อยากกินไหมล่ะ 866-867

 บทที่ 866 ขอให้เธอมีความสุข(ต่อ)

“หลิงหง นายจะเสียใจหรือเปล่าที่ต้องไปร่วมงานแต่งงานของแฟนเก่าตัวเองน่ะ?” พี่วั่นกล่าวด้วยความลังเล


“อ่า นายจะเสียใจไหมนะ? ไม่ใช่ว่านายบอกว่าเป็นรักแท้ของตัวเองหรือไง?” อู๋ไห่กล่าวเสริม


“นายคงไม่ไปขโมยเจ้าสาวหรอกใช่ไหม?” อู๋ไห่ลองเดาสุ่มก่อนที่หลิงหงจะทันได้ตอบคำถามแรก


เมื่อได้ยินการเดาสุ่มของอู๋ไห่ แม้แต่หยวนโจวก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมองหลิงหง


ถึงอย่างไรในอดีตก็มักจะเกิดเหตุการณ์ฉุนขาดเสียจนทำเรื่องที่ไม่อาจควบคุมได้เพื่อหญิงงามอยู่บ่อยครั้ง แต่หยวนโจวก็ยังเกรงว่าหลิงหงอาจจะถูกตีตายได้หากเขากล้าขโมยเจ้าสาวจากงานแต่งงาน ดังนั้นหลิงหงจึงต้องมีความรอบคอบในเรื่องนั้นให้มาก แต่หากเขาตัดสินใจทำเช่นนั้นขึ้นมาแล้วล่ะก็หยวนโจวคงได้แต่ต้องพาตัวเขามาแล้วล่ะ เขาอยากชมดูเรื่องสนุกโดยไร้ความกังวล


“ไม่แน่นอนอยู่แล้วล่ะน่า” หลิงหงมองอู๋ไห่ด้วยความดูถูกดูแคลนแล้วกล่าวยืนยัน


“งั้นก็ไปเลยสิ นายต้องมาถามให้มากความทำไมกันเล่า?” อู๋ไห่กล่าวขึ้นมา


“คนรักเก่าของฉันกำลังจะแต่งงานส่วนฉันดันไม่ใช้เจ้าบ่าว แต่ฉันเป็นคนใจกว้างและมีน้ำใจออก ดังนั้นฉันก็เลยจะไปอวยพรให้เธอไงล่ะ” หลิงหงกล่าวอย่างมีวาทศิลป์


“ออกมาจากใจจริงเลยใช่ไหมเนี่ย?” อู๋ไห่มองหลิงหงอย่างไม่อยากเชื่อ โดยมีสีหน้าหวาดระแวงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา


“หลิงหง นายไม่เป็นไรใช่ไหม?” พี่วั่นถามอย่างสุภาพ


“อืม ผมไม่เป็นไร แน่นอนว่าผมย่อมทำเรื่องนั้นออกมาจากใจจริงอยู่แล้วล่ะ ขอเพียงแค่เธอมีความสุข ผมก็โล่งใจแล้วล่ะ” หลิงหงส่ายหน้าแล้วกล่าวขึ้นมา “ไม่ใช่ว่ามีเนื้อร้องอยู่ในบทเพลงหรือไง? ขอแค่เธอมีชีวิตที่ดีกว่าฉัน…”


“ถ้าหากนายรู้สึกเสียใจไม่ต้องไปก็ได้นะ” พี่วั่นทนเห็นหลิงหงพูดแบบนั้นไม่ไหวอีกต่อไปแล้วจึงให้คำแนะนำออกมา เธอนับได้ว่ามีประสบการณ์ในเรื่องนี้มากทีเดียว


“ไม่ได้หรอก ผมต้องไปให้ได้ นับเป็นเรื่องค่อนข้างดีทีเดียวที่ได้เห็นเธอแต่งงานอย่างมีความสุข แม้ว่าผมจะไม่แน่ใจว่ารักเธอจริงๆหรือเปล่า แต่มันก็เป็นอนุสรณ์อย่างหนึ่งที่ทำให้รำลึกถึงวัยเยาว์ที่หายไปของผมล่ะ” น้ำเสียงของหลิงหงเปรียบประหนึ่งดัง “ซุปไก่” ที่ช่วยปลอบโยนจิตวิญญาณ


