หมอดูยอดอัจฉริยะ 864-867
ตอนที่ 864 โอหัง
ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิขุนนางสมัยโบราณ หรือผู้นำประเทศในยุคปัจจุบัน ก็ล้วนเป็นคนเช่นเดียวกัน และต่างก็มีจุดอ่อนเหมือนๆ กันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ได้นานๆ โดยเฉพาะคนที่เคยยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของอำนาจ ก็จะมีความปรารถนานี้รุนแรงยิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไป
“ฉางเฮ่า พวกคุณออกไปก่อน”
อู๋เหล่าโบกมือ สั่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตูออกไปข้างนอก แล้วจึงหันมาพูดกับเยี่ยเทียนว่า
“คุณเยี่ย อย่างนั้นคนแบบพวกคุณนี่ นอกจากจะมีพลังที่แข็งแกร่งแล้ว ก็ไม่ได้มีชีวิตที่ยืนยาวไปกว่าคนอื่นๆ เลยอย่างนั้นหรือ?”
อู๋เหล่าดันแว่นบนสันจมูกขึ้น แล้วกล่าวต่อไปว่า
“ถ้าคิดเสียว่า ปรากฏการณ์ประหลาดของพวกคุณเป็นวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นกับยีนของมนุษย์ละก็ อย่างนั้นยีนที่ผ่านการวิวัฒนาการมาหลายครั้งแล้ว ก็น่าจะมีอายุขัยที่ยืนยาวกว่าคนธรรมดาสิถึงจะถูกน่ะ!”
เมื่ออู๋เหล่ากล่าวเช่นนั้น คนอื่นๆ ที่ตอนแรกนั่งหลังตรงไม่พูดจาก็อดขยับตัวนิดๆ ไม่ได้ สายตามุ่งไปรวมกันที่เยี่ยเทียนพร้อมๆ กัน
แต่ละคนซึ่งกำลังนั่งอยู่ ณ ที่นี้ ต่างก็ฝ่าฟันจนได้มาถึงตำแหน่งในปัจจุบัน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของอำนาจในทางโลก ไม่ได้แตกต่างจากจักรพรรดิราชาในสมัยโบราณเท่าไรนัก แต่ทว่า ชีวิตของพวกเขาก็ใกล้จะเดินไปถึงจุดสิ้นสุดแล้วเช่นกัน เหลือเวลาให้มีชีวิตอยู่อีกไม่กี่ปีแล้ว
“ก็จะอายุยืนกว่านิดหน่อยครับ คืออยู่ได้นานขึ้นอีกประมาณยี่สิบสามสิบปี อาจารย์ผม หลี่ซั่นหยวนมีอายุขัยถึงหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าปี สาเหตุก็อย่างที่กล่าวมานี่แหละ!”
เยี่ยเทียนมองดูคนเหล่านี้แวบหนึ่ง แล้วกล่าวสืบต่อ
“แต่อาจารย์ผมใฝ่ศรัทธาในเต๋ามาทั้งชีวิต จิตใจบริสุทธิ์เที่ยงแท้ ไม่หลงใหลในกิเลสอย่างปุุถุชนทั่วไป แบบนี้จึงจะทำให้จิตเดิมไม่สูญ แก่นแท้ไม่สลายได้ คนทั่วไปน่ะ…ไม่มีทางไปถึงจุดนั้นได้หรอกครับ!”
หลังจากคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากเยี่ยเทียน คนทั้งหลายในห้องประชุมก็มีสีหน้าผิดหวัง พวกเขาเคยเห็นข้อมูลเกี่ยวกับหลี่ซั่นหยวนผ่านตามาแล้ว จึงรู้ว่าเยี่ยเทียนไม่ได้พูดเท็จเลย บุคคลมหัศจรรย์แห่งยุคผู้นั้น สุดท้ายแล้วก็ยังคงต้องละสังขารไว้ใต้แผ่นดินอยู่ดี
ชั่วขณะนั้น ภายในห้องประชุมเริ่มจะมีบรรยากาศแปลกๆ เยี่ยเทียนรู้สึกได้ว่า จิตใจของคนเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปมาก จากเดิมที่คาดคั้นเร่งรีบก็กลายเป็นผ่อนคลายลง
“ท่านทั้งหลาย พวกเราน่ะเป็นผู้ยึดมั่นในวัตถุนิยม[1] แล้วยังจะมาคิดถึงเรื่องเป็นอมตะกันอยู่อีกหรือ?”
เยวี่ยเหล่าซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งประธานหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดกับเยี่ยเทียนว่า
“แต่ว่านะพ่อหนุ่ม คุณเองก็พูดอย่างทำอย่างเหมือนกันละ หลายปีมานี้ซ่งเหล่าดูหนุ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ เพราะคุณให้เขากินยาวิเศษอะไรไปใช่ไหมล่ะ?”
คำพูดของเยวี่ยเหล่าทำให้คนทั้งหลายตาลุกวาวขึ้นมา ซ่งเฮ่าเทียนนั่งอยู่ตรงนี้ ร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรทุกคนก็เห็นๆ กันอยู่ จากเดิมที่เป็นคนอายุแปดสิบกว่าเกือบเก้าสิบ ตอนนี้กลับดูเหมือนคนอายุหกสิบกว่าๆ เท่านั้นเอง
‘ให้ตายเถอะ มีแต่พวกจิ้งจอกเฒ่าทั้งนั้น ตอนแรกเรียกมานิรโทษกรรม ตอนนี้กลับจะหาทางบรรลุเป็นเซียนเสียนี่’
เยี่ยเทียนลอบก่นด่าในใจ ทำหน้าแหยๆ ตอบว่า
“จริงอยู่ว่าผมเคยจัดยาที่มีสรรพคุณบำรุงร่างกายให้ท่านไป แต่เนื่องจากวัตถุดิบหายากเหลือเกิน จึงปรุงออกมาได้เพียงไม่กี่เม็ด และก็ให้ท่านรับประทานไปหมดแล้วละครับ!”
เยี่ยเทียนได้ตัวยาล้ำค่ามาจากเสินหนงเจี้ยไม่น้อย กล่าวตามตรง ยาที่ปรุงขึ้นมาได้ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แต่เขาก็ไม่ได้ติดหนี้อะไรกับคนพวกนี้สักหน่อย จึงไม่ได้คิดจะยกให้คนเหล่านี้ไปรับประทาน เยี่ยเทียนเองก็ญาติเยอะออกปานนั้น ยังกลัวอยู่ว่าจะไม่พอด้วยซ้ำ
เยี่ยเทียนพูดยังไม่ทันขาดคำ อู๋เหล่าก็พูดขึ้นมาว่า
“คุณเยี่ย สหายอาวุโสซึ่งได้สร้างคุณูปการแก่ประเทศชาติมาตลอดชีวิตบางท่านก็มีสุขภาพไม่แข็งแรง หวังว่าคุณจะสามารถจัดมอบยานั้นให้เราได้สักจำนวนหนึ่ง ส่วนเรื่องจะต้องใช้วัตถุดิบอะไรบ้างนั้น คุณก็บอกมาได้เลย เชื่อว่าพวกเราน่าจะจัดหาให้ได้อยู่”
“พวกคุณคงหาไม่ได้หรอก สมุนไพรพวกนั้นไม่ได้อยู่ในโลกของปุถุชนนะครับ”
เยี่ยเทียนปฏิเสธกลับไปทันที เขาก็ไม่ได้เป็นหมอหลวงในราชสำนักเสียหน่อย สหายอาวุโสพวกนั้นจะเป็นจะตายยังไงแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาด้วยล่ะ?
“เจ้าเด็กบ้า อย่าพูดจาแบบนี้สิ ตัวเองก็เป็นคนจีนแท้ๆ ไม่ได้นึกถึงประเทศชาติสักนิดเลยเรอะ?”
หลังจากซ่งเฮ่าเทียนเห็นเยี่ยเทียนปฏิเสธอู๋เหล่าไปแบบนั้น บรรยากาศในห้องประชุมก็เริ่มจะตึงเครียด จึงรีบพูดไกล่เกลี่ยขึ้น
“ฉันรู้ว่ายานั่นของแกน่ะมีไม่เยอะ ขนาดฉันยังได้กินไปแค่สองเม็ด เอาอย่างนี้ไหม แกยกให้รัฐสักยี่สิบเม็ด ถือเสียว่าเป็นการสร้างคุณูปการแก่ประเทศชาติก็แล้วกัน!”
ความคิดของซ่งเฮ่าเทียนนั้นลึกซึ้งกว่าเยี่ยเทียน ไม่ว่าหลานชายของเขาคนนี้จะแข็งแกร่งสักเพียงไหน แต่สุดท้ายก็มีแค่ตัวคนเดียว อีกทั้งเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันถึงการเกิดแก่เจ็บตายของแต่ละคน ไม่แน่ว่าบางคนในที่นี้อาจจะเกิดมีใจคิดคดอะไรขึ้นมาก็ได้ แทนที่จะปล่อยให้เป็นแบบนั้น ไม่สู้เสนอเงื่อนไขออกมาให้ชัดเจน เท่านี้ก็แลกความสงบสุขมาได้แล้ว
“ยี่สิบเม็ด?” เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ๆ แล้วจึงพูดขึ้นว่า “สิบหกเม็ด มากกว่านี้ก็ไม่มีแล้ว ถ้ายังไม่พออีกก็ไม่ต้องเอาไปสักเม็ดแล้วละ!”
นับรวมซ่งเฮ่าเทียนแล้ว มีผู้ร่วมประชุมทั้งหมดแปดคน ถ้าเยี่ยเทียนให้ไปสิบหกเม็ด อย่างนั้นก็จะได้คนละสองเม็ด ยาวิเศษนี้แม้จะไม่ใช่ว่าสามารถรักษาได้ทุกโรค แต่หากรับประทานหนึ่งเม็ดก็พอจะยืดอายุขัยได้ห้าปี เท่านี้ก็ถือว่าเยี่ยเทียนยอมถอยให้ก้าวใหญ่แล้ว
แน่นอนว่า สำหรับเยี่ยเทียนในตอนนี้ ตัวยาเหล่านั้นก็ไม่ได้ถือว่าเป็นของล้ำค่าหายากเท่าไรแล้ว เพราะเขาสามารถที่จะไปช่วงชิงมาจากเสินหนงเจี้ยได้ทุกเมื่อ วานรขาวเฒ่าตัวนั้นก็มีพลังฝีมือแค่ระดับเซียนเทียนช่วงกลางเท่านั้นเอง เยี่ยเทียนเล่นงานมันได้อยู่แล้ว
“สิบหกเม็ด? มันน้อยไปหน่อยไหม?”
