ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 868-869

 ตอนที่ 868 กลับนิกาย

 

“ดี คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้จักมักคุ้นกับผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ มิน่าจึงไม่เห็นตระกูลโอวหยางของเราในสายตา…แค่กแค่ก…” บุรุษผู้สยายผมเอ่ยเรียบๆ หลายประโยค สุดท้ายก็ไอออกมาไม่หยุด


ใบหน้าเขาเวลานี้แสดงความเกรี้ยวกราดออกมาเล็กน้อย มุมปากมีเลือดสายหนึ่งติดอยู่ ลมปราณดีขึ้นกว่าเมื่อครู่อยู่บ้างแต่ยังคงแผ่วเบาอย่างเห็นได้ชัด เห็นชัดว่าเมื่อครู่บาดเจ็บไม่เบา


“ผู้อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว ผู้เยาว์ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าท่านผู้เฒ่าขุยตี้จะประทับร่างลงบนหุ่นของนาง มิเช่นนั้นผู้เยาว์จะสอดมือยุ่งไม่เข้าเรื่องได้อย่างไร” หลิ่วหมิงหัวเราะฝืดเฝื่อนเอ่ยขึ้น


“เหอะ เจ้าเด็กรุ่นหลังคนนี้ไม่ต้องเอาขุยตี้มากดดันข้า เรื่องนี้ข้าจะรายงานหัวหน้าตระกูลแน่นอน แต่ในเมื่อสาวน้อยคนนั้นจากไปแล้ว เจ้าก็คงไม่ต้องอยู่ใกล้ๆ ตระกูลโอวหยางต่อแล้ว รีบจากไปเสียตอนนี้ แล้วอย่าลืมว่าเจ้ายังติดค้างคำขอข้อหนึ่งของตระกูลโอวหยางเรา ยามที่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าพวกเราจะส่งข่าวไปหาเจ้าแน่” บุรุษผู้สยายผมแค่นเสียงหยันทีหนึ่ง มือใหญ่ก็สะบัดพาพวกผู้เฒ่าผมขาวที่เบิกตาค้าง สี่คนด้านข้างแหวกท้องฟ้าจากไป


ชั่วพริบตาสถานที่ลับสำหรับเร้นกายของโอวหยางขุยก็เหลือเพียงหลิ่วหมิงยืนอยู่เดียวดาย โอวหยางขุยกับคนในครอบครัวที่เหลือเหมือนจะหมดสติกันหมด แต่หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสดูแล้วพบว่าคนเหล่านี้ล้วนแค่เป็นลมไปเพราะแรงกดดันจิตวิญญาณของระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ก่อนหน้านี้เท่านั้นไม่ได้เป็นอะไรมาก


หลิ่วหมิงกลับไปในจวนใหม่อีกครั้ง เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุดอยู่พักหนึ่ง


ครู่หนึ่งให้หลังเขาถึงถอนหายใจแผ่วเบา มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชาแล้วกลายเป็นลำแสงสีดำเส้นหนึ่งมุ่งไปยังทางออก


หลังออกจากสถานที่เร้นกายของโอวหยางขุยมาแล้ว เขาก็เคลื่อนลำแสงต่อไป มุ่งเร็วรี่ไปยังเมืองหนานหมิง


ครึ่งวันให้หลังลำแสงสีแดงสายหนึ่งก็ออกจากเมืองหนานหมิงไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก


แสงสีแดงหุ้มเรือเหาะหยกลำหนึ่งที่มีเงาร่างสองร่าง ร่างหนึ่งใหญ่ร่างหนึ่งเล็กนั่งอยู่แหวกท้องนภาไปยังสถานที่ซึ่งอยู่ไกลออกไป


เวลาหลายเดือนผ่านไปเพียงพริบตา!


วันนี้นอกวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้าบนเทือกเขาหมื่นวิญญาณมีแสงสีทองสายหนึ่งเหาะมาจากที่ไกลแสนไกลอย่างรวดเร็วแล้วร่อนลงมา


แสงสีทองดับลงเผยให้เห็นร่างชายหนุ่มชุดน้ำเงินคนหนึ่ง เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง


ข้างกายเขามีเด็กชายอายุราวแปดเก้าขวบคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย เขาก็คือเยี่ยเฮ่าเด็กกำพร้าทายาทตระกูลเยี่ยผู้ครอบครองร่างจิตวิญญาณเนตรทองดวงตาหยกนั่นเอง


หลังเดินทางกลับจากตระกูลโอวหยางมาถึงนิกายครั้งนี้ เขาไม่ได้กลับถ้ำที่พักของตนเองทันที แต่มาที่หอภารกิจนอกเพื่อตามหาผู้ดูแลที่รับผิดชอบการรับศิษย์สักคนก่อน


เขาสอบถามสักพักถึงรู้ว่าหากศิษย์สายในพบผู้ที่ครอบครองร่างกายชนิดพิเศษหรือมีสายเลือดต่างเผ่าไม่จำเป็นต้องรอการรับสมัครรอบใหญ่ของแต่ละปี ให้ผู้ดูแลของหอภารกิจนอกตรวจสอบเขาแล้วสุ่มจัดสรรเขาไปยังนิกายสายนอกได้เลย


