ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 865-867

 ตอนที่ 865 ความลับในอดีต

 

ซาฉู่เอ๋อร์กับหลิ่วหมิงย่อมตั้งใจฟังทุกสิ่งอย่างละเอียด


ชั่วครู่ให้หลังโอวหยางขุยก็เอ่ยต่อด้วยสีหน้าหวนคะนึง


“นับดูแล้วโอวหยางหมิงก็เป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งบิดาของข้า สายเลือดสายนี้ของพวกเราเดิมทีคิดว่าเขาจะนำพาสายเลือดของพวกเราให้มีพื้นที่ยืนในตระกูลโอวหยาง ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจะกลายเป็นนำหายนะครั้งใหญ่มาให้”


ซาฉู่เอ๋อร์หยุดหายใจ รู้ว่าต่อจากนี้ผู้เฒ่าชุดเหลืองกำลังจะเล่าจุดสำคัญที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว


“จากที่ข้ารู้ หนึ่งร้อยกว่าปีก่อนนับจากวันนี้ ยามนั้นโอวหยางหมิงซึ่งพลังเป็นอันดับสามในหมู่ศิษย์แกนนำในหอหลินอิงของตระกูลได้รับคำสั่งจากหัวหน้าตระกูลจึงบุกเข้าไปในหนานฮวงด้วยตัวคนเดียวเพื่อตรวจสอบเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่ง” ดวงตาผู้เฒ่าชุดเหลืองทอประกายวูบไหวคล้ายกับว่ากำลังนึกย้อนไปยังอดีตวันวาน


“เขาไปสืบเรื่องอันใดในหนานฮวง ข้าก็ไม่รู้ชัด แต่นับจากนั้นเขาก็เงียบหายไร้ข่าวคราว จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อหลายสิบปีก่อน จู่ๆ เขาก็กลับมา นอกจากนี้พลังยังก้าวกระโดดบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบของระดับแก่นแท้ ยามนั้นข้าในฐานะคนตระกูลสายเดียวกับเขายังดีใจยิ่งนัก ตอนนั้นคนในตระกูลมากมายก็ล้วนคิดเช่นนี้ ด้วยพรสวรรค์น่าตะลึงที่โอวหยางหมิงแสดงออกมา เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะก้าวเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์ได้ หากเลื่อนระดับสำเร็จ แม้ไม่มีหวังเป็นหัวหน้าตระกูลรุ่นต่อไปก็มีหวังกลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่คนหนึ่งของตระกูล”


“ยามนั้นหัวหน้าตระกูลทุ่มเททรัพยากรอย่างไม่เสียดายเพื่อให้เขาเลื่อนระดับได้อย่างราบรื่น ให้เขาเข้าไปฝึกฝนในแดนลึกลับสยบมารของตระกูล ที่นั่นเป็นแดนลึกลับพิเศษแห่งหนึ่งที่บรรพบุรุษตระกูลเราสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ฝึกฝนจิตใจและพลังของศิษย์ในตระกูล” ผู้เฒ่าชุดเหลืองถอนหายใจแล้วเล่าช้าๆ


หลิ่วหมิงได้ยินถึงตรงนี้ก็ฉุกคิดขึ้นมา จากที่โอวหยางขุยเล่า แดนลึกลับสยบมารแห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งคล้ายกับทางปีศาจร้ายของนิกายยอดบริสุทธิ์


“แต่สิ่งที่ทำให้คนทั้งหมดคิดไม่ถึงก็คือโอวหยางหมิงไม่ได้เข้าไปด้านในเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์ ปีที่ห้าหลังจากเขาเข้าไป ไม่รู้เขาใช้วิธีการใดลอบทำลายผนึกสามแห่งของตราประทับเจ็ดดาราสยบมารซึ่งเป็นรากฐานของแดนลึกลับ ทั้งยังดูดซับไอปีศาจแท้จำนวนมากที่เดิมทีสะกดไว้ตราผนึกไป แล้วเริ่มฝึกฝนวิชาของเผ่ามารวิชาหนึ่งซึ่งเป็นวิชาต้องห้ามมาเนิ่นนานบนแผ่นดินจงเทียน ชื่อว่าวิชามารพรหมแปดทิศ” ผู้เฒ่าชุดเหลืองเล่าถึงตรงนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ ย่ำแย่


“วิชามารพรหมแปดทิศหรือ? เหตุใดบิดาต้องฝึกวิชาของเผ่ามารชนิดนี้…” ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินก็เบิกสองตาโต หลุดปากออกมา


“เฮ้อ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาทำเช่นนี้เพราะอะไร แต่เรื่องเช่นนี้ย่อมปิดบังตระกูลไม่ได้ หัวหน้าตระกูลโกรธจัด รีบส่งคนเดินทางเข้าไปในแดนลึกลับเพื่อจับตัวโอวหยางหมิง ทว่าวิชามารพรหมแปดทิศเป็นวิชาที่แท้จริงของเผ่ามาร แม้ร้ายกาจอย่างยิ่ง แต่มีเพียงเผ่ามารที่แท้จริงเท่านั้นถึงจะควบคุมได้อย่างแท้จริง ถึงโอวหยางหมิงจะพรสวรรค์ล้ำเลิศแต่ก็ไม่อาจต้านทานไอปีศาจที่เข้าแทรกร่างกายได้ ท้ายที่สุดจึงสูญเสียสติสัมปชัญญะกลายเป็นมนุษย์ปีศาจ แต่คิดไม่ถึงว่าหลังโอวหยางหมิงกลายเป็นมนุษย์ปีศาจ พลังจะเพิ่มขึ้นมาก เขาสังหารคนในตระกูลที่เดินทางไปจับกุมเขาไปมากมาย กระทั่งผู้อาวุโสใหญ่ระดับดาราพยากรณ์ที่นำขบวนไปก็สู้ไม่ได้ บาดเจ็บจากมือเขา” ผู้เฒ่ายิ้มขมขื่น


“กลายร่างเป็นปีศาจ!”


หลิ่วหมิงฟังถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย


โอวหยางหมิงเป็นเพียงผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้คนหนึ่ง ต่อให้ฝึกฝนวิชาที่ชื่อวิชามารพรหมแปดทิศนั่นจนพลังเพิ่มขึ้น แต่ทำร้ายผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณณ์จนบาดเจ็บได้ในครั้งเดียวก็เห็นได้ว่าเขากลายร่างเป็นปีศาจไปแล้ว


“สุดท้ายผู้อาวุโสสูงสุดระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ที่กักตนไม่ปรากฏตัวมาหลายปีในตระกูลก็ต้องออกโรง เขาเลิกกักตนเข้าไปในแดนลึกลับเตรียมจะจับโอวหยางหมิงด้วยตนเอง ทว่าเวลานี้เองไม่รู้เหตุใดโอวหยางหมิงผู้นั้นกลับหายตัวไป เล่ากันว่าผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลผู้นั้นพลิกทั้งแดนลึกลับสยบมารค้นหาแต่ก็หาเขาไม่พบ นับจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีผู้ใดทราบที่อยู่ของเขาอีก” ผู้เฒ่าชุดเหลืองเล่าถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจอีกครั้ง


หลิ่วหมิงฟังถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้วมองซาฉู่เอ๋อร์


แม้เขาจะไม่รู้สาเหตุที่โอวหยางหมิงฝึกฝนวิชามารขึ้นมากะทันหัน แต่ในเมื่อเกิดขึ้นหลังเขากลับมาจากทะเลทรายกุ่ยโม่ ถ้าเช่นนั้นกว่าครึ่งก็น่าจะหนีไม่พ้นเกี่ยวข้องกับขุยตี้แห่งหนานฮวง


