ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 870-871
ตอนที่ 870 วิชาผสานกระบี่
ในโถงวางโต๊ะเก้าอี้หินแกะสลักสีเทาไว้จำนวนหนึ่ง ส่วนบนกำแพงรอบด้านมียันต์สีน้ำเงินขนาดเท่ากำปั้นจำนวนหนึ่งที่แลดูยุ่งเหยิงเล็กน้อยกำลังทอแสงจิตวิญญาณเรืองๆ ออกมาเป็นระยะ ส่องให้ห้องโถงทั้งหมดสว่างไสว
บนเบาะกลมสีเหลืองอันหนึ่งตรงมุมโถง บุรุษชุดสีเทาผู้หนึ่งกำลังหลับสองตาสนิทนั่งหลังตรงอยู่บนนั้นขณะที่ปากเอ่ยท่องมนตร์
ในเวลาเดียวกันนี้กระบี่เล็กสีน้ำเงินยาวหนึ่งจั้งกว่าเล่มหนึ่งกำลังบินวนไปกลับเหนือศีรษะเขาไม่หยุดตามเคล็ดกระบี่ที่แปรเปลี่ยนไม่หยุดที่มือเขา
กระบี่เล็กทอแสงสีน้ำเงินล้ำลึกแต่อ่อนโยนสายแล้วสายเล่าออกมาค่อยๆ วาดกลายเป็นหัวมังกรสีน้ำเงินยักษ์ขนาดหนึ่งจั้งกว่าหัวหนึ่งกลางอากาศ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ย่อมไม่กล้ารบกวน ได้แต่ยืนนิ่งเงียบอยู่ที่ปากโถงถ้ำ มองภาพนี้ไม่ละสายตา
วิชาลับที่ใช้ปราณกระบี่รอบกระบี่บินวาดเป็นภาพอาจดูเหมือนกระจอกและธรรมดา แต่หากอยากควบคุมแต่ละส่วนและทิศทางของปราณกระบี่ทั้งหมดให้ดี ทำกันไม่ได้ง่ายๆ แน่นอน
เวลาชั่วจิบชาครึ่งถ้วยให้หลัง มังกรยักษ์สีน้ำเงินยาวสามสี่จั้งตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในโถงถ้ำ เหาะวนอยู่ด้านในประหนึ่งมีชีวิต
ทว่าเพียงไม่กี่ลมหายใจให้หลัง ทันใดนั้นบุรุษชุดเทาก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น มือข้างหนึ่งทำท่าเคล็ดกระบี่ ปากเอ่ยว่า “เก็บ” ออกมาเบาๆ
สองตาบนหัวมังกรกลางอากาศเปล่งแสงเจิดจ้า เสียง “ฟู่” ดังขึ้นทีหนึ่ง มังกรยักษ์สีน้ำเงินยาวสามสี่จั้งก็กลายเป็นแสงสีน้ำเงินอ่อนเส้นแล้วเส้นเล่าสลายไป กระบี่บินวนอยู่กลางอากาศรอบหนึ่งแล้วพุ่งหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ตอนนี้บุรุษชุดเทาถึงลุกขึ้นยืน เขายิ้มน้อยๆ กวักมือเรียกหลิ่วหมิงเข้าไปหา จากนั้นตนเองก็นั่งลงบนเก้าอี้ศิลาตัวหนึ่งใกล้ๆ
“หลิ่วหมิง คารวะผู้อาวุโสสูงสุด” หลิ่วหมิวก้าวเข้าไปคำนับแล้วเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม
“ศิษย์หลานหลิ่วไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้ ที่จริงครั้งนี้ที่เรียกเจ้ามาหลักๆ ก็คือต้องการใช้วิชาลับของศาสตร์กระบี่วิชาหนึ่งในมือข้าแลกกับทรายธารดาราครึ่งถุงในมือเจ้า” บุรุษชุดเทาเอ่ยเข้าประเด็น
“ศิษย์ได้ฟังอาจารย์บอกกล่าวเรื่องนี้แล้ว” หลิ่วหมิงเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม
“ทรายธารดาราเป็นวัตถุดิบหลอมศาสตราที่หาได้ยากยิ่ง ข้าตามหามาเนิ่นนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เจ้าจะได้มาจากแดนลึกลับประตูสวรรค์หนึ่งถุง จะว่าไปแล้ววิชาลับของศาสตร์กระบี่ที่ข้าจะใช้แลกกับทรายธารดาราของเจ้าครั้งนี้ก็เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ มันเป็นวิชาลับวิชาหนึ่งที่ใช้กระบวนการพิเศษผสานทรายธารดาราเข้ากับกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่เพียงจะทำให้พลังของกระบี่บินเพิ่มขึ้นมากและเกิดพลังใหม่ ที่สำคัญยิ่งกว่าคือยังทำให้เจ้าทดลองหลอมลูกกลอนกระบี่โดยที่ยังไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ระดับแก่นแท้ได้ด้วย” บุรุษชุดเทาหัวเราะเบาๆ เอ่ยขึ้นช้าๆ
