ ทำให้ฉายาหมอเทวดายิ่งเลื่องลือ เขาพูดทุกคำย่อมมีน้ำหนักมากกว่าหมอหลวงมาก
สถานะเช่นหวังทง เชิญมารักษาย่อมได้ และหมอเทวดามาแล้ว ย่อมให้ความเห็นต่างจากคนอื่นจริงๆ ต้องการให้หวังทงไปพักรักษาตัวในที่อากาศหนาวเย็น จึงจะขับพิษออกมาได้
วิธีการรักษานี้ฟังแล้วดูล่องลอย แต่คนกลับเชื่อ หมอเทวดาไงเล่า ก็ต้องมีวิธีที่ล่องลอยถึงจะถูก และหมอมีชื่อมากมายดูแล้วไม่ให้ความเห็นอื่นใด หมอท่านนี้ให้ความเห็นต่าง คิดแล้วน่าจะมีความสามารถแท้จริงอยู่
แผ่นดินหมิงมีที่หนาวเย็นไม่มาก เมื่อก่อนมักจะมีแต่เมืองเหลียวโจว ตอนนี้กลับไม่ใช่ ยังมีเมืองกุยฮว่าเฉิงอีกที่ ย่อมเป็นที่หนาวเหน็บอย่างยิ่ง
หมอเทวดาท่านนี้ยังบอกอีกว่า หวังทงจากใต้กลับถึงเหนือ ร่างกายค่อยๆ ฟื้นตัว ย่อมเป็นเพราะยากับการพักรักษาตัว ประเด็นหลักอยู่ที่อากาศร้อนหนาวแตกต่างกัน เรื่องนี้ยิ่งทำให้เขาดูมีความสามารถในการรักษา
หลังมอบเงินตอบแทนหมอเทวดาไปแล้ว วันนี้ไม่เหมือนทุกวัน เพราะซ่งฉานฉานเข้าไปในห้องหวังทง และยังให้ทุกคนออกไป หวังทงสุขภาพยังคงอ่อนแอ ซ่งฉานฉานนั่งอยู่ข้างเตียงกล่าวว่า
“ข่งโหย่วหวาชอบทดลองยากับคนในจวนตนเอง เกิดเรื่องไม่น้อย ข้าน้อยได้ช่วยเขาปกปิดทั้งหมด จึงได้ให้คำวินิจฉัยนี้แก่นายท่านได้”
หวังทงพิงตัวอยู่หัวเตียง ค่อยๆ กล่าวว่า
“ลูกชายข่งโหย่วหวาส่งไปค่ายทหารที่เทียนจิน รอให้เรื่องนี้ผ่านไป ค่อยปล่อยพวกเขาไป ป้องกันข่งโหย่วหวาแพร่งพรายออกไป”
ซ่งฉานฉานพยักหน้ารับคำ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปยกชามยาจากโต๊ะเตี้ยข้างๆ มาให้หวังทง กล่าวเบาๆ ว่า
“หลายวันนี้ข้าน้อยได้ไปสืบข่าวจากที่ต่างๆ มาไม่น้อย ขุนนางเมืองหลวงตอนนี้ล้วนจับตาดูเรื่องรัชทายาท รอดูว่าฝ่าบาทจะทรงจัดการอย่างไร มีคนเริ่มสมคบคิดกันแล้ว เตรียมจะร่วมกันยื่นฎีกา ขอให้ทรงแต่งตั้งจูฉางลั่วเป็นรัชทายาท…”
สีหน้าหวังทงปรากฏรอยยิ้มเยียบเย็น ซ่งฉานฉานลังเลก่อนจะกล่าวว่า
“ข้าน้อยยังมีอีกข่าวไม่รู้ควรพูดหรือไม่ เพราะพวกวิพากษ์วิจารณ์ก็ระวังตัว ได้ยินเพียงแค่เลือนลาง บอกว่าในวังมีคนคิดเรื่องรัชทายาทนี้”
“ไทเฮาฉือเซิ่งย่อมทรงคิด พระสนมกงเป็นคนตำหนักฉือหนิงกง โอรสพระสนมกงเป็นรัชทายาทก็ย่อมเป็นที่พอพระทัยของไทเฮา”
หวังทงกล่าวเยียบเย็น ซ่งฉานฉานส่ายหน้าน้ำเสียงเบาลงอีกว่า
“ไม่ใช่ ว่ากันว่าเป็นพวกฝ่ายใน”
หวังทงขมวดคิ้ว จ้องมองซ่งฉานฉาน หรี่ตาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถามขึ้น
“ตอนเจ้าได้ข่าวนี้มา ทำให้พวกสำนักรักษาความสงบกับหน่วยงานอื่นรู้ตัวกันหรือไม่?”