“พูดเช่นนี้แสดงว่าผู้อาวุโสก็ไม่ทราบที่อยู่ของบิดาเช่นกัน” ดวงเนตรสุกใสทั้งคู่ของซาฉู่เอ๋อร์หม่นแสงลง สีหน้าก็ย่ำแย่ยิ่งนัก


“ข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหัวหน้าตระกูลโอวหยางจึงไม่ยินดีพบหน้าแม่นางซา” หลิ่วหมิงผ่อนลมหายใจเบาๆ เอ่ยขึ้นมา


“แน่นอน ตระกูลโอวหยางมีศิษย์ในตระกูลฝึกฝนวิชาของเผ่ามาร นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่จะถูกทั้งแผ่นดินจงเทียนตำหนิ หัวหน้าตระกูลยามนั้นย่อมสั่งให้ปิดเรื่องนี้ไว้แล้วผนึกข้อมูลทุกสิ่งเกี่ยวกับโอวหยางหมิงไปด้วย ส่วนพวกเราคนสายเลือดเดียวกันเหล่านี้ก็ถูกผลกระทบจากเรื่องนี้ไปด้วย คนมากมายถูกเนรเทศไปยังสถานที่ห่างไกล มีเพียงข้าที่สมัยนั้นสร้างความดีความชอบให้แก่ตระกูลอยู่บ้างถึงโชคดีหนีพ้น ได้เร้นกายจากโลกมาอยู่ที่นี่ จะว่าไปแล้วโอวหยางหมิงก็เรียกได้ว่ามีทั้งบุญคุณและความแค้นกับข้า แต่มาถึงตอนนี้ข้าไม่คิดจะสืบสาวเอาความแล้ว ในเมื่อเจ้าเป็นบุตรสาวของเขา เดิมก็ควรแซ่โอวหยาง สมควรเป็นโอวหยางฉู่เอ๋อร์ถึงจะถูก ข้าจะได้เรียกเจ้าว่าหลานฉู่เอ๋อร์สักคำ” ผู้เฒ่าชุดเหลืองถอนหายใจแผ่วเบาพลางมองซาฉู่เอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้า เขาเปลี่ยนประเด็นกะทันหัน เมื่อพูดคำว่าหลานขึ้นมา สายตาก็อ่อนโยนลงตามไปด้วย


“เจ้าค่ะ ผู้อา…ท่านลุง” ซาฉู่เอ๋อร์ลังเลครู่หนึ่งก็เรียกอย่างอึกอัก


ผู้เฒ่าชุดเหลืองฟังแล้ว ใบหน้าชราก็เผยรอยยิ้มจางๆ คล้ายกับคำว่าท่านลุงนี้มีประโยชน์ยิ่งนัก


“หลานฉู่เอ๋อร์ ที่ผ่านมาตระกูลโอวหยางไล่ล่าตามหาที่อยู่ของบิดาเจ้ามาตลอด ครั้งนี้เจ้าเป็นฝ่ายมาหาเองถึงประตู ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดอันใด ลุงขอเตือนเจ้าว่าอย่ารั้งอยู่ที่แห่งนี้นาน รีบกลับหนานฮวงไปเถิด”


ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย


“แม่นางซา สิ่งที่ผู้อาวุโสโอวหยางพูดไม่ได้ไร้เหตุผล ในเมื่อบิดาเจ้าหายตัวไปจริงๆ พวกเราก็ขอตัวลาเถิด รอหลังจากนี้มีโอกาสค่อยไปสืบข่าวคราวที่อื่น” หลิ่วหมิงลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้นพร้อมกับแววตาที่วูบไหวเล็กน้อย


“ท่านลุง ขอบคุณท่านยิ่งนักที่บอกเรื่องราวเกี่ยวกับบิดาให้ข้าฟังมากมายเช่นนี้ วันหน้าหากมีโอกาสหลานจะมาเยี่ยมเยียนคารวะขอบคุณอีกครั้ง!” ซาฉู่เอ๋อร์พยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืนด้วย นางคำนับผู้เฒ่าชุดเหลืองจริงจังขณะเอ่ยบอก


“ดี ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่รั้งพวกเจ้าไว้แล้ว ตระกูลบริหารเมืองหนานหมิงแห่งนี้มานานปี หูตามากมายนัก หลานฉู่เอ๋อร์ต้องระวังให้มาก” ผู้เฒ่าชุดเหลืองประสานมือให้ทั้งสองคนแล้วเอ่ยเช่นนี้


ด้วยเหตุนี้พวกหลิ่วหมิงจึงออกจากห้องโถงใหญ่ไปทันที เตรียมตัวเหาะขึ้นฟ้าไปจากจวน


ทว่าในเวลานี้เองเสียง “บึ๊ม” ดังสนั่นก็ดังขึ้นข้างนอก ท้องนภาที่เดิมทีนิ่งสงบฉับพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง ม่านแสงสีน้ำเงินรอบด้านก็เปล่งแสงวูบวาบตามไปด้วย


เสียง “ป้าบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง ชั้นจำกัดที่ล้อมป่าแห่งนี้อยู่ก็ถูกฉีกออกดื้อๆ!


ต่อจากนั้นเสียงแหวกอากาศดังฟิ้วๆ ก็ดังขึ้น ลำแสงสีม่วงส่องสว่างสี่สายร่อนลงมากลายเป็นคนที่สวมชุดสีม่วงสี่คน พวกเขาพุ่งวูบเดียวมาขวางอยู่เบื้องหน้าหลิ่วหมิงกับซาฉู่เอ๋อร์


หลิ่วหมิงขยับร่างเล็กน้อยบังซาฉู่เอ๋อร์ไว้หลังร่าง สายตาหรี่ลงกวาดมองคนที่มา


ทั้งสี่คนเหมือนจะมีผู้เฒ่าหนวดเคราสีขาวผู้หนึ่งเป็นหัวหน้า ที่เหลือมีชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำคนหนึ่ง บุรุษผอมสูงสีหน้าซีดเซียวคนหนึ่งกับสตรีสาวรูปร่างอ้อนแอ้นอีกคนหนึ่ง


“สหายทั้งสี่มีเจตนาใด เหตุใดจึงขวางพวกเราสองคน?” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นเรียบๆ เขาไม่ได้เผยสีหน้าตกใจเท่าใดนักกับการปรากฏตัวกะทันหันของทั้งสี่คน


“ท่านคือสหายหลิ่วจากนิกายยอดบริสุทธิ์สินะ พวกเราไม่ได้มาเพราะสหาย สตรีด้านหลังท่านเป็นทายาทของคนทรยศคนหนึ่งของตระกูลโอวหยาง พวกเรารับคำสั่งจากสภาผู้อาวุโสให้มาจับนางกลับไป หวังว่าท่านจะไม่ขัดขวางพวกเรา” ผู้ที่พูดคือผู้เฒ่าผมขาวที่เป็นหัวหน้า


อีกสามคนที่เหลือล้อมเป็นครึ่งวงกลม ปิดตายเส้นทางเบื้องหน้าของพวกหลิ่วหมิงอย่างสิ้นเชิง


“ลูกสาวคนทรยศ”


หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัส ทันใดนั้นแววตาก็วูบไหวไปเล็กน้อย


ในสี่คนนี้ผู้เฒ่าผมขาวพลังระดับแก่นแท้ขั้นต้น สามคนที่เหลือล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายระดับใกล้เคียงกับเขา


“คนตระกูลโอวหยางโผล่ออกมาเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร? หรือพวกเขาสะกดรอยตามพวกเรามา?” บนดวงหน้างามของซาฉู่เอ๋อร์เผยความตกตะลึงออกมาเล็กน้อย นางส่งกระแสจิตเอ่ยกับหลิ่วหมิงเหมือนฉุกใจคิดขึ้นได้