“จึ๊ จึ๊ น่าคลื่นไส้ชะมัดเลย” อู๋ไห่ทำเสียงแปลกๆที่มีความหมายอันคลุมเครือ เขาสะบัดตัวราวกับจะขจัดความน่าขนลุกออกไปให้พ้น


“โชคดีนะ” พี่วั่นกล่าวขึ้นมา


“นายมีแฟนตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมไม่พาไปงานแต่งงานกับนายสักคนเล่า? แบบนั้นไม่ดีหรือไง?” อู๋ไห่กล่าวเช่นนั้นออกมาอย่างไม่ใส่ใจ


“ไม่ล่ะ ฉันอยากไปที่นั่นคนเดียวมากกว่า” หลิงหงกล่าวอย่างชาญฉลาด “ถ้าหากทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี ฉันอาจจะกลับมากินอาหารค่ำที่นี่นะ”


“เอาล่ะ ตอนนี้มากินกันต่อเถอะนะ คืนนี้ฉันจะไปดื่มนะพอดีซื้อเบียร์มาแล้วด้วย” หลิงหงกล่าวพลางอมยิ้มโดยปราศจากสีหน้าฝืนใจบนใบหน้าของตนเอง


“โอเค งั้นฉันไปไปร่วมงานกับนายนะ” เมื่อพี่วั่นเห็นว่าหลิงหงเป็นปกติและสบายใจมากขึ้นแล้ว เธอก็พยักหน้าให้กับเขา


“ฉันก็เหมือนกัน อยู่ให้ห่างจากเบียร์ของฉันซะ” อู๋ไห่โชว์ฟันตัวเองแล้วเริ่มปกป้องอาหารของเขาทันที


จากนั้นหลิงหงกับอู๋ไห่ก็เริ่มเถียงกันอีกครั้ง


อันที่จริงแล้วหลิงหงกับพี่วั่นไม่ได้คุยกันเสียงดังเลยแถมอู๋ไห่ยังเจตนาลดเสียงให้เบาลงเมื่อตอนที่พยายามจะพูด ผลที่ได้ก็คือแม้แต่บรรดาลูกค้าที่จมจ่อมกับอาหารอร่อยที่อยู่ข้างๆพวกเขาก็ยังได้ยินไม่ชัดนัก แน่นอนว่าหยวนโจวย่อมไม่ใช่หนึ่งในนั้นเนื่องจากเขามีหูตาอันเฉียบคมเป็นพิเศษ


บางทีอู๋ไห่ก็ทราบดีว่าควรทำตัวเช่นไรในสถานการณ์อันละเอียดอ่อนเช่นนี้ เขาเองก็นับเป็นคนที่น่าคบหาคนหนึ่งทีเดียวตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับอาหาร


เพราะคำเชิญของหลิงหงทำให้พี่วั่นมาถึงร้านตอนผับเปิด และเป็นธรรมดาที่เธอจะเข้ามาหาเฉินเหว่ย


“ไม่เจอกันนานเลยนะ” พี่วั่นทักทายเขาอย่างสุภาพ


“อืม” เฉินเหว่ยพยักหน้าอย่างให้ด้วยใบหน้าเฉยเมย


“มาดื่มเบียร์ที่นี่งั้นเหรอ?” หลังจากทักทายแล้ว พี่วั่นก็เตรียมตัวหันหลังกลับไป ทว่าในขณะนั้นเอง เฉินเหว่ยก็ถามเธอขึ้นมาอีกครั้ง


“ใช่แล้วล่ะ หลิงหงเลี้ยงทั้งทีฉันก็เลยมาลองชิมเบียร์สดของเถ้าแก่หยวนเสียหน่อยน่ะ” พี่วั่นพยักหน้า