“อะไรนะ ยังไม่ถึงระดับแก่นแท้ก็หลอมลูกกลอนกระบี่ได้หรือ?” แม้หลิ่วหมิงจะสุขุมมาตลอด แต่ได้ฟังก็ยังอดไม่ได้หลุดปากออกมา
ต้องรู้ว่าเมื่อกระบี่บินพลังจิตวิญญาณหลอมกลายเป็นลูกกลอนกระบี่ก็จะหลุดพ้นจากขอบเขตของต้นแบบอาวุธเวท กลายเป็นอาวุธเวทที่แท้จริง ไม่เพียงนับจากนี้จะลี้ลับหยั่งไม่ถึง พลังยังแตกต่างกับก่อนหน้านี้ราวฟ้ากับดินในทันที
แต่ก็เพราะเหตุนี้ ต้นแบบอาวุธเวทของอาวุธชนิดอื่นยังพอจะเลื่อนระดับเป็นอาวุธเวทที่แท้จริงตั้งแต่ก่อนระดับแก่นแท้ได้ มีเพียงกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
กล่าวอีกอย่างก็คือจิตกระบี่น่ากลัวที่แผ่ออกมายามหลอมลูกกลอนกระบี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนกระบี่ต่ำกว่าระดับแก่นแท้จะควบคุมได้
ดังนั้นจึงมีเพียงผู้ที่อยู่สูงกว่าระดับแก่นแท้ถึงจะหลอมลูกกลอนกระบี่ได้ นี่แทบจะเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วไปในหมู่ผู้ฝึกฝนกระบี่
ผู้อาวุโสสูงสุดระดับดาราพยากรณ์คนนี้ตรงหน้ากลับบอกว่ามีวิชาลับที่ทำให้หลอมลูกกลอนกระบี่ได้ตั้งแต่ยังไม่บรรลุระดับแก่นแท้ จะไม่ให้หลิ่วหมิงตกตะลึงได้อย่างไร
ตามที่หลิ่วหมิงวางแผนไว้แต่เดิม หลังผนึกแก่นแท้แล้วถึงจะลงมือตระเตรียมเรื่องหลอมลูกกลอนกระบี่ มิเช่นนั้นเขาคงไม่หลอมฝักกระบี่ว่างเปล่าออกมาก่อนล่วงหน้า
อย่างไรหลังหลอมลูกกลอนกระบี่เสร็จก็ต้องผนึกไว้ในฝักกระบี่เพื่อบำรุงอีกหลายสิบปีถึงจะสำเร็จอย่างแท้จริง ในช่วงเวลานี้ไม่อาจใช้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณได้ง่ายๆ มิเช่นนั้นที่บำรุงมาก่อนหน้าจะสูญเปล่าหมดสิ้น ต้องผนึกเพื่อบำรุงใหม่อีกครั้ง
แต่หากมีวิชาลับวิชานี้ ตนก็หลอมลูกกลอนกระบี่นี้ให้สำเร็จก่อนผนึกแก่นแท้ได้ ทำให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นมาในพริบตา
“แลกเปลี่ยนเช่นนี้ ไม่ทราบศิษย์หลานหลิ่วยินดีหรือไม่? ข้าบอกไว้ก่อน เรื่องนี้จะไม่ฝืนบังคับเจ้า” บุรุษชุดเทาไม่ได้ตอบคำถามหลิ่วหมิงตรงๆ แต่มองหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ศิษย์ย่อมยินดี!” ครั้งนี้หลิ่วหมิงครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ก็รับปากด้วยเสียงนอบน้อมทันที จากนั้นเขาก็พลิกมือเรียกถุงผ้าสีเทาใบหนึ่งออกมาจากในแหวนย่อส่วนแล้ววางลงบนโต๊ะศิลาในโถงถ้ำ
เสียง “ปัง” ดังขึ้น ถุงผ้าสีเทาหนักอึ้งหล่นลงบนโต๊ะศิลา
บุรุษชุดเทาฉวยมาด้วยมือข้างหนึ่งอย่างสบายๆ แล้วจับถุงผ้าแกว่งเบาๆ ในมือ เสียงเม็ดทรายกระทบกันเกรียวกราวดังออกมา พร้อมกันนั้นปากถุงก็คลายออกดัง “ฟึบ” แสงดาราสว่างไสวสายแล้วสายเล่าส่องออกมาจากด้านในถุงผ้า
เขาช้อนทรายจำนวนหนึ่งออกมาจากในถุงผ้าคลึงในมือสองสามหนแล้วจดจ้องตรวจสอบอย่างละเอียด ดวงตาทั้งสองยิ่งลุกวาว
“ทรายธารดาราจริงๆ ไม่ผิดแน่!”