หรือจะให้ผู้ดูแลของนิกายสายนอกแต่ละแห่งมาตรวจสอบเขาโดยตรง แล้วให้นิกายสายนอกตัดสินใจเองว่าจะรับเขาหรือไม่ก็ได้


ซึ่งในความเป็นจริงนิกายสายนอกทั้งแปดก็มักจะปรารถนาคนที่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาเหล่านี้อย่างยิ่งยวดอยู่แล้วเพื่อยกระดับพลังของตนแย่งชิงทรัพยากรจากนิกาย


หลังหลิ่วหมิงใคร่ครวญครู่หนึ่งก็ตัดสินใจพาเขามายังสาขาห่านฟ้า อย่างไรเขาก็เคยเป็นศิษย์ของสาขาห่านฟ้า หากพาคนไปเอง หัวหน้าสาขาห่านฟ้ารวมถึงผู้ดูแลอีกจำนวนหนึ่งอาจจะดูแลเด็กคนนี้เพิ่มอยู่บ้าง


ผลปรากฏว่าทั้งสองคนเพิ่งเหยียบวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้าก็ถูกศิษย์รูปร่างสูงใหญ่ที่ท่าทางเหมือนจะเป็นผู้ดูแลคนหนึ่งขวางไว้


“หยุดนะ พวกเจ้าสองคนมาทำอะไรที่สาขาห่านฟ้าของเรา? รอประเดี๋ยว ท่านคือ…ศิษย์พี่หลิ่วหมิง!” ศิษย์รูปร่างสูงใหญ่มองสำรวจหลิ่วหมิงอย่างละเอียดทีหนึ่งแล้วพลันนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างยิ่ง นอบน้อมผิดธรรมดาขึ้นมาทันที


“ศิษย์น้องผู้นี้คือ?”


หลิ่วหมิงไม่รู้จักชายหนุ่มคนนี้ตรงหน้าจึงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจเล็กน้อย


“ข้าเป็นศิษย์ดำเนินการที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นของสาขาเรา ศิษย์พี่หลิ่วไม่รู้จักก็เป็นเรื่องธรรมดา ยามนั้นที่ศิษย์พี่หลิ่วคว้าอันดับหนึ่งในงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอก ข้าก็โชคดีได้เข้าร่วมด้วย เพียงแต่ไม่อาจเทียบกับศิษย์พี่หลิ่วได้ หลังจากศิษย์พี่หลิ่วเข้าไปเป็นศิษย์สายใน เป็นตัวแทนนิกายเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ทั้งยังคว้าอันดับหนึ่งมาได้จากท่ามกลางผู้แข็งแกร่งมากมาย ตอนนี้ท่านก็กลายเป็นผู้ที่ศิษย์สามพันคนของสาขาห่านฟ้าของเรายกย่อง ใช่แล้ว ไม่ทราบวันนี้ศิษย์พี่หลิ่วเดินทางมามีธุระอันใด หรือว่า…เพื่อเด็กคนนี้?” ศิษย์รูปร่างสูงใหญ่พูดเป็นต่อยหอย อ้าปากพูดปุบคำพูดก็หลั่งไหลเป็นสายน้ำไม่จบไม่สิ้น สักพักถึงเหลือบไปเห็นเด็กชายข้างกายหลิ่วหมิง จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเอ่ยถามขึ้นมา


“ข้าได้ยินว่าเด็กที่ครอบครองร่างจิตวิญญาณพิเศษ แค่ผ่านการตรวจสอบก็เข้าเป็นศิษย์นิกายสายนอกได้เลยใช่ไหม?” หลิ่วหมิงพยักหน้า จากนั้นยิ้มน้อยๆ เอ่ยถาม


“ร่างจิตวิญญาณพิเศษหรือ? นั่นแน่นอน จะว่าไปแล้ว สาขาห่านฟ้าของพวกเราก็ไม่ได้รับศิษย์ที่มีพรสวรรค์เหนือธรรมดาเหล่านั้นมาหลายปีแล้ว ไม่เช่นนั้นศิษย์เหล่านี้ใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีก็พัฒนาก้าวกระโดด สร้างชื่อเสียงโด่งดังในการประลองใหญ่ของนิกายสายนอก เอาชนะแย่งชิงทรัพยากรมากกว่านี้มาให้สาขาเราได้ หรือว่าเด็กคนนี้จะ…” ศิษย์รูปร่างสูงใหญ่พูดยาวเป็นพรวนจนน้ำลายแตกฟองอีกพักหนึ่งถึงนึกอะไรขึ้นได้กะทันหัน สายตาเคลื่อนมายังเด็กชายอายุแปดเก้าปีคนนั้น แล้วมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย


หลิ่วหมิงไม่ได้ตอบอันใดตรงๆ แต่ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งมาตบบนหัวไหล่ของเด็กน้อยเยี่ยเฮ่าเบาๆ


พลังจิตวิญญาณเล็กน้อยสายหนึ่งเคลื่อนเข้าไปในร่างของเยี่ยเฮ่าทันที ร่างกายเขาสั่นเล็กน้อย รู้สึกว่าความเจ็บชาจู่โจมอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาทั้งสองข้างก็ทอประกายสีทองจางๆ ออกมาเลือนราง


แสงสีทองในดวงตาของเด็กน้อยปรากฏเพียงครู่เดียวก็หายไป ทว่าศิษย์รูปร่างใหญ่โตเห็นภาพนี้ก็อดไม่ได้ตื่นเต้นยินดีอย่างยิ่ง


“ศิษย์พี่หลิ่ว หากข้ามองไม่ผิด เด็กชายคนนี้ครอบครองร่างเนตรจิตวิญญาณหรือ?”