“นายท่านวางใจ ข่าวพวกนี้ล้วนเป็นสายของข้าน้อยส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น”
หวังทงค่อยๆ พยักหน้า ซ่งฉานฉานถามขึ้น
“ข่าวนี้ต้องส่งต่อให้สำนักองครักษ์เสื้อแพรไหม?”
หวังทงไม่ตอบ เงียบไปนาน กลับไม่ตอบคำถามนี้ เพียงถามขึ้น
“ในมือเจ้ามีคนไว้ใจได้กี่คน?”
“มีสองสามคนที่เคยได้รับการช่วยจากข้าน้อย ชีวิตนี้ข้าน้อยจะเอาไปก็ย่อมได้”
ซ่งฉานฉานตอบหนักแน่น หวังทงลองดูว่ายาร้อนหรือไม่ จากนั้นค่อยๆ จิบไปสองสามคำ ในยามีตัวยาบำรุงไม่น้อย แต่ก็ไม่อาจกินมากได้ ไม่เช่นนี้ร่างการจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจากที่เป็นอยู่มากเกินไป ที่เหลือมากอยู่ก็ส่งให้ซ่งฉานฉาน หวังทงค่อยๆ กล่าวว่า
“ฮ่องเต้แต่งตั้งรัชทายาทเป็นเรื่องใหญ่แห่งแผ่นดิน เราเป็นขุนนางไม่ควรเข้าแทรกแซง แต่หากคนอื่นอยากจะมายุ่งกับการตั้งรัชทายาท เช่นนี้พวกเราก็ช่วยไม่ได้ อย่างไรก็ต้องทำตามธรรมเนียมหลักการ อย่างไรก็ต้องยืนหยัดเช่นนี้”
พอได้ยินวาจากล่าวเนิบนาบเช่นนี้ ซ่งฉานฉานก็เริ่มคิดไม่ทัน มองสีหน้าหวังทงอย่างสงสัย เมื่อครู่ที่หวังทงว่ามานั้น ทำเอานางสะดุ้ง สีหน้าซีดเผือดทันที ตามมาด้วยปรับเป็นปกติ ก่อนจะกล่าวว่า
“ข้าน้อยต้องทำถึงระดับใด?”
“ทำถึงระดับใดได้ก็ทำ เรามีเงินทองมาก ตายไปก็เอาไปไม่ได้ จ่ายทิ้งไปให้หมดเลยละกัน”
ซ่งฉานฉานลุกยืนขึ้นกล่าวอวยพรคิดขอตัวออกไป หวังทงยันตัวเองขึ้นจากเตียง กวักมือเรียกซ่งฉานฉาน ซ่งฉานฉานเดินเข้าไปอย่างงงๆ ไม่ทันระวังถูกหวังทงดึงเข้าอ้อมกอด แม้ว่าเป็นสามีภรรยา ร่วมหอร่วมเตียงกันมาแล้ว แต่กลางวันแสกๆ สองฝ่ายยังมีท่าทีให้ความเคารพกันและกัน หวังทงไม่ค่อยได้แสดงท่าทีสนิทสนมเช่นนี้นัก
ถูกหวังทงโอบกอดไว้ ซ่งฉานฉานตัวแข็งทื่อ หวังทงใช้มือตบหลังซ่งฉานฉานเบาๆ กล่าวเบาๆ ว่า
“ครั้งนี้ข้าไปเมืองกุยฮว่าเฉิงรักษาตัว หญิงในจวนก็มีแต่เจ้าที่ให้อยู่เมืองหลวงต่อ ยังต้องให้เจ้าทำงานเสี่ยงภัย ช่างทำให้เจ้าลำบากแล้ว แต่นางทั้งสองคนนั้นก็ไม่มีความคิดซับซ้อนแยบยล ข้าทิ้งร่องรอยไว้มากไป เพื่ออนาคตครอบครัวเรา ก็ได้แต่…”
ยามนี้ซ่งฉานฉานได้สติคืนจากการที่อึ้งไป อยู่ในอ้อมกอดหวังทงกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า
“ท่านพี่กล่าวเช่นนี้ ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไรแล้ว”
***********
หวังทงกลับถึงเมืองหลวง ฮ่องเต้ว่านลี่เรียกเข้าเฝ้า สำนักอาชาหลวงในวังส่งคนลงแดนใต้ไปทันที ตลอดทางที่ผ่านมาของหวังทง ทำลายล้างตระกูลใหญ่ไปไม่น้อย ที่นามากมายเป็นที่ไร้เจ้าของ ซื้อเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นที่นาส่วนพระองค์หรือที่นาส่วนแผ่นดิน ก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อราชสำนักและแผ่นดินหมิง