“นับตั้งแต่เจ้าปรากฏตัวที่เขาหยกฝัน ตระกูลโอวหยางก็คงส่งคนมาลอบจับตาดูเจ้ามาตลอด พวกเขาไม่ได้จับเจ้าไปทันทีคงเพราะอยากล่อบิดาเจ้าให้ปรากฏตัวกระมัง” หลิ่วหมิงส่งกระแสจิตตอบอย่างนิ่งสงบ สายตามองผ่านทั้งสี่คนฝั่งตรงข้ามแล้วกวาดมองรอบด้านอย่างเร็วไว


“พวกเขาอย่าฝันไปเลย!” ซาฉู่เอ๋อร์ฟังแล้วคิ้วงามพลันขมวดเป็นปม แสงสีขาวส่องสว่างที่มือจากนั้นดาบผลึกยาวเรียวเล่มหนึ่งก็ปรากฏออกมา


กลิ่นอายเย็นเยียบดุดันสายหนึ่งแผ่ออกมา ทั้งสี่คนฝั่งตรงข้ามทำหน้าเหยียดหยัน บนร่างเริ่มมีแสงรัศมีนานาสีสันสว่างขึ้นบ้าง


“พวกเจ้า…” โอวหยางขุยเดินออกมาจากในห้องโถงใหญ่ เมื่อเห็นภาพตรงหน้าสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุดพักหนึ่ง


“โอวหยางขุย เจ้าเปิดเผยความลับของตระกูลกับคนนอกโดยพลการ เรื่องนี้รายงานถึงหัวหน้าตระกูลแล้ว จะลงโทษเจ้าอย่างไร หลังจากนี้ค่อยว่ากัน หากเจ้าอยากปกป้องครอบครัวเจ้าให้ปลอดภัยก็จงว่าง่ายยืนดูอยู่ด้านข้าง” ผู้เฒ่าชุดขาวมองเขาแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา


“ฮ่ะๆ ข้าอยู่ในสุสานไปครึ่งตัวแล้วยังจะกลัวบทลงโทษอันใดอีก ขอแค่ไม่นำภัยมาให้ครอบครัวก็พอแล้ว” หลังจากโอวหยางขุยสีหน้าเปลี่ยนไปมาหลายครั้งก็ได้แต่มองซาฉู่เอ๋อร์ด้วยแววตาขออภัย จากนั้นเขาก็หมุนตัวย้อนกลับไปในห้องโถงใหญ่ ดูท่าคงไม่คิดจะยุ่งกับเรื่องนี้อีก


“พี่หลิ่ว นี่เป็นเรื่องของข้า ท่านเป็นศิษย์นิกายใหญ่ พวกเขาย่อมไม่กล้าขวาง ท่านไปก่อนเถิด” ดวงตาซาฉู่เอ๋อร์ทอประกายขณะที่ส่งกระแสจิตบอกหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงกลับเลิกคิ้วเรียวแล้วยิ้มเย็นชาให้ทั้งสี่คนเบื้องหน้า จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า


“ทั้งสี่ท่านจำต้องลงมือเวลานี้ให้ได้หรือ? ข้ารับปากกับแม่นางซาไว้ว่าจะช่วยตามหาที่อยู่ของบิดานาง หากพวกท่านลงมือตอนนี้ ข้าที่ติดสัญญาอยู่คงเลี่ยงไม่ได้ ได้แต่ลงมือกับพวกท่านแล้ว”


ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยิน ใบหน้างามก็เปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย นางอดไม่ได้มองหลิ่วหมิง ในสายตามีแววตาประหลาดใจปรากฏขึ้นมาอยู่เลือนราง


“ข้าขวางคนผู้นี้เอง พวกเจ้าสามคนรวมพลังกันจับสตรีคนนั้นไว้ก็พอ จำไว้ว่ารีบเผด็จศึก จับเป็น!”


ผู้เฒ่าผมขาวกลับกำชับสามคนที่เหลือเรียบๆ คำหนึ่ง มือสองข้างฉับพลันยกขึ้นถูกัน แสงสีเหลืองเจิดจ้าสว่างขึ้นกลางฝ่ามือ เขาสะบัดทีหนึ่งแสงสีเหลืองพลันส่องสว่าง รุ้งน่าตะลึงสายหนึ่งพุ่งออกจากมือซัดเข้าใส่หลิ่วหมิง



 

 

 


ตอนที่ 866 หุ่นระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์

 

“หืม วิชาขี่กระบี่!”


ดวงตาของหลิ่วหมิงหรี่ลงอย่างประหลาดใจ เขาคิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าผมขาวผู้นี้จะเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่คนหนึ่ง ท่าทางค่อนข้างชำนาญวิชาขี่กระบี่ทีเดียว


แต่พลังสายตาของเขาระดับใด ชั่วพริบตาที่ผู้เฒ่าลงมือก็มองออกแล้วว่ากระบี่บินเล่มนี้เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดเล่มหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่กระบี่บินพลังจิตวิญญาณอันใด


รุ้งกระบี่สีเหลืองส่องแสงวูบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลิ่วหมิงแล้วฟันลงมาอย่างรุนแรงส่งเสียงดังหวีดหวิว


ในเวลาเดียวกันสามคนที่เหลือก็ลงมือพร้อมกันอย่างเข้าขายิ่งนัก บุรุษผอมสูงอ้าปากพ่นอาวุธประหลาดเล่มหนึ่งออกมา ลักษณะเป็นครึ่งดาบครึ่งกระบี่ หน้าตาค่อนข้างแปลกประหลาด


บุรุษร่างกำยำตวาดเสียงดัง แสงสีดำในมือส่องสว่าง กระบองสีดำสูงกว่าคนแท่งหนึ่งโผล่ออกมา อาวุธจิตวิญญาณมหึมาเช่นนี้พบเห็นได้น้อยนักจริงๆ แต่ค่อนข้างเหมาะกับร่างกายกำยำของเขาทีเดียว


สตรีสาวอายุน้อยสะบัดมือทีหนึ่งก็ปล่อยลิ่มสีขาวสั้นๆ แท่งหนึ่งออกมา เมื่อมันโต้ลมก็ขยายใหญ่ขึ้นเป็นขนาดสิบกว่าจั้ง


ทั้งสามคนท่องมนตร์แล้วกระตุ้นเคล็ดวิชาพร้อมกัน อาวุธจิตวิญญาณของแต่ละคนกำลังจะพุ่งเข้าใส่ซาฉู่เอ๋อร์ด้านนั้น


หลิ่วหมิงแค่นเสียงหยันขณะที่สองมือกำแน่นเป็นหมัด ปราณดำเข้มข้นทะลักออกมาจากในร่าง เคลื่อนพันบนสองแขนแล้วสั่นอย่างรุนแรง เสียงมังกรคำรามแผ่วต่ำดังออกมา


เสียง “ฟู่” ดังขึ้น!


กระแสลมแรงสายหนึ่งส่งเสียงดังฟู่แผ่ขยายออกไปรอบด้านอย่างรุนแรงโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง หมัดที่มีหัวมังกรสีดำสนิทหุ้มอยู่สองข้างต่อยเข้าใส่คมของกระบี่บินที่พุ่งประจันเข้ามา


เสียงดังสนั่น!