“เป็นเช่นนั้น ไม่ทราบว่าสถานการณ์เช่นนี้จะให้เขาเข้าสาขาห่านฟ้าโดยตรงได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างนิ่งสงบ


“เรื่องนั้นแน่นอน แต่บังเอิญหัวหน้าสาขาเจียงออกไปข้างนอกมาครึ่งค่อนปีแล้ว ครึ่งเดือนก่อนรองหัวหน้าสาขาเหลียงก็ออกไปทำภารกิจให้นิกาย อย่างเร็วที่สุดก็อีกเดือนกว่าถึงจะกลับมา ศิษย์ที่ครอบครองร่างจิตวิญญาณพิเศษหายากเช่นนี้ให้หัวหน้าสาขาตรวจสอบด้วยตัวเองก่อนจะดีที่สุด หากยืนยันว่าไม่ผิดพลาด โดยทั่วไปนิกายสายในจะทุ่มเททรัพยากรจำนวนมากเลี้ยงดูอย่างดี” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก้มตัวลงมาจ้องสำรวจเด็กน้อยอย่างละเอียดอีกหลายหนถึงเหยียดกายขึ้น เอ่ยกับหลิ่วหมิงอย่างยินดี


“ในเมื่อหัวหน้าสาขากับรองหัวหน้าสาขาล้วนไม่อยู่ ผ่านไปอีกระยะหนึ่งผู้แซ่หลิ่วค่อยพาเขามาใหม่ก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงได้ฟังก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย


“ช้าก่อน…ที่จริงจะว่าไปแล้ว แม้ข้าเป็นเพียงศิษย์ดำเนินการคนหนึ่ง แต่ตามกฎของนิกายข้าก็จัดให้เขาพำนักอยู่ในสาขาห่านฟ้าก่อนได้ เอาเช่นนี้เถิด ศิษย์น้องจะจัดการให้เด็กคนนี้เข้าสาขาห่านฟ้าก่อน เมื่อหัวหน้าสาขาทั้งสองกลับมาปุบ ข้าจะจัดการเรื่องการตรวจสอบร่างจิตวิญญาณทันที จัดการเช่นนี้ดีหรือไม่?” ศิษย์รูปร่างสูงใหญ่ครุ่นคิดในใจครู่หนึ่งก็รีบร้อนเอ่ยออกมาเช่นนี้อีก


“อืม ข้าไม่สะดวกพาเด็กคนนี้กลับถ้ำที่พักนักจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รบกวนศิษย์น้องจัดการด้วย” หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่เดียวก็ตอบเต็มปากเต็มคำ


“ศิษย์พี่หลิ่วไยต้องเกรงใจเช่นนี้” ชายหนุ่มสูงใหญ่รีบร้อนโบกมือเอ่ยขึ้น


“เยี่ยเฮ่า ผู้อาวุโสคนนี้จะจัดการเรื่องต่อจากนี้ให้เจ้า หลังจากนี้ความปรารถนาจะเป็นจริงหรือไม่ก็แล้วแต่ชะตาของตัวเจ้าเองแล้ว” หลิ่วหมิงหมุนตัวมาเอ่ยแผ่วเบากับเด็กชายข้างกาย


หลังเด็กชายอายุแปดเก้าขวบผู้นี้ได้ยินก็พยักหน้ารัวเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ


“ศิษย์พี่หลิ่ว เจ้าตัวน้อยคนนี้ยกให้ข้าเอง ท่านวางใจได้” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ตบหน้าอกเอ่ยขึ้นมา สายตาที่มองไปทางเยี่ยเฮ่าเหมือนกับมองสมบัติแสนรักชิ้นหนึ่ง


นี่ก็ไม่แปลก แนะนำเด็กที่ครอบครองร่างจิตวิญญาณเช่นนี้เข้าสาขาได้ย่อมเป็นความดีความชอบครั้งหนึ่งของตน หากอนาคตเปิดจิตวิญญาณแล้วพรสวรรค์ดีอย่างยิ่ง ถ้าเช่นนั้นย่อมไม่ขาดรางวัลแน่นอน


เมื่อจัดการทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว หลิ่วหมิงก็ไม่รั้งอยู่นาน เขาลาศิษย์ดำเนินการผู้นี้ทันที หลังจากกำชับเยี่ยเฮ่าอีกหลายประโยคก็ออกจากวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้าไป


หลังออกจากวิหารใหญ่ เขาก็ตั้งท่าเคล็ดกระบี่แล้วกลายเป็นแสงสีทองเส้นหนึ่งแหวกท้องฟ้ามุ่งไปยังถ้ำที่พัก


ไม่นานนักเขาก็กับมาถึงในถ้ำที่พัก


เข้าประตูถ้ำมาปุบ หลิ่วหมิงก็ปิดประตูใหญ่ มือข้างหนึ่งตบถุงหนังสองใบข้างเอว ปราณดำสายหนึ่งพวยพุ่งออกมากลายร่างเป็นเซียเอ๋อร์ที่สวมชุดตาข่ายสีดำทั้งร่าง


