หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 870-879

 บทที่ 870 ข้อสงสัยและการปฏิเสธ!

 

ในเวลาเดียวกันนั้น ปรมาจารย์ก็มอบดวงจันทร์บริวารให้หวังเป่าเล่อใช้แทนถ้ำที่พักและฐานที่มั่น อันที่จริงแล้ว หลังถามความเห็นจากชายหนุ่ม ชายวัยกลางคนก็รีบประกาศว่าหวังเป่าเล่อได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสชั้นสูงของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ทันที มีสถานะเกือบเท่าตัวเขาด้วยซ้ำ


การพะเน้าพะนอนี้ทำให้หวังเป่าเล่อปลื้มปริ่มอยู่ในใจ หลังจากที่กล่าวขอบคุณปรมาจารย์มหาทัณฑ์แล้ว ชายหนุ่มก็จากไปตั้งหลักที่ดวงจันทร์บริวาร เพราะอย่างไรเสีย…เขาก็เข้าใจดีว่าสงครามนั้น…ยังไม่จบ และเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น


ขณะที่ทั้งสำนักกำลังเตรียมตัวและรวมตัวกันอย่างขะมักเขม้น หวังเป่าเล่อก็แผ่พลังปราณออกไปผนึกทั้งด้านนอกและด้านในของห้องลับในถ้ำที่พักของเขาเอาไว้ ชายหนุ่มหยิบหุ่นเชิดจักรพรรดิทั้งสิบสองและเรือบินรบเวทของเขาออกมา หลังจากที่ตรวจสอบผนึกจนแน่ใจว่าจะไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เขาก็ปล่อยหญิงสาวออกมาจากเรือบินรบเวทด้วยดวงจิตเทพ


นางเป็นใครกันแน่นะ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงและเพ่งมองไปยังสตรีผู้ที่แสดงอาการวิตกกังวลและสิ้นหวังอย่างหนักออกมาอย่างชัดเจน ใบหน้าของนางเผยให้เห็นว่านางอยากจะตายเสียมากกว่าอยู่


เมื่อจ้องมองไปยังสตรีตรงหน้า หวังเป่าเล่อก็แผ่ดวงจิตเทพออกไป หลังจากที่ดวงจิตนั้นเข้าห้อมล้อมกายนางเอาไว้ ชายหนุ่มก็ตรวจสอบอีกฝ่ายอย่างถ้วนถี่ หลังจากการตรวจสอบ คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ บนสนามรบ หวังเป่าเล่อกวาดสายตามองหญิงสาวเร็วๆ แต่ก็ยังไม่รู้ว่านางเป็นใคร ขณะนี้เมื่อได้มองดูนางอย่างละเอียดด้วยพลังปราณของตน…ชายหนุ่มก็ยังไม่อาจสัมผัสถึงสิ่งใดจากกายนางได้ ราวกับว่าร่างนี้เป็นร่างจริงของนางจริงๆ


สตรีนางนี้มีรูปลักษณ์สะสวยพอใช้ หากดูจากรูปร่างหน้าตาแล้ว นางดูอายุราวยี่สิบปี ผิวของนางสีขาว อีกทั้งรูปร่างยังอ่อนช้อยงดงาม นางสวมใส่อาภรณ์สีรุ้งที่ไม่เพียงเปิดเผยความงามของนางเท่านั้น แต่ยังทำให้นางดูอ่อนเยาว์ด้วย แต่หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าเมื่อผู้ฝึกตนบรรลุระดับดาวพระเคราะห์เมื่อใด จะดูหนุ่มแก่เพียงใดก็ไม่สำคัญอีกต่อไป


เพราะตราบใดที่พวกเขาต้องการใช้พลังปราณเพื่อทำให้ตนดูอ่อนเยาว์ ก็สามารถทำได้ไม่ยากเลย เป็นเรื่องธรรมดายิ่งในหมู่ผู้ฝึกตน ดังนั้นแล้ว จึงเป็นการยากที่จะบอกอายุที่แท้จริงของใครสักคนผ่านหน้าตาเท่านั้น โดยปกติแล้ว จำต้องใช้สัมผัสสวรรค์กวาดดูให้ทั่วเพื่อมองให้เห็นร่องรอยของวัยชรา


ตัวอย่างเช่น แม้ว่าสตรีนางนี้จะดูเหมือนอยู่ในร่างจริง แต่ตามที่สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อตรวจพบ นางก็ไม่ได้ชราแต่อย่างใด และระดับปราณของนางยังยอดเยี่ยมอีกด้วย เพราะนางอยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นปลายเป็นที่เรียบร้อย


ขั้นปราณนั้นอาจไม่ได้สลักสำคัญอะไรในอารยธรรมครามทองคำ แต่ในสหพันธรัฐ เป็นการยากยิ่งที่คนอายุน้อยเพียงเท่านี้จะมีปราณอยู่ในขั้นนี้ได้ อย่างน้อยในบรรดาสหายที่หวังเป่าเล่อรู้จัก ก็ไม่มีใครเลยที่บรรลุถึงขั้นจุติวิญญาณตั้งแต่อายุเท่านี้ยกเว้นตัวเขาเอง


สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อสงสัยอยู่ในใจ เพราะไม่อาจระบุตัวตนที่แท้จริงของนางได้ สายตาของชายหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นก่อนพูดออกมาช้าๆ


“บอกข้ามาว่าเจ้าเป็นใคร!”


คำพูดของหวังเป่าเล่อเยือกเย็นราวกับเป็นสายลมหนาว ทำให้อุณหภูมิในห้องลับลดลงอย่างรวดเร็ว อากาศเย็นยะเยือกกระจายไปทั่ว ทำให้ร่างกายของหญิงสาวสั่นสะท้านเบาๆ หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่หลายลมหายใจ นางก็หลุบศีรษะลงต่ำ ราวกับว่าพยายามอย่างยิ่งที่จะสงบจิตใจ ก่อนจะพูดออกมาช้าๆ


“ข้าเป็นศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งอารยธรรมครามทองคำจากปลายกระบี่โบราณ…นามว่าเฉินเสวี่ยเหมย”


เมื่อได้ยินคำตอบของสตรีนางนั้น คิ้วของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งขมวดหนักเข้าไปอีก สายตาของเขาเยือกเย็นยิ่งกว่าเก่า อันที่จริงแล้ว ชายหนุ่มกำลังเริ่มร้อนรนอย่างมาก เขากลัวว่าการคาดเดาของตนจะเป็นจริงและหนึ่งในบรรดาสหายถูกสตรีนางนี้สังหารไปแล้ว ทำให้นางได้ดวงจิตเทพของเขาไปครอง หวังเป่าเล่ออยากค้นวิญญาณนางโดยตรง แต่เขาก็คิดว่าหากผิดพลาดเพียงเล็กน้อย การค้นวิญญาณก็อาจทำให้ร่างกายของนางเสียหายอย่างหนักได้


หวังเป่าเล่อจึงหรี่ตาลงก่อนจะมองสตรีนางนั้นตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกครั้ง แม้ว่านางจะพยายามเต็มที่ที่จะไม่ตื่นตระหนก ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ว่าหญิงสาวทั้งกังวลและสิ้นหวังในใจ มีความหมดอาลัยตายอยากฉายชัดอยู่ในแววตา เขาจึงเข้าใจในวินาทีนั้นว่านางได้เตรียมใจที่จะตายไว้แล้ว


และขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังมองสำรวจหญิงสาวตรงหน้าอยู่นั้น แผ่นหยกสื่อสารในกระเป๋าคลังเก็บของเขาก็ส่งคลื่นพลังรบกวนออกมา ชายหนุ่มลดมือลง ก่อนพลิกมือขวาหยิบแผ่นหยกออกมา เขากำลังจะเปิดมันดู แต่อึดใจต่อมา หวังเป่าเล่อก็ผงกศีรษะขึ้นมาอย่างแรง ก่อนจะยกมือขวาชี้หน้าสตรีนางนั้น


“เจ้าอยากตายหรืออย่างไร”


เมื่อชายหนุ่มชี้นิ้วไป ร่างของนางก็แข็งทื่อทันที ก่อนที่ใบหน้าจะซีดขาว ราวกับว่าร่างกายของนางแปรสภาพเป็นท่อนไม้ ทำให้ไม่อาจคิดอ่านอะไรต่อไปได้ นางทำได้เพียงยืนอยู่กับที่ในขณะที่ความหมดหวังในใจเริ่มแพร่กระจายไปถึงดวงวิญญาณ นางไม่อาจซุกซ่อนความต้องการตายในดวงตาเอาไว้ได้อีกต่อไป หญิงสาวเริ่มร้องไห้ออกมา นางอยากปิดตาลงเพื่อซ่อนความอ่อนแอเอาไว้ แต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำตาม


หวังเป่าเล่อส่งเสียงในลำคอ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นคว้าอากาศ ในทันใดนั้นเอง ดวงแสงดวงหนึ่งก็ลอยออกมาจากหว่างคิ้วของสตรีนางนั้น ดวงแสงนั้นคือดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อ มันกลับมาลอยอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม


วินาทีที่ชายหนุ่มมองดูแผ่นหยกสื่อสาร เขาก็รู้สึกถึงคลื่นรบกวนของดวงจิตเทพของตนที่แผ่ออกมา สตรีที่อ้างว่าตนเองชื่อเฉินเสวี่ยเหมยนั้นต้องการปลดปล่อยดวงจิตเทพออกไปขณะที่หวังเป่าเล่อไม่ทันได้สังเกต นางไม่ได้ต้องการจะทำอันตรายชายหนุ่ม แต่เป้าหมายของนางกลับเป็น…การฆ่าตัวตาย!


นางแน่วแน่เอาการอยู่เหมือนกัน…หวังเป่าเล่อจ้องสตรีนางนั้นอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะก้มศีรษะลงมองแผ่นหยกสื่อสาร ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ส่งข้อความเสียงมาหาเขา ชายวัยกกลางคนชวนเขาไปที่โถงใหญ่เพราะมีเรื่องต้องการจะปรึกษาด้วย


หลังจากที่ตอบอีกฝ่ายไปอย่างง่ายๆ หวังเป่าเล่อก็หันกลับมามองเฉินเสวี่ยเหมยอีกครั้ง ขณะนี้ร่างกายของนางถูกเขาแช่แข็งเอาไว้ ประกายประหลาดสะท้อนขึ้นมาในดวงตาของชายหนุ่ม ความเด็ดเดี่ยวของนางทำให้เงาของสตรีนางหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ


ขณะที่ชายหนุ่มนิ่งเงียบอยู่ เขาก็โบกมือขวาก่อนจะปล่อยเฉินเสวี่ยเหมยออกมา เมื่อถูกปลดปล่อยจากพันธนาการก็ดูเหมือนว่าร่างของนางได้เสียพลังไปจนหมด นางซวนเซถอยหลังไปหลายก้าวด้วยท่าทางเจ็บปวด ร่างทั้งร่างราวกับจะวอนขอให้ชายหนุ่มสังหารนางเสียเดี๋ยวนั้น ก่อนที่จะพูดออกมาเสียงเบา


“ด้วยพลังปราณระดับท่าน โปรดอย่าทำให้ข้าอับอายเลย ข้าไม่สนใจว่าท่านจะสังหารข้าหรือไม่ หากศิษย์พี่ต้องการจะรู้เรื่องใดเกี่ยวกับอารยธรรมครามทองคำ ข้าก็จะบอกท่านตามตรง ข้าหวังเพียงแค่ว่าท่านจะให้ข้าได้มีศพที่สวยงามและได้ตายโดยที่ยังมีศักดิ์ศรีหลงเหลืออยู่!”


คำพูดนั้นแสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวอันแรงกล้าและทำให้ความรู้สึกฉงนสงสัยในแววตาของหวังเป่าเล่อเข้มข้นขึ้นไปอีก หลังจากที่นิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจ ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นโบก ร่างกายของเขาเปลี่ยนไปในพริบตา ร่างของหลงหนานจื่อสลายไป เผยให้เห็นร่างที่แท้จริงซึ่งกำลังจ้องมองไปยังเฉินเสวี่ยเหมย


“พอได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีกต่อไป ดวงจิตเทพบนกายเจ้าเป็นของข้าเอง เจ้าเป็นใครกันแน่” น้ำเสียงของหวังเป่าเล่อแสดงความสิ้นหวัง ขณะที่พูดไปนั้น เขาก็ลับดวงจิตเทพของเขาให้เฉียบคมเป็นอย่างยิ่ง เพราะชายหนุ่มต้องการสังเกตปฏิกิริยาของนาง


หวังเป่าเล่อไม่ได้เอ่ยชื่อตนเอง และไม่ได้เอ่ยชื่อคนที่เขาคาดเดาว่าเป็นนาง นั่นเพราะเขายังไม่อาจตอบข้อสงสัยในใจได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงพยายามเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงและจะตัดสินใจหลังจากที่นางได้เห็นร่างนี้แล้ว


แต่ปัญหาก็คือ…หลังจากที่เฉินเสวี่ยเหมยมองเห็นร่างจริงของหวังเป่าเล่อ แม้นางจะตะลึงไปชั่วขณะ แต่ก็ยังมีความสับสนในแววตา สิ่งนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อใจหาย


หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่หลายลมหายใจ ชายหนุ่มก็พูดขึ้น


“ข้าไม่สนใจข้อมูลเรื่องอารยธรรมครามทองคำหรือสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่ได้อยากรู้ตัวตนของเจ้าในสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน สิ่งที่ข้าอยากรู้…คือตัวตนที่แท้จริงของเจ้า!”


“ข้าไม่เข้าใจท่านเลยศิษย์พี่…ข้าไม่มีตัวตนอื่นใด ศิษย์พี่ ท่าน…คิดว่าข้าเป็นใครคนอื่นอย่างนั้นหรือ” เฉินเสวี่ยเหมยยิ่งดูสับสนเข้าไปใหญ่ นางจ้องมองร่างจริงของหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าฉงนสงสัย


เมื่อเห็นปฏิกิริยาของนางเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มจะหมดความอดทน ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืน แววตาของเขาเย็นเยียบขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะกวาดตามองเฉินเสวี่ยเหมย


“ข้าจะเตือนความจำเจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน สหพันธรัฐ!”


หลังจากที่เขาพูดเช่นนั้น เฉินเสวี่ยเหมยก็ยังคงสับสนอยู่ มีความไม่แน่ใจปรากฏขึ้นมาบนสีหน้า หลังจากที่ชั่งใจอยู่ชั่วครู่ นางก็พูดออกมาเบาๆ


“ศิษย์พี่ สหพันธรัฐ…เป็นสำนักอย่างนั้นหรือ”


“เจ้าจำข้าไม่ได้จริงๆ หรือ เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าสหพันธรัฐคืออะไร” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วก่อนจะพูดเสียงต่ำ


“ข้าไม่ทราบจริงๆ” เฉินเสวี่ยเหมยยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ทั้งจังหวะหัวใจและท่าทางของนางไม่ได้แสดงพิรุธอะไร ดูเหมือนว่านางจะไม่รู้จริงๆ


จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น


“สงสัยว่าข้าจะจำคนผิดไปจริงๆ ก่อนหน้านี้ข้าจับตัวผู้ฝึกตนต่างดาวชื่อหวังเป่าเล่อได้ เจ้าคงจะไม่รู้จักมันเช่นกัน ข้าขังเจ้าอ้วนนั่นเอาไว้และได้เรียนรู้สิ่งน่าสนใจมาหลายอย่างจากการค้นวิญญาณมัน ข้ายังกลืนวิญญาณของมันเข้าไปส่วนหนึ่งด้วย ข้าจึงสัมผัสถึงดวงจิตเทพของมันได้ เมื่อเจ้าไม่รู้จักมัน ก็ดูเหมือนว่ามันจะใช้วิชาประหลาดซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ ข้าจะไปกลืนมันทั้งตัวและทำลายทั้งร่างกายและวิญญาณของมันเสีย!”


เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็หัวเราะอย่างเยือกเย็นก่อนจะยกเท้าเตรียมก้าวออกจากห้องลับไป

 

 

 


บทที่ 871 บีบบังคับกันเกินไป!

 

หวังเป่าเล่อเข้าใจแล้วว่าไม่ว่าหญิงสาวจะเป็นใครก็ตาม หากนางยังไม่มีปฏิกิริยาหลังจากที่ชายหนุ่มได้พูดไปทั้งหมด เขาก็คงทำได้เพียงค้นวิญญาณนางเท่านั้น หากนางได้ทำร้ายหรือสังหารสหายรักของเขาไป หวังเป่าเล่อก็จะทรมานนางแน่นอน แต่หากว่าไม่ใช่ และนางเป็นหนึ่งในบรรดาเพื่อนของเขาจริงๆ หวังเป่าเล่อก็จะลบนางออกไปจากใจเสีย!


แต่เมื่อชายหนุ่มพูดจบและกำลังจะเดินออกจากห้องลับไปนั้น ร่างของเฉินเสวี่ยเหมยก็สั่นสะท้านอย่างแรง ความสับสนและไม่แน่ใจในกายนางสลายไปจนสิ้นเมื่อได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ก่อนที่นางจะเงยหน้าขึ้นอย่างแรงและจ้องมองหวังเป่าเล่อ แม้ว่านางจะอยากเงียบเอาไว้ตามสัญชาตญาณ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นการยากยิ่งที่จะควบคุม เพราะแม้แต่น้ำเสียงที่นางพูดก็ยังสั่นเครือ


“ข้ารู้จักหวังเป่าเล่อ!”


