องครักษ์เสื้อแพร 868-870
ตอนที่ 868 หลี่จื๋อหมดสิ้นชื่อเสียง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากรอข่าวที่เมืองหลินชิง หวังทงก็เริ่มออกเดินทางขึ้นเหนือต่อ แจ้งข่าวข่งรั่วเหมยไปแล้ว ก็นับว่าทำตามที่รับปากคำขอของข่งรั่วเหมยที่ขอให้หวังทงแก้แค้นให้แล้ว
ตามที่สาวใช้เล่ากัน ข่งรั่วเหมยหลั่งน้ำตาเงียบๆ ตลอดบ่าย ตกดึกก็นอนหลับสนิท วันรุ่งขึ้นตอนขบวนหวังทงออกเดินทาง หวังทงก็เห็นนาง สีหน้าหญิงสาวยิ้มแย้ม สีหน้าดีมาก
ออกจากเมืองหลินชิงผ่านเต๋อโจว จากนั้นไปยังเส้นทางเมืองเหอเจียน ตลอดทางพวกหวังทงคุ้นเคยมาก รู้สึกราวได้กลับบ้านแล้ว
พอเข้าเขตชางโจว เขตปกครองใต้ก็มีข่าวมาจากหนานจิงว่าไห่รุ่ยแจ้งป่วย ขออำลากลับบ้านเกิด ราชสำนักมีราชโองการไปแล้ว ขุนนางหนานจิงไห่รุ่ยให้กลับบ้านเกิดได้
สีหน้ายิ้มแย้มข่งรั่วเหมยกับการอำลากลับบ้านเกิดของไห่ลุ่ยนั้นเหตุผลเดียวกัน เรื่องที่ติดในใจมานานหลายปีจบแล้ว หลายเรื่องไม่จำเป็นต้องดึงดันต่อ
**************
หลี่จื๋อเดิมเป็นดาวเด่นที่เจิดจรัสแสงในวงการการเมือง ศิษย์มหาอำมาตย์จางซื่อเหวย ยังเป็นแนวหน้านำพวกจางซื่อเหวยต่อสู้กับพวกจางจวีเจิ้ง ประสานงานหลายฝ่าย ยื่นฎีกาโจมตี พอจางซื่อเหวยได้ชัยใหญ่ เขาก็ย่อมได้รับการแต่งตั้งไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการเขตปกครอง
ผู้ตรวจการเขตปกครองตำแหน่งไม่สูงนัก แต่ก็เป็นตำแหน่งที่เรียกได้ว่าก้าวกระโดด ตามธรรมเนียมวงการขุนนาง ลำดับถัดไปของเขาก็จะได้เป็นผู้ตรวจการใหญ่ จากนั้นก็จะกลับมาเป็นนายกองประจำกรมแล้วค่อยๆ ก้าวเข้าสู่คณะเสนาบดีใหญ่
แต่พอจางซื่อเหวยอยู่ๆ ต้องกลับบ้านไว้ทุกข์บิดา เซินสือหังเป็นมหาอำมาตย์ หลี่จื๋อย่อมไร้อนาคตจะเอ่ยต่อ เมืองหลวงมีข่าวลือว่า หลี่จื๋อหลังดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการเขตปกครองแล้ว ก็จะไปเป็นกองตรวจการที่ตะวันตกเฉียงเหนือ หรืออาจต้องไปเป็นผู้ว่าที่กวางตุ้งหรือฮกเกี้ยนแถบนั้น
กองตรวจการกับผู้ว่านี้ว่าไปแล้วก็เป็นตำแหน่งขุนนางท้องที่ที่ทรงอำนาจอยู่ เงินทองไม่น้อย แต่สถานะบัณฑิตจิ้นซื่อเช่นนี้ โดยเฉพาะหลี่จื๋อ ก็ย่อมเท่ากับการลบหลู่
หลี่จื๋อเองก็กำลังไตร่ตรองถึงการกระทำของตัวเองแต่ละก้าวที่ผ่านมา นอกจากโทษชะตาฟ้าแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งที่พบก็คือหวังทง หากไม่ใช่หวังทง จางซื่อเหวยได้เป็นมหาอำมาตย์ เซินสือหังย่อมไม่อาจได้เป็นรองอำมาตย์ต่อได้ หากไม่ใช่หวังทง จางซื่อเหวยต้องกลับบ้านเกิด คนที่รับตำแหน่งต่อจากจางซื่อเหวยต้องเป็นฝ่ายตน ไม่ใช่ตัดสินใจโดยหวังทง
จางซื่อเหวยกลับบ้านเกิดได้ปีครึ่ง อีกปีครึ่งก็จะได้กลับสู่ราชสำนักรุ่งเรืองอีกครา ในราชสำนักคณะเสนาบดีใหญ่นอกจากสองคนนั้นแล้ว ที่เหลือก็เป็นคนของจางซื่อเหวยทั้งนั้น จางซื่อเหวยย่อมได้เป็นใหญ่ในคณะเสนาบดีใหญ่อีกครา แต่ปัญหาก็คือ หากหวังทงยังอยู่ หวังทงย่อมไม่ปล่อยให้จางซื่อเหวยที่กดตนเองไว้ได้คืนสู่อำนาจเป็นแน่
เซินสือหังอำนาจโดดเดี่ยว หากร่วมมือกับหวังทง จางซื่อเหวยก็ย่อมถูกกดไว้ จางซื่อเหวยถูกกดไว้ อนาคตหลี่จื๋อก็ย่อมแหลกสลายเป็นผุยผง
สถานการณ์ราชสำนักตอนนี้ หยางเหว่ย หวังหลิน ล้วนมีอำนาจตนอยู่ในมือ ตำแหน่งในราชสำนักย่อมไม่พอจัดสรร ไหนเลยจะมาคิดถึงเขา หลี่จื๋อคิดไปเป็นพวก กลับถูกปฏิเสธอย่างเย็นชา โอกาสเดียวของเขาก็คือจางซื่อเหวย
ตอนหวังทงได้ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ชื่อเสียงโด่งดัง ฮ่องเต้กลับมีราชโองการนั้นออกมา จากนั้นยังให้หวังทงออกจากเมืองหลวง หลี่จื๋อคิดเองว่าโอกาสตนเองมาถึงแล้ว เขาปิดประตูคิดไปวันหนึ่ง จึงได้จัดเตรียมแผนการต่างๆ นานาออกมา
แต่วิธีการต่างๆ ในการกระพือกระแสก็ย่อมมีจำกัด แถบหนานจิงแม้มีธรรมเนียมเฉพาะ แต่ก็เป็นแผ่นดินหมิง ชนชั้นสูงมีเรื่องก็ย่อมไม่มีเรื่องใหญ่โต การตัดสินใจหลักที่แท้ก็ยังคงหวังพึ่งพาจางซื่อเหวย
เป็นศิษย์จางซื่อเหวย เป็นคนสนิทที่สุดไว้ใจที่สุด หลี่จื๋อย่อมรู้ว่าในมือจางซื่อเหวยมีมือสังหารเดนตาย มักให้ไปทำเรื่องที่ไม่อาจเปิดเผย เขาเสี่ยงภัยเขียนจดหมายก็เพื่อไปลองดูว่ามีโอกาสไหม