“นายท่าน!” เซียเอ๋อร์คำนับอ้อนช้อยให้หลิ่วหมิงพลางเอ่ยเรียก


หลิ่วหมิงพยักหน้าให้นาง เมื่อจิตสัมผัสกวาดผ่านถุงหนังอีกใบหนึ่งก็อดไม่ได้ยิ้มน้อยๆ


เฟยเอ๋อร์เวลานี้กำลังขดตัวหลับอุตุอยู่ในถุงหนังใบหนึ่งในนั้น มันไม่สนใจไยดีเสียงเรียกของตนอย่างสิ้นเชิง


หลิ่วหมิงส่ายศีรษะ หลังสั่งเซียเอ๋อร์ให้ฝึกฝนด้วยตนเอง เขาก็มุดศีรษะเข้าไปในห้องลับ


เดิมทีเขาคิดว่าการเดินทางไปตระกูลโอวหยางจะไม่นานมากนัก แต่คาดไม่ถึงว่าจะชักช้ากินเวลาไปถึงครึ่งค่อนปี ตอนนี้กลับมาถึงนิกาย ในที่สุดก็ทำให้พลังเสถียรอย่างสบายใจได้แล้ว


เวลาหนึ่งก้านธูปให้หลัง ในห้องลับ


หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมอันหนึ่ง ในขวดใบน้อยสีเขียวหยกข้างกายมีโอสถแวววาวทั้งเม็ดประหนึ่งหยกที่บนผิวมีลวดลายโอสถสามแถวอยู่สองเม็ด พวกมันก็คือโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับธรรมดาสองเม็ดนั่นเอง


จะว่าไปแล้วเมื่อระดับพลังของเขาเพิ่มขึ้น ผลในด้านการเพิ่มพลังเวทของโอสถแฝงจิตวิญญาณก็ลดน้อยลงตาม วันนี้หลังเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน โอสถแฝงจิตวิญญาณทั่วไปแทบจะไม่มีผลแล้ว แม้เป็นโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับสูงก็มีผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


ยังดีที่สิ่งที่ขายไปตอนนั้นล้วนเป็นโอสถแฝงจิตวิญญาณธรรมดา โอสถระดับสูงส่วนใหญ่เขายังเก็บไว้ในมือ แม้ได้ผลไม่ชัดเจนนัก แต่เทียบกับคนธรรมดาที่อาศัยเพียงนั่งสมาธิตรากตรำฝึกฝนก็ยังมีผลทำให้ลงแรงครึ่งเดียวได้ผลลัพธ์เท่าทวีอยู่


ตอนนี้จะให้เขาออกจากนิกายไปค้นหาวัตถุดิบหลอมโอสถอีกไม่ค่อยเข้าท่านัก อย่างไรก็ใช้ของที่มีอยู่ในมือเหล่านี้ให้หมดก่อนค่อยว่ากันเถอะ


หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้แล้วยื่นสองนิ้วออกมาคีบโอสถแฝงจิตวิญญาณเม็ดหนึ่งวางในปาก จากนั้นหลับตาสองข้างลง เริ่มโคจรพลังเวทในร่างแล้วนั่งสมาธิอย่างนิ่งสงบ


เวลาวันแล้ววันเล่าผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็ผ่านไปสามปี


เนื่องจากตอนเขากลับมาไม่ได้กระโตกกระตากให้ใครรู้ หลายปีนี้เขาจึงใช้ชีวิตอย่างค่อนข้างเงียบสงบ ไม่มีผู้ใดเดินทางมารบกวนการฝึกฝนของเขา


วันนี้เสียง “ปัง” ดังขึ้นแผ่วเบาทีหนึ่ง ประตูศิลาของห้องลับถูกผลักออกมาจากด้านใน


เงาคนเคลื่อนวูบหนึ่ง หลิ่วหมิงเดินออกมาจากด้านใน


สามปีนี้เขาใช้โอสถในมือเพิ่มพลังเวทไปจนเกือบหมดแล้ว พลังเวทในร่างเพิ่มพูนจากก่อนหน้านี้อีกไม่น้อย


พลังระดับแก่นเสมือนของหลิ่วหมิงในเวลานี้เสถียรอย่างสมบูรณ์แล้ว ผลึกพลังเวททรงกลมในทะเลจิตวิญญาณมีแสงสีม่วงกับสีเงินเคลื่อนวนเวียนบนผิวไม่หยุด พลังเวทเต็มเปี่ยมอย่างยิ่ง พร้อมลงมือเตรียมการขั้นสุดท้ายสำหรับสลายผลึกผนึกแก่นแท้มุ่งสู่ระดับแก่นแท้ได้แล้ว

 

 

 


ตอนที่ 869 ความลับของแก่นแท้

 

แม้หลัวโหวจะรับปากว่าถึงเวลาจะลงมือช่วยเหลืออย่างไม่เสียดายว่าต้องเสียพลังปราณจำนวนมาก แต่สุดท้ายเขาก็ยังต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก การฝากความหวังทั้งหมดไว้กับคนอื่นไม่ใช่วิถีของเขา