รุ้งกระบี่สีเหลืองฉับพลันสั่นไหว รุ้งกระบี่แตกสลายทีละชุ่นๆ ตัวกระบี่บินก็ถูกพลังมหาศาลสายหนึ่งดีดปลิวออกไป มันกลิ้งหลุนๆ กลางอากาศปลิวออกไปสิบกว่าจั้งถึงหยุดได้อย่างหวุดหวิด


ผิวของกระบี่บินส่องแสงสีเหลืองวูบวาบไม่หยุดแล้วยังส่งเสียงครวญครางแผ่วเบาออกมาด้วย ราวกับว่าถูกหลิ่วหมิงโจมตีครั้งเดียวก็เสียหายไม่น้อย


ผู้เฒ่าผมขาวหน้าซีด กระบี่บินสีเหลืองเล่มนี้เป็นกระบี่บินประจำกายของเขา มันเชื่อมต่อกับจิตใจ ดังนั้นพลังเวทในร่างเขาจึงปั่นป่วนขึ้นมาวูบหนึ่งอย่างห้ามไม่ได้


แม้เขาเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ แต่แก่นแท้ที่เขาผนึกได้เป็นเพียงแก่นแท้ระดับล่างสามทวาร ในหมู่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้นับเป็นพวกที่พลังต่ำสุด เขาจึงไม่อาจฝืนรับการโจมตีอันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงที่เข้าสู่ระดับแก่นเสมือนแล้วได้สักนิด


หลิ่วหมิงโจมตีหนึ่งหมัดได้ผล ร่างกายก็ขยับพาเงาเลือนรางสายหนึ่งไปปรากฏตัวเบื้องหน้าซาฉู่เอ๋อร์ เขาตวาดเบาๆ แล้วโจมตีออกมาอีกสองหมัด


สองหมัดของเขาปราณดำพลุ่งพล่าน เกิดวังวนสีดำสนิทขึ้นท่ามกลางกระแสปราณรอบหมัด กระแสปราณแข็งแกร่งหวดบนต้นไม้รอบด้านดั่งแส้ กิ่งไม้สะบัดไหวไม่หยุดจนกิ่งไม้เรียวเล็กจำนวนหนึ่งพากันหักร่วง


อาวุธจิตวิญญาณของพวกชายฉกรรจ์ร่างยักษ์กำยำทั้งสามคนเพิ่งกลายเป็นแสงเรืองรองหลากสีสันซัดมาก็ปะทะกับกระแสปราณจากหมัดของหลิ่วหมิงทันที


เปรี้ยง!


วังวนสีดำสนิทฉับพลันหอบอาวุธจิตวิญญาณทั้งสามชิ้นเข้าไป หลังจากปราณดำพลุ่งพล่านรวมตัวกันอีกครั้งก็กลายเป็นดวงตะวันเจิดจ้าสีดำดวงหนึ่งลอยออกมา


ครู่ต่อมาพลังมหาศาลประหนึ่งขุนเขาครวญมหาสมุทรคำรามก็โถมออกมาจากด้านใน


กระบอง กระบี่ยาวรูปร่างประหลาดและลิ่มสั้นสีขาวต่างถูกกระแสปราณสีดำสนิทของหมัดกระแทกปลิวไปพร้อมกัน แสงรัศมีด้านบนหม่นแสงลง เห็นชัดว่าพลังจิตวิญญาณเสียหายเช่นกัน


ร่างกายของทั้งสามคนสะท้านอย่างรุนแรง พวกเขาถอยดังตึงๆ ติดต่อกันหลายก้าว ทุกคนส่งเสียงดังอ๊อกแล้วอ้าปากพ่นเลือดออกมา


หลังพวกเขาตั้งหลักได้อย่างยากลำบาก ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงมองมาทางหลิ่วหมิง ชั่วขณะหนึ่งไม่กล้าลงมือง่ายๆ อีก


หลิ่วหมิงเพียงยกมือยกเท้าก็โจมตีอาวุธจิตวิญญาณของทั้งสี่คนจนปลิวในครั้งเดียว


เวลานี้ซาฉู่เอ๋อร์เพิ่งยกมีดแวววาวในมือขึ้นขวางหน้าร่าง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งเรียกอาวุธจิตวิญญาณรูปนาฬิกาทรายชิ้นหนึ่งออกมาแปลงเป็นกำแพงทรายสีดำผืนหนึ่งเบื้องหน้า


สตรีผู้นี้เห็นภาพตรงหน้าก็ตกใจมากเช่นเดียวกัน


เทียบกับตอนอยู่ในทะเลทรายกุ่ยโม่ เห็นชัดว่าหลิ่วหมิงแข็งแกร่งขึ้นมากเหลือเกิน


“พี่หลิ่ว ท่าน…”


“ระวัง”


ขณะที่ซาฉู่เอ๋อร์อ้าปากอยากพูดอะไรบางอย่าง หลิ่วหมิงก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที เขายื่นมือออกมาคว้าแขนซาฉู่เอ๋อร์ดั่งสายฟ้าแลบ ปราณดำก้อนหนึ่งหุ้มทั้งสองคนไว้แล้วพุ่งถอยออกไป


เพียงครู่เดียวมือใหญ่ที่ส่องแสงสีม่วงข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าด้านบน คว้ามายังจุดที่ซาฉู่เอ๋อร์ยืนอยู่เมื่อครู่


เสียงเปรี้ยงดังขึ้นทีหนึ่ง ฝุ่นหินดินทรายปลิวฟุ้ง บนพื้นปรากฏรอยประทับฝ่ามือยักษ์ขนาดสิบกว่าจั้งรอยหนึ่งทันที


“ท่านเป็นถึงผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ ลงมือกับผู้เยาว์ระดับผลึกเช่นนี้อย่างพวกเรา ไม่รู้สึกว่าลดตัวบ้างหรือ?” หลิ่วหมิงพาซาฉู่เอ๋อร์เหาะวนรอบหนึ่งแล้วร่อนลงห่างไปสิบกว่าจั้ง สายตาจ้องบางจุดกลางอากาศดั่งสายฟ้าแลบ เขาเอ่ยออกมาขณะที่ใบหน้าเผยสีหน้าระวังออกมาเป็นครั้งแรก


“ระดับดาราพยากรณ์”


ซาฉู่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างมองหลิ่วหมิงอย่างซาบซึ้งยิ่งนัก เมื่อครู่หากเขาไม่ลงมือ นางก็คงตกอยู่ในมือยักษ์ที่ส่องแสงสีม่วงไปแล้ว แต่หลังจากได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิงชัด ใบหน้างามก็ถอดสีทันที


“เอ๋? ถึงกับมองจุดที่ข้าซ่อนตัวอยู่ออก พลังจิตไม่ธรรมดาจริงๆ” อากาศตรงที่หลิ่วหมิงจ้องอยู่ฉับพลันมีแสงสีม่วงไหวกระเพื่อม จากนั้นร่างของบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า เขาลอยลงมาอย่างช้าๆ


คนผู้นี้ดูอายุไม่มาก หน้าตาธรรมดา แต่มีเส้นผมยาวจรดเอวสีดำมันขลับสยายอยู่หลังร่าง เขาปรากฏตัวปุบ แรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลของระดับดาราพยากรณ์ก็โถมเข้ามายังจุดที่หลิ่วหมิงอยู่อย่างไม่ปิดบังสักนิด


หลิ่วหมิงรู้สึกว่าปราณดำรอบร่างไหลเคลื่อนขณะที่แรงมหาศาลสายหนึ่งโถมทับมาจากเบื้องหน้า เขาแค่นเสียงเบาๆ ทันที ร่างกายโอนเอนครั้งสองครั้งถึงตั้งหลักใหม่ได้


ส่วนซาฉู่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลัง กำแพงทรายสีดำเบื้องหน้านางระเบิดกระจายในพริบตา เรือนร่างบอบบางถอยไปด้านหลังไกลเจ็ดแปดก้าว แสงสีขาวชั้นหนึ่งสว่างขึ้นรอบร่างถึงตั้งร่างมั่นคงได้


ขนาดได้หลิ่วหมิงบังอยู่ด้านหน้า ยังขวางได้เพียงครึ่งเท่านั้น


ซาฉู่เอ๋อร์มองบุรุษผมยาวอย่างตกตะลึง ใบหน้างามไร้สีเลือด


 ครอบครัวของโอวหยางขุยในจวนที่อยู่ไม่ไกลยิ่งทนไม่ไหว คนทั้งหมดส่วนใหญ่ตาเหลือกลอย หมดสติไปทันที


“ผู้อาวุโสเจี้ยนหยวน!”