หลังบุรุษชุดเทาตรวจสอบเสร็จก็หัวเราะอย่างเบิกบานทันที พร้อมกันนั้นก็พลิกมือล้วงขวดใบเล็กสีม่วงอ่อนใบหนึ่งออกมาวางไว้ด้านข้าง จากนั้นกระดิกนิ้วไปทางถุงผ้าเบาๆ
แสงเรืองรองสีทองสายหนึ่งม้วนออกมา มันกะพริบวูบหนึ่งในถุงผ้าหลังจากนั้นแสงดาราประหนึ่งทางช้างเผือกสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากถุงผ้าช้าๆ ไหลเข้าไปในขวดใบเล็กสีม่วงอ่อน
ครู่หนึ่งให้หลังเคล็ดวิชาที่มือของบุรุษชุดเทาก็หยุด แขนเสื้อปัดผ่านเบาๆ เก็บขวดสีม่วงอ่อนเข้าไปในกระเป๋า เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วส่งทรายธารดาราครึ่งถุงที่เหลือให้กับหลิ่วหมิง
สองมือของหลิ่วหมิงรับถุงผ้ามา จากนั้นจิตสัมผัสก็กวาดผ่านของในถุงอย่างเร็วไวครั้งหนึ่ง หลังยืนยันว่าทรายธารดาราด้านในเหลืออยู่ครึ่งถุงก็เก็บมันเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างระมัดระวังอีกครั้ง
“ในเมื่อข้ารับทรายธารดาราของเจ้ามาแล้ว ถ้าเช่นนั้นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน วิชาลับเล่มนี้ก็มอบให้เจ้า” บุรุษชุดเทาเอ่ยขึ้นแล้วหยิบคัมภีร์สีฟ้าอ่อนที่ขาดวิ่นอยู่บ้างเล่มหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ โยนไปให้หลิ่วหมิง
“ขอบคุณผู้อาวุโสหาน!”
หลิ่วหมิงยื่นมือรับคัมภีร์ไปแล้วเปิดอ่านคร่าวๆ เขาพบว่าสิ่งที่เขียนไว้ในนั้นส่วนใหญ่คือข้อมูลเกี่ยวกับการหลอมกระบี่บิน แล้วยังมีรอยอักษรจำนวนหนึ่งที่ค่อนข้างใหม่ราวกับว่าเพิ่งเพิ่มเข้าไปไม่นาน เหมือนจะเป็นข้อคิดข้อควรระวังจำนวนหนึ่ง
“คัมภีร์เล่มนี้เกิดขึ้นจากการที่ข้าผสานวิชาลับซึ่งเกี่ยวข้องกันหลากหลายชนิดเข้าด้วยกัน ข้าเรียกมันว่า ‘วิชากระบี่ผสานธารดารา’ เดิมทีการผสานวัตถุดิบหลอมศาสตราเข้าไปในกระบี่บินพลังจิตวิญญาณต้องรอหลอมลูกกลอนกระบี่ก่อนถึงจะเติมเข้าไปได้ แต่ทรายธารดาราไม่ใช่วัตถุดิบธรรมดา ความลี้ลับในตัวมันเจ้าอ่านคัมภีร์เล่มนี้ก็จะรู้ อีกประการหนึ่งข้าจะเตือนเจ้าไว้สักข้อ แม้หลังผสานทรายธารดารา กระบี่บินพลังจิตวิญญาณเล่มนี้จะใช้พลังของทรายธารดาราได้ทำให้ลี้ลับไร้ที่สิ้นสุด และพลังก็เพิ่มขึ้นมากตามไปด้วย แต่หากผสานเข้าไปมากเกินก็อาจจะกลับเป็นตรงกันข้าม ส่งผลกับจิตวิญญาณของกระบี่บิน จากที่ข้าคำนวณ ต้องใช้เพียงประมาณหนึ่งในสิบของครึ่งถุงที่เหลือนั่นเท่านั้น ส่วนเรื่องการหลอมลูกกลอนกระบี่ เจ้าอ่านตำราที่เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่งในหอเก็บคัมภีร์ก็จะรู้” บุรุษชุดเทาลุกขึ้นเอ่ยกับหลิ่วหมิงเรียบๆ หลายประโยค จากนั้นหมุนตัวเดินไปยังประตูศิลาบานหนึ่งทางด้านหลังของโถงถ้ำ
“สิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดบอก ศิษย์จะจำให้มั่น” หลิ่วหมิงย่อมพยักหน้ารับ
“พรสวรรค์ในศาสตร์กระบี่ของเจ้าไม่ธรรมดา หากสงสัยหรือพบปัญหาในการฝึกฝนวิชากระบี่อันใดก็มาถามข้าได้ตลอดเวลา เอาล่ะ ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าออกเถอะ” บุรุษชุดเทากำชับหลิ่วหมิงอีกประโยคก็เอ่ยวาจาส่งแขก
