ลำนำบุปผาพิษ 871-878

บทที่ 871 กระทำเรื่องโง่เง่าลงไป


“นายท่าน ความจริงแล้วไม่ว่าคนประเภทใดก็ล้นมีสัญชาตญาณรักใหม่ทิ้งเก่าทั้งสิ้น และมีความปรารถนาจะเอาชนะ ยิ่งท่านปฏิบัติต่อคนผู้หนึ่งอย่างสุดจิตสุดใจทำดีกับนาง นางก็ยิ่งไม่เก็บท่านใส่ใจ มีแต่จะเย็นชาต่อท่าน ทำให้นางรู้ว่าท่านมิใช่ว่าต้องเป็นนางเท่านั้น ให้นางได้ลิ้มรสขมขื่นของการสูญเสียไป นางจะได้รู้หัวใจตนเอง และยอมรับท่าน ยอมทำในสิ่งที่ท่านปรารถนา…” มู่อวิ๋นรำพันจากใจ


ภายในห้องเงียบลงชั่วคราว มู่อวิ๋นหลังจากเล่าชีวประวัติอันรุ่งโรจน์เหล่านี้ของตนจบก็คอแห้งอยู่บ้าง


อันที่จริงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นตัวตนที่สูงส่งยิ่งนักมาโดยตลอด ยามปกติแทบจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องโลกีย์เหล่านี้เลย เรื่องที่พูดคุยกับพวกเขากว่าครึ่งเป็นเรื่องการปกครอง


เป็นครั้งแรกที่เกิดความสนใจในเรื่องชายหญิงเหล่านี้ และเป็นครั้งแรกที่คุยเรื่องพวกนี้กับเขาอย่างลึกซึ้ง นี่ทำให้มู่อวิ๋นรู้สึกยินดียิ่ง ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งในที่สุดก็ลงมาสัมผัสพื้นโลกแล้ว ดังนั้นขอเพียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สอบถาม มู่อวิ๋นกแทบจะถามหนึ่งตอบสิบ


หลังจากเล่าจบสายตาเขายังคงวาววับ คอยให้ทานเทพศักดิ์สิทธิ์เอ่ยชมเชยเขาสักประโยค


นึกไม่ถึงว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กลับถอนหายใจออกมาเบาๆ “เจ้าเป็นบุรุษที่โชกโชนในสนามรักโดยแท้ แนวคิดของเจ้ามากมายอย่างยิ่ง”


มู่อวิ๋นค่อนข้างขวยอาย “นายท่านชมกินไปแล้ว”


“เมื่อก่อนซีจิ่วบอกข้าว่าบุรุษที่โชกโชนในสนามรักสิบคนจะมีเก้าคนที่เป็นสวะ ข้ายังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ยามนี้ดูท่าแล้วคงจริง”


มู่อวิ๋นเงียบงัน จู่ๆ เขาก็รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง


ตี้ฝูอีเหลือบมองเขาอีกครา “แนวคิดที่เจ้ามอบให้ข้ายอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ ข้ารู้สึกว่าต้องจัดเลี้ยงให้จ้าสักหน่อยแล้ว”


เขาปรบมือเล็กน้อย “มู่เฟิง เจ้าเข้ามาสิ!”


ด้วยเหตุนี้มู่เฟิงจึงเข้ามา


ตี้ฝูอีสั่งการอย่างเฉื่อยชา “ส่งทูตมู่อวิ๋นไปที่เขตทะเลทรายสักสองสามวัน ข้าได้ยินว่าเด็กสาวทั่วไปของที่นั่นไม่เลวเลย ทูตมู่อวิ๋นอยู่นั่นย่อมประหนึ่งมัจฉาได้วารี”


ใบหน้าหล่อเหลาของมู่อวิ๋นเขียวคล้ำแล้ว!


ในเขตทะเลทรายสภาพแวดล้อมเลวร้าย ที่สำคัญคือที่นั่นขาดแคลนบุรุษอย่างยิ่ง ส่วนสตรีในเขตทะเลทรายทุกคนก็ดุจหมาปาดั่งพยัคฆ์ พบเห็นบุรุษแล้วปานยุงพบเลือด สิ่งที่ทำให้คนอยากกระอักเลือดมากที่สุดคือรูปโฉมของสตรีที่นั่นล้วนอัปลักษณ์บึกบึนกันทุกคน!


เขาแทบจะนึกภาพสตรีที่มีรูปลักษณ์ดั่งชายชาตรีเหล่านั้นแคะจมูกแล้วไล่ตามเขาอย่างบ้าคลั่งออก…


เขาคุกเข่าลงเสียงดังตึง “นายท่านขอรับ ได้โปรดเปลี่ยนสถานที่ลงโทษให้ข้าน้อยเถิด!”


เขาเกรงว่าร่างกายเล็กๆ ดั่งต้นหยกของเขาจะถูกย่ำยีจนต้นอ่อนแห้งโกร๋นไร้ใบ…


“นายท่าน ข้าน้อยยอมไปอยู่ที่แดนเพลิงลับแลขอรับ!” มู่อวิ๋นอ้อนวอน


ตี้ฝูอีไม่สนใจเขา คำสั่งที่ขาสั่งการไปแล้วไม่มีทางลดหย่อนผ่อนผัน


ด้วยเหตุนี้มู่เฟิงจึงตบไหล่เขาเบาๆ อย่างเห็นใจยิ่งนัก “ไปเถิด เสี่ยวอวิ๋นอวิ๋น ให้เจ้าไปสำเริงสำราญอยู่ที่นั่นสักสองสามวันนะ” แล้วลากเขาออกไปทันที


มู่เฟิงยินดียิ่งนัก เจ้าเด็กมู่อวิ๋นคนนี้มักจะคุยโวเรื่องรักใคร่สำเริงสำราญต่อหน้าคนโสดอย่างพวกเขาสามคนอยู่เสมอ แถมยังเยาะเย้ยว่าพวกเขาสามคนเป็นคนหยาบกะด้างที่ไม่เข้าใจความรักชายหญิง ยามนี้กรรมตามสนองแล้วกระมัง?! ฮ่าๆๆ


ตี้ฝูอียกมือนวดหว่างคิ้ว เขาอาการหนักแล้วจริงๆ ถึงได้ฟังคำพูดของเจ้าตัวบัดซบมู่อวิ๋นกระทำเรื่องโง่เง่าลงไป


ดูจากสตรีที่เขาเกี้ยวพาจนได้มาครองสองนางนั้น นางหนึ่งแสร้งวางท่าสำรวมสงวนท่าที นางหนึ่งเป็นหญิงชั่วที่เห็นความรักเป็นของเล่น คนเช่นนี้จะนำมาเทียบกับเสี่ยวซีจิ่วของเขาได้อย่างไร?