พอรู้ว่าหวังทงจะกลับจากแดนใต้ มาถึงเมืองหลินชิงแล้ว ความหวังในใจหลี่จื๋อก็พังทลายสิ้น อาจารย์ตนเองที่เมืองผูโจว มณฑลซานซีส่งคนไปจัดการให้แล้วหรือยังกันแน่ หลี่จื๋อไม่รู้ แต่หวังทงปลอดภัยกลับมา ก็พอจะบอกอะไรได้กระจ่างแล้ว
หลี่จื๋อรู้สึกหมดหวังไปหมด เดิมเขาเป็นผู้นำขุนนางบัณฑิตในเมืองหลวง แต่ตอนนี้กลับถูกขับออกจากวงการมาเรื่อยๆ รู้สึกเงียบเหงาเศร้าใจยิ่งนัก
พอถูกขับออกนอกวง หลี่จื๋อไม่กล้าจากกลุ่มไปไหน หากตอนนี้ไม่เดินไปตามกระแสหลัก ก็ย่อมจบสิ้นแน่แล้ว
หวังทงกลับมา ในเมืองหลวงมีคนแพร่ข่าวลือว่า หวังทงส่งคนไปถล่มตระกูลสวีเมืองซงเจียง การกล่าวหาเช่นนี้ช่างเหนือความคาดหมายเสียจริง ทำให้คนไม่อยากจะเชื่อ ขุนนางท้องที่หนานจิงกับแดนใต้ล้วนบอกว่าเป็นโจรสลัดเข้าโจมตี ยังมีหลักฐานอยู่ที่ตระกูลสวีมากมาย ชนชั้นสูงแผ่นดินหมิงอย่างผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรจะไปทำเรื่องโหดเหี้ยมเลวร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร
หากการตำหนิหาเรื่องหวังทงเป็นการบ้านของขุนนางบัณฑิตเมืองหลวง เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อแสดงจุดยืนให้ชัดเจน หลี่จื๋อเขียนฎีกาสงสัยการกระทำหวังทงที่แดนใต้ แสดงท่าทีชัดเจนแล้ว
เส้นทางขุนนางแม้ว่ามืดมน ทว่าตำแหน่งผู้ตรวจการเขตปกครองก็ยังเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจอยู่ ความสัมพันธ์ต่างๆ ก็ยังต้องประสานรอบด้าน หลี่จื๋อดำรงตำแหน่งมาปีกว่า ค่อยๆ สั่งสมบารมีมาไม่น้อย
เมื่อก่อนตอนอยู่เมืองหลวง ยังไปเที่ยวท่องกลอนเขียนบทกวีที่หอคณิกา แสดงสามารถอยู่บ้าง แต่ไม่แน่ว่าได้โอบกอดสาวงามกลับบ้าน หากตอนนี้ ไม่ต้องยุ่งยาก มีคนส่งมาถึงที่
วันที่ 2 เดือนสิบในห้องก่อไฟผิงไว้แล้ว ยามนี้ต้องสวมชุดนวมหนาเป็นก้อนกลมกันหนาวแล้ว หลี่จื๋อเดินไปเดินมาในที่ทำการแล้วก็กลับมาบ้าน ก่อนหน้านั้นเมืองเป่าติ้งมีคนส่งเงินทองมาให้ ขอให้เขาช่วยดูแลการจัดการซื้อขายที่ดินหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นก็คือส่งสาวงามเมืองต้าถงมาให้ด้วย
หมกมุ่นมาหลายคืน หลี่จื๋อรู้สึกปวดเอวปวดหลัง กินไม่ค่อยลง ดังนั้นจึงไปเดินที่ทำการเสียหน่อย ไปอยู่นั่นนิ่งคิดนาน แล้วก็คิดถึงสาวงามที่บ้าน อดไม่ไหวรีบกลับมาทันที
ขุนนางอายุน้อยก็ย่อมขี่ม้า แม้เป็นขุนนางบุ๋นก็เช่นนี้ ทว่าหลี่จื๋อตั้งแต่ขึ้นตำแหน่งมา กลับทำเป็นชอบนั่งเกี้ยว เพื่อนขุนนางด้วยกันก็อิจฉายิ่ง เป็นต้นแบบไม่น้อยให้คนเอาอย่าง
นั่งอยู่ในเกี้ยวนิ่มๆ ทำสมาธิ มาถึงประตูจวนตนในเวลาไม่นาน เกี้ยวเหมือนร่วงหล่นลงพื้น หลี่จื๋อเกือบร่วงลื่นตกจากเกี้ยว เลิกม่านออกดูคิดด่าคนแบกเกี้ยวใหญ่ แต่พอเลิกม่านออกก็เงียบกริบ เหมือนว่ามีของอันใดมาขวางเอาไว้ หน้าประตูมี องครักษ์เสื้อแพรสิบกว่านายสีหน้าเย็นชา
ตั้งแต่ทำเรื่องพวกนั้นมา หลี่จื๋อก็มักฝันร้าย ฝันเห็นตนเองถูกองครักษ์เสื้อแพรจับตัวไปลงโทษ ทุกครั้งที่ตื่นมาก็พบกว่าเหงื่อโซมกาย
คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ ฝันเป็นจริง เห็นชุดขุนนางแล้ว องครักษ์เสื้อแพรวิเคราะห์แล้วก็คิดว่าเจอตัวคนที่ต้องการหาแล้ว มีคนก้าวเข้าไปกล่าวว่า
“หลี่จื๋อ กาวซวงฮุ่ยที่เมืองเป่าติ้งฟ้องเจ้าว่ารับสินบน บีบบังคับขืนใจบุตรสาวเขา เจ้ายอมรับไหม?”
ถูกถามเช่นนี้ ผู้ใดก็ย่อมไม่ตอบว่า ‘ยอมรับ’ หลี่จื๋อพูดไม่หยุดว่า
“ใส่ร้ายป้ายสี ใส่ร้ายป้ายสี นี่มันเรื่องใส่ร้ายป้ายสี!”
กาวซวงฮุ่ยชื่อนี้หลี่จื๋อย่อมรู้จัก ก็คือคนที่ส่งมอบเงินทองและผู้หญิงมาให้เขาจากเมืองเป่าติ้งนั่น ถูกวางกับดักแล้ว หลี่จื๋อได้สติทันที
เขากำลังจะกล่าว ก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากในจวน หญิงนางหนึ่งวิ่งร้องไห้ออกมา พอออกมาก็มาคุกเข่าต่อหน้าองครักษ์เสื้อแพร ร้องไห้ฟ้องว่า
“นายท่าน หลี่จื๋อบีบคั้นบิดาข้าน้อย บอกว่าหาไม่ส่งข้าน้อยมาปรนนิบัติก็จะยากรักษาชีวิตไว้ได้ ขอนายท่านให้ความเป็นธรรมข้าน้อยด้วย!”