หวังเป่าเล่อหยุดเดิน มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า


“เจ้าเป็นใครกัน”


“…เจ้าเยี่ยเหมิง!” หลังจากที่เฉินเสวี่ยเหมยพูดจบ ความต้องการที่จะตายซึ่งฉายอยู่บนแววตาของนางก็รุนแรงกว่าเดิมอีกหลายเท่า นางหลุบศีรษะลงต่ำก่อนจะพูดต่อไปอย่างใจเย็น


“ข้าจะบอกทุกสิ่งที่ท่านต้องการจะรู้ ข้าจะบอกท่านทุกอย่าง แต่ได้โปรดเถิด ศิษย์พี่…ไว้ชีวิตเขาด้วย”


เมื่อได้ยินดังนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกใจสลายเล็กน้อย ชายหนุ่มยิ้มอย่างขมขื่นให้กับเจ้าเยี่ยเหมิงพลางถอนหายใจ


“เยี่ยเหมิงที่รักของข้า ข้าก็เผยใบหน้าที่แท้จริงให้เจ้าเห็นแล้วอย่างไรเล่า เจ้า…เจ้าไม่เชื่อข้าจริงๆ หรือ ข้าคือหวังเป่าเล่อ เจ้ามองไม่เห็นหรืออย่างไร” หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น ดึงกระจกออกมาส่องมองดูตนเอง หลังจากที่ตรวจดูจนแน่ใจว่าไม่ได้เปลี่ยนใบหน้าผิด ชายหนุ่มก็มีสีหน้าสิ้นหวัง


“ข้าไม่โทษเจ้าหรอก ในเมื่อข้าหล่อขึ้นมาจากอดีตมากมายขนาดนี้ เจ้าจะจำไม่ได้ก็เป็นเรื่องธรรมดา…”


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิงก็เงียบนิ่งไป


ปฏิกิริยานี้ทำเอาหวังเป่าเล่อประหม่า แต่สิ่งที่ชายหนุ่มรู้สึกอยู่ในใจนั้นต่างจากสิ่งที่แสดงออกมาทางใบหน้า เขายังคงจ้องมองเจ้าเยี่ยเหมิงต่อไป ในขณะที่ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มขื่นพาดอยู่


“เยี่ยเหมิง ข้าเองหวังเป่าเล่อ ทำไมเจ้าจึงเป็นเช่นนี้กัน ทำไมต้องซ่อนตัวด้วยเล่า ข้าจำเจ้าไม่ได้จริงๆ นะ”


เจ้าเยี่ยเหมิงเงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่ออย่างพินิจพิเคราะห์ หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก นางก็ปล่อยทักษะลึกลับออกมา ใบหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ในวินาทีถัดมา ร่างอันสะคราญจากความทรงจำของหวังเป่าเล่อก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา!


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงคลื่นรบกวนอันคุ้นเคยหลังจากที่เจ้าเยี่ยเหมิงปลดผนึกบางอย่างออกมา คลื่นรบกวนนั้นมาจากดวงวิญญาณและมีรัศมีของเขาปะปนอยู่ด้วย ในวินาทีนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็แน่ใจแล้วว่าสตรีนางนี้คือ…เจ้าเยี่ยเหมิงจริงๆ!


ชายหนุ่มตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่ง หวังเป่าเล่อยิ้มกว้างก่อนจะก้าวเข้าไปกอดเจ้าเยี่ยเหมิงแน่น แต่ทันทีที่เขาก้าวออกมา หญิงสาวก็สืบเท้าถอยไปหลายก้าว มีแววตาเยือกเย็นที่หวังเป่าเล่อจำได้ว่านางมักส่งให้คนแปลกหน้าปรากฏขึ้นในดวงตา นางเปิดเผยร่างจริงเพราะมีแผนเดียวกันนั่นคือจะทดสอบปฏิกิริยาของหวังเป่าเล่อ แม้ว่าจะไม่แน่ใจนัก แต่นางก็ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว


“ท่านคิดว่าข้าเป็นทารกสามขวบหรืออย่างไร ศิษย์พี่ ท่านคิดว่าจะหลอกข้าได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ข้าเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงและชื่อจริงของข้าไปแล้ว หากท่านอยากจะรู้อะไรมากกว่านี้ โปรดพาตัวหวังเป่าเล่อมาพบข้า!


“หากท่านอยากจะค้นวิญญาณข้าก็ตามใจ แต่ข้าขอเตือนเอาไว้อย่างหนึ่ง ศิษย์พี่ หากท่านไม่เข้าใจว่าข้าเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้อย่างไร ท่านก็ไม่มีทางปลดผนึกวิญญาณของข้าได้ และหากท่านจะใช้กำลังค้นวิญญาณข้า ท่านก็จะไม่ได้รู้สิ่งใดเลย”


หวังเป่าเล่อตะลึงไปเล็กน้อย


“ข้านี่ละหวังเป่าเล่อจริงๆ สวรรค์ ขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่เชื่อข้าอีกหรือ หลายปีมานี้เจ้าไปพบสิ่งใดมาบ้างกันแน่”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงก็เงียบไปพักใหญ่ แต่สีหน้าของนางก็ยังเย็นชา ก่อนที่จะเอ่ยปากพูดออกมาอย่างเยือกเย็นในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา


“ท่านไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเช่นนี้ต่อไปหรอก ศิษย์พี่ การจะเข้าร่วมสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ ผู้สมัครจะต้องผ่านกระบวนการค้นใจ กระบวนการนั้นสามารถสร้างภาพหลอนของคนสำคัญที่อยู่ในใจผู้สมัครและพาผู้สมัครผ่านสถานการณ์จำลองมายาเพื่อตรวจสอบว่าศิษย์คนนั้นมีแผนใดซ่อนอยู่หรือปลอมแปลงประวัติของตนมาหรือไม่ ตัวข้า…ผ่านกระบวนการนั้นมาแล้วและผ่านการทดสอบอีกด้วย


“เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่มีทางหรอกที่ข้าจะเปิดเผยสิ่งใดออกมา การที่ท่านจำข้าได้จากการมองเพียงครั้งเดียว จับตัวข้า และพาข้ามาที่นี่เพื่อถามคำถามก็หมายความได้อย่างเดียว นั่นก็คือ…ท่านได้จับตัวหวังเป่าเล่อไว้และใช้กำลังดึงเอาความทรงจำของเขาออกมา!


“ยิ่งไปกว่านั้น ท่านทำพลาดแล้ว ศิษย์พี่ ท่านดูถูกข้าเกินไป แน่นอนว่าแม้ระดับปราณของข้าจะต่ำกว่าท่านมาก แต่ดวงจิตเทพของข้านั้นแตกต่างไปจากคนทั่วๆ ไป ข้ามีความสามารถพิเศษด้านโทรจิต ผู้ใดก็ตามที่อยู่ในใจข้าจะมีรัศมีที่ข้ามองเห็นได้บนร่างกายของพวกเขา!”


“แต่ท่านไม่มีรัศมีนั้นอยู่บนกายแม้แต่น้อย ฉะนั้นหากท่านไม่พาตัวหวังเป่าเล่อมาที่นี่ ศิษย์พี่ ข้าก็คงสรุปได้อย่างเดียวว่า…หวังเป่าเล่อนั้น…ได้ตายไปแล้ว!” เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ ร่างของเจ้าเยี่ยเหมิงก็สั่นเทิ้มอย่างเกินจะควบคุม


หวังเป่าเล่อหัวเราะขื่นออกมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็ตกใจกับทักษะเฉพาะตัวของเจ้าเยี่ยเหมิง ชายหนุ่มรู้ดีว่าร่างของเขาตอนนี้เป็นเพียงอวตาร ดังนั้นก็เป็นการถูกที่จะกล่าวว่าไม่มีรัศมีใดๆ อยู่บนตัวของเขาแม้แต่น้อย แต่เพราะระดับปราณของเขานั้นแข็งแกร่งยิ่ง เกินกว่าระดับของเจ้าเยี่ยเหมิงไปไกล หากเคล็ดเวทเฉพาะตัวของนางยังใช้ได้ผลอยู่ ทักษะนี้ก็คงจะน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง


หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นกำ หยิบดวงจิตเทพที่ดึงออกมาจากร่างของเยี่ยเหมิงเอาไว้ในมือแล้วกดลงไปตรงหว่างคิ้ว ดวงจิตเทพผสานรวมเข้ากับเขาโดยดุษณี ไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย


“เจ้าเชื่อข้าหรือยัง” หลังจากทำเช่นนั้น ชายหนุ่มก็หันกลับไปมองเจ้าเยี่ยเหมิง แต่เขาไม่ได้คาดคิดว่านางจะตัวสั่นหนักขึ้นกว่าเก่าเมื่อได้เห็น อันที่จริงแล้ว สายตาของหญิงสาวที่มองมานั้นมีความเกลียดชังและบ้าคลั่งที่แทบจะฝังลึกเข้าไปในวิญญาณของเขาปรากฏอยู่ เห็นได้ชัดว่านางเข้าใจผิด คิดไปว่าหวังเป่าเล่อนั้นได้ตายไปแล้วโดยสมบูรณ์ นางคิดว่าทั้งร่างกายและทุกสิ่งทุกอย่างของชายหนุ่มถูกบุรุษผู้นี้กลืนกินและผสานรวมเป็นเนื้อเดียวกับร่างไปสิ้นแล้ว


“เจ้าอย่าเพิ่งโกรธไปเลย เยี่ยเหมิง!” หวังเป่าเล่อตกใจเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มไม่รู้จะต้องอธิบายอย่างไร ขณะเดียวกัน เพราะปฏิกิริยาของเจ้าเยี่ยเหมิง เขาจึงรู้สึกว่านางคงเอาชีวิตรอดอยู่ในอารยธรรมครามทองคำตลอดเวลาหลายปีมานี้อย่างยากลำบากมากแน่ๆ หากนางถูกเปิดโปง นางก็จะต้องตาย และอาจสร้างภาระให้สหพันธรัฐอีกทอดหนึ่งก็เป็นได้ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่นางไม่อาจเชื่อใจใครได้เลย ด้วยเหตุนี้ นางจึงต้องสร้างนิสัยระมัดระวังตัวอันสุดโต่งนี้ขึ้นมา


แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะพิสูจน์ตัวตนแล้วหลายต่อหลายครั้ง นางก็ยังระวังตัวแจ


แม้ว่าการไม่เชื่อใครเลยและเชื่อเพียงตนเองคนเดียวอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นทางเดียวที่จะรับประกันความปลอดภัยของตนได้ในต่างแดน


สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งเจ็บปวดหัวใจขึ้นไปอีก แต่ชาวหนุ่มก็เข้าใจดีว่ามันหมายถึงเจ้าเยี่ยเหมิงได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยสมบูรณ์แล้ว ในฐานะผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐ ที่มีมารดาเป็นเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารและมีบิดาเป็นผู้นำนักวิจัยวิญญาณ นางสามารถฝึกปราณต่อไปในสหพันธรัฐได้โดยปราศจากอันตราย ต่อให้ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำเรียกตัวนาง นางก็แค่ปฏิเสธไป แล้วก็คงจะไม่มีใครกล่าวโทษนางได้


แต่สุดท้าย เพราะเหตุผลบางประการ หญิงสาวก็เลือกที่จะเข้าร่วมปฏิบัติการด้วยตัวของนางเอง นี่คือความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้นางขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ในสหพันธรัฐ นางเป็นคนเช่นนี้เอง และหวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน


ในสายตาของหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิงตรงหน้าเขาในตอนนี้แตกต่างจากเจ้าเยี่ยเหมิงในความทรงจำนัก นางในตอนนี้มีเสน่ห์คล้ายมารดา หรือก็คือเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารในระดับหนึ่ง


หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากที่พยักหน้าให้เจ้าเยี่ยเหมิงที่มองมาอย่างระแวดระวัง ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นโบก ก่อนจะพาหญิงสาวเคลื่อนย้ายออกไปจากห้องลับและออกจากดวงจันทร์บริวารไป ในอึดใจต่อมา…ทั้งคู่ก็มาปรากฏอยู่บนจักรวาล หวังเป่าเล่อขยับตัวโดยไม่รอให้อีกฝ่ายถามคำถาม แล้วปลดปล่อยพลังปราณออกมา มุ่งหน้าไปยังดาวเอกดวงเนตรสวรรค์เต็มความเร็ว!


เพราะไม่มีการรบกวนของผนึกและกองทัพผู้ฝึกตนตามหลังมา หวังเป่าเล่อจึงปล่อยความเร็วออกมาได้เต็มที่ ไม่นานหลังจากนั้น ชายหนุ่มก็พาเจ้าเยี่ยเหมิงมาถึงดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ ก่อนจะพลิกกายแล้วมาปรากฏตัวอยู่ที่โลงศพซึ่งร่างจริงของเขานอนนิ่งอยู่ พวกเขาขุดดินแล้วเข้าไปอยู่ข้างๆ โลงศพภายในถ้ำ!


เมื่อไปถึง หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้พูดอะไร มีประกายประหลาดสะท้อนขึ้นมาในดวงตาขณะที่วิชาแห่งศาสตร์มืดไหลวนอยู่ในร่าง เปลวไฟสีดำแพร่กระจายออกมาขณะที่ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นทุบโลงศพอย่างรุนแรง


โลงศพสั่นไหวจากแรงทุบ ก่อนจะค่อยๆ โปร่งแสง ทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นหวังเป่าเล่อซึ่งนอนอยู่ในโลงศพได้ทันที


ร่างของนางสั่นไหวอย่างรุนแรง ร่างจริงของหวังเป่าเล่อเปิดตาขึ้นช้าๆ ต่อหน้าหญิงสาวที่จ้องมองอยู่เขม็ง


“เยี่ยเหมิง นี่คือข้าจริงๆ ด้วยเหตุผลบางอย่าง ร่างจริงของข้าตอนนี้ยังออกไปไม่ได้ ข้าใช้ได้เพียงร่างอวตารนี้เท่านั้น เพราะเหตุนี้เจ้าจึงมองไม่เห็นรัศมีด้วยทักษะเฉพาะตัวของเจ้า”


“เป่าเล่อ!” เจ้าเยี่ยเหมิงยังคงตัวสั่น นางปิดตาลงเพื่อสัมผัสรัศมีของอีกฝ่าย หลังจากนั้นน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม มันเป็นน้ำตาแห่งความตื่นเต้นและปีติ


“ไม่ต้องร้องนะ ข้าอยู่ตรงนี้” ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อเศร้าใจเล็กน้อย ขณะที่จ้องมองไปยังร่างจริงในโลงแล้วหันกลับไปหาเจ้าเยี่ยเหมิง ผู้ที่สนใจเพียงร่างจริงของเขาเท่านั้น จู่ๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกตกหลุมรักนางขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

 


บทที่ 872 จักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝั่...

 

เจ้าเยี่ยเหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกขณะที่จ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อในโลงศพโปร่งใส ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ


“เมื่อใดเจ้าจึงจะออกมาได้เล่า”


หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งรู้สึกเศร้าใจเป็นยิ่งนักไม่ได้ให้ร่างจริงพูด แต่กลับให้ร่างอวตารกระแอมกระไออยู่ด้านหลัง เมื่อเจ้าเยี่ยเหมิงซึ่งไม่มีทางเลือกหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าแปลกแปร่ง ชายหนุ่มก็พูดออกมาอย่างลิงโลดใจ


“ในไม่ช้านี้แล้ว ตามที่ศิษย์พี่ของข้าพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ข้าจะต้องได้ออกมาเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงก็จ้องมองร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะหันกลับไปมองร่างจริงซึ่งนอนราบอยู่ในโลง ที่กำลังกะพริบตาใส่นางพร้อมรอยยิ้มทะเล้นบนใบหน้า นางรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อยก่อนจะหันไปจ้องมองร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ


“เจ้านี่เหลือเกินจริงๆ ในเมื่อเจ้าเองก็คือหวังเป่าเล่อ ทำไมถึงไม่บอกข้าตั้งแต่แรก!”


“ข้าบอกแล้ว” ชายหนุ่มพูดก่อนจะยิ้มอย่างเพลียๆ


“เจ้าไม่ได้บอก!” เจ้าเยี่ยเหมิงจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็งก่อนจะพูดอย่างแน่วแน่


“ข้าบอกแล้วจริงๆ… ข้าถึงขนาดเปลี่ยนหน้ากลับไปเป็นหน้าเดิมด้วยซ้ำ เจ้าลืมเสียแล้วหรือ สวรรค์ เจ้านี่นะ…” หวังเป่าเล่อยกมือตบหน้าผากหลังจากพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะช่วยให้หญิงสาวจำเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไปได้


“เจ้าตะโกนใส่ข้า หวังเป่าเล่อ เจ้าเปลี่ยนไป!” เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม นัยน์ตาของเจ้าเยี่ยเหมิงก็แดงก่ำขึ้นมาทันที


แววตาของหวังเป่าเล่อดูสับสนขณะที่จ้องมองเจ้าเยี่ยเหมิงอย่างเหม่อลอย ชายหนุ่มกำลังคิดหาทางจะอธิบายว่าเขาไม่ได้ตะโกน แต่จู่ๆ ร่างกายของเขาก็หยุดชะงัก พลันนึกไปถึงประสบการณ์และความรู้ที่เขาได้รับมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ และนึกไปถึงความระมัดระวังตัวของเจ้าเยี่ยเหมิง เมื่อนางสงสัยว่าตัวเขากำลังตกอยู่ในอันตราย นางจะละทิ้งทุกอย่างและยอมทำทุกทางเพื่อช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ภาพนั้นทำให้หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึก นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขณะที่ชายหนุ่มเคลื่อนตัวไปกอดเจ้าเยี่ยเหมิงเอาไว้ ร่างกายของนางสั่นเทา เขายกมือลูบผมนางเบาๆ ก่อนจะพูดออกมา


“เยี่ยเหมิง ข้าขอโทษ ข้ามาถึงช้าเกินไป เล่าเรื่องความยากลำบากที่เจ้าได้เผชิญให้ข้าฟังทีเถอะ”


ขณะที่ชายหนุ่มพูดไปนั้น ร่างของเจ้าเยี่ยเหมิงก็ค่อยๆ อ่อนลง นางไม่ส่งเสียงดังโวยวายอีกต่อไป ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะเลิกระมัดระวังตัว ก่อนที่นางจะกอดหวังเป่าเล่อแน่นก่อนพึมพำออกมาแผ่วเบา


“เป่าเล่อ ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง…ไม่ใช่ความฝันใช่หรือไม่…”


“ไม่ใช่ความฝันแม้แต่น้อย ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง!”


