หมอดูยอดอัจฉริยะ 868-871

ตอนที่ 868 ต่อสู้

 

หลังจากที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว โก่วซินเจียจึงรู้สึกถึงผลที่ปราณวิเศษจากธรรมชาติมีต่อพลังฝีมือของตนได้อย่างลึกซึ้ง หากมีชีวิตอยู่ในสถานที่ที่มีปราณวิเศษอุดมสมบูรณ์ การบำรุงหล่อเลี้ยงที่ได้รับนั้นจะส่งผลให้คนค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในสู่ภายนอก เมื่อผ่านไปนานวันเข้า ประโยชน์ที่จะมีต่อร่างกายนั้นย่อมไม่จำเป็นต้องอธิบาย


เช่นเดียวกับการมีชีวิตอยู่ในเมืองที่มีมลพิษจากอุตสาหกรรมอย่างรุนแรง เทียบกับในหมู่บ้านชนบทที่มีภูเขาเขียวน้ำใสแล้ว ความแตกต่างระหว่างทั้งสองแห่งนั้นย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน สมัยนี้พวกคนรวยบางกลุ่มในเมืองใหญ่ๆ ต่างก็หนีไปอยู่ตามชนบทกันทั้งนั้น


เมื่อครั้งที่โก่วซินเจียเข้าสู่ระดับพลังสับเปลี่ยน พลังฝีมือก็พัฒนาอย่างเชื่องช้ามาตลอด สถานที่อยู่ของเขามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ หมายความว่าในปัจจัยสี่ประการของผู้บำเพ็ญพรตอันได้แก่ ‘วิชา มิตรสหาย ทุนทรัพย์ และทำเล’ นั้น เขาเลือกได้ไม่ดีในข้อ ‘ทำเล’


“ศิษย์พี่ใหญ่ ที่นี่เทียบกับเกาะเผิงไหลแล้วก็ยังสู้ไม่ได้อยู่ดี แต่ว่าที่นั่นน่ะเข้าได้แต่ออกไม่ได้ อย่าไปเลยจะดีกว่า”


เยี่ยเทียนเม้มปาก อาศัยพลังฝีมือระดับเจี่ยตันของเขาในตอนนี้ ก็มีเพียงแต่ปราณวิเศษอันอุดมสมบูรณ์บนเกาะ ‘เผิงไหล’ เท่านั้น ที่จะเพียงพอต่อความต้องการในการฝึกพลังของเขา พลังปราณชีวิตธรรมชาติบริเวณปากทางเข้าเสินหนงเจี้ยที่ค่ายกลชุมนุมพลังรวบรวมขึ้นมาได้นี้ ไม่มีคุณค่าเพียงพอแก่เยี่ยเทียนอีกแล้ว


ดังนั้นหลังจากที่ออกมาจากเกาะเซียน ‘เผิงไหล’ ได้ นอกจากช่วงที่เยี่ยเทียนเข้าฌานไปหลายเดือนเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว เขาก็ไม่ได้ทำการฝึกบำเพ็ญใดๆ อีกเลย ในแต่ละวันยังนอนจนตะวันโด่ง เรียกว่าได้รู้รสชาติของการใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาแล้ว


ชีวิตแบบนี้ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกสงบอย่างยิ่ง ความบอบช้ำทางจิตใจที่เกิดขึ้นพร้อมกับการเลื่อนขั้นนั้น ได้ถูกขจัดไปหมดแล้วโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย โดยเฉพาะหลังจากที่ไปพบกับบรรดาผู้อาวุโสผู้มีอำนาจค้ำฟ้าเหล่านั้นแล้ว สภาพจิตของเยี่ยเทียนก็พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง จนไม่มีความรู้สึกยินดียินร้ายต่อสิ่งใดอีก


“ต่อให้ออกมาไม่ได้ ฉันก็เต็มใจที่จะเข้าไป!”


โก่วซินเจียไม่ฟังคำพูดของเยี่ยเทียนเลย หลังจากที่พลังปราณในกายเแปรเปลี่ยนเป็นปราณแท้ ระบบต่างๆ ในร่างกายของเขาก็ย้อนกลับสู่สภาพเดียวกับยามอยู่ในครรภ์มารดาอีกครั้ง และก็เป็นเช่นเดียวกับเยี่ยเทียนในตอนแรก คือรู้สึกไม่ชินกับอากาศอันสกปรกปนเปื้อนในโลกนี้อย่างยิ่ง ในวันหนึ่งๆ จึงต้องใช้การหายใจภายในแทบจะตลอดเวลา โดยให้ปราณแท้เซียนเทียนกลุ่มหนึ่งโคจรอยู่ภายในร่างกาย


“ศิษย์พี่ใหญ่ เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะครับ!”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วเดินนำขึ้นเขาไปก่อน ที่จริงแล้วหลังจากที่ได้ค้นหาดูในบันทึกที่จางซันเฟิงทิ้งไว้ เยี่ยเทียนก็พบตำแหน่งของดินแดนที่ถูกผนึกไว้หลายแห่ง แต่ในบรรดานั้นมีอยู่สองแห่งที่จะต้องมีพลังฝีมือระดับจินตัน จึงจะสามารถเข้าออกได้ตามปรารถนา


ส่วนดินแดนอีกแห่งหนึ่งนั้น แม้ว่าระดับเซียนเทียนจะสามารถเข้าไปได้ แต่ที่นั่นถูกพวกค่ายสำนักใหญ่ๆ ครองถิ่นไปแล้ว คนนอกจึงยากที่จะแฝงเข้าไปอยู่ได้ เมื่อครั้งกระโน้นจางซันเฟิงก็เคยเข้าไปในนั้นด้วยพลังฝีมือระดับจินตันช่วงปลาย แต่ก็ยังคงมีความรู้สึกไม่เข้าพวก หลังจากเกิดการปะทะต่อสู้ไปหลายครั้งจึงตัดสินใจถอยออกมา


ดังนั้นใจจริงเยี่ยเทียนจึงไม่อยากให้โก่วซินเจียเข้าสู่สถานที่เหล่านั้นเร็วเกินไป เพราะว่าพลังฝีมือระดับเซียนเทียนช่วงต้นนั้น ก็เป็นเพียงก้าวแรกของการเป็นผู้บำเพ็ญพรตเท่านั้นเอง หากโก่วซินเจียเข้าไปแล้ว เกรงว่าอาจจะยิ่งอยู่ยากกว่าโลกของปุถุชนเสียด้วยซ้ำ


“พี่ฉี มารบกวนพี่อีกแล้วนะครับ!”


ที่พักเชิงเกษตรของเหล่าฉีตั้งอยู่ตรงจุดที่ต้องผ่านหากจะเข้าไปในเสินหนงเจี้ย เมื่อได้กลิ่นซุปไก่โชยออกมาจากในห้องครัว เยี่ยเทียนก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้


เนื่องจากอาหารในเมืองมักจะมีสารเคมีปนเปื้อนอยู่ไม่มากก็น้อย ดังนั้นหลายปีมานี้เยี่ยเทียนจึงแทบจะไม่ได้กินผักใบเขียวเลย เมื่อเห็นอาหารปลอดสารพิษเขียวบริสุทธิ์อย่างแท้จริงมาอยู่ตรงหน้าแล้ว จึงไปกระตุ้นความอยากอาหารขึ้นมาทันที


“นาย…นายคือเสี่ยวเยี่ย?”


พอได้ยินเสียง เหล่าฉีเดินก็ออกมาจากในบ้าน หลังจากงงงันไปครู่หนึ่งก็จดจำเยี่ยเทียนได้ทันที เขายังจำเรื่องตอนที่เยี่ยเทียนนำสุราไปถวายให้เซียนบนภูเขาได้แม่นอยู่ ในสองปีที่ผ่านมา ลูกศิษย์ของเยี่ยเทียนคนนั้นก็มักจะขึ้นเขาไปถวายสุราด้วยเช่นกัน และแต่ละครั้งเขาก็จะได้รับอานิสงไปด้วยสักกล่องสองกล่องเสมอ


นอกจากนี้ หลังจากที่เหล่าฉีประกาศเรื่องนี้ออกไปแล้ว กิจการของเขาเองก็ดีขึ้นมาก ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของทุกๆ ปีมักจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมายเดินทางผ่านที่ของเขาเข้าสู่เสินหนงเจี้ย เพื่อไปเยี่ยมสักการะเซียนที่   ถูกกล่าวถึงท่านนั้น แต่แน่นอนว่า คนทั้งหลายที่มาด้วยความตื่นเต้นต่างก็ต้องกลับไปอย่างผิดหวังกันทั้งนั้น


“พี่ฉี นี่ศิษย์พี่ใหญ่ผมเอง วันนี้คงต้องขอรบกวนฝากท้องกับพี่สักมื้อแล้วละนะ”


เยี่ยเทียนยิ้มพลางแนะนำโก่วซินเจียให้เหล่าฉีรู้จัก แม้ว่าโก่วซินเจียจะแขนขาดไปข้างหนึ่ง แต่บุคลิกที่ดูราวกับผู้เป็นเซียนนั้น ไม่ใช่ลักษณะที่คนธรรมดาจะเสแสร้งแสดงออกมาได้ เหล่าฉีจึงไม่กล้าชักช้า เข้าครัวไปเปลี่ยนตัวกับภรรยา แล้วจัดเตรียมกับข้าวออกมาเต็มโต๊ะใหญ่ด้วยตนเอง


“เหล่าฉี บนเขานี่คงจะไม่ได้มีเรื่องอะไรใช่ไหม? ผมว่ากิจการของพี่ดูไม่เลวเลยนะ!”


ขณะนั้นตรงกับช่วงเดือนเจ็ดและเดือนแปดพอดี เยี่ยเทียนสังเกตเห็นว่า ห้องว่างหลายห้องที่อยู่ข้างๆ เหล่าฉีมีคนมาอยู่จนเต็ม ส่วนมากเป็นคนวัยรุ่น และก็กำลังรับประทานอาหารบ้านไร่เช่นเดียวกับพวกเยี่ยเทียน พลางดื่มเบียร์พูดคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่


เหล่าฉีวางกับข้าวจานหนึ่งลงบนโต๊ะตัวข้างๆ แล้วตอบยิ้มๆ


“บนเขาจะไปมีเรื่องอะไรได้ล่ะ น้องเสี่ยวเยี่ย นี่พวกนายจะเข้าไปทำอะไรกันล่ะ?”