มีคนหนึ่งขมวดคิ้วขึ้นมา ท่าทางจะไม่ค่อยพอใจกับตัวเลขที่เยี่ยเทียนเสนอมานัก
เยี่ยเทียนเดิมทีก็ไม่ได้ยินยอมพร้อมใจอยู่แล้ว พอได้ยินคนผู้นั้นทักท้วง จึงเหลือกตาขึ้นมองด้านบนทันที
“ยังว่าน้อยไปอีก? อย่างนั้นก็ไม่ต้องเอา!”
“ฮ่ะๆ ไม่น้อยแล้ว เอาอย่างที่เสี่ยวเยี่ยบอกนั่นแหละ”
หลังจากที่ได้สนทนากับเยี่ยเทียน อู๋เหล่าก็พอจะรู้นิสัยใจคอของเขาบ้างแล้ว ยามนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นเรื่องอื่น
“เสี่ยวเยี่ย ไม่ทราบว่าตอนนี้พลังฝีมือของคุณไปถึงระดับไหนแล้วล่ะ?
“คุณก็รู้ว่า ปัจจุบันนี้แต่ละประเทศต่างก็กำลังพัฒนากลุ่มบุคลากรผู้มีความสามารถพิเศษ คนแก่อย่างพวกเราเลยหวังว่า คุณจะยอมเข้าร่วมทีมวิจัยและพัฒนาผู้มีความสามารถพิเศษของเรา โครงการนี้คุณจะมาเป็นผู้นำเลยก็ได้ และแน่นอนว่า รัฐก็จะมอบเกียรติยศให้คุณอย่างเหมาะสมด้วยเช่นกัน คุณว่า…ยศทหารระดับพลโทนี่พอไหม?”
จากการหารือกันในตอนแรก พวกเขาตกลงไว้ว่าจะให้ยศพลตรีแก่เยี่ยเทียน แต่เมื่อครู่นี้เพิ่งจะได้ผลประโยชน์จากเยี่ยเทียนมาเรื่องหนึ่ง จึงเลื่อนยศให้เยี่ยเทียนอีกขั้นเป็นการตอบแทน นอกจากนี้ หากเยี่ยเทียนเข้าร่วมกองทัพ ก็จะมีเส้นบางอย่างมาเป็นกรอบควบคุมเขาไว้ ทีนี้ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวแล้วว่าจะไม่ได้ยาวิเศษจากเขา
“พลังฝีมือของผม? ยศทหารพลโท?”
บนใบหน้าของเยี่ยเทียนปรากฏรอยยิ้มแปลกๆ
“พวกคุณช่างให้เกียรติผมจริงๆ แต่ยศพลโทนี่สำหรับผมแล้วยังต่ำไปหน่อย ถ้ายกตำแหน่งของเยวี่ยเหล่าให้ผม ก็อาจจะยังถือว่าพอถูไถละนะ!”
“โอหัง ถึงคุณจะร้ายกาจ แต่จะมาสู้กับกองทัพนับล้านของรัฐได้รึไง?”
เยี่ยเทียนพูดยังไม่ทันขาดคำ นายพลจ้าวก็ตบโต๊ะลุกขึ้นมาอีก ถึงเยี่ยเทียนจะมีความสามารถอยู่จริงๆ แต่ก็ไม่ควรจะเย่อหยิ่งจองหองแบบนี้ คำพูดคำจาก็มีแต่จะประชดประชันเสียดสีกันทั้งนั้น
ไม่ใช่แค่นายพลจ้าวเท่านั้น แม้แต่ซ่งเฮ่าเทียนเองก็รู้สึกว่าเยี่ยเทียนล้ำเส้นเกินไปหน่อย การพูดจาแบบนี้ถ้าไปอยู่ในสมัยโบราณละก็ ได้ถูกลงโทษประหารไปเก้าชั่วโคตรแน่ ถึงจะเป็นสมัยปัจจุบัน ก็จะตกเป็นเป้าให้ผู้อื่นเพ่งเล็งได้ง่ายอยู่ดี เขาไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเยี่ยเทียนที่เฉลียวฉลาดมาตลอดถึงได้กล่าวคำพูดแบบนี้ออกมา?
“คุณน่ะนั่งลงไปเถอะ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็จะใช้กองทัพนับล้าน กองทัพนับล้านของคุณน่ะ ในสายตาของผมแล้วไม่ได้มีความหมายอะไรเลยสักนิด!”
เยี่ยเทียนที่กำลังยิ้มแย้มจนตาหยีพลันหน้าตึงไปทันที ดวงตาฉายประกายเย็นวาบ พลังกดดันที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากร่าง ในชั่วขณะนั้น ทุกคนในห้องต่างรู้สึกราวกับมีภูเขาลูกใหญ่ทับลงมาบนร่าง กระทั่งลมหายใจยังถี่กระชั้นขึ้นมา
เดิมทีเยี่ยเทียนมีใบหน้ายิ้มแย้ม ดูแล้วไม่น่ามีพิษมีภัย ยามนี้กลับดูเหมือนเป็นเจ้าจักรพรรดิก็ไม่ปาน เมื่อสายตาของเขากวาดผ่านร่างของแต่ละคนไป ต่างก็เกิดความรู้สึกทรมานยากจะทนทาน ความรู้สึกนี้ช่างพิลึกพิลั่นนัก เพราะความกดดันเช่นนี้ เมื่อก่อนพวกเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายมอบให้แก่ผู้อื่น
ยังดีที่เยี่ยเทียนแผ่พลังกดดันออกมาเพียงไม่กี่วินาทีก็หยุดแล้ว คนทั้งหลายจึงกลับมาหายใจได้ทั่วท้องดังเดิม แต่บนหน้าผากกลับเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ ตอนนี้พวกเขาถึงเพิ่งจะรู้ว่า เยี่ยเทียนไม่ได้เป็นลูกแกะที่จะยอมรับการโขกสับใดๆ ก็ได้
“เยี่ยเทียน คุณก็น่าจะรู้ว่า ตั้งแต่โบราณมา จอมยุทธที่ทำผิดกฎโดยใช้กำลังนั้น ไม่มีใครได้มีจุดจบที่ดีหรอก!” นายพลจ้าวมีชีวิตดั่งม้าศึกมาตลอด สิ่งที่ยอมรับไม่ได้ที่สุดก็คือการข่มขู่ ยามนั้นจึงตะโกนขึ้นมาว่า
“ฉางเฮ่า พาพวกเข้ามาเดี๋ยวนี้!”
เมื่อนายพลจ้าวตะโกนเรียก ประตูก็ถูกผลักเปิดจากข้างนอก เมื่อครู่ฉางเฮ่าที่เฝ้าคุมอยู่นอกประตูก็รู้สึกถึงพลังกดดันนั้นเช่นกัน มือขวาจึงแตะด้ามปืนอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว หากเยี่ยเทียนเคลื่อนไหวอย่างมีพิรุธแม้แต่น้อย เขาก็จะลั่นไกโดยปราศจากความลังเล
“พวกคุณไม่รู้หรอกรึว่าอาวุธปืนใช้กับผมไม่ได้น่ะ?”
เยี่ยเทียนมองดูพวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตู แล้วแค่นหัวเราะ สายตาพลันจับจ้องไปที่แขนของฉางเฮ่า แขนขวาของฉางเฮ่าซึ่งกำลังกุมด้ามปืนอยู่ในมือสั่นระริกขึ้นมาทันที เขาหยิบปืนออกมาจากอกเสื้อ แล้วเล็งไปที่ตำแหน่งของเยี่ยเทียน นิ้วมือเหนี่ยวไกไปเองโดยไม่อาจควบคุมได้
“ปังๆ…ปังๆๆ!”
ปืนพกที่ฉางเฮ่าใช้อยู่นั้นผ่านการดัดแปลงมา สามารถบรรจุกระสุนได้สิบสี่นัด และยังเป็นอาวุธปืนชนิดพิเศษที่สามารถยิงติดต่อกันได้โดยอัตโนมัติ เมื่อเหนี่ยวไกลงไปครั้งหนึ่ง กระสุนสิบกว่านัดที่อยู่ในลำกล้องก็ยิงออกมาเสียงดังเฟี้ยวฟ้าวไปทางเยี่ยเทียนอย่างรวดเดียวทันที
“ฉางเฮ่า ใครสั่งให้คุณยิงปืน?!”
ขณะที่ฉางเฮ่าหยิบปืน เยวี่ยเหล่าก็ลุกขึ้นมาแล้ว แต่เขาย่อมไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของฉางเฮ่าได้ ขณะเดียวกันกับที่ตะโกนประโยคนี้ออกไป กระสุนก็พุ่งไปถึงหน้าเยี่ยเทียนแล้ว
แต่ทว่าปรากฏการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น กระสุนที่พุ่งออกจากลำกล้องด้วยความเร็วสูงชนิดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านั้น ขณะที่ยังอยู่ห่างจากร่างของเยี่ยเทียนอีกหนึ่งเมตร ก็กลับพลันหยุดค้างอยู่กลางอากาศ กระสุนสิบกว่านัดนั้นไม่อาจคืบหน้าไปได้อีกเลยแม้แต่เซ็นติเมตรเดียว ราวกับจมติดอยู่ในปลัก
เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงจังงัง ระหว่างที่พวกเขายังไม่ทันจะเรียกสติกลับมาได้ มือเรียวยาวขาวผ่องข้างหนึ่งก็คว้าเก็บกระสุนเหล่านั้นไว้ในอุ้งมือ
“ถ้าอยากจะฆ่าผม ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ แต่ก่อนอื่นพวกคุณจะต้องจับผมมัดไว้ จากนั้นก็ใช้หัวรบนิวเคลียร์จู่โจม คาดว่าแบบนั้นผมคงไม่น่าจะรอด ส่วนวิธีอื่นๆ น่ะ เลิกคิดไปได้เลย!”
เยี่ยเทียนกำฝ่ามือ พอแบออกมาอีกครั้ง ผงทองแดงหนึ่งกำมือก็เทร่วงลงมาจากฝ่ามือ
“ผมน่ะเป็นคนจิตใจคับแคบ ถ้าฆ่าผมไม่ตายละก็ ต่อให้ไปซ่อนอยู่ในรูหนู ผมก็จะขุดค้นตัวคุณออกมาให้ได้!”