ทว่าตามข่าวที่หวังทงได้จากเทียนจิน ที่นาไร้เจ้าของแดนใต้ตอนนี้ถูกแบ่งสรรกันไปหมดแล้ว ร้านสามธาราเองก็ได้ไปไม่น้อย ยามนี้ในวังส่งคนลงใต้ รู้แต่เรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อตระกูลสวีเจี้ย
ซ่งฉานฉานมีคนสนิทที่ไม่ได้อยู่ในสายงานหวังทง ได้มาเป็นลูกน้องตั้งแต่สมัยอยู่หอฉินก่วน ตอนนี้มาพักที่จวนกับกับหวังทง ไม่ได้ไปมาหาสู่กับหอฉินก่วน
หนึ่งในนั้นได้พบหวังทงในเมืองหลวง จากนั้นก็ให้ทหารนำตัวไปที่จวนแห่งหนึ่ง จวนไร้เจ้าจอง แต่ในห้องกลับมีทองซ่อนไว้จำนวนมาก
หวังทงจากเทียนจินกลับถึงเมืองหลวง นำเงินทองมาด้วยมากมาย เงินทองพวกนี้เก็บซ่อนในที่วางใจได้ในเมืองหลวง สามารถนำออกมาใช้ได้
ความคิดที่ทูลให้ฮ่องเต้ว่านลี่แต่งตั้งจูฉางลั่วเป็นรัชทายาทเริ่มแพร่ไปทั่ววงการขุนนางบัณฑิต แต่ไม่ได้เป็นกระแสอันใด โอรสพระสนมเอกเจิ้ง ‘จูฉางสวิน’ ยังไม่ถึงเดือน ตอนนี้ยังไม่ถึงเดือน ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้ ไม่แน่ว่าจะมีอายุยืนยาวต่อไป อาจจะสิ้นเมื่อไรก็ได้ใครจะรู้ ยามนี้เสี่ยงยื่นฎีกาออกไป ได้ผลหรือไม่ยังไม่รู้ แต่ทำให้ตนเองประสบภัยนั้นคงใหญ่มากยิ่ง
แต่บรรยากาศเมืองหลวงเริ่มแปลกแล้ว ถึงกับมีขุนนางตรวจสอบยื่นฎีกาฟ้องกรมอาญา ให้รื้อคดีหลายคดีเมื่อก่อนออกมา ก็เรื่องพวกการแบ่งสมบัติพวกนั้น บิดาข้าอยากแบ่งให้ลูกคนโปรด พอลูกคนโตฟ้องร้อง บอกว่าเป็นลูกคนโตย่อมได้มากสุด ไม่ควรแบ่งให้ลูกคนโปรดอะไรพวกนี้
คดีพวกนี้หวังทงเคยเห็น ในนั้นมีลูกชายคนโตกับสะใภ้ไม่กตัญญู ไม่เลี้ยงดูบิดามารดาวัยชราให้ดี กลับไล่ออกจากบ้าน ลูกชายคนเล็ก สถานะธรรมดากลับรับไปเลี้ยงดูแทน ก่อนตาย บิดามารดาจึงได้แอบมอบทองที่ซ่อนไว้แก่ลูกชายคนเล็ก จากนั้นลูกชายคนโตพอรู้เรื่อง ก็ไปฟ้องร้องที่ศาล ขุนนางขอเพียงสมองไม่พิการก็คงไม่เข้าข้างลูกชายคนโต ผู้ใดก็คงไม่เห็นว่าลูกชายคนเล็กได้ทองไปจะเป็นความผิดอันใด
ทว่าตอนนี้กลับถูกขุนนางบัณฑิตรื้อออกมา วิจารณ์กันถึงหลักการยกใหญ่ บอกวันว่าการตัดสินคดีนี้ขัดต่อหลักการธรรมเนียม คนที่รู้เรื่องก็รู้แล้วว่าพวกเขาหมายถึงสิ่งใด ต้องการจะชี้เป้าไปที่สิ่งใด
*************
“วิธีการกินหม้อไฟนี้ตะก่อนในวังก็มีนะ แต่ไม่ได้อร่อยเหมือนเจ้าทำ วันนี้เราเลือกอาหารบำรุงอ่อนๆ เจ้าลองดู”
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ขุนนางทั่วไปไม่อาจได้รับพระเมตตา แม้แต่มหาอำมาตย์เซินสือหังก็ไม่ได้ เดือนสิบเอ็ด ฮ่องเต้ว่านลี่พระราชทานเลี้ยงหวังทงที่ตำหนักข้างพระตำหนักเฉียนชิงกง เมืองหลวงยามนี้เริ่มหนาวแล้ว เปลวไฟลุกโชน หม้อทองเหลืองซุปร้อนระอุ อาหารหลายอย่างหั่นเป็นชิ้นแผ่นๆ ส่งกลิ่นตลบอบอวลไปทั่วตำหนัก
“หมอบอกว่ากระหม่อมควรกินเนื้อแต่น้อย กระหม่อมกินผักก็พอ”
หวังทงมีสีหน้าอิดโรยอ่อนแรง นั่งบนเก้าอี้ก็นั่งไม่ตรง ฮ่องเต้ว่านลี่มองอย่างห่วงใย ตรัสถามขึ้น
“พวกหมอหลวงราวขยะพวกนั้นว่าอย่างไร?”