เยี่ยเทียนตอบไปโดยไม่คิดอะไร


“ศิษย์พี่ใหญ่ผมเป็นแพทย์แผนจีนคนหนึ่ง ได้ยินว่าในเสินหนงเจี้ยมีตัวยาสมุนไพรล้ำค่าอยู่มากมาย พวกเราเลยตั้งใจจะขึ้นเขาไปสำรวจเสียหน่อย”


“อ้อ ตัวยาที่อยู่รอบนอกนี่น่ะโดนเก็บไปเกือบหมดแล้วละ พวกนายคงต้องเดินเข้าไปลึกหน่อย”


เหล่าฉีขมวดคิ้วแล้วพูดต่อ


“แต่สองปีมานี้บนเขาก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยสงบนะ เมื่อปีที่แล้วมีคนเก็บสมุนไพรคนหนึ่งขึ้นเขาไปแล้วล้มขาหัก มีคนบอกว่าเป็นเพราะท่านเซียนพิโรธ น้องเยี่ย ฉันว่าพวกนายก็อย่าเดินเข้าไปลึกเกินไปจะดีกว่านะ”


เหล่าฉีพูดพลางจ้องมองไปที่เจ้าสิงห์ขนทองน้อยบนไหล่ของเยี่ยเทียน เขาใช้ชีวิตอยู่บนภูเขามาทั้งชาติ ยังไม่เคยเห็นสัตว์หน้าคล้ายลิงแต่ก็ไม่ใช่ลิงแบบนี้มาก่อน


“ขอบคุณครับพี่ฉี พี่ก็รู้ว่า ผมเคยนำสุรามาถวายท่านเซียนแล้ว ท่านเซียนคงจะไม่ถือโทษโกรธเคืองผมหรอกครับ”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมาเสียงดัง ขึ้นเขาคราวนี้ไม่เหมือนคราวก่อน ตอนนั้นเขาถูกวานรขาวเล่นงานแทบเจียนตาย ที่เยี่ยเทียนมาคราวนี้ ก็อยากมาจะแกล้งวานรขาวดูเหมือนกัน ว่าพอเจอกับเขาแล้วจะตกตะลึงขนาดไหน


หลังจากรับประทานมื้อเที่ยงที่บ้านพักเชิงเกษตรของเหล่าฉีแล้ว เยี่ยเทียนและโก่วซินเจียก็เดินขึ้นเขาไปพร้อมกับสิงห์ขนทองน้อย มันอยู่ที่เรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนมาหนึ่งเดือนเศษแล้ว พอได้กลับมายังป่าเขาที่คุ้นเคยอีกครั้ง เจ้าสิงห์ขนทองก็ดูจะตื่นเต้นกว่าปกติ และกระโจนเข้าไปท่ามกลางป่าเขาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ


ช่วงนี้ตรงกับฤดูกาลท่องเที่ยวของเสินหนงเจี้ยพอดี ระหว่างทางจึงพบกับนักท่องเที่ยวหลายคน จนกระทั่งตกกลางคืน เยี่ยเทียนถึงจะเรียกสิงห์ขนทองน้อยกลับมา แล้วจึงแผ่ปราณแท้พาโก่วซินเจียเหาะเหินไปยังส่วนลึกบนภูเขา


“หืม? ในนั้นมีการเคลื่อนไหวของปราณวิเศษ แล้วยังเป็นปราณวิเศษที่ไม่เหมือนกันสองชนิดด้วย?”


ขณะที่เยี่ยเทียนยังอยู่ห่างจากถ้ำของวานรขาวไปอีกเจ็ดแปดกิโลเมตร เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาน้อยๆ จนแทบไม่อาจสังเกตเห็น เพราะเขารู้สึกได้ว่า ที่เบื้องหน้านั้นเหมือนจะมีพลังปราณชีวิตธรรมชาติสองชนิดปะทะกันอยู่ แม้แต่พลังของกลุ่มดาวบนฟ้าก็ดุเดือดคลุ้มคลั่งขึ้นมาผิดปกติ คล้ายกับว่าได้รับผลกระทบไปด้วย


พลังปราณชีวิตกลุ่มหนึ่งในนั้นเยี่ยเทียนรู้จักดี เพราะเป็นของวานรขาวเฒ่าตัวนั้นนั่นเอง แต่พลังปราณชีวิตอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังข่มพลังของวานรขาวไว้นั้น เยี่ยเทียนกลับไม่เคยพบมาก่อนเลย และพลังกลุ่มนี้ก็แข็งแกร่งพอที่จะจัดอยู่ในระดับเซียนเทียนช่วงปลายได้


‘หรือว่าจะมีผู้บำเพ็ญพรตออกมาจากดินแดนแห่งทวยเทพ?’


เยี่ยเทียนเกิดความคิดนี้ขึ้นในใจ แต่ร่างยังคงเหาะเหินตรงไปยังทิศทางเดิม อาศัยพลังฝีมือของเขาในตอนนี้ ขอเพียงอีกฝ่ายไม่ใช่ยอดฝีมือระดับจินตัน เยี่ยเทียนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหวาดเกรงต่อผู้ใดทั้งสิ้น


“กำลังต่อสู้กับคนอื่นอยู่จริงๆ ด้วย!”


ระยะทางเจ็ดแปดกิโลเมตรสำหรับเยี่ยเทียนแล้วใช้เวลาเดินทางเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น เมื่อมาถึงน่านฟ้าเหนือถ้ำของวานรขาว เบื้องล่างก็เพิ่งจะผ่านการปะทะกันไปครั้งหนึ่งแล้ว คลื่นที่เกิดจากพลังปราณชีวิตธรรมชาติกลุ่มหนึ่งนั้น ส่งผลให้เกิดระลอกคลื่นขึ้นในอากาศราวกับสายน้ำ


ตอนนี้ถ้ำของวานรขาวพังถล่มไปแล้ว บนที่ว่างด้านหน้าถ้ำมีชายวัยกลางคนนุ่งชุดนักพรตยืนอยู่คนหนึ่ง และกำลังมองไปที่วานรขาวซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตรด้วยสีหน้าหยิ่งยโส เขาเอ่ยขึ้นว่า


“เดียรัจฉานชั่ว ผู้อื่นมาเจรจาด้วยดี แกกลับไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว อย่างนั้นข้านักพรตผู้นี้ก็จะจัดการแกก่อน!”


“ผายลม แกเป็นฝ่ายละโมบอยากได้สวนยาของข้าอยู่ชัดๆ ยังจะมาวางท่าเป็นผู้เที่ยงธรรมอยู่อีก ข้าขอสู้กับแกแล้ว!”


วานรขาวที่ยืนอยู่ห่างออกไปสี่สิบห้าสิบเมตรกระโจนออกไปอย่างดุดัน มือกวัดแกว่งพลองเหล็กเย็นของมันเล่มนั้น ดวงตาแทบจะมีเปลวเพลิงแลบออกมา ในการประมือเมื่อครู่มันพลาดท่าเสียทีไปไม่น้อย ตอนนี้ขนสีขาวบนหน้าอกถูกย้อมไปด้วยโลหิต เพราะถูกคนผู้นั้นทำร้ายจนอวัยวะภายในบาดเจ็บ


ใบหน้าของชายวัยกลางคนผู้นั้นมีรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ตะโกนขึ้นมาว่า


“แกก็ไม่รู้จักเจียมตัวเหมือนกับเจ้าเฟอร์เร็ตตัวนั้นนั่นแหละ เดิมทีข้าคิดว่าสัตว์ภูตินั้นยากนักที่จะสำเร็จมรรคได้ จึงไม่อยากจะมีเรื่องทะเลาะกับพวกแก แต่ในเมื่อพวกแกไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว เช่นนั้นก็อย่ามาถือโทษข้าก็แล้วกัน!”


“เฟอร์เร็ต? หมายถึงเหมาโถวน่ะหรือ?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็อึ้งไป รีบแผ่พลังปราณลงไปสำรวจดูที่เบื้องล่าง แล้วก็สัมผัสถึงพลังปราณของเหมาโถวที่อยู่ด้านหลังห่างจากวานรขาวไปสิบกว่าเมตรได้ในทันที


“เหมาโถวเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว?”


ตอนแรกเยี่ยเทียนรู้สึกยินดี แต่แล้วสีหน้าก็หม่นลงไปทันที เพราะตอนนี้สภาพของเหมาโถวดูไม่ดีนัก สภาพจิตอ่อนล้าอย่างยิ่ง ส่วนไอปราณบนร่างก็ดูอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด


“เสี่ยวจิน มีคนดูถูกพวกแกแน่ะ แกไปสั่งสอนเจ้าหมอนั่นหน่อยซิ!”


ไม่ต้องถามเยี่ยเทียนก็รู้ว่า นักพรตข้างล่างนั้นจะต้องเป็นคนทำร้ายเหมาโถวอย่างแน่นอน แต่เขาไม่รู้ประวัติที่มาของนักพรตรูปนี้ และไม่รู้ว่ายังมีพรรคพวกอีกหรือไม่ จึงไม่ได้ลงไปทวงความผิดกับอีกฝ่ายโดยตรง แต่หิ้วคอของเจ้าสิงห์ขนทองขึ้นมา แล้วปล่อยมันร่วงลงไปจากบนฟ้า


“โฮก!”


เมื่อถูกเยี่ยเทียนโยนลงไปโดยไม่ทันตั้งตัว เจ้าสิงห์ขนทองก็เปล่งเสียงร้องคำรามออกมา แม้ว่าร่างของมันจะไม่ได้ใหญ่โต แต่เสียงคำรามนี้กลับดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วขุนเขา ส่วนนักพรตซึ่งยืนอยู่ปลายทางของเสียงคำรามนั้น ก็ถึงกับต้องถอยหลังไปหลายก้าวติดๆ กัน เลือดลมในร่างกายพลุ่งพล่าน สีหน้าเปลี่ยนไปในฉับพลัน


สิงห์ขนทองน้อยกำเนิดมาได้ยังไม่ถึงสามปี แม้จะมีพลังฝีมือเพียงระดับเซียนเทียนช่วงต้น แต่มันก็ยังคงเป็นสิงห์ขนทองซึ่งเป็นอสูรประหลาดจากยุคโบราณ เพียงคำรามครั้งเดียวก็พอที่จะทำให้สรรพสัตว์ทั้งมวลยอมศิโรราบได้แล้ว ในชั่วขณะนั้น เสียงของแมลงต่างๆ บนภูเขาล้วนหยุดเงียบกันไปหมด มีเพียงเสียงคำรามอันทรงพลังของสิงห์ขนทองที่ดังสะท้อนก้องไปมา


“น…นี่มันอสูรกายอะไรกัน?”


นักพรตรูปนั้นแม้จะยังดูหนุ่มอยู่ แต่ที่จริงก็มีชีวิตมาสามร้อยกว่าปีแล้ว แต่ว่ายังไม่เคยพบเห็นสัตว์อย่างสิงห์ขนทองมาก่อน ยามนั้นจึงตกตะลึง นิ่งอยู่กับที่ ไม่กล้าลงมือโดยผลุนผลัน


“โฮก!”