ทันทีที่พูดจบ เยี่ยเทียนก็อ้าปากพ่นประกายสีขาวสายหนึ่งออกมาวนเวียนรอบตัว เท้าขวากระทืบลงพื้นหนึ่งที แล้วร่างของเยี่ยเทียนก็ทะยานขึ้นสูง เพดานจุดที่อยู่เหนือศีรษะละลายแหว่งไปในพริบตา ราวกับหิมะหรือน้ำแข็งที่ต้องแสงอาทิตย์ก็ไม่ปาน
……………………
[1] วัตถุนิยม เป็นแนวคิดที่เน้นการมองโลกตามความเป็นจริงและหลักวิทยาศาสตร์
ตอนที่ 865 ข่มขวัญ
“ประกาศ ประกาศ ประกาศเตือนภัยระดับหนึ่ง!”
ขณะที่ร่างของเยี่ยเทียนทะยานขึ้นสู่ฟ้า เสียงประกาศเตือนภัยก็ดังไปทั่วทั้งอาคารใต้ดินทั้งหมด ประตูพิเศษทุกบานปิดลงโดยอัตโนมัติ แหล่งจ่ายไฟของลิฟต์ที่ใช้เดินทางจากบนสันเขาลงไปใต้ดินถูกตัดขาดไปทันที การจ่ายไฟทั้งหมดถูกควบคุมผ่านระบบจ่ายไฟภายในอาคารใต้ดินแล้ว
ประกาศเตือนภัยระดับหนึ่งนั้นเป็นระดับที่สูงที่สุด ซึ่งจะใช้เมื่อมีการจู่โจมด้วยอาวุธนิวเคลียร์ แม้ว่าเสียงประกาศเตือนภัยระดับนี้จะเคยดังขึ้นมาหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งก็เป็นเพียงการฝึกซ้อมเท่านั้น และก่อนที่จะเปิดเสียงประกาศ ผู้บังคับบัญชาของแต่ละแผนกก็จะได้รับการแจ้งให้ทราบไว้ล่วงหน้าก่อนเสมอ
แต่สถานการณ์ในครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป ในฐานทัพแห่งนี้ตั้งแต่ระดับหัวหน้ากองขึ้นไปจนถึงผู้บัญชาการฐานทัพ ต่างก็ไม่มีใครได้รับการแจ้งข่าวใดๆ เลย ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ขณะนี้กลุ่มผู้นำซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจของประเทศนี้ต่างก็อยู่ในอาคารใต้ดินแห่งนี้ทั้งหมด
ทำให้ทุกคนต่างนึกกันไปว่าอาจมีการจู่โจมจากศัตรูจริงๆ ในสถานการณ์ที่ไม่อาจติดต่อกับฝ่ายที่อยู่ใต้ดินได้เช่นนี้ ผู้บัญชาการฐานทัพจึงออกคำสั่งลงไป ให้ฐานทัพที่ใหญ่ที่สุดในเขตปักกิ่งและเทียนจินเริ่มปฏิบัติการโดยเร็วแล้ว
นักบินแต่ละคนต่างขึ้นไปประจำบนเครื่องบินที่จอดอยู่สุดปลายทางวิ่ง ภูเขาอีกฝั่งหนึ่งก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน เครื่องยิงขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานกว่าร้อยเครื่องโผล่ออกมาจากตำแหน่งต่างๆ บนภูเขา อานุภาพของขีปนาวุธเหล่านี้ สามารถที่จะทำให้น่านฟ้าเหนือกรุงปักกิ่งกลายเป็นเขตปลอดอากาศยานได้เลยทีเดียว
ในส่วนลึกที่สุดของภูเขานั้น ขีปนาวุธข้ามทวีปที่มีความยาวถึงสิบกว่าเมตรลูกหนึ่ง ก็ค่อยๆ เคลื่อนไปอยู่บนเครื่องยิง นี่เป็นขีปนาวุธที่ใช้สำหรับโต้ตอบการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์โดยเฉพาะ หากกรุงปักกิ่งหรือฐานทัพถูกอาวุธนิวเคลียร์โจมตีเมื่อใด ขีปนาวุธลูกนี้ก็จะยิงออกไปทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง
แน่นอนว่า ผู้บัญชาการฐานทัพไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในเรื่องนี้ ผู้นำสูงสุดของประเทศจะเป็นผู้ตัดสินใจว่า จะยิงขีปนาวุธข้ามทวีปลูกนี้ออกไปหรือไม่ ตอนนี้จึงทำได้เพียงเตรียมความพร้อมก่อนยิงเอาไว้ก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความฉุกละหุก
ประกาศเตือนภัยนั้นหมายถึงสงคราม หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่สิบวินาที ในฐานทัพก็เริ่มปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง ผู้บัญชาการสูงสุดในฐานทัพก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้นำอาวุโสที่อยู่ใต้ดิน
“อะไรนะครับ? ให้หยุดการเตรียมความพร้อมทางทหารเดี๋ยวนี้?”
ผู้บัญชาการฟังคำสั่งแล้วก็อึ้งไป ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นหน้าผู้ออกคำสั่งผ่านวิดีโอคอลอย่างชัดเจน เขาก็อาจจะสงสัยว่าหูของตัวเองมีปัญหาด้วยซ้ำ เพราะต่อให้เป็นการฝึกซ้อม ก็ต้องดำเนินการต่อไปจนกว่าขั้นตอนทั้งหมดจะเสร็จสิ้น
“ครับผม น้อมปฏิบัติตามคำสั่ง!”
ผู้บัญชาการก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบเร็วเหมือนกัน แสดงความเคารพทันที ยังไม่วางสายของท่านผู้นำอาวุโส แต่ประกาศคำสั่งออกไปอย่างต่อเนื่องเดี๋ยวนั้นเลย แล้วเสียงประกาศเตือนภัยภายในฐานทัพก็หยุดลงทันที
“รายงานครับ!”
เพิ่งจะออกคำสั่งเสร็จ เสียงหนึ่งก็พูดมาจากทางประตู เจ้าหน้าที่ประดับยศสองขีดหนึ่งดาว (ยศพันตรี) บนบ่านายหนึ่งกำลังมีสีหน้าประหม่ากังวลอย่างไม่อาจปกปิดได้
“เรื่องอะไร?”
ผู้บัญชาการทำหน้าขรึม เขาไม่อยากให้ท่านผู้นำอาวุโสเห็นว่า ทหารใต้บังคับบัญชาของเขาไม่มีความอดทนแบบนี้
“เรียนท่านผู้บัญชาการ ที่…ที่เขตหมายเลขสาม ปรากฏ…ปรากฏหลุมขึ้นแห่งหนึ่งครับ!”
เจ้าหน้าที่นายนั้นตอบอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ
“จากการประเมินโดยคร่าวๆ ตำแหน่งของหลุมนั้นดูจะตรงกับฐานทัพใต้ดินพอดีเลยครับ!”
“อะไรนะ? เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไงกัน?”
เจ้าหน้าที่พูดยังไม่ทันขาดคำ ผู้บัญชาการมีสีหน้าเปลี่ยนไป ฐานทัพใต้ดินแห่งนี้ต้องใช้เวลาทั้งหมดสามสิบกว่าปี ผ่านยุคของผู้นำหลายสมัย จึงจะสามารถก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ได้ ที่ใต้ดินนั้นนอกจากหินผาและคอนกรีตแล้ว ยังมีซีเมนต์เสริมโครงเหล็กและวัสดุทนแผ่นดินไหวอีกด้วย
กล่าวได้ว่า ต่อให้ทีมวิศวกรฝีมือเยี่ยมของฝ่ายกลาโหมมาดำเนินการก่อสร้าง หากต้องการจะขุดหลุมทะลุตรงลงไปจากผิวดิน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งปี ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่นายนี้เป็นคนสนิทของเขา ซึ่งไม่มีทางหลอกลวงเขาเด็ดขาดแล้วละก็ สงสัยผู้บัญชาการคงได้ระเบิดผรุสวาทใส่เขาไปแล้ว
หยาดเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วผุดขึ้นมาจากหน้าผากของผู้บัญชาการ เขาพูดกับจอวิดีโอคอลว่า
“ท่านผู้นำครับ ผมจะไปดูก่อน แล้วจะกลับมารายงานต่อท่านทันทีเลยครับ!”
“ไม่ต้องหรอก ปิดกั้นพื้นที่เขตนั้นไปเลย แล้วอย่าให้ใครเข้ามาใกล้ล่ะ!”
เสียงจากปลายสายฟังดูค่อนข้างเหนื่อยล้า
“นี่ ผมว่านะ เยวี่ยเหล่า ส่งไฟฟ้าขึ้นมาเถอะ ผมไม่อยากจะทำแบบเดิมอีก!”
ขณะที่ผู้บัญชาการกำลังตบเท้า เตรียมขานตอบรับคำสั่ง เสียงหนึ่งก็เอ่ยขึ้นข้างหูเขาอย่างฉะฉานชัดเจน เมื่อเงยหน้ามองไปก็เห็นว่า ข้างๆ เขามีชายหนุ่มนุ่งชุดขาวสำหรับฝึกยุทธคนหนึ่งมาอยู่ด้วยตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ และกำลังพูดกับผู้นำอาวุโสที่อยู่ในวิดีโอ
“คุณเป็นใคร…คนที่เพิ่งจะเข้าไปในฐานทัพนั่นน่ะหรือ?”
ในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของฐานทัพแห่งนี้ เขาจึงรู้เรื่องที่เยี่ยเทียนเข้าไปในฐานทัพ แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือ ชายหนุ่มคนนี้ก็ลงไปที่ฐานทัพใต้ดินด้วย
“หรือว่า…หลุมนั่น?”
ความคิดที่แสนจะพิลึกพิลั่นอย่างหนึ่งพลันผุดขึ้นมาในสมองของผู้บัญชาการ แต่แล้วก็ถูกตัวเขาเองลบล้างไปทันที ก็นั่น…นั่นมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลยนี่นา
“ผู้บัญชาการโจว ส่งคุณเยี่ยลงมาเถอะ!”
โดยไม่รอให้ผู้บัญชาการคิดมากอีก ผู้นำอาวุโสก็ออกคำสั่งผ่านวิดีโอมา ผู้บัญชาการโจวจึงรีบตอบรับ แล้วกรอกรหัสอันซับซ้อนชุดหนึ่งที่แผงควบคุม จากนั้นระบบจ่ายไฟใต้ดินก็กลับสู่สภาพเดิม
“ค…คุณเยี่ย เชิญทางนี้ครับ!”