“เบียร์รสชาติยอดเยี่ยมมากเชียวล่ะ” เฉินเหว่ยให้คำยืนยัน


“งั้นฉันต้องไปชิมดูบ้างแล้วล่ะ” หลังจากกล่าวเช่นนั้น พี่วั่นก็หันกลับไปคุยกับหลิงหง


บรรยากาศมันช่าง… ระหว่างทั้งสองคนระหว่างที่คุยกันช่างน่าอึดอัดเหลือเกิน


คราวนี้หลิงหงมัวแต่ยุ่งกับการตอบโต้คำพูดก้าวร้าวของเจ้าคนหน้าไม่อายอู๋จึงทำให้ดูไม่ต่างอะไรจากปกตินัก เขาทำตัวราวกับว่าไม่กังวลเรื่องงานแต่งงานในวันพรุ่งนี้เลยแม้แต่น้อย


ส่วนพี่วั่นกับเฉินเหว่ยนั้น พวกเขาเจอกันเพียงไม่กี่ครั้งหลังจากนัดบอดครั้งก่อน ไม่มีใครทราบเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในภายหลังอีกเลย


ดังนั้นบรรยากาศในผับจึงยังคงอบอุ่นและสนุกสนานเช่นเก่าก่อน ไม่นานราตรีก็ผ่านพ้นไป


นับเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากที่พี่วั่นจะมาร้านหยวนโจวอีกครั้งในตอนกลางวันของวันถัดมา พูดง่ายๆก็คือเธอจะมารับประทานอาหารค่ำที่ร้านหยวนโจวยกเว้นสุดสัปดาห์เท่านั้นแหละ ถึงอย่างไรเธอก็ต้องทำงานตอนกลางวันแถมบริษัทของเธอยังอยู่ห่างจากร้านหยวนโจวอีกต่างหาก


ดูเหมือนว่าเธอจะขึ้นรถแท็กซี่มาที่นี่ในตอนกลางวันเผื่อหลิงหงมาเธอก็จะได้มองเห็นเขา แม้แต่ไห่เองก็อยากรู้มากเช่นกัน ไม่รู้ว่าเป็นความจงใจหรือไม่ที่เขาสวมเสื้อแขนยาวที่ด้านหน้าอ่านได้ว่า “วันนี้รักแรกของฉันจะแต่งงานกับชายอื่น” ส่วนด้านหลังอ่านได้ว่า “อย่าเสียใจไปเลย ถึงยังไงพรุ่งนี้นายก็ยังโสดอยู่ดีนั่นแหละ”


อย่างถ้อยคำที่มีการกล่าวถึงเสมอ อู๋ไห่สมควรถูกตีแล้วจริงๆ แต่ถ้ามีคนอยากจะตีเขาก็หมายความว่าคนๆนั้นไม่รู้จักเขามากพอ เพราะหลังจากรู้จักเขามากขึ้นแล้วก็จะรู้สึกอยากตีเขาให้ตายเลยเชียวล่ะ


“ในตอนนี้งานแต่งงานยังดำเนินต่อไป เขาคงไม่น่าจะกลับมาหรอก” พี่วั่นพึมพำกับตัวเอง


“มีโอกาสที่เขาจะถูกไล่ออกมางานแต่งมากเชียวล่ะ” อู๋ไห่กล่าวหลังจากได้ยินพี่วั่นพูด


“ฉันไม่คิดงั้นหรอกนะ นายน่าจะเตรียมซองแดงหนาๆเอาไว้ข่มขวัญผู้อื่นด้วยนะ” พี่วั่นนึกถึงสิ่งที่หลิงหงบอกเมื่อคืนนี้แล้วกล่าวออกมาอย่างอับจนหนทาง


ใช่แล้วล่ะ หลังจากดื่มเบียร์เมื่อคืน หลิงหงบอกว่าเขาจะเตรียมซองแดงซองหนาๆเพื่อข่มขวัญเจ้าบ่าวเจ้าสาว มีแค่เทพเซียนเท่านั้นแหละที่รู้ว่าเขาจะทำแบบนั้นจริงๆหรือไม่