นอกถ้ำมีท้องฟ้ายามค่ำคืนบนดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ ภายในถ้ำมีประกายไฟสลัวสะท้อนอยู่บนก้องหิน ราวกับเป็นเปลวเทียนภายใต้นภายามราตรี แสงนั้นกลายเป็นความอบอุ่นที่แผ่ปกคลุมร่างทั้งสองที่กอดกันอยู่ภายใน แสงเงาที่สะท้อนอยู่บนกำแพงเริ่มหยุดสั่นไหว ดูราวกับเป็นสัญลักษณ์ของหัวใจพวกเขาทั้งสองที่พาให้สิ่งรอบข้างเงียบงันไปจนหมด


ภาพนี้ควรจะเป็นฉากที่นุ่มนวลชวนฝัน แต่หวังเป่าเล่อ ผู้ที่กำลังกอดเจ้าเยี่ยเหมิงอยู่นั้น ก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้เมื่อมองเห็นฉากนั้นผ่านสายตาร่างจริงของเขาเอง


รู้สึกเหมือนมีใครคนอื่นกอดเจ้าเยี่ยเหมิงอยู่เลย…ไม่สิ ข้าจะคิดแบบนั้นไม่ได้ ร่างอวตารก็คือตัวข้าเช่นกัน หวังเป่าเล่อกระแอมกระไออยู่ในใจก่อนจะรีบกวาดเอาความรู้สึกยุ่งเหยิงออกไปจากใจแล้วมุ่งมั่นกับการกอดเจ้าเยี่ยเหมิงแทน มือขวาของชายหนุ่มเลื่อนลงจากสะโพกของนางอย่างแนบเนียน…แล้วเขาก็หยิกนางอย่างไม่ได้ตั้งใจ


“หวังเป่าเล่อ ทำแบบนี้ไม่น่ารักเอาเสียเลยนะ” เสียงของเจ้าเยี่ยเหมิงที่ตอนนี้ใจเย็นลงมากแล้วดังขึ้น


“หา? ข้าทำอะไรหรือ” หวังเป่าเล่อถึงกับตะลึงก่อนจ้องมองเจ้าเยี่ยเหมิงอย่างไม่เข้าใจ


“มือเจ้า…” เจ้าเยี่ยเหมิงเงียบนิ่งอยู่หลายลมหายใจ ดูเหมือนนางต้องพยายามอย่างหนักที่จะพูดต่อไปอย่างใจเย็น


เมื่อได้ยินหญิงสาวพูด หวังเป่าเล่อก็ดูเหมือนจะเพิ่งเข้าใจ ชายหนุ่มทำสีหน้าสงสัยก่อนยกนิ้วเท้าขึ้น ลอบมองไปที่มือของเขาซึ่งอยู่ที่หลังของเจ้าเยี่ยเหมิง หลังจากนั้นจึงกระแอมกระไอออกมา


“ร่างอวตารของข้าเสียการควบคุมไปเล็กน้อย ข้าคงจะฝึกปราณมาไม่ดีเอง”


เจ้าเยี่ยเหมิงจ้องมองหวังเป่าเล่อแต่ไม่ได้โกรธ กลับกันนางปัดปอยผมไปหลังหูขณะตั้งสมาธิไปยังหวังเป่าเล่อแล้วพูดออกมาเบาๆ


“เป่าเล่อ ทำไม…เจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” เจ้าเยี่ยเหมิงตกใจเป็นอย่างยิ่งที่หวังเป่าเล่อจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่นางไม่เชื่อใจชายหนุ่มก่อนหน้านี้และรู้สึกสองจิตสองใจอยู่นาน ในความทรงจำของนาง หวังเป่าเล่อควรยังอยู่ที่สหพันธรัฐ


เพราะอย่างไรเสีย นางก็จำได้ชัดเจนว่าชายหนุ่มไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการนกนางแอ่นดำ เหตุผลของเรื่องนั้นง่ายมาก…มารดาของนางพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าหวังเป่าเล่อ…ได้รับการยืนยันแล้วว่าจะถูกฝึกปรือให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของสหพันธรัฐคนต่อไป ไม่มีทางเลยที่สหพันธรัฐจะส่งเขาไปทำภารกิจที่อันตรายถึงเพียงนั้น


หากใครคนอื่นถาม หวังเป่าเล่อก็จะไม่ตอบตามจริง แต่เมื่อเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นคนถาม ชายหนุ่มจึงได้แต่ทอดถอนใจ


“เราอย่าพูดเรื่องนั้นกันเลยนะ เจ้าไม่รู้… ว่าข้ามีศิษย์พี่ใหญ่อยู่คนหนึ่ง เป็นคนที่ไม่น่าเชื่อใจนัก เขาบอกข้าว่าจะพาข้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อแสวงหาโอกาส แต่สุดท้ายแล้ว…” ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่หวังเป่าเล่ออยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แม้เขาจะดูเหมือนมีสถานะใหญ่โต แต่ก็ชัดเจนว่าในอารยธรรมนี้ ชายหนุ่มยังเป็นเพียงคนนอก


บ้านของเขาคือโลกมนุษย์ และเมื่อมาอยู่ที่นี่ จึงเป็นการยากที่ชายหนุ่มจะไม่คิดถึงบ้าน มีหลายสิ่งที่ไม่อาจพูดคุยกับใครได้ แม้จะได้พบจั่วอี้เซียนก่อนหน้านี้ แต่ชายผู้นั้นก็ไม่ใช่คนที่น่าเชื่อถือพอ หวังเป่าเล่อจึงไม่เชื่อใจเขาอยู่นั่นเอง แต่หลังจากที่ได้ยินคำถามของเจ้าเยี่ยเหมิง ชายหนุ่มก็เล่าให้นางฟังเรื่องประสบการณ์ของเขาหลังจากที่มาถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แห่งนี้


ขณะที่ฟังเรื่องของหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของเจ้าเยี่ยเหมิงก็เบิกโพลง ปากของนางอ้าค้าง ยิ่งหวังเป่าเล่อเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ความตื่นเต้นในแววตาของหญิงสาวก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น


“ช้าก่อน…เจ้าจะบอกว่า เจ้าได้เป็นถึงผู้อาวุโสชั้นสูงของสำนักเล็กๆ หลังจากที่มาที่นี่ จากนั้นเจ้าก็ไปมีปัญหากับสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำแล้วเข้าไปสมาชิกสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แล้วก็ออกไปทำภารกิจของปรมาจารย์แห่งไฟ และได้สังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายกับระดับดาวพระเคราะห์ด้วย


“จากนั้นเจ้าก็กลับมา…แล้วได้เป็นราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ เป็นผู้นำของดวงวิญญาณอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นับล้านและจักรพรรดิขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสิบสอง แม้ว่าระดับปราณของเจ้าจะอยู่เพียงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย แต่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทั่วๆ ไปก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ”


ลมหายใจเจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มไม่สม่ำเสมอขณะที่นางจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างไม่อยากเชื่อ แม้ว่านางจะเคยเห็นความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อบนสนามรบมาก่อน แต่นางก็ไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก ขณะนี้เมื่อหญิงสาวเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ความตื่นเต้นตกใจของนางก็พุ่งสูงถึงขีดสุด นางมองเห็นหวังเป่าเล่อพยักหน้าด้วยท่าทางภูมิใจในตนเอง เจ้าเยี่ยเหมิงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาหลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ก่อนที่จะจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าแปลกแปร่ง


“เป่าเล่า…โชคชะตาของเจ้านั้น…”


“ข้าบอกเจ้าไปแล้ว ว่าข้าเป็นผู้ได้รับเลือกจากสวรรค์และดวงดีเป็นที่สุด แต่เจ้าก็ยังไม่เชื่อข้า จบเรื่องของข้าแล้ว เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังบ้าง ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำที่เจ้าได้รับมอบหมายคือต้องไปที่อารยธรรมครามทองคำอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิ ไม่ได้ซุกซ่อนความภูมิใจเอาไว้อีกต่อไป แต่เมื่อคิดถึงความรู้สึกของเจ้าเยี่ยเหมิง ชายหนุ่มก็กระแอมกระไอออกมาก่อนจะถามเรื่องของนางบ้าง


เจ้าเยี่ยเหมิงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี หญิงสาวจ้องมองหวังเป่าเล่อ ฉากการพบหวังเป่าเล่อเป็นครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ณ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของนาง หลังจากนั้น ภาพนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นหวังเป่าเล่อผู้ที่เขย่าฟ้าดินและผ่านการทดสอบจากบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ


ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นทำให้แววตาของเจ้าเยี่ยเหมิงอ่อนลง หลังจากที่นางสลัดประกายแสงแห่งความสงสัยในใจทิ้งไป หญิงสาวก็เริ่มเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้หวังเป่าเล่อฟัง


ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำของสหพันธรัฐในตอนนั้นมีไพ่ตายลับซ่อนอยู่ ไพ่ตายที่ว่าคือการให้ร่างกายใหม่กับผู้ฝึกตนทุกคนที่ไปปฏิบัติภารกิจและทิ้งส่วนหนึ่งของวิญญาณพวกเขาไว้บนโลกด้วยความช่วยเหลือจากนักวิจัยวิญญาณและสำนักวังเต๋าไพศาล หากทำเช่นนั้น พวกเขาก็สามารถรับประกันได้ว่า แม้พวกเขาจะเสียชีวิตในที่อื่นใดก็ตามแต่ พวกเขาก็จะถูกชุบชีวิตกลับมาบนโลกได้อีกครั้งหนึ่ง


ในขณะเดียวกัน ร่างกายบนโลกที่มีวิญญาณผสานอยู่ด้วยจะถูกปลุกขึ้นมาเป็นครั้งคราวและป้อนข้อมูลที่พวกเขาได้รับมาให้สหพันธรัฐ แผนนี้ควรเป็นความลับสุดยอด และมีเพียงผู้นำแห่งสหพันธรัฐกับปรมาจารย์สำนักวังเต๋าไพศาลเท่านั้นที่สามารถล่วงรู้ข้อมูลและออกคำสั่งได้ และระบบดาวฤกษ์ที่เจ้าเยี่ยเหมิงไปตามแผนนั้นก็คืออารยธรรมครามทองคำนั่นเอง


อันที่จริงแล้ว หลังจากที่เข้าไปในซากปรักหักพังซึ่งเป็นเป้าหมายบนโลก ก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะได้ยังไปที่ใด เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็เพิ่งรู้เมื่อนางมาปรากฏตัวที่อารยธรรมครามทองคำว่า คนเหล่านี้แข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ฝึกตนบนโลกมากนัก


ตามความเข้าใจของนางเอง ผู้ฝึกตนที่เก่งที่สุดบนโลกคือหวังเป่าเล่อ แต่ชายหนุ่มอยู่เพียงขั้นเชื่อมวิญญาณเท่านั้น แต่ในอารยธรรมครามทองคำ…ขั้นเชื่อมวิญญาณนั้นไม่มีความหมายใดๆ สักนิด พวกเขาไม่ถูกนับว่าเป็นขุนพลด้วยซ้ำ มีเพียงระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ถูกเรียกว่าขุนพล อารยธรรมครามทองคำยังมีผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ซึ่งอยู่เหนือระดับดาวพระเคราะห์ขึ้นไปด้วย และไม่ได้มีคนเดียว แต่มีถึงสามคน! ทั้งสามนั้นถือสันโดษมาเป็นเวลาเนิ่นนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรมาจารย์ครามทองคำ แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้อยู่ในระดับดาราจักร แต่ตำนานก็เล่าขานกันว่าอีกเพียงครึ่งก้าวเขาก็จะบรรลุถึงระดับดาราจักรได้แล้ว!


ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ทั้งสาม เหมือนเป็นลูกไฟอันร้อนแรงที่ล้อมรอบอารยธรรมครามทองคำเอาไว้ พวกเขาทำให้อารยธรรมครามทองคำกลายมาเป็นผู้นำในดาราจักรที่สิบเก้าภายในจักรพิภพเต๋าฝั่งซ้ายภายใต้ดาราจักรไม่รู้สิ้น


“จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้ายหรือ ดาราจักรลำดับที่สิบเก้าอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อตกตะลึง

 

 

 


บทที่ 874 ขอยืมถ้อยคำมงคลจากแม่นางน้อย!

 

“สำหรับระดับที่สาม…ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนทั่วไปจะหามาครอบครองได้ สิ่งนั้นได้แก่…ดาวเคราะห์อมตะ ดาวเคราะห์ประเภทนี้โดยทั่วไปแล้วเป็นดาวเคราะห์กลายพันธุ์หลังจากที่ความเข้มข้นของปราณวิญญาณภายในนั้นถึงจุดสูงสุด และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของท้องฟ้าและผืนแผ่นดินไป ส่งผลให้ทุกๆ อย่างบนดาวเคราะห์ถูกผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นดาวเคราะห์ที่งดงามคล้ายดาวเสาร์!


“ดาวเคราะห์เหล่านั้นเต็มไปด้วยปราณวิญญาณที่อัดแน่นอยู่ภายใน ช่างน่าเสียดาย แม้ว่าดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ที่เต็มไปด้วยก๊าซ แต่ก๊าซนั้นไม่ใช่ปราณวิญญาณ…และเพราะดาวเคราะห์เช่นนั้นมนุษย์สามารถสร้างได้เอง พวกมันจึงกลายมาเป็นดาวเคราะห์ทำพิเศษที่ฝ่ายการเมืองและตระกูลใหญ่ใช้เพื่อหล่อเลี้ยงผู้ถูกเลือกของตนเอง!


“และผู้ที่ผสานรวมกับดาวเคราะห์อมตะจะก้าวเข้าสู่ระดับดาวพระเคราะห์ด้วยพลังยุทธ์ที่เหนือกว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ด้วยกัน และยังมีความเป็นไปได้ว่าการก้าวเข้าสู่ระดับดารานิรันดร์ในอนาคตจะก้าวไกลไปกว่าผู้ที่ผสานรวมกับดาวเคราะห์วิญญาณมากนัก


“นี่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ว่าทำไมผู้ที่ถูกเลือกจึงแข็งแกร่งกว่าคนอื่นมากนัก อารยธรรมครามทองคำในปัจจุบันมีระบบอุปถัมภ์เช่นเดียวกันกับโลกมนุษย์ ยิ่งพวกเขาเป็นชนชั้นสูงเท่าใด บุตรหลานของพวกเขาก็จะได้รับการอมรมสั่งสอนและทรัพยากรที่เหนือกว่าคนอื่นอย่างเทียบกันไม่ได้ตั้งแต่แรกเกิด เพราะฉะนั้น จึงมีโอกาสมากกว่าที่จะขึ้นมาเป็นชนชั้นสูงต่อไป”


เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงก็ถอนหายใจเบาๆ หญิงสาวจำได้ถึงตอนที่นางคิดไปว่าดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์อมตะเมื่อครั้งได้เรียนรู้ข้อมูลนี้เป็นครั้งแรก แต่แล้วก็ต้องผิดหวังในตอนท้าย


“แล้วระดับต่อไป หลังจากดาวเคราะห์อมตะเล่า” ประกายประหลาดฉายวับขึ้นมาในแววตาของหวังเป่าเล่อขณะที่ชายหนุ่มเอ่ยถามทันที


“หลังจากดาวเคราะห์อมตะก็คือ…สิ่งที่ข้าพูดถึงไปก่อนหน้านี้…ดาวเคราะห์พิเศษที่มีอยู่ในสุสานดวงดาราอย่างไรเล่า!” เจ้าเยี่ยเหมิงจ้องมองหวังเป่าเล่อและไม่ได้ซ่อนความไม่แน่ใจในความคิดของตนที่ปรากฏขึ้นบนแววตาแม้แต่น้อย หญิงสาวเงียบนิ่งไปอึดใจใหญ่ก่อนจะพูดขึ้นมาเบาๆ


“ข้ารู้สึกว่าอารยธรรมของเราบนโลกนั้นประหลาดอยู่สักเล็กน้อย การที่เราตั้งชื่อดาวเคราะห์ของเราห้าดวงตามธาตุทั้งห้านั้นแปลกอย่างยิ่ง…เพราะดาวเคราะห์ที่พิเศษเหล่านั้นเป็นตัวแทนของสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่ได้ พวกมันมีพลังตามธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ธาตุทั้งห้า เหล็ก ไม้ น้ำ ไฟ และดิน ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของพลังธรรมชาติ…”


ตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลง ชายหนุ่มจำได้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์เคยบอกความคิดของตนกับเขาเกี่ยวกับเรื่องผู้ฝึกตนที่หายตัวไปจากบนโลกเมื่อหลายปีมาแล้ว


“และเมื่อกฎเกณฑ์บนดาวเคราะห์พิเศษผสานรวมกับผู้ฝึกตนเมื่อใด ก็มีโอกาสราวร้อยละเก้าสิบที่เขาจะ…ก้าวขึ้นมาเป็นระดับดารานิรันดร์ที่ยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต!” เจ้าเยี่ยเหมิงส่ายหน้าเพื่อไล่ความฉงนสงสัยเกี่ยวกับโลกมนุษย์ออกไปจากใจ ก่อนจะพูดต่อไป


“ดาวเคราะห์เหล่านั้น…หาได้ยากยิ่ง กระทั่งในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น พวกมันมีอยู่แค่…ภายในสุสานดวงดาราเท่านั้น ดาวเคราะห์พิเศษดวงเดียวก็อาจทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นต่อสู้กันจนถึงตายได้!”


“ดาวเคราะห์พิเศษที่มีพลังธรรมชาตินั้น…” เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ ลมหายใจของหวังเป่าเล่อก็เริ่มขาดช่วง ตอนแรกชายหนุ่มไม่รู้มาก่อน แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว และจะไม่มีทางพอใจแค่ได้ผสานรวมกับดาวเคราะห์ทั่วไปหรือดาวเคราะห์วิญญาณเป็นแน่ ต่อให้หวังเป่าเล่อไม่สามารถหาดาวเคราะห์พิเศษได้ เขาก็จะพยายามหาดาวเคราะห์อมตะ เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาจึงหันไปมองเจ้าเยี่ยเหมิงและเห็นว่านางอยากจะพูดแต่ก็หยุดไปเสียก่อน


หวังเป่าเล่อถามอย่างสงสัย “มีอะไร หรือมีสิ่งที่ดีกว่าดาวเคราะห์พิเศษอีก”


เจ้าเยี่ยเหมิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น


“ตำนานว่าเอาไว้ว่ามีระดับที่ห้าอยู่เช่นกัน มันเป็นดาวเคราะห์พิเศษที่มีกฎเฉพาะตัว กฎส่วนมากในดาวเคราะห์พิเศษมีอยู่บนดาวเคราะห์พิเศษส่วนใหญ่ แต่มีดาวเคราะห์ประเภทหนึ่งที่…กฎของมันนั้นเฉพาะตัว มีเพียงเมื่อดาวเคราะห์ดวงนั้นตายลงเท่านั้น อีกดวงหนึ่งจึงจะถือกำเนิดขึ้นในจักรวาลได้ ดาวเคราะห์ประเภทนั้นก็คือ…ดาวเคราะห์เต๋า!”


เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็ลุกโชน หลังจากกระแอมกระไอออกไป ชายหนุ่มก็ใช้ร่างหลักไปสลายดวงจิตเทพและคุยกับแม่นางน้อยในหน้ากากดำที่อยู่ในแขนของร่างหลัก


“แม่นางน้อย ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นอยู่ เจ้าคิดว่าข้าจะผสานรวมกับดาวเคราะห์เต๋าในตำนานได้หรือไม่”


“เจ้าฝันเฟื่องดีนี่ หากเจ้าผสานรวมกับดาวเคราะห์เต๋าได้ล่ะก็ ข้าจะ…” แม่นางน้อยพูดออกไปโดยสัญชาตญาณ แต่ก็ต้องหยุดกลางคัน


“ขอบคุณมากสำหรับถ้อยคำมงคล แม่นางน้อย ฮะฮ่า ข้าค่อยคลายใจหน่อย” เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ลิงโลดใจขึ้นมาทันที ชายหนุ่มสังเกตว่า ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่มีสิ่งซึ่งแม่นางน้อยบอกว่าเขาจะทำไม่ได้ เขาก็จะทำได้แน่นอน


แม่นางน้อยถึงกับจนถ้อยคำ


“เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ แม่นางน้อย” หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนวได้ยินนางพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่ชัดเจนนัก จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย


“ไปให้พ้น ข้าเหนื่อย ข้าจะนอนแล้ว” แม่นางน้อยพูดอย่างอ่อนแรง ความหงุดหงิดใจนั้นเหลือจะกล่าว ในแง่หนึ่ง คำพูดของหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ก็สมควรถูกตำหนิ แต่อีกแง่ นางก็นึกไปถึงประสบการณ์ของนางในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แล้วก็ได้แต่รู้สึกเศร้าสร้อย


หลังจากที่กลั่นแกล้งแม่นางน้อยต่อหน้าเจ้าเยี่ยเหมิงแล้ว หวังเป่าเล่อก็กระแอมกระไอเมื่อได้เห็นแววตาสงสัยจากหญิงสาว


“ข้ามีเป้าหมายแล้ว ข้าจะมุ่งหน้าตามหาดาวเคราะห์เต๋า นอกเสียจากว่าข้าจะเข้าไปในสุสานดวงดาราไม่ได้ ข้าจะต้องเอาดาวเคราะห์เต๋ามาเป็นของตัวเองให้จงได้” หวังเป่าเล่อกะพริบตา ในความเป็นจริงแล้ว ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นแม้แต่น้อย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาเลิกยกหางตนเองเช่นเคย


เจ้าเยี่ยเหมิงเข้าใจหวังเป่าเล่อและส่ายหน้าหลังจากที่ได้ยิน หญิงสาวไม่คิดว่าหวังเป่าเล่อไม่มีหวังจะได้ครอบครองดาวเคราะห์เต๋า แต่นางก็ต้องบอกหวังเป่าเล่อถึงข้อมูลเรื่องจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่ได้รู้มาตอนอยู่ในอารยธรรมครามทองคำ


“เป่าเล่อ จำนวนของทางเข้าเปลี่ยนไปทุกๆ ครั้งที่สุสานดวงดาราเปิดขึ้น บางครั้งก็มีมากมายหลายแห่ง บางครั้งก็มีน้อยนิด สิ่งสำคัญก็คือการหาสิทธิ์ในการเข้า อาจจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฝ่ายการเมืองหรือตระกูลใหญ่ๆ ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แต่สำหรับเราแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย” เจ้าเยี่ยเหมิงทอดถอนใจ หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะต้องยอมรับว่าขณะที่ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำดำเนินไปและเมื่อนางได้เรียนรู้เรื่องจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นมา ในขณะที่เจ้าเยี่ยเหมิงรู้สึกขมขื่นใจกับความอ่อนแอของโลกมนุษย์เมื่อนางหันหลังมองกลับไป นางก็รู้สึกขุ่นเคืองใจไม่น้อยเช่นกัน


ไม่ใช่โกรธเพื่อตนเอง แต่โกรธแทนอารยธรรมของนาง หญิงสาวหวังว่าโลกมนุษย์จะก้าวขึ้นมากยิ่งใหญ่ และนางก็จะยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อให้สิ่งนั้นเป็นจริงขึ้นมา


“แม้กระทั่งอารยธรรมครามทองคำ ซึ่งเป็นอารยธรรมยิ่งใหญ่ในดาราจักรลำดับที่สิบเก้าภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้ายก็ยังไม่มีสิทธิ์ แต่ตำนานก็ว่าไว้ว่าอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มีสิทธิ์ ดังนั้นก็เป็นที่แน่ชัดว่าทุกคนต้องการทั้งกำลังและโชคเพื่อที่จะได้สิทธิ์มา”


“ฉะนั้นทุกครั้งที่สุสานดวงดาราเปิดขึ้น ก็จะมีการนองเลือดครั้งใหญ่ภายใน เพราะทุกฝ่ายการเมืองและตระกูลใหญ่ในบริเวณใกล้เคียงจะไปรวมตัวกันที่นั่น ทำให้สุสานดวงดารากลายเป็นสถานที่ที่พวกเขาจะเลี้ยงดูบุตรและอัจฉริยะขึ้นมา อันที่จริงแล้ว อัจฉริยะบางคนถึงกับกดระดับปราณของตนไม่ยอมบรรลุสู่ระดับดาวพระเคราะห์ เพื่อจะรอให้สุสานดวงดาราเปิดขึ้นเพื่อมองหาโอกาสในนั้นแทน สำหรับคนเหล่านั้น…แม้ว่าระดับปราณจะไม่ถึงระดับดาวพระเคราะห์ แต่พื้นฐานของพวกเขาก็ทำให้พวกเขาสามารถรับมือกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้สบายๆ!” เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงก็ต้องกดข่มความเกรี้ยวกราดในใจเอาไว้ เมื่อนางจ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อ แม้ว่าจะรู้ว่าชายหนุ่มยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ก็ยังมีความกังวลสะท้อนอยู่ในแววตานาง


จังหวะเวลาของความรู้สึกกังวลนี้แปลกมาก เพราะอย่างไรเสีย หวังเป่าเล่อก็ยังไม่มีสิทธิ์เข้าสุสาน และหากคิดตามสามัญสำนึก ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายหนุ่มจะได้รับสิทธิ์มาจากอารยธรรมครามทองคำ แต่หญิงสาวก็มีความรู้สึกแปลกๆ ว่า…การที่หวังเป่าเล่อจะเข้าไปในสุสานดวงดารานั้นไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้


หลังจากที่ความคิดนั้นปรากฏขึ้นมาในใจนาง และขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังสงสัยเมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง


“ตามความเข้าใจของข้า สุสานดวงดาราจะเปิดหนึ่งครั้งในรอบหลายร้อยปี และตามการคาดเดาของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์…ครั้งต่อไปที่มันจะเปิดก็คือในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่รายละเอียดทุกอย่างยังไม่มีใครรู้ และเพราะเหตุนั้น อารยธรรมครามทองคำจึงหมายตาจุดเปิด ณ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์”


เมื่อฟังมาถึงจุดนี้ หวังเป่าเล่อก็อดพูดไม่ได้


“เยี่ยเหมิง เจ้าเป็นใครในสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เจ้าได้ข้อมูลทั้งหมดนี้มาได้อย่างไรกัน” หวังเป่าเล่อสงสัยเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าอารยธรรมครามทองคำจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าโลกมาก ชายหนุ่มก็ยังอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ โอกาสที่ข้อมูลซึ่งเขาไม่อาจรับรู้ได้ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะกลายมาเป็นข้อมูลทั่วไปในอารยธรรมอื่นๆ นั้นไม่สูงนัก


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดว่าเจ้าเยี่ยเหมิงรู้เยอะมาก การจะได้ข้อมูลเหล่านี้มาโดยที่มีระดับปราณเท่านางนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน


“อาจารย์ของข้าเป็นผู้อาวุโสลำดับสามในสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และระดับปราณของนางอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ ข้าเป็นศิษย์คนเดียวของนางตลอดหลายปีมานี้ อาจารย์ของข้าไม่ได้มาด้วยในครั้งนี้เพราะนางผสานรวมกับดาวเคราะห์วิญญาณและกำลังพยายามถือสันโดษเพื่อบรรลุขั้น” ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าเยี่ยเหมิงสามารถปกปิดจากหวังเป่าเล่อได้ นางจึงอธิบายทุกอย่างที่ชายหนุ่มสงสัย


หวังเป่าเล่อพยักหน้าก่อนจะถามขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง


“เจ้าเพิ่งพูดไปเดี๋ยวนี้ว่าอารยธรรมครามทองคำหมายตาเครื่องหมายของราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ แต่หากจะพูดกันตามหลักการแล้ว ด้วยกำลังของอารยธรรมครามทองคำ พวกเขาสามารถจะชิงเอาไปตรงๆ เลยก็ได้ ทำไมต้องวุ่นวายร่วมมือกันด้วยเล่า เพราะเครื่องหมายนั้นไม่อาจได้มาตรงๆ เช่นนั้นหรือ”


เมื่อได้ยินคำถามของหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิงก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ดวงตาของนางทอประกายแวววาว

 

 

 


บทที่ 875 จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์!

 

“เป่าเล่อ สิ่งที่เจ้าพูดมานั้นถูกต้องแล้ว แม้ว่าข้าจะไม่รู้รายละเอียด แต่ข้าก็รู้ว่าเครื่องหมายบอกตำแหน่งของอารยธรรมครามทองคำนั้น คนภายนอกไม่สามารถชิงไปได้ จักรพรรดิองค์แรกแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้มันมาโดยบังเอิญ และจะถูกส่งต่อได้ก็ต่อเมื่อราชวงศ์ยอมส่งมอบให้ด้วยความเต็มใจเท่านั้น สำหรับอารยธรรมครามทองคำแล้ว การช่วยราชวงศ์ทำลายสำนักใหญ่ทั้งสามเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ยอมเสียสละมากมายเพียงเพื่อผลประโยชน์หยิบมือซึ่งส่งผลต่อโอกาสในการเข้าสู่สุสานดวงดาราแน่


“ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจเป็นพันธมิตรและร่วมมือกับราชวงศ์”


เมื่อฟังมาถึงตรงนี้และผนวกกับข้อมูลเดิมที่ชายหนุ่มรู้อยู่แล้ว หวังเป่าเล่อก็เริ่มเข้าใจเหตุผลในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่เมื่อเขาคิดไปถึงเรื่องที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ซึ่งชายหนุ่มเห็นว่าอยู่ในกำมือตนแล้ว กำลังจะถูกแย่งชิงไป หวังเป่าเล่อก็อดรู้สึกโกรธไม่ได้ เขากำลังชั่งใจอย่างหนัก


“อารยธรรมครามทองคำมีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สักกี่คนกัน” หวังเป่าเล่อรีรออยู่ก่อนจะถามอีกครั้ง


“ในอารยธรรมครามทองคำมีสำนักใหญ่อยู่ห้าสำนักด้วยกัน สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในลำดับที่ห้า มีระดับดาวพระเคราะห์สามคน หากนับรวมกันทั้งอารยธรรมก็คงมีอยู่ราวๆ สิบแปดคนด้วยกัน!” เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิงก็ถอนใจเบาๆ ก่อนจะพูดต่อไป


“ตามแผน พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่เป็นระลอก แต่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ ส่งผลให้ประตูดารานิรันดร์ไม่อาจเปิดได้เต็มที่ ทำให้อารยธรรมครามทองคำจุติลงมาพร้อมกันทั้งหมดไม่ได้…” เมื่อพูดถึงตรงนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงก็เหลือบตาไปมองหวังเป่าเล่อเหมือนว่ารู้คำตอบอยู่ในใจแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น


“หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้มาจุติระลอกแรก เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่การกำจัดสามสำนักใหญ่ด้วยตนเอง แต่มาเพื่อเปิดประตูดารานิรันดร์อีกครั้งที่นี่ เพื่อให้การจุติระลอกสองสะดวกยิ่งขึ้น จากนั้นพวกเขาจึงจะกำจัดสามสำนักใหญ่ด้วยกันแล้วค่อยวางแผนการเข้าสู่สุสานดวงดารา”


หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ชายหนุ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จึงต้องถอยไปยังดารานิรันดร์หลังจากพ่ายศึกที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ แม้หลังจากได้รู้ข้อมูลหวังเป่าเล่อจะรู้สึกว่าอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะต้องถูกกำจัดไป แต่ความไม่สบอารมณ์ในใจก็ผลักดันให้เขาไม่ยอมแพ้ ชายหนุ่มควรจะลองสู้ดูเมื่อยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้


เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจเข้าลึก


“เยี่ยเหมิง เจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ เมื่อทุกอย่างจบลง ข้าจะพาเจ้ากลับไปยังโลกให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!”


การถูกหวังเป่าเล่อจับตัวมาต่อหน้าศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก ทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงเข้าใจดีว่า ต่อให้นางกลับไปและมีอาจารย์คอยช่วยปกป้อง ก็คงเป็นการยากที่นางจะอธิบายได้ว่ารอดมาได้อย่างไร หญิงสาวจึงพยักหน้ารับ หวังเป่าเล่อเมื่อเห็นดังนั้นก็พาเจ้าเยี่ยเหมิงกระโดดออกมาจากใต้พื้นผิวดาวเอกที่ร่างจริงของเขาอยู่ จากนั้นจึงพลิกกายกระโดดออกมาอีกรอบ เมื่อมาปรากฏตัวใหม่ คนทั้งคู่ก็มาอยู่ในอวกาศเรียบร้อย ชายหนุ่มพลิกตัวอีกแล้วพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูง มุ่งหน้ากลับดาวเคราะห์มหาทัณฑ์


ทั้งสองกลับมาอย่างรวดเร็วเพราะความเร็วของหวังเป่าเล่อ หลังจากหวังเป่าเล่อส่งเจ้าเยี่ยเหมิงที่ฐานที่มั่นของกองทหารผ่าวิญญาณ ชายหนุ่มก็ไม่รอช้าอยู่ เขารีบไปยังประตูหลักของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ทันที


สถานะและตัวตนของชายหนุ่มตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อน เขาไม่ต้องรายงานการมาถึงด้วยซ้ำ แถมยังไม่ต้องซ่อนคลื่นรบกวนของดวงจิตเทพของตนด้วย หวังเป่าเล่อแพร่คลื่นรบกวนออกมาอย่างเต็มที่เมื่อมาถึง


“ท่านปรมาจารย์ ข้าน้อยหลงหนานจื่อขอคารวะ!” แม้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะให้การยอมรับแถมยังเรียกเขาว่าสหายร่วมสำนักเต๋า หวังเป่าเล่อก็ยังคงหลักแหลมและรอบคอบกับการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอยู่เช่นเดิม ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าตัวเขายังไม่บรรลุระดับดาวพระเคราะห์ ย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะไม่แสดงความแข็งแกร่งออกมา เพราะว่าการอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นไม่ได้มีผล รังแต่จะทำให้ผู้คนดูถูก แต่ขณะนี้เมื่อความแข็งแกร่งของชายหนุ่มเป็นที่ประจักษ์ การอ่อนน้อมถ่อมตนจึงมีผลเป็นอย่างยิ่ง


ทันทีที่ดวงจิตเทพของเขาแผ่ออกไป พายุหมุนก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศตรงหน้าเขา พายุหมุนนั้นส่องสว่างเจิดจ้า แสดงให้โลกเห็นมวลหมู่นกส่งเสียงร้องเริงร่าและดอกไม้จำนวนมากที่เบ่งบานอยู่ภายใน มองไปเห็นทิวทัศน์ของทะเลสาบและตำหนักหรูข้างเคียง ขณะเดียวกัน ปรมาจารย์ก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย พลางพยักหน้าและส่งยิ้มให้ชายหนุ่มผ่านพายุหมุนดังกล่าว ชายวัยกลางคนพึงพอใจเป็นอย่างมากที่หวังเป่าเล่อยังคงเรียกตนว่าปรมาจารย์ แต่ในแววตาที่จ้องมองหวังเป่าเล่อนั้น ลึกๆ มีประกายแห่งความละโมภที่คนภายนอกมองไม่เห็นสะท้อนอยู่


“สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ ท่านได้รับข้อความเสียงของข้าแล้วใช่หรือไม่ มานี่เสีย!” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ผุดลุกขึ้นยืน พลางซุกซ่อนความโลภเอาไว้ในใจ


หวังเป่าเล่อก้าวยาวๆ เข้าไปในวังวนนั้น เมื่อชายหนุ่มมาถึง เขาก็มายืนอยู่ด้านนอกตำหนักหรูเคียงข้างกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ทันทีที่หวังเป่าเล่อเข้ามา ก็รีบยกมือประสานคารวะปรมาจารย์มหาทัณฑ์


“ท่านปรมาจารย์ ก่อนหน้านี้ข้าฝึกปราณอยู่ ขออภัยด้วยที่มาสาย”


“ไม่มีปัญหาเลย สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ ข้าเชิญท่านมาที่นี่เพื่อปรึกษาเรื่องข้อมูลใหม่ที่ข้าเพิ่งได้รับมา สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงการรุกรานระลอกแรกของอารยธรรมครามทองคำเท่านั้น แม้ว่าสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะล้มอยู่ในตอนนี้ แต่พวกเขาก็กำลังเตรียมการให้ราชวงศ์เปิดประตูเคลื่อนย้ายครั้งที่สองเพื่อปล่อยให้ระลอกสองมาที่นี่…พวกเราต้องโจมตีกลับให้เร็วที่สุด!”