ในด้านของความรักกู้ซีจิ่วเป็นผู้ที่ยกได้วางเป็นมาโดยตลอด แถมนางกตรงไปตรงมายิ่งนัก เมื่อรู้สึกว่าความรูสึกนั้นเป็นไปไม่ได้นางก็จะสะบั้นทิ้งอย่างไม่เกรงอกเกรงใจเสมอ


ยกตัวอย่างเช่นนางรู้สึกว่าหลงซือเย่พิเศษมาตลอด อยากครองคู่อยู่กับหลงซือเย่ จึงตัดขาดกับเขาตี้ฝูอี พยายามผลักไสขาออกไปอย่างสุดกำลัง


————————————————————————————-


 บทที่ 872 ไหน เรียกปะป๊าสิ


เพียงแต่สาวน้อยผู้นี้เข้าใจความรู้สึกของตนเองผิด อันที่จริงนางรักหลงซือเย่แบบสหาย ชมชอบแบบที่ชอบพี่ชาย…


ที่เขาทำคือช่วยให้นางเข้าใจความรู้สึกของนางเอง มิใช่แสร้งปล่อยเพื่อจับ


สมองเขาเลอะเลือนไปแล้วหรือถึงได้เชื่อความคิดเน่าๆ ประเทนี้ของมู่อวิ๋น!


เขาลุกขึ้นยืน คิดจะไปดูนางสักหน่อย แต่ก็กล้ำกลืนไว้


นางเหนื่อยล้ามากแล้ว ให้นางพักผ่อนดีๆ สักคืนก่อนแล้วกัน


ไม่ว่าเรื่องอะไรก็รอให้ถึงเย็นวันพรุ่งก่อนแล้วค่อยว่ากัน


….


กู้ซีจิ่วเหนื่อยล้ามากจริงๆ หลังจากกลับถึงเรือนตน ก็นอนหลับไปแทบจะทันที


เธอฝันอย่างหนึ่ง เป็นความฝันที่ค่อนข้างพิสดารอย่างยิ่ง


ในฝันเธอกลายเป็นทารกน้อยอายุไม่ถึงสามเดือนคนหนึ่ง นอนอยู่ในโลงแก้วผลึกที่เต็มไปด้วยของเหลวสีชมพูอ่อน เสมือนนักประดาน้ำที่ล่องลอยอยู่ด้านใน


และด้านนอกโลงแก้วผลึก มีชายร่างสูงที่หล่อเหลาในชุดกาวน์สีขาวคนหนึ่งยืนอยู่


หลงซี!


ไม่ถูกสิ คนๆ นี้ถึงแม้หน้าตาจะเหมือนหลงซีทุกอย่าง แต่มีสง่าราศีกว่าหลงซีมาก มีรังสีกดดันชนิดหนึ่งอยู่รางๆ


คนๆ นีคือนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้น!


คนผู้นี้ยิ้มน้อยๆ มองดูเธอ ทาบมือลงบนโลงแก้วผลึกที่บรรจุเธอไว้ “หนูน้อย เธอสมบูรณ์แบบมาก สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าอาซีเสียอีก”


เธอทำได้เพียงเบิกตากว้างมองดูเขา


คนๆ นี้หัวเราะเบาๆ “มีสติปัญยาแล้วสินะ เป็หนูน้อยที่เฉลียวฉลาดคนหนึ่ง ไหน เรียกปะป๊าสิ”


หัวคิ้วน้อยๆ ของเธอขมวดนิดๆ ยังคงมองเขาเช่นเดิม


“หนูน้อย สามีภรรยาตระกูลเย่แค่อยากหาแหล่งอวัยวะสำรองสักคนให้ลูกสาวของพวกเขา แต่ปะป๊าไม่คิดจะทำแบบนั้นหรอกนะ เธอเป็นสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นมา เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบมากแข็งแกร่งกว่าลูกสาวที่สามีภรรยาตระกูเย่ให้กำเนิดมากนัก”


นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นพูดเองเออเองกับเธอที่อยู่ในโลงแก้วผลึก พูดคุยกับเธออย่างอ่อนโยนอยู่พักหนึ่ง สักพักก็ฉีดของเหลวชนิดใหม่เข้าไปในโลงแก้วผลึกอีกครั้ง


เห็นได้ชัดว่าของเหลวนั้นทำให้เธอทรมานมาก เธอดิ้นทุรนทุรายอยู่ในด้านใน สะบัดตัวเหมือนปลา


นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นมองเออยู่ตลอด รับชมทุกปฏิกิริยาและทุกการกระทำของเธอ


ในที่สุด เธอก็ไม่ดิ้นทุรนทุรายแล้ว ร่างกายที่อยู่ภายในของเหลวเหลานั้นสงบลงอีกครั้ง ร่างกายของเธอคล้ายจะเติบโตขึ้นนิดหน่อย ดูเหมือนเด็กอายุหนึ่งขวบแล้ว


นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นเหมือนจะศึกษาโลงแก้วผลึกของเธออยู่พักใหญ่ ถึงได้ถอดเสื้อกาวน์ออก ติดหนวดเคราลงบนหน้า จากนั้นก็ออกไป


ภาพในฝันสลับสับเปลี่ยนไปรวดเร็วยิ่ง และตัดสลับกันอย่างวุ่นวายอยู่บ้าง


สักพักนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นก็เข้ามาพูดคุยกับเธอ สักพักเด็กน้อยหน้าตาอ่อนเยาว์คนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาดูเธอเด้กคนนี้น่าจะเป็นหลงซีในวัยเด็ก!


แรกเริ่มหลงซีน้อยมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็น ต่อมาไม่รู้ว่าคนอื่นพูดอะไรกับเขา ยามที่หลงซน้อยมองเธออีกครั้งนัยน์ตาก็ฉายแววประหลาดออกมา ราวกับมองตัวน่าสงสารตัวหนึ่ง…


หลงซีน้อยก็มาคุยกับเธอบ่อยๆ เหมือนกัน เพียงแต่เธอไม่เคยตอบโต้เขาเลย เพียงใชนัยน์ที่ขาวดำตัดกันชัดเจนมองดูเขา ฟังเขาพูดเจื้อยแจ้ว พูดถึงความกลัดกลุ้มของเขา


เมื่อพูดมาถึงตอนสุดท้าย หลงซีน้อยมักจะกำหมัดน้อยๆ ขึ้นมาแล้วกล่าวออกมาว่า “ข้าเกลียดสามีภรรยาตระกูลเย่! พวกเขาเห็นแก่ตัวเกินไป! เธอกับฉันป็นมนุษย์โคลนนิ่งเหมือนกัน แต่พวกเขาไม่เห็นพวกเราเป็นคนเลยสักนิด เธอน่าสงสารกว่าฉัน พวกเขาแค่อยากใช้เธอต่างแหล่งอวัยวะสำรองเท่านั้น เป็นแหล่งอวัยวะให้ลูกสาวของพวกเขาตลอดไป เธอน่าสงสารกว่าฉัน…”


อาจเป็นเพราะท่าทางที่โบกกำปั้นไปมาของเขาดูน่าสนุก ปากเล็กๆ ของเธอที่อยู่ในโลงแก้วผลึกจึงแย้มยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก…


หลงซีน้อยพุ่งเข้ามาดวงตาฉายแววตื่นเต้นยินดี แทบจะนอนแปะอยู่บนโลงแก้วผลึก “เธอยิ้มเป็นแล้ว! ว้าว เธอยิ้มเป็นแล้ว! เธอยิ้มแล้วน่ามองจริงๆ”


เธอที่อยู่ในของเหลวนั้นพลิกตัวคราหนึ่ง มือน้อยๆ แนบลงบนตัวโลงแก้วผลึกโดยมิได้ตั้งใจ