“ใครจะไปสนกันเล่า! ยังไงก็แล้วแต่เขามีเงินเยอะแถมจัดงานแต่งงานก็ต้องใช้เงินตั้งเยอะนี่นา” อู๋ไห่หาได้สนใจเรื่องนั้นแต่อย่างใดไม่เนื่องจากเขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเงินๆทองๆสักเท่าใดนัก


“คู่บ่าวสาวใหม่มักจะต้องมอบของขวัญตอบแทนให้แขกเหรื่อหลังจากงานแต่งงาน ถ้าหากซองแดงหนาเกินไป นายอยากจะให้พวกเขามอบของขวัญตอบแทนอย่างไรกันเล่า?” พี่วั่นมองอู๋ไห่ที่ไม่มีสามัญสำนึกแม้แต่น้อยด้วยความดูถูกดูแคลน


“ฉันล่ะไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้เอาเสียเลย เจิ้งเจียเหว่ยไปร่วมงานพวกนี้แทนฉันตลอดเลย” อู๋ไห่ยักไหล่


“เฮ้อ” พี่วั่นถอนหายใจแล้วไม่กล่าวอะไรอีก เธอเพียงแค่มองไปที่หัวมุมถนนแล้วรอคอยเขาต่อไป


อันที่จริงแล้ว พี่วั่นเป็นผู้หญิงที่ดีมากคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เธอมักจะสวมบทบาทเป็นคุณป้าผู้เป็นทุกข์เป็นร้อนในร้านอยู่เสมอ ปัญหาเดียวของเธอก็คือเธอชอบเป็นกังวลเรื่องของคนผู้อื่นมากเกินไป


อีกด้านหนึ่งอู๋ไห่เข้าไปในร้านเพื่อหาอะไรกินก่อนแล้วค่อยเดินออกมา เขาไม่ได้ออกมารอข้างนอกอยู่ตลอดเวลาแต่อย่างใด


พี่วั่นเองก็กลับไปที่บริษัทของเธอก่อนที่จะเริ่มทำงานอีกครั้ง


“ดูท่าอาหารในงานแต่งงานคงจะอร่อยน่าดูเชียวล่ะ” หลิงหงยังไม่ปรากฏตัวตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งสิ้นสุดเวลาอาหารกลางวัน หยวนโจวพึมพำแล้วกล่าวอำลาบรรดาลูกค้าทั้งหลาย


ในยามบ่าย หยวนโจวยกก้อนน้ำแข็งออกไปข้างนอกแล้วฝึกแกะสลักเช่นเคย


สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้หยวนโจวฝึกแกะสลักก้อนน้ำแข็งก็คือการแกะสลักผักและผลไม้ไม่มีความท้าทายอีกต่อไปแล้ว เขาจึงเพิ่มความยากเข้าไปอีกทำให้เขาต้องรอจนกว่าเขาจะมีความเชี่ยวชาญในฝีมือการแกะสลักน้ำแข็งก่อนที่จะเปลี่ยนวัตถุดิบอีกครั้ง


ในยามบ่ายเมื่อไม่กี่วันมานี้ หยวนโจวได้แต่ฝึกแกะสลักน้ำแข็งเพียงเท่านั้น


ก้อนน้ำแข็งบางก้อนมีขนาดใหญ่ส่วนบางก้อนกลับมีขนาดเล็ก ขนาดช่างไม่เท่ากันเอาเสียเลย เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะรักษาผลงานแกะสลักน้ำแข็งเอาไว้ได้จึงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยากจะเอากลับบ้านไปด้วย


พวกเขาจึงต้องทิ้งพวกมันเอาไว้ที่นี่มากกว่าจะเอากลับบ้านไปด้วยทำให้ผู้คนสามารถชื่นชมพวกมันในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น


ครึ่งชั่วโมงก่อนที่หยวนโจวจะเริ่มเตรียมวัตถุดิบสำหรับการทำอาหารมื้อค่ำ จู่ๆหลิงหงก็ปรากฏตัวขึ้นที่ถนนแล้วรีบเข้ามาในร้านหยวนโจว