กล่าวจบก็ร้องไห้เสียงดัง หลี่จื๋อบ้านอยู่เมืองหลวง มาเป็นขุนนางที่นี่ พักอยู่ที่เรือนว่างเปล่าแต่กว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ที่นี่อยู่ใจกลางเมือง คนไปคนมามากมาย มีหญิงหน้าตางดงามมาร้องไห้ฟ้องร้องหน้าประตูเช่นนี้ เอาแต่พร่ำบอกว่าใต้เท้าบีบบังคับขืนใจ คนรอบๆ หยุดดูไม่น้อย
เห็นว่าเป็นหญิงที่เช้านี้ยังระเริงรื่นในอ้อมกอดตนเองตอนเช้านี้อยู่ อยู่ๆ กลับเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงนินทาเบาๆ รอบๆ หลี่จื๋อรู้สึกมือไม้เย็นเยียบไปหมด
“หลี่จื๋อ เจ้ายังมีอันใดกล่าวอีกหรือไม่!”
นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรที่มาน้ำเสียงเย็นเยียบกล่าว กล่าวจบก็หันไปสั่งการว่า
“จับตัวหลี่จื๋อ ส่งเข้าคุกหลวงสอบสวนลงโทษ!!”
พอได้ยินเช่นนี้ ทหารองครักษ์เสื้อแพรสองนายก็ก้าวเข้าไป จับตัวใส่กุญแจทันที หลี่จื๋อกำลังยืนงงอยู่ พอคนเข้ามาถึงตัว ก็ดิ้นรนทันที ปากก็ตะโกนขึ้นว่า
“นี่เป็นเรื่องใส่ร้ายป้ายสี หวังทงเจ้าคนชั่ว ไม่สนใจธรรมเนียม ใส่ร้ายขุนนางภักดี ข้ายื่นฎีกาฟ้องเพื่อคุณธรรม เขากลับใช้อำนาจเพื่อตนเอง ส่งคนมาจัดการเรื่องให้เงียบ……”
ตะโกนไม่ทันจบ ก็มีเสียงถูกตบเพี๊ยะดังไปหลายที ถูกนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรตบบ้องหูไปหลายทีนั่นเอง ตบจนเลือดกบปาก นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“การตบนี่เป็นการสั่งสอน รอให้เข้าคุกก่อนค่อยเริ่มค่อยๆ สอบสวนเจ้า ผู้บัญชาการเรามีวาจาถามเจ้า คนเช่นเจ้านี้ ถือสิทธิ์ใดมาคิดว่าตนเองจะทำอันใดก็ได้ตามอำเภอใจ?”
กล่าวจบ นายกองพันก็ตะโกนว่า
“หลี่จื๋อ ตอนเจ้าอยู่ในตำแหน่งหนึ่งปีสองเดือน ทำการเพื่อตนเองไม่สนใจกฎหมาย รับสินบนแสนหนึ่งหมื่นตำลึง ยังมีของสะสมอีกจำนวนหนึ่ง เจ้าทุกข์แต่ละที่ล้วนฟ้องมายังเมืองหลวง ไปรับการสวบสวนที่เมืองหลวง!!”
เสียงดังกล่าวออกไป ทุกคนที่อยู่รอบๆ ก็ย่อมเริ่มมองไม่ดี ล้วนเป็นหลี่จื๋อทำทุกเรื่อง รับสินบน ทุกคนก็รู้ดีแก่ใจ พอถูกเปิดโปง โดยเฉพาะต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ สำหรับขุนนางบุ๋นแล้วเรียกได้ว่าเสียชื่อเสียงหนักมาก ย่อมต้องถูกเสียงวิจารณ์ตำหนิจากปวงชน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการบังคับขืนใจสตรี ความผิดนี้ใครได้ยินเข้าก็ย่อมถ่มน้ำลายด่า หากอยู่หมู่บ้านย่อมไม่มีเงยหน้าสู้ผู้ใดได้อีก หลี่จื๋อรู้สึกงงมาก มือไม้เย็นไปหมด รู้แต่ว่านาทีนี้ไป ตนเองชื่อเสียงคงป่นปี้ เพราะเงินสินบนแสนหนึ่งหมื่นตำลึง เป็นตัวเลขที่เขารับไว้จริง คิดอยากจะร้องไห้ตะโกนดัง ก็ถูกองครักษ์เสื้อแพรชกเข้าที่ท้อง เสียงอันใดย่อมไม่อาจเปล่งออกมาได้อีก ได้แต่ถูกลากตัวไป โยนขึ้นรถม้า
นายกองพันมองหลี่จื๋อถูกจับกุมโยนขึ้นรถม้าแล้ว ก็ไม่หันไป แต่กล่าวกับหญิงข้างๆ ที่ร่ำไห้อยู่ด้านหลัง ว่า
“เจ้ายังต้องไปที่ทำการด้วย รอลงชื่อในคำให้การ แล้วค่อยเอาเงินชดเชยกลับไป!”