ตอนที่เยี่ยเทียนลงไปถึงใต้ดินอีกครั้ง ผู้ที่มารับเขาก็ยังคงเป็นฉางเฮ่า ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งวังหลวงคนนั้นเหมือนเดิม แต่ยามนี้เขามีสีหน้าซีดเผือดผิดธรรมดา เวลามองมาที่เยี่ยเทียน ความมั่นใจที่เคยปรากฏในแววตาก็ไม่เหลือให้เห็นอีก แทนที่ด้วยความพรั่นพรึงที่ไม่อาจสลัดให้หลุดไปได้
กิริยาท่าทางของฉางเฮ่าก็ถือว่าไม่เลวแล้ว กลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ตามมากับเขานั้น ต่างก็กุมมือขวาไว้บนด้ามปืนแน่น สงสัยแค่เยี่ยเทียนไอเสียงดังขึ้นมาทีหนึ่ง ก็คงจะไปกระตุ้นการตอบสนองอัตโนมัติของคนพวกนี้จนปืนลั่นขึ้นมาแล้ว ถึงพวกเขาจะรู้อยู่ว่า ของพรรค์นี้นำมาใช้กับเยี่ยเทียนก็ไร้ประโยชน์ แต่ก็พอจะทำให้ตัวเองรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาได้บ้าง
คนเหล่านี้ต่างก็เคยเห็นเยี่ยเทียนทะลุชั้นดินลึกหลายสิบเมตรนั้นด้วยตัวเปล่ากับตาตัวเองมาแล้ว เรื่องนี้ทำให้มุมมองที่พวกเขามีต่อวิชาฝีมือกลับตาลปัตรไปโดยสิ้นเชิง จึงส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจอย่างรุนแรง เยี่ยเทียนผู้มีรูปลักษณ์บอบบางนี้ ในสายตาของพวกเขาราวกับเป็นขุนเขาสูงตระหง่านที่ไม่อาจพิชิตได้ลูกหนึ่ง ซึ่งกดทับลงบนหัวใจของพวกเขาอย่างหนักหน่วง
“เหล่าฉาง ไปกันเถอะ!”
เยี่ยเทียนพึงพอใจต่อปฏิกิริยาของคนเหล่านี้มาก สาเหตุที่เขาต้องเล่นเสียใหญ่โตขนาดนี้ ก็เพราะต้องการที่จะข่มขวัญคนเหล่านี้เสียหน่อย ให้พวกนี้ได้รู้กันบ้างว่า ในโลกใบนี้ ยังมีพลังที่ตัวเองไม่รู้จักอยู่ด้วย และความแข็งแกร่งของพลังประเภทนี้ ก็ไม่ใช่ว่าอาศัยคนมากแล้วจะสามารถต้านทานได้
เมื่อเยี่ยเทียนกลับไปถึงห้องประชุมนั้น ใบหน้าก็มีรอยยิ้มออกมา เพราะเขารู้ว่า ตัวเองได้บรรลุเป้าหมายแล้ว แต่ละคนที่นั่งล้อมอยู่รอบโต๊ะกลมนั้นไม่ได้ขยับเขยื้อนร่างกายเลยแม้แต่นิดเดียว ใบหน้าที่พยายามฝืนให้ดูสุขุมเยือกเย็นนั้น ก็ยังปรากฏความแตกตื่นอยู่
แม้แต่ซ่งเฮ่าเทียนเอง ยามนี้ก็กำลังตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน เขารู้ว่าหลานชายของตนนั้นอาจจะร้ายกาจอยู่ แต่ก็ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า เยี่ยเทียนจะถึงกับสามารถทะลุผ่านชั้นดินหนาหลายสิบเมตรด้วยตัวเปล่าได้แบบนั้น นี่มันน่าตื่นตระหนกเกินไปแล้ว
นอกจากจะรู้สึกตื่นตระหนกแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนยังลอบร้องว่าดีในใจอีกด้วย เมื่อเยี่ยเทียนแสดงความสามารถออกมาเช่นนี้แล้ว คนที่อยู่ในที่นี้ก็จะไม่มีใครกล้าคิดทำร้ายเขาเด็ดขาด ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังก็ตาม อันหลักการที่ว่า ตีงูไม่ตาย กลับกลายเป็นภัยถึงตัวนั้น เชื่อว่าคนเหล่านี้คงเข้าใจกันดี
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเข้ามา เยวี่ยเหล่าก็โบกมือแล้วพูดขึ้นว่า
“เสี่ยวฉาง พวกคุณออกไปเถอะนะ!”
“ท่านผู้นำ นี่…”
ฉางเฮ่ามองไปทางเยี่ยเทียน ถ้าปล่อยบุคคลอันตรายแบบนี้ไว้ในห้อง ก็จะดูเหมือนว่าเขาบกพร่องต่อหน้าที่อีก
“ออกไปเถอะ ถ้าคุณเยี่ยประสงค์ร้ายต่อพวกเรา พวกคุณก็คงจะหยุดยั้งไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ”
เยวี่ยเหล่ายิ้มเยาะตัวเอง หลังจากที่เยี่ยเทียนแสดงฝีมือออกมาแล้ว พวกเขาถึงเพิ่งจะตระหนักว่า อำนาจเบ็ดเสร็จที่พวกตนเคยพึ่งพาในอดีตนั้น เมื่อมาอยู่ต่อหน้าพลังอันไร้เทียมทานเช่นนี้แล้ว ก็กลับกลายเป็นไร้พิษสงดั่งเสือกระดาษ
การที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้นั้นเป็นความรู้สึกที่ย่ำแย่อย่างยิ่ง จนพวกเขาถึงขั้นเกิดความคิดที่จะกำจัดเยี่ยเทียนโดยการทำลายกายเนื้อของเขาเสีย แต่หลังจากที่พิจารณาดูหลายหน พวกเขาก็ต้องเศร้าใจเมื่อตระหนักว่า ไม่มีวิธีการใดเลยที่จะสามารถจัดการกับชายหนุ่มผู้นี้ได้
และหากปฏิบัติการกำจัดเยี่ยเทียนล้มเหลวขึ้นมา พวกเขาก็จะต้องประสบกับหายนะอย่างร้ายแรง แม้จะหลบซ่อนอยู่ในฐานทัพใต้ดินซึ่งสามารถป้องกันอาวุธนิวเคลียร์ได้แห่งนี้ พวกเขาก็คงหนีการล่าสังหารของเยี่ยเทียนไม่พ้นอยู่ดี การกระทำของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ได้ยืนยันในจุดนี้อย่างชัดเจนแล้ว
“ฮ่ะๆ ผมอาจจะทำเลยเถิดไปหน่อย ในเมื่อทุกท่านอยากจะรู้เกี่ยวกับความสามารถของพวกผู้บำเพ็ญพรต ผมก็เลยได้แต่สาธิตให้ชมกันเล็กน้อย คงไม่ได้ทำให้ทุกท่านตกอกตกใจกันใช่ไหมครับ?”
หลังจากรอจนพวกฉางเฮ่าถอยออกไปแล้ว เยี่ยเทียนก็หัวเราะฮ่าๆ เก็บงำพลังปราณบนร่างทั้งหมดไว้ แต่ต่อให้ตอนนี้เขาดูเหมือนเด็กผู้ชายข้างบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่ง พวกคนใหญ่คนโตเหล่านี้ก็คงจะไม่กล้าแสดงกิริยายกตนข่มท่านอีกแล้ว
“ที่ไหนกันล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณเยี่ย ผู้เฒ่าผู้แก่อย่างพวกเราก็คงจะยังเป็นกบในกะลาครอบกันอยู่เลย”
เยวี่ยเหล่าได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเฝื่อนๆ ออกมา แบบนี้ยังเรียกว่า ‘สาธิตเล็กน้อย’ อีก? อย่างนั้นถ้าเยี่ยเทียนทุ่มพลังทั้งหมดละก็ มิทำให้ฐานทัพแห่งนี้ถล่มราบไปเลยหรือ?
แม้จะรู้ว่า คำพูดของเยี่ยเทียนนั้นออกจะเกินจริงอยู่บ้าง แต่ความสามารถที่เยี่ยเทียนได้แสดงออกมานั้น ก็ทำให้ผู้สูงวัยเหล่านี้ต่างรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาแล้ว แม้แต่นายพลจ้าวคนนั้นก็ยังนั่งหน้าขรึมไม่พูดจาอยู่ด้านข้าง
“เยวี่ยเหล่าชมเกินไปแล้ว ยาวิเศษที่ผมตกลงไว้นั้น ผ่านไปอีกสักระยะหนึ่งจะฝากท่านผู้เฒ่านำมาส่งมอบให้ทุกท่านนะครับ…”
เยี่ยเทียนยิ้มแย้ม ถึงวาจาที่กล่าวออกมาจะฟังดูเหมือนอ่อนน้อมยอมรับบัญชา แต่สิ่งที่ไม่ได้กล่าวออกมานั้นทุกคนต่างเข้าใจดี นั่นก็คือ ยาวิเศษนั้นผมจะนำมาให้ แต่พวกคุณก็ต้องรู้จักยั้งใจบ้าง อย่าได้เอ่ยถึงความต้องการที่ไร้สาระแบบนี้ขึ้นมาอีก
นี่ทำให้ทุกคนออกจะรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่มีชั้นเชิงลึกซึ้ง จึงไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า มีเพียงนายพลจ้าวที่ถึงอย่างไรก็ยังคงมีนิสัยอย่างทหาร หลังจากทนจนสุดจะทนแล้ว ในที่สุดก็ลุกขึ้นมา และถามว่า
“ค…คุณเยี่ย คุณมีความสามารถขนาดนี้ แล้วทำไมถึงมาทำงานให้รัฐไม่ได้ล่ะ?”
“การบำเพ็ญพรตนั้นเดิมทีก็เป็นการกระทำที่ฝืนต่อลิขิตฟ้าอยู่แล้ว คุณว่าตั้งแต่ปรมาจารย์เฉินถวนไปจนถึงท่านนักพรตซันเฟิง มีผู้บำเพ็ญสักกี่คนล่ะที่เข้าไปอยู่ในวังหลวง?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วพูดต่อไปว่า
“ผู้บำเพ็ญพรตนั้นก็ไม่ได้มีแค่คนเดียว ตั้งแต่สมัยสงครามฝิ่นไปจนถึงตอนที่กองทัพพันธมิตรแปดชาติรุกรานจีน พวกคุณเคยเห็นใครเสนอตัวออกมาเกี่ยวข้องด้วยไหมล่ะ?”
ตอนที่ 866 ประนีประนอม
หลังจากฟังคำพูดของเยี่ยเทียน เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ในที่นั้นต่างก็มีสีหน้าครุ่นคิด เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนประเทศชาติกำลังตกต่ำ ถูกเหยียดหยามรังแกสารพัด แต่จากคำบอกเล่าของเยี่ยเทียน ในสมัยนั้นก็น่าจะมีบุคคลที่แข็งแกร่งพอๆ กับเขาอยู่เหมือนกัน แล้วทำไมคนเหล่านั้นถึงไม่ออกมาช่วยกอบกู้ประเทศชาติที่กำลังตกอยู่ในวิกฤตล่ะ?