“เถ้าแก่หยวน ฉันขอเข้าไปนั่งข้างในสักแปบนึงได้ไหม?” หลิงหงกล่าวกับหยวนโจวที่กำลังวางมีดทำครัวลงด้วยน้ำเสียงปกติ


“อยากนั่งตรงไหนก็นั่งเถอะ” หยวนโจววางมีดทำครัวลงโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาแต่อย่างใด


“ตึก ตึก ตึก” หลิงหงเดินไม่กี่ก้าวเข้ามาในร้านแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก หยวนโจวหันไปมองเขาด้วยท่าทีแปลกประหลาด เขายืนครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นสักครู่หนึ่งแล้วเริ่มเก็บข้าวของ เขาไม่ได้แกะสลักต่อแล้ว


เขาใช้เวลาในการเก็บข้าวของประมาณ 5 นาทีเท่านั้น เมื่อหยวนโจวยืนอยู่ข้างนอกอีกครั้ง ผู้ชมส่วนใหญ่ก็แยกย้ายกันไปแล้ว


บทที่ 867 ความสุขของแกพังทลายลงเสียแล้วล่ะ

หยวนโจวเงยหน้าแล้วตะโกนขึ้นไปที่ชั้นสองว่า “อู๋ไห่ ลงมาได้แล้ว”


เสียงของเขาไม่ดัง แต่จู่ๆกลับมีศีรษะของใครบางคนปรากฏขึ้นตรงหน้าต่างชั้นสอง เขามองลงมาก่อนแล้วค่อยปิดหน้าต่าง หลังจากนั้นอู๋ไห่ก็วิ่งลงมาทันที


“นายเรียกฉันทำไมเหรอ?” อู๋ไห่ลูบหนวดเคราของตัวเองแล้วเดินไปหาหยวนโจวด้วยรองเท้าสลิปเปอร์ผ้าฝ้าย “จะเลี้ยงอาหารค่ำฉันหรือไง?”


“หลิงหงมาที่นี่น่ะสิ” หยวนโจวกล่าวตามตรง


“โอ้?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น อู๋ไห่ก็เงยหน้าแล้วกลับขึ้นไปด้วยความเร็วปานสายฟ้า เขาสวมเสื้อแขนยาวตัวที่เขาสวมใส่เมื่อตอนกลางวันอีกครั้งแล้วค่อนเดินเข้ามาในร้านพร้อมหยวนโจว


พวกเขาเดินเข้ามาในร้าน หยวนโจวตรงไปที่ครัวแล้วยืนอยู่ตรงหน้าหลิงหง ส่วนอู๋ไห่นั่งลงข้างๆหลิงหง


นับตั้งแต่หลิงหงเข้ามาร้าน เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเลยจนถึงตอนนี้ จนกระทั่งตอนนี้เขาเพิ่งจะเงยหน้าแล้วบอกว่า “ขอแค่เธอมีชีวิตที่ดีกว่าฉันและขอแค่เธอมีความสุข ไอ้สารเลวตัวไหนกันที่พูดออกมาแบบนั้น? ความสุขของแกพังทลายลงเสียแล้วล่ะ!”


อู๋ไห่กับหยวนโจวตกใจกับเสียงตะโกนแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของหลิงหง พวกเขาทั้งทั้งคู่ต่างมองหลิงหงด้วยความประหลาดใจ


“ฉันรู้สึกขมขื่นใจเหลือเกิน ฉันอยากดื่มเหล้าจัง” หลิงหงถอนหายใจแล้วเผยความคับข้องใจที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้จากแววตาของเขา


“จะมีเครื่องดื่มจัดเตรียมเอาไว้เฉพาะภายในเวลาเปิดร้านเท่านั้น” หยวนโจวยกน้ำอุ่นออกมาให้เขาแก้วหนึ่งโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีแต่อย่างใด


“โชคร้ายจริงๆ ฉันไม่มีไวน์เสียด้วยสิ” อู๋ไห่ลูบหนวดเคราของตัวเองแล้วส่ายหน้าพลางกล่าวเช่นนั้นออกมา