หลิ่วหมิงคิดได้เช่นนี้ก็มุ่งไปที่ประตูใหญ่ของถ้ำที่พัก


เขาเพิ่งเหยียบออกจากถ้ำที่พักก็ไม่พูดพร่ำตั้งท่าเคล็ดกระบี่กลายเป็นแสงสีทองเส้นหนึ่งแหวกท้องฟ้ามุ่งไปทางยอดเขาหลักของยอดเขาลั่วโยว


หลายวันก่อนหน้านี้เขาได้ข่าวผ่านแผ่นค่ายกลส่งสารว่าอินจิ่วหลิงกลับมายังยอดเขาลั่วโยวแล้ว บังเอิญว่าเขาเก็บตัวจบพอดีจึงคิดจะไปเข้าพบสักหน่อย แล้วถือโอกาสสอบถามเรื่องการทะลวงระดับแก่นแท้สักหน่อยด้วย


ก่อนหน้านี้ตอนเขาอ่านตำราในหอเก็บคัมภีร์เคยอ่านเกี่ยวกับการผนึกแก่นแท้อย่างละเอียดอยู่บ้าง ในใจย่อมรู้ชัดว่าการผนึกแก่นแท้เรียกได้ว่าเป็นด่านสำคัญที่สุดด่านหนึ่งบนเส้นทางการฝึกฝน แต่ความลี้ลับของเรื่องนี้สอบถามอินจิ่วหลิงผู้เคยผ่านมาแล้วคนนี้อีกครั้งย่อมเป็นการดี


เวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยให้หลัง กลางห้องโถงแห่งหนึ่งใกล้ๆ ยอดเขาของยอดเขาหลักแห่งยอดเขาลั่วโยว อินจิ่วหลิงที่นั่งอยู่บนที่นั่งประธานกำลังยกชาจิตวิญญาณซึ่งมีกลิ่นหอมโชยเข้าจมูกถ้วยหนึ่งขึ้นจิบสองสามคำเป็นระยะ


ชายหนุ่มที่แต่งเครื่องแบบสีดำของศิษย์ยอดเขาลั่วโยวเบื้องหน้าเขาย่อมคือหลิ่วหมิง


“ดีมาก! ดูท่าการเดินทางไปตระกูลโอวหยางครั้งนี้ของเจ้าจะราบรื่นทีเดียว วันนี้พลังระดับแก่นเสมือนเหมือนจะแข็งแกร่งดีแล้ว” อินจิ่วหลิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ


“ศิษย์เข้าสู่ระดับแก่นเสมือนได้ราบรื่นเช่นนี้ ต้องขอบคุณอาจารย์ที่พยายามช่วยเหลือสุดความสามารถ มิเช่นนั้นไหนเลยศิษย์จะทะลวงคอขวดครั้งนี้ได้ง่ายดายปานนี้” หลิ่วหมิงค้อมกายเอ่ยกับอินจิ่วหลิงด้วยสีหน้าเคารพ


“ชีวิตนี้ของข้ารับศิษย์สายตรงเพียงสองคนคือเสี่ยวอู่กับเจ้า อาจารย์ย่อมหวังว่าพวกเจ้าจะเป็นสีครามที่เกิดจากต้นครามแต่เข้มกว่าต้นคราม ใช่แล้ว หลังจากนี้เจ้าคงขบคิดเรื่องการทะลวงระดับแก่นแท้แล้วกระมัง?” อินจิ่วหลิงโบกมือเอ่ยขึ้นนิ่งๆ


“อาจารย์ช่างปราดเปรื่อง ศิษย์มาเยือนครั้งนี้คิดจะถือโอกาสขอคำชี้แนะจากอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องการผนึกแก่นแท้สักเล็กน้อยจริงๆ” หลิ่วหมิงพยักหน้าเอ่ยตอบ


“ไม่เลว เรื่องเกี่ยวกับระดับแก่นแท้สมควรเตรียมการให้เรียบร้อยไว้ล่วงหน้าจริงๆ” อินจิ่วหลิงลูบแขนเสื้อเบาๆ แล้วพยักหน้าเอ่ยชม


“แม้กว่าพลังจะบรรลุระดับแก่นเสมือนจะไม่ง่าย แต่พูดตามจริงแล้วนี่ก็นับเป็นแค่การเตรียมพร้อมก่อนผนึกแก่นแท้เท่านั้น การสลายผลึกผนึกแก่นแท้ขั้นสุดท้าย หากไม่ยืมพลังภายนอกโอกาสสำเร็จน้อยยิ่งกว่าน้อย ขั้นนี้แตกต่างจากการเลื่อนระดับพลังก่อนหน้านี้ ไม่เพียงตัวผู้ฝึกฝนเองต้องมีพรสวรรค์เหนือผู้คน พวกเขายังต้องกระตุ้นศักยภาพในกายตนด้วยการฝึกฝนข้ามผ่านความเป็นความตายมาเป็นจำนวนมากถึงจะมีโอกาสน้อยนิดที่จะผนึกแก่นแท้ได้”


“ทอดสายตามองไปทั้งแผ่นดินจงเทียน ผู้ที่หยุดอยู่ที่ระดับแก่นเสมือนหลายสิบปีจนถึงหลายร้อยปีมีมากมายนับไม่ถ้วน เจ้ารู้ไหมว่าเพราะอะไร?” อินจิ่วหลิงพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปอีกหน


“คิดว่าโอกาสน้อยนิดที่ว่านี้คงได้มายากอย่างที่สุดกระมัง?” หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่เดียวก็เอ่ยปากตอบ


“นี่เป็นเพียงสาเหตุหนึ่งเท่านั้น! ก่อนหน้านี้ที่เสี่ยวอู่ต้องการเข้าไปฝึกฝนในทางปีศาจร้าย จุดประสงค์ก็เพื่อฝึกปรือในสถานการณ์อันตรายที่สุดไม่หยุดหย่อนเพื่อแสวงหาโอกาสที่ว่า ทว่าแม้โอกาสน้อยนิดนี้ได้มาไม่ง่าย แต่นิกายยอดบริสุทธิ์ของเราเป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่บนแผ่นดินของเผ่ามนุษย์ ผู้ที่เผยความสามารถโดดเด่นท่ามกลางศิษย์มากมายจนก้าวสู่ระดับแก่นแท้ได้ย่อมไม่ได้มีจำนวนน้อยนิด มีคนไม่น้อยตามหาโอกาสพบ สาเหตุสำคัญที่สุดก็คือแม้ได้โอกาสมาแล้ว แต่กระบวนการผนึกแก่นแท้ทั้งหมดก็อันตรายอย่างยิ่งเช่นกัน ในสิบคนมีเจ็ดแปดคนหมดอนาคตไปในขั้นนี้ เมื่อสลายผลึกผนึกแก่นแท้ครั้งแรกล้มเหลวพลังปราณจะเสียหายอย่างมาก ในเวลาสั้นๆ ระดับพลังจะร่วงหล่นลงไปหลายขั้นทันที แม้การฟื้นระดับพลังหลังจากนั้นจะไม่ใช่เรื่องยากลำบากอันใด แต่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าหกปีหรืออย่างมากสิบกว่าปีจึงจะผนึกแก่นเสมือนแล้วตามหาโอกาสได้อีกครั้ง ทว่าเนื่องจากสภาพจิตใจเสียหายจากก่อนหน้านี้ ระดับความยากย่อมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โอกาสผนึกแก่นแท้สำเร็จมีแต่จะยิ่งริบหรี่ลง”


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มีวิธีใดจะเพิ่มโอกาสผนึกแก่นแท้ได้หรือไม่!” หลิ่วหมิงเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วเอ่ยถามอย่างกังวลทันที


“หลังพลังมาถึงขั้นนี้ พลังภายนอกที่หยิบยืมมาใช้ทะลวงคอขวดได้นับว่ามีน้อยยิ่งกว่าน้อย แม้จะมีบ้าง แต่ถ้าไม่ใช่โชควาสนาใหญ่หลวงก็ทำไม่ได้ โดยทั่วไปแล้วยิ่งผลึกพลังเวทภายในมาก พลังเวทยิ่งบริสุทธิ์ โอกาสผนึกแก่นแท้สำเร็จก็ยิ่งมาก” อินจิ่วหลิงเอ่ยอย่างไม่ต้องคิด


“ที่แท้เป็นเช่นนี้! อาจารย์หมายความว่าหลังจากนี้ให้ศิษย์หมั่นหลอมกลั่นพลังเวทให้มากสักหน่อยใช่หรือไม่” หลิ่วหมิงเอ่ยพึมพำ


“หากเจ้าอดทนต่อความห่อเหี่ยวได้ การหลอมกลั่นพลังเวทในร่างเพิ่มขึ้นสักหลายรอบย่อมเป็นประโยชน์ต่อยามผนึกแก่นยิ่งนัก ฮ่ะๆ น่าเสียดายแม้ทุกคนล้วนรู้หลักการนี้ แต่จะมีสักกี่คนอดทนให้พลังของตนเองหยุดนิ่งอยู่กับที่หลายสิบปีจนถึงนับร้อยปีเพื่อเอาแต่ขัดเกลาพลังเวทอยู่ที่เดิมได้” อินจิ่วหลิงหัวเราะเอ่ยขึ้นมา


หลิ่วหมิงฟังแล้วก็เผยสีหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง


“อีกเรื่องหนึ่งหลังพลังบรรลุถึงระดับแก่นแท้ แม้ทุกคนถูกเรียกว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ แต่ภายในนั้นกลับแบ่งแยกหลายชั้นจากคุณสมบัติดีเลวของแก่นแท้ที่ผนึกขึ้นมา แบ่งออกเป็นระดับล่างสามทวาร ระดับกลางหกทวาร ระดับสูงเก้าทวารและระดับสุดยอดสิบสองทวาร ฉะนั้นการผนึกแก่นแท้ก้าวนี้จึงสำคัญอย่างยิ่ง หากอยากเดินไปบนเส้นทางการฝึกฝนในอนาคตได้ไกลขึ้น ดีที่สุดผนึกแก่นแท้ระดับสูงหรือระดับสุดยอดออกมาให้ได้ อย่างแย่ที่สุดก็ต้องเป็นระดับกลางถึงจะไหว แผ่นดินจงเทียนกว้างใหญ่เพียงไร บนแผ่นดินย่อมไม่ขาดแคลนผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนพึ่งพาพลังภายนอกนานาชนิด หาโอกาสน้อยนิดนั่นไม่พบก็ฝืนผนึกแก่นแท้จนกลายเป็นแก่นแท้ระดับล่างสามทวาร ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้พวกนี้ แค่เผชิญหน้ากับศิษย์อัจฉริยะระดับผลึกของสี่ยอดนิกายใหญ่ของพวกเรา มากกว่าครึ่งก็ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นหากอยากประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่บนหนทางแห่งการฝึกฝนหลังจากนี้เรื่องนี้ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจ!”