หญิงนั่นร้องไห้ไม่หยุด โขกศีรษะขอบคุณ
**************
11 เดือนสิบ ปีที่ 12 ในรัชสมัยว่านลี่ หวังทงลงใต้ไปหลายเดือน กลับถึงเทียนจินเขตปกครองเหนือแล้ว
ตอนที่ 869 ห้ามขายอาวุธ
โดย
Ink Stone_Fantasy
แม้ว่าตอนนี้จวนหวังทงอยู่เมืองหลวง ครอบครัวอยู่เมืองหลวง แต่สำหรับเขาแล้ว เทียนจินจึงจะเป็นบ้าน หวังทงถูกลอบสังหารที่เขตปกครองใต้ ย่อมแพร่ข่าวไปถึงเทียนจิน
กลางเดือนสิบ คลองส่งน้ำเมืองหลวงกับเทียนจินมีน้ำไม่พอ แม้ว่าส่งคนมาลากเรือทางการก็ยังไม่สะดวก ได้แต่เปลี่ยนขึ้นรถม้าแทน
จากเรือเปลี่ยนเป็นรถม้า ย่อมมีคนเตรียมการให้พร้อม หวังทงได้รับการต้อนรับในจวนที่เคยพัก คนที่เทียนจินตั้งแต่ขันทีคุมเสบียงไช่หนาน นายกองพันจางซื่อเฉียง ซุนต้าไห่และหัวหน้ากองกำลังหู่เวยอย่างหลี่หู่โถว ก็ล้วนเป็นคนสานมสัมพันธ์ราวกับครอบครัวของหวังทง
ในห้องรับแขกจวนหวังทงก่อไฟให้อุ่นไว้แล้ว กลับมองหน้ากันไร้วาจา เริ่มจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเมืองหลวง จากนั้นถูกส่งออกจากเมืองหลวง จากนั้นก็ยังลงใต้ไปโดนลอบสังหาร อันตรายเกือบถึงแก่ชีวิต คิดอีกทีสี่ห้าเดือนมานี้ หวังทงจากเมืองกุยฮว่าเฉิงกลับมา เวลาไม่กี่เดือน ถึงกับมีเรื่องมากมายเช่นนี้ได้
“ท่านโหว พูดถึงพระสนมเอก ทรงพระครรภ์ได้เก้าเดือนแล้ว วันกำหนดประสูติกาลก็ใกล้เข้ามาแล้ว”
ไช่หนานทำลายความเงียบขึ้น ทุกคนในห้องสบตากัน ฮ่องเต้ว่านลี่มี่พระสนมไม่น้อย แต่พระสนมเอกมีเพียงองค์เดียว ก็คือพระสนมเอกเจิ้ง
พระสนมกงประสูติพระโอรสองค์โต จูฉางลั่ว แล้วก็ยังคงเป็นสนมธรรมดา แต่พระสนมเอกเจิ้งไม่ได้ประสูติองค์ชาย กลับมีตำแหน่งพระสนมเอกรองจากฮองเฮา หากพระสนมเอกเจิ้งที่ไร้โอรสประสูติองค์ชายครานี้ได้ ราชสำนักก็ย่อมเปลี่ยนแปลงใหญ่ และหลังจูฉางลั่วประสูติ ราชสำนักก็มีขุนนางยื่นฎีกา ให้แต่งตั้งเป็นรัชทายาท แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่สนพระทัย มีคนเริ่มกระจายข่าวว่า ฮ่องเต้ท่าทีเช่นนี้ก็เพราะรอให้พระสนมเอกเจิ้งมีพระประสูติการ พระสนมเอกเจิ้งหากมีโอรส เช่นนี้พระโอรสก็ย่อมได้เป็นรัชทายาท
ตั้งแต่ตั้งแผ่นดินหมิงมา เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท ทุกครั้งก็จะเกิดกระแสเคลื่อนไหวในราชสำนัก มักจะมีขุนนางทรงอำนาจอยากจะต่อสู้กันอยู่ พระสนมเอกเจิ้งหากให้กำเนิดพระธิดา ย่อมสงบสุข หากให้กำเนิดพระโอรส เช่นนี้แค่คิดก็รู้ได้แล้วว่าจะเกิดอันใดขึ้น
ในสถานการณ์เช่นนี้ ในฐานะผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรอย่างหวังทงก็ย่อมต้องเตรียมตั้งจุดยืนตนเองไว้ก่อน ไม่เช่นนั้น สถานะเช่นเขา แม้ไม่เรียกร้อง หากความยุ่งยากและภัยใหญ่ย่อมมาหาถึงที่เอง
“ฮ่องเต้ทรงคิดเช่นไร ขุนนางอย่างเราย่อมปฏิบัติตาม”
หวังทงวาจานี้เหมือนตอบ แต่ก็เหมือนไม่ตอบ หากทุกคนก็เข้าใจความหมายเขา ทุกคนพยักหน้า หลี่หู่โถวแทรกขึ้นว่า
“พี่หวังไม่เป็นไรก็ดี กลับถึงเมืองหลวงพักรักษาตัวดีๆ วันหน้าคงสบายแล้ว แดนใต้นั้นแต่เล็กข้าก็ได้ยินมาว่าอุดมสมบูรณ์ มีของมากมายพร้อมสรรพ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นที่เช่นนั้นได้ ถึงกับกลางวันแสกๆ ลอบสังหารขุนนางราชสำนัก ยังดีที่เป็นพี่หวัง ช่างไร้กฎหมายในสายตาเสียจริง”
หลี่หู่โถวกล่าวอย่างโมโห คนในห้องก็ล้วนอยู่ในอารมณ์คล้ายกัน หวังทงยิ้ม กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“สังหารข้าทิ้ง คงสร้างคลื่นใหญ่ได้ อาจทำให้เขาเกิดประโยชน์อย่างมหาศาล ส่งมือสังหารเดนตายไม่กี่คนมาลองดู เรื่องนี้ควรค่าแก่การลอง ย่อมมีคนคิดเสี่ยงอันตรายนี้”
ทว่าประเด็นนี้ไม่อาจคุยกันได้ลึกนัก ไช่หนานกระแอมไอ จางซื่อเฉียงส่งสายตา จางซื่อเฉียงเข้าใจความหมายดี จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปว่า
“ใต้เท้า พ่อค้าเกาหลีเรื่องนั้นจัดการส่งคนไปตรวจสอบแล้ว แต่พวกนั้นออกจากท่าเรือแล้ว คนของเรา หรือแม้แต่คนบนท้องทะเลก็เข้าไม่ถึง ข่าวก็สืบไม่ได้ความมากนัก”
ก่อนหน้านี้มีพ่อค้าเกาหลีมาซื้ออาวุธและชุดเกราะที่เทียนจิน หวังทงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก หน่วยงานต่างๆ ในเทียนจินก็เริ่มตรวจสอบ จางซื่อเฉียงกล่าวถึงเรื่องนี้ ดูท่าแล้วสืบความไม่ได้อันใดนัก หวังทงผิดหวังอยู่บ้าง จางซื่อเฉียงยังกล่าวต่อว่า
“เมื่อสองวันก่อน คนร้านสามธาราคนหนึ่งคุยอยู่ว่า พ่อค้าเกาหลีพวกนี้มาขายของป่าและโสมเกาหลี สินค้าไม่ใช่ของทางเกาหลี หากเป็นของเผ่าหนี่ว์เจิน”
ของเช่นนี้ เผ่าหนี่ว์เจินทางตอนเหนือของเมืองเหลียวโจวมีอยู่ เกาหลีเองก็มี ทว่าของมีชื่อแดนเหนือ เน้นเรื่องยิ่งเหนือยิ่งดี สินค้าเกาหลีย่อมสู้สินค้าเผ่าหนี่ว์เจินไม่ได้
พ่อค้าเกาหลีเอาของเผ่าหนี่ว์เจินมาขาย ก็เป็นเรื่องที่เห็นบ่อย เมื่อก่อนพวกเขาเดินทางมาทางบกไปถึงเมืองหลวง เส้นทางทางบกย่อมผ่านเผ่าหนี่ว์เจินมากมาย ขายสินค้าพวกนี้ทำกำไรดีก็ย่อมเป็นเรื่องปกติ ที่จริงแล้วก่อนหลี่เฉิงเหลียงเลื่องชื่อ สินค้าเมืองหลวงพวกนี้ส่วนใหญ่ก็อยู่ในมือพ่อค้าเกาหลี
แต่พ่อค้าเกาหลีแต่ไรมาไม่มาซื้ออาวุธแผ่นดินหมิง อาวุธเป็นสินค้าทางการทหาร เกาหลีเองก็มีทำเองได้ คุณภาพดีไม่ดีไม่ว่ากัน แต่ก็พอกับความต้องการของตนอยู่ หากทำให้แผ่นดินหมิงระแวง ย่อมเกิดเหตุยุ่งยากมากกว่า
จางซื่อเฉียงกล่าวถึงเงื่อนงำนี้ ทุกคนก็คิดโยงไปได้ง่าย หวังทงพยักหน้ากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“เจ้าหมายความว่า เป็นเผ่าหนี่ว์เจินฝากพ่อค้าเกาหลีมาซื้ออาวุธ?”