พวกผู้เฒ่าผมขาวสี่คนเห็นเช่นนี้ก็รีบร้อนคำนับบุรุษผู้สยายผมอย่างนอบน้อมและดีใจยิ่ง


บุรุษผู้สยายผมโบกมือ ทั้งสี่คนพลันถอยออกไปด้านข้างแล้วนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา


“เจ้าก็คือหลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์สินะ ข้าได้ยินว่าไม่นานมานี้เจ้าเพิ่งยืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์อันเป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลโอวหยางเราจนทะลวงเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนได้ ตอนนี้จะสะบั้นสัมพันธ์เป็นอริกับตระกูลโอวหยางของเราแล้วหรือ?” บุรุษผู้สยายผมเอ่ยปากขึ้นเรียบๆ


“ไม่กล้า ผู้เยาว์ระลึกถึงบุญคุณของตระกูลโอวหยางอยู่ตลอด แต่ข้ากับแม่นางซาผู้นี้รู้จักกันมานานแล้ว พวกเรามีสัญญาต่อกันมาก่อน ข้าจึงไม่อาจนิ่งดูดายให้นางถูกผู้อื่นจับตัวไปได้” หลิ่วหมิงครุ่นคิดเร็วรี่แล้วค้อมกายเล็กน้อยตอบกลับไปอย่างนอบน้อมยิ่งนัก


แม้หลังเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน พลังของเขาจะก้าวหน้าขึ้นมาก แต่เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์เช่นนี้ เขาก็ยังไม่มั่นใจเท่าไรนักว่าจะพาซาฉู่เอ๋อร์หนีรอดไปได้


แต่ยังดีที่เขามีฐานะเป็นศิษย์ของนิกายยอดบริสุทธิ์จึงไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะลงมือโหดเหี้ยมกับเขาจริงๆ ในใจเขาจึงไม่ตระหนกนัก


บุรุษผู้สยายผมฟังแล้วหัวเราะหยัน เขามองสำรวจหลิ่วหมิงตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า


“แม้พลังของเจ้าจะไม่เลว แต่พลังเพียงระดับแก่นเสมือนเท่านั้น เจ้าคิดว่าอาศัยความสามารถเท่านี้จะขวางข้าได้จริงหรือ?”


“ผู้เยาว์ย่อมรู้ว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้อาวุโสแน่นอน แต่ข้าก็ไม่อาจนิ่งดูดายมองดูแม่นางซาถูกผู้อาวุโสพาตัวไปได้ หากเจรจากันไม่ได้ก็ได้แต่ขอให้ผู้อาวุโสชี้แนะสักหน่อยแล้ว” หลิ่วหมิงหัวเราะฝืดเฝื่อนเอ่ยขึ้น


“ฮ่าๆ น่าสนใจ! นับตั้งแต่ข้าโอวหยางเจี้ยนหยวนเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์เพิ่งเคยพบคนที่กล้าขอคำชี้แนะจากข้าทั้งที่พลังต่ำต้อยเช่นนี้เป็นครั้งแรก หากข้าลงมือกับเจ้าจริงๆ เกรงว่าตาเฒ่าเทียนเกอคนนั้นคงเอามาเป็นข้ออ้างเรียกเงินก้อนโตจากตระกูลโอวหยางแน่ เอาเช่นนี้เถิด ข้าไม่รังแกคนรุ่นหลังอย่างพวกเจ้าสองคน ขอเพียงพวกเจ้าสองคนทนรับหนึ่งฝ่ามือของข้าได้ ข้าจะหันหลังกลับจากไปทันที หากไม่เช่นนั้นสาวน้อยคนนี้ต้องตามข้ากลับไปตระกูลโอวหยางแต่โดยดี” โอวหยางเจี้ยนหยวนหัวเราะลั่นแล้วเอ่ยออกมาเช่นนี้


“เรื่องนี้…” หลิ่วหมิงลังเลอยู่บ้าง


“ได้ เอาตามที่ผู้อาวุโสว่า หากพวกเราสองคนไม่อาจทนรับหนึ่งฝ่ามือของผู้อาวุโสได้ ฉู่เอ๋อร์จะกลับไปกับผู้อาวุโส” ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยิน ดวงตาสองข้างพลันเป็นประกายแล้วตอบรับในทันที


หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว เขากำลังคิดจะเอ่ยอันใดกับซาฉู่เอ๋อร์ บุรุษผมยาวฝั่งตรงข้ามกลับหัวเราะหยัน ไม่เห็นเขาเคลื่อนไหวอย่างใดแต่บนร่างพลันมีแสงสีม่วงส่องสว่างจ้า แรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลแผ่ออกมาพร้อมกับที่เงาของยักษ์ตนหนึ่งลอยออกมาจากแผ่นหลังของเขาช้าๆ


รอบร่างของเงายักษ์มีไอมงคลสีม่วงพวยพุ่ง เห็นอยู่เลือนรางว่าบนชุดยาวตัวใหญ่ที่มันสวมอยู่ปักภาพมังกรเทพ แม้ใบหน้าของมันจะพร่ามัวไม่ชัด แต่ก็มองเห็นว่าบนศีรษะของเงายักษ์สวมหมวกจักรพรรดิ ทั่วร่างเต็มไปด้วยปราณอันน่าเกรงขามหาใดเทียบ


“นี่คือร่างพลังเวทของตระกูลโอวหยาง จักรพรรดิเซียนเทียน!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ม่านตาก็หดเล็กลง


นิกายยอดบริสุทธิ์มีวิชานานาชนิดสืบทอดกันมามากมายนัก แม้อยู่บนยอดเขาสายในลูกหนึ่ง วิชาที่ศิษย์บนนั้นฝึกฝนก็ไม่เหมือนกัน


แต่ตระกูลโอวหยางไม่ได้เป็นเช่นนั้น คนแทบทั้งตระกูลโอวหยางต่างฝึกฝนวิชาเดียวกัน นั่นก็คือวิชาจักรพรรดิเซียนเทียน


บันทึกในตำราซึ่งหลิ่วหมิงเคยอ่านพบที่นิกายยอดบริสุทธิ์กล่าวไว้ว่าบรรพบุรุษตระกูลโอวหยางเคยเป็นราชวงศ์ของแคว้นใหญ่แห่งหนึ่ง จักรพรรดิผู้มีพรสวรรค์เหนือธรรมดาผู้หนึ่งเป็นผู้สร้างวิชานี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง


เมื่อมีผู้ฝึกฝนวิชานี้จนเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์ ร่างพลังเวทแห่งฟ้าดินที่เขาเสกออกมาก็คือเงาของจักรพรรดิองค์นั้นในสมัยนั้นซึ่งมีพลังไร้ขอบเขต


หลิ่วหมิงไม่กล้าชักช้า เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งกำลังจะลงมือ แต่ทันใดนั้นซาฉู่เอ๋อร์ด้านหลังกลับก้าวขึ้นมาข้างหน้า ฝ่ามืองามยกขึ้นจากนั้นลูกบอลกลมสีทองลูกหนึ่งก็บินออกมาจากในแขนเสื้อ


เสียงแกรกดังออกมา!