“เฮ้อ…” หลิงหงมองพวกเขาสองคนแล้วถอนหายใจอีกครั้ง


ปกติหลิงหงจะแสดงความอ่อนแอของตัวเองออกมาชั่วขณะ แต่เมื่อได้ร้องไห้ไปสักครั้งเขาก็จะไม่เศร้าอีก


“นายถูกตีงั้นเหรอ?” อู๋ไห่อดที่จะถามไม่ได้


“เปล่า เจ้าสาวสวยมากเลยล่ะ” หลิงหงส่ายหน้า


“งั้นนายคงชอกช้ำเลยสินะ” หยวนโจวกล่าวยืนยัน


“อืม เพราะเจ้าบ่าวดูธรรมดามากเลยน่ะสิ เขาไม่หล่อเท่าฉัน ไม่รวยเท่าฉัน แล้วยังตัวไม่สูงเท่าฉันด้วย” หลิงหงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเดือดดาลแล้วกล่าวว่า “แถมเขายังไม่เจ๋งเท่าฉันไม่ว่าจะในด้านไหนก็ตาม”


“แม้จะเป็นเช่นนั้น นายก็ไม่ใช่เจ้าบ่าวอยู่ดี” หยวนโจวพูดเข้าประเด็น นับเป็นความชอกช้ำระลอกแรกเลยก็ว่าได้


“งั้นก็แสดงว่าเขาดูแลเจ้าสาวเป็นอย่างดีเลยน่ะสิ” อู๋ไห่เองก็พูดเข้าประเด็นเช่นเดียวกัน อันเป็นความชอกช้ำระลอกที่สอง


หลังจากความชอกช้ำทั้งสองระลอก หลิงหงก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรไปสักครู่ เหนื่อยชะมัดเลย!


“เถ้าแก่หยวน อย่างน้อยนายก็แกล้งทำเป็นเศร้าเพื่อเห็นแก่ความเศร้าของฉันหน่อยได้ไหมเล่า แฟนเก่าฉันแต่งงานไปกับคนอื่นแถมยังไม่ใช่เจ้าบ่าวอีกต่างหากนะ” หลิงหงรู้สึกเสียใจมาก


“อย่าพูดแบบนั้นสิ นายเจ๋งกว่าเจ้าบ่าว ตัวสูงกว่าเขาแถมยังรวยกว่าเขาอีก แต่ดูเหมือนว่านายจะไม่ยินดีที่ได้เจอเขาเลยนะ ถึงยังไงเจ้าสาวก็ไม่เลือกนายเป็นสามีของเธออยู่ดีนั่นแหละ” อู๋ไห่ปลอบใจ


แต่มันเป็นการปลอบใจจริงๆงั้นหรือ? หลิงหงอยากรู้เสียจริงๆเชียวว่าอู๋ไห่โตมาจนอายุขนาดนี้ได้อย่างไรกัน? นอกจากนั้นก็ช่างปาฏิหาริย์จริงๆที่เขาไม่ถูกอู๋หลินตีจนตาย


“นายช่วยปลอบใจฉันหน่อยไม่ได้หรือไง?” หลิงหงอดไม่ได้ที่จะกลอกตา


“เมื่อตัดสินจากแก้มแดงๆกับหน้ามันเยิ้มของนายแล้ว นายต้องกินดีเชียวล่ะ ดังนั้นนายคงไม่ต้องการคำปลอบใจของเราหรอก” หยวนโจวมองหลิงหงแล้วกล่าวอย่างจริงจัง


“ไม่แปกใจเลยที่นายเป็นเชฟ นายสนใจเรื่องที่ต่างออกไปจริงๆ” หลิงหงรู้สึกอับจนหนทางเป็นอันมาก


“นายมีทั้งเงินและเวลาแถมนายยังจีบหญิงอยู่ทุกวี่ทุกวัน นายไม่ต้องการคำปลอบใจของเราหรอกน่า” อู๋ไห่เข้าประเด็น


“งั้นพวกนายมาที่นี่เพื่ออะไรกันเล่า?” หลิงหงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเดือดดาลแล้วถามขึ้นในที่สุด