“ศิษย์จะจดจำคำสอนของอาจารย์ขอรับ!” หลิ่วหมิงเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม ขณะที่ในใจขบคิดอย่างรวดเร็ว


แม้เขาครอบครองผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดซึ่งมากกว่าคนทั่วไป พลังเวทก็ได้ฟองอากาศลึกลับน้อยกลั่นจนบริสุทธิ์กว่าผู้ฝึกฝนธรรมดามาก แต่เขาก็ไม่คิดเอาเองว่าตอนนี้บุ่มบ่ามผนึกแก่นแท้ได้แล้วเด็ดขาด


ตามคำบอกของอินจิ่วหลิง หากผนึกแก่นแท้ล้มเหลว การผนึกแก่นแท้ครั้งที่สองจะยากยิ่งกว่ายาก หากยืมปัจจัยภายนอกฝืนผนึกแก่นแท้ก็จะผนึกได้แต่แก่นแท้ระดับล่าง นี่ย่อมไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาต้องการ


การฝึกฝนข้ามผ่านความเป็นความตายที่อินจิ่วหลิงเอ่ยถึง แม้ตนผ่านการฝึกฝนในแดนมายามานับครั้งไม่ถ้วน แต่เพราะรู้ว่าเป็นภาพมายาจึงไม่มีประสบการณ์ที่ความเป็นความตายเกี่ยวพันเพียงคาบเส้นอย่างแท้จริงเหล่านั้น


ส่วนหลังตามหาโอกาสมาได้แล้วจะผนึกแก่นแท้ทะลวงระดับอย่างไร ต้องตามหาโชควาสนาอีกจำนวนหนึ่งถึงจะได้ อย่างเลวที่สุดก็ยังมีหลัวโหวรับปากว่าจะช่วยอยู่


ดูท่าหากเขาอยากตามหาโอกาสทะลวงระดับแก่นแท้สักครั้ง คงต้องเอาอย่าง ‘ศิษย์พี่อู่’ ผู้นั้น


“อาจารย์ ศิษย์อยากขอเข้าไปในทางปีศาจร้ายเพื่อฝึกปรือตามหาโอกาสการเลื่อนชั้นบ้าง” หลังใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง หลิ่วหมิงก็เอ่ยปากขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง


“ดูจากความสามารถที่เจ้าแสดงให้เห็นในงานประตูสวรรค์รวมถึงพลังในตอนนี้ของเจ้า จะขอเข้าไปในทางปีศาจร้ายย่อมได้ เพียงแต่หลายสิบปีนี้คนของสี่ยอดนิกายใหญ่ที่ยื่นขอเข้าไปในทางปีศาจร้ายมากมายนักจึงทำให้สิทธิ์ที่จะเข้าไปตอนนี้เหลือน้อยยิ่ง แม้อาจารย์จะแนะนำเจ้า ก็ต้องให้เจ้าใช้แต้มคุณูปการของนิกายอีกจำนวนหนึ่งถึงจะเข้าไปได้ อีกอย่างด้านในทางปีศาจร้ายนั่นอันตรายอย่างยิ่ง เสี่ยวอู่เข้าไปครั้งหนึ่งก็หลายสิบปีจนกระทั่งวันนี้ยังไม่กลับมา ดังนั้นดีที่สุดก่อนหน้านั้นเจ้าจงพยายามเตรียมพร้อมให้มาก เลื่อนระดับพลังของตนให้ได้อีกสักหน่อยจะเป็นการดี” อินจิ่วหลิงฟังแล้วก็ไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจ หลังครุ่นคิดครู่หนึ่งก็พยักหน้ารับปาก


“ขอบคุณอาจารย์ยิ่งนัก” หลิ่วหมิงเอ่ยขอบคุณอย่างดีใจ


“ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ผู้อาวุโสลับหานแห่งนิกายสายในต้องการพบเจ้า ดูเหมือนเขาคิดจะใช้วิชาลับของผู้ฝึกฝนกระบี่วิชาหนึ่งแลกกับทรายธารดาราครึ่งหนึ่งในมือเจ้า สองสามวันนี้ถ้าเจ้ามีเวลาว่างก็จงไปหาสักครั้ง” ทันใดนั้นอินจิ่วหลิงก็เปลี่ยนเรื่องเอ่ยขึ้นเรียบๆ


“ผู้อาวุโสลับหาน ทรายธารดารา! ศิษย์เข้าใจแล้ว” หลิ่วหมิงทีแรกตะลึง แต่ก็ตอบรับเต็มปากเต็มคำทันที


ผู้อาวุโสลับแซ่หานผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสชุดเทาที่เมื่อตอนนั้นเดินทางไปงานประตูสวรรค์ด้วยกันกับเทียนเกอเจินเหรินผู้เป็นประมุขนิกาย เขารู้ว่าหลิ่วหมิงได้ทรายธารดารามาจากแดนลึกลับประตูสวรรค์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก


“วางใจเถิด แม้ผู้อาวุโสหานเป็นคนของยอดเขากระบี่สวรรค์ แต่เขาก็มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับพวกเรา การแลกเปลี่ยนครั้งนี้เจ้าจะไม่ขาดทุนแน่นอน ถ้ำที่พักของเขาอยู่บนยอดเขาที่ด้านหลังยอดเขากระบี่สวรรค์ เจ้าไปถึงที่นั่นถามดูก็รู้” อินจิ่วหลิงยิ้มเอ่ยขึ้นอีกครั้ง


จากนั้นอินจิ่วหลิงก็สนทนาเรื่อยเปื่อยกับหลิ่วหมิงอีกหลายประโยคแล้วมอบโอสถเสริมความแข็งแกร่งของระดับพลังให้เขาอีกสองขวด จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อส่งแขก


หลังเขาเข้าพบอินจิ่วหลิงแล้วก็หมุนตัวออกมาจากที่พำนักของเขา เมฆดำก้อนหนึ่งยกร่างเขาลอยขึ้นแหวกท้องนภามุ่งไปยังยอดเขากระบี่สวรรค์ที่ผู้อาวุโสหานผู้นั้นอยู่


ระหว่างทางหลิ่วหมิงบังเอิญผ่านหอนานัปการจึงเข้าไปสอบถามเรื่องเกี่ยวกับการเข้าไปในทางปีศาจร้าย


ถามแล้วถึงได้รู้ว่าต้องเป็นศิษย์สายในที่จ่ายแต้มคุณูปการของนิกายหนึ่งล้านแต้ม แล้วมีป้ายของผู้ควบคุมยอดเขาแห่งหนึ่งถึงจะเข้าไปได้


เขาคืนแต้มคุณูปการสี่ล้านแต้มที่ติดค้างก่อนหน้านี้ไปแล้ว ปัจจุบันแต้มในมือจึงเหลืออยู่ไม่เท่าไร แต่เขากลับไม่กังวลเท่าไรนัก ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เพียงแต้มคุณูปการที่แจกให้แก่ศิษย์สายในทุกเดือนหลายสิบปีนี้รวมกันก็มีมากถึงสี่ห้าแสนแต้มแล้ว แล้วเขาก็ยังใช้เวลาจำนวนหนึ่งไปรับภารกิจของป้ายประกาศภารกิจของหอลี้ลับเพิ่มสักหน่อยได้


หนึ่งชั่วยามให้หลัง ลำแสงสีดำสายหนึ่งก็พุ่งรวดเร็วมาถึงยอดเขาขนาดเล็กที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งด้านหลังยอดเขากระบี่สวรรค์


เมื่อเข้ามาในบริเวณหนึ่งลี้กว่ารอบยอดเขาแห่งนี้ หลิ่วหมิงก็รู้สึกว่ากลางอากาศมีคลื่นระลอกหนึ่ง จากนั้นพลังปราณเข้มข้นสายหนึ่งก็โถมเข้าใส่ทันที


ภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ประตูศิลาสีเทาที่ดูใหญ่โตสูงหลายจั้งบานหนึ่งปรากฏให้เห็นที่ตีนเขา บนประตูศิลาสลักกระบี่ยักษ์สีน้ำเงินยาวสองสามจั้งเล่มหนึ่งไว้ ผิวของกระบี่ยักษ์ทอแสงเรืองๆ มีปราณกระบี่วนเวียนอยู่เลือนราง


หลิ่วหมิงร่อนลงเบื้องหน้าประตูศิลาทันที หลังสำรวจอยู่ครู่หนึ่งก็ก้าวเข้าไปใช้มือลูบกระบี่ยักษ์บนประตูศิลาเบาๆ


ครู่หนึ่งหลังจากนั้นก็รู้สึกว่าปราณกระบี่สีน้ำเงินจางๆ สายแล้วสายเล่าพุ่งผ่านปลายนิ้วของเขาอย่างอ่อนโยนประหนึ่งมีจิตวิญญาณ มหัศจรรย์ยิ่งนัก


ขณะที่กำลังคิดจะก้าวเข้าไปเคาะประตู กระบี่ยักษ์สีน้ำเงินบนประตูศิลาฉับพลันก็ส่องแสง ประตูศิลาส่งเสียงดังทีหนึ่งแล้วค่อยๆ เปิดออก เสียงบุรุษทุ้มต่ำติดแหบพร่าเล็กน้อยดังออกมาจากด้านใน


“ศิษย์หลานหลิ่วรึ เข้ามาเถิด”


“ขอรับ”


หลิ่วหมิงได้ยินก็ตอบรับอย่างนอบน้อมทันที จากนั้นจึงเดินเข้าไป


หลังเข้ามาในประตูศิลา เดินผ่านทางเดินศิลาสีเทายาวสิบกว่าจั้งที่ดูธรรมดาอย่างยิ่งเส้นหนึ่งก็พบเพียงโถงถ้ำขนาดสิบกว่าจั้งแห่งหนึ่ง


ที่พำนักของผู้อาวุโสลับระดับดาราพยากรณ์ผู้นี้เรียบง่ายกว่าที่พำนักของอินจิ่วหลิงมากนัก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)