ลูกบอลกลมสีทองพร่าเลือนวูบหนึ่งก็พุ่งโต้ลมกลายเป็นหุ่นมนุษย์สูงหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่ง ผิวสีทองของมันมียันต์ประหลาดมากมายแผ่อยู่เต็ม พวกมันส่องแสงวิบวับใต้แสงตะวันไม่หยุด คล้ายกับว่าทั้งร่างเปี่ยมไปด้วยพลังอันไร้ที่สิ้นสุด


หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเย็นเฮือกหนึ่ง!


หุ่นสีทองตัวนี้ช่างดูคุ้นตา นี่ไม่ใช่หุ่นองครักษ์ตัวนั้นที่อยู่ข้างกายชิงหลิงขุยตี้แห่งหนานฮวงหรือ!


ซาฉู่เอ๋อร์สะบัดมือข้างหนึ่งอีกครั้ง เคล็ดวิชาสีทองสายหนึ่งร่วงลงบนตัวหุ่น ยันต์บนผิวของหุ่นมนุษย์ฉับพลันส่องแสง เสียงกึกๆ ดังขึ้น ในแขนสองข้างพลันมีแสงสีทองไหลเคลื่อน ขวานเล่มใหญ่สีทองสองเล่มโผล่ออกมา คมขวานสะท้อนแสงเป็นประกายเย็นเยียบ


“นี่เหมือนจะเป็นหุ่นที่สืบทอดกันมาอย่างลับๆ ของนิกายเทียนกง เจ้าได้มันมาจากที่ใด? แต่สาวน้อย หากเจ้าคิดว่าอาศัยเพียงหุ่นตัวเล็กๆ ตัวเดียวจะขวางหนึ่งการโจมตีของข้าได้ ถ้าเช่นนั้นก็ผิดมหันต์แล้ว” สายตาของบุรุษผู้สยายผมจับจ้องอยู่บนหุ่นมนุษย์สีทอง บนหน้าเขาปรากฏสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่จากนั้นก็แค่นเสียงหยันเอ่ยขึ้นทันที


เพิ่งเอ่ยจบ เงายักษ์เบื้องหลังบุรุษผู้สยายผมก็เปล่งแสงสีม่วง ฝ่ามือยักษ์สีม่วงข้างหนึ่งยืดออกมา ห้านิ้วกางออกขณะที่ปลายนิ้วระเบิดแสงสีม่วงนับหมื่นสายออกมา คว้าลงมาหาพวกหลิ่วหมิงราวกับจะปิดท้องนภา



 

 

 


ตอนที่ 867 การต่อสู้ของระดับเชี่ยวชาญ...

 

ใบหน้างามของซาฉู่เอ๋อร์ซีดเผือด นางกำลังจะบังคับหุ่นให้พุ่งเข้าไป


แต่หลิ่วหมิงกลับตวาดเสียงดังแล้วสะบัดแขนสองข้างชิงลงมือก่อนก้าวหนึ่ง


ปราณดำบนร่างเขาพลุ่งพล่านออกมาทันที ชั่วพริบตาก็กลบร่างกายไว้ด้านในจนมิด พวกมันหมุนวนแล้วหยุดนิ่งกลายเป็นลูกบอลสีดำขนาดยักษ์ใหญ่เท่าหอแห่งหนึ่ง บนผิวส่องแสงสีดำวิบวับ ลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงนับไม่ถ้วนลอยออกมา เพียงครู่เดียวก็เหมือนเป็นวัตถุจริง


มือใหญ่ที่ส่องแสงสีม่วงอยู่กลางท้องฟ้าคล้ายจะชะลอความเร็วลง ลูกบอลสีดำเพิ่งก่อตัวก็พาพลังนับไม่ถ้วนโจมตีขึ้นไปด้านบน


เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้นเบาๆ!


ตัวลูกบอลสีดำราวกับลูกบอลหนังที่ถูกมือใหญ่กดจนบุ๋มลงไป ถูกโจมตีทีเดียวก็เหมือนจะทะลุแตกสลาย


“ระเบิด!”


เสียงตวาดเย็นชาของหลิ่วหมิงดังออกมาจากด้านในลูกบอลสีดำ ลูกบอลสีดำสั่นระริกครั้งหนึ่งก็ระเบิดกลายเป็นรัศมีสีดำนับไม่ถ้วนพุ่งรวดเร็วเข้าใส่ฝ่ามือยักษ์สีม่วงในทันใด


เปรี๊ยะๆๆ!


เสียงแหวกอากาศดังขึ้นนับไม่ถ้วน ฝ่ามือยักษ์สีม่วงถูกแสงสีดำหวดจนสั่นสะเทือนเบาๆ


บุรุษผู้สยายผมเห็นเช่นนี้ก็ร้องเอ๋เสียงเบา ทว่าเมื่อแขนที่ยืดออกมาของเงายักษ์เบื้องหลังกดลงมา มือใหญ่สีม่วงพริบตาเดียวก็จับตัวแข็งขึ้นมากกว่าครึ่ง บนผิวมีตราคำสาปสีม่วงดวงแล้วดวงเล่าผุดออกมา จากนั้นกดทับลงมาดังครืนอีกครั้ง


มือยักษ์ยังไม่ทันร่วงลงมาจริงๆ พลังพันธนาการล่องหนสายหนึ่งก็ครอบทับลงมาก่อน


หลิ่วหมิงรู้สึกว่าอากาศรอบด้านอัดแน่น ทั้งร่างราวกับถูกเขาไท่ซานกดทับ แม้กายเนื้อยามนี้ของเขาแข็งแกร่งมาก ชั่วขณะก็ยังไม่อาจกระดุกกระดิกได้


ในใจเขาอดไม่ได้ตกตะลึง


ทว่าเวลานี้เองซาฉู่เอ๋อร์ด้านข้างก็ตะโกนเสียงหวานออกมา หุ่นสีทองส่องแสงวูบหนึ่งแล้วมาขวางเบื้องหน้าหลิ่วหมิง มันขยายใหญ่ยักษ์ในพริบตาพร้อมกับเสียงท่องมนตร์ แสงสีทองสว่างขึ้นครั้งเดียว มันก็กลายเป็นหุ่นสูงสิบกว่าจั้ง ทั้งตัวส่องแสงสีทองแสบตา พร้อมกันนั้นแรงกดดันจิตวิญญาณดั่งห้วงสมุทรลึกล้ำสายหนึ่งก็พุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า


มือยักษ์สีม่วงที่กำลังจะกดลงมาส่งเสียงครวญครางแล้วถูกแรงกดดันจิตวิญญาณสายนี้ดันไว้จนไม่อาจร่วงลงมาได้แม้แต่น้อย


“เป็นไปไม่ได้”


บุรุษผมสยายสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าหวาดกลัวที่แฝงอยู่ในแรงกดดันจิตวิญญาณสายนี้ทันที เขาหลุดปากออกมาในทันใดจากนั้นรีบร้อนตั้งท่าเคล็ดวิชา ร่างพลังเวทมหึมาบนแผ่นหลังอ้าปาก ลำแสงสีม่วงเส้นหนึ่งพุ่งออกมา ขณะที่แขนอีกข้างหนึ่งพร่าเลือนวูบหนึ่งแล้วกลายเป็นมือใหญ่สีม่วงอีกข้างหนึ่งตบลงมาใส่หุ่นสีทอง


แต่หุ่นสีทองที่เดิมทีนิ่งไม่ขยับฉับพลันกลับเงยศีรษะขึ้น ดวงตาสองข้างส่องแสงแวววาวออกมารอบด้าน แขนสองข้างพร่าเลือนเพียงวูบเดียว เงาหมัดขนาดเท่าโอ่งน้ำสองข้างก็โจมตีออกมาในทันใด


เสียง “บึ๊ม” ดังสนั่นสองครั้ง!