“ท่านโหว ข้าน้อยยังไม่ได้ตรวจสอบ ไม่กล้ากล่าวไร้หลักฐาน ทว่าก็เป็นไปได้”
จางซื่อเฉียงตอบนุ่มนวลมาก ซุนต้าไห่กระแอมไอกล่าวว่า
“ในเมื่อเผ่าหนี่ว์เจินต้องการซื้อ ไม่สู้พวกเราก็ขายให้พวกเขากันตรงๆ ไยต้องมาแบ่งกำไรให้เกาหลีด้วย ตอนนี้ตอนเหนือสินค้าก็ซื้อมาจากเมืองเหลียวโจว ระหว่างนั้นกำไรไม่น้อย เงินก้อนนี้ให้เขากำไร ไม่สู้ให้พวกเรากำไรเอง”
“เหลวไหล!!”
คิดไม่ถึงว่าจะกล่าวเช่นนี้ หวังทงอยู่ ๆ ก็โมโหขึ้น ทุกคนในห้องอึ้งเงียบกริบ ซุนต้าไห่รีบยืนขึ้นคุกเข่ารับผิด หวังทงสูดลมหายใจเข้า โบกมือกล่าวว่า
“คนกันเองไม่ต้องทำเช่นนี้ นั่งลงๆ !”
ซุนต้าไห่ยังคงคุกเข่ารับผิด จากนั้นค่อยลุกขึ้นกลับไปนั่ง หวังทงกล่าวจริงจังว่า
“โรงช่างสามธาราผลิตเกราะและอาวุธ หรือแม้แต่โรงช่างทางการที่เทียนจินก็ตาม ก็เพื่อเป็นอาวุธชั้นยอดให้กับแผ่นดินหมิง ทหารได้มีอาวุธที่พัฒนาก้าวหน้า การรบก็ยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้แผ่นดินหมิงมีกองทัพที่เข้มแข็ง แต่การจะเอาไปเพิ่มศักยภาพให้เผ่าหนี่ว์เจินที่เป็นคนนอกเผ่า ทำเรื่องพวกนี้ ย่อมมีจิตใจราวกับสัตว์ป่า เท่ากับช่วยเสริมศัตรู!”
ได้ยินหวังทงกล่าวจริงจัง ทุกคนก็อึ้งไป หลี่หู่โถวครุ่นคิดไปมา กลับไม่เข้าใจกล่าวว่า
“พี่หวังคิดมาไปหรือเปล่า รายงานจากเมืองเหลียวโจวมาถึงเราเห็นแล้วว่า เจี้ยนโจวอะไรนั่น ข่านนีคานอะไรนั่น ตระกูลเย่เฮ่อนาราอะไรนั่น สองฝ่ายปะทะกันทหารไม่เคยเกินหมื่น คนแก่อายุ 40-50 ยังต้องออกรบแนวหน้า ทว่าไม่กี่เผ่าสู้ไปสู้มา ไม่จำเป็นต้องกังวล จะว่าไป เราไม่ขาย เมืองเหลียวโจวมาซื้อก็ยากที่จะไม่ขาย นี่สิเป็นการเสริมกำลังศัตรูที่แท้จริง”
“ไม่ต้องพูดแล้ว อาวุธแผ่นดินหมิงไม่ขายให้คนนอก นี่เป็นหลักการและขีดจำกัดที่ข้ารับได้ จางซื่อเฉียงกับซุนต้าไห่ดูแลให้เข้มงวด หากมีคนหาช่องทางนำออกไปขาย จัดการลงโทษเช่นสมคบคิดโจรสลัดวัวโค่ว”
วาจานี้คือคำสั่ง จางซื่อเฉียงกับซุนต้าไห่รีบลุกขึ้นรับคำสั่ง คนอื่นไม่กล้ากล่าวอันใดอีก อย่างไรหวังทงก็รู้สึกไวกับคำว่า ‘เผ่าหนี่ว์เจิน’ (พวกชาวแมนจู) มาตลอด แต่จากการวิเคราะห์ของหวังทง ตอนนี้ยังไม่กระจ่างว่าถึงขึ้นไหนแล้ว เผ่าหนี่ว์เจินแท้จริงแล้วพัฒนาไปถึงระดับใดกันแล้ว
กำลังทหารปราบนอกด่าน เรียกได้ว่ากำจัดภัยตอนเหนือไปได้หลายปี แต่จะใช้กำลังทหารกับเผ่าหนี่ว์เจิน เผ่าหนี่ว์เจินแต่ละเผ่าตอนนี้ยังคงรับการแต่งตั้งยอมอยู่ในอาณัติหมิงอยู่ ถือเป็นขุนนางแผ่นดินหมิง พวกเขาภายในเป็นอย่างไร แต่ยังคงให้การเคารพแผ่นดินหมิงเป็นปกติ ก็ย่อมไม่อาจทำอันใดได้
ทางนั้นเป็นเขตป้องกันของหลี่เฉิงเหลียง หากหวังทงคิดจะยื่นมือไปยุ่ง ก็ย่อมก่อให้เกิดการต่อต้านรุนแรง ขุนพลตระกูลหลี่เป็นเจ้าครองพื้นที่เมืองเหลียวโจวไปแล้ว ไม่ยอมให้คนนอกเข้าแตะต้องเป็นแน่ ประเด็นหลักที่สำคัญก็คือ หวังทงหาเหตุในการเคลื่อนกำลังไม่ได้ เผ่าหนี่ว์เจินอยู่นอกด่านอันหนาวเหน็บในสายชาวแผ่นดินหมิงก็แค่ต้นกล้าเล็กๆ ไม่มีค่าควรแก่การป้องกัน ชาวเผ่าหนี่ว์เจินก็น้อยมาก และยังกระจัดกระจายเป็นเผ่าๆ ถึงกับเรียกไม่ได้ว่ากองกำลังด้วยซ้ำ
ในฐานะติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรอย่างหวังทง เหตุใดจึงสนใจกองกำลังเล็กๆ ที่ไม่โดดเด่นในสายตาพวกนี้กัน ราชสำนักย่อมคาดเดาไปต่างๆ พากันวิพากษ์วิจารณ์ไปหลายทางเป็นแน่ โจมตียกทัพก็ย่อมใช้กำลังทหาร เปลืองเสบียงงบประมาณ คงต้องการสร้างฐานอำนาจให้ตนเองไม่สนใจพี่น้องทหารที่ต้องล้มตาย เหตุผลต่างๆ หวังทงย่อมคิดออก
และตอนนี้สถานการณ์กับอำนาจในมือเขา ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่ทรงอนุญาตให้ทำ หวังทงเองไม่มั่นใจว่าจะโน้มน้าวคนอื่นให้ออกรบได้อย่างไร
หรือว่าแผ่นดินหมิงคงได้ล่มสลายในมือเผ่าหนี่ว์เจิน แม้หวังทงรู้ประวัติศาสตร์ แต่ก็รู้ว่าอีก 50 ปี จึงจะเกิดเหตุนี้ ตอนนี้พูดออกมา เกรงว่าคงถูกคนชั่วให้ร้ายแทน ที่จริงแล้วด้วยกำลังหลี่เฉิงเหลียง ตอนนี้ก็สามารถปราบเผ่าหนี่ว์เจินให้หมดสิ้นได้แล้ว
แต่ท่าทีตระกูลหลี่แต่ไรมาก็รบแบบนี้ กำลังตระกูลเขา 15 ปีก่อนก็สามารถกวาดล้างเผ่ามองโกลนอกด่านและเผ่าหนี่ว์เจินไปจนเผ่าตอนเหนือได้หมดแล้ว แต่หลังชัยชนะใหญ่ครั้งหนึ่ง จากนั้นตระกูลหลี่ก็ไม่มั่นใจว่าจะรักษาตำแหน่งเจ้าแห่งเหลียวตงไว้ได้ และยังไม่อาจรับประกันได้ว่าจะมีอำนาจวาสนานี้ไปตลอด
หากกระต่ายหมดไป สุนัขย่อมถูกต้มแทน หลักการแห่งความจริงแต่โบราณก็มีกล่าวอยู่ ดูแลโจรไว้เพื่อดำรงสถานะตนก็เป็นหลักการหนึ่ง หลี่เฉิงเหลียงเข้าใจเรื่องนี้ดี ส่วนตัวอย่างคืออะไรนั้น หวังทงสร้างความชอบใหญ่ที่เมืองกุยฮว่าเฉิงกลับมาเจอกับอะไรบ้าง หรือว่าไม่ใช่ตัวอย่างที่มีให้เห็นก่อนหน้ากัน?