————————————————————————————-



บทที่ 873 เรียกปะป๊าให้ฟังหน่อยสิ


หลงซีน้อยก็รีบทาบมือลงมาทันที แปะมือกับมือน้อยๆ ของเธอผ่านโลงแก้วผลึก เอ่ยออกมาดั่งสัตย์สาบาน “ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอไปตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเชแบบนั้นเด็ดขาด! ฉันจะช่วยเธอ จะให้เธอได้รับชีวิตที่ดีที่สุด…”


ภาพตัดไปอีกครั้ง เธอถูกคนอุ้มออกมาจากโลงแก้วผลึก เป็นครั้งแรกที่เธอได้ออกมานอกโลงแก้วนี้ ดูเหมือนะตื่นตระหนกอยู่บ้าง จับชายที่อุ้มเธอออกมาคนนั้นไว้แน่นตลอด


นักวิยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นเปลี่ยนชุดที่ดูดีให้เธอ ยิ้มบางๆ แวบหนึ่ง “หนูน้อย ติดฉันขนาดนี้เชียวหรือ? เรียกปะป๊าให้ฟังหน่อยสิ”


เธอมองเขาตาแป๋ว ในที่สุดก็เปิดปากพูดประโยคแรก “เรียกปะป๊าให้ฟังหน่อยสิ”


นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นนิ่งงัน


เธอถูกอุ้มไปวางบนเตียงหลังเดียวกับเด็กอีกคนหนึ่ง จากนั้นเธอก็พบว่าเด็กคนนั้นหน้าตาเหมือนเธอทุกประการ สิ่งที่ไม่เหมือนคือลำคอของเด็กคนนั้นมีหยกสีแดงชิ้นหนึ่งห้อยอยู่


เธอยื่นมือไปคว้า ถูกนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นตีลงบนมือน้อยๆ เพียะหนึ่ง ตีเจ็บมาก แต่ปากเล็กๆ ของเธอกลับเม้มแน่นไม่คิดจะร้องไห้


ข้างเตียงเล็กมีชายหญิงคู่หนึ่งอยู่ กำลังมองดูพวกเธอเช่นกัน “เหมือนกันทุกอย่างจริงๆ!”


ชายหญิงคู่นั้นมองเธอด้วยสายตาที่ใช้มองสินค้าอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ออกไปกับนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้น


ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง หลงซีน้อยก็วิ่งเข้ามา เขาคว่ำตัวลงข้างเตียงมองเด็กน้อยที่เหมือนกันทุกประการ


เด็กน้อยทั้งสองคลานวุ่นวายอยู่บนเตียง สวมชุดแบบเดียวกัน จุดต่างเพียงอย่างเดียวคือคนหนึ่งมีหยกประดับ ส่วนอีกคนไม่มี


หลงซีน้อยมองอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง แล้วหาเรื่องให้คนงานที่คอยเฝ้าเด็กอยู่ข้างๆ ออกไป จากนั้นก็สลับหยกประดับบนคอเด็กน้อยอย่างว่องไว…


เธอดีใจมาก รู้สึกว่านี่สุดก็มีหยกประดับนี้แล้ว นั่งกุมหยกประดับเล่นอยู่ตรงนั้น หลงซีน้อยเขย่งขึ้นลูบศีรษะเธอ “ฉันเคยบอกแล้ว ว่าจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้เธอ ให้เธอได้รับชีวิตที่ดีที่สุด…’


จากนั้นหลงซีน้อยก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ วิ่งฉิวออกไป


ผ่านไปอีกพักหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นกลับมาก่อน เขายืนอยู่ข้างเตียงมองเด็กน้อยทั้งสองครู่หนึ่ง ทันใดนั้นมุมปากก็ยกยิ้มแวบหนึ่ง ยื่นมือข้างหนึ่งมาถอดหยกประดับชิ้นนั้นออกจากคอเธอ สวมกลับไปบนคอเด็กที่อยู่ตรงกันข้ามคนนั้น แล้วก้มลงมาลูบหัวเล็กๆ ของกู้ซีจิ่ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หนูน้อย เธอเป็นผลงานที่สมบูรณ์แบบที่สุดของฉัน ควรจะมีอนาคตที่ดียิ่งกว่านี้ จะป็นคุณหนูไฮโซคนหนึ่งไปทำไมกัน? เธอจะเป็นยอดอัจฉริยะ…เจ้าโง่อาซีคนนี้ เกือบจะทำลายให้แผนการฉันแล้ว…”


เธอยังเด็กอยู่จึงฟังไม่เข้าใจ ทำได้เพียงมองดูเขา จากนั้นสามีภรรยาตระกูลเย่ก็เข้ามา อุ้มลูกของตนออกไป…


ส่วนตัวเธอที่ยังเล็กนั่งอยู่ตรงนั้น มองสามีภรรยาตระกูลเย่ที่จากไปตาแป๋ว


….


กู้ซีจิ่วสะดุ้งตื่นจากความฝันทันที เธอลุกขึ้นนั่ง เอนกายพิงหัวเตียง


ความฝันครั้งนี้ไม่เหมือนความฝันสับสนวุ่นวายเช่นที่ผ่านมา ชัดเจนยิ่งนัก ต่อให้เธอตื่นขึ้นมาก้ไม่หลงลืมไปเหมือนในอดีต


ขมับเธอมีหยาดเหงื่อเยียบเย็น ไม่ว่าอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าจะฝันเช่นนี้


เธอหวนรำลึกถึงความฝันนี้อย่างละเอียด สุดท้ายก็สรุปผลออกมา


ความฝันนี้นาจะเป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ในความทรงจำของเธอ เพียงแต่ตอนนั้นยังเด็กเกินไป พอโตขึ้นก็ลืมเลือนช่วงเวลานั้น ยามนี้กลับปรากฏขึ้นมาในรูปแบบของความฝัน


เธอคือมนุษย์โคลนนิ่งคนนั้นจริงๆ!


ดูเหมือนทุกอย่างที่หลงซีพูดเป็นความจริง และทุกอย่างที่หยกนภาพูดก็เป็นความจริงเหมือนกัน


หลงซีนึกว่าสลับตัวเด็กสองคนนั้นแล้ว ความจริงคือถูกนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นจับได้นานแล้ว จากนั้นก็ทำให้เด็กทั้งสองกลับสู่ฐานะใครฐานะมันอย่างเงียบๆ


หลงซีไม่ทราบสภาพการณ์ภายในเรื่องนี้เลย นึกว่าเธอคือเย่หงเฟิงตัวจริง


ความจริงแล้วเธอไม่ใช่ เธอก็คือเด็กที่ถูกนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นโคลนนิ่งขึ้นมา


————————————————————————————-


 บทที่ 874 เจ้าไปไหนข้าไปด้วย


แถมความคิดของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นยังซับซ้อนจนน่ากลัวจริงๆ เขาใช้ประโยชน์จากความรู้สึกผิดของหลงซีล่อให้เขาเข้าไปเป็นครูฝึกในค่ายฝึกนักฆ่า ให้มาปกป้องผลงานชิ้นที่สมบูรณ์แบบที่สุดอย่างเธอ หลายปีต่อมาก็กลายเป็นปรมาจารย์กู่เพื่อถ่ายทอดวิชากู่ให้เธอ…


เธอนั่งอยู่ครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะ


ไม่ว่ายังไงก็ตาม ล้วนผ่านพ้นไปหมดแล้ว!