เงาหมัดข้างหนึ่งโจมตีมือใหญ่สีม่วงที่ร่วงลงมาแตกสลายในพริบตา ส่วนเงาหมัดอีกข้างราวกับเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา พร่าเลือนวูบเดียวก็ปรากฏตรงหน้าเงาจักรพรรดิที่อยู่เบื้องหลังบุรุษผู้สยายผม จากนั้นพุ่งเข้าปะทะมันทันที


สองแขนของเงาจักรพรรดิยกขึ้นขวางหน้าร่างดั่งสายฟ้าแลบ แต่ยังคงถูกเงาหมัดโจมตีจนโงนเงน พร่ามัวเลือนรางไปทันที


บุรุษผู้สยายผมส่งเสียงดัง “อ๊อก” ทีหนึ่งก็พ่นเลือดคำหนึ่งออกมา เงาจักรพรรดิเบื้องหลังร่างกะพริบวูบวาบ


“หุ่น…ระดับ…เชี่ยวชาญมหัศจรรย์!”


ผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณณ์จากตระกูลโอวหยางผู้นี้ตะโกนเสียงดัง บนร่างเปล่งแสงสีม่วงเจิดจ้า หันหลังกลับแหวกท้องนภาจากไปทันที


ในเวลานี้เอง เสียง “ฟึบ” ก็ดังขึ้น


ดวงตาของหุ่นสีทองมีแสงแวววาวไหลเคลื่อนอยู่พักหนึ่ง ใบหน้าก็เผยสีหน้าเยาะหยันคล้ายมนุษย์ออกมา ทันใดนั้นมันก็ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ขยับแขนอีกเพียงครั้งเดียวก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าบุรุษผู้สยายผมประหนึ่งภูตพราย มือใหญ่ข้างหนึ่งกลายเป็นเงาสีทองคว้าออกไปทันที!


ระหว่างห้านิ้วสีทองมีเสียงสายลมอสนีบาตดังขึ้นทำให้คนรู้สึกว่าไม่อาจหลบพ้น ราวกับว่าการคว้าจับครั้งนี้จะฉวยผืนฟ้าและแผ่นดินทั้งหมดเข้าไปไว้ในมือ


บุรุษผู้สยายผมกรีดร้องเสียงหลง ร่างกายบิดทีหนึ่งพลันกลายเป็นแสงสีม่วงสายหนึ่งกะพริบวูบวาบบินไปทั่วท้องฟ้า


แต่ไม่ว่าเขาจะใช้วิชาหลบหลีกได้ยอดเยี่ยมเช่นไร ห้านิ้วของมือใหญ่สีทองหุบทีเดียวก็จับแสงสีม่วงไว้ได้มั่น


แสงสีม่วงดับหายไป บุรุษผู้สยายผมปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในมือใหญ่ของหุ่น ทั้งร่างถูกโซ่ยันต์สีทองเส้นแล้วเส้นเล่ามัดไว้แน่นหนา ไม่อาจกระดิกกระเดี้ยวได้สักนิด


บุรุษผู้สยายผมอยู่ต่อหน้าหุ่นสีทองไม่มีกำลังต้านทานแม้แต่น้อย!


“ผู้อาวุโสเจี้ยนหยวน!”


พวกผู้เฒ่าผมขาวสี่คนเวลานี้มองดูตาโตอ้าปากค้าง ทั้งหมดตกตะลึงไปแล้ว


หลิ่วหมิงก็มองตาโตพูดไม่ออกเช่นเดียวกัน แต่เมื่อกวาดสายตาไปยังซาฉู่เอ๋อร์ที่ตาโตอ้าปากค้างอยู่ด้านข้างเหมือนกัน กลับสัมผัสได้ถึงกระแสจิตเย็นเยียบจางๆ ที่ลอยออกมาจากตัวหุ่นสีทอง ในใจก็คล้ายจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง


“ไม่ทราบผู้อาวุโสระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ท่านใดประทับร่างอยู่บนตัวหุ่น ตระกูลโอวหยางของเราก็มีผู้อาวุโสระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์เช่นกัน” รอบร่างบุรุษผู้สยายผมเปล่งแสงสีม่วงวูบวาบดิ้นรนอยู่หลายครั้ง ทว่าหลังจากดิ้นไม่หลุดก็ตวาดใส่หุ่นสีทองเสียงดังอย่างเกรี้ยวกราด


“เหอะ!”


หุ่นสีทองพลันแค่นเสียงหยันออกจากปาก มือใหญ่ออกแรงกำบุรุษผมสยายในมือจนเขาครางเบาๆ กระอักเลือดคำหนึ่งออกมาจากปากอีกครั้ง ลมปราณแผ่วเบาลงในทันใด


ขณะที่หลิ่วหมิงมองดูด้วยใจหวาดผวา เสียง “เปรี๊ยะ” ดังสนั่นก็ลอยมากเบื้องบน


สักแห่งบนท้องนภาปรากฏรอยแตกสีดำยาวหลายสิบจั้งเส้นหนึ่งจากความว่างเปล่า


เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้น!


ฝ่ามือยักษ์สีม่วงดุจขุนเขาข้างหนึ่งโผล่ออกมาจากรอยแยก โจมตีลงมาเบื้องล่างหนึ่งฝ่ามือทันที


ฝ่ามือยักษ์ข้างนี้ลายฝ่ามือชัดเจนอย่างยิ่ง ข้อนิ้ว เส้นขนล้วนชัดเจนแจ่มแจ้ง นอกจากสีที่พิเศษก็เหมือนฝ่ามือที่เป็นเลือดเนื้อของจริงขยายใหญ่หลายเท่า แล้วยังแผ่แรงกดดันจิตวิญญาณน่าหวาดกลัวออกมาไม่ด้อยกว่าหุ่นสีทองเบื้องล่างสักนิด


“ฮ่า!”


หุ่นสีทองเห็นภาพนี้ ใบหน้ากลับไม่มีสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย มันกลับหัวเราะหยันคำหนึ่ง พลิกฝ่ามือต่อยใส่ท้องนภา เงาหมัดสีทองขนาดหลายหมู่ข้างหนึ่งพุ่งดังกึกก้องใส่ท้องฟ้า


เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้น!


วงแสงมหึมาสองวง วงหนึ่งสีม่วง วงหนึ่งสีทองปะทะกันดังสนั่นกลางอากาศ ต่างฝ่ายโรมรันเข้าหากัน


จากนั้นเสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าก็ดังครืดคราดลอยมา คลื่นต่างสีสองชนิดพุ่งโจมตีไปสี่ด้านแปดทิศ เสียงเปรี๊ยะๆ ดังสนั่น ต้นไม้ภูเขาเบื้องล่างทั้งหมดถูกซัดราวกับว่าเกิดพายุหมุนลูกแล้วลูกเล่าขึ้นจากความว่างเปล่า


“พลังร้ายกาจนัก! นี่เป็นการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์” แม้หลิ่วหมิงพยายามกระตุ้นปราณดำบนร่างสุดชีวิตแต่ก็ยังคงถูกสายลมบ้าคลั่งสายนี้บีบให้ถอยร่นไม่หยุด ในใจเขาตื่นตะลึงอย่างยิ่ง


คนตระกูลโอวหยางที่เหลือยิ่งถูกสายลมบ้าคลั่งพัดปลิวออกไปด้านนอกอย่างน่าเวทนาทันที


“เหอะ ใช้ร่างของหุ่นตัวหนึ่งก็ขวางการโจมตีของข้าได้ ท่านคงจะเป็นขุยตี้แห่งหนานฮวงในอดีตสินะ?”