“พวกเราอยากฟังเรื่องของนายไง” หยวนโจวชะงักไปสักครู่แล้วกล่าวออกมาซื่อๆ “ถึงพวกเราไม่มีไวน์ แต่ก็ฟังได้นะ”


อู๋ไห่วัดขาของหลิงหงด้วยตาแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ฉันเอาพลาสเตอร์ปิดแผลมาด้วยนะ ถ้านายเจ็บขาฉันจะได้แปะให้นายไงล่ะ”


“โฮ่โฮ่” หลิงหงรู้สึกโมโหและเดือดดาลนัก เขาจึงยกแก้วขึ้นมาดื่มน้ำอุ่นไปอึกใหญ่เพื่อให้ใจเย็นลง


“ดูเหมือนว่านายจะใจเย็นลงแล้ว ตอนนี้ก็เล่าเรื่องเศร้าของนายให้เราฟังเพื่อให้พวกเรามีความสุขได้แล้ว” อู๋ไห่ล้อเขาเล่น


หยวนโจวที่ยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเขาเองก็มองหลิงหงอย่างจริงจังเมื่อเขาได้ยินอู๋ไห่กล่าวเช่นนั้นออกมาเห็นได้ชัดว่าเขาก็กำลังรอคอยให้หลิงหงเล่าเรื่องเศร้าอยู่เช่นกัน


“ไปตายซะ” หลิงหงโบกมือให้อู๋ไห่อย่างไม่สบอารมณ์


“เฮ้ พูดมาสิ ถ้านายไม่พูดออกมาเสียบ้าง นายจะรู้สึกไม่ดีเอานะ” คราวนี้อู๋ไห่กล่าวอย่างค่อนข้างจริงจัง แถมยังจริงจังยิ่งกว่าเมื่อสักครู่เสียอีก


“นายจะรู้สึกดีหลังจากที่ได้พูดออกมานะ” หยวนโจวพูดขัดจังหวะอู๋ไห่ขึ้นมาอย่างรวบรัดตัดตอน


จากนั้นหลิงหงก็เงียบไปโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก


หยวนโจวกับอู๋ไห่ไม่รู้สึกกังวลแต่อย่างใด พวกเขาแค่รออยู่ข้างๆอย่างเงียบๆโดยไม่ได้เร่งเร้าเขาอีก


ร้านเงียบงันไปชั่วขณะก่อนที่หลิงหงจะเริ่มพูดออกมา


“ที่จริงก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย” หลิงหงกล่าวขึ้นมา


“ฉันไปงานแต่งงานแล้วมอบซองแดงให้พวกเขาแล้วก็หาที่นั่ง และงานแต่งงานก็เริ่มต้นด้วยวิดีโอเรื่องราวความรักของพวกเขาก่อนที่พวกเราจะเริ่มกินอาหาร จากนั้นพวกเราก็ดื่มกินกัน” หลิงหงกล่าวง่ายๆ


“อืม ฉันเคยได้ยินมาว่างานแต่งงานก็เหมือนๆกันไปหมดไม่มากก็น้อยแหละนะ” อู๋ไห่พยักหน้า


“แต่ในใจฉันกลับไม่รู้สึกดีเลยสักนิด” หลิงหงย้ำ


“เมื่อวานนายบอกเราว่านายจะไปที่นั่นเพื่อมอบคำอวยพรนี่นา” หยวนโจวเตือน


“ไปตายซะ ฉันจะตีมันให้ตายเลยถ้ามีใครกล้ามาบอกว่าฉันขอให้แฟนเก่าของฉันมีความสุขหลังจากเลิกกันแล้วน่ะ” หลิงหงกล่าวอย่างถมึงทึง


“ไอ้พวกขี้โม้เอ้ย ฉันไม่เห็นจะมีความสุขเลยตอนที่เธอจะแต่งงานแล้วน่ะ” หลิงหงย้ำอีกครั้ง