ไม่ว่าเธอจะใช่เด็กโคลนนิ่งคนนั้นหรือไม่ อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ใช่แล้ว ตอนนี้เธอคือกู้ซีจิ่ว!


เธอลุกขึ้นมาเรื่องแรกที่ทำก็คือไปหาเชียนหลิงอวี่กับหลานไว่หู บอกพวกเขาว่าตนคิดจะย้ายห้องเรียน


เธอเคยใคร่ครวญแล้ว ด้วยคุณสมบัติของเธอในตอนนี้ฝกฝนวิชาเหินหาวนั้นกินแรงมากจริงๆ มิใช่สิ่งที่มานะทุ่มทแล้วจะสามารถทำได้ และเธอก็ไม่ต้องการ ‘การดูแลเป็นพิเศษ’ ของเขาผู้นั้นอีก ดังนั้นการย้ายห้องคือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว


หลานไว่หูแทบจะไม่คิดสักนิดเลย “ซีจิ่ว เจ้าย้ายข้าก็ย้าย! เจ้าไปไหนข้าไปด้วย!”


เชียนหลิงอวี่ก็ไม่คิดเลยเช่นกัน “ข้าก็ย้ายด้วย!”


กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “จิ้งจอกน้อยย้ายไปกับข้าได้ หลิงอวี่ เจ้าไม่ควรย้าย” ยามต่อสู้หลานไว่หูต้องได้รับการชี้นำจากเธอ ถ้านางติดตามผู้อื่นเป็นไปได้ว่าจะแสดงศักยภาพออกมาเช่นที่ควรไม่ได้ แต่เชียนหลิงอวี่มีพลังวิญญาณขั้นแปดแล้ว อยู่ในชั้นเมฆาม่วงห้องหนึ่งดั่งมัจฉาได้วารี เขาไม่จำเป็นต้องย้ายห้องไปด้วยเลย


กู้ซีจิ่วกล่าวกับเชียนหลิงอวี่อย่างเฉียบขาด เชียนหลิงอวี่ส่ายหัวเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ไม่ได้! จะย้ายก็ต้องย้ายกันหมด! พวกเราสามคนผูกผันแน่นแฟ้น ผู้ใดก็อย่าได้หมายจะพรากพวกเราออกจากกัน!”


กู้ซีจิ่วรู้สึกปวดหัวนัก “หลิงอวี่ ใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา เจ้าอยู่ห้องหนึ่งจะมีพัฒนาการดีขึ้นกว่าเดิม อีกอย่างต่อให้ย้ายห้องแล้วพวกเก็ยังเล่นด้วยกันได้เหมือนเดิม”


เธอพูดจนปากแทบฉีก ทว่าจนใจที่เจ้าเด็กเหลือขอเชียนหลิงอวี่ผู้นี้ดื้อด้านไม่ยอมเปลี่ยนใจจะย้ายตามไปด้วยให้ได้


กู้ซีจิ่วจนปัญญา ทำได้เพียงพาเจ้าสองตัวนี้ไปหากู่ฉานโม่ด้วยกัน


กู่ฉานโม่ยาที่ได้ยินเธอยื่นความจำนงดวงตาก็เบิกถลนยิ่งกว่าไข่ไก่ “กู้ซีจิ่ว เหล่าศิษย์ในยามนี้ล้วนปรารถนาจะลับหัวสมองใหแหลมคมแล้วพุ่งทะลวงสู่ชั้นเมฆ่าม่วงห้องหนึ่งใจจะขาดกันทั้งนั้น พวกเจ้าคิดอะไรออกมา? ทำไมเล่า?”


กี้จิ่วใคร่ครวญเหตุผลไว้ล่วงหน้าแล้ว “อาจารย์ใหญ่ ซีจิ่วพลังวิญญาณต่ำต้อย เล่าเรียนอยู่ห้องหนึ่งเปลืองแรงยิ่งนัก มีหลายหลักสูตรทีเกี่ยวข้องกับระดับความเชี่ยวชาญและระดับสูงต่ำของพลังวิญญาณโดยตรง มิใช่สิ่งที่ซีจิ่วเพียรพยายามแล้วจะบรรลุได้ ซีจิ่วศึกษาหลักสูตรของชั้นเมฆาม่วงห้องสองดูแล้ว รู้สึกว่าบทเรียนของชั้นนั้นค่อนข้างเหมาะสมกับข้า มีเพียงบทเรียนที่เหมาะสมกับตนถึงจะได้ผลดีที่สุด ถึงจะแสดงความได้เปรียบออกมามากที่สุด ดังนั้นซีจิ่วใค่ครวญดูหลายตลบแล้ว ยังคงตัดสินใจจะย้ายห้อง ขออาจารย์ใหญ่โปรดอนุเคราะห์ด้วย”


ถ้อยคำที่กู้ซีจิ่วพูดมาทั้งหมดมีเหตุผลยิ่งนัก คนมิได้มีความสามารถรอบด้าน ย่อมมีสิ่งที่ถนัดเป็นพิเศษและไม่ถนัดเป็นพิเศษ ในการศึกษาเสริมจุดเด่นเลี่ยงจุดด้อยก็ถูกต้องจริงๆ


พลังวิญญาณของกู้ซีจิ่วต่ำต้อยเป็นความจริงที่แย้งไม่ได้ และไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เด็กคนนี้เยี่ยมยอดมากแล้ว สร้างปาฏิหาริย์มามากมาย เด็กเช่นนี้สมควรได้รับการสั่งสอนที่เหมาะสมที่สุด ทำให้นางเติบใหญ่อย่างแท้จริง…


กู่ฉานโม่มิได้หูตึงมิรับรู้ข่าวสาร เขาคือตาเฒ่าที่ผ่านโลกมามากคนหนึ่ง มีสายตาที่เข้าใจเรื่องทางโลกอย่างลึกซึ้ง


สิ่งที่กู้ซีจิ่วประสบที่ชั้นเรียนเมฆาคล้อยห้องหนึ่งในหลายวันมานี้เขาก็ทราบอย่างคร่าวๆ เช่นกัน ทราบว่าในห้องหนึ่งนางได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เสมอภาคจากตี้ฝูอี ทราบว่างหลงซือเย่โปรดปรานนาง


ถึงแม้ในวันที่เผาที่หุ่นเชิดชุดม่วงตัวนั้นหลงซือเย่จะอธิบายแล้วว่าความรักหวานแหววของตี้ฝูอีกับกู้วีจิ่วในหลายวันที่ผ่านมาเป็นเพียงการเล่นละครเท่านั้น แต่ในใจเขากลับรับรู้ได้รางๆ ว่ามิใช่ง่ายดายปานนั้น หลังจากจบเรื่องเขาใคร่ครวญดูรู้สึกว่าของหลงซือเย่คือการแสดงจริงๆ แต่ระหว่างตี้ฝูอีและกู้ซีจิ่วกลับมิคล้ายว่าเป็นการแสดงไปเสียทั้งหมด ระหว่างสามคนนี้มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น!