นักพรตไม่เคลื่อนไหว แต่สิงห์ขนทองกลับไม่ขบคิดให้มากความ ตั้งแต่แยกจากพ่อแม่มา มันก็มีท่าทางเชื่องมาตลอด แต่ในยามนี้สันดานดุร้ายกลับเปิดเผยออกมาหมด ซึ่งแสดงถึงสายเลือดของปีศาจผู้ยิ่งใหญ่แห่งโบราณกาล

 

 

 


ตอนที่ 869 เหอปู้อวี่

 

ภาษิตว่า สุนัขป่าถึงอย่างไรก็ยังเป็นสุนัขป่า แม้จะเดินไปไกลพันลี้ก็ยังคงล่าสัตว์อื่นเป็นอาหารอยู่เช่นเดิม อสูรประหลาดจากยุคโบราณอย่างสิงห์ขนทองนี้ เดิมก็ชื่นชอบการเข่นฆ่าอยู่แล้ว หลังจากคำรามออกไปหนึ่งครั้ง สายเลือดของสิงห์ขนทองน้อยก็ถูกปลุกขึ้นมา ดวงตาทั้งคู่ฉายแววอำมหิต กระโจนไปถึงตรงหน้านักพรตราวกับสายฟ้าแลบ แล้วตะปบกรงเล็บไปที่หน้าอก


“น…นี่มันตัวอะไรกัน?”


นักพรตถูกเสียงคำรามของสิงห์ขนทองน้อยข่มขวัญจนเลือดลมแปรปรวน เมื่อเห็นสิงห์ขนทองโถมเข้ามาถึงตรงหน้าแล้ว ก็อดมีแววตาตื่นตระหนกไม่ได้


แต่นักพรตรูปนี้ก็อยู่มาตั้งนานปานนี้แล้ว ย่อมมีประสบการณ์ในการต่อสู้คับขันกับคนหรืออสูรกายมาก่อน ทั้งที่ไม่เห็นร่างกายท่อนบนขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย แต่ร่างกลับถอยหลังออกไปไกลสิบกว่าเมตรในพริบตา ขณะเดียวกันมือขวาก็วาดเป็นวงตรงหน้าอก ทำให้อากาศโดยรอบเกิดความแปรปรวนขึ้นมาทันที


“เอ๊ะ? พลังฝีมือของเขาเพิ่งจะถึงระดับเซียนเทียนช่วงปลายได้ไม่นาน ทำไมถึงก่อคลื่นในอากาศได้ด้วยล่ะ?”


เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของนักพรต เยี่ยเทียนที่อยู่บนฟ้าก็มีสีหน้าตื่นตระหนกทันที เพราะอาศัยพลังยุทธของเขาในตอนนี้ ต่อให้ลงมือสุดกำลัง ก็คงไม่มีทางฉีกทำลายมิติอากาศในโลกที่ตัวเองอยู่ได้แน่ เดิมทีเยี่ยเทียนนึกว่า จะต้องถึงระดับจินตันก่อน จึงจะสามารถทำถึงจุดนั้นได้ แต่วิชาของนักพรตรูปนี้กลับทำให้ความรู้ความเข้าใจของเขาผิดเพี้ยนไปหมด


เมื่อเห็นภาพนี้ เยี่ยเทียนจึงเลิกคิดดูถูกนักพรตรูปนั้นทันที แม้ว่าเขาจะไปถึงระดับเจี่ยตันแล้ว และยังเคยค้นคว้าดูบันทึกการฝึกวิชาของจางซันเฟิงด้วย แต่บันทึกของท่านนักพรตจางที่เหลือสืบทอดมานั้น ส่วนมากล้วนเกี่ยวกับการตระหนักรู้และชื่นชมกฎแห่งธรรมชาติ ส่วนที่เป็นวิชาการต่อสู้กลับไม่ค่อยกล่าวถึงเท่าไรนัก


ดังนั้นสิ่งที่เยี่ยเทียนจะพึ่งพาได้ในตอนนี้ นอกจากปราณแท้ในกายและระดับพลังฝีมือที่แข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือระดับเซียนเทียนแล้ว ก็คือมีดบินคู่กายที่เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจมหาศาลหล่อหลอมขึ้นมานั่นเอง


นอกจากนั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็มีวิชาที่ใช้สำหรับโจมตีอยู่ไม่มากนัก ส่วนศาสตร์ต่างๆ ของสำนักเสื้อป่านนั้น ตอนนี้กลับไม่เหมาะสมที่จะใช้แล้ว หากนำมาใช้ในการต่อสู้กับยอดฝีมือ เกรงว่ากลับจะได้ผลตรงกันข้ามเสียมากกว่า


นี่ทำให้เยี่ยเทียนนึกถึงข่าวที่ได้เห็นมาเมื่อช่วงก่อน ยอดฝีมือในยุทธจักรท่านหนึ่ง ได้ครองตำแหน่งอันดับมากมายในวงการศิลปะการต่อสู้ แต่กลับถูกเพื่อนบ้านใช้มีดฟันจนบาดเจ็บสาหัสระหว่างการทะเลาะวิวาทในละแวกบ้าน


เรื่องนี้มีความคล้ายคลึงกับสถานการณ์ที่เยี่ยเทียนกำลังประสบอยู่มากเหมือนกัน แม้ว่าเขาจะมีพลังฝีมือสูง และเคยเห็นเลือดรวมถึงผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมาแล้ว แต่หากให้มาต่อสู้กับพวกพรตเฒ่าที่ดูเยาว์วัย แต่ที่จริงมีชีวิตอยู่มาไม่รู้ตั้งกี่ปีแล้วเหล่านี้ ก็ไม่แน่ว่าเขาจะเป็นฝ่ายเหนือกว่า


“เดียรัจฉานชั่ว อยากตายเรอะ!”


ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังอยู่กับการครุ่นคิดที่เบื้องบนนั้น ก็มีเสียงร้องโอยขึ้นมา ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ พอมองลงไปดู เขาก็ตะลึงไปทันที


ที่แท้ ขณะที่ร่างของนักพรตรูปนั้นถอยหลังไป สิงห์ขนทองก็ตามติดไปราวกับเงาตามตัว ด้วยความเร็วระดับที่นักพรตรูปนั้นไม่อาจจะตอบโต้ได้เลย ขณะที่นักพรตใช้วิชาออกมา กรงเล็บของสิงห์ขนทองก็ตะปบลงไปที่หน้าอกของเขาแล้ว


แม้จะกำเนิดมาได้ไม่นาน แต่กรงเล็บของสิงห์ขนทองน้อยก็แกร่งพอที่จะแยกทองกะเทาะหยกได้เลยทีเดียว เกิดเสียงดัง “แคว่ก” ชุดของนักพรตตั้งแต่ช่วงอกลงไปจนถึงท้องน้อยถูกสิงห์ขนทองฉีกจนขาดวิ่น ร่างกายขาวผ่องของนักพรตเผยออกมา บนร่างมีรอยแผลลึกขึ้นหนึ่งรอย อีกนิดเดียวผิวหนังช่วงอกและท้องก็จะถูกกรีดเปิดออกมาอยู่แล้ว


“เยี่ยเทียน ท…ทำไมสิงห์ขนทองตัวนี้ถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้ล่ะ?”


เมื่อครู่เยี่ยเทียนไม่ได้สังเกตดูสถานการณ์เบื้องล่าง แต่โก่วซินเจียกลับจับตาดูมาตลอด ยามนี้จึงมีสีหน้าตกตะลึง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึงเลยว่า สิงห์ขนทองที่เชื่องกับเยี่ยเทียนราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงนี้ จะมีพลังโจมตีที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้


“ท่านทั้งสองที่อยู่ข้างบน น่าจะออกมาได้แล้วกระมัง? ทำลับๆ ล่อๆ เช่นนั้นคิดจะวางอุบายจัดการเราพรตต่ำต้อยหรือไร?”


หลังจากถูกสิงห์ขนทองน้อยตะปบจนเกิดแผล ร่างของนักพรตรูปนั้นก็กระโจนถอยไปหนึ่งร้อยกว่าเมตร พลิกข้อมือหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมา แล้วเทยาเม็ดในขวดใส่ปากไปหนึ่งเม็ด ตั้งแต่ต้นจนจบ บาดแผลบนร่างของเขากลับไม่มีโลหิตหลั่งไหลออกมาเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำตอนนี้ยังเริ่มสมานอย่างรวดเร็วอีกด้วย


นักพรตเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า ระดับของเขาต่ำกว่าเยี่ยเทียนเพียงขั้นเดียวเท่านั้นเอง หากเยี่ยเทียนพรางกายอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังคนเดียว นักพรตก็อาจจะไม่สังเกตพบ แต่เมื่อเขาพาโก่วซินเจียซึ่งเพิ่งจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนมาด้วย จึงไม่อาจปิดบังจากญาณสัมผัสของนักพรตรูปนั้นได้


“คิดว่าฉันจำเป็นต้องวางอุบายกับแกด้วยงั้นหรือ?”


แม้จะรู้สึกหวั่นเกรงต่อฝีมือของนักพรตรูปนั้นอยู่บ้าง แต่เขามีระดับสูงกว่าอีกฝ่ายถึงหนึ่งขั้นเต็มๆ อีกทั้งยังมีวานรขาว สิงห์ขนทองและศิษย์พี่ใหญ่คอยช่วยเหลือ เยี่ยเทียนจึงไม่จำเป็นต้องกลัวนักพรตรูปนั้นเลย


เยี่ยเทียนหัวเราะเบาๆ แล้วตั้งจิตเก็บปราณแท้ที่ปกคลุมอยู่รอบๆ เขาและโก่วซินเจียกลับสู่ภายในร่างอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงเมฆสองกลุ่มที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า แล้วค่อยๆ ลดร่างลอยลงต่ำราวกับขี่เมฆเหาะเหิน


“เจ้าคือ…เยี่ยเทียน?!”


พลังฝีมือของวานรขาวยังด้อยกว่านักพรตรูปนั้นไปบ้าง เมื่อเยี่ยเทียนปรากฏกายออกมาแล้ว มันถึงจะมองเห็นคนทั้งสองที่อยู่บนฟ้า แล้วดวงตาก็เบิกโพลงขึ้นมาทันที มันกระโจนร่างไปถึงตรงหน้าเยี่ยเทียน แล้วมองขึ้นมองลงอย่างพินิจพิจารณา


“พี่วานรขาว ไม่เจอกันนานเลย เหล้าที่ผมส่งมาทุกปีพอดื่มรึเปล่า?”


ในโลกของผู้บำเพ็ญพรตนั้นนับถือกันที่ความแข็งแกร่ง คราวก่อนเยี่ยเทียนยังไม่ได้เข้าสู่ระดับเซียนเทียน เมื่อพบกับวานรขาวจึงย่อมต้องเรียกขานอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโส แต่ตอนนี้ระดับพลังฝีมือของเขาเหนือล้ำกว่าวานรเฒ่าไปมาก ที่เรียกอีกฝ่ายว่าพี่วานรขาวก็ถือว่าไว้หน้ามากพอแล้ว


“เจ้าคือเยี่ยเทียนจริงๆ น่ะรึ? ร…หรือว่าเจ้าจะบุกเข้าไปในสวนท้อของพระนางซีหวังหมู่ แล้วได้ไปกินผลท้อเซียนของจริงมา?”