“ทูลฝ่าบาท หมอหลวงกับกับข่งโหย่วหวาวิเคราะห์เหมือนกันว่ากระหม่อมควรไปที่อากาศหนาวเย็นจึงจะรักษาตัวได้ผลดี เมืองหลวงเริ่มฤดูใบไม้ผลิก็เริ่มอุ่นแล้ว ไม่เหมาะ จะว่าไป ตามตำแหน่งงานที่ฝ่าบาทให้กระหม่อมดูแลเมืองกุยฮว่าเฉิง อย่างไรก็คงต้องไปดูแลงานแทนฝ่าบาท ไปจัดการระเบียบเสียหน่อย”
ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนงแน่น ตรัสว่า
“เราขาดเจ้าไม่ได้ องครักษ์เสื้อแพรก็ต้องให้เจ้าคุม เจ้าดูสิ หลายวันนี้ฎีกามา บอกว่ากรมอาญาตัดสินไม่ยุติธรรม หรือคิดว่าเราเป็นไอ้โง่เหรอไง มองไม่ออกว่าพวกเขาคิดจะบอกอะไร เรื่องพวกนี้ต้องให้เจ้ามาช่วยจัดการ”
“ฝ่าบาท องครักษ์เสื้อแพรแต่ละหน่วยงานมีระบบงานแล้ว ฝ่าบาทคุมงานผ่านฝ่ายในก็มีประสิทธิภาพดียิ่ง ถึงกับมีฎีกาพวกนี้ได้ ฝ่าบาท กระหม่อมมีความเห็น พวกที่คิดหาเรื่องพวกนั้นกระหม่อมก็รู้แล้ว แต่เรื่องนี้ราษฎรล้วนเห็นด้วยอย่างยิ่งที่ตัดสินเช่นนั้น ตอนนี้ขุนนางบัณฑิตพยายามอ้างหลักการธรรมเนียมก็ฝืนกระแสอยู่ไม่น้อย ฝ่าบาทไม่สู้ให้ทางโรงงิ้วแต่งบทงิ้วเรื่องคดีนี้ แสดงไปเลย ราษฎรอย่างไรก็ต้องเอนเอียงหันกลับมา!”
“ดีเลย ความคิดดี ให้โรงงิ้วแสดงงิ้วเรื่องนี้ ให้พวกที่บ้าหลักการไม่อยากฟังก็ต้องฟัง ให้งิ้วนี้แสดงไปทั่วหล้า”
ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์ตื่นเต้น ตบโต๊ะดัง หวังทงไอขึ้น คิดจะยกชาขึ้นดื่มเพื่อสงบสติลง ก็ยังไม่ทันได้ทำ ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนหายใจ ส่ายพระพักตร์ตรัสว่า
“หวังทง ลำบากเจ้าแล้ว ปฏิบัติหน้าที่เพื่อเรา โดนมามากมาย ก็เอาเถอะ ไปเมืองกุยฮว่าเฉิงพักสักหน่อย ไปจัดการที่นั่นสักพัก”
ตอนที่ 874 งิ้วโดนใจ เดือนสิบสองขึ้นเหนือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
‘ฟ้าดินซาบซึ้งลูกกตัญญู ได้รับผลดีตอบแทน’ งิ้วนี้แพร่หลายทั่วเมืองหลวงในเดือนสิบเอ็ด ว่ากันว่าเมืองเป่าติ้ง เมืองเจิ้นติ้งกับเทียนจินล้วนเตรียมแสดงงิ้วเรื่องนี้
ชายแก่ซื่อสัตย์คนหนึ่งรักลูกชายคนโต ไม่รักลูกชายคนเล็ก ตอนแบ่งสมบัติ ก็แบ่งจวนและร้านค้าให้กับลูกชายคนโตหมด ลูกชายคนเล็กกลับได้แค่เพิงพักและที่รกร้างนอกเมืองเท่านั้น
คิดไม่ถึงว่าลูกชายคนโตจะอกตัญญู ถูกสะใภ้ยั่วยุ ชายแก่ถูกขับไล่ออกจากบ้าน ร่อนเร่ตามท้องถนนน่าสงสาร พอดีกับลูกชายคนเล็กเข้าเมืองมา นำบิดากลับไปดูแลที่บ้าน กตัญญูอย่างมาก
ก่อนชายแก่จะตาย ก็ย้อนคิดถึงที่ตนเองเคยทำมา รู้สึกสำนักเสียใจมาก จึงได้ควักเอาไข่มุกสองเม็ดที่พกติดกายออกมา เดิมคิดไว้ว่าจะมอบให้ลูกชายคนโต แต่ตอนนี้ย่อมมอบให้ลูกชายคนเล็ก