————————————————————————————-



บทที่ 875 ไม่อยากเสียไปเลยสักคน


ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้กระทำการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายคาดเดาได้ยาก กู่ฉานโม่ไม่เคยเดาทางเขาออกเลยจริงๆ เพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่พอใจพฤติกรรมของตี้ฝูอีอย่างยิ่ง!


ไม่ว่าบุตรสาวของบ้านอื่นจะรักหรือไม่รักเจ้า แต่ก็ไม่ได้กระทำเรื่องใดที่ผิดต่อเจ้า ซ้ำยังช่วยเจ้าจับศัตรูอีก ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์หรือด้วยเหตุผลล้วนสมควรปฏิบัติต่อบุตรสาวของบ้านอื่นให้ดีสักหน่อย ต่อให้ไม่ได้ครองคู่กันได้เป็นสหายกันก็ดีมากแล้ว


ผลคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้เสมือนรักจนเกิดเป็นความเคียดแค้น จงใจเย็นชาหมางเมินผู้อื่นในชั้นเรียน แถมยังจงใจช้าบเรีบยปฏิบัติจริงมาทำให้ผู้อื่นอับอายขายหน้าด้วย ทำให้เด็กสาวที่เก่งกาจถึงเพียงนี้ต้องกลายเป็นที่น่าขบขัน…


ใจแคบ! ทูตสวรรค์ฝายซ้ายผู้นี้ไม่ใจกว้างต่อกู้ซีจิ่วเลยสักนิด คิดเล็กคิดน้อย เฮอะ!


ยามนี้บุตรสาวของบ้านอื่นทนการก่อกวนไม่ไหวคิดจะหลบฉากแล้ว อืม เพื่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของนาง ห้องเรียนนี้สมควรย้ายจริงๆ!


แต่ว่า…


เขามองหลานไว่หูกับเชียนหลิงอวี่ “ซีจิ่วมีเหตุผลจำเป็นในการย้ายห้อง พวกเจ้าตามมาชมเรื่องครึกครื้นหรือไร?”


จิ้งจอกน้อยเอ่ยออกประโยหนึ่ง “ข้าจะไปกับซีจิ่วด้วยเจ้าค่ะ!”


เชียนหลิงอวี่ก็ตรงไปตรงมาเช่นกัน “เราสามคนจะไม่แยกจากกัน!”


หัวคิ้วกู่ฉานโม่ขมวดแล้ว


การย้ายห้องในชั้นเรียนเมฆาม่วงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ขอเพียงอาจารย์ที่ปรึกษาของทั้งสองห้องเห็นด้วยก็พอ ฝ่ายหนึ่งยินยอมให้ศิษย์ย้ายออก อีกฝ่ายยอมให้ศิษย์ย้ายเข้า


อาจารย์ที่ปรึกษาของห้องหนึ่งคืออาจารย์เริ่น อาจารย์ที่ปรึกษาของห้องสองคืออาจารย์เฉียน อาจารย์ทั้งสองท่านนี้ถึงแม้เกณฑ์การรับศิษย์จะเข้มงวดมาโดยตลอด แต่ล้วนให้ความสำคัญต่อศิษย์ในห้องเรียนของตนดั่งแก้วตา ไม่อยากเสียไปเลยสักคน


อีกทั้งลูกศิษย์อย่างกู้ซีจิ่วก็เป็นเป้าหมายที่ทุกห้องต่อสู้แย่งชิง อาจารย์ที่ปรึกษาของห้องสองย่อมยินดีรับนางไว้ แต่อาจารย์ที่ปรึกษาของห้องหนึ่งจะยอมปล่อยหรือ? เกรงว่าจะยากเย็นยิ่งกว่าเฉือนเนื้อเขาเสียอีก!


นับประสาอะไรกับตัวแถมอีกสองตัวเล่า?


เกรงว่าอาจารย์เริ่นผู้นั้นคงบ้าคลั่งขึ้นมาทันที!


ถึงแม้อาจารย์ใหญ่กู่จะมีสิทธิ์โยกย้ายลูกศิษย์ในชั้นเรียนได้ตามใจนึก แต่ก็ไม่ต้องการจะโยกย้ายให้ใหญ่โตถึงเพียงนั้น หากถึงเวลาแล้วอาจารย์ที่ปรึกษาของห้องหนึ่งโมโหจนคลั่งขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า? ไม่เป็นผลดีต่อความสงบกลมเกลียวของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เลย!


ดังนั้นกู่ฉานโม่จึงใคร่ครญอยู่ครู่หนึ่ง ยื่นทางเลือกให้กู้ซีจิ่วสองทาง


ข้อแรก กู้ซีจิ่วกับหลานไว่หู้ย้ายไปห้องสอง เชียนหลิงอวี่รั้งอยู่ห้องหนึ่ง


ข้อสอง ทั้งสามคนรั้งอยู่ห้องหนึ่งให้หมด ไม่ต้องย้ายสักคน


กู่ฉานโม่กล่าวอย่างรวบรัดเบ็ดเสร็จ ไม่เหลือช่องว่างให้ต่อรองได้อีก


ท้ายที่สุด เชียนหลิงอวี่เห็นแก่อนาคตของกู้ซีจิ่ว ทำได้เพียงยอมรั้งอยู่ เขาอยู่ห้องหนึ่ง พวกกู้ซีจิ่วทั้งสองย้ายไป…


ด้วยเหตุนี้กู่ฉานโม่ก็ตอบรับอย่างปีติยิ่งเช่นกัน เพียงแต่เรื่องย้ายห้องมิใช่พูดจาประโยคเดียวก็ย้ายได้ ยังต้องประสานงานบางอย่างด้วย ดังนั้นกู่ฉานโม่จึงให้กู้ซีจิ่วรออีกสองวัน ถ้าขัดการทุกอ่างเรียบ้อยแล้วจะให้นางย้าย


พอออกมาจากห้องของกู่ฉานโม่ กู้ซีจิ่วถอนหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง สำเร็จแล้ว! ในที่สุดเธอก็สามารถกระทำการโดยไม่ต้องมองสีหน้าผู้ใดได้แล้ว!


เธอจะอุทิศแรงายแรงใจทั้งหมดให้การฝึกฝนวรยุทธ์!


ตอนนี้เธอเพิ่งอายุสิบห้า เป็นช่วงวัยรุ่งโรจนในการศึกษาเล่าเรียน ส่วนเรื่องอื่นๆ พากันลงนรกไปให้หมดซะ!