“ขอบคุณผู้อาวุโสสูงสุดยิ่ง!” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็ยินดี ไม่กล้ารั้งอยู่นานเช่นกัน หลังเก็บคัมภีร์เข้าไปในแขนเสื้อก็คำนับอีกครั้งแล้วออกจากโถงถ้ำไป
หลังเขาเดินออกจากถ้ำที่พักของผู้อาวุโสหาน ประตูศิลาสีเทาหลังร่างก็ค่อยๆ ปิดลงช้าๆ อีกครั้ง กระบี่ยักษ์สีน้ำเงินบนประตูศิลาส่องแสงวูบวาบไม่หยุดปล่อยปราณกระบี่อันอ่อนโยนระลอกแล้วระลอกเล่าออกมาอีกหน
เวลานี้เองหลิ่วหมิงรู้สึกได้ว่ากระบี่ว่างเปล่าในฝักกระบี่ข้างเอวสั่นเบาๆ ตอบรับอยู่เลือนราง
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้จากไปในทันที มือข้างหนึ่งลูบข้างเอวแผ่วเบา ฝักกระบี่สีเงินอ่อนกะพริบวูบหนึ่งแล้วปรากฏออกมา จากนั้นแสงกระบี่สีทองสายหนึ่งก็พุ่งรวดเร็วออกมาจากฝักกระบี่ บินวนอยู่เบื้องหน้าประตูศิลา
ปราณกระบี่สีน้ำเงินบนประตูศิลาแตะปราณกระบี่สีทองอ่อนที่กระบี่ว่างเปล่าปล่อยออกมาอย่างอ่อนโยนอยู่ราวครึ่งเค่อ แต่ไม่เกิดเหตุการณ์อื่นใดขึ้น
หลิ่วหมิงก็งุนงงไปชั่วขณะเช่นกัน เขาใช้ดัชนีกระบี่ปล่อยปราณกระบี่ล่องหนสายแล้วสายเล่าออกมาหยั่งเชิงอีกครั้ง แต่ก็ไม่อาจเข้าใจความลึกลับที่เกิดขึ้น เขาจึงได้แต่ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา เก็บกระบี่น้อยสีทองไป พร้อมกันนั้นก็กระตุ้นเคล็ดวิชา เมฆสีดำก้อนหนึ่งใต้เท้าลอยขึ้นมาพาเขาแหวกท้องนภาไปยังถ้ำที่พักของตน
ขณะเดียวกันห้องลับในถ้ำที่พักของผู้อาวุโสหาน บุรุษชุดเทากำลังนั่งขัดสมาธิเล่นขวดสีม่วงอ่อนใบนั้นในมืออยู่
“ก่อนหน้านี้เคยได้ยินว่ากระบี่บินพลังจิตวิญญาณของหลิ่วหมิงคนนี้มีธาตุพิเศษ คิดไม่ถึงว่าจะถึงขั้นกระตุ้นชั้นจำกัดบนประตูศิลาของข้าได้ ดูท่าจะไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ หลายร้อยปีมานี้มีเพียงกระบี่บินของเลี่ยหยางตอนยังไม่หลอมเป็นลูกกลอนกระบี่เท่านั้นที่บรรลุถึงระดับนี้ หลิ่วหมิงผู้นี้ไม่ได้เข้ายอดเขากระบี่สวรรค์ซึ่งมุ่งฝึกฝนวิชากระบี่ ช่างน่าเสียดาย”
บุรุษชุดเทาเอ่ยพึมพำกับตนเองหลายประโยคแล้วเก็บขวดสีม่วงอ่อนในมือเข้าไปในแขนเสื้อ สองตาหลับลงสงบจิตใจฟื้นฟูพลังปราณ
หนึ่งชั่วยามให้หลังหลิ่วหมิงก็กลับมาถึงถ้ำที่พักของตนเอง
เขาปิดประตูถ้ำแล้วเปิดชั้นจำกัดทั้งหมด จากนั้นก็ตรงเข้าไปในห้องลับอีกครั้ง เขาอดใจรอไม่ไหวที่จะเอาคัมภีร์ ‘วิชากระบี่ผสานธารดารา’ ที่บุรุษชุดเทามอบให้ออกมาศึกษาอย่างละเอียด
ครึ่งค่อนชั่วยามเต็มๆ ให้หลังเขาถึงวางคัมภีร์ลงด้านข้าง คิ้วขมวดเล็กน้อยเผยท่าทางเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
จากที่บันทึกไว้ในคัมภีร์เล่มนี้ วิชาลับที่ผสานทรายธารดาราเข้ากับกระบี่บินไม่ได้ซับซ้อน เพียงแต่ต้องเรียนวิชาลับแห่งการหลอมรวมพิเศษวิชาหนึ่งที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ให้เป็น หลังใช้กระบี่บินจัดการทรายธารดาราด้วยวิธีพิเศษ เพียงใช้ค่ายกลหลอมผสานมันเข้าไปในกระบี่บินพลังจิตวิญญาณก็เรียบร้อย
แต่วิธีผสานนี้ต้องทำให้สำเร็จในครั้งเดียว ไม่อาจผสานซ้ำได้
เหมือนเช่นที่ผู้อาวุโสหานคนนั้นบอกก่อนหน้านี้ ผสานทรายธารดาราเข้าไปเท่าไรก็จะส่งผลกับพลังของกระบี่บินหลังจากผสานเท่านั้น หากจำนวนที่ผสานเข้าไปมากเกิน พลังแห่งดารากลับจะทำให้ปราณกระบี่ของกระบี่บินสลายส่งผลกับพลังของมัน