“หืม” หวังเป่าเล่อกะพริบตา ชายหนุ่มกำลังคิดจะพูดชักชวนให้ปรมาจารย์เข้าร่วมการต่อสู้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนในอนาคต แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะพูดขึ้นมาเสียเอง หวังเป่าเล่อจึงแสร้งทำเป็นลังเลอยู่ชั่วอึดใจ


“สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ การที่ท่านมีกริยาเช่นนี้ ข้าคาดเดาได้หรือไม่ว่าท่านมีแผนจะละทิ้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไป” สีหน้าของปรมาจารย์มหาทัณฑ์เคร่งเครียดขึ้นมาทันที ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะปลดปล่อยพลังปราณออกมาจากกาย แววตาแสดงความดุร้ายในบัดดล


การกระทำทั้งหมดของปรมาจารย์ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งสงสัยมากขึ้น แต่ชายหนุ่มก็เข้าใจว่าข้อมูลที่ตัวเขาได้รู้มาจากเจ้าเยี่ยเหมิงอาจเป็นความลับสำหรับผู้ฝึกตนทั่วๆ ไป แน่นอนว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เช่นปรมาจารย์มหาทัณฑ์ย่อมไม่ใช่ผู้ฝึกตนธรรมดา เขาจึงไม่แปลกใจนักที่ปรมาจารย์พูดเช่นนั้น เพียงแต่ว่า แม้มุมมองของปรมาจารย์จะเข้าแผนหวังเป่าเล่อ แต่ขั้นตอนของเขาก็ออกจะแปลกอยู่สักหน่อย


ชายหนุ่มคาดหวังไว้ว่าจะต้องโต้เถียงกับปรมาจารย์ก่อนที่จะตกลงกันได้ แต่ขณะนี้ ปรมาจารย์กลับเสนอออกมาด้วยตนเอง หวังเป่าเล่อจึงเริ่มสงสัย แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้เก็บซ่อนอาการเอาไว้ กลับกัน เขาแสดงอาการออกมาอย่างชัดเจนเพื่อหวังจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม


ปรมาจารย์มหาทัณฑ์จ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าขึงขังก่อนจะถอนหายใจออกมายืดยาว


“สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ ข้ารู้ดีว่าท่านไม่ใช่คนตาขาวที่กลัวความตาย แต่ข้าก็รู้อีกด้วยว่าอารยธรรมครามทองคำนั้นแข็งแกร่งและเป็นกำลังรบที่น่าเกรงขามของดาราจักรลำดับที่สิบเก้า ข้าเข้าใจเช่นกันว่าแม้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะอยู่ห่างไกลจากพวกเขา แต่การจะบุกมาทำลายก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ท่านจะยอมให้บ้านของเราถูกรุกราน พี่น้องของเราถูกจับเป็นทาส และพวกเราที่เหลือต้องจากบ้านไปราวกับเป็นหมาข้างถนนอย่างนั้นหรือ นี่คืออารยธรรมของเรา! คือบ้านเรา!”


เมื่อได้ยินคำพูดของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ หวังเป่าเล่อก็แสร้งทำหน้าไม่แน่ใจ สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทำมีเพียงการลักขโมยและปล้นสะดม ต้นกำเนิดของพวกเขามาจากโจรกลุ่มหนึ่ง และชายหนุ่มก็รู้สึกแปลกๆ ที่ต้องมาได้ยินถ้อยคำเช่นนี้จากปากของหัวขโมย


“ถึงกระนั้น ท่านคิดว่าจะหนีพ้นอันตรายได้หรือ ต่อให้ท่านหนีไปจากที่นี่ได้ แต่ท่านจะหนีออกจากดาราจักรลำดับที่สิบเก้าได้หรือ หากทำไม่ได้ ท่านจะหนีจากผู้ปกครองแห่งดาราจักรลำดับที่สิบเก้าไปได้อย่างไรกัน ความแตกต่างเดียวก็คือท่านจะต่อสู้จนตัวตายหรือยอมคุกเข่ารอความตายเท่านั้น แทนที่จะเลือกหลบหนีและยอมแพ้ในขณะที่คุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิต ทำไมถึงไม่ลุกขึ้นสู้เล่า อาจจะยังมีโอกาสอยู่ก็เป็นได้ ต่อให้ต้องพ่ายแพ้ เราก็จะตายอย่างสมเกียรติในสนามรบโดยไม่มีสิ่งใดให้ต้องเสียดาย!” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เอ่ยทุกคำออกมาด้วยความตั้งใจและแน่วแน่ ในน้ำเสียงมีความเที่ยงธรรมและความรักชาติแฝงปนอยู่


“ท่านปรมาจารย์หมายความว่าอย่างไรกัน” หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขากัดฟันก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ


“หยุดการเปิดดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ครั้งที่สองและชะลอการมาถึงของการโจมตีระลอกสองเอาไว้ ในเวลาเดียวกัน ก็หาโอกาส…สังหารสมาชิกราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ทั้งหมดเสีย เมื่อทำเช่นนั้นได้ เราก็จะได้เปรียบและสามารถหยุดกำลังเสริมของอารยธรรมครามทองคำได้!”


หลังจากที่ปรมาจารย์พูดจบ หัวใจของหวังเป่าเล่อก็กระตุกเพราะความรู้สึกประหลาดนั้นยิ่งเพิ่มพูนขึ้น นั่นเพราะแผนนั้นตรงกับแผนการในใจของชายหนุ่มทุกประการ


แผนของหวังเป่าเล่อคือการหาวิธีนำอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไปที่อื่น หากเขาสามารถถ่วงเวลาได้นานพอที่จะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์และนำมันไปผสานรวมกับอารยธรรมโลก จากนั้นก็ผสานมันเข้ากับดารานิรันดร์ของโลกและทำให้เป็นบริวารของสหพันธรัฐ แม้ว่าความคิดเช่นนี้จะเห็นแก่ตัว แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ใส่ใจอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ในใจของเขามีเพียงสหพันธรัฐเท่านั้น


แม้ว่าจะเป็นวิธีที่เสี่ยงมากและอาจทำให้สหพันธรัฐขัดแย้งกับอารยธรรมครามทองคำได้ง่ายๆ แต่ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ความมั่งคั่งมักได้มาจากสถานที่ที่อันตราย ชายหนุ่มเชื่อว่าแม้แต่ผู้นำต้วนมู่และปรมาจารย์มหาทัณฑ์หากได้คำนึงถึงผลได้ผลเสียแล้วก็คงต้องยอมเสี่ยงเช่นกัน


ในความเป็นจริงแล้ว หากสหพันธรัฐสามารถดูดซับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เข้าไปแล้วขึ้นเป็นผู้นำได้ ทำให้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นบริวารและนำชีวิตของผู้ฝึกตนทั้งหมดในอารยธรรมไปอยู่ใต้อาณัติเพราะสูญเสียดารานิรันดร์ได้สำเร็จ ถ้าเป็นเช่นนั้น…มันก็จะเปรียบเสมือนการให้โอสถบำรุงขนานใหญ่กับสหพันธรัฐ ชายหนุ่มอาจช่วยยกระดับให้สหพันธรัฐได้เป็นการใหญ่ และระดับปราณของทุกๆ คนก็จะพุ่งสูงขึ้นอีกด้วย!


แม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเกินไป และหวังเป่าเล่อก็ยังมีไพ่ตายที่เก็บเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ไม่คาดฝันอีกมาก


แต่เงื่อนไขความสำเร็จของฉากดังกล่าวคือการลากเอาสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำให้ล่มสลายไปด้วย แต่ในตอนนี้ หวังเป่าเล่อไม่จำเป็นต้องลากอีกฝ่ายแต่อย่างใด เพราะเป็นพวกเขาต่างหากที่อยากจะลากชายหนุ่มลงไปด้วยกัน…


อาจจะต่างกันอยู่สักหน่อย ปรมาจารย์มหาทัณฑ์วางแผนจะสังหารราชวงศ์ให้หมด ส่วนแผนของข้าไม่ใช่การฆ่าแต่เป็นการจับกุม!

 

 

 


บทที่ 876 ความคิดที่ซ่อนอยู่!

 

การสังหารกับการจับกุมนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงสำหรับหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้ดีว่าอารยธรรมครามทองคำไม่ได้สนใจสามสำนักใหญ่เป็นสำคัญ แต่สนใจเรื่องทางเข้าสุสานดวงดารามากกว่า ตราบใดที่ชายหนุ่มไม่ไปทำลายแผนนั้น เรื่องอื่นๆ ก็สามารถต่อรองได้เมื่อเขาจับตัวอีกฝ่ายได้


วิธีการนั้นยังถือว่าละมุนละม่อม แม้ว่าจะดูเสี่ยง แต่หากกระทำอย่างระมัดระวังและขัดขวางการเคลื่อนย้ายระลอกที่สองได้ มันก็มีโอกาสสำเร็จค่อนข้างสูง


แต่หากหวังเป่าเล่อสังหารพวกเขาแล้วล่ะก็…


การสังหารหมู่เชื้อพระวงศ์ก็เหมือนเป็นการทำลายแผนของอารยธรรมครามทองคำ ตัวข้าถูกเปิดโปงไปแล้วเพราะเหตุการณ์ที่สุสานหลวง เป็นไปได้มากว่าพวกมันกำลังหมายตาข้าอยู่ นี่ขนาดยังไม่ได้คิดเรื่องที่ว่าข้าไม่รู้เรื่องเครื่องหมายตำแหน่งนะ หวังเป่าเล่อคิดในใจ ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากพูดเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นมุมปากของปรมาจารย์มหาทัณฑ์กระตุก หลังจากมองเห็นรอยยิ้มลุ่มลึกของอีกฝ่าย หัวใจของหวังเป่าเล่อก็เต้นโครมครามขึ้นมา


เจ้าจิ้งจอกเฒ่า เขาทดสอบข้าอยู่นั่นเอง! หวังเป่าเล่อเข้าใจแล้วว่าตนเองติดกับ เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์ล่วงรู้ข้อตกลงเรื่องสุสานดวงดาราระหว่างอารยธรรมครามทองคำกับราชวงศ์ ในขณะเดียวกัน เขาก็สงสัยหวังเป่าเล่อ จึงใช้คำว่า ‘ฆ่า’ เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของชายหนุ่ม!


หากหวังเป่าเล่อเห็นด้วย ก็แปลว่าเขาไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับราชวงศ์ แต่อาการอึกอักและหยุดคิดของชายหนุ่มเมื่อครู่เท่ากับเป็นการบอกปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไปตรงๆ ว่าหวังเป่าเล่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในสุสานหลวง แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้ตั้งใจปกปิด แต่การถูกจับได้ก็ทำให้หวังเป่าเล่อลำบากใจอย่างยิ่ง


เหมือนว่าทุกสิ่งที่เขาพูดในวันนี้ก็เพื่อจะขุดเอาคำตอบออกมาจากปากข้า! หวังเป่าเล่อส่งเสียงคำรามอยู่ในใจ


ปรมาจารย์มหาทัณฑ์มองเห็นความฉุนเฉียวของหวังเป่าเล่อก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อย ในเมื่อเขาไม่ได้ซ่อนรอยยิ้มเมื่อครู่ ชายวัยกลางคนจึงไม่มีความจำเป็นต้องทดสอบหวังเป่าเล่ออีกต่อไป เขาพูดออกมาอย่างแช่มช้า


“การสังหารเชื้อพระวงศ์ทุกคนยังมีประโยชน์อยู่อีกข้อหนึ่ง นั่นคือสิทธิ์ในการควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์…อาจจะตกอยู่ในมือเจ้าก็เป็นได้!” เมื่อพูดจบ นัยน์ตาของปรมาจารย์ก็หรี่ลงเล็กน้อยขณะที่เฝ้ามองหวังเป่าเล่อเขม็ง ราวกับว่าเรื่องนี้สำคัญยิ่งสำหรับชายวัยกลางคนผู้นี้


ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงคิดว่าเรื่องนี้สำคัญ ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์เป็นเสมือนวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขนาดมหึมา เมื่อใดก็ตามที่ได้สิทธิ์ในการควบคุมวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายนี้ สามสำนักใหญ่ก็จะสามารถบุกหรือถอยได้อย่างคล่องตัวในการรบ พวกเขาสามารถควบคุมไม่ให้ศัตรูเคลื่อนย้ายเข้ามา และสามารถเคลื่อนย้ายหนีการติดตามของศัตรูได้หากต้องการ อันที่จริงแล้ว พลังของการเคลื่อนย้ายนั้นอาจเคลื่อนย้ายดาวเคราะห์หลายดวงพร้อมๆ กันได้หากว่าใช้งานได้อย่างถูกต้อง


ความคิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นในใจหวังเป่าเล่อพร้อมๆ กัน ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็อยู่ในสภาวะมึนงงเพราะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดปรมาจารย์จึงต้องทดสอบเขา ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะสิทธิ์ในการควบคุมดารานิรันดร์นั่นเอง


หวังเป่าเล่อทำได้แค่ถอนใจอยู่เงียบๆ เขาต้องยอมรับว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์นั้นเจ้าเล่ห์เป็นอย่างยิ่ง แถมยังคิดเรื่องต่างๆ ออกมาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ช่างเป็นคนที่น่ากลัวยิ่งนัก!


เพราะการควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์นั้นเป็นเพียงการคาดเดาของหวังเป่าเล่อเท่านั้น ชายหนุ่มคิดว่าเขาน่าจะทำได้ แต่ก็ไม่เคยได้ทดลองมาก่อน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าผิดบังไปอย่างไรก็คงไม่มีผล จึงกล่าวออกมาอย่างใจเย็น


“ข้ารับรองเรื่องนั้นไม่ได้ แต่ในเมื่อเรามาถึงจุดนี้กันแล้ว ข้าขอสนับสนุนการรบในครั้งนี้!”


ปรมาจารย์มหาทัณฑ์จ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างล้ำลึก ราวกับว่ากำลังวิเคราะห์ความจริงใจในถ้อยคำของชายหนุ่ม สีหน้าที่ชายวัยกลางคนแสดงออกมาก็ไม่ต่างจากสิ่งที่คิด แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ทันสังเกตเห็น แต่สิ่งที่ปรมาจารย์หมายตาเอาไว้ในใจนั้นไม่ใช่สิทธิ์การควบคุมดารานิรันดร์แต่อย่างใด!


ไม่มีใครรู้ว่าชายวัยกลางคนคิดสิ่งใดอยู่นอกจากตัวเขาเอง ดังนั้นหลังจากที่จ้องมองจนแน่ใจว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้ล่วงรู้ถึงแผนการของตน ปรมาจารย์ก็หยิบแผ่นหยกออกมาติดต่อไปยังปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำทันที ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังพูดคุยถึงคำตอบที่รีดออกมาจากหวังเป่าเล่อ


หวังเป่าเล่อยืนอยู่ข้างหนึ่งและกำลังคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ชายหนุ่มไม่เคยตกเป็นฝ่ายตั้งรับในสงครามน้ำลายมาก่อน ดังนั้นเขาจึงต้องกลับมาวิเคราะห์ว่าสถานการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร


แต่หวังเป่าเล่อก็วิเคราะห์อยู่ได้ไม่นานก่อนที่ปรมาจารย์จะวางแผ่นหยกลง เมื่อชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมา ความเด็ดเดี่ยวและแข็งกร้าวก็สะท้อนอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย


“สหายร่วมสำนักเต๋าหลงน้อย ไม่ว่าเจ้าจะสามารถควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ได้หรือไม่ เราก็จำเป็นต้องใช้มันในสงครามที่กำลังจะมาถึง เมื่อถึงเวลา สมาชิกทุกคนของสองสำนักใหญ่จะเคลื่อนย้ายออกไป ข้าจะนำกำลังของเราร่วมกับปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเพื่อดึงความสนใจจากกำลังหลักของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ เจ้าจะยอมนำกลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์จากทั้งสองสำนักเพื่อไปทำภารกิจยึดครองดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ให้สำเร็จลุล่วงอย่างเต็มกำลังหรือไม่”


“หากเจ้าตกลง เรื่องนี้ก็ต้องทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในอีกสามวัน…การรบจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง!” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์สูดลมหายใจเข้าลึก และเมื่อชายวัยกลางคนจ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ เขาพูดว่าให้ทำภารกิจอย่างเต็มกำลังแต่ไม่ได้บอกให้ชัดว่าให้สังหารหรือจับกุม เป็นนัยว่าให้หวังเป่าเล่อตัดสินใจได้ด้วยตนเอง


วิธีนี้เหมือนเป็นการแสดงความจริงใจออกมา หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง แม้ว่าชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายตั้งรับในวันนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร สถานการณ์ก็เป็นไปตามแผนของเขาแทบทั้งหมด ดังนั้นนัยน์ตาของชายหนุ่มจึงส่องประกายขณะที่เขาผงกศีรษะรับทราบก่อนจะจากมา


หลังจากกลับถึงบ้าน หวังเป่าเล่อก็ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ ขณะที่ทั้งสำนักกำลังเตรียมตัวทำสงคราม ชายหนุ่มก็ยังครุ่นคิดเรื่องที่ตนได้ไปทำสงครามน้ำลายกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์มา


จากการวิเคราะห์ของเขา ตั้งแต่ต้นจนจบนั้นดูเหมือนไม่มีอะไรมากมาย แต่ในไม่ช้า นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็เบิกโพลง ลมหายใจขาดช่วง


ไม่ใช่แน่!


ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าช่วยเหลือสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ สัญญาณที่ข้าแสดงออกไปก็ชัดเจนมากอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นหุ่นเชิดสิบสองจักรพรรดิ ดวงวิญญาณจำนวนมาก หรือเคล็ดวิชาการฝึกปราณของข้า…ข้าไม่ได้คิดจะแอบซ่อนหรือถึงอยากทำก็คงทำไม่ได้ ดังนั้นปรมาจารย์มหาทัณฑ์จึงไม่มีความจำเป็นต้องทดสอบข้าแม้แต่น้อย!