เนื่องจากเรื่องนี้ต้องรอการประสานงานจากกู่ฉานโม่ ก่อนจะได้ย้ายห้องไม่ควรบอกให้ผู้อื่นทราบ ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงกำชับทั้งสองคนที่อยู่ข้างกายว่าต้องเก็บไว้เป็นความลับ


จิ้งจอกน้อยมะไรอยู่แล้ว ขอเพียงนางได้ติดตามอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่วก็พอ


เชียนหลิงอวี่กลับหดหู่เซื่องซึมยิ่งนัก เขาไม่เต็มใจที่จะแยกจากสหายทั้งสอง แต่เพื่ออนาคตของสหายทั้งสองจึงไม่อาจเลือกเหนี่ยวรั้งไว้ได้


กู้ซีจิ่วก็ตัดใจแยกจากเขาไม่ลงอยู่บ้างเช่นกัน ถึงอย่างไรก็เป็นสหายที่ต่อสู้ร่วมกันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ แยกกันหนนี้ภายในก็ต้องอยู่คนละกลุ่มแล้ว


แต่ว่าด้วยฝีมือของเชียนหลิงอวี่ ไม่ว่าเขาจะจับกลุ่มกับใครล้วนสามารถเจิดจรัสออกมาได้ เธอไม่จำเป็นต้องกังวลแทนเขาเกินไป


————————————————————————————-


 บทที่ 876 คิดจะหลอกล่อให้เผยข้อมูล


ถึงแม้เรื่องการย้ายห้องโดยภาพรวมจะได้รับการอนุมัติแล้ว แต่ชั้นเรียนที่ควรเข้าก็ยังต้องเข้าอยู่


ดังนั้นทั้งสามคนจงเข้าเรียนตามปกติ ไม่เผยสีหน้าอันใดอกมา


เพียงแต่เชียนหลิงอวี่ชอบไปวอแวที่โต๊ะของกู้ซีจิ่วยิ่งกว่าเดิม แถมยังทำตาแดงๆ เป็นครั้งคราว


โต๊ะข้างเคียงของเชียนหลิงอวี่คือเล่อจื่อซิ่ง นางมองเชียนหลิงอวี่หลายหนแล้ว ต่อมาเมื่อเห็นว่ายามที่เชียนหลิงอวี่กลับมาหน้าโต๊ะนัยน์ตาแดงระเรื่อเล็กน้อย จึงเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “เจ้าเป็นชายชาตรีผู้หนึ่งเหตุใดจึงทำท่าเหมือนจะร้องไห้เล่า? เล่นบทโศกลาจากยากจะได้พานพบกับผู้ใดอยู่หรือไง?”


เชียนหลิงอวี่เห็นนางขัดหูขัดตาเป็นพิเศษ ตอบกลับนางอย่างพาลพาโลยิ่งนัก “เจ้ายุ่งอะไรด้วย?!”


เล่อจื่อซิ่งยิ้มแล้วส่งเสียงดังชิ “ข้าก็คร้านจะยุ่งกับเจ้า!” นางมองกู้ซีจิ่วอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง กู้ซีจิ่วสีหนาสงบนิ่งเช่นเคย เข้าเรียนฟังการบรรยายอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่สนใจผู้อื่นที่อยู่รอบข้าง จากนั้นนางก็มองหลานไว่หูอีกแวบหนึ่ง หลานไว่หูเป็นสาวน้อยอ่อนไหวคนหนึ่ง ถึงแม้นางจะอยู่กับกู้ซีจิ่ว แต่นางก็ค่อนข้างตัดใจแยกจากเชียนหลิงอวี่ไม่ลง ถึงแม้เจ้าคนผู้นี้จะเขกหัวด่านางว่าตัวโง่งมอยู่เสมอ แต่ยามปกติก็ปกป้องนางยิ่งนัก


เธอถูกรังแกแค่เล็กน้อย เขาก็จะพุ่งเข้าไปทันที ราวกับเทพน้อยผู้อารักขาประตูทำให้อีกฝ่ายหนีกระเจิงไป…


ยามนี้กลับต้องแยกกันแล้ว


เล่อจื่อซิ่งมองเชียนหลิงอวี่แล้วก็มองหลานไว่หู สัมผัสได้ว่าพวกเขามีเรื่องบางอย่าง


จิ้งจอกน้อยใสซื่อไร้เดียงสา ยากจะปิดบังเรื่องราว ดังนั้นเล่อจื่อซิ่งจึงครุ่นคิดแวบหนึ่ง คิดจะหาความจริงจากร่างจิ้งจอกน้อย


ยามเลิกเรียน นางหาข้ออ้างเพื่อคุยกับจิ้งจอกน้อยตามลำพัง คิดจะหลอกล่อให้เผยข้อมูล


ผลปรากฏฏว่าจิ้งจอกน้อยที่ดูไร้เดียงสายิ่งนัก หนนี้ปากน้อยๆ กลับปิดสนิทยิ่งกว่าฝาหอย!


ไม่ยอมเผยอะไรออกมาเลย ซั้งคุยกับนางด้วยสีหน้าระแวดระแวง เสมือนนางเป็นจิ้งจอกที่หมายจะขโมยไก่…


เล่อจื่อซิ่งก็ไม่พูดจาเป็นอื่นอีก เพียงลอบสังเกตความเคลื่อนไหวของสามคนนี้ พอยามเที่ยงนางก็ไปขอพบตี้ฝูอีที่เรือนทันที


เรือนของตี้ฝูอีสำหรับคนนอกแล้วถือเป็นเขตหวงห้าม คนทั่วไปจะเข้าไปง่ายๆ ไม่ได้ ต่อให้เป็นกู่ฉานโม่จะเข้าก็ต้องได้รับอนุญาตจาทูตสรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ก่อน แต่เห็นได้ชัดว่าเล่อจื่อซิ่งมีสิทธิพิเศษอะไรบางอย่าง เคาะประตูเพียงครู่เดียว มู่เฟิงก็ปล่อยให้เข้าไปในเรือนแล้ว


และฉากนี้ก็ถูกเชียนอวี่หลิงอวี่ที่บังเอิญผ่านทางมาเห็นเข้าพอดี เจ้าเด็กคนนี้โมโหนัก ตอนกินข้าวกลางวันจึงบอกกับกู้ซีจิ่ว


ถึงแม้ในใจกู้ซีจิ่วตัดสินใจว่าจะตัดขาดกับตี้ฝูอีอย่างสิ้นเชิงแล้ว จะขุดเขาออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่บางครั้งอารมณ์กับเหตุผลก็ยังสวนทางกันอยู่เสมอ เมื่อเธอได้ยินข่าวนี้อันที่จริงค่อนข้างอึดอัด แต่ก็ไม่ได้เผยสีหน้าใดออกมา


ถึงอย่างไรระยะนี้ตี้ฝูอีก็สนิทสนมกับเล่อจื่อซิ่งอยู่ตลอด เล่อจื่อซิ่งกลายเป็นคนพิเศษของที่นั่นได้รับการปฏิบัติแบบพิเศษจากเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เธอคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้ว


หลังจากเข้าเรียนทั้งวัน กินข้าวเย็นเสร็จ กู้ซีจิ่วก็ตรงไปที่ใต้หน้าผานั้นทันที


แม้ว่าไม่ถึงวันมะรืนเธอก็จะย้ายห้องแล้ว แต่บทลงโทษที่ควรรับเธอก็ยังต้องรับอยู่


สิ่งที่เธอคิดไม่ถึงคือ ตี้ฝูอีมาถึงเร็วกว่าเธอเสียีก ตอนที่เธอมาถึงเขากำลังนั่งก่อไฟย่างสัตว์อยู่ใต้หน้าผา


เมื่อเห็นเธอมาถึง เข้าเลิกคิ้วแล้วกวัวกมือเรียกเธอ “เข้ามาสิ”


กู้ซีจิ่วไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่เพื่อกันไม่ให้เขาเล่นลูกไม้อีก เธอจึงเดินไป ทำความเคารพเขา ยังคงเป็นการทำความเคารพตามที่ศิษย์พึงทำ


ตี้ฝูอีโบกมือเรียกม้านั่งตัวหนึ่งออกมา “นั่งสิ”


กู้ซีจิ่วไม่อยากนั่ง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ซีจิ่วยังต้องใช้วิชาเหินหาวเหาะขึ้นหน้าผาอีกสิบรอบ เวลามีจำกัดยิ่งซีจิ่วไม่อยากอดนอนทั้งคืน…”


————————————————————————————-



บทที่ 877 ปีกไก่ทั้งสองข้างล้วนยกให้เจ้า


“ไม่ทำให้เจ้าอดนอนทั้งคืนหรอก” ตี้ฝูอีเอ่ย “ข้าใคร่ครวญไว้ในใจแล้ว นั่งลงก่อนสิ ลองชิมฝีมือข้าดู”


กู้ซีจิ่วกล่าวคาดเดา “ความหมายของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคือจะลดจำนวนครั้งในการลงโทษให้ซีจิ่วหรือเจ้าคะ?”