“แล้วตกลงเป็นเพราะอะไรกันแน่?”
นายพลจ้าวเงยหน้าขึ้นมา ในฐานะทหารผู้หนึ่ง เขาย่อมจดจำประวัติศาสตร์ช่วงนี้ไว้ในใจได้อย่างฝังแน่น ไม่กล้าลืมเลือนไปแม้แต่ชั่วขณะเดียว
“ในสายตาของพวกเรา การสู้รบระหว่างประเทศหนึ่งกับอีกประเทศหนึ่งนั้น ก็เป็นเพียงเรื่องตลกฉากหนึ่งเท่านั้นเอง”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ในทางเต๋ามีคำกล่าวว่า ‘ฟ้าดินไร้ลำเอียง ทุกชีวิตเฉกเช่นสุนัขฟาง’ หมายถึงฟ้าดินมีเมตตาค้ำจุนทุกชีวิตบนโลกอย่างเท่าเทียมกัน มิได้เลือกที่รักมักที่ชังต่อชีวิตใดเป็นพิเศษ ผู้บำเพ็ญพรตส่วนมากยึดถือตามหลักของเล่าจื๊อ จึงวางเฉยต่อการต่อสู้รบราทั้งมวลในโลก
ยิ่งไปกว่านั้น หากก่อกรรมฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไว้มาก เมื่อถึงยามที่ต้องผ่านภัยอัศนีสวรรค์ก็อาจจะทำให้มารในใจถูกชักนำออกมา มารในใจนั้นบางครั้งยังอันตรายยิ่งกว่าอัสนีสวรรค์เสียอีก การที่ผู้บำเพ็ญพรตเหล่านั้นไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ในบางกรณีก็อาจจะมาจากสาเหตุข้อนี้นี่เอง
แน่นอนว่า ก็มีคนบางกลุ่มที่พลังฝีมือไม่ได้สูงส่งนักไปเข้าร่วมการต่อสู้ โดยได้ปะทะกับผู้มีพลังพิเศษบางกลุ่มจากทางตะวันตกด้วยเช่นกัน นี่จึงเป็นสาเหตุที่บรรดาผู้นำอาวุโสเหล่านี้พอจะมีความรู้เกี่ยวกับผู้บำเพ็ญพรตอยู่บ้าง แต่สิ่งที่พวกเขารู้ก็เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น
“คุณเยี่ย อย่างนั้นคุณพอจะช่วยก่อตั้งองค์กรบุคคลผู้มีพลังพิเศษให้แก่ประเทศเรา และคอยให้คำชี้แนะบ้างได้ไหมล่ะ?”
นายพลจ้าวไม่ได้มีท่าทีเบ่งอำนาจเหมือนอย่างเดิมแล้ว เพราะเขารู้ว่า เมื่อมาอยู่ต่อหน้าชายหนุ่มคนนี้แล้ว ตนไม่มีต้นทุนอะไรที่จะนำมาโอ้อวดได้เลย ถ้าเขายังจะอ้างถึงกองทัพนับล้านอีก จะทำให้ตัวเองกลายเป็นที่น่าดูหมิ่นเสียมากกว่า
“การบำเพ็ญพรตไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จกันได้ง่ายๆ จำนวนของผู้มีพลังพิเศษก็มีอยู่เป็นสัดส่วนน้อยยิ่งกว่าน้อย และหลักวิชาที่คนเหล่านี้ใช้ฝึกฝนกันก็แตกต่างจากของผม ผมคงให้คำชี้แนะอะไรกับคนเหล่านี้ไม่ได้หรอกครับ!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ไม่ใช่ว่าเขาเห็นแก่ตัว แต่กล่าวตามตรงคือ การที่เขาสามารถมีพลังในระดับปัจจุบันนี้ได้นั้น แม้จะมีเหตุบังเอิญมากมายมาช่วยส่งเสริม แต่ก็ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกว่าจะฝึกฝนมาได้อย่างยากลำบาก ส่วนผู้มีพลังพิเศษนั้นกลับได้ครอบครองพลังอันแข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิด เรียกได้ว่าเป็นลูกรักของพระเจ้า นับว่าเดินทางคนละสายกันกับเยี่ยเทียน
อย่างแม่สาวน้อยเจียงซานคนนั้น ในด้านศาสตร์การเสี่ยงทาย เธอก็ถือว่ามีพรสวรรค์อย่างหาที่เปรียบมิได้ แม้แต่เยี่ยเทียนเองก็ยังต้องยอมให้ แต่ในทำนองเดียวกัน พัฒนาการในด้านการบำเพ็ญพรตของเจียงซานก็ไม่อาจจะเทียบชั้นกับเยี่ยเทียนได้เช่นกัน กระทั่งยังด้อยกว่าโจวเซี่ยวเทียนอีกมาก
จากจุดนี้สามารถอธิบายได้ว่า ผู้มีพลังพิเศษและผู้บำเพ็ญพรตมีความแตกต่างกันอย่างมากในด้านคุณสมบัติเนื้อแท้
แน่นอนว่า ถ้าเยี่ยเทียนลงแรงศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังแล้ว ก็อาจจะค้นพบวิธีการพัฒนาความสามารถของผู้มีพลังพิเศษได้บ้าง เพียงแต่ว่า ขนาดภาระใหญ่ของสำนักตัวเองเขายังคร้านจะไปยุ่งเลย แล้วจะมีแก่ใจที่ไหนไปนำเชือกอีกเส้นหนึ่งมาพันธนาการตัวเองไว้? จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะปฏิเสธคำขอของนายพลจ้าว
“คุณเยี่ย…”
“นายพลจ้าว ไม่ต้องพูดอีกแล้วละ เรื่องที่ผมตัดสินใจไปแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเพราะเหตุผลจากภายนอกหรอกนะ”
เมื่อเห็นว่านายพลจ้าวยังจะพูดอีก เยี่ยเทียนจึงโบกมือขึ้นปราม
“ความแข็งแกร่งและรุ่งเรืองของประเทศหนึ่งๆ นั้น ต้องวิเคราะห์กันที่ด้านการทหารและด้านเศรษฐกิจ ไม่ใช่ว่าจัดทีมยอดมนุษย์ขึ้นมาหนึ่งทีมแล้วก็จะสยบผู้อื่นได้ทั่วหล้า อีกอย่างคนพวกนี้ก็ร่างกายเปราะบาง อาวุธสมัยใหม่สามารถต่อกรได้อยู่แล้ว พวกคุณไม่ต้องกังวลไปหรอก”
กล่าวถึงผู้มีพลังพิเศษ เคานต์ที่ชื่อว่าเคิร์ทอะไรนั่นที่เยี่ยเทียนเคยเจอที่ไซบีเรียก็ถือว่าเป็นผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่งเช่นกัน แต่เขาพัฒนาพลังนั้นโดยอาศัยการดูดรับปราณวิเศษจากโลหิตของมนุษย์ พลังปราณชีวิตตามธรรมชาติที่ดีๆ ก็มีอยู่ ดันไม่รับมาใช้ ในความคิดของเยี่ยเทียน วิธีการเช่นนี้ทั้งโหดเหี้ยมทั้งโง่เขลา ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงไม่ได้ให้ความสำคัญแก่พวกผู้มีพลังพิเศษเท่าไรนัก
“เหล่าจ้าว ไม่ต้องพูดแล้วละ”
เยวี่ยเหล่ารู้นิสัยของนายพลจ้าว กลัวว่าเขาจะโต้เถียงกับเยี่ยเทียนอย่างไม่จบไม่สิ้น จึงเอ่ยขึ้นเพื่อตัดบทสนทนาของทั้งคู่
“คุณเยี่ย กล่าวจากมุมมองของสาธารณะแล้ว คุณก็เป็นลูกหลานชาวจีนคนหนึ่ง และหากว่ากันในมุมมองส่วนตัว คุณก็เป็นหลานชายของซ่งเหล่า ผมไม่กล้าเสนอคำขออะไรกับคุณ แต่หวังว่าหากวันหนึ่งข้างหน้าประเทศชาติต้องการคุณแล้วละก็ คุณจะสามารถทำตามหน้าที่ในฐานะพลเมืองคนหนึ่งได้!”
“ใช้คุณธรรมมากดดันผมงั้นรึ?”
เยี่ยเทียนได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา คิดดูครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า
“ได้ เรื่องนี้ผมตกลง แต่ผมก็หวังว่า ครอบครัวและมิตรสหายของผมจะสามารถมีชีวิตอย่างสงบสุขปลอดภัย เงื่อนไขนี้คงไม่ได้มากเกินไปใช่ไหมครับ?”
ตอนที่รับปากซ่งเฮ่าเทียนว่าจะมาที่นี่ จริงๆ แล้วในใจเยี่ยเทียนก็มีความคิดที่จะมาประนีประนอมอยู่เหมือนกัน จริงอยู่ว่า เขาสามารถเรียกอัสนีสวรรค์จินตัน เปิดช่องว่างออกจากมิตินี้ไปได้อยู่แล้ว แต่เรื่องที่ว่าหนึ่งคนบรรลุมรรค ไก่และสุนัขได้พึ่งบุญขึ้นสวรรค์นั้น ในปัจจุบันนี้ดูท่าทางไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะคนในครอบครัวของเยี่ยเทียนก็ยังคงต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่อไป
ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงไม่อยากจะตัดสินเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดเกินไป ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่เทพเซียน ถ้าเกิดคนในครอบครัวเกิดเหตุสุดวิสัยอะไรขึ้นมา ถึงเยี่ยเทียนจะนึกเสียใจก็คงสายไปแล้ว ไม่สู้ให้รัฐติดค้างน้ำใจเขาสักครั้งหนึ่ง คาดว่าคนเหล่านี้ก็น่าจะเข้าใจดีว่าควรปฏิบัติอย่างไร
“ไม่มากเกินไปอยู่แล้วละ คุณเยี่ย วางใจเถอะนะ เรื่องแค่นี้รัฐทำได้แน่นอน!”
เยวี่ยเหล่าสบตากับคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้าง แล้วตอบตกลงทันที สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ได้กลัวว่าเยี่ยเทียนจะมีข้อเรียกร้องอะไร แต่กลัวว่าเขาจะไม่ต้องการอะไรเลยเสียมากกว่า ภาษิตว่า ผู้ไร้กิเลสย่อมไม่ร้องขอสิ่งใด ถ้าเยี่ยเทียนไม่ต้องการอะไรเลยจริงๆ อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่รู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไรดี
“ตกลง มีคำพูดประโยคนี้ของท่านก็พอแล้วละครับ ทุกท่านต่างเป็นผู้ที่มีภาระหน้าที่มากมาย ผมก็จะไม่รบกวนต่อไปแล้ว…”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วหันไปพูดกับซ่งเฮ่าเทียน “ท่านผู้เฒ่า จะกลับไปพร้อมกับผมไหมครับ?”