เห็นหวังทงเงียบไป ทุกคนในห้องก็เงียบตาม หวังทงเงียบไปนาน ก่อนจะเคาะโต๊ะ ถามขึ้น
“ส่งสายไปวางไว้ที่เมืองเหลียวโจวมากหน่อย ทางนั้นทำอันใดต้องจับตาดูให้ดี”
“ท่านโหว ข้าน้อยขอบังอาจถาม ตอนนี้ ส่งคนไปเมืองเหลียวโจวไม่ง่าย ตอนนี้เทียนจินส่งคนไปก็ล้วนป้องกันแน่นหนา ตอนนี้ข้าน้อยกำลังหาคนจากที่อื่นอยู่ อีกปีหรือสองปี รอส่งจากการค้าที่อื่นเข้าไป ตอนนั้นการข่าวก็คงมากขึ้น”
หวังทงพยักหน้า กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“เรื่องนี้รีบร้อนไม่ได้ แต่ต้องทำ ซุนโส่วเหลียนทางนั้นใส่ใจมากหน่อย น่าจะเป็นช่องทางแทรกซึมได้ นอกจากนี้ วันหน้าอาวุธเทียนจินไม่ให้ขายให้เมืองเหลียวโจว ขอเพียงที่เกี่ยวกับเมืองเหลียวโจว ไม่ขายหมด ป้องกันพวกเขาไว้”
ตอนที่ 870 ไม่เหมือนนิสัยหวังทง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เรื่องห้ามขายอาวุธให้เมืองเหลียวโจว ห้ามขายให้พ่อค้าเกาหลี ปล่อยทิ้งกำไรก้อนโตที่มาถึงมือ และยังตั้งกฎเช่นนี้ ทำให้หลายคนไม่เข้าใจ
ทว่าสำหรับหัวหน้าแต่ละหน่วยงานในเทียนจินก็เพียงแค่ไม่เข้าใจ หากไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เทียนจินทำกำไรจากเรื่องอื่นได้มากมาย ขาดเรื่องนี้ไปก็ไม่อันใดนัก
แม้กล่าวว่าโรงช่างทางการเทียนจินหวังทงไม่อาจจัดการได้ แต่ก็มีอิทธิพลไม่น้อย เพราะไม่ว่าวัตถุดิบหรือการขนส่งก็ต้องพึ่งหวังทง หากหวังทงว่าไม่ขาย ก็ย่อมปิดทางได้หมด
การหาข่าวจากเมืองเหลียวโจวนั้น ก่อนหน้าหวังทงกำชับมา ก็เริ่มส่งคนไปแล้ว ร้านสาขาสามธาราเปิดทั่วหล้า แม้ว่ามีการค้าเป็นหลัก แต่การเก็บรวบรวมข่าวก็เป็นงานหนึ่งเช่นกัน เพราะเรื่องนี้มีผลต่อการพัฒนากำไรของการค้า สามารถได้ประโยชน์มากกว่าผู้อื่น
เมืองเหลียวโจวเริ่มป้องกันพ่อค้าจากเทียนจินมากขึ้น ร้านสาขาสามธาราค้าขายกับพ่อค้าใด หรือมีกิจกรรมการค้าใดก็ถูกควบคุม ยังมีคนสังเกตว่า ถูกคนจับตาดูอยู่ด้วย
พฤติกรรมเช่นนี้เรียกได้ว่าไม่ปกติ ยิ่งเป็นเช่นนี้ ทางเทียนจินก็ยิ่งต้องส่งคนไปจับตา ดูว่าแท้จริงแล้วมีเรื่องใดที่เป็นปรปักษ์กับเทียนจิน
“เพราะทางเรามีตำแหน่งและอิทธิพลมาก เดิมตระกูลหลี่เคยเป็นขุนพลอันดับหนึ่งในแผ่นดินหมิง ทุกสิ่งใต้หล้าย่อมเทไปทางนั้น พวกเขาย่อมนั่งอยู่บนกองวาสนาและเงินทอง แต่ตอนนี้เมื่อข้าปราบปรามพวกนอกด่านยิ่งใหญ่ลงได้ พวกเขาตระกูลหลี่ก็ย่อมไม่มีความสำคัญมากพอ และเพราะความโดดเด่นของกองกำลังหู่เวย ราชสำนักสามารถสั่งการเคลื่อนกำลังได้ และสามารถสั่งการกำลังเมืองต้าถง เมืองเซวียนฝู่และเมืองจี้โจวได้ หรือแม้แต่สั่งเคลื่อนกำลังเมืองเหลียวโจวคืนมาก็ได้ เมืองเหลียวโจวเริ่มมีขุนพลส่งไปประจำการ ตอนนี้เมืองเหลียวโจวใกล้จะไม่ได้เป็นของตระกูลเดียวครอบครองแล้ว ย่อมมองเห็นเราเป็นศัตรู ไม่เช่นนั้น พวกเขาคงไม่ยกทัพไปปราบตัวหลุนนั่นหรอก”
รายงานจางซื่อเฉียงทำให้หวังทงกล่าวขึ้นเช่นนี้ กล่าวถึงตรงนี้ ทุกคนก็เริ่มสลด คิดถึงเรื่องราชสำนักต้องการจัดการหวังทง
“สุขภาพข้ายังไม่ฟื้นตัวดี ต้องการพักผ่อน พวกเจ้าออกไปก่อน!”