หลังจากที่สัมผัสถึงพลังปราณอันคุ้นเคยของเยี่ยเทียนได้ วานรขาวก็ร้องเสียงแปลกๆ ออกมา ตีลังกาอยู่กับที่ไปสองที แล้วมองดูเยี่ยเทียนด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ


การบำเพ็ญพรตนั้นเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก และแทบจะไม่มีทางลัดสู่ความสำเร็จเลย วานรขาวฝึกบำเพ็ญมาสองร้อยกว่าปีแล้ว แต่ก็ยังมีพลังฝีมือระดับเซียนเทียนช่วงกลางเท่านั้น แม้แต่เจ้านายของมันที่ฝึกบำเพ็ญมาสามร้อยกว่าปี ก็เพิ่งจะพยายามจนไปถึงระดับเซียนเทียนช่วงปลายได้ตอนที่จะไปจากเสินหนงเจี้ยแล้ว


ส่วนเยี่ยเทียนเมื่อสองปีก่อนนั้น ก็เพิ่งจะอยู่ขั้นสูงสุดของระดับโฮ่วเทียน (หลังกำเนิด) และมีความหวังสูงที่จะพัฒนาไปถึงระดับเซียนเทียนได้เท่านั้นเอง แต่ในเวลาเพียงสองปีนี้ เขากลับมีพลังฝีมือถึงระดับเจี่ยตันแล้ว ระดับนี้เหนือกว่าระดับเซียนเทียนช่วงปลายขึ้นไปอีก จึงนับว่าเหนือกว่าวานรขาวไปถึงสองระดับ นี่ทำให้วานรขาวรู้สึกอย่างกับว่า ตัวเองได้หลุดออกจากโลกแห่งความเป็นจริงไปแล้ว


“พี่วานรขาว เรื่องพวกนี้ไว้ค่อยพูดกันทีหลังนะ”


เมื่อเห็นวานรขาวท่าทางตกตะลึง เยี่ยเทียนก็โบกมือ สีหน้าพลันขรึมลงไป


“พี่วานรขาว ผมฝากเหมาโถวไว้กับพี่แท้ๆ พี่ไม่ได้ตั้งใจดูแลมันเลยรึไง?”


ขณะพูด เยี่ยเทียนกวักมือขวาหนึ่งครั้ง แล้วเหมาโถวซึ่งอยู่ห่างไปยี่สิบกว่าเมตรก็ถูกพลังมหาศาลดึงดูดมาสู่อ้อมแขนของเยี่ยเทียน อาการบาดเจ็บของเหมาโถวดูไม่ใช่เบาๆ เลย หลังจากที่มันเห็นเยี่ยเทียน ก็ได้แต่แสดงความตื่นเต้นยินดีออกมาทางแววตา ทำไม่ได้แม้แต่จะแลบลิ้นออกมาเลียหลังมือของเยี่ยเทียน


เยี่ยเทียนก้มหน้าลงเล็กน้อย ดวงตาฉายรังสีอำมหิตออกมา เขาหยิบพลอยวิเศษธาตุไม้ขนาดเท่านิ้วก้อยเม็ดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าหนังที่พกติดตัว จากนั้นก็แงะปากของเหมาโถวให้เปิดออกแล้วใส่เข้าไป


“อย่ากลืนลงไปนะ ดูดรับปราณวิเศษที่อยู่ในนั้นมารักษาอาการบาดเจ็บซะ!”


“จี จี…”


เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังชีวิตอันมหาศาลที่แผ่มาจากในปาก เหมาโถวก็ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที หลังจากครางอยู่พักหนึ่ง มันก็เริ่มโคจรปราณแท้ตามวิชาที่วานรขาวถ่ายทอดให้ ชักนำปราณวิเศษนั้นมาหล่อเลี้ยงร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บ


“ฮื่ม!”


หลังจากสิงห์ขนทองน้อยโจมตีนักพรตจนล่าถอยไป แล้วเห็นพลอยวิเศษปรากฏขึ้นในมือของเยี่ยเทียน มันก็ขยับร่างวูบ กระโจนมาอยู่บนไหล่ของเยี่ยเทียนอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แล้วใช้อุ้งเท้าน้อยๆ ข้างขวาถูไถเขาด้วยสีหน้าประจบประแจง


“แกนี่นะ คนอื่นเขาจำเป็นต้องใช้ช่วยชีวิต แต่อย่างแกน่ะคือตะกละ!”


เยี่ยเทียนส่ายหน้าอย่างระอา แต่เมื่อครู่นี้เจ้าสิงห์น้อยก็แสดงฝีมือได้ไม่เลวเลย หลังจากคิดๆ ดูแล้ว เยี่ยเทียนจึงหยิบพลอยวิเศษออกมาอีกเม็ดหนึ่งหย่อนใส่ปากของสิงห์ขนทอง เพียงแต่พลอยวิเศษเม็ดนี้มีขนาดเพียงเท่าเล็บนิ้วหัวแม่มือเท่านั้น


“น…นั่นมันพลอยวิเศษธาตุไม้นี่?”


ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะหยิบพลอยวิเศษออกมาอีก ก็มีเสียงร้องอุทานดังมาจากจุดที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร นักพรตรูปนั้นดูออกว่า พลอยวิเศษที่แผ่พลังชีวิตออกมาอย่างไม่มีวันหมดสิ้นนั้น ก็คือพลอยวิเศษธาตุไม้ซึ่งแทบจะสูญสิ้นไปจากโลกของผู้บำเพ็ญพรตแล้วนั่นเอง!


นี่ทำให้สายตาของนักพรตกลายเป็นร้อนแรงขึ้นมา เนื่องจากพลังชีวิตที่สะสมอยู่ในพลอยวิเศษธาตุไม้นั้นสามารถเยียวยาอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันยังสามารถช่วยเสริมปราณแท้ในกายได้อีกด้วย ถ้านำมาใช้ในยามที่ต้องผ่านภัยอัสนีสวรรค์ละก็ จะเป็นประโยชน์ยิ่งกว่าของวิเศษใดๆ ทั้งนั้น เพียงมีพลอยวิเศษธาตุไม้หนึ่งเม็ด อย่างน้อยโอกาสที่จะผ่านภัยอัสนีสวรรค์สำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นมาถึงสองส่วนแล้ว


เพียงแต่ว่า พลอยวิเศษธาตุไม้จะก่อเกิดได้ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายอย่างยิ่ง แม้แต่ภายในดินแดนแห่งทวยเทพที่อุดมไปด้วยปราณวิเศษก็ยังแทบจะสาบสูญไปแล้ว มีเพียงสำนักใหญ่ๆ บางแห่งที่ยังมีเก็บสำรองอยู่จำนวนน้อยนิด แต่ก็คงไม่มีทางนำออกมาแน่


“ท่านก็มีความรู้เหมือนกันนี่ ถูกต้อง นี่ก็คือพลอยวิเศษธาตุไม้!”


ถึงเยี่ยเทียนจะกำลังก้มหน้าอยู่ แต่พลังปราณของเขาก็สามารถจับคลื่นอารมณ์และความโลภที่ฉายออกมาจากดวงตาของนักพรตรูปนั้นได้ จึงแค่นหัวเราะในใจ แล้วเอ่ยขึ้นว่า


“เฟอร์เร็ตตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงของฉันเอง ไม่ทราบว่ามันไปล่วงเกินสหายพรตอย่างไร ถึงกับต้องลงมือโหดเช่นนี้?”


“สหายพรตท่านนี้ ท่านคงจะเข้าใจผิดไปแล้วละ!”


นักพรตรูปนั้นกลอกลูกตา กลัดชุดนักพรตที่ขาดวิ่นให้ติดกัน ค้อมกายคารวะต่อเยี่ยเทียนอย่างต่ำมาก แล้วกล่าวด้วยท่าทางเคารพนอบน้อมว่า


“ข้าชื่อเหอปู้อวี่ เดิมทีได้รับการไหว้วานจากสหายพรตผู้พี่ท่านหนึ่ง มายังโลกของคฤหัสถ์เพื่อเก็บตัวยาสำหรับนำไปปรุงยาวิเศษ


“แต่คาดไม่ถึงเลยว่า ขณะที่ข้ากำลังเตรียมจะเก็บตัวยา กลับถูกเฟอร์เร็ตนี้จู่โจมกะทันหัน ตอนนั้นด้วยความที่ไม่ได้ยั้งคิด จึงไม่ได้ยั้งมือ และไม่ทราบว่าเป็นสัตว์เลี้ยงของสหายพรต ผู้แซ่เหอต้องขออภัยต่อสหายพรตมา ณ ที่นี้ด้วย ข้ายังมียาวิเศษอยู่จำนวนหนึ่ง ขอสหายพรตโปรดรับไว้ ถือเสียว่าเป็นของไถ่โทษจากผู้แซ่เหอ!”


นักพรตกล่าวพลางหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาแล้วโยนไปทางเยี่ยเทียน ท่าทีนั้นแลดูจริงใจอย่างยิ่ง


เยี่ยเทียนรับขวดหยกมาเปิดจุก และยกขึ้นมาดมที่ปลายจมูก ในกลิ่นเผ็ดร้อนแฝงด้วยความหอมกรุ่น จัดเป็นยาวิเศษสำหรับรักษาการบาดเจ็บจริงๆ ยามนั้นรอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้า และเอ่ยขึ้นว่า


“เจ้าของเดิมของถ้ำแห่งนี้ก็นับว่าเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของฉัน ไม่ทราบว่าสหายพรตเหอพอจะเอ่ยชื่อแซ่ของเขาได้หรือไม่?”


วาจาของนักพรตรูปนี้ เยี่ยเทียนไม่เชื่อถือเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว ถ้าเขามาที่นี่เพราะได้รับการไหว้วานจากเจ้าของถ้ำจริงๆ ไหนเลยจะมาทำร้ายวานรขาวซึ่งเป็นผู้เฝ้าสวนสมุนไพรแบบนี้? มิหนำซ้ำดูจากรูปการณ์แล้ว ถ้าเยี่ยเทียนไม่มา เขาก็อาจจะสังหารวานรขาวไปแล้วก็เป็นได้


“แน่นอน ข้ากับสหายพรตซือคงคบหาสมาคมกันมาหลายสิบปีแล้ว มิตรภาพผูกพันแน่นแฟ้น แล้วจะไม่ทราบนามของเขาได้อย่างไร?”


เหอปู้อวี่หัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมาเสียงดังแล้วพูดต่อ


“ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเข้าใจผิดกันเท่านั้นเอง ถ้าไม่ใช่เพราะเดียรัจฉานนี่เข้ามาขัดขวางอย่างไม่กลัวตาย ข้าก็คงไม่ไปทำร้ายพวกมันหรอก!”


นักพรตหัวเราะดังลั่นออกมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วพลิกข้อมือหยิบกระบี่สั้นยาวสามชุ่นออกมาเล่มหนึ่ง โยนส่งให้วานรขาวแล้วเอ่ยขึ้นว่า


“ดูสิ ว่าใช่ของที่เจ้านายแกทิ้งไว้รึเปล่า? ช่างเป็นลิงที่ไร้อารยธรรมเสียจริง เสียแรงที่พี่ซือคงอุตส่าห์ชมอยู่บ่อยๆ ว่าแกน่ะฉลาดหลักแหลมนัก!”