เช่นนั้นแล้วเขาจะยังทดสอบข้าไปทำไมกัน เพียงเพื่อจะพิสูจน์ว่าข้ามีสิทธิ์ในการควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์หรือไม่น่ะหรือ หรือว่า….เป็นเพราะเหตุอื่น


หวังเป่าเล่อรู้สึกว่ามีบางอย่างในการกระทำของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่น่าสงสัย และสัญชาตญาณของชายหนุ่มก็บอกเขาว่าปรมาจารย์เหมือนจะตั้งใจมาก่อกวนความคิดของเขา ชายวัยกลางคนทำให้เขาฟุ้งซ่านและมองไม่เห็นเป้าหมายที่แท้จริง เพื่อเป็นการซ่อนจุดประสงค์หลักเอาไว้


แต่ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะครุ่นคิดเพียงใดก็ไม่อาจหาคำตอบพบ ชายหนุ่มตอนนี้เริ่มระวังตัวแจ และเวลาก็ผ่านไปเช่นนั้นสามวัน


สำหรับอารยธรรมอื่น การเตรียมการรบในสามวันอาจเร่งรีบเกินไป แต่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มีความเชี่ยวชาญในการออกปล้นเช่นโจรอยู่แล้ว พวกเขาจึงค่อนข้างถนัดเรื่องการเคลื่อนย้าย ดังนั้นหลังจากที่ปรมาจารย์ทั้งสองออกคำสั่ง สำนักทั้งสองก็เริ่มลงมือทำงานทันที


สามวันผ่านไป ทุกคนก็มุ่งหน้าตรงไปยังดารานิรันดร์ราวกับเป็นผึ้งแตกรัง!


หากมองจากที่ไกลๆ ก็จะเห็นผู้ฝึกตนในกองทัพยืนเรียงรายพร้อมรับคำสั่งอยู่บนดารานิรันดร์ หวังเป่าเล่อเองก็อยู่ในนั้นด้วย ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิงอยู่ในเรือบินรบเวทในกระเป๋าคลังเก็บของชายหนุ่ม


ตอนที่กองทัพเปิดใช้งานวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายจำนวนมาก ลำแสงเคลื่อนย้ายก็แผ่กระจายเต็มท้องฟ้าดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ แสงนั้นห้อมล้อมโลกตรงหน้าหวังเป่าเล่อรวมถึงดวงจันทร์บริวารในบริเวณนั้นเอาไว้ในพริบตา จักรวาลที่รายล้อมอยู่นั้นเต็มไปด้วยเรือบินรบพิเศษ จุดประสงค์ของเรือบินรบเหล่านี้คือการเผาตนเองเพื่อเพิ่มพลังการเคลื่อนย้ายให้ไปถึงจุดสูงสุด เพราะปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่เพียงต้องการเคลื่อนย้ายกองทัพเท่านั้น แต่ยังต้องการเคลื่อนย้าย…ดาวเคราะห์มหาทัณฑ์และดวงจันทร์บริวารทั้งเจ็ดไปด้วย!


ดวงจันทร์บริวารทุกดวงเปรียบดั่งปราการศึก การนำดวงจันทร์เหล่านี้มาใช้ในการต่อสู้ก็เหมือนเป็นสัญญาณว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์กำลังเอาจริง!


ขณะที่เกิดเสียงครืนดังสนั่น และบรรดาเรือบินรบที่รายล้อมดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ส่องแสงสว่างเจิดจ้าออกมา คลื่นพลังเคลื่อนย้ายก็กระจายปกคลุมทั่วพื้นที่ หากมองจากที่ไกลๆ ก็ดูเหมือนมีแสงสว่างแปลกประหลาดปกคลุมดาวเคราะห์มหาทัณฑ์เอาไว้จนทั่ว ราวกับว่ามีมือยักษ์ที่สร้างจากแสงปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าและกวาดดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ให้ออกจากตำแหน่งเดิมในจักรวาลไป ขณะที่แสงยังส่องสว่างและเสียงยังดังสนั่นอยู่นั้น ดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ ดวงจันทร์บริวาร และกองทัพผู้ฝึกตนก็หายไปในพริบตา


เหลือเพียง…เศษซากเรือบินรบที่พังทลายลงหลังจากปล่อยพลังเสริมการเคลื่อนย้าย เพราะเมื่อดาวเคราะห์มหาทัณฑ์หายไป ซากเรือบินรบก็ถูกดึงมารวมกันอยู่ตรงกลาง


ในเวลาเดียวกันนั้น เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันก็กำลังเกิดขึ้นที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเช่นกัน ปรมาจารย์เต๋าใหม่ครามทองคำตัดสินใจเช่นเดียวกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ดาวเคราะห์ของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเองก็ถูกเคลื่อนย้ายไปเช่นกัน อึดใจต่อมา…ในอาณาเขตสาธารณะของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และในอีกสถานที่หนึ่งซึ่งไม่ไกลจากดารานิรันดร์เท่าใดนัก ก็ปรากฏแสงสว่างขึ้น สำนักใหญ่ทั้งสองมาปรากฏตัวแทบจะพร้อมๆ กัน!


ผู้ฝึกตนจำนวนนับล้าน มีขั้นเชื่อมวิญญาณหลักร้อย ขั้นจิตวิญญาณอมตะหลักสิบ และปรมาจารย์สองคนมาตรึงกำลังกันอยู่ที่นั่น พวกเขาเองก็ถือว่าทรงพลังในระดับหนึ่ง แต่หากเทียบกับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ยังถือว่าห่างไกลนัก


แต่เรื่องที่น่ายินดีก็คือ…ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายบาดเจ็บนัก แม้จะฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ระดับปราณก็ร่วงหล่นจากระดับดาวพระเคราะห์ ถึงจะมีวิธีเพิ่มพลังปราณขึ้นมาได้ชั่วคราว แต่พลังที่เพิ่มขึ้นมานั้นก็ไม่อาจคงอยู่ได้ตลอดไป อย่างมากชายชราก็คงได้พลังยุทธ์กลับคืนมาครึ่งหนึ่งของระดับดาวพระเคราะห์ทั่วไปเท่านั้น


สำหรับผู้อาวุโสฝ่ายขวา แม้เขาจะเจ็บไม่หนักแต่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพเต็มร้อย ดังนั้นจากการวิเคราะห์ของปรมาจารย์มหาทัณฑ์และปรมาจารย์เต๋าใหม่ครามทองคำ พวกเขาจึงยังมีโอกาสชนะได้


อีกทั้งภารกิจของพวกเขาไม่ใช่การสู้ถวายหัวกับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หากแต่เป็น…การถ่วงเวลาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อซื้อเวลาให้กลุ่มของหวังเป่าเล่อ เพราะพวกเขาเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จดอกสำคัญ


ดังนั้นหลังจากที่สองสำนักมารวมตัวกันเรียบร้อย ปรมาจารย์มหาทัณฑ์และปรมาจารย์เต๋าใหม่ครามทองคำก็ก้าวออกมาและมองหน้ากัน ก่อนจะหันไปมองหวังเป่าเล่อที่อยู่ในหมู่ทหารพร้อมๆ กัน


สายตาของคนทั้งสามมาบรรจบกัน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ พวกเขาจึงไม่ได้ใช้ดวงจิตเทพหรือพูดจากัน ทั้งสามเพียงแค่ถอนสายตาออกจากกัน จากนั้นปรมาจารย์มหาทัณฑ์และปรมาจารย์เต๋าใหม่ครามทองคำก็พุ่งตัวออกไปราวกับเป็นปลายกระบี่ นำกำลังร่วมของสองสำนักมุ่งตรงไปยัง…ดารานิรันดร์!

 

 

 


บทที่ 877 รับมือไม่ง่ายเลย!

 

ฝ่ายหวังเป่าเล่อนั้นรีบถอยทันทีที่กองทหารเคลื่อนพล ผู้ที่ถอยออกมาด้วยมีพ่อบ้านและศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ และผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่งและสองของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำพร้อมผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณหลายสิบคนจากทั้งสองสำนัก


เมื่อกองทัพหลักเคลื่อนไปข้างหน้า กลุ่มของหวังเป่าเล่อก็ถอยกลับ ทั้งสองกลุ่มเคลื่อนที่แยกออกจากกัน ขณะที่กำลังหลักของสองสำนักเคลื่อนที่ห่างออกไป พ่อบ้าน ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ และผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่งและสองของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำก็มายืนเรียงกันหน้าหวังเป่าเล่อ เมื่อพวกเขาสบตากัน ทุกคนก็ประสานมือค้อมศีรษะคำนับชายหนุ่ม


พวกเขารู้แผนมาบ้างแล้วอย่างลับๆ แต่ยังไม่รู้รายละเอียด รู้เพียงว่าหลงหนานจื่อเป็นผู้นำปฏิบัติการในครั้งนี้ และพวกเขาจะต้องรับฟังคำสั่งของชายหนุ่มทุกประการ


เมื่อเห็นว่าทุกคนจ้องมองมาทางตน หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลงแต่ไม่ได้พูดอะไร กลับกัน ชายหนุ่มแผ่ดวงจิตเทพออกไปจับหาทิศทางของกองทัพหลัก และเพราะเขาไม่ได้พูดอะไร คนอื่นๆ ก็เลยนิ่งเงียบอยู่เช่นกัน หลังจากที่เฝ้ารออย่างเงียบงันมากว่าชั่วโมง คลื่นพลังระดับดาวพระเคราะห์ก็กระจายออกมาจากสนามรบที่อยู่ห่างออกไป หวังเป่าเล่อจับสัญญาณนั้นได้ทันที


แต่กระทั่งตอนนั้น ชายหนุ่มก็ยังไม่ขยับ หวังเป่าเล่อรอจนร่างอวตารดวงจิตเทพที่เขาส่งไปแฝงตัวกับกองทัพหลักเห็นทัพสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และทั้งสองทัพเข้าปะทะกันเสียก่อน เมื่อเห็นประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และผู้อาวุโสฝ่ายขวาแล้ว หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลงแล้วค่อยสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย


ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายไม่อยู่ที่นั่น…นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกาย แต่เขาไม่ได้กลัวผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่สูญเสียกายเนื้อไปแล้วแต่อย่างใด ชายหนุ่มออกคำสั่งอย่างใจเย็น


“พวกเจ้าทุกคน ตามข้ามา!” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็สะบัดกายพุ่งตรงไปยังดารานิรันดร์ในอีกตำแหน่งหนึ่ง ตำแหน่งนั้นเป็นพิกัดที่ราชวงศ์ได้ทำการติดต่อกับอารยธรรมครามทองคำตามการคาดการณ์ของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ขณะที่ชายหนุ่มเร่งความเร็วเข้าไปใกล้ดารานิรันดร์ขึ้นทุกที เขาก็รู้สึกถึงรัศมีควบแน่นซึ่งปะปนไปด้วยคลื่นรบกวนของสายเลือดราชวงศ์อยู่ที่นั่น!


รัศมีนั้นเข้มข้นมากและทำหน้าที่ราวกับเป็นเข็มทิศ มันช่วยให้หวังเป่าเล่อรู้พิกัดที่แน่นอนของศัตรู แต่ชายหนุ่มก็อดสงสัยอยู่ในใจไม่ได้ ว่าเหตุใด…ทุกอย่างจึงได้ดูราบรื่นไปหมดเช่นนี้


ข้ายังรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ หวังเป่าเล่อกะพริบตา แล้วจู่ๆ หัวใจของเขาก็เต้นโครมคราม ก่อนจะเรียกใช้วิชาดวงเนตรปีศาจเพื่อดูว่ามันมีผลใดๆ ต่อดวงเนตรของดารานิรันดร์บ้างหรือไม่ แต่ดารานิรันดร์ที่แสนยิ่งใหญ่ตรงหน้าก็ไม่ได้ตอบสนองแต่อย่างใด


หรือว่าข้าจะเดาผิด ข้าไม่มีสิทธิ์ควบคุมดวงเนตรดารานิรันดร์หรือนี่ ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิดและระวังตัวมากขึ้น เขาก็ลดความเร็วลงเล็กน้อย ชายหนุ่มเข้าใกล้ดารานิรันดร์มากขึ้นทุกที และเมื่อเขามองเห็นสนามรบจากอีกด้านหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็รู้สึกถึงความร้อนรุนแรงบนใบหน้า เขาใกล้จะถึงบริเวณขอบนอกของดารานิรันดร์แล้ว อันที่จริง หากมองจากที่ไกลๆ มันดูเหมือนเป็นแผ่นดินผืนใหญ่ที่ปักอยู่บนดารานิรันดร์!


แม้ว่าผืนแผ่นดินนั้นจะดูเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับขนาดของดารานิรันดร์ แต่มันดูเหมือนว่าทำมาจากวัสดุพิเศษที่สามารถทนความร้อนแรงซึ่งแผ่ออกมาจากดารานิรันดร์ได้ และขณะที่หวังเป่าเล่อขยับเข้าไปใกล้และเดินพลังปราณไปยังดวงตา ชายหนุ่มก็มองเห็นผู้ฝึกตนจำนวนมากรายล้อมเหออวิ๋นจื่อและอีกสองคนอยู่ คล้ายว่าพวกเขากำลังประกอบพิธีกรรมบางอย่าง


ในขณะเดียวกัน เมื่อหวังเป่าเล่อเงยศีรษะขึ้นมองดารานิรันดร์ขนาดยักษ์ที่น่าเกรงขาม และได้เห็นรัศมีหนาแน่นจนเหมือนควันซึ่งกระจายตัวออกมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคารพอยู่ในใจ


ชายหนุ่มสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังของดารานิรันดร์นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด หนังสือหลายเล่มในนิมิตมืดและจารึกของสำนักวังเต๋าไพศาลช่วยให้หวังเป่าเล่อเข้าใจหลายๆ อย่างมากขึ้นแม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม


ตัวอย่างเช่น…รอบนอกดารานิรันดร์มีพลังธรรมชาติปกคลุมอยู่ ราวกับเป็นเปลือกหุ้มที่มองไม่เห็น เมื่อจะเข้าไปและออกมา ก็จำเป็นต้องหาจุดอ่อนเพื่อผ่านเข้าออก หากหาไม่พบ…การเหาะไปมาผ่านอากาศเพื่อเสาะหาจุดอ่อนก็ไม่ต่างอะไรกับการเหาะไปโดยมีกระบี่แหลมคมที่พร้อมจะหล่นใส่ศีรษะอยู่ทุกเมื่อ


แน่นอนว่าคงไม่เป็นอะไรนักหากอยู่แค่ภายนอกเช่นเดียวกับแผ่นดินผืนนั้น ก็คงไม่เป็นอะไรนัก เปลวเพลิงดารานิรันดร์ที่หวังเป่าเล่อได้รับมาก่อนหน้านี้ก็อยู่แค่ภายนอกเช่นกัน


หลังจากที่ความคิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นมาในใจ หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลงขณะที่มองขึ้นไปยังผืนแผ่นดินนั้นอีกครั้ง เมื่อเขามองเห็นราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ พวกนั้นก็มองเห็นหวังเป่าเล่อเช่นกัน มีความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นในฝูงชน ราวกับว่าพวกเขาตื่นตกใจที่มองเห็นหวังเป่าเล่อกระนั้น


ทุกๆ อย่างมองเผินๆ ก็ดูเรียบร้อยดี แต่ความสงสัยในเจตนาที่แท้จริงของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกไม่สบายใจ ชายหนุ่มหรี่ตาลงก่อนจะตะโกนออกมา “ขั้นเชื่อมวิญญาณลงไปก่อน บุกเข้าไปเลย!”


ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณสิบกว่าคนไม่กล้าขัดคำสั่งชายหนุ่ม จึงทำได้เพียงกัดฟันก่อนจะพุ่งลงไป พวกเขาจุติลงไปเมื่อเข้าไปใกล้ผืนดินผืนนั้น มีคาถารบกวนแผ่ออกมาจากผืนดินทันที เกิดเสียงกระหึ่มดังสนั่น ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รีบออกมารับมือพร้อมเหออวิ๋นจื่อและองค์ชายอีกสององค์


ภาพนี้ไม่ใช่เรื่องผิดธรรมดาแต่อย่างใด แน่นอนว่าสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ย่อมต้องทิ้งกำลังไว้ป้องกันอยู่แล้ว เมื่อเห็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่กำลังเพลี่ยงพล้ำ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็สะท้อนประกายเยือกเย็น


“ขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งหมด ไปได้!”


พ่อบ้าน ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ และผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่งและสองของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำมองหน้ากันก่อนจะกระจายตัวกันออกไป เมื่อใกล้ถึงพื้น พวกเขาก็พากันพุ่งเข้าต่อสู้ทันที บรรยากาศในสนามรบเริ่มคุกรุ่นขึ้น มีเสียงกัมปนาทดังสนั่นอยู่ไม่ขาด ผู้ฝึกตนของราชวงศ์ไม่ได้มีระดับปราณสูงนัก ทำให้จำนวนผู้บาดเจ็บและล้มตายพุ่งสูงขึ้นในทันใด ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงคำรามต่ำดังขึ้น และร่างเงาของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็ปรากฏขึ้นบนผืนดินผืนนั้น ชายชราเหลือบมามองหวังเป่าเล่อที่อยู่บนอวกาศด้วยสายตาโกรธแค้น ก่อนจะโจมตีทันที


แม้ว่าเขาจะประกอบกายเนื้อขึ้นมาใหม่ ทว่าระดับปราณที่ร่วงลงไปนั้นไม่อาจกอบกู้ได้ แต่ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์แล้ว พลังกายของชายชราก็ยังเหนือกว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั่วไปอยู่ดี การโจมตีของเขาเพียงครั้งเดียวก็ทำให้สถานการณ์การรบกลับมาสูสีอีกครั้ง ดูเหมือนว่าฝ่ายของหวังเป่าเล่อจะเสียเปรียบเสียด้วยซ้ำ


แม้แต่ร่างอวตารที่หวังเป่าเล่อทิ้งไว้กับกองทัพหลักก็ยังหวาดวิตกเมื่อสัมผัสได้ว่าประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และผู้อาวุโสฝ่ายขวากำลังต่อสู้อยู่ มันนำผู้ฝึกตนจำนวนหนึ่งวิ่งหนีออกมาจากสนามรบราวกับเพิ่งได้รับข้อมูลใหม่มา


ไม่ควรจะมีปัญหาอีกแล้วนะ! หวังเป่าเล่อรู้สึกสะท้านอยู่ในใจ แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจทิ้งโอกาสในมือตอนนี้ได้ ประกายเย็นยะเยือกสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา ชายหนุ่มเก็บกดความรู้สึกไม่สบายใจนั้นเอาไว้และพลิกกายมุ่งหน้าลงไปยังผืนดินบนดารานิรันดร์!


แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะปฏิบัติตามแผนด้วยความเหี้ยมโหด แต่ก็ยังเป็นคนที่ระแวดระวังอยู่เสมอ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ผ่านประสบการณ์มาหลากหลาย ชายหนุ่มเชื่อในสัญชาตญาณของตนเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นด้วยความรู้สึกไม่สบายใจรางๆ ที่มีก่อนหน้านี้ เขาจึงส่งผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเข้าไปก่อน ตามด้วยขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่ตัวหวังเป่าเล่อเองกลับไม่เข้าไปใกล้นัก


วิธีนี้ดูจะเห็นแก่ตัวอยู่สักหน่อย แต่ก็สะท้อนความเป็นจริงของโลกแห่งการฝึกปราณได้อย่างดี หวังเป่าเล่อคิดว่าเหตุผลที่ทุกคนฝึกปราณ ก็เพื่อจะสามารถควบคุมชีวิตของตนไม่ให้ได้รับผลกระทบหรือถูกควบคุมโดยคนอื่น


ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำเป็นเรื่องผิด จนกระทั่งเมื่อเห็นว่าไม่มีเหตุการณ์ประหลาดใดๆ เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ หลังจากที่ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณและจิตวิญญาณอมตะจุติลงไปแล้ว ชายหนุ่มจึงค่อยถอนใจอย่างโล่งอก แต่ถึงแม้สถานการณ์จะเป็นเช่นนั้น และถึงแม้ว่าหวังเป่าเล่อกำลังพุ่งลงมาด้วยความเร็วสูง แต่ชายหนุ่มกลับหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศเมื่อเข้ามาใกล้รัศมีของผืนแผ่นดินบนดารานิรันดร์ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบก และส่งหุ่นเชิดจิตวิญญาณอมตะสองตัวลงไปเริ่มสังหาร


และเพื่อจะทำให้ทุกอย่างสมจริงยิ่งขึ้น หวังเป่าเล่อถึงกับสร้างร่างอวตารของตนขึ้นมาโดยใช้สารัตถะส่วนหนึ่ง แล้วควบคุมมันให้เข้าไปยังดารานิรันดร์เพื่อร่วมโจมตีพร้อมคนอื่นๆ


สิ่งนี้เป็นการทดสอบของหวังเป่าเล่อ จากนั้นนัยน์ตาของชายหนุ่มก็ส่องประกายขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนท่าทีไปอย่างมากจนสายตาแสดงอาการตื่นตระหนกและส่งเสียงคำรามลั่นออกมา


“ทุกคนถอยเดี๋ยวนี้ มันเป็นกับดัก!” เมื่อหวังเป่าเล่อพูดจบ ร่างของเขาก็พลันถอยหนี ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนว่าชายหนุ่มค้นพบอะไรบางอย่างและต้องการหนีโดยเร็วที่สุด


หวังเป่าเล่อถึงกับยอมรับความเจ็บปวดโดยให้ร่างอวตารทำลายตัวเองเพื่อชะลอการติดตาม


ทว่าดวงจิตเทพของเขานั้นไปจับอยู่ที่เหออวิ๋นจื่อ องค์ชายทั้งสอง และผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่สูญเสียระดับปราณไป ชายหนุ่มจับตามองความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าและรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของคนเหล่านั้นขณะที่ล่าถอยออกมาไกลหลายร้อยเมตร แต่ก็มองไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมใดๆ กลับกัน หวังเป่าเล่อเห็นพวกนั้นมีอาการตกตะลึง และเมื่อคนเหล่านั้นไม่ได้พยายามหยุดไม่ให้พ่อบ้านและคนอื่นๆ ถอยหนีตามคำสั่งของหวังเป่าเล่อ ความวิตกกังวลหยาดสุดท้ายที่อยู่ในใจของชายหนุ่มก็จางหายไป


“ข้าคงคิดมากไปเอง รีบไปจบการต่อสู้โดยเร็วเถิด” นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายเยือกเย็น ก่อนที่เขาจะหัวเราะลั่นออกมา ร่างกายของชายหนุ่มกลายเป็นภาพติดตาเมื่อเขาพุ่งเข้าไปที่แผ่นดินนอกดารานิรันดร์เต็มความเร็ว


ทันทีที่เขาก้าวเข้ามา ดวงจิตเทพก็ไปจับอยู่ที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายทันที หวังเป่าเล่อกำลังจะโจมตีเมื่อรอยยิ้มประหลาดปรากฎขึ้นที่มุมปากของชายชรา องค์ชายทั้งสองแห่งราชวงศ์ดูกังวล ทว่าเหออวิ๋นจื่อกลับมีรอยยิ้มประหลาดฉาบทาอยู่บนใบหน้า


รอยยิ้มของทั้งสองทำเอาหวังเป่าเล่อขนหัวลุก นัยน์ตาของชายหนุ่มหรี่เล็กลงทันที!

 

 

 


บทที่ 878 การต่อสู้ชิงอำนาจควบคุม!

 

ขณะที่วิญญาณของชายหนุ่มสั่นไหวอยู่นั้น ความรู้สึกไม่สบายใจที่จางหายไปเมื่อครู่กลับระเบิดขึ้นมาอย่างรุนแรงและกระจายไปทั่วร่างของเขาอีกครั้ง ร่างกายของหวังเป่าเล่อกระจายกลายเป็นกลุ่มหมอกขณะที่พยายามจะหนีออกไปจากผืนดินดารานิรันดร์


แต่ก็สายไปเสียแล้ว!


มีแสงสาดกล้าออกมาจากผืนดินดารานิรันดร์นั้น ราวกับว่าแสงจากดวงอาทิตย์เข้าปกคลุมทั้งแผ่นดินเอาไว้ด้วยความเร็วเหลือเชื่อ ตามมาด้วยคลื่นรบกวนการเคลื่อนย้ายที่แรงกล้า


คลื่นรบกวนนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง และผืนดินที่ทุกคนยืนอยู่ก็ถล่มลงมาจากรอบนอกก่อน มีตัวอักขระนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นปกคลุมสิ่งรอบข้างเอาไว้ ราวกับกำลังก่อตัวกันเป็นผนึก ทำให้หวังเป่าเล่อและคณะถูกปิดกั้นไม่ให้ออกไป


เมื่อมองเห็นภาพนั้น สีหน้าของชายหนุ่มก็เคร่งขรึมขึ้นมาอีกครั้ง


ข้าประมาทเกินไปจริงๆ หรือว่านี่คือสิ่งที่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ปกปิดเอาไว้ เขาทรยศข้า ขายข้าให้อารยธรรมครามทองคำจริงๆ หรือ หวังเป่าเล่อถอนใจอยู่ในอก ชายหนุ่มรู้ดีว่าการประมาทของตนเป็นเหตุเดียวกันกับที่เขาต้องตกเป็นฝ่ายนั่งฟังเมื่อครั้งปะทะกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก่อนหน้านี้ ทั้งหมดเป็นเพราะความโลภ เมื่อใดก็ตามที่ใครสักคนเกิดโลภขึ้นมา เขาจะหวั่นไหวไปกับเรื่องกำไรขาดทุน จนกระทั่งสูญเสียความมั่นคงในจิตใจไป


แต่ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกว่า ความเป็นไปได้ที่ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะหักหลังเขานั้นยังต่ำมาก เพราะไม่มีความจำเป็นที่อีกฝ่ายต้องทำเช่นนั้น เขาสามารถร่วมมือกับปรมาจารย์เต๋าใหม่และไปจับมือกับบรรดาระดับดาวพระเคราะห์ของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็จะกำราบหวังเป่าเล่อได้อย่างง่ายดาย ไม่มีความจำเป็นต้องทำเรื่องลำบากมากมายเลย!


ความคิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นมาในใจของหวังเป่าเล่อ แต่ชายหนุ่มเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาครุ่นคิดหาคำตอบ ประกายเย็นยะเยือกสะท้อนวาบขึ้นมาในแววตาของเขา หวังเป่าเล่อเตรียมตัวแหวกออกไปด้วยกำลัง แต่ ขณะที่ตัวอักขระปรากฏขึ้นบังทางออกไว้นั้น ประกายแสงการเคลื่อนย้ายที่ห้อมล้อมผืนดินเอาไว้ก็สว่างถึงขีดสุด มีเสียงครืนดังลั่นขึ้นก่อนที่แสงนั้นจะไปรวมตัวกันอยู่…ที่คนสามคน!


คนหนึ่งคือเหออวิ๋นจื่อ อีกคนหนึ่งคือหวังเป่าเล่อ และคนสุดท้ายคือ…ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!


แสงที่มารวมตัวกันเกิดเป็นแรงดึงอันแรงกล้าราวกับว่าจะกดทับหวังเป่าเล่อเอาไว้ มันทำให้ร่างกายของชายหนุ่มสั่นสะท้าน แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ชายหนุ่มแปรสภาพเป็นหมอกอีกครั้ง ส่งเสียงคำรามลั่นพลางพยายามจะหนี


ทว่า…สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์เหมือนจะเตรียมการรับมือเรื่องนี้มาแล้ว ในกับดักที่พวกเขาเตรียมไว้นั้น มีทั้งการขัดขวางและการเคลื่อนย้ายพรักพร้อมราวกับว่าได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว ดังนั้นทันทีที่แสงมารวมตัวกัน แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะแปรสภาพกายสารัตถะให้เป็นหมอกและใช้พลังปราณทั้งหมดเพื่อพยายามหลบหนีก็ไม่เป็นผล ดวงวิญญาณของชายหนุ่มสั่นสะท้านขณะที่แสงสว่างทิ่มแทงดวงตา กายของเขาถูกเคลื่อนย้ายไปจนได้


เหออวิ๋นจื่อและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็ถูกเคลื่อนย้ายไปเช่นกัน ส่วนคนที่เหลือยังอยู่ที่เดิม เมื่อแสงแห่งการเคลื่อนย้ายสลายไป ดารานิรันดร์ก็ดูเหมือนจะฟื้นคืนสภาพ แต่การสั่นไหวและเสียงดังสนั่นมาจากใต้ดินก็แสดงให้เห็นว่าผืนแผ่นดินนั้นได้สูญเสียพลังป้องกันทั้งหมดไป และกำลังจะถล่มเพราะความร้อนสูงจากดารานิรันดร์


พ่อบ้านและคนอื่นๆ ต่างตื่นตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงอันฉับพลันนี้ ก่อนจะพากันหนีตายอลหม่าน ด้านองค์ชายทั้งสองและสมาชิกราชวงศ์คนอื่นๆ ก็หายใจไม่ทั่วท้อง สีหน้าของพวกเขาแสดงอาการตื่นตะลึงและสับสน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ถึงสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาก่อน


หวังเป่าเล่อไม่สนใจผืนแผ่นดินดารานิรันดร์ที่กำลังถล่มและไม่มีเวลามาคิดเรื่องสมาชิกราชวงศ์หรือผู้ฝึกตนของทั้งสองสำนักอีกต่อไป เมื่อลำแสงแห่งการเคลื่อนย้ายถูกปลดปล่อยออกมา สายตาของชายหนุ่มก็พร่าเลือน ในอึดใจถัดมา เงาร่างของเขาก็ไปปรากฏอยู่ในความว่างเปล่าอันเวิ้งว้าง!


สถานที่ที่ชายหนุ่มมาปรากฏตัวอีกครั้งอาจเรียกได้ว่าเป็นความว่างเปล่า เพราะไม่มีทั้งท้องฟ้าหรือผืนดิน มันเป็นโลกอันวุ่นวายที่มีคลื่นความร้อนสูงปรากฏอยู่ทั่วไป คลื่นความร้อนนั้นมีสีต่างๆ กัน แต่ทุกๆ สีล้วนมีความร้อนยิ่ง


เมื่อมองลงไปก็จะเห็นลูกไฟขนาดมหึมาอยู่ในความเวิ้งว้างเบื้องล่าง ทั้งคลื่นความร้อนและลูกไฟล้วนกระจายออกมาจากภายในนั้น


พวกเขาผ่านกฎเกณฑ์ของพื้นที่ขอบนอกดารานิรันดร์และเคลื่อนย้ายข้าเข้ามาอย่างนั้นหรือ วิญญาณของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน ก่อนที่ชายหนุ่มจะกวาดสายตามองไปรอบๆ เขารู้ได้ทันทีว่า…ตนไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายออกมานอกอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อถูกเคลื่อนย้ายจากผืนแผ่นดินบนดารานิรันดร์เข้ามาอยู่ตรงขอบนอกดารานิรันดร์ แม้ชายหนุ่มจะรู้สึกว่ายังอยู่ห่างจากพื้นผิวของดารานิรันดร์อยู่สักหน่อย แต่หากเทียบกับผืนแผ่นดินที่ยืนอยู่เมื่อครู่ เขาก็อยู่ใกล้พื้นผิวมากขึ้นจนน่ากลัว!


หวังเป่าเล่อเข้าใจแจ่มแจ้งว่าตนติดกับดักและไม่มีเวลาคิดมากนัก สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปทันทีที่มีเงาร่างสองร่างปรากฏขึ้นล้อมหน้าล้อมหลังเขาเอาไว้ ทั้งสองคือเหออวิ๋นจื่อและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายนั่นเอง แม้ว่าระดับปราณขอเหออวิ๋นจื่อจะอ่อนแอที่สุด แต่ชายชราก็เตรียมตัวมาก่อนแล้ว มีเกราะแสงแพร่กระจายออกมาจากกายเขา เห็นได้ชัดว่าเกราะแสงนั้นเป็นเหตุผลที่ชายชราสามารถอดทนอยู่ในบริเวณนี้ได้


ด้านผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย แม้ว่าระดับปราณจะร่วงลงไป แต่เขาก็ยังเคยอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ ในวินาทีนี้ ชายชราไม่ได้ดูทุกข์ร้อนแต่อย่างใด กลับกัน ความเกลียดชังและจิตสังหารในแววตาของเขาฉายแสงกล้าขึ้น


ทันทีที่พวกเขามาถึง หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้พูดสักคำ แต่รีบเคลื่อนที่อย่างเด็ดเดี่ยว ร่างกายของชายหนุ่มขยับก่อนจะแยกออกเป็นสี่เงาที่พุ่งไปในทุกทิศทางพร้อมๆ กัน ร่างที่ไปข้างหน้าและข้างหลังพุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและเหออวิ๋นจื่อ ส่วนร่างที่ไปซ้ายขวานั้นเร่งฝีเท้าเต็มที่พยายามจะหนี


เพียงแค่ว่า…ร่างอวตารทั้งสี่ที่ชายหนุ่มสร้างขึ้นนั้นกลับชนเข้ากับผนึกหลังจากเคลื่อนที่ไปได้ไม่ถึงสามสิบเมตรจนต้องหยุดลง ร่างที่อยู่ทางซ้ายและขวา หน้าและหลัง ต่างก็ประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกัน ร่างอวตารที่มุ่งไปหาเหออวิ๋นจื่ออยู่ห่างจากตัวชายชราไปแค่ไม่ถึงสิบเมตร แต่ไม่อาจเดินหน้าไปต่อได้


สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไปอีกครั้ง ขณะที่เหออวิ๋นจื่อ ผู้ที่อยู่ตรงหน้าร่างอวตารของชายหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมา


“หลงหนานจื่อ ไม่ว่าเจ้าจะเจ้าเล่ห์แสนกลเพียงใด เจ้าก็ตกหลุมพรางของข้าเสียแล้ว ครั้งนี้…ข้าเตรียมทุกอย่างมาก็เพื่อสังหารเจ้าเท่านั้น!” ขณะที่เหออวิ๋นจื่อหัวเราะอยู่นั้น ประกายความตื่นเต้นและละโมภก็สะท้อนอยู่ในแววตาของชายชรา


เขาไม่ได้โกหก กุญแจในการต่อสู้ครั้งนี้สำหรับทั้งราชวงศ์และสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็คือ…หวังเป่าเล่อ!


แต่แผนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์แต่อย่าใด และไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะร่วมมือกันได้ กลับกัน ก่อนการต่อสู้ครั้งนี้ ราชวงศ์ที่มีเหออวิ๋นจื่อเป็นแกนนำ ไม่อาจจะ…เปิดใช้งานการเคลื่อนย้ายครั้งที่สองของดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ได้ และเรื่องนี้นั้นแม้แต่ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รู้!