หวังทงออกปากไล่แขก ทุกคนได้แต่ลุกขึ้นอำลา คำนับเสร็จออกไป ไช่หนานกลับค่อย ๆ เดิน หากยังอยู่ต่อ สุขภาพหวังทงไม่ได้อ่อนแออย่างที่หวังทงว่าเสียหน่อย ทุกคนรู้ดี ไช่หนานปิดประตู ไล่ทหารด้านนอกให้ออกไปไกลๆ สีหน้ายิ้มแย้มคำนับกล่าวว่า
”ใต้เท้า ลงใต้ครานี้นำเงินทองกลับมาไม่น้อย ยังมีหญิงงามมีชื่อด้วย เช่นนี้ฝ่าบาทคงยิ่งวางพระทัยใต้เท้า!”
การละโมบในทรัพย์ทำให้ตนเองมัวหมอง เป็นวิธีหนึ่งในการป้องกันตนเองของขุนนางที่มีความชอบ ขุนนางที่เอาแต่ร้องขอที่ดินจากจิ๋นซีฮ่องเต้ มาถึงเซียวเหอที่ปรึกษาปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงชอบรุกครองที่ดินชาวบ้าน ล้วนทำเพื่อทำให้ตนเองมัวหมอง ทำให้นายวางใจว่าจะไม่คิดการใหญ่และไม่เป็นภัยต่อตน หวังทงถูกไช่หนานกล่าวเอาเช่นนี้ก็อึ้งไป ตามมาด้วยคิดกระจ่าง อดไม่ได้แค่นยิ้มกล่าวว่า
“เรื่องทำตัวให้มัวหมองนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำ ทว่าหากเป็นเมื่อก่อน พวกเขาให้เงินทองมา ส่วนมากข้าก็จะไม่เอา สตรีสองนางนี้ก็คงคิดหาทางจัดการส่งต่อ ที่ข้าทำเช่นนี้ ก็คงเป็นเพราะคิดเช่นนี้กระมัง”
ไช่หนานหัวเราะ นั่งลงกล่าวน้ำเสียงจริงจังว่า
“ใต้เท้ากลับมาเมืองหลวงครานี้คิดทำสิ่งใด?”
หวังทงมองไช่หนาน ยิ้มกล่าวว่า
“จะทำสิ่งใดได้เล่า ก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม”
ไช่หนานเงียบไปครู่หนึ่ง จึงได้ตั้งใจกล่าวเสียงเบายิ่งว่า
“ตำแหน่งข้าได้มาจากในวัง แต่ทุกวันนี้ล้วนต้องพึ่งพาใต้เท้า อย่าว่าแต่ข้าเลย ในเมืองหลวง เทียนจิน ตอนนี้เพิ่มเมืองกุยฮว่าเฉิงอีก มีคนมากมายเท่าไรที่ได้ดิบได้ดีมีวาสนาก็เพราะใต้เท้า หากอำนาจใต้เท้าอ่อนแอลง ทุกคนก็คงยุ่งไปด้วย!”
หวังทงเงียบไปไม่ตอบอันใด ไช่หนานกล่าวอีกว่า
“โจวกงกงมีสารลับมา ให้ข้ากล่าวกับใต้เท้า ฝ่าบาทให้ใต้เท้าทำสิ่งใด ใต้เท้าย่อมต้องทำ ไม่อาจโทษฟ้าโทษดิน ในวังมีคนมากมากเท่าไรที่รู้ว่า ฝ่าบาททรงเสียพระทัยกับเรื่องที่ได้ทรงทำไปนั้นมาก หากใต้เท้ายังทำเป็นไม่รับรู้ กว่าจะมาเป็นขุนนางทรงโปรดได้ก็ต้องมาเหินห่างไป วันหน้าเกรงว่า……พวกเราทุกคนเกรงว่า…….“
ไช่หนานวาจาเริ่มเบาลงเรื่อยๆ หวังทงสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน น้ำเสียงเรียบนิ่งว่า
“ตอนนี้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่เพื่อฝ่าบาทด้วยความภักดี ทำกำไรให้ฝ่าบาท เป็นผู้คุ้มกันฝ่าบาท ฝ่าบาทจะเหินห่างได้อย่างไร พวกเจ้าคิดมากไปแล้ว”
“ใต้เท้า หากยังสามารถคงเช่นนี้ต่อไป ย่อมเป็นเรื่องดี แต่หากมีขึ้นมีลง ก็เกรงว่าคนอื่นจะขึ้นมาแทน ตอนนั้นพวกเราก็กลายเป็นที่ขวางตาแล้ว เกรงว่า……”
สองครั้งที่กล่าวไม่จบ กลับยิ่งร้อนใจ สีหน้าหวังทงยังคงนิ่ง เพียงกล่าวว่า
“ฝ่าบาททรงสั่งเคลื่อนกำลังกองกำลังหู่เวยด้วยพระองค์เองได้ ฝ่าบาทได้เงินทองจากทุกแหล่งเข้าท้องพระคลัง สำนักอาชาหลวง กองกำลังสังกัดวังหลวงก็อยู่ในพระหัตถ์ฝ่าบาท มหาอำมาตย์เซินสือหังกับรองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยก็จงรักภักดี ใต้หล้าให้การสนับสนุนฝ่าบาท ฝ่าบาทต้องการใช้ผู้ใดก็ใช้ ผู้ใดไม่พอพระทัยก็ทรงเปลี่ยนได้ ปลดได้ เจ้าคิดมากไปแล้ว เรื่องเช่นนี้ไยต้องให้พวกเรามาคอยคิดกันด้วยเล่า”
ไช่หนานอายุใกล้กับหวังทง และก็มีน้ำใจอยู่ไม่น้อย ถูกหวังทงกล่าวนิ่งเช่นนี้ เขาเองก็ร้อนใจ ยืนขึ้นเสียงดังว่า
“ใต้เท้า รุ่งด้วยกัน ล่มด้วยกัน บิดาบุญธรรมข้าคือโจวกงกง จางเฉิงจางกงกงก็พอมีสายเกี่ยวพัน หากใต้เท้าล้มลง อย่างมากข้าก็เปลี่ยนเป็นขันทีคุมเสบียง สองสามปีก็ค่อยกลับวังไปเป็นมหาขันทีใหญ่ แต่ใต้เท้าจะทำเช่นไร ใต้เท้าเรืองอำนาจมานาน ล่วงเกินคนไปเท่าไร หากไม่ทรงโปรดแล้ว เกรงว่าคงมีภัยใหญ่มาถึงตัว ใต้เท้าแม้ไม่กลัว แต่ครอบครัวใต้เท้าเล่า พวกหู่โถวเล่า พวกซานเปียวอีกเล่า!? จะรับมือสบายๆ ตามเรื่องตามราวเช่นนี้ได้อย่างไร ใต้เท้า อนาคตคนมากมาย ครอบครัวคนมากมายล้วนพึ่งพาอาศัยท่าน ท่านอย่าได้ไม่ไยดีเช่นนี้!”