“ที่นี่ฉันก็ไม่มีธุระอะไรแล้ว ไปพร้อมกับแกเลยก็แล้วกัน”
ซ่งเฮ่าเทียนได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นมา เขาถอนตัวออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยของกลุ่มผู้วางยุทธศาสตร์สูงสุดไปแล้ว เพียงแต่เพราะเยี่ยเทียนเป็นต้นเหตุจึงได้มาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนี้อีก ตอนนี้เมื่อเยี่ยเทียนเจรจากับคนเหล่านี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็ไม่จำเป็นต้องอยู่เป็นคนกลางอีก
“อย่างนั้นก็ได้ ฉางเฮ่า!”
เยวี่ยเหล่าก็ไม่ได้รั้งแขกไว้ เรียกฉางเฮ่าเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ฉางเฮ่า ส่งคุณเยี่ยกับซ่งเหล่ากลับไปทีนะ ระหว่างทางก็ขับรถระวังๆ หน่อยล่ะ!”
“ครับ ท่านผู้นำ!”
เมื่อได้ยินคำสั่งของเยวี่ยเหล่า ฉางเฮ่าก็อดผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอกไม่ได้ ในที่สุดก็ได้ส่งเจ้าปีศาจนี่กลับไปเสียที ช่วงเวลาที่เยี่ยเทียนอยู่ในห้องนั้น สำหรับฉางเฮ่าและบรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแล้ว ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ทรมานอย่างแสนสาหัสเลยทีเดียว
คราวนี้หลังจากขึ้นไปนั่งบนรถแล้ว ฉางเฮ่าก็ไม่กล้าเล่นชั้นเชิงอะไรอีก จึงลดฉากกั้นระหว่างที่นั่งตอนหน้าและตอนหลังลงอย่างใจกว้างผ่าเผย แต่เยี่ยเทียนกลับไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจนี้เลย ตรงกันข้ามกลับให้ฉางเฮ่าปิดฉากกั้นกลับขึ้นมาอีก ขณะเดียวกันก็ดีดนิ้วกลางมือขวา ทำลายเครื่องดักฟังเล็กๆ เครื่องหนึ่งที่อยู่หลังรถไปทันที
“ท่านผู้เฒ่า คนพวกนั้นคงจะไม่ทำอะไรไร้เหตุผลใช่ไหมครับ?”
สาเหตุที่เยี่ยเทียนลากซ่งเฮ่าเทียนมาด้วยกันก็เพราะอยากจะฟังดูว่า ซ่งเฮ่าเทียนจะวิเคราะห์เรื่องนี้อย่างไร ถึงเยี่ยเทียนจะนับว่ามีความรู้และประสบการณ์กว้างขวาง แต่ส่วนมากก็คลุกคลีอยู่ในหมู่ไพร่ฟ้าประชาชน ประสบการณ์ในเรื่องระดับประเทศเช่นนี้จึงยังน้อยกว่าพวกจิ้งจอกเฒ่าเหล่านั้นมากนัก
และเยี่ยเทียนยังรู้ว่า ด้านนอกห้องประชุมห้องนั้น มีอุปกรณ์เทคโนโลยีสูงมากมายที่ได้สแกนตรวจร่างกายของเขาไป แต่ของพวกนี้นำมาใช้กับเยี่ยเทียนก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เขาจึงคร้านที่จะเอ่ยถึง
“ไม่หรอก พลังที่แกแสดงออกมาน่ะ ได้ทำลายเกราะป้องกันทางจิตวิทยาของพวกนั้นไปแล้วละ”
ที่จริงแล้วคนระดับซ่งเฮ่าเทียนนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถกระทำทุกสิ่งตามใจปรารถนาได้อย่างที่ผู้คนคาดคิดกัน ในปรัชญาการเข้าสังคมของคนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นงานระหว่างประเทศหรือในประเทศ โดยปกติก็มักจะยึดการรักษาสมดุลและการประนีประนอมเป็นหลัก น้อยนักที่จะเกิดเหตุการณ์สุดโต่งขึ้น
อย่างเยี่ยเทียนก็เช่นกัน เขาอยู่เกินกว่าขอบเขตที่คนเหล่านี้จะสามารถควบคุมได้แล้ว พวกเขาย่อมไม่อยากเสี่ยงรับอันตรายที่จะเกิดขึ้นหากไปล่วงเกินเยี่ยเทียนเข้า และไม่ทำเรื่องที่อาจสร้างความเสียหายแก่ผลประโยชน์ของพวกตน ต่อให้มีคนคิดอยากใช้อุบายอะไร ก็จะถูกคนหมู่มากคัดค้านไปอยู่ดี
“คนพวกนั้นน่ะฉลาดจะตายไป คงไม่มายุ่งกับแกหรอก เรื่องนี้แกไม่จำเป็นต้องห่วงเลย”
ซ่งเฮ่าเทียนส่ายหน้า จากนั้นก็มองดูเยี่ยเทียนอย่างพินิจพิเคราะห์ราวกับคนไม่รู้จักกัน
“ตกลงแกกลายเป็นเซียนไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม? ชั้นดินที่ฐานทัพนั่นขนาดหัวรบนิวเคลียร์ยิงมาก็ยังป้องกันได้เลยนะ แกทำให้มันทะลุแบบนั้นได้ยังไงกัน?”
ภายในห้องประชุมเมื่อครู่ ทุกคนล้วนเห็นพ้องกันโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาว่า พวกเขาจะไม่ซักถามเยี่ยเทียนในเรื่องนี้ แต่ยามนี้ซ่งเฮ่าเทียนไม่อาจข่มกลั้นความอยากรู้อยากเห็นไว้ในใจได้อีก จึงเอ่ยถามขึ้นมา
“ท่านผู้เฒ่าครับ เคยอ่าน ‘ตำนานมือกระบี่ซู่ซาน’ ไหม?”
เยี่ยเทียนยิ้ม แล้วอ้าปากพ่นมีดบินเล็กๆ ดูประณีตนั้นออกมา
“เจ้านี่น่ะคือมีดบินคู่กายของผมเอง แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ถึงฐานทัพนั่นจะก่อด้วยกำแพงทองแดงผนังเหล็ก ผมก็เข้าออกได้อย่างสบายๆ อยู่แล้ว”
ความเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันของเยี่ยเทียนทำเอาซ่งเฮ่าเทียนสะดุ้งโหยง เขารู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากมีดสั้นอันแสนประณีตนั้น ปากพึมพำว่า
“ในโลกนี้มีเซียนอยู่จริงๆ หรือนี่? ถ้ารู้อย่างนี้ ตอนนั้นฉันเชื่อศิษย์พี่ใหญ่ของแก หนีเข้าสำนักเต๋าด้วยก็ดีสิ!”
“เอาเถอะครับ ท่านผู้เฒ่าคงรับความลำบากแบบนั้นไม่ไหวหรอก!”
เยี่ยเทียนไม่ได้ไว้หน้าซ่งเฮ่าเทียนเลยสักนิด เขารู้ว่า ท่านผู้เฒ่าคนนี้สมัยหนุ่มๆ เสเพลขนาดไหน เรียกได้ว่าเป็นเจ้าพ่อคนหนึ่งของเซี่ยงไฮ้ได้เลยทีเดียว ถ้าท่านไปเข้าสำนักจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อลวงลักพาแม่ชีในนั้นหนีไปหลายคนเลยก็ได้
เมื่อเห็นซ่งเฮ่าเทียนมีสีหน้าขัดเขิน เยี่ยเทียนก็หัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมาดังลั่น
“ท่านผู้เฒ่าครับ ไว้ผมจะให้ศิษย์พี่ใหญ่ส่งยาวิเศษมาให้ ท่านผู้เฒ่าช่วยนำไปส่งมอบให้ผมหน่อยก็แล้วกันนะครับ แล้วบอกพวกนั้นว่าถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็อย่ามาหาผมอีก!”
…………
หลังจากที่เยี่ยเทียนและซ่งเฮ่าเทียนออกไปได้ประมาณห้าหกนาที เยวี่ยเหล่าก็กดปุ่มปุ่มหนึ่ง ผนังด้านซ้ายของห้องประชุมเลื่อนเปิดออกจากกันเป็นสองฝั่งอย่างไร้สุ้มเสียง เผยให้เห็นประตูใหญ่บานหนึ่ง ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบกว่าปี นุ่งเสื้อคลุมยาวแบบจีนสีขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากในนั้น
ทุกคนในห้องประชุมไม่ได้ดูประหลาดใจกันเลย เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนต่างก็รู้สถานะเกี่ยวกับคนผู้นี้อยู่ก่อนแล้ว อู๋เหล่าเอ่ยถามขึ้นว่า
“ดอกเตอร์เจิ้ง คุณจัดเก็บข้อมูลพวกนั้นไปถึงไหนแล้วล่ะ?”
“ผู้นำอาวุโสทุกท่าน ตั้งแต่คนผู้นั้นเข้ามา เราก็ได้ปฏิบัติการสแกนตรวจร่างกายของเขาในทุกด้านแล้ว แต่บนร่างของเขาเหมือนจะมีคลื่นพลังบางอย่างซึ่งรบกวนอุปกรณ์ของเราจนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ผมเสียใจอย่างยิ่งที่ต้องบอกว่า เราไม่ได้ความคืบหน้าใดๆ เลยครับ!”
ดอกเตอร์เจิ้งฝืนยิ้ม เขาเป็นบุคลากรอันดับหนึ่งในด้านการวิจัยพันธุศาสตร์ในประเทศ เดิมทีตั้งใจว่าจะใช้วิธีสแกนดูร่างกายของเยี่ยเทียน เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของยีนมาบ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึงเลยว่า เยี่ยเทียนผู้ซึ่งมีกายทองอันไร้ที่ตินั้น จะไม่ทิ้งอะไรไว้ให้เขาเลยแม้แต่เส้นผมสักเส้นเดียว
ตอนที่ 867 ตัวยา
“เหล่าจ้าว คุณคิดว่ายังไง?”