หนึ่งในสิบส่วนที่ผู้อาวุโสหานบอกก็เป็นเพียงจำนวนโดยประมาณเท่านั้น ไม่ใช่จะแม่นยำนัก นี่ก็ทำให้หลิ่วหมิงปวดหัวอยู่บ้างเช่นกัน
แต่ยังดีที่ตนใช้ดวงตามายาหลอมซ้ำๆ เพื่อใคร่ครวญปริมาณที่แม่นยำของทรายธารดาราที่เหมาะจะผสานเข้าไปได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจเขาก็ผ่อนคลายลงบ้าง จากนั้นเขาจึงอ่านคัมภีร์ในมืออย่างละเอียดอีกหน
ตอนที่ 871 กระบี่ว่างเปล่าโฉมใหม่
เวลาสามวันสั้นๆ เขาก็เข้าใจวิชาลับที่ใช้ปราณกระบี่หลอมทรายธารดาราวิชานี้ราวเจ็ดแปดส่วนแล้ว
หลิ่วหมิงพักผ่อนอีกวันหนึ่ง หลังจากฟื้นพลังจิตขึ้นมาอยู่ในสภาพพร้อมที่สุด เขาก็สูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วกรอกพลังเวทเข้าสู่ศิลาหุนเทียนในทะเลจิตวิญญาณ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
หลิ่วหมิงก็นั่งขัดสมาธิอยู่ในมิติสีเทาขมุกขมัว เบื้องหน้าคือค่ายกลสีทองอ่อนขนาดหนึ่งจั้งกว่า กระบี่สีทองยาวสองฉื่อแปดชุ่นเล่มหนึ่งกำลังลอยนิ่งไม่ขยับอยู่บนค่ายกล
ใต้ม่านแสงสีทองอ่อนใจกลางค่ายกลมีถุงผ้าสีขาวธรรมดาถุงหนึ่ง มันก็คือทรายธารดาราราวหนึ่งในสิบส่วนที่หลิ่วหมิงตั้งใจเตรียมไว้
แสงดาราระยิบระยับเอ่อล้นออกมาจากปากถุงผ้าอย่างเชื่องช้า ราวกับว่าในค่ายกลเต็มไปด้วยดวงดาราบนทางช้างเผือก
ในเวลานี้เองหลิ่วหมิงพลันสีหน้าเปลี่ยนไป มือหนึ่งตั้งท่าเคล็ดกระบี่ ทันใดนั้นกระบี่ว่างเปล่าด้านบนค่ายกลก็เปล่งแสงสีทองเจิดจ้า ปราณกระบี่สีทองสายหนึ่งซัดลงมาจนเกิดเสียง “ฟึบ” แล้วจมลงไปในม่านแสงสีทอง
จากนั้นภาพแปลกประหลาดก็บังเกิดขึ้น!
เม็ดทรายที่เหมือนดวงดาวสายแล้วสายเล่าถูกปราณกระบี่สีทองห่อหุ้มแล้วม้วนออกมาจากในถุงผ้า เกิดเป็นวังวนขนาดเล็กในค่ายกล หลังมันเปลี่ยนรูปร่างอีกครั้งก็กลายเป็นกระบี่น้อยที่ประกอบมาจากแสงดาวดวงแล้วดวงเล่าเล่มหนึ่ง
พร้อมกับที่เคล็ดกระบี่ในมือหลิ่วหมิงแปรเปลี่ยนไม่หยุด ทรายธารดาราก็ถูกปราณกระบี่สีทองอ่อนชักนำจนเปลี่ยนรูปร่างไม่หยุด แสงดาวที่ฉายออกมายิ่งสว่างขึ้นทุกที
เวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยให้หลัง ใต้ม่านแสงสีทองอ่อนทรายธารดารากลายเป็นก้อนทรายสีเงินขนาดเท่ากำปั้นส่องแสงสีเงินอ่อนวิบวับ
“น่าจะพอประมาณแล้ว”
หลังจากหลิ่วหมิงพึมพำกับตนเอง มือข้างหนึ่งก็ดีดเข้าใส่ค่ายกลสีทองอ่อนเบาๆ
แสงสีทองสายหนึ่งพุ่งออกมาทำให้ม่านแสงสีทองบนค่ายกลสั่นไหว จากนั้นแสงสีทองก็ส่องสว่างขึ้นวูบหนึ่ง แล้วก้อนทรายสีเงินก็ส่งเสียงดัง “ฟึบ” กลายเป็นทรายสีเงินหอบหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าตรงไปยังกระบี่สีทองกลางอากาศ
ในเวลาเดียวกันกระบี่สีทองกลางอากาศก็สั่นไหวแล้วส่งเสียงกังวานใสครั้งแล้วครั้งเล่าออกมา
เสียง “ซ่า” ดังขึ้น เม็ดทรายสีเงินกลายเป็นอสรพิษน้อยสีเงินตัวหนึ่งเลื้อยพันไปบนตัวกระบี่สีทอง ชั่วครู่หลังจากนั้นก็หุ้มกระบี่น้อยสีทองทั้งเล่มไว้ข้างใน
เสียงครวญครางของกระบี่น้อยสีทองค่อยๆ ทุ่มต่ำกังวานขึ้นทุกที
“จับตัว!”