แม้ว่าเหออวิ๋นจื่อจะพยายามสุดแรงและสังเวยสายโลหิตของสมาชิกตระกูลแล้วก็ตาม เขาก็ยังไม่อาจเปิดดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ขึ้นมาอีกครั้งได้ ชายชรารู้สึกกลัวจับใจ ยิ่งไปกว่านั้น สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เองก็เพลี้ยงพล้ำครั้งใหญ่ เหออวิ๋นจื่ออดไม่ได้ที่จะมองหาประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และบอกความจริงไป


หากจะจัดอันดับผู้ที่มีอำนาจควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์แล้ว ด้วยสถานะองค์ชายของเหออวิ๋นจื่อและการที่เขาได้สายเลือดราชวงศ์กว่าร้อยละเก้าสิบมาอยู่ในกายด้วยความช่วยเหลือจากกระบวนเวทของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ชายชราก็ถือว่าได้รับอำนาจควบคุมดวงเนตรดารานิรันดร์ระดับหนึ่ง


ไม่เคยมีใครในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ได้รับอำนาจควบคุมระดับนี้มาก่อน อย่างมากที่สุด พวกเขาก็ได้รับอำนาจควบคุมระดับสอง มีเพียงเหออวิ๋นจื่อซึ่งไม่สนใจผลที่จะตามมาและเลือกรับการช่วยเหลือจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ครอบครอง และเพราะหวังเป่าเล่อยังต่อสู้กับจักรพรรดิองค์แรกจึงไม่มีใครรู้สถานะของเขา ทำให้เหออวิ๋นจื่อ ผู้ที่มีอำนาจควบคุมระดับหนึ่ง สามารถเปิดการเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ของดารานิรันดร์ได้ครั้งหนึ่ง


ทว่า…พอหวังเป่าเล่อเดินออกมาจากสุสานหลวง โอกาสอันมากมายที่ชายหนุ่มได้รับมาในนั้นทำให้ตามความรู้สึกแล้วหวังเป่าเล่อกลายเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ของดวงเนตรสวรรค์ และเพราะชายหนุ่มกลืนจักรพรรดิองค์แรกเข้าไป ทำให้เขามีอำนาจควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ระดับหนึ่งเช่นกัน


สิ่งนี้ไปกระตุ้นให้กลไกการคัดเลือกรอบสุดท้ายของดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ทำงาน มันต้องการให้ผู้ที่มีอำนาจควบคุมระดับหนึ่งทั้งคู่ต่อสู้กัน ในตอนท้าย คนเดียวที่ยึดเอาอำนาจควบคุมของอีกฝ่ายมาได้จะกลายเป็นเจ้าผู้ครองดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์


และขณะที่พวกเขาต่อสู้กัน พลังของอำนาจควบคุมที่มีก็จะถูกผนึกไว้ไม่สามารถใช้งานได้ เพราะเหตุนี้เอง เหออวิ๋นจื่อจึงไม่อาจเปิดการเคลื่อนย้ายดารานิรันดร์อีกครั้งหนึ่งได้ ดังนั้น หลังจากที่เขาบอกประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับการตัดสินใจของตน แผนการดักจับหวังเป่าเล่อก็ถือกำเนิดขึ้น!


หากหวังเป่าเล่อตาย เหออวิ๋นจื่อก็จะได้รับอำนาจควบคุมสุดท้ายของดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ นี่เป็นวิธีเดียวที่เขาจะสามารถเปิดประตูเคลื่อนย้ายของดารานิรันดร์ให้กองทัพระลอกสองของอารยธรรมครามทองคำลงมาได้สำเร็จ


เพียงแต่ว่า…แผนนี้ค่อนข้างจะยากอยู่สักหน่อย เพราะอย่างไรเสีย หวังเป่าเล่อก็แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก และคงไม่เป็นการกล่าวเกินไปหากจะบอกว่าชายหนุ่มมีพลังยุทธ์ระดับดาวพระเคราะห์อยู่ถึงร้อยละแปดสิบ ยิ่งไปกว่านั้น สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ยังเสียหายหนัก แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือก แผนเดิมคือเคลื่อนกำลังเข้าไปบุกสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อีกครั้ง โดยทำให้เหมือนว่าต้องการไปกำราบสำนัก แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือการสังหารหวังเป่าเล่อตอนที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เผลอ


แผนนี้มีช่องโหว่มากมาย แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกและมีโอกาสเดียวเท่านั้น เพราะทันทีที่โลกภายนอกล่วงรู้ถึงความสำคัญของหวังเป่าเล่อ การที่พวกเขาจะบุกไปสังหารชายหนุ่มก็จะยากเสียยิ่งกว่ายาก


ในระหว่างที่พวกเขารีรอและวิเคราะห์สถานการณ์อยู่นั้น ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็เสนอขึ้นมาว่า ให้ปล่อยข่าวลวงให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์คิดว่าพวกเขาคิดจะเปิดดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์เพื่อพากองทัพระลอกสองเข้ามา หากทำเช่นนั้นอาจจะล่อให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์บุกก่อนได้ ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็จะวางกับดักไว้ และจะเป็นการดีที่สุดหากพวกเขาสามารถล่อหวังเป่าเล่อออกมาได้พร้อมกัน หาไม่แล้ว…ก็คงต้องทำตามแผนเดิมด้วยการบุกอีกฝ่าย เพื่อกรุยทางไปสังหารหวังเป่าเล่อด้วยกำลัง

 

 

 


บทที่ 879 ผู้อาวุโสฝ่ายขวาสองคน!

 

แผนนี้ดูเหมือนง่ายแต่หลักๆ แล้วเป็นการโจมตีเชิงจิตวิทยาเสียมากกว่า สุดท้ายแล้ว…หวังเป่าเล่อ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ และคนอื่นๆ ดูเหมือนจะติดกับ ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อยังนำกลุ่มผู้ฝึกตนมาที่นี่ด้วยตนเอง ทำให้แผนยิ่งดำเนินไปอย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น


แต่เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหล เหออวิ๋นจื่อจึงใช้มาตรการที่เข้มงวด เขาไม่ได้บอกใครจากราชวงศ์เลยและเตรียมพร้อมจะสังเวยชีวิตของคนเหล่านั้น แม้กระทั่งองค์ชายอีกสองคนก็ไม่ล่วงรู้ ทำให้แผนการดักจับหวังเป่าเล่อสำเร็จลงได้


ขณะที่ความคิดเหล่านั้นแล่นไปมาในศีรษะของเหออวิ๋นจื่อ แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมา แต่ความคาดหวังและโลภโมโทสันในแววตาก็ทำให้หวังเป่าเล่อพอจะคาดเดาความจริงที่สั่นคลอนจิตวิญญาณของตนได้บ้าง


การสังหารข้าสำคัญกว่าการเปิดประตูเคลื่อนย้ายเพื่อให้กองทัพระลอกสองลงมาอีกหรือ ไม่เห็นมีเหตุผลเลย…นอกจากว่า… ประกายในตาหวังเป่าเล่อฉายชัดขึ้น ขณะที่ความคิดจำนวนมหาศาลไหลผ่านใจเขา


พวกมันสร้างกับดักนี้เพื่อข้าเชียวหรือ…หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก เขาพยายามเปิดกระเป๋าคลังเก็บ แต่ก็เพิ่งมาสังเกตว่าไม่สามารถเปิดกระเป๋าคลังเก็บได้ในอาณาเขตที่คล้ายถูกผนึกนี้


สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งสิ้นหวัง ก่อนจะรีบจัดลำดับความคิดอย่างรวดเร็ว สุดท้ายแล้ว ชายหนุ่มก็ได้ความคิดสองประการ


เหตุผลแรก…อาจเป็นเพราะว่าพวกมันคาดเดาไว้ก่อน และเตรียมตัวไว้พร้อมเพื่อให้ภารกิจของข้าล้มเหลว เพื่อหยุดไม่ให้ข้าไปทำลายแผนของพวกมัน ด้วยวิธีนี้ ข้าก็จะไม่สามารถขัดขวางการเคลื่อนย้ายครั้งที่สองได้!


อีกเหตุผลหนึ่ง…อาจเป็นได้ว่าการมีอยู่ของข้ามีผลต่อการเปิดใช้การเคลื่อนย้ายครั้งที่สอง พวกมันจึงต้องสังหารข้าเสียก่อนเพื่อจะเปิดการเคลื่อนย้าย เหตุผลแรกไม่ค่อยมีความหมายเท่าใดนัก แต่หากเป็นเหตุผลที่สองแล้วล่ะก็…


สีหน้าของชายหนุ่มเหยเก ไม่ว่าเขาจะตอบสนองเร็วเพียงใด ก็ยังขาดชิ้นส่วนสำคัญของข้อมูลจึงไม่มีทางรู้ความจริงได้ แต่ความจริงที่ว่าเขาสามารถวิเคราะห์ทั้งหมดนี้ได้จากสีหน้าของเหออวิ๋นจื่อเพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการใช้ความคิดของหวังเป่าเล่อได้เป็นอย่างดี


ส่วนที่ว่าข้อไหนจะถูกต้องนั้น มันไม่สำคัญสำหรับหวังเป่าเล่ออีกต่อไป ขณะนี้ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชายหนุ่มก็คือการทะลุผ่านผนึกและหนีออกไปให้เร็วที่สุด


หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงขณะที่ร่างอวตารทั้งสี่ที่เขาสร้างขึ้นกลับมารวมเข้ากับร่างเขาอีกครั้ง ขณะที่เปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายเขาโบกไหวอยู่ไปมา ชายหนุ่มก็พยายามดึงฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ออกมาแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสอันตรายที่ปรากฏขึ้นปุบปับก็ทำให้สีหน้าของหวังเป่าเล่อแปรเปลี่ยนไป ชายหนุ่มหันศีรษะกลับมาอย่างรุนแรง และมองเห็นร่างเงาเลือนรางที่ดูเหมือนกำลังก้าวออกมาจากความว่างเปล่าด้านหลังผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์


และเมื่อเห็นร่างเงานั้นชัดเจนขึ้น สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็พลันแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง


“เจ้า…”


“เจอกันอีกจนได้นะ ไอ้เด็กตัวแสบ!” ทันทีที่สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไป ร่างเลือนรางนั้นก็ก่อตัวชัดเจนขึ้นก่อนจะก้าวออกมาจากความว่างเปล่า คนผู้นั้นมีผมยาวประบ่าและสวมเสื้อคลุมยาวสีรุ้ง เขาดูเหมือนจะอยู่ในวัยกลางคน แต่สัมผัสแก่ชราจากกายก็ทำให้รู้สึกว่าชายผู้นี้ค่อนข้างมีอายุแล้ว


โดยเฉพาะเมื่อพลังปราณระดับดาวพระเคราะห์ของเขาระเบิดออกมาจนทำให้สิ่งรอบข้างสั่นสะท้าน แม้สถานที่นี้จะถือว่าอยู่ภายในขอบเขตของดารานิรันดร์แล้ว ระดับปราณของชายผู้นั้นก็ยังทำให้เกิดแรงกดดันเป็นบริเวณกว้าง


เขาก็คือ…คนที่ต่อสู้กับหวังเป่าเล่ออยู่ครู่หนึ่งที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ และเป็นผู้ที่วิ่งหนีไปเพราะกลัวเรือบินรบเวทระเบิดของชายหนุ่ม…ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง


การปรากฏตัวขึ้นของผู้อาวุโสฝ่ายขวาคงไม่ทำให้สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่…ร่างอวตารที่เขาทิ้งเอาไว้ในสนามรบนอกดารานิรันดร์ ตรงจุดที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำกำลังพัวพันกับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ สามารถเห็นสนามรบหลักได้อย่างชัดเจน และที่สนามรบหลักนั้น ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่อยู่เคียงข้างประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และกำลังรับมือปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่อยู่ก็คือผู้อาวุโสฝ่ายขวาเช่นกัน!


หากเป็นเช่นนั้น บุคคลที่อยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อตอนนี้ก็อยู่สองที่ในเวลาเดียวกัน!


สิ่งนี้เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้วิญญาณของชายหนุ่มสั่นสะท้าน แถมยังทำให้หวังเป่าเล่อนึกขึ้นมาได้ว่าเหตุผลที่สองของเขาอาจเป็นคำตอบที่ถูกต้อง!


พวกมันสร้างกับดักนี้ขึ้น และทั้งผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวาก็ปรากฏตัว ต้องไม่ใช่เพียงเพื่อตัดกำลังข้าเป็นแน่ เป็นอย่างที่เหออวิ๋นจื่อพูดจริงๆ พวกมันต้องการสังหารข้าที่นี่ และคำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้ก็คือ…หากพวกมันไม่ฆ่าข้า การเคลื่อนย้ายของดารานิรันดร์ก็จะใช้งานไม่ได้!


ขณะที่คลื่นความตื่นรู้กระแทกเข้ามาในใจของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็นึกถึงความตื่นเต้นในการควบคุมดวงเนตรดารานิรันดร์ที่เขารู้สึกก่อนหน้านี้ หลังจากที่วิเคราะห์อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มก็ได้คำตอบที่แท้จริงขึ้นมารางๆ


เมื่อคำตอบนั้นปรากฏขึ้นในใจ เขาก็ไม่ได้ซ่อนความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าขณะพูดออกมาอย่างรวดเร็วแต่อย่างใด


“ผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็มาเหมือนกันหรือ…ดูท่าจะอยากได้อำนาจควบคุมของข้ากันมากสินะ แต่สิ่งที่ข้าสนใจยิ่งกว่าก็คือ ถ้าผู้อาวุโสฝ่ายขวาอยู่ที่นี่ แล้วคนที่ต่อสู้กับสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำอยู่เป็นใครกันเล่า สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สี่คนเลยหรือ” ขณะที่หวังเป่าเล่อพูดไป ดวงจิตเทพของเขาก็ไปติดอยู่กับทั้งสาม เพื่อตรวจหาความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของคนเหล่านั้น


ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายหรี่ตา เหออวิ๋นจื่อเองก็เช่นกัน แต่ก็มีรอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นแทนที่อย่างรวดเร็วราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดแม้แต่น้อย จากนั้น เหออวิ๋นจื่อก็ประสานมือไปทางผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา


“ข้าจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกท่าน ข้าจะไปเตรียมตัวก่อน เมื่อเจ้านี่ตายแล้ว ข้าจะเปิดประตูเคลื่อนย้ายดารานิรันดร์และรอต้อนรับกองทัพอารยธรรมครามทองคำ” เมื่อเขาพูดจบ เหออวิ๋นจื่อก็จางหายไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองหวังเป่าเล่อ เห็นได้ชัดว่า กายหลักของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ มีเพียงกายมายาเท่านั้นที่มาปรากฏ


เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินคำพูดและเห็นการกระทำของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็รู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่าลงกลางใจ ทำให้ความจริงที่หวังเป่าเล่อคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้แจ่มชัดขึ้นมา


ที่ข้าเดาไว้ก่อนหน้านี้ว่าข้าได้รับอำนาจควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ผ่านทางสายเลือดนั้นถูกต้องแล้ว และการที่เหออวิ๋นจื่อสามารถเปิดประตูเคลื่อนย้ายได้ครั้งแรกก็แปลว่าเขาเองเคยมีอำนาจควบคุมเช่นเดียวกับข้าในระยะเวลาหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาต้องการจะฆ่าข้า…มันแปลว่าเขาไม่ได้มีอำนาจควบคุมอยู่แล้ว หรือไม่ก็เป็นเพราะอำนาจควบคุมของเรานั้นขัดแย้งกัน!


เขาจะชิงเอาอำนาจควบคุมไปได้หลังจากสังหารข้าอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงและพยายามควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ แต่ความพยายามของชายหนุ่มก็ไม่เป็นผล


ฝ่ายผู้อาวุโสฝ่ายขวา เมื่อได้ยินคำพูดของเหออวิ๋นจื่อก็พยักหน้า ก่อนจะหันมามองหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าขบขัน


“ทันทีที่เจ้าจะตาย ข้าจะบอกให้ก็ได้ว่าอีกคนที่อยู่ข้างนอกนั่นเป็นใคร!” เมื่อพูดจบ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ยกมือซ้ายกดอกตนเอง ในเวลาเดียวกันผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายข้างกายเขาก็ปลดปล่อยพลังปราณออกมาพร้อมกัน


ทันใดนั้น เสียงครืนสนั่นที่สั่นคลอนสวรรค์ก็ดังขึ้นเมื่อชั้นผนึกป้องกันที่หวังเป่าเล่อมองไม่เห็นก่อนหน้านี้เริ่มปรากฏขึ้น มันเป็นเหมือนฟองอากาศที่สะท้อนแสงสีรุ้งออกมา!


หวังเป่าเล่อ…ติดอยู่ในฟองอากาศนั้น และขณะที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาโจมตีพร้อมกัน ฟองอากาศก็เริ่มหดตัวก่อนจะแปรสภาพ ขณะที่มันหดตัวลงนั้น แรงกดดันขนาดมหาศาลก็ระเบิดออกมากดหวังเป่าเล่อไว้จากทุกทิศทุกทาง


แรงกดดันนั้นรุนแรงยิ่งกว่าพลังของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นเสียอีก แทบจะเทียบได้กับระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง เห็นได้ชัดว่า ฟองอากาศสีรุ้งเป็นวงแหวนปราณหรือไม่ก็สมบัติเวทที่มีราคาแพงระยับ อาจจะนับได้ว่าเป็นไพ่ตายของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และพวกเขาคงไม่ใช้มันหากไม่จำเป็นจริงๆ


และบัดนี้…เพื่อจะสังหารหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสทั้งสองก็ควบคุมมันพร้อมกันก่อนจะปลดปล่อยพลังของมันออกมา


แน่นอนว่า…ในสายตาของพวกเขาแล้ว แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ใช่ระดับดาวพระเคราะห์ แต่ก็แสบสันกว่าระดับดาวพระเคราะห์มาก เรือบินรบเวทนับพันลำและฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ก็เพียงพอที่จะทำให้ศัตรูต้องหันมารับมือเขาอย่างจริงจังแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ตามการคำนวณของพวกเขา หวังเป่าเล่อต้องว่องไวเป็นอันมากเช่นนั้น แน่นอนว่า พวกเขารู้เรื่องที่ชายหนุ่มสามารถแปรสภาพร่างกายได้ด้วย


ฉะนั้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น และเพื่อไม่เปิดโอกาสให้หวังเป่าเล่อได้หนี พวกเขาจึงย้ายสถานที่ต่อสู้มาอยู่ในขอบเขตของดารานิรันดร์ ในเวลาเดียวกัน เพราะเหตุผลต่างๆ เหล่านั้น ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เลือกที่จะไม่สนใจผลกระทบ และใช้สมบัติเวทที่ทั้งสำนักต้องทุ่มทั้งเวลาและเครื่องเซ่นสังเวยเพื่อสร้างขึ้นมา มีเพียงวิธีนี้ที่ทำให้เขามั่นใจว่ากับดักจะทำงานได้อย่างราบรื่น!


และฟองอากาศสีรุ้งนี้ก็แข็งแกร่งยิ่งนัก ขณะที่มันหมุนวนไป ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็เริ่มสั่นคลอนอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่อัดเข้ามาใส่ร่างของเขาจากทุกด้าน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)