หลังโจมตีหนึ่งครั้ง มือยักษ์สีม่วงก็พลันหดเข้าไปในรอยแยกบนฟ้า แต่รอยแยกกลับไม่ได้หายไป เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังออกมาจากด้านในชัดเจนอย่างยิ่ง


“หึๆ! ไม่ผิด ข้าเอง! พวกเจ้าตระกูลโอวหยางใช้ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย ถึงกับเพ้อฝันจะจับตัวศิษย์ของข้า หากไม่สั่งสอนเสียบ้าง ชื่อเสียงขุยตี้ของข้าคงเสียหายใหญ่หลวง” หุ่นสีทองหัวเราะสองครั้งก็บีบบุรุษผู้สยายผมในมือแน่นขึ้นอีกหน่อยเหมือนเจตนาแต่ก็ไม่เหมือนเจตนา


ร่างกายของบุรุษสยายผมสะท้านรุนแรง พ่นเลือดคำโตออกมาติดๆ กัน ลมปราณบนร่างที่เดิมทีแผ่วเบาอย่างที่สุดอยู่แล้ว แผ่วเบาลงอีกครั้ง


“ที่โอวหยางหมิงฝึกฝนวิชาที่แท้จริงของเผ่ามารนั่นเพราะคำสั่งของท่านหรือ?” เสียงทุ้มเข้มในรอยแยกหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยต่อราวกับมองไม่เห็นบุรุษสยายผมผู้กำลังทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง


“ต่อให้ใช่ เรื่องเช่นนี้ก็พูดส่งเดชไม่ได้ เจ้ามีหลักฐานอันใดเล่า?” ดวงตาของหุ่นสีทองทอประกายเล็กน้อย ยังคงหัวเราะหยันเอ่ยขึ้น


“ช่างเถิด เรื่องนี้หลังจากนี้ค่อยสืบสาวเอาความ วันนี้พอเท่านี้เถิด” เพิ่งสิ้นเสียง รอยแยกมหึมากลางท้องฟ้าก็ค่อยๆ ปิดสนิท ท้ายที่สุดก็หายไปไร้ร่องรอยประหนึ่งไม่เคยปรากฏ


หุ่นสีทองหัวเราะหยันสองครั้งก็สะบัดมือโยนบุรุษสยายผมในมือออกไป ร่างกายเขาปลิวออกไปประหนึ่งกระสอบขาดๆ ร่วงลงบนพื้นที่ว่างไม่ไกลดัง “ปึก”


ในเวลาเดียวกันนี้ร่างกายมหึมาของหุ่นสีทองก็ค่อยๆ หดเล็กกลับมาขนาดเท่าเดิมอีกครั้งอย่างรวดเร็ว มันหมุนตัวกลับมา ดวงตาเปล่งแสงสีทองที่ราวกับวัตถุจริงสองสายออกมาจับบนร่างหลิ่วหมิง


“คารวะผู้อาวุโสชิงหลิง” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบค้อมกายคำนับ


ถึงตอนนี้ ไหนเลยเขาจะยังไม่รู้ว่าผู้ที่ควบคุมหุ่นตรงหน้าอยู่คือชิงหลิงขุยตี้แห่งหนานฮวง


“ท่านเทพ” ซาฉู่เอ๋อร์เดินเข้ามาอย่างทั้งตกใจทั้งยินดี นางรีบคำนับเช่นกัน


สตรีนางนี้เหมือนคิดไม่ถึงว่าชิงหลิงจะประทับร่างลงบนหุ่นสีทองกะทันหัน


“อืม ไม่ได้พบหน้าไม่กี่ปี พลังของเจ้าเลื่อนระดับไวทีเดียว เมื่อครู่เห็นข้าปรากฏตัว เหมือนเจ้าจะไม่ตกใจเท่าไรนะ?” หุ่นสีทองพยักหน้าให้ซาฉู่เอ๋อร์นิดหนึ่งก่อน แล้วจึงหันหน้ามาเอ่ยนิ่งๆ กับหลิ่วหมิง


“หลายปีนี้ผู้เยาว์ได้โชควาสนามาจำนวนหนึ่ง ระดับพลังถึงเลื่อนขึ้นได้อยู่บ้าง ส่วนที่ไม่ตกตะลึงนักยามผู้อาวุโสประทับร่างหุ่นตัวนี้เพราะในอดีตผู้เยาว์เคยได้สัมผัสความร้ายกาจด้วยตนเองมาแล้ว” หลิ่วหมิงเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม


“หึๆ เพียงแค่เลื่อนระดับขึ้นนิดหน่อยหรือ? เป็นถึงอันดับหนึ่งแห่งงานประตูสวรรค์ ต่อให้ข้าอยู่ไกลถึงหนานฮวงก็ได้ยินคนพูดถึงนานแล้ว” หุ่นสีทองหัวเราะแผ่วเบาออกมาอีกครั้ง


หลิ่วหมิงย่อมเอ่ยอย่างถ่อมตัวอีกหลายคำ


“เอาล่ะ คำพูดไร้สาระไม่ต้องพูดแล้ว หลายวันนี้ต้องขอบคุณเจ้า ฉู่เอ๋อร์ถึงตามหาที่นี่จนพบ ข้าแบ่งความชอบกับความผิดชัดเจน ในเมื่อทำงานให้คนของข้าย่อมมีรางวัลให้เจ้า” หุ่นสีทองพูดพลางก็สะบัดมือทีหนึ่ง แสงสีทองเส้นหนึ่งร่วงลงเบื้องหน้าหลิ่วหมิง มันคือยันต์หยกสีทองอ่อนแผ่นหนึ่ง


“ใช้ยันต์ลับนี่ ไม่ว่าอยู่ห่างกี่หมื่นลี้ก็ติดต่อกับข้าได้ นับว่าให้เจ้าเป็นรางวัล” ชิงหลิงเอ่ยช้าๆ


“ขอบคุณผู้อาวุโสอย่างยิ่ง” หลิ่วหมิงทีแรกอึ้งไปเล็กน้อย แต่จากนั้นก็ยินดีอย่างยิ่ง เขาเก็บยันต์หยกขึ้นมาอย่างระมัดระวัง


ติดต่อกับผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์คนหนึ่งได้ มูลค่าของยันต์หยกแผ่นนี้มากเท่าใดคิดดูก็รู้


“เอาล่ะ ฉู่เอ๋อร์ หมดเรื่องที่ติดค้างในใจเจ้าแล้ว ตอนนี้ก็กลับหนานฮวงกับข้าเถิด” หุ่นสีทองไม่รอซาฉู่เอ๋อร์อ้าปากเอ่ยอะไรอีก แขนก็ขยับทีหนึ่ง แสงสีทองผืนใหญ่ซัดออกมาหุ้มซาฉู่เอ๋อร์กับเขาไว้ด้านในทั้งหมด


เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง แสงสีทองพุ่งขึ้นฟ้า หลังบินวนบนท้องฟ้ารอบหนึ่งก็แหวกนภาจากไป


ขุยตี้แห่งหนานฮวงผู้นี้ไม่แม้แต่จะให้โอกาสซาฉู่เอ๋อร์บอกลาหลิ่วหมิงก็เหาะจากไปเช่นนี้


กล้ามเนื้อบนหน้าหลิ่วหมิงกระตุกเล็กน้อย รู้สึกว่ากระทั่งหัวเราะฝืดเฝื่อนก็ยังหัวเราะไม่ออก


“แค่ก…แค่กแค่ก!”


หลังจากบุรุษผู้สยายผมที่อยู่ไม่ไกลไอแค่กๆ หลายครั้งก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนจากพื้น ล้วงโอสถเม็ดหนึ่งออกจากอกเสื้อมากลืนลงไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)