หลังจากรอจนดอกเตอร์เจิ้งออกไปแล้ว เยวี่ยเหล่าก็มองไปที่นายพลจ้าว กล่าวตามตรง วันนี้หลังจากถูกไอ้หนุ่มเมื่อวานซืนอย่างเยี่ยเทียนก่อกวนมายกหนึ่ง ทุกคนก็ออกจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่ เพราะดำรงตำแหน่งสูงมานาน พวกเขาจึงได้รับการยกยอชูเชิดจนเคยชินไปแล้ว
“หมดหนทางแล้วละ อาวุธปืนธรรมดาทำอะไรมันไม่ได้เลยนี่”
นายพลจ้าวส่ายหน้า แม้ว่าก่อนหน้านี้กิริยาของเขาจะดูวู่วามไปบ้าง แต่ผู้ที่สามารถมานั่งถึงตำแหน่งนี้ได้นั้นย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว นายพลจ้าวในตอนนี้ดูราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ เขาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า
“นอกเสียจากว่าจะสละชีพของชาวเมืองสักเมืองหนึ่งไปพร้อมกับมันด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่แน่เหมือนกันว่าจะกำจัดมันได้จริงรึเปล่า!”
“อะไรนะ?!”
คำพูดของนายพลจ้าวทำให้ทุกคนที่นั่นต่างสูดลมหายใจเย็นเยียบพร้อมๆ กัน การสละเมืองไปหนึ่งเมืองนั้น เป็นราคาแลกเปลี่ยนที่สูงเกินไปจริงๆ แม้แต่พวกเขาเองก็ไม่อาจจะยอมรับได้เช่นกัน
เมืองขนาดเล็กแห่งหนึ่งในประเทศจีนนั้น ก็เท่ากับประชากรจำนวนหลายสิบล้านคนแล้ว การที่จะทำเช่นนั้นจึงเป็นเรื่องที่โหดเหี้ยมเกินไปจริงๆ พวกเขาไม่มีที่จะทางเลือกใช้วิธีเผาหยกพร้อมกับหินแบบนี้แน่ นอกเสียจากว่าทุกคนจะเป็นบ้าไปพร้อมกันทั้งหมู่คณะ
“เอาละ เรื่องนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ผมหวังว่าทุกท่านจะสามารถควบคุมคนของตัวเองได้ ไม่ว่าใครก็ห้ามไปยั่วยุเยี่ยเทียน”
เยวี่ยเหล่ารู้ว่า แต่ละคนที่อยู่ในห้องประชุมขณะนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นตัวแทนของพลังอำนาจอันมหาศาล ถึงพวกเขาจะเข้าใจความน่าสะพรึงกลัวของเยี่ยเทียน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาจะรู้ด้วย นี่ก็เป็นอย่างคำกล่าวที่ว่า เจรจากับยมราชง่ายกว่าไปต่อรองกับพวกผีเล็กปีศาจน้อยนั่นเอง
เยวี่ยเหล่าคิดดูครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อ
“อีกอย่าง ให้ส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษไปสักหนึ่งทีม ต้องรับรองความปลอดภัยของบ้านตระกูลเยี่ยให้ได้”
หลังจากได้เห็นการสาธิตแสดงพลังอันแข็งแกร่ง เยวี่ยเหล่าก็รู้ว่า ยาวิเศษของเยี่ยเทียนไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาอย่างง่ายดาย เพราะหากครอบครัวของเยี่ยเทียนเกิดประสบเหตุอะไรขึ้นมา อย่างนั้นผู้ที่จะต้องเป็นคนรองรับเพลิงโทสะก็คงหนีไม่พ้นพวกเขาเหล่านี้
“วางใจเถอะครับท่าน พวกเรารู้ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงขนาดไหน!”
ทุกคนในห้องประชุมต่างตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า จะต้องกลับไปเตือนลูกหลานที่บ้านว่าอย่าได้ไปตอแยหาเรื่องเยี่ยเทียนเป็นอันขาด ในใจพวกเขารู้ดีว่า ชายหนุ่มผู้มีใบหน้ายิ้มแย้ม ดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัยคนนี้ เป็นบุคคลที่สามารถตัดสินใจลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมอำมหิต ลำพังแค่เหตุการณ์ที่พม่า เขาก็เก็บคนญี่ปุ่นไปเป็นร้อยคนแล้ว
ถ้าลูกหลานในบ้านคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ ไปยั่วยุเยี่ยเทียนเข้า ต่อให้ถูกเยี่ยเทียนเก็บไป พวกเขาก็ไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้ เหมือนดังที่กล่าวกันว่า จอมยุทธใช้กำลังเป็นเครื่องตัดสินนั่นเอง
เมื่อคนเราก้าวขึ้นไปมีตำแหน่งสูงระดับผู้ปกครองประเทศแล้ว ก็มักจะเกิดปัญหาต่างๆ ตามกันมาเป็นชุด ยังดีที่ตอนนี้ตัวปัญหามีเพียงเยี่ยเทียนคนเดียว ไม่เช่นนั้น ต่อให้ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียที่ใหญ่โตกว่านี้ พวกเขาก็จะต้องคิดหาวิธีที่จะชักจูงคนเหล่านี้มาเข้าร่วม หรือไม่ก็กำจัดทิ้งไปเสียให้ได้
…………
หลังจากที่เดินทางกลับมาจากซีซานแล้ว เยี่ยเทียนพบว่า กล้องวงจรปิดหลายสิบตัวที่เคยติดตั้งไว้รอบนอกเรือนสี่ประสานของเขานั้นถูกรื้อถอนไปหมดแล้ว แต่ครอบครัวที่อยู่ตรงปากซอยนั้นกลับไม่ได้ย้ายออกไป ตรงกันข้าม ยังมีคนเช่าหนุ่มๆ ย้ายเข้าไปอยู่เพิ่มอีกหลายคนด้วย
แต่เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก เขารู้สึกได้ว่า จุดประสงค์ของคนเหล่านี้เปลี่ยนจากมาเฝ้าสังเกตการณ์เป็นมาเฝ้าคุ้มกันแทนแล้ว ถึงอย่างไรพ่อแม่กับญาติๆ ของเขาก็ไม่ได้รู้สึกเอะใจอะไรในจุดนี้ เยี่ยเทียนจึงปล่อยพวกนั้นไป
หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ โก่วซินเจียและโจวเซี่ยวเทียนก็เดินทางจากฮ่องกงมาถึงปักกิ่ง เยี่ยเทียนจึงขับรถไปรับทั้งสองคนที่สนามบินและพากลับมาบ้าน
“ศิษย์น้องเล็ก ในนี้มียาวิเศษสิบหกเม็ดนะ เหมือนกับที่คุณตาของเธอกินไปนั่นละ”
พอเข้ามานั่งในเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียก็หยิบขวดยาที่ทำจากหยกขาวออกมาสองขวด ยาวิเศษที่ต้องใช้ตัวยาที่มีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีในการปรุงขึ้นมาเช่นนี้ จะมีปราณวิเศษจากธรรมชาติสะสมอยู่ภายใน มีเพียงขวดที่ทำจากหยกขาวเท่านั้น จึงจะสามารถรับประกันได้ว่าฤทธิ์ของยาจะไม่เสื่อมลงไป
โก่วซินเจียชี้ไปยังขวดหยกใบที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ แล้วบอกว่า
“ยาในขวดนี้ฤทธิ์อ่อนไปหน่อย แต่ก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้สูงอายุอยู่มากเหมือนกัน ให้พ่อแม่กับป้าๆ ของเธอไว้ใช้ก็แล้วกันนะ”
เยี่ยเทียนเปิดขวดออก เทยาวิเศษซึ่งมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวออกมาหนึ่งเม็ด แล้วยกขึ้นมาดมใกล้ๆ จมูก
“หืม? ในยานี่เพิ่มหวงฉิน (อึ่งงิ้ม) เหอโส่วอู (ห่อสิ่วโอว) กับโสมคนเข้าไป ใช้บำรุงร่างกายได้จริงๆ ด้วย”
“ตัวยาที่เธอให้มาคราวก่อนมีอายุมากพอสมควรเลย ไม่ว่าจะเอาไปทำแบบไหนก็ได้ยาวิเศษคุณภาพดีๆ มาทั้งนั้น”
หลังจากส่งขวดหยกทั้งสองให้เยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียก็ทำหน้าลำบากใจแล้วพูดขึ้นว่า
“ศิษย์น้องเล็ก ยาวิเศษพวกนี้ทุกๆ ครึ่งเดือนก็รับประทานเม็ดหนึ่ง ดูจากจำนวนคนในครอบครัวของเธอแล้วน่าจะมีพอใช้ไปประมาณหนึ่งปี เพราะฉะนั้นอีกหนึ่งปีให้หลัง เธอก็จะต้องคิดหาวิธีไปนำตัวยากลับมาอีกนะ”
ระหว่างที่ฝึกปราณอยู่ในทะเลนั้น โก่วซินเจียได้ปรุงยาวิเศษที่มีฤทธิ์เสริมสร้างพื้นฐานออกมาได้ไม่น้อยเลย และก็ใช้แต่ตัวยาที่ดีที่สุดทั้งนั้น หลังจากที่ปรุงยาอายุวัฒนะเหล่านี้ออกมาได้ ตัวยาที่เยี่ยเทียนนำมาให้จึงมีเหลืออยู่ไม่มากแล้ว
เยี่ยเทียนพยักหน้า
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหาเลยครับ ศิษย์พี่ใหญ่ยังไม่ต้องกลับไปฮ่องกงนะครับ เดี๋ยวอีกไม่กี่วันผมก็จะไปหามาเลย ถึงตอนนั้นศิษย์พี่ใหญ่จะได้พกตัวยากลับไปปรุงด้วย”
“ได้ ฉันอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันนั่นละ”
หลังจากที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียน โก่วซินเจียก็มีความรู้สึกว่า ในโลกนี้มีปราณวิเศษอยู่น้อยเสียจนน่าโมโหนัก ถ้าไม่ได้ใช้พลอยวิเศษในการฝึกปราณ ต่อให้เขานั่งสมาธิตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงทุกวัน พลังฝีมือก็คงจะยังไม่ก้าวหน้าไปถึงไหนอยู่ดี
“ศิษย์พี่ใหญ่ครับ พลอยวิเศษพวกนั้นเก็บสำรองไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือพวกพี่ก็แบ่งกันนำไปใช้ฝึกปราณคนละสามเม็ดเลย ไม่ต้องไปกระเบียดกระเสียนหรอกนะครับ”
พลอยวิเศษที่เยี่ยเทียนเก็บมาได้เหล่านั้น มีอยู่จำนวนมากที่มีคุณภาพถึงระดับกลาง อาศัยพลังฝีมือของพวกโก่วซินเจีย พลอยวิเศษเม็ดหนึ่งก็เพียงพอให้พวกเขาใช้ฝึกปราณไปได้หนึ่งปีแล้ว แน่นอนว่า พลอยวิเศษคุณภาพสูงที่มีอยู่เพียงสามเม็ดรวมถึงเบาะหัวใจไม้นั้นเยี่ยเทียนได้เก็บไปแล้ว เพราะถ้านำของเหล่านี้มาใช้ฝึกวิชาก็ดูจะเป็นการฟุ่มเฟือยเกินเหตุ
“ศิษย์พี่ใหญ่ พี่ปรุงยาวิเศษล้างไขกระดูกออกมาอีก แล้วให้เจียงซานกินบ้างเถอะนะครับ”
เยี่ยเทียนคิดๆ ดู แล้วก็ยกโทรศัพท์ที่ถืออยู่ขึ้นมา กดหมายเลขแล้วต่อสาย เมื่ออีกฝ่ายรับสายแล้วจึงพูดขึ้นว่า
“ท่านผู้เฒ่า ยาวิเศษนั่นมาถึงแล้วนะครับ รายการตัวยาที่ผมให้ไปคราวก่อน ท่านผู้เฒ่าจัดเตรียมไว้ได้กี่ชนิดแล้วครับ?”