 

 

 


ตอนที่ 870 ต่างฝ่ายต่างแฝงเลศนัย (1)

 

“เป็นกระบี่สั้นที่นายท่านเคยใช้ น…นี่มันเป็นมรดกประจำตระกูลของนายท่านนี่นา!”


หลังจากยื่นมือไปรับกระบี่สั้นที่นักพรตรูปนั้นโยนมาพิจารณาดูครู่หนึ่ง วานรขาวก็ร้องอุทานออกมา ในดวงตาทั้งคู่ปริ่มไปด้วยน้ำตาทันที


เมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน ประมุขรุ่นปัจจุบันของตระกูลซือคงรู้ว่าชีวิตของตนใกล้ถึงขีดจำกัด จึงออกเดินทางไปแสวงโชคชะตา ตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย เดิมทีวานรขาวนึกว่าเจ้านายคงดับขันธ์กลายเป็นเซียนไปแล้ว พอตอนนี้จู่ๆ ก็ได้เห็นของแทนตัวของเจ้านาย ในใจจึงรู้สึกสะทกสะท้อนขึ้นมาอย่างไม่อาจหักห้ามได้


ในตระกูลซือคงนั้น มีธรรมเนียมการเลี้ยงวานรขาวมาตลอดหลายพันปี แม้สองฝ่ายจะเป็นนายกับบ่าว แต่ก็ปฏิบัติต่อกันดั่งญาติสนิท วานรขาวตัวนี้ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้านายมาตั้งแต่เล็กจนโต มีชีวิตอยู่ร่วมกันมาสองร้อยกว่าปี ความผูกพันนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าความผูกพันระหว่างมนุษย์เลย


“เอามาดูหน่อยซิ!”


เยี่ยเทียนยื่นมือออกไปปล่อยพลังดูดกระบี่สั้นเล่มมา ทันทีที่เข้ามาอยู่ในมือ เยี่ยเทียนก็รู้สึกได้ถึงความพิเศษของกระบี่สั้นเล่มนี้


กระบี่สั้นเล่มนี้มีความยาวเพียงสามชุ่น แทบจะพอๆ กับมีดบินคู่กายของเยี่ยเทียน แต่กลับหนักถึงพันชั่ง บนด้ามกระบี่สลักไว้ว่า ‘ซือคง’ ด้วยตัวอักษรจ้วน บนตัวกระบี่สีดำทะมึนมีประกายแสงสีทองแล่นวูบวาบ ที่แท้กระบี่ทั้งเล่มหลอมตีขึ้นมาจากทองคำบริสุทธิ์ เมื่อลองใช้นิ้วดีดลงไป ก็เกิดเสียงใสกังวานสะท้านไปรอบทิศ


หลังจากเห็นการกระทำของเยี่ยเทียน วานรขาวก็พูดขึ้นว่า


“ย…เยี่ยเทียน กระบี่สั้นเล่มนี้เป็นมรดกประจำตระกูลของนายท่านจริงๆ ด้วย!”


กระบี่สั้นเล่มนี้เดิมทีเป็นกระบี่บินคู่กายของประมุขรุ่นที่สองของตระกูลซือคง ท่านเป็นคนแกร่งที่สามารถบรรลุจินตันและสำเร็จมหามรรคได้ เพียงแต่ประมุขท่านนี้ไม่ได้มีพรสวรรค์มากนัก แม้จะมีอายุขัยยาวนานถึงหนึ่งพันปี แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ผ่านภัยอัสนีสวรรค์


ประมุขตระกูลซือคงรู้ว่าตนจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน ก่อนที่จะดับขันธ์กลายเป็นเซียน จึงลบล้างจิตของตนออกจากกระบี่บินคู่กายเล่มนี้ไป แล้วส่งต่อให้แก่ทายาทรุ่นหลัง


แต่เพราะความเคารพที่ประมุขรุ่นต่อๆ มามีต่อบรรพชนท่านนี้ จึงได้แต่บูชากระบี่สั้นเล่มนี้เป็นสมบัติประจำตระกูล ไม่ได้นำไปหล่อหลอมไว้ใช้เอง วานรขาวติดตามประมุขรุ่นปัจจุบันมานานแล้ว ย่อมรู้ประวัติของกระบี่สั้นเล่มนี้ดี


“แล้ว…แล้วแกทำไมไม่รีบบอก? ถ้าแกหยิบกระบี่สั้นเล่มนี้ออกมาก่อน ข้าจะไปขัดขวางการเก็บตัวยาของแกทำไมเล่า?”


วานรขาวเช็ดน้ำตา แล้วมองไปที่เหอปู้อวี่


“ตอนนี้นายท่านอยู่ที่ไหน? ท่านน่าจะบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคได้แล้วกระมัง? แล้วทำไมท่านถึงไม่มาหาข้าบ้างเลยล่ะ?”


พอพูดถึงประเด็นเศร้า วานรขาวก็ร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมาทันที ถึงมันจะฝึกบำเพ็ญมาหลายร้อยปีแล้ว แต่ก็ยังคงไม่อาจทิ้งนิสัยเปิดเผยจริงใจอย่างเดิมได้ เมื่อนึกถึงเรื่องราวสารพัดสารพันในสมัยก่อนที่ได้อยู่กับเจ้านาย วานรขาวก็นึกอยากจะออกเดินทางจากที่นี่ไปตามหาท่านเสียเดี๋ยวนั้นเลย


“นับว่ายังมีใจระลึกถึงนายเก่าอยู่ ถือเสียว่าก่อนหน้านี้ข้าทำไม่ถูกเอง ผู้แซ่เหอขออภัยด้วยก็แล้วกัน!”


เหอปู้อวี่ดูเหมือนจะรู้สึกตื้นตันต่อความจริงใจของวานรขาวมาก จึงโค้งกายเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นว่า


“ท่านพี่ซือคงบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคไปตั้งแต่เมื่อสามสิบปีก่อนแล้ว อายุขัยจึงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งพันปีเศษ วันหน้าพวกเจ้านายบ่าวย่อมต้องได้พบกันอีกแน่นอน”


“นายท่านบรรลุจินตันแล้วทำไมถึงไม่มาหาข้าล่ะ? ที่นี่เป็นถิ่นฐานของตระกูลท่านแท้ๆ ของบางอย่างระดับจินตันก็น่าจะได้ใช้เหมือนกันนี่!”


วานรขาวไม่เข้าใจในสิ่งที่เหอปู้อวี่กล่าวมาเลย ตระกูลซือคงก็เป็นตระกูลของผู้บำเพ็ญเซียนที่มีประวัติมาช้านาน แม้ในยุคปัจจุบันจะเสื่อมถอยลงไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรก็เคยปรากฏยอดฝีมือระดับจินตันมาก่อน ของล้ำค่าที่เก็บสะสมไว้จึงมีอยู่จำนวนไม่น้อย


ตอนที่ประมุขตระกูลรุ่นปัจจุบันจะออกเดินทางก็ยังกล่าวไว้ด้วยว่า หากในยามที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นี้สามารถบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคได้ ก็จะกลับมาพาวานรขาวไปที่มิติดินแดนแห่งทวยเทพนั้นด้วยกัน ดังนั้นวานรขาวถึงได้เฝ้าอยู่ที่นี่อย่างตั้งอกตั้งใจมากว่าครึ่งศตวรรษ


“เจ้าไม่รู้หรอกรึ?”


เมื่อได้ยินคำพูดของวานรขาว เหอปู้อวี่ก็มีสีหน้าประหลาดใจ แล้วหันไปพูดกับเยี่ยเทียนว่า


“สหายพรตท่านนี้ต้องรู้แน่ว่าท่านพี่ซือคงไม่ได้กลับมาเพราะสาเหตุใด!”


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน กำลังอยากจะขอเรียนถามอยู่พอดี!” เยี่ยเทียนตอบอย่างสุขุมเยือกเย็น


“อ้อ? สหายพรตก็ไม่รู้เหมือนกันหรือ?”


เหอปู้อวี่เปลี่ยนสีหน้า ดวงตาฉายแววยินดีออกมาเล็กน้อยจนแทบไม่อาจสังเกตเห็น


“ตลอดสองร้อยกว่าปีมานี้ ปราณวิเศษในโลกของคฤหัสถ์ได้เหือดหายไปมาก และช่องว่างของมิติก็ไม่มั่นคง หนทางมีขีดจำกัด ดังนั้นหลังจากที่ยอดฝีมือระดับจินตันออกมาจากแดนแห่งทวยเทพแล้ว พลังฝีมือก็จะถูกลดลงไปอยู่ที่ระดับเซียนเทียน…”


“เอ๊ะ? ที่พี่เหอพูดมานี่ขนาดฉันเองยังไม่ค่อยเข้าใจเลยนะ”


เยี่ยเทียนพลันพูดขัดเหอปู้อวี่


“ต่อให้พลังฝีมือของสหายพรตซือคงถูกลดลงไปเป็นระดับเซียนเทียน แต่ก็น่าจะกลับมาได้อยู่ แล้วทำไมจะต้องให้พี่เหอมาเป็นธุระให้ด้วยล่ะ?”


“สหายพรตอาจไม่ทราบ กลับมานั้นกลับมาได้ แต่ถ้าอยากจะกลับเข้าไปที่นั่นอีก ก็จะต้องผ่านอัสนีสวรรค์ระดับจินตันอีกครั้งหนึ่ง!”


เหอปู้อวี่เว้นวรรคไปครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อ


“ท่านก็คงจะรู้ว่า การผ่านอัสนีสวรรค์ระดับจินตันนั้นมีโอกาสรอดเพียงน้อยนิด ย่อมไม่มีใครอยากผ่านภัยนี้อีกเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นท่านพี่ซือคงจึงได้ไหว้วานให้ข้ามานำของที่ท่านต้องการกลับไปให้!”


“เป็นแบบนี้เองรึ? อย่างนั้นพวกเราก็เป็นฝ่ายเข้าใจพี่เหอผิดไปเอง เรื่องที่เฟอร์เร็ตตัวนี้ได้รับบาดเจ็บ เราจะถือว่าแล้วกันไปก็แล้วกัน!”


หลังจากฟังคำอธิบายของเหอปู้อวี่ สีหน้าของเยี่ยเทียนก็กระจ่างขึ้นราวกับแสงตะวันทันที ราวกับหิมะน้ำแข็งที่ได้ละลายไป ดูเหมือนเขาจะไม่ติดใจอะไรกับการกระทำเมื่อครู่ของคนผู้นี้อีกแล้ว ท่าทีที่แสดงออกมานั้นแลดูจริงใจไม่แพ้การกล่าวขอโทษของเหอปู้อวี่


“ขอบคุณสหายพรตที่เข้าใจ”


เหอปู้อวี่คารวะให้เยี่ยเทียนอีกครั้งหนึ่ง สายตากวาดไปที่วานรขาวแล้วพูดว่า


“เจ้าวานรขาว ยังมีอะไรจะพูดอีกไหม?”