ไข่มุกสองเม็ดนี้มีค่าถึงพันตำลึงทอง ครอบครัวลูกชายคนเล็กย่อมมีชีวิตที่ดีขึ้น คิดไม่ถึงว่าพี่ชายแอบรู้เรื่องเข้า ไปฟ้องทางการ บอกว่าบิดาทิ้งสมบัติไว้ให้ตนเองต่าง ๆ นานา
ยังร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ชั่วร้ายและนักเลงในเมือง สุดท้ายท่านผู้ว่าให้ความเป็นธรรม ตัดสินให้ไข่มุกสองเม็ดเป็นของลูกชายคนเล็ก
การแก่งแย่งสมบัติ ทำดีได้ดีเรื่องพวกนี้เป็นความชอบที่สุดของราษฎร นับประสาอันใดกับเรื่องที่เล่นยังเป็นเรื่องที่กำลังอยู่ในความสนใจของหมู่ราษฎร เข้าถึงได้ง่าย ยังมีเรื่องราวมากมายที่ทุกคนชอบดู เทียบกับองครักษ์เสื้อแพรกล้าหาญเข้าปราบพวกนอกด่าน พวกโจรลัทธิไตรสุริยันแล้ว ก็ดึงดูดมากกว่า
งิ้วนี้แพร่ไปทั่วเมือง ในใจราษฎรก็เริ่มคิดโยง ในงิ้วแสดงให้เห็นอย่างไรก็ย่อมเป็นทิศทางที่ชาวบ้านจะเอนเอียงไป ความเห็นทุกคนเหมือนกัน ก็คือลูกคนไหนไม่สำคัญ สำคัญที่ดี กตัญญูบิดามารดาก็พอ เป็นผู้ควรได้สืบทอดกิจการ
ขุนนางตรวจสอบยื่นฎีกาว่าการทำเช่นนี้ใช่ว่าเป็นการหาข้อพิพาทคดีลูกชายคนโตสืบทอดกิจการหรอกหรือ ทุกคนรู้ว่าเจตนาหมายถึงสิ่งใด งิ้วเรื่อง ‘ฟ้าดินซาบซึ้งลูกกตัญญู ได้รับผลดีตอบแทน’ นี้ คนที่เกี่ยวข้องทุกคนย่อมรูว่ามุ่งหวังเพื่อสิ่งใด
หลักการธรรมเนียมของบรรดาขุนนางบัณฑิตชิงหลิวมีคนรู้ด้วยไม่เท่าไร แต่งิ้วในเมืองหลวงไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่ได้ดู แม้แต่ขุนนางเมืองหลวงก็ได้ดู
และพอดูจบ ก็ได้รับอิทธิพลไปไม่แพ้ชาวบ้าน เมืองหลวงเพิ่งจะเริ่มมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนทิศทางไป ทว่าเรื่องงิ้วที่เล่นนี้ ทางนี้เล่นได้ทางนั้นก็เล่นได้ มีคนยอมจ่ายเงิน ไม่นาน อีกฝั่งก็เริ่มมีงิ้วใหม่ออกแสดงเช่นกัน
ส่วนเนื้อหาที่เล่นนั้นแน่นอนก็ย่อมตรงข้ามกับเนื้อหาลูกกตัญญูก่อนหน้า บอกว่าลูกชายคนโตสืบทอดกิจการบรรพชนเป็นหลักการธรรมเนียม การมอบให้คนอื่นที่ไม่ใช่ลูกคนโตนั้นเป็นการทำลายหลักการ…
ภาษาในงิ้วยอดเยี่ยม ยังมีบัณฑิตเขียนต่อบทเพื่อการนี้ เพื่อแต่งเติมบทให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น เมืองหลวงกิจการคัดลอกข่าวดีขึ้นไม่น้อย ที่แท้หากต้องการสร้างข่าวยังต้องจ่ายเงิน ตอนนี้มีคนให้เงินพวกเขากระจายไปทั่ว
ทว่าพูดไปพูดมา ทุกคนก็ไม่ได้เอ่ยถึงจูฉางลั่วและจูฉางสวิน ผู้ใดก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องรัชทายาท แต่ทุกคนรู้ดีว่า กำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่