“อืม แต่เธอก็แต่งงานไปแล้วนะ” หยวนโจวกล่าวอย่างใจเย็น


“ใช่สิ เธอแต่งงานไปแล้ว และมีคนเริ่มชื่นชมเธอด้วยล่ะ” หลิงหงกล่าวเบาๆ


ร้านตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง แน่นอนว่าหลิงหงย่อมนึกถึงเรื่องงานแต่งงานที่จัดขึ้นเมื่อตอนกลางวันอยู่แล้ว


ตอนแรกก็เหมือนอย่างที่หลิงหงบอกมาจริงๆนั่นแหละ พวกเขาชมดูงานแต่งงานแล้วก็กินดื่มกัน หลังจากกินอาหารในงานแต่งงานแล้ว หลิงหงก็ตัดสินใจที่จะกลับสักที


ผู้คนมากมายแยกย้ายกันตอนกลางวันหลังจากกินอาหารในงานแต่งงานแล้ว และคู่บ่าวสาวก็มายืนส่งแขกอยู่ตรงทางเข้าโรงแรม ปกติทุกคนจะหยุดตรงทางเข้าสักครู่เพื่ออวยพรคู่บ่าวสาว


หลิงหงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เมื่อเขาเดินไปที่ทางเข้าก็มีผู้คนมากมายและหนึ่งในนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าสาว พวกเธอจับมือกันแล้วกล่าวอำลาอย่างสนิทสนม โดยมีเจ้าบ่าวยืนอยู่ข้างๆพวกเธอช่างเป็นสถานการณ์ที่ไม่เข้ากันสักเท่าไหร่นัก


“ฉันจะกลับแล้วล่ะ ขอให้พวกคุณสองคนมีชีวิตแต่งงานที่มีความสุขนะ!”


“ขอให้มีความสุขนะ!”


“มีความสุขยิ่งๆขึ้นไปนะ”


ไม่เว้นแม้แต่หลิงหงเองก็อวยพรให้พวกเขาด้วย อย่างเช่น “มีลูกกันเร็วๆนะ”


เขาน่าจะรีบออกมาหลังจากอวยพรคู่บ่าวสาวแล้ว ถึงอย่างไรผู้คนมากมายก็กำลังแยกย้ายไปและเขาก็ไม่อาจยืนอยู่ตรงนั้นและสกัดกั้นพวกเขาออกไปให้พ้นทางได้ แต่หลิงหงกลับรู้สึกว่าตัวเองก้าวเท้าไม่ออกเลย


เขาก้าวไปข้างหน้าสามก้าวแล้วจ้องมองงานแต่งงานสักครู่หนึ่ง โดยเฉพาะช่อดอกไม้แต่งงานที่เจ้าสาวโยนลงมาที่พื้น


จากนั้นหลิงหงก็โพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “เธอนี่มีฝีมือตลอดเลยนะ สร้อยข้อมือที่เธอทำสวยมากเชียวล่ะ!”


เขาไม่รู้ว่าเจ้าสาวที่กำลังยุ่งง่วนอยู่กับการส่งเพื่อนของเธอจะได้ยินเขาหรือเปล่า แต่จากมุมของเขา สีหน้าของเจ้าสาวไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่นิดเดียว บางทีเธออาจจะไม่ได้ยินเขาก็ได้ หลังจากกล่าวเช่นนั้นออกไปแล้ว หลิงหงก็จากไปทันทีโดยไม่รั้งรออยู่ที่นั้นแม้แต่วินาทีเดียว


เดิมทีหลิงหงก็เสียใจมากอยู่แล้ว เมื่อเขาพูดว่า “เธอนี่มีฝีมือตลอดเลยนะ สร้อยข้อมือที่เธอทำสวยมากเชียวล่ะ!” เขาก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน่ำตาออกมา


หลิงหงร้องไห้ออกมาแล้วจริงๆ เหมือนอย่างพวกนักแสดงในละครโทรทัศน์นั่นแหละ เขาถึงกับปาดน้ำตาแห่งความขมขื่น จริงๆแล้วแทบไม่มีใครเคยเห็นบุรุษร่ำไห้อย่างทุกข์ระทมขมขื่นมากเช่นนั้นมาก่อนเลยเว้นแต่ความเป็นและความตายจะมาพรากออกจากกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)