ในเมื่อวันนั้นอู๋เหล่าเอ่ยปากแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องช่วยรัฐประหยัดอดออม จึงให้รายชื่อตัวยาแก่ซ่งเฮ่าเทียนฉบับหนึ่ง ตัวยาที่ระบุไว้ในนั้นเป็นสมุนไพรที่หาพบได้ทั่วไป แต่อายุของตัวยาที่ต้องการนั้น ถ้าแพทย์แผนจีนคนไหนมาเห็นเข้ามีหวังได้ช็อกตายกันเลยทีเดียว
“เย็นนี้ฉันจะเข้าไปที่บ้านแก ส่วนตัวยาน่ะ เดี๋ยวจะให้คนส่งไปให้”
เมื่อได้ยินว่าเยี่ยเทียนได้ยาวิเศษมาแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนเองก็รู้สึกโล่งอก สาเหตุที่เจรจากับคนเหล่านั้นได้ราบรื่นถึงเพียงนี้ อาจเป็นเพราะการแสดงพลังข่มขวัญของเยี่ยเทียนก็จริงอยู่ แต่สาเหตุที่สำคัญยิ่งกว่านั้นกลับเป็นยาอายุวัฒนะเหล่านี้นี่เอง หากจุดนี้เกิดปัญหาขึ้น แม้แต่ซ่งเฮ่าเทียนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทางนั้นจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง
“เรียบร้อยครับ เดี๋ยวพอตัวยาพวกนั้นส่งมาถึงแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ก็เอาไปใช้ก่อนเลยนะครับ”
เยี่ยเทียนวางสายโทรศัพท์ แล้วหันไปทางโก่วซินเจีย
“ศิษย์พี่ใหญ่ แล้วทางเหล่าถังเป็นยังไงบ้างครับ?”
หลังจากกลับมาจากมหาสมุทรอินเดีย พวกเยี่ยเทียนต่างก็รู้สึกได้พร้อมๆ กันว่า ถังเหวินหย่วนดูคล้ายว่าจะต้องเกิดเรื่อง จึงได้แบ่งกำลังคนแยกกันไปสองทาง ภายหลังเมื่อเยี่ยเทียนเสี่ยงทายดูก็พบว่า ถังเหวินหย่วนได้พลิกชะตาจากร้ายกลายเป็นดี เคราะห์กลายเป็นลาภ ตอนนี้จึงไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว
“อาจารย์ครับ มีคนไปสอดแนมที่บ้านพักของพวกเรา โดนผมเก็บไปหลายคนแล้ว ตอนนี้มีอาจารย์ลุงรองกับศิษย์น้องเหลยเฝ้าดูอยู่ น่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรแล้วละครับ”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ โจวเซี่ยวเทียนที่อยู่ด้านข้างก็แทบจะหลั่งเหงื่อเย็นเยียบไปทั่วร่าง ในคืนวันแรกที่พวกเขาเดินทางไปถึงฮ่องกง บ้านพักบนสันเขาของเยี่ยเทียนหลังนั้นก็ถูกโจมตี เคราะห์ดีที่พวกเขากลับไปถึงทันเวลา ไม่อย่างนั้นถังเหวินหย่วนก็คงยากที่จะพ้นเคราะห์ภัยครั้งนี้ไปได้
“เป็นฝีมือของใครกัน?”
เยี่ยเทียนได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว หลังจากประสบการณ์ที่ไซบีเรีย เขาเชื่อว่าชื่อของตัวเองคงจะกลายเป็นจุดสนใจของนานาประเทศไปแล้ว ถ้ามีคนอยากจะเข้าไปเก็บข้อมูลจากในบ้านพักของเขา เยี่ยเทียนก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร
โจวเซี่ยวเทียนส่ายหน้า
“เป็นพวกชาวต่างชาติน่ะครับ แต่บนตัวพวกนั้นไม่มีหลักฐานแสดงตัวตนอะไรสักอย่างเลย ก็เลยสืบค้นไม่ได้ แต่ว่า…ดูแล้วน่าจะเป็นพวกทหารมืออาชีพ”
ตอนนั้นพวกที่บุกเข้าไปในบ้านพักมีกันทั้งหมดสี่คน หลังจากที่ถูกพบเข้า พวกนั้นก็ไม่ได้แตกตื่นลนลาน คิดจะฝ่าออกไปโดยพึ่งพาอาวุธปืนที่มีอยู่ แต่ไม่ว่าอย่างไรคนเหล่านี้ก็คงจะนึกไม่ถึงว่า ในบ้านพักแห่งนั้นมียอดฝีมือระดับเซียนเทียนชุมนุมกันอยู่ถึงสามคน ไม่มีทางที่พวกเขาจะรอดกลับไปได้เลย
“เดี๋ยวแกเอารูปถ่ายของคนพวกนั้นมาให้ฉันทีนะ ฉันจะลองให้คนไปสืบดู”
เยี่ยเทียนเองก็จนปัญญากับเรื่องนี้ เขาสามารถข่มขวัญคนในประเทศได้ แต่กับอำนาจที่มาจากต่างประเทศนั้นเขากลับไม่มีหนทางเลย โดยเฉพาะประเทศทางทวีปยุโรปซึ่งมีผู้มีพลังพิเศษอยู่ อย่างดยุกอะไรนั่นที่เคิร์ทพูดถึง ก็คงจะเป็นบุคคลที่ตอแยด้วยยากคนหนึ่งเหมือนกัน
ระหว่างที่กำลังพูดอยู่ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ตัวยาที่ซ่งเฮ่าเทียนจัดแจงไว้ส่งมาถึงแล้ว
“ไว้อีกสักหลายๆ วันผมว่าจะไปเสินหนงเจี้ยสักเที่ยวหนึ่งดีกว่า ถึงตอนนั้นจะได้พาเหมาโถวกลับมาด้วย คิดถึงเจ้าตัวเล็กนั่นอยู่เหมือนกัน”
หลังจากตรวจดูตัวยาเหล่านั้นเสร็จ เยี่ยเทียนและโก่วซินเจียต่างก็ต้องผิดหวังอย่างแรง เพราะในตัวยาทั้งหมดนี้ มีที่อายุถึงหนึ่งร้อยปีอยู่เป็นจำนวนน้อยอย่างยิ่ง อีกทั้งยังผ่านการหมักและตากแห้งมาแล้วทั้งนั้น ฤทธิ์ยาจึงหายไปเกือบหมด แม้จะหลอมยาวิเศษออกมาได้ ก็คงจะไม่ได้ประโยชน์เท่าไร
“ศิษย์น้องเล็ก ให้ฉันไปด้วยดีไหม?”
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนเอ่ยขึ้นดังนั้น โก่วซินเจียก็เกิดความสนใจขึ้นมา หลังจากที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียน เขาก็นับว่าเป็นผู้บำเพ็ญพรตที่ติดอันดับในวงการผู้หนึ่ง จึงย่อมจะมีความสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับวานรขาวผู้บรรลุญาณที่เยี่ยเทียนพูดถึงเป็นธรรมดา
“ดีครับ ถึงตอนนั้นพวกเราก็ไปด้วยกันเลย”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ศิษย์พี่ใหญ่มีทักษะด้านการปรุงยาวิเศษเหนือกว่าเขา ถ้ามีศิษย์พี่ใหญ่ไปด้วย สวนสมุนไพรของเจ้าวานรขาวนั่นคงได้ถึงคราวซวยแล้วละ
…………
หลังจากที่ซ่งเฮ่าเทียนนำยาวิเศษขวดนั้นไปแล้ว ชีวิตของเยี่ยเทียนก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง เขาไม่ได้รีบร้อนที่จะไปเสินหนงเจี้ย แต่ละวันถ้าไม่ไปจ่ายตลาดเป็นเพื่อนแม่และภรรยา ก็ไปร่วมงานประมูลต่างๆ กับเยี่ยตงผิง ตอนนี้เยี่ยตงผิงเรียกได้ว่ากลายเป็นบุคคลแนวหน้าในวงการวัตถุโบราณที่กรุงปักกิ่งไปแล้ว
หลังจากอยู่บ้านมาได้ประมาณหนึ่งเดือน และให้คำรับรองกับแม่และภรรยาไปหลายครั้งแล้ว เยี่ยเทียนจึงจะเริ่มเตรียมตัวมุ่งหน้าไปเสินหนงเจี้ยพร้อมกับศิษย์พี่ใหญ่
นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว เจ้าสิงห์ขนทองน้อยก็ถูกเยี่ยเทียนพาไปด้วยเช่นกัน เจ้าตัวเล็กนี่เติบโตขึ้นมาโดยกินสมองของเสือและสิงห์โตมาตั้งแต่เกิด สัญชาติญาณป่ายังไม่ได้รับการฝึกให้เชื่อง หากมีเขาอยู่ใกล้ๆ ก็อาจจะยอมเชื่อฟังบ้าง แต่ถ้าเขาไม่อยู่ แล้วมันเกิดคลั่งขึ้นมาละก็ คงไม่มีใครควบคุมมันได้แน่
“เป็นสถานที่ ที่ดี ถ้ารู้อย่างนี้สมัยก่อนฉันก็คงไม่ไปอยู่ที่ไต้หวันหรอก!”
หลังจากที่ผ่านเมืองเล็กๆ แห่งนั้นเข้าสู่เสินหนงเจี้ย และสัมผัสได้ถึงปราณวิเศษธรรมชาติอันเข้มข้น โก่วซินเจียก็ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น