เหนือความคาดหมายของทุกคนก็คือข่าวร้อนแรงที่สุดในเมืองหลวงไม่ใช่ข่าวนี้ ระยะนี้เมืองหลวง ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กันเรื่องความโชคร้ายของอดีตมหาอำมาตย์จางซื่อเหวย
จางซื่อเหวยล้มลง พรรคพวกจางจวีเจิ้งได้นั่งตำแหน่งมหาอำมาตย์ แต่ในยามที่รุ่งเรืองที่สุด บิดาเขากลับจากไปกะทันหันด้วยโรคปัจจุบันทันด่วน ตอนนั้นฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ทรงยับยั้งไว้ จางซื่อเหวยได้แต่กลับบ้านเกิดมาไว้ทุกข์เงียบๆ อำนาจที่ได้มาสูญสลายในพริบตา
อยู่บ้านได้เกือบสองปีแล้ว ปีหน้าก็จะจบแล้ว เห็นอยู่ๆ ว่าอดทนมาจนจะครบแล้ว ในห้วงเวลาสำคัญนี้เองก็มีคนตายกะทันหันไปอีก ตายไปถึงสามคน น้องชายสองคนของจางซื่อเหวย ยังมีอาอีกหนึ่ง อยู่ๆ ตายจากไป จางซื่อเหวยเป็นตระกุลใหญ่ที่มีกันหลายคนมารวมกัน พี่น้องล้วนเติบโตมาด้วยกัน การจากไปกะทันหันนี้ทำให้จางซื่อเหวยสะเทือนใจหนักมาก
ข่าวจากมณฑลซานซีมายังเมืองหลวง จางซื่อเหวยทนรับความกระทบกระเทือนใจไม่ไหว ล้มป่วยลุกไม่ขึ้นแล้ว สุขภาพกับสติตอนนี้พังทลายสิ้นแล้ว
ครั้งหนึ่งกำลังอยู่ในอำนาจสูงสุดก็ต้องจากไป ครั้งนี้เห็นๆ ว่ากำลังจะได้ฟื้นคืน ก็กลับประสบเหตุสะเทือนใจเช่นนี้ จางซื่อเหวยสติพังทลายหมดสิ้น พอได้ยินเช่นนี้ หลายคนก็พากันรู้สึกสงสาร รู้สึกว่าเป็นเพราะไร้วาสนา ได้แต่ยอมรับชะตากรรม
พอข่าวนี้มายังเมืองหลวง หลี่จื๋อที่ถูกขังคุกอยู่ก็สติแตกหมดสิ้นไปอีกคน รอบจวนมหาอำมาตย์เซินสือหังมีคนได้ยินเสียงพิณบรรเลง
*************
หวังทงพอได้ยินข่าวเช่นนี้ เขากับกองคาราวานได้ออกจากเมืองหลวงมาหลายสิบลี้แล้ว ตอนได้ยินข่าวนั้น เขารู้สึกต่างจากคนอื่น
“…….พี่เจ็ดไม่มีหน้ามาพบท่านโหว แต่จางซื่อเหวยคุ้มกันแน่นหนาจริง ว่ากันว่าเขาระวังตัวมาก เกรงว่าเมืองหลวงมีคนไม่พอใจเขา พี่เจ็ดไม่รู้ทำเช่นไร ได้แค่หาที่ง่ายแก่การลงมือ…”
ในห้องรถม้าขนาดใหญ่ที่ใช้ม้าลากถึงสี่ตัว หวังทงกำลังนั่งกินโจ๊กอยู่ ตั้งแต่ออกจากเมืองหลวงมา ก็เริ่มกินโจ๊กผสมเนื้อแพะอ่อนๆ ทุกวันกินชามหนึ่ง ค่อยๆ เสริมกำลัง
หน้าหวังทงมีคนผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่ มองดูการแต่งกายแบบชาวบ้าน นอบน้อมยิ่ง ไม่กล้าขยับตัว หวังทงกินโจ๊กไปกล่าวไปว่า
“คนเราที่น่าสลดที่สุดในชีวิตไม่มีสิ่งใดเกินกว่าไร้ญาติในครอบครัว มันทุกข์ยิ่งกว่าตาย ชายชราย่อมไม่อาจทนกระทบกระเทือนใจเรื่องนี้ได้ ท่านอำมาตย์จางช่างน่าสงสารจริง”
ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ คนที่คุกเข่าก็เงยหน้าขึ้น แสดงสีหน้างงงวย ตามด้วยโขกศีรษะกล่าวว่า
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว จะกลับไปถ่ายทอดคำสั่ง!”