ตี้ฝูอีมองเธอแวบหนึ่ง “จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้าพูดคำไหนเป็นคำนั้นเสมอ ไม่อาจลดหย่อนผ่อนผันได้แม้แต่น้อย”


กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก ถ้างั้นเขาพูดทำไมว่าจะไม่ปล่อยให้ตนอดนอนทั้งคืน!


เธอยิ้มแวบหนึ่ง “เช่นนั้นขอบคุณยิ่งนักสำหรับความไว้วางใจของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ซีจิ่วมั่นใจว่าสิ่งที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นผู้ย่างต้องยอดเยี่ยมแน่ แต่ว่าซีจิ่วเพิ่งกินอิ่มมา และไม่มีความอยากนื้อสัตว์สักเท่าไหร่ ข้าขอตัวไปอบอุ่นร่างกายก่อน เตรียมรับบทลงโทษ”


เธอหันหลังหมายจะเดินแยกไป


“ซีจิ่ว เจ้าจะย้ายห้องใช่ไหม? นี่เป็นงานเลี้ยงส่งที่ข้าจัดให้เจ้า จะไม่ไว้หน้ากันหน่อยหรือ?” ตี้ฝูอีที่อยู่ด้านหลังเธอเอ่ยขึ้น


กู้ซีจิ่วตะลึง “…ท่านรู้ได้ยังไง…” เธอถามยังไม่ทันจบก็หุบปากฉับ ด้วยความสามารถของตี้ฝูอี หากเขาอยากรู้เรื่องใดล้วนง่ายดายยิ่งนัก เพียงแต่เธอนึกไม่ถึงว่าเขาจะทราบได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เท่านั้น


ช่างเถอะ เขารู้แล้วอย่างไรเล่า? เธอไม่มีอะไรต้องร้อนตัวอยู่แล้ว


ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงหันกลับไปแล้วนั่งลง “ขอบุณมากเจ้าค่ะ” จากนั้นก็มองเนื้อสัตว์ที่เขาย่างแวบหนึ่ง “ข้าเอาปีกไก่ข้างดียว”


ตี้ฝูอีกล่าวออกมาว่า “วางใจเถอะ ปีกไก่ทั้งสองข้างล้วนยกให้เจ้า” เขาย่างอย่างพิถีพิถัน โรยเกลือลงไปแล้วทาซีอิ๊วทับอีกชั้น…


กองไฟลุกโชน ส่องสะท้อนใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูราวกับมิใช่มนุษย์จริงๆ


วันนี้เขาไม่ได้สวมหน้ากากอย่างที่หาได้ยากนัก ภายใต้แสงดาราเครื่องหน้าทั้งห้าประณีตดั่งวาดแต้ม กู้ซีจิ่วมองแวบเดียวก็ละสายตา สายตาจดจ่ออยู่ที่ไก่ป่าย่างตัวนั้น จู่ๆ ก็พบว่าหน้าของไก่ป่าตัวนั้นดูเหมือนจะพิเศษอยู่บ้าง บนหัวไก่มีหงอนสองอัน ปีกทั้งสองก็เป็นรูปพัด กรงเล็บไม่คล้ายกรงเล็บไก่ รูปทรงค่อนข้างคล้ายดอกเหมย


เนื่องจากตัวไก่ถูกถอนขนออกนานแล้ว ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่ทราบเช่นกันว่ายามที่ไก่ตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่มีลักษณะเช่นใด


ไก่ตัวนี้มองเผินๆ คือไก่ป่าตัวหนึ่ง แต่ถ้ามองให้ละเอียดจะเห็นว่าแตกต่างกัน


ตี้ฝูอีไม่พูดอะไร กู้ซีจิ่วย่อมไม่ต้องการเป็นฝ่ายพูดคุยกับเขาก่อนเช่นกัน ช่วงที่นั่งรอเนื้อสัตว์ย่างอยู่ตรงนั้นสมองเธอยังคงใคร่ครวญถึงเคล็ดวิชาที่ต้องใช้ต่อจากนี้


“เหตุใดต้องย้ายห้อง?” ตี้ฝูอีคล้ายถามออกมาคล้ายไม่มีเจตนา


กู้ซีจิ่วก็ตอบอย่างไม่อินังขังขอบ “พลังวิญญาณของข้าไม่เพียงพอ ตามบทเรียนบางส่วนของห้องหนึ่งไม่ทัน…” เธอพูดข้ออ้างที่บอกแก่กู่ฉานโม่ตอนนั้นออกมาอีกรอบ


“ตามบทเรียนไหนไม่ทัน?” ตี้ฝูอีเริ่มถามซักไซ้ให้ถึงที่สุด


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ ถึงแม้ตี้ฝูอีก็นับว่าเป็นอาจารย์ของห้องหนึ่งเหมือนกันแต่ก็เป็นเพียงอาจารย์ที่ได้รับการเชื้อเชิญมาสอนเท่านั้น ผลคะแนนทั่วไปรวมถึงการย้ายห้องเรียนของศิษย์อะไรพวกนั้นดูเหมือนเขาจะไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย


กู้ซีจิ่วไม่อยากถกเถียงกับเขา ดังนั้นจึงยิ้มแวบหนึ่ง “ขอบคุณสำหรับความห่วงใยของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย แต่นี่คือเรื่องส่วนตัวของซีจิ่ว ไม่อยากบอกแก่ผู้อื่น”


ตี้ฝูอีไม่พูดอะไรอีก จดจ่อกับการย่างเนื้อสัตว์ตามเดิม


หนนี้ฝีมือของเขาพัฒนาขึ้นไม่น้อย เนื้อสัตว์ยังทันย่างสุกดี กลิ่นหอมก็ลอยอบอวลไปครึ่งลี้แล้ว


กู้ซีจิ่วกินข้าวมาแล้วจริงๆ ท้องจึงไม่รู้สึกหิว แต่พอได้กลิ่นหอมหวนนี้ เอสัมผัสได้ว่าหนอนตะกละในท้องเธอเคลื่อนไหวแล้ว อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองไก่ย่างเหลืองอร่ามตัวนั้นอยู่หลายแวบ


ในที่สุดเนื้อสัตวก็ย่างสุกดีแล้ว เขาฉีกปีกไก่ข้างหนึ่งให้เธอ “เอ้า ลองชิมสิ”


เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเนื้อสัตว์เพิ่งย่างเสร็จ สมควรร้อนลวกมือยิ่งนัก แต่พอส่งมาถึงมือเธอก็กลายเป็นอุ่นปานกลาง สามารถนำเข้าปากได้เลย


————————————————————————————-


 บทที่ 878 กินปีกต้องกินเป็นคู่


กู้ซีจิ่วรับปีก ‘ไก่’ นี้ไว้ ยังไม่กินเข้าไปทันที เธอแน่ใจแล้วว่าสิ่งนีไม่ใช่ไก่ป่าแน่นอน


“นี่คือนกอะไร?” แม้แต่ปีกก็ยังงดงามถึงเพียงนี้


ตี้ฝูอียื่นเข็มเงินเล่มหนึ่งส่งให้ “เอ้า ให้จิ้มมันสิ”


กู้ซีจิ่วไม่เข้าใจเหตุผล แต่ก็รับมาแล้วจิ้มลงบนปีกข้างนั้นจริงๆ จากนั้นก็ดึกออกมามอง ก็ยังไม่เห็นอะไรปรากฏออกมา


“ไม่มีพิษใช่ไหมล่ะ” ตี้ฝูอีแย้มยิ้มมองเธอ “เจ้าสามารถกินได้แล้ว”


กู้ซีจิ่วหน้าทะมึน “ท่านคิดมากไปแล้ว ข้าไม่ได้คิดว่าปีกนี้มีพิษ” เหตุผลที่เธอยังไม่กินเป็นเพรารู้สึกว่าปีกนี้รูปร่างประหลาด คงมิใช่ไก่ป่ากลายพันธุ์อะไรทำนองนั้นใช่ไหม?


ตี้ฝูอียิ้มบางๆ “เจ้าไม่ได้คิดว่าปีกนี้มีพิษจริงๆ นั้นแหละ แต่ในใจเจ้าต้องคิดแน่นอนว่า ที่แท้แล้วทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้คิดจะวางแผนร้ายอะไรกับข้าอีกใช่หรือไม่?”


กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก เขาเป็นหนอนในท้องผู้อื่นใช่ไหม?


ตี้ฝูอีเบิกตากว้างมองดูเธอ “ข้าเดาถูกหรือเปล่า? อย่าโป้ปด! ต้องพูดความจริง”


กู้ซีจิ่วก็ไม่เกรงใจเช่นกัน “ท่านเดาถูกครึ่งเดียว ข้ากำลังคิดอยู่จริงๆ ว่าท่านต้องการทำอะไรกันแน่? ส่วนแผ่นร้ายอันใดนั่น เป็นท่านคาดเดาไปเอง ไม่เกี่ยวข้องกับข้า”


เมื่อครู่เธอกำลังเดาอยู่จริงๆ ว่าที่เขาทำเช่นนี้มีจุดประสงค์ใด คล้ายกลยุทธ์ตบหัวแล้วลูบหลังยิ่งนัก แต่เธอไม่รู้สึกหวั่นไหวกับกลยุทธฺนี้เลย


ตี้ฝูอีถอนหายใจ “กินก่อนเถอะ ข้าจะคุยกับเจ้าทีหลัง ข้าเกรง่าถ้าพูดจบเจ้าจะไม่มีอารมณ์กินแล้ว”


ทั้งร่างของกู้ซีจิ่วเตรียมพร้อมป้องกันขึ้นมาทันที เขาคิดจะทำอะไร? คิดจะเล่นลูกไม้อะไรอีกแล้วใช่ไหม?


เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง “ข้ารู้สึกวาท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายพูดออกมาก่อนดีกว่า ท่านทำลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ ข้ายิ่งไม่มีอารมณ์กินแล้ว”


ตี้ฝูอียืนกรานยิ่งนัก “เจ้ากินก่อน สิ่งนี้ถ้าเย็นแล้วจะไม่อร่อย คุณค่าทางอาหารจะหายไปด้วย น่าเสียดายเกินไป!”


เนื้อย่างชิ้นเดียวมีคุณค่าอาหารมากจนเกรงว่าจะสูญเสียไปเชียวหรือ? ทำให้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้เห็นค่าถึงเพียงนี้


กู้ซีจิ่วมองปีกนกในมือ เอาเถอะ กินเลยแล้วกัน!


เธอกินคำเล็กๆ เข้าไปก่อนคำหนึ่ง จากนั้นก็ตะลึงงัน


เนื้อนั้นนุ่มเด้งเหมือนวุ้น กลิ่นหอมอวลจมูก ซ้ำยังแฝงกลิ่นละมุนของใบไผ่ไว้ด้วย ยามที่อยู่ในปากจะค่อยๆ เผยออกมา กลิ่มหอมอบอวลอยู่ทั่วปาก กลิ่นอายพิสุทธิ์สายหนึ่งไหลลงคอ ตรงเข้าสู่ปอด


อร่อยเหลือเกิน!


เธอยังไม่เคยกินเนื้อสัตว์ที่รสชาติแบบนี้มาก่อนเลย!


กู้ซีจิ่วกินปีกนั้นจนหมดอย่างรวดเร็ว


เพิ่งกินชิ้นนี้หมด อีกชิ้นหนึ่งก็ยื่นเข้ามาแล้ว “กินปีกต้องกินเป็นคู่ ปีกเดียวบินไม่ขึ้นหรอก”


กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงว่าตี้ฝูอีจะท่าทีเป็นมิตรเช่นนี้ เดิมทีเธอไม่คิดจะเอาอีกอัน แต่ในเมื่ออร่อยขาดนี้แถมเขายังยกให้อย่างกระตือรือร้นถึงเพียงนี้อีก…


เช่นนั้นเธอก็ไม่เกรงใจแล้ว!


ด้วยเหตุนี้ กู้ซีจิ่วจึงเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง รับไปแล้วเริ่มกินปี ‘ไก่’ ชิ้นที่สอง


กินอยู่พักหนึ่ง ตี้ฝูอีก็ยื่นน้ำเต้าใส่สุราสีเขียวอ่อนลูกหนึ่งให้ “กินแต่เนื้อจะเลี่ยนเกินไป ดื่มสุราแกล้มหน่อยเถิด’


ครั้งนีกู้ซีจิ่วไม่ได้รับของเขาไว้ หยิบน้ำเต้าสุราใบหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของตนทันที “ข้าก็มีสุราของตัวองเช่นกัน”


ขณะที่กำลังจะเปิดจุกดื่ม ข้อมือก็ถูกกุมไว้ “สุรานี้ของเจ้าใช้ไม่ได้ กินหงส์ครามแล้วจะต้องดื่มสุราน้ำพุชะล้างข่ม ถึงจะทำให้มันแสดงสรรพคุณสูงสุดออกมาได้”


น้ำเต้าสุราในมือกู้ซีจิ่วแทบร่วงลงพื้น หลงลืมแม้แต่จะชักข้อมือกลับมาจากฝ่ามือที่เกาะกุมไว้ของอีกฝ่าย “หงส์คราม?!” เธอมองนกประหลาดที่ปีกสองข้างหายไปตัวนั้นอีกครา “นี่คือหงส์ครามหรือ?!”


สวรรค์ เธอไม่ได้ฟังผิดไปกระมัง?!


————————————————————————————-

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)