หลิ่วหมิงจิ้มมือข้างหนึ่งเบาๆ พร้อมกันนั้นยันต์สีทองอ่อนขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในปากของเขา มันหมุนติ้วกลางอากาศรอบหนึ่งแล้วเกิดเสียงดัง “ปัง” ประทับลงบนกระบี่น้อยสีทอง
ทันใดนั้นแสงสีเงินที่หุ้มอยู่บนกระบี่บินก็กะพริบวิบวับ จากนั้นเพียงครู่เดียวมันก็กลายเป็นเส้นสีเงินสายแล้วสายเล่าแทรกเข้าไปในยันต์สีทองอ่อน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยรอยยิ้มจาง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกวักเบาๆ หลังจากกระบี่สีทองบินวนรอบหนึ่งก็พุ่งกลับมาในมือเขา
เขาสำรวจดูกระบี่ว่างเปล่าเล่มนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง นอกจากยันต์ขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่งที่ส่องแสงสีเงินอยู่เลือนราง บนตัวกระบี่ก็ไม่แตกต่างไปจากเดิมมากนัก
ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงก็สะบัดมือ กระบี่สีทองหลุดออกจากมือกลายเป็นรุ้งกระบี่สีทองยาวเจ็ดแปดจั้งพุ่งรวดเร็วไปยังยอดเขาสูงร้อยกว่าจั้งลูกหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลเบื้องหลังร่างเขาทันที
เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่น!
แสงสีทองสายหนึ่งพุ่งทะลวงผ่านยอดเขา ยอดเขากลายเป็นหินมหึมาก้อนแล้วก้อนเล่าถล่มลงมาในทันใด
หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ!
แม้เขาจะทำลายยอดเขาลูกหนึ่งเช่นนี้ได้อย่างไม่เป็นปัญหาเช่นกัน หากเขากรอกพลังเวททั้งหมดเข้าไปในกระบี่บินพลังจิตวิญญาณหรือกระตุ้นพลังแห่งแม่เหล็กดารา แต่ครั้งนี้เขาใช้พลังเวทเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นก็ทำลายมันได้อย่างง่ายดายดั่งยกฝ่ามือ ดูท่ากระบี่ว่างเปล่าเล่มนี้หลังผสานทรายธารดาราเข้าไป ไม่ว่าระดับความแหลมคมหรือปราณกระบี่ของมันล้วนเพิ่มขึ้นอย่างมาก
แต่เขาสัมผัสได้เลือนรางว่าทรายธารดาราหนึ่งในสิบส่วนนี้ยังไม่บรรลุถึงขีดสุดของการผสาน
จากนั้นหลิ่วหมิงจึงหลับตาสองข้างลง นึกย้อนไปถึงวิธีใช้พลังใหม่ซึ่งวิชาลับได้เอ่ยถึงไว้ แล้วเคล็ดวิชาในมือก็เริ่มเปลี่ยนไปไม่หยุด
หลังกระบี่สีทองสั่นไหวกลางอากาศครั้งหนึ่ง แสงจิตวิญญาณสีเงินสายแล้วสายเล่าก็ทะลักออกมาจากยันต์สีทองอ่อนบนตัวกระบี่ จากนั้นกลายเป็นเม็ดทรายสีเงินเล็กละเอียดเม็ดแล้วเม็ดเล่าหุ้มกระบี่ทั้งเล่มไว้ด้านในประหนึ่งม่านสีเงินเบาบางผืนหนึ่ง
สายตาของหลิ่วหมิงเย็นชาขึ้นวูบหนึ่ง จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ดีดกลางอากาศไปทางเม็ดทรายสีเงิน ปราณกระบี่รูปเกลียวสายหนึ่งพุ่งออกมาในพริบตา มันกระทบลงบนม่านทรายสีเงินรอบตัวกระบี่บินพร้อมกับเสียงดัง “พรึ่บ”
ม่านทรายสีเงินสั่นไหวเล็กน้อย แสงสีเงินรอบด้านไหลเคลื่อนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นปราณกระบี่รูปเกลียวสายนี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับเป็นตุ๊กตาวัวโคลนที่จมลงในมหาสมุทร
ภาพนี้ทำให้หลิ่วหมิงยินดียิ่งนักอีกครั้ง!
ตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ม่านทรายธารดารานี้จะต้านทานการโจมตีส่วนหนึ่งไว้ จึงปกป้องกระบี่บินพลังจิตวิญญาณยามเผชิญหน้าศัตรูได้ พลังจิตวิญญาณที่เสียหายจะลดลงจนต่ำที่สุด พร้อมกันนั้นในคัมภีร์ก็กล่าวไว้ด้วยว่ากระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่ผสานทรายธารดาราเข้าไป ความเร็วในการบำรุงและฟื้นฟูปราณกระบี่ของมันจะเร็วขึ้นเป็นเท่าตัว เพียงแต่ว่าจุดนี้หลิ่วหมิงยังไม่ได้ทดลอง
หลังจากหลอมผสานมาทั้งวัน ในที่สุดบนหน้าหลิ่วหมิงก็เผยสีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย
เขาหลับตาทั้งสองข้างแล้วเพ่งจิต หลังจากหูได้ยินเสียงครวญครางดังขึ้น ครู่ต่อมาเขาก็ออกจากแดนมายากลับมาในห้องลับของถ้ำที่พักอีกครั้ง
เขาลุกขึ้นยืนแล้วยืดตัวบิดขี้เกียจ หลังจากนั้นจึงนอนลงบนหินเขียวก้อนมหึมาก้อนหนึ่งในห้องลับแล้วนอนหลับไป
ช่วงระยะเวลาหนึ่งหลังจากนั้นหลิ่วหมิงเข้าไปในแดนมายาทุกวัน เขาทดลองเปลี่ยนปริมาณทรายธารดาราที่ผสานเข้าไปในกระบี่ว่างเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่าจากนั้นทดลองความแตกต่างของพลัง
หลังบากบั่นทดลองผสานซ้ำไปซ้ำมาอย่างอดทน สุดท้ายเขาก็ค้นพบว่าผสานหนึ่งในแปดหรือเก้าส่วนของทรายธารดาราที่เหลืออยู่เข้าไปจะทำให้พลังของกระบี่บินจิตวิญญาณสำแดงออกมาได้มากที่สุดโดยที่ปราณกระบี่ไม่ได้รับผลกระทบ
วันหนึ่งครึ่งปีหลังจากนั้น ด้านในห้องลับของถ้ำที่พักที่หลิ่วหมิงอยู่มีเม็ดทรายสีเงินชั้นแล้วชั้นเล่ากำลังไหลเคลื่อนไม่หยุด ทันใดนั้นมันก็ส่องแสงสีเงินสว่างทั่วฟ้าแล้วกลายเป็นเส้นสีเงินเรียวเล็กประหนึ่งเส้นไหมเส้นแล้วเส้นเล่าพาดตัดสลับกันเต็มทั้งห้องลับ
วันนี้เขาผสานทรายธารดาราเข้าไปในกระบี่บินว่างเปล่าสำเร็จแล้ว อีกทั้งใช้ได้อย่างชำนาญยิ่งแล้วด้วย
ทรายธารดารานี่ไม่เพียงเสกทรายดาราชั้นแล้วชั้นเล่าทำให้คนตาพร่าสับสน ก่อกวนสายตาของศัตรู และประสานกับคุณลักษณะพิเศษด้านการซ่อนเร้นของตัวกระบี่ว่างเปล่าเพื่อฉวยโอกาสโจมตีเอาชีวิตในครั้งเดียวโดยที่คนไม่ทันป้องกันได้ ยังเปลี่ยนเม็ดทรายกลายเป็นกระบี่ทรายสีเงินเล่มแล้วเล่มเล่าทำให้พลังของกระบี่บินเพิ่มขึ้นมากได้อีกด้วย ลี้ลับยิ่งนัก
“ยินดีกับนายท่านที่ผสานทรายธารดาราเข้าไปในกระบี่บินพลังจิตวิญญาณสำเร็จ!” เซียเอ๋อร์ที่กำลังนั่งฝึกฝนอยู่ด้านข้างเม้มปากยิ้ม นางลุกขึ้นปรบมือแล้วเอ่ยแสดงความยินดีกับหลิ่วหมิง
เคล็ดกระบี่ที่มือหลิ่วหมิงเปลี่ยน เม็ดทรายสีเงินก็หยุดกลางอากาศแล้วกลายร่างเป็นเส้นไหมสีเงินเส้นแล้วเส้นเล่าบินกลับไปในกระบี่น้อยสีทอง
กระบี่น้อยสีทองส่งเสียงครวญทุ้มกังวานออกมาแล้วพุ่งเร็วรี่กลับไปกลางหว่างคิ้วของหลิ่วหมิง
“นี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น ต่อจากนี้ถึงเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ เอ่ยกับเซียเอ๋อร์ พร้อมกันนั้นก็หยิบโอสถสีเงินเม็ดหนึ่งที่มีเปลวเพลิงสามสีห้อมล้อมออกมาจากซอกมุมของแหวนย่อส่วน มันก็คือโอสถประลองกระบี่ระดับสูงเม็ดนั้นนั่นเอง
“นายท่าน นี่เหมือนจะเป็น…โอสถเม็ดนั้นที่พบในแดนอบอ้าวเมื่อครั้งนั้น” เซียเอ๋อร์เห็นสิ่งนี้ก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ไม่ผิด โอสถนี้ก็คือโอสถประลองกระบี่ เป็นสิ่งที่ต้องเตรียมไว้สำหรับหลอมลูกกลอนกระบี่ ตอนนี้เฟยเอ๋อร์ยังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการฝึกฝน เจ้าจงอยู่ที่นี่ฝึกฝนและปกป้องเขาต่อไป ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”
หลังหลิ่วหมิงสั่งเซียเอ๋อร์ประโยคหนึ่งแล้วก็เปิดชั้นจำกัดทั้งหมดของถ้ำที่พักออกจากถ้ำที่พักไป เขาตั้งท่าเคล็ดวิชาจากนั้นเท้าก็เหยียบเมฆสีดำก้อนหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป
สองสามวันหลังจากนั้นหลิ่วหมิงหมกตัวอยู่ในหอเก็บคัมภีร์ เขาใช้แต้มคุณูปการทั้งหมดที่เหลือในมืออ่านคัมภีร์เกี่ยวกับลูกกลอนกระบี่และโอสถประลองกระบี่ในหอจนหมด แต่ข้อมูลที่ได้มาไม่ต่างจากที่รู้ก่อนหน้านี้มากนัก วิธีการใช้โอสถประลองกระบี่ถูกเอ่ยถึงเพียงไม่กี่ประโยคผ่านๆ นี่ทำให้เขาเศร้าใจยิ่ง
แต่คิดแล้วก็ไม่แปลก โอสถประลองกระบี่นี้ต้องเป็นนักปรุงยาระดับดาราพยากรณ์ถึงจะปรุงออกมาได้ ทั้งวัตถุดิบที่ต้องใช้ก็ไม่มีสักอย่างที่ไม่ใช่ของล้ำค่าในโลก หากไม่ใช่เพราะตนมีโชคบังเอิญได้มาจากในแดนอบอ้าวหนึ่งเม็ด ต่อให้อยากสัมผัสโอสถชนิดนี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้
หากไม่มีโอสถเม็ดนี้ การหลอมลูกกลอนกระบี่ให้สำเร็จจะต้องประลองกระบี่ไม่หยุดนับพันนับหมื่นหนด้วยตนเอง กระบวนการนี้เสียเวลาและยากลำบากจนทำให้ผู้ฝึกฝนกระบี่จำนวนมากถอนหายใจแล้วยอมแพ้ได้
หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตัดสินใจไปเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสหานผู้นั้นที่ยอดเขากระบี่สวรรค์อีกสักครั้งเพื่อถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้สักเล็กน้อย
เขาออกจากหอเก็บคัมภีร์ เท้าเหยียบเมฆสีดำพุ่งแหวกท้องฟ้าไปยังถ้ำที่พักของผู้อาวุโสหานทันที
หลังจากเวลาชั่วหนึ่งมื้ออาหาร ในโถงถ้ำที่พักของผู้อาวุโสหานก็มีเม็ดทรายสีเงินกลุ่มหนึ่งพัดเสียงดังหวีดหวิวมาถึงใจกลางโถงราวกับพายุหมุน
ท่ามกลางเม็ดทรายสีเงินมีแสงรัศมีสีทองอ่อนส่องออกมาเลือนรางพร้อมกับเสียงครวญคราง มันคือกระบี่บินพลังจิตวิญญาณของหลิ่วหมิงนั่นเอง
“เจ้าควบคุมจำนวนทรายธารดาราที่ผสานเข้าไปได้อย่างพอดิบพอดีจนกระบี่บินพลังจิตวิญญาณเล่มนี้เลื่อนระดับมาถึงขั้นนี้ได้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ เรื่องจำนวนวัตถุดิบที่ผสานเข้าไป ตัวข้าก็ทำได้เพียงคาดคะเนคร่าวๆ เท่านั้น อย่างไรทรายธารดาราวัตถุดิบชนิดนี้ก็ล้ำค่าปานนั้น ข้าไม่อาจสิ้นเปลืองอย่างไม่มีสาเหตุ เอากระบี่บินหรืออาวุธจิตวิญญาณธรรมดามาทดลองผลของการผสานได้” บุรุษชุดเทาด้านข้างพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น
“ผู้อาวุโสสูงสุดชมเกินไปแล้ว ศิษย์มาครั้งนี้นอกจากอยากให้ผู้อาวุโสช่วยดูกระบี่ว่างเปล่าเล่มนี้หลังหลอมผสาน ยังมีอีกเรื่องหนึ่งต้องการขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสเล็กน้อย” หลิ่วหมิงหยุดเคล็ดกระบี่ที่มือจากนั้นกวักมือข้างหนึ่ง
เม็ดทรายสีเงินเต็มฟ้าฉับพลันส่งเสียงดัง “ซ่า” ม้วนตัวจมลงไปในยันต์ด้านบนกระบี่บิน หลังจากนั้นกระบี่ว่างเปล่าก็สั่นเบาๆ กลางอากาศครั้งหนึ่งแล้วพุ่งรวดเร็วกลับเข้าไปในฝักกระบี่ที่เอวเขา
“อ้อ เรื่องอะไร ว่ามา” บุรุษชุดเทาสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม
“วิธีเลื่อนระดับเป็นลูกกลอนกระบี่ ศิษย์หาอ่านคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องแล้วก็พอเข้าใจอยู่บ้าง แต่วันนี้ที่เดินทางมาเพราะอยากจะสอบถามเรื่องเกี่ยวกับโอสถประลองกระบี่” หลิ่วหมิงตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“โอสถประลองกระบี่? เจ้ามีของสิ่งนี้หรือ?” บุรุษชุดเทาได้ยินหลิ่วหมิงเอ่ยถึง ‘โอสถประลองกระบี่’ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วถามกลับอย่างประหลาดใจ
“ผู้อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว ศิษย์เคยรับภารกิจของนิกาย ช่วยผู้อาวุโสจงอี้ของนิกายเราปรุงโอสถประลองกระบี่ ดังนั้นจึงเคยรู้เกี่ยวกับโอสถนี้อยู่บ้าง ได้ยินว่ามันช่วยหลอมลูกกลอนกระบี่ได้จึงตั้งใจมาขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสหานสักเล็กน้อย” หลิ่วหมิงเอ่ยตอบอย่างคลุมเครือ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น