วานรขาวส่ายหัว


“ไม่มี ก่อนหน้านี้ข้าเป็นฝ่ายวู่วามเอง ข้าจะส่งมอบข้าวของที่นายท่านทิ้งไว้ให้เจ้าทั้งหมดเลยก็ได้ แต่เจ้าต้องรับปากว่าจะพาข้าไปหานายท่าน!”


เมื่อมีสมบัติประจำตระกูลของเจ้านายเป็นของแทนตัว ยามนี้วานรขาวจึงไม่รู้สึกระแวงสงสัยต่อเหอปู้อวี่อีกเลย มันคิดเพียงแต่ว่า จะส่งสิ่งของทั้งหมดที่อยู่ในถ้ำของเจ้านายให้แก่อีกฝ่าย จากนั้นตนก็ติดตามไปพบกับเจ้านาย


‘บัดซบ เจ้าลิงน่าตายนี่มันหลอกเรานี่หว่า?’


หลังจากฟังบทสนทนาระหว่างเหอปู้อวี่และวานรขาว เยี่ยเทียนก็อดก่นด่าในใจไม่ได้ คราวก่อนเจ้าลิงนี่บอกอยู่แท้ๆ ว่า ถ้ำของเจ้านายถูกผนึกไว้ใต้ดิน แม้แต่มันเองก็ไม่มีทางที่จะเข้าไปได้


“เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน ขอเรียนถาม สหายพรตท่านนี้มีนามว่าอะไรหรือ?”


เหอปู้อวี่โบกมือ มองไปทางสิงห์ขนทองที่อยู่บนไหล่ของเยี่ยเทียนแล้วพูดต่อ


“สหายพรตสามารถเลี้ยงอสูรประหลาดเช่นนี้ได้ คาดว่าคงมีเบื้องหลังไม่ธรรมดาแน่ ไม่ทราบว่าสหายพรตเป็นสาวกของสำนักคุนหลุน หรือว่าเป็นศิษย์เอกของสำนักฮุ่นหยวน? นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะได้มาพบกับบุคคลเช่นสหายพรตที่นี่”


เมื่อหยุดกิริยาตอนที่ต้องต่อสู้ห้ำหั่นกันเมื่อครู่แล้ว ถ้อยคำอันราวกับสายลมอุ่นและสายฝนปรอยๆ ของเหอปู้อวี่นั้น ก็สามารถที่จะทำให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกไว้วางใจและชอบพอได้อย่างง่ายดาย และทำให้ผู้อื่นไม่อาจเกิดจิตคิดมาดร้ายต่อเขาได้ แม้แต่สิงห์ขนทองน้อยที่อยู่บนไหล่ของเยี่ยเทียนก็ยังมองไปที่นักพรตด้วยสายตาที่ไม่มีรังสีอำมหิตแล้ว


“สหายพรตเกรงใจไปแล้ว ผมแซ่เยี่ย และก็ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของสำนักใดๆ ที่สหายพรตกล่าวมาเลย แต่เติบโตมาในโลกของปุถุชนนี้นี่แหละ!”


เยี่ยเทียนก็ดูเหมือนจะไม่ได้ระแวงเหอปู้อวี่เลย ขณะที่โก่วซินเจียกำลังจะเอ่ยปากยั้งเขาไว้ไม่ให้เปิดเผยข้อมูลออกมา เยี่ยเทียนก็พูดต่ออีกว่า


“ผมเพิ่งจะบำเพ็ญพรตมาเพียงยี่สิบปีเศษเท่านั้น ท่านนี้คือศิษย์พี่ใหญ่ของผมเอง พวกเราก็ต้องอาศัยของล้ำค่าบางอย่างที่เป็นมรดกตกทอดในสำนักเหมือนกัน ถึงจะพัฒนามาถึงระดับเซียนเทียนได้!”


“ศิษย์น้องเล็ก…”


โก่วซินเจียไม่นึกว่าเยี่ยเทียนจะเปิดเผยเบื้องหลังของตัวเองให้ฝ่ายตรงข้ามรู้จนหมด แต่ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากห้าม กระแสจิตของเยี่ยเทียนก็ดังขึ้นในห้วงสมอง


‘ศิษย์พี่ใหญ่ นิ่งเฉยไว้ก่อนอย่าใจร้อน คนผู้นี้ในใจซ่อนเจตนาร้ายไว้ ทำไมผมจะดูไม่ออก?’


“ศิษย์น้องเล็ก ไม่ควรเปิดเผยเบื้องลึกกับคนที่รู้จักเพียงผิวเผินนะ!”


เมื่อได้ยินกระแสจิตของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียก็ตำหนิเยี่ยเทียนไปคำหนึ่ง ทว่าใบหน้ากลับดูไม่มั่นใจเล็กน้อย


“สหายพรตเยี่ยเพิ่งจะบำเพ็ญพรตมายี่สิบกว่าปีเท่านั้นหรือ?”


เหอปู้อวี่ไม่ได้สนใจฟังคำพูดของโก่วซินเจียเลย เพราะเขามัวแต่ตกตะลึงกับสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมา คราวนี้อาการตื่นตะลึงที่ปรากฏบนใบหน้ากลับไม่ได้เป็นการเสแสร้งออกมาเลย


แม้ว่าพลังฝีมือเพิ่งจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนช่วงปลายได้ไม่นาน แต่เหอปู้อวี่ก็มีประสบการณ์และความรู้กว้างขวางอย่างยิ่ง เขาย่อมมีวิชาที่สามารถล่วงรู้อายุที่แท้จริงของเยี่ยเทียน โดยผ่านการตรวจดูโครงกระดูกและร่างกายภายนอกของเขาได้ หลังจากยืนยันแล้วว่าสิ่งที่เยี่ยเทียนกล่าวมาไม่ได้เป็นความเท็จ ในใจของเหอปู้อวี่ก็เกิดคลื่นยักษ์ถาโถมขึ้นมาทันที


ช่วงแรกๆ ที่เหอปู้อวี่ผู้นี้เริ่มบำเพ็ญพรตนั้น โชคของเขาไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก สมัยที่ยังไม่ถึงระดับเซียนเทียน เขาก็ติดตามอาจารย์เข้าไปในมิติของดินแดนแห่งทวยเทพ เพียงแต่หลังจากที่เข้าไปได้ไม่นาน อาจารย์ของเขาก็ตายไปในระหว่างการต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากรครั้งหนึ่ง


ในตอนแรก เหอปู้อวี่ผู้ไร้ที่พึ่งพิงก็ไปเข้าร่วมกับสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่ใครเลยจะคาดคิดว่า หลังจากผ่านไปเพียงปีเดียว สำนักนั้นกลับถูกผู้อื่นขุดรากถอนโคน เหอปู้อวี่ซึ่งเคราะห์ดีรอดภัยครั้งนั้นมาได้ จึงต้องฝึกวิชาตามลำพังอย่างระหกระเหินด้วยเหตุนี้เอง


ในมิติดินแดนแห่งทวยเทพที่ทรัพยากรในการบำเพ็ญเซียนขาดแคลนไม่ต่างกันนี้ เหมืองที่มีสายแร่วิเศษส่วนมากล้วนถูกค่ายสำนักใหญ่ๆ ครอบครองไปหมดแล้ว การฝึกบำเพ็ญตามลำพังย่อมลำบากยากเย็นอย่างไม่ต้องสงสัย เหอปู้อวี่จึงไปขอกราบผู้อื่นเป็นอาจารย์อีกหลายครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธปิดประตูใส่ทุกครั้งเพราะมีคุณสมบัติไม่ดีพอ


เมื่อมีชีวิตอยู่มานานเข้า เหอปู้อวี่จึงเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัตินี้อย่างลึกซึ้ง การบรรลุถึงระดับเซียนเทียนในดินแดนแห่งทวยเทพนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง ลูกศิษย์แทบทั้งหมดในแต่ละสำนักต่างก็มีพลังฝีมือระดับเซียนเทียนกันทั้งนั้น


แต่การก้าวจากระดับเซียนเทียนไปสู่ระดับจินตันนั้น กลับเปรียบดั่งหุบเหวขนาดใหญ่ยักษ์ที่ยากจะข้ามไปได้ แทบจะมีคนเพียงหนึ่งในหมื่นเท่านั้นที่จะสามารถผ่านอัสนีสวรรค์ระดับจินตัน จนบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคได้ ยอดฝีมือระดับนี้ในแต่ละสำนัก ต่างก็ได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นศิษย์ระดับอาวุโสของสำนักกันทั้งนั้น


แต่เท่าที่เหอปู้อวี่รู้ คนที่สามารถไปถึงระดับจินตันได้เร็วที่สุดในดินแดนแห่งทวยเทพ ก็มีอายุมากกว่าหกสิบปีแล้ว


ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ที่จะสามารถก้าวไปถึงระดับจินตันภายในเวลาไม่เกินหนึ่งร้อยปีได้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะชั้นยอดที่ได้รับการอบรมพิเศษในแต่ละสำนักทั้งนั้น ผู้ที่ไปถึงระดับเจี่ยตันได้ขณะที่อายุเพียงยี่สิบกว่าปีแบบเยี่ยเทียนนี้ เหอปู้อวี่แค่ได้ยินยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย


ถ้าข่าวนี้แพร่เข้าไปในมิติดินแดนแห่งทวยเทพละก็ เกรงว่าแม้แต่ยอดฝีมือระดับจินตันเหล่านั้นก็คงจะยอมเสี่ยงรับอัสนีสวรรค์อีกครั้ง เพื่อบุกมาชิงตัวคนที่โลกของปุถุชนนี้แน่นอน


เพราะหากเยี่ยเทียนสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ย่อมมีหวังที่จะฝ่าฟันไปถึงระดับหยวนอิงได้แน่ และเขาก็จะมีพลังในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดน หากสำนักใดปรากฏยอดคนระดับหยวนอิงขึ้นมาสักคนหนึ่งแล้ว เช่นนั้นตำแหน่งฐานะของสำนักก็จะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด และสิ่งที่จะตามมาหลังจากนั้นก็คือทรัพยากรและผลประโยชน์ต่างๆ นานา


เดิมทีในใจเหอปู้อวี่มีความคิดอย่างอื่นอยู่ แต่หลังจากที่รู้อายุที่แท้จริงของเยี่ยเทียนแล้ว เขาก็เริ่มจะลังเลขึ้นมา ตอนนี้เหอปู้อวี่กำลังชั่งใจอยู่ว่า ถ้านำข่าวเรื่องเยี่ยเทียนไปขายให้สำนักบางแห่ง แล้วเขาจะได้รับผลประโยชน์ที่มากยิ่งกว่าหรือไม่?