กล่าวจบก็โขกศีรษะ ก็ลงจากรถม้าไป ข้างรถม้ามีม้าตัวหนึ่งผูกอยู่ ได้ยินเสียงฝีเท้าม้า คนจากไปไกลแล้ว
หลังหวังทงออกจากเมืองหลวง ก็มุ่งไปทางตะวันตกเข้าสู่มณฑลซานซี จากนั้นก็ขึ้นเหนือจากมณฑลซานซีไปยังเมืองกุยฮว่าเฉิง ตั้งแต่จากเมืองหลวงมา ก็มีหิมะตกสองระลอกแล้ว
สำหรับพวกหวังทงแล้ว ใกล้เดือนสิบสองขึ้นเหนือ เหมือนชินแล้ว ทุกปีก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่หลายครั้งก่อนไปออกศึก แต่ครั้งนี้ไปพักรักษาตัว
หากจะใช้คำว่าเดินทางแสนสบายเพราะชำนาญทางก็เหมาะสมอยู่ ก็ชำนาญจริง ๆ หวังทงขอราชโองการมาจากฮ่องเต้ว่านลี่จัดการเรื่องการทหารและเรื่องชาวบ้านที่เมืองกุยฮว่าเฉิงให้เป็นระเบียบ ลูกน้องเตรียมการไม่กี่วันก็เรียบร้อย
รถใหญ่บรรทุกหญ้าสำหรับม้า ยังมีผู้คุ้มกันหนึ่งนาย ครั้งนี้ทัพม้าก็ตามมาด้วย มีผู้คุ้มกันสี่ร้อยนายมาจากกองกำลังหู่เวย
นอกจากซ่งฉานฉานที่ใช้ข้ออ้างว่าเฝ้าจวนอยู่เมืองหลวงแล้ว คนที่เหลือก็ติดตามมายังเมืองกุยฮว่าเฉิงกันหมด ประเด็นก็คือหวังทงมีรถที่สะดวกสบายมาก เหมือนบ้านเคลื่อนที่ คนชราอยู่ก็ไม่รู้สึกหนาวเหน็บอันใด
หม่าซานเปียวพาทั้งครอบครัวมาหมด ทหารคนสนิทติดตามก็เช่นกัน เดิมคิดจะรอซาตงหนิงสองสามวัน ทว่าเขาอยู่ทางนั้นน่าจะมาไม่ทัน ได้แต่ให้เขากลับไปเทียนจินรอคำสั่งก่อน
ออกจากเมืองหลวงมาได้สองสามวัน ทุกคนพากันถอนหายใจ หมอเทวดาข่งโหย่วหวาไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เห็นๆ เลยว่าพอเข้าสู่ที่หนาวเย็น ท่านโหวที่สุขภาพอ่อนแอก็ค่อยๆ ดีขึ้น สองวันแรกยังดี จากนั้นถึงกับลงจากม้ามาเดินได้ ยังออกกำลังกายได้ด้วย อาหารก็กินได้มากขึ้น
คนหนึ่งที่ทนหิวมานาน ร่างกายย่อมอ่อนกำลัง ตอนนี้ค่อย ๆ ฟื้นตัวแล้ว กำลังวังชากับจิตใจก็ค่อย ๆ ดีขึ้น ที่จริงแล้วความเร็วในการฟื้นคืนนี้เรียกได้ว่ามหัศจรรย์มากในสายตาทุกคน เมื่อเป็นเช่นนี้ ไปเมืองกุยฮว่าเฉิงย่อมเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมที่สุด
มีคนไปแจ้งข่าวยังเมืองหลวง หมอเทวดาข่งโหย่วหวาก็ยิ่งมีชื่อเสียง ฉายาว่าหมอเทพแห่งยุค เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึง
ขบวนหวังทงเดินทางไม่เร็วนัก ต้นเดือนสิบสองเข้าสู่มณฑลซานซี พอเข้ามณฑลซานซี สื่อชีกับทหารองครักษ์เสื้อแพรสองสามนายก็ตามมา ‘สมทบ’ ทัน
ตามมาสบทบหรือไม่ ทุกคนไม่อาจวิเคราะห์ได้ เขาอ้อมมาร่วมขบวนด้านหลังตอนดึก
จางซื่อเหวยล้มป่วย…ข่าวนี้ไปทั่วมณฑลซานซี ทุกคนพากันถอนใจ ท่านอำมาตย์จางที่จริงแล้วกำลังรุ่งแท้ ๆ ไยสวรรค์ไม่ไยดี ครอบครัวต้องมาล้มตายกะทันหันไปหมด กำลังใจหดหาย เดาว่าไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้แล้ว ช่างน่าสงสารจริง น่าสงสารยิ่งนัก