หวังทงมองสีหน้าแดงก่ำของไช่หนาน สีหน้าที่เรียบเฉยเริ่มมีรอยยิ้ม กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ขันทีไช่พวกเขาร่วมเป็นร่วมตายมาถึงวันนี้ได้ มีกิจการใหญ่โตถึงวันนี้ได้ มีสถานะเช่นวันนี้ได้ ข้าย่อมไม่ละทิ้งไปโดยง่าย”
“ใต้เท้า เรื่องนั้น……”
“ตอนนี้ที่พวกเราทำได้ก็เท่านี้ ฝ่าบาทไม่ทรงโปรดเราก็ย่อมทรงทำได้ ตอนนี้ทุกคนยังมีสถานะอยู่ ก็เพราะน้ำใจในตอนเด็กนั้น เพราะพวกเราเป็นคนสนิทฝ่าบาท”
วาจาหวังทงกล่าวได้มีหลักการ แต่พูดถึงสถานการณ์ตอนนี้แล้วดูไม่เหมือนที่ไช่หนานพูดเมื่อครู่ ไช่หนานยิ่งเคร่งเครียด หวังทงมองไช่หนาน อดไม่ได้หัวเราะโบกมือกล่าวว่า
“หลังถูกพิษ ร่างกายยังไม่ฟื้นคืนดี ดึกมากแล้ว เหนื่อยมากจริงๆ ไม่คุยต่อแล้ว”
ไช่หนานปรับอารมณ์เป็นปกติ ยามนี้เหมือนว่างเปล่า กำลังสับสน แต่ก็อยากจะร้องไห้ อยากจะหัวเราะบอกไม่ถูก เห็นหวังทงตรงหน้า ก็รู้ว่าไม่ใช่หวังทงคนที่เขาเคยรู้จักคนเดิม แต่ที่เมื่อครู่หวังทงกล่าวมานั้น มองออกว่าหวังทงใช่ว่าไม่รับรู้ ในในใจเขาย่อมรู้ดี และคงวิเคราะห์ละเอียดกว่าตนเองแล้ว ท่าทีเช่นตอนนี้น่าแปลกยิ่ง
เจตนาส่งแขกชัดเจนแล้ว ไช่หนานเองย่อมไม่อาจอยู่ต่อ ได้แต่คำนับขอตัว เดินออกจากประตูมา คืนที่เทียนจินเงียบมาก ไช่หนานส่ายหน้า ถอนหายใจยาว
ตอนเดินออกไป กลับได้ยินเสียงฝีเท้าด้านหลัง ไช่หนานหันไปมอง เห็นสตรีอรชรนางหนึ่งเดินเข้าห้องหวังทง ไช่หนานอึ้งไป ไร้วาจาจะกล่าว
คนที่เข้ามาคือไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ เทียบกับข่งรั่วเหมยที่ไม่รู้ธรรมเนียมแล้ว ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ได้รับการสั่งสอนมาว่าจะปรนนิบัติบุรุษเช่นนี้มาสิบกว่าปี นางตอนนี้นับว่าเป็นสาวใช้คนสนิทหวังทง ทำหน้าที่ยกน้ำชาและน้ำ กวาดพื้นทำความสะอาดห้องนอน ในห้องรับแขกด้านในก็คือห้องนอน
ถึงตอนนี้ แขกด้านนอกจากไปแล้ว นางต้องเข้ามาจัดการเก็บกวาด ห้องด้านในของหวังทง สาวใช้กับหญิงสูงวัยรับใช้ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ไม่อาจเข้ามาได้ มีเพียงไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยเท่านั้น
ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เดินเข้ามาในห้อง เห็นชายหนุ่มที่นางเคยบอกว่าราวกับชาวอายุ 50 กำลังยืนนิ่งอยู่ นางเข้าไปคำนับ ทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว
หวังทงจ้องมองไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ มองจากล่างขึ้นบน สตรีเช่นไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ ไม่ว่าเวลาใดที่ปรากฏกายต่อหน้าบุรุษก็ย่อมแต่งกายตนเองให้งดงาม หวังทงส่งคนสังเกตดูไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับสาวใช้ข้างกายมานาน หญิงพวกนี้ไม่มีการติดต่อกับภายนอก แม้แต่ตนเองแกล้งทำเป็นปล่อยข่าวสำคัญต่อหน้าพวกนาง ก็ยังคงไม่ติดต่อกับภายนอก ติดตามรับใช้ตามหน้าที่ปกติ
“คิดถึงแม่น้ำฉินไหวเหอไหม?”
สตรีเบื้องหน้าอยู่ๆ ถูกหวังทงมองอย่างละเอียดก็เริ่มเคร่งเครียด รู้แล้วว่าเรื่องที่ควรมาถึงก็มาถึงแล้ว ได้ยินหวังทงถาม นางส่ายหน้า หวังทงมองกระโปรงไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์แม้ไม่สูง แต่รูปร่างก็ได้สัดส่วนไม่เลว ขาก็ยาวมาก หวังทงไม่สนใจความเคร่งเครียดของนาง หากถามขึ้น
“คิดถึงตระกูลเยว่ไหม? พวกนั้นดีกับเจ้าไม่น้อย“
สายตาหวังทงเหมือนมองทะลุ ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์รู้สึกว่าตนเองถูกเปลือยกายออกหมดต่อหน้าหวังทง รู้สึกอึดอัด ทว่าพอหวังทงถามเช่นนี้ นางอึ้งไปก่อนจะตอบเรียบๆ ว่า
“ไม่เลว พวกตระกูลเยว่ไม่ได้แตะต้องข้า ก็เพราะรอขายให้ได้ราคาก็เท่านั้น ตอนนี้พวกเขายกข้าให้นายท่าน เพื่อให้พ้นภัย และก็เพื่อซื้อน้ำใจ”
หวังทงยิ้มถามขึ้น
“ครอบครัวล่ะ?”
คำถามนี้หวังทงถามเป็นครั้งแรก พอได้ยินเช่นนี้ สีหน้าไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ก็เหมือนดำคล้ำ กล่าวอย่างเจ็บแค้นว่า
“ไม่รู้ว่ายังอยู่หรือไม่ ก็ถือว่าตายไปหมดแล้วละกัน ขายข้าเข้าสู่กองไฟ ผู้ใดจะนับเป็นครอบครัวด้วย”
แม้ว่าไม่รู้ว่าคำถามต้องการสิ่งใด ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เห็นหวังทงพยักหน้า หวังทงนิ่งไปก่อนกล่าวว่า
“เลิกกระโปรงขึ้น”
“อะไรนะ?”
ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์คิดว่าตนเองฟังผิด รีบถามกลับทันที หากกลับได้ยินหวังทงยกมือขึ้นไปมา กล่าวอีกว่า
“เลิกกระโปรงขึ้น”
ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์สีหน้าแดงก่ำทันที……
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น