 

 

 


ตอนที่ 871 ต่างฝ่ายต่างแฝงเลศนัย (2)

 

ที่จริงแล้วในดินแดนแห่งทวยเทพเสินโจวก็ไม่ได้ขาดแคลนอัจฉริยะเลย ชนพื้นเมืองที่กำเนิดในดินแดนนี้หลายคนก็สามารถบากบั่นไปถึงขั้นบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคได้ในเวลาเพียงหนึ่งร้อยกว่าปี แต่เมื่อเทียบกับเยี่ยเทียนที่อายุเพียงยี่สิบกว่าปีแล้ว กลับทำให้คนเหล่านั้นดูอับแสง ไม่คู่ควรที่จะได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะอีกต่อไป


ดังนั้นเหอปู้อวี่จึงเชื่อว่า เมื่อตนกลับไปถึงในดินแดนนั้นแล้ว เพียงนำอายุและระดับพลังฝีมือของเยี่ยเทียนไปรายงานต่อสำนักใหญ่ๆ บางแห่ง ฝ่ายนั้นจะต้องให้ความสำคัญกับเขาอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลาก็คงจะได้รางวัลไม่น้อย กระทั่งอาจยังได้เข้าไปอยู่ในสำนักแห่งนั้นเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย


เพราะอาศัยระดับของเยี่ยเทียนในตอนนี้ หากก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งทวยเทพเมื่อใด ก็จะไม่อาจเก็บงำพลังฝีมือของตนไว้ได้ ต้องเผชิญกับอัสนีสวรรค์ระดับจินตัน แต่อาศัยพลอยวิเศษธาตุไม้ที่เยี่ยเทียนมีอยู่ในมือ และเคล็ดวิชาของสำนักใหญ่ๆ เหล่านั้นแล้ว การผ่านอัสนีสวรรค์ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก เหอปู้อวี่ก็จะมีความดีความชอบมากยิ่งขึ้น


แต่ถ้าเขาสังหารเยี่ยเทียนเสีย ก็จะได้รับผลประโยชน์มากมายเช่นกัน สาเหตุที่เหอปู้อวี่ลังเลไม่อาจตัดสินใจก็เพราะกำลังชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสียอยู่ ถึงอย่างไรเยี่ยเทียนก็มีระดับสูงกว่าเขา และยังมีผู้ช่วยอีกไม่น้อย หากเริ่มลงมือเมื่อใด ก็จะจะต้องต่อสู้กันตายไปข้างหนึ่งถึงจะเลิกรา หากผลประโยชน์ที่จะได้รับนั้นไม่มากพอ คนขี้ระแวงรอบคอบอย่างเหอปู้อวี่ย่อมไม่เลือกใช้วิธีนี้แน่


“หืม? คนผู้นี้คลื่นอารมณ์ไม่อยู่นิ่ง ทำไมยังไม่ลงมืออีกล่ะ?”


ตอนแรกที่เห็นรังสีอำมหิตในแววตาของเหอปู้อวี่ เยี่ยเทียนยังนึกว่าอีกฝ่ายกำลังจะลงมือปล้นตนแล้วเสียอีก หลังจากผ่านไปนานเข้า ท่าทีของเหอปู้อวี่ก็กลับดูนอบน้อมมากขึ้น จิตมุ่งร้ายที่สัมผัสได้นิดๆ นั้นก็เหมือนจะอันตรธานไปหมดแล้ว ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกสับสนอย่างยิ่ง


แม้จะรู้สึกหวั่นเกรงต่ออุบายของนักพรตรูปนี้อยู่บ้าง แต่เยี่ยเทียนเป็นคนประเภทไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบ ตั้งแต่ตอนที่เห็นเหมาโถวถูกทำร้ายจนเจ็บหนักเจียนตาย ในใจเขาก็เกิดจิตสังหารแล้ว การกระทำเมื่อครู่นั้นจึงเป็นเพียงการใช้อัธยาศัยดีบังหน้าเท่านั้นเอง


สาเหตุที่เยี่ยเทียนจงใจพูดออกมาว่า ตนนั้นยังไม่เคยเข้าสู่แดนแห่งทวยเทพมาก่อน และในสำนักก็ไม่มีผู้อาวุโสท่านอื่นๆ แล้ว ก็เพื่อที่จะทำให้เหอปู้อวี่ตายใจและกล้าลงมือ ไม่เช่นนั้นแล้ว เยี่ยเทียนผู้เคยออกท่องยุทธภพมาตั้งแต่เด็กจนเคยชินจะเปิดเผยข้อมูลตัวเองตั้งแต่เพิ่งพบหน้าได้อย่างไรกัน?


เยี่ยเทียนมองดูดวงตาอันหลุกหลิกไม่อยู่นิ่งของเหอปู้อวี่ แล้วเอ่ยถามว่า


“สหายพรตเหอ ฉันได้ยินมานานแล้วว่ามีมิติดินแดนแห่งทวยเทพเหล่านี้อยู่ ไม่ทราบว่าจริงๆ แล้วภายในนั้นมีสภาพเป็นอย่างไร? แล้วสหายพรตเหออยู่ค่ายสำนักไหน?”


ในเมื่อเหอปู้อวี่ไม่ได้มีความคิดที่จะลงมือในทันที เยี่ยเทียนก็ยินดีที่จะสนทนาต่ออีกสักหน่อย เขาไม่รู้เรื่องที่ว่า ระดับจินตันไม่อาจข้ามภพแดนมายังโลกของปุถุชนได้ และก็กลัวว่าหากสังหารผู้น้อยไปแล้ว จะเป็นการชักนำผู้ใหญ่ในสำนักของอีกฝ่ายมา ดังนั้นแม้จะมีพลังฝีมือระดับเจี่ยตัน แต่เยี่ยเทียนก็เข้าใจดีว่า ตนนั้นยังมีส่วนที่ด้อยกว่ายอดฝีมือระดับจินตันที่แท้จริงอยู่


“ฮ่ะๆ ในเมื่อสหายพรตเอ่ยถาม ผู้แซ่เหอย่อมมิกล้าปิดบัง”


เหอปู้อวี่หัวเราะอย่างเบิกบานเปิดเผย


“ในแดนแห่งทวยเทพที่ข้าอยู่นั้น มีสำนักคุนหลุนและสำนักฮุ่นหยวนเป็นใหญ่ ปราณวิเศษภายในดินแดนนั้นอุดมสมบูรณ์กว่าที่นี่เป็นร้อยเป็นพันเท่า เหมาะแก่การฝึกวิชาของผู้บำเพ็ญพรตอย่างยิ่ง ส่วนผู้แซ่เหอนั้น ก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญพเนจรคนหนึ่งเท่านั้นเอง…”


พอพูดถึงตรงนี้ เหอปู้อวี่ก็รู้สึกปวดแปลบขึ้นมาในใจ เดิมทีเขาก็พอมีพรสวรรค์อยู่ แต่เพราะประสบเหตุพลิกผันครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้การฝึกล่าช้าไปหนึ่งร้อยกว่าปี ถ้าเขาได้เข้าไปอยู่ในสำนักใหญ่ๆ ตั้งแต่แรก ก็คงมีหวังที่จะได้ไปถึงระดับบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคแล้ว


ความคิดเช่นนี้ทำให้จิตใจของเหอปู้อวี่เริ่มจะเสียสมดุล ทำไมเจ้าหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี่จะต้องได้เป็นคนสำคัญของสำนักเหล่านั้นด้วยเล่า? และต่อให้เขานำข่าวนี้ไปรายงาน ก็คงจะได้รางวัลตอบแทนมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


‘พลอยวิเศษ เมื่อครู่มันเพิ่งจะหยิบพลอยวิเศษธาตุไม้ออกมาสองเม็ด บนตัวมันต้องมีอีกแน่!’


เหอปู้อวี่พลันนึกถึงเรื่องที่เยี่ยเทียนหยิบพลอยวิเศษธาตุไม้ออกมา ความละโมบจึงครอบงำจิตใจทันที อาศัยพลังฝีมือของเขาแล้ว ถ้าพยายามก็น่าจะสามารถเรียกอัสนีสวรรค์ระดับจินตันมาได้อยู่ แต่เหอปู้อวี่ยังเข้าสู่ระดับเซียนเทียนอย่างสมบูรณ์ไม่ได้เลย หากเรียกอัสนีสวรรค์มา จุดจบก็คงจะมีแต่ตายสถานเดียว


แต่ถ้ามีพลอยวิเศษธาตุไม้อยู่ในมืออย่างเพียงพอ และเตรียมการด้านอื่นๆ อีกสักหน่อย อย่างนั้นผลก็จะออกมาไม่เหมือนกันแล้ว เหอปู้อวี่คำนวณในใจดูครู่หนึ่ง คิดว่าตนน่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะผ่านอัสนีสวรรค์ และบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคได้สำเร็จอยู่ประมาณหกส่วน


เมื่อคิดถึงจุดนี้ ในที่สุดเหอปู้อวี่จึงตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขามีชีวิตอยู่มาสามร้อยกว่าปี อีกสิบกว่าปีเป็นอย่างต่ำก็คงจะถึงขีดจำกัดแล้ว แทนที่จะนำข่าวเรื่องเยี่ยเทียนไปรายงานต่อสำนักใหญ่เหล่านั้น มิสู้ลงมือลุยดูสักตั้งดีกว่า


“สหายพรตเยี่ย ไม่ทราบว่าสัตว์วิเศษที่เลี้ยงไว้นี้ เป็นสัตว์วิเศษระดับใดหรือ?”


หลังจากตัดสินใจได้แล้ว เหอปู้อวี่ก็ไม่นึกพะวงถึงเรื่องส่วนได้ส่วนเสียอีก ใบหน้าพลันยิ้มแป้น ท่าทีที่มีต่อเยี่ยเทียนก็ดูจะสนิทชิดเชื้อยิ่งกว่าเดิมอีก


ยิ่งมีชีวิตอยู่มานาน ก็ย่อมจะยิ่งรักถนอมชีวิตของตน ดังนั้นจะต้องมีความมั่นใจอย่างเด็ดขาดเสียก่อน เหอปู้อวี่จึงจะเริ่มลงมือ สถานการณ์ในตอนนี้ วานรขาวซึ่งอยู่ระดับเซียนเทียนช่วงกลาง และเฟอร์เร็ตบาดเจ็บตัวนั้นเรียกได้ว่าไม่เหลือพลังในการต่อสู้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องหวั่นกลัว


ส่วนบุรุษแขนเดียวที่อยู่ข้างๆ เยี่ยเทียนนั้น แม้จะมีพลังฝีมือระดับเซียนเทียนเช่นกัน แต่ก็เพิ่งจะเข้าสู่ระดับนี้ได้ไม่นาน ไม่ได้แตกต่างจากเหอปู้อวี่มากนัก เขาจึงไม่ได้นำมาคิดคำนวณด้วย สิ่งที่เขาไม่อาจจะประเมินได้เลยนั้น ก็มีแต่เยี่ยเทียนและอสูรวิเศษที่มีพลังโจมตีสูงอย่างน่าตระหนกตัวนั้นนั่นเอง


“หมายถึงเสี่ยวจินน่ะหรือ?”


รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยเทียนดูจริงใจอย่างสุดแสน


“ผมเก็บเสี่ยวจินมาจากบนเกาะร้างแห่งหนึ่ง นอกจากหนังหนาเล็บคมแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีตรงไหนพิเศษอีก และมันก็ไม่มีวิชาอะไรด้วย พูดตรงๆ ก็คือแค่เอาไว้ขู่คนได้เท่านั้นแหละ…”


เบื้องหลังของตนนั้นอาจจะเปิดเผยให้อีกฝ่ายรู้ได้ แต่หากเกี่ยวข้องกับด้านกำลังในการสู้รบของฝ่ายตน เยี่ยเทียนก็จะระมัดระวังขึ้นมาทันที เล่นพูดเสียจนสิงห์ขนทองแทบจะกลายเป็นสวะที่กินข้าวรอวันตายไปวันๆ เท่านั้นเอง เจ้าตัวเล็กได้ยินแล้วก็ได้แต่เหลือบตาขึ้นข้างบน แต่ก็ถูกเยี่ยเทียนอุดปากไว้ด้วยพลอยวิเศษเม็ดหนึ่ง


‘พ…พลอยวิเศษธาตุน้ำ? มันยังมีพลอยวิเศษธาตุน้ำด้วยหรือนี่?’


เหอปู้อวี่กำลังวิเคราะห์ว่าสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ ทันใดนั้นสายตาก็พลันถูกสะกดไปที่พลอยวิเศษที่เยี่ยเทียนหยิบออกมา จึงไม่มีอารมณ์จะไปขบคิดอีกว่าคำพูดของเยี่ยเทียนมีน้ำและเนื้อปนอยู่มากแค่ไหน เพราะพื้นฐานร่างกายและวิชายุทธที่เขาฝึกมานั้นเหมาะสมสอดคล้องกับธาตุน้ำพอดี


การค้นพบนี้ก็ทำให้เหอปู้อวี่รู้สึกตื่นเต้นระทึกใจขึ้นมา เขาเป็นเพียงผู้บำเพ็ญพเนจรคนหนึ่งในดินแดนแห่งทวยเทพเท่านั้น นอกจากใช้วิธีการเสแสร้งให้ภายนอกดูซื่อสัตย์จริงใจ หลอกฆ่าคนชิงทรัพย์สมบัติ จนได้เศษเสี้ยวของพลอยวิเศษมาบ้างเป็นบางครั้งคราวแล้ว หลายปีมานี้ก็ไม่ได้ฝึกพลังโดยใช้พลอยวิเศษเลย และพลอยวิเศษที่ได้มาเหล่านั้นก็ไม่ใช่ธาตุน้ำด้วย จึงไม่ได้ช่วยอะไรเขามากนัก


“น้องเยี่ย เจ้าอยากจะรู้สภาพภายในมิติแดนแห่งทวยเทพไม่ใช่หรือ?”


วิธีเรียกขานของเหอปู้อวี่ยิ่งฟังดูสนิทสนมมากขึ้น เขาหยิบหนังสือโบราณปกเหลืองเล่มหนึ่งออกมา แล้วกล่าวว่า


 “ใน ‘บันทึกเรื่องพิสดารตำนานอัศจรรย์’ เล่มนี้บันทึกเรื่องเล่าลือต่างๆ ในแดนแห่งทวยเทพไว้ และยังมีภาพแผนที่แม่น้ำขุนเขาประกอบอีกด้วย ข้าขอยกให้น้องเยี่ย ถือเสียว่าเป็นการชดเชยที่ทำให้สัตว์วิเศษของน้องเยี่ยบาดเจ็บไปก็แล้วกัน!”


“เยี่ยเทียน ของสิ่งนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเราพอดีเลยนะ!”


วาจาของเหอปู้อวี่ทำให้โก่วซินเจียที่อยู่ข้างๆ เยี่ยเทียนเกิดความรู้สึกที่ดีต่อเหอปู้อวี่ขึ้นมาทันที คนผู้นี้ก็ดูจะเป็นคนมีเหตุมีผลอยู่ เมื่อครู่ตนคงเป็นฝ่ายใช้ใจของทุรชนไปประเมินความคิดของวิญญูชนเสียแล้ว


“อย่างนั้นก็ต้องขอบคุณพี่เหอมากเลย ผู้น้องไม่ปฏิเสธละนะ!”


เยี่ยเทียนหัวเราะฮ่าๆ เมื่อเห็นว่าเหอปู้อวี่หยิบหนังสือโบราณเล่มนั้นออกมา แต่กลับไม่โยนมาให้ จึงก้าวเท้าเดินเข้าไปหา แล้วยื่นมือขวาออกไปแตะลงบนหนังสือ


เหอปู้อวี่ปล่อยมือจากหนังสือเล่มนั้น แต่ร่างกลับกระแซะเข้าไปใกล้ แล้วช่วยพลิกเปิดหน้าแรกให้เยี่ยเทียน


“น้องเยี่ยดูนะ ในหน้าที่หนึ่งนี่ระบุสถานที่เสี่ยงอันตรายหลายๆ แห่งในดินแดนไว้ ต่อไปเมื่อเจ้าเข้าไปแล้วจะต้องระมัดระวังตัวด้วย”


“อ้อ? มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ?”


ใบหน้าของเยี่ยเทียนฉายความประหลาดใจออกมา สายตาดูเหมือนจะถูกตัวอักษรบนหน้าหนังสือสะกดไว้โดยสิ้นเชิง แขนขวาที่ถือหนังสืออยู่และช่วงชายโครงกลายเป็นช่องโหว่ใหญ่


“จริงแท้แน่นอน ไม่อย่างนั้นถ้าผลีผลามเข้าไป แม้แต่ตัวเองตายไปอย่างไรก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ”


ใบหน้าของเหอปู้อวี่ฉายความวิปลาสออกมาเล็กน้อย ตอนสุดท้ายที่พูดคำว่า ‘ตาย’ นั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมขึ้นมา ฝ่ามือซ้ายเหวี่ยงไปที่หัวไหล่ของเยี่ยเทียน ส่วนฝ่ามือขวากลับกดลงไปที่ชายโครงขวาของเยี่ยเทียนอย่างไร้สุ้มเสียง ระหว่างการเคลื่อนไหวนั้นแม้แต่เสียงลมสักเล็กน้อยก็ไม่มี


‘ไอ้หนุ่ม ตายซะเถอะ!’


ดวงตาของเหอปู้อวี่ฉายแววคลุ้มคลั่งออกมาเล็กน้อย การที่จะได้สังหารยอดอัจฉริยะซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนนี้ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกสุขสมใจอย่างวิปริตชนิดหนึ่ง เรื่องแบบนี้เหอปู้อวี่ไม่ได้เพิ่งจะทำเป็นครั้งแรก แต่เคยมีคนที่ระดับสูงกว่าเขาอย่างน้อยๆ ก็เจ็ดแปดคนแล้ว ที่ต้องตายไปด้วยน้ำมือเขาโดยไม่ทันได้ป้องกันตัว


‘เอ๊ะ? ไม่สิ’


ขณะที่ฝ่ามือขวาของเหอปู้อวี่กำลังจะจู่โจมถึงเยี่ยเทียน เขาก็พลันรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมากระทันหัน แต่เกาทัณฑ์ที่ยิงออกไปแล้วไม่อาจย้อนกลับ ยามนี้ถึงเหอปู้อวี่อยากจะถอนมือก็ไม่ทันการแล้ว


เกิดเสียงดัง “ปัง!” ร่างของเหอปู้อวี่และเยี่ยเทียนถอยออกไปในทิศทางตรงกันข้ามพร้อมๆ กัน แต่ร่างของเหอปู้อวี่ถอยไปไกลกว่าเยี่ยเทียนประมาณสี่ห้าก้าว


“พี่เหอ ไยต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า?”


เยี่ยเทียนชักฝ่ามือซ้ายที่ใช้ป้องกันชายโครงกลับมา ตอนที่ปะทะกับเหอปู้อวี่เข้าอย่างจังเมื่อครู่นั้น เขาทำให้เหอปู้อวี่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะถึงอย่างไรเมื่อพลังฝีมือระดับเจี่ยตันปะทะกับระดับเซียนเทียนช่วงปลายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพหรือปริมาณของปราณแท้ ต่างก็เหนือชั้นกว่าอีกฝ่ายมาก


“น้องเยี่ย ตอบโต้เร็วดีจริงนะ”


เหอปู้อวี่สีหน้าไม่เปลี่ยน รอยยิ้มยังคงเดิม “ในดินแดนมีอันตรายซุกซ่อนอยู่ทุกแห่งหน ผู้แซ่เหอลงมือไปก็เพื่อที่จะดูว่า ปฏิกิริยาตอบโต้ของน้องเยี่ยเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าคงไม่ได้เข้าใจผิดไปหรอกนะ?”


ขณะที่กำลังพูด ฝ่ามือขวาของเหอปู้อวี่วาดเป็นครึ่งวงกลมที่ข้างหลัง แล้วผลักไปข้างหน้า ยิ้มแย้มกล่าวว่า


“น้องเยี่ย ลองรับดูอีกสักกระบวนท่า?”


“พี่เหอนี่กระตือรือร้นดีจริงนะ”


ดวงตาของเยี่ยเทียนฉายจิตสังหารออกมาเล็กน้อย เมื่อเหอปู้อวี่เริ่มเคลื่อนไหว เขาก็รู้สึกว่ามิติพื้นที่ตรงหน้ากลับสับสนวุ่นวายขึ้นมาในพริบตา รอยแยกของมิติอันเล็กละเอียดแต่ละเส้นนั้นราวกับมีดคมกริบหลายเล่ม ซึ่งสามารถที่จะฉีกกายเนื้อของเขาจนแหลกได้เลย


ร่างของเยี่ยเทียนกระโจนถอยไปข้างหลังหลายสิบเมตร พลางส่งกระแสจิตถึงสิงห์ขนทองที่อยู่บนไหล่


‘เสี่ยวจิน ฆ่ามันซะ!’


เยี่ยเทียนรู้ว่า หากกล่าวถึงด้านความแข็งแกร่งของกายเนื้อแล้ว เขายังไม่อาจเทียบกับสิงห์ขนทองน้อยที่เพิ่งเกิดมาไม่นานตัวนี้ได้ ซึ่งนี่ก็เป็นธรรมชาติของอสูรประหลาดจากยุคโบราณนั่นเอง ต่อให้เป็นรอยแยกของมิติเหล่านี้ ก็คงจะไม่มีทางทำให้สิงห์ขนทองเป็นอันตรายถึงชีวิตได้แน่นอน


“น้องเยี่ย พวกเราวัดฝีมือกันสองคน ไยเจ้าต้องให้สัตว์วิเศษนี้มาช่วยเหลือด้วยเล่า?”


ใครเลยจะรู้ว่า ขณะที่ร่างของสิงห์ขนทองน้อยกระโจนพรวดออกไป ทันใดนั้นมือซ้ายของเหอปู้อวี่ก็คว้าออกไปกลางอากาศ ตาข่ายใหญ่สีทองผืนหนึ่งปรากฏขึ้นมา ปกคลุมร่างของสิงห์ขนทองไว้ในนั้น


…………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)