หวังทงหยิบเงินหนึ่งหมื่นตำลึงจากในรถมอบให้พวกสื่อชี จากนั้นให้อีกห้าพันตำลึง ให้พวกเขาไปเที่ยวเมืองต้าถงสองสามวัน พวกสื่อชีรับเงินไปแต่ไม่ได้ไปเมืองต้าถง เพราะการคุ้มกันขบวนรถก็เป็นหน้าที่พวกเขา หวังทงก็ตามใจพวกเขา
ที่นี่ไม่เหมือนกับแดนใต้ มณฑลซานซีให้ความสำคัญมาก ผู้ตรวจการมณฑลซานซีรีบส่งผู้คุ้มกันกับคนนำทางมาแต่เนิ่นๆ ผู้บัญชาการเมืองต้าถงหม่าต้งก็ส่งทหารมาอารักขา
จะว่าไปหม่าต้งเป็นคนที่ได้ประโยชน์จากชัยชนะเมืองกุยฮว่าเฉิงตัวจริง เดิมส่งกำลังตามไปร่วมรบที่เมืองกุยฮว่าเฉิง พอรบเสร็จ เขากลับยังเก็บทหารเก่งกล้ากลับคืนไป ทหารเป็นดังสมบัติขุนพล ย่อมไม่ยอมยกให้ผู้ใดง่ายๆ ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องกลับมาสังกัดเดิม
หม่าต้งได้จากเมืองกุยฮว่าเฉิงไปมากมายเหลือเกิน ยังสานสายสัมพันธ์เมืองหลวงเรียบร้อย เงินก้อนโตหว่านไป ความขัดแย้งก็สลายไป ผู้ใดก็ไม่อยากมีปัญหากับเงินทอง เมื่อเป็นเช่นนี้ กอปรกับกำลังของหม่าต้งเอง กำลังในมือจึงเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
แม้กล่าวว่าทุกคนเป็นข้าราชสำนัก แต่กำลังในมือนั้นไม่เหมือนกัน ผู้บัญชาการเมืองต้าถงหม่าต้งตอนนี้บารมีข่มผู้ตรวจการและผู้บัญชาการมณฑลทหารไปแล้ว แม้แต่ขันทีคุมเสบียงต่อหน้าเขายังต้องเกรงใจ ประเด็นก็คือหลังสงครามเมืองกุยฮว่าเฉิง กำลังตระกูลหม่าของหม่าหลินที่เป็นรองขุนพลที่เมืองเหลียวโจวยังโดดเด่นไม่เท่า แม่ทัพหม่าฟางมีจดหมายมาชื่นชมแล้ว เด็กหนุ่มในตระกูลหม่าที่เมืองเซวียนฝู่ล้วนอยากมาอยู่เมืองต้าถง
ถูกกดมาหลายปี แต่พลิกกลับในคืนเดียว บารมีก็ส่วนบารมี หม่าต้งยังไม่ลืมที่มา รู้ว่าตนเองเพราะมีวันนี้เพราะใคร ดังนั้นพอหวังทงเข้าเขตมา เขายังกระตือรือร้นกว่าใคร มีอันใดต้องจัดหาก็รีบจัดหามาให้ ไม่ต้องให้หวังทงเอ่ยปาก
เดินทางผ่านมณฑลซานซีไปอย่างราบรื่น หลังวันที่ 25 เดือนสิบสองขบวนหวังทงก็ผ่านช่องเขาสังหารพยัคฆ์ เข้าสู่ทุ่งหญ้า…
…………
***ตามประวัติศาสตร์ จางซื่อเหวยกลับบ้านเกิดไปไว้ทุกข์สองปี พี่น้องหลายคนยังมีมารดาเลี้ยงก็ป่วยตายกะทันหัน เขาสะเทือนใจจนล้มป่วยจากไปด้วย จึงได้แต่งเรื่องต่อจากตรงนี้
แม้ว่าประวัติศาสตร์ว่าไว้เรียบง่าย แต่เป็นตระกูลยิ่งใหญ่ อยู่ๆ จะป่วยตายไปมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ผู้ใดจะรู้ความจริง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น