ลำนำบุปผาพิษ 863-870
บทที่ 863 เตะถูกแผ่นเหล็ก
แต่ถ้าหากได้ที่โหล่ในการแข่งขัน หรือขึ้นมาไม่ได้เลย เช่นนั้นเธอคงขายหน้ามหาศาล!
“ใชแล้ว การทดสอบครั้งนี้เป็นการทดสอบวิชาเหินหาวของพวกเจ้า มิใช่อย่างอื่น ดังนั้นไม่อนุญาตให้ใช้เคล็ดวิชาอย่างอื่น! ผู้ฝ่าฝืนจะได้รับบทลงโทษจากข้า!” ตี้ฝูอีที่อยู่ตรงนั้นเสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง
ทุกคนตอบรับอย่างพร้อมพรียงอีกครั้ง
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้สายตาดั่งคบเพลิง ไม่มีใครกล้าเล่นแง่ต่อหน้าเขา
ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงเตะถูกแผ่นเหล็กที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มา
ตอนที่ใช้วิชาเหินหาวเหาะลงไปเธอไม่ช้ากว่าคนอื่นเท่าไหร่ อย่างไรเสียการลงก็ทำได้ง่ายๆ อย่างมากท่าทางการโคจรวิชาเหินหาวกลางอากาศยามที่เธอกระโดดลงไปก็ดูน่าเกลียดไปหน่อยเท่านั้น ยังไม่ได้เผยอะไรออกมา
แต่ตอนที่ต้องขึ้น เธอประสบความยุ่งยากมหันต์!
เหล่าศิษย์ต่อให้ทฤษฎีขั้นพื้นฐานยอดเยี่ยมสักแค่ไหน แต่วิชาที่สูงส่งซับซ้อนเหล่านี้ก็ยากมากที่จะนำมาปฏิบัติได้ทันที
ตอนเพื่อนร่วมชั้นแทบทุกคนเริ่มโคจรวิชาเหินหาวล้วนเหาะเป๋ไปเป๋มาทั้งสิ้น ราวกับว่าวสายป่านขาด ลอยโซเซอยู่ในอากาศ
แต่พอค่อยๆ ไป ในการล้มเหลวแต่ละครั้งทุกคนก็เริ่มจับเคล็ดของวิชานี้ได้ ทยอยเหาะขึ้นไปคนแล้วคนเล่า…
เพื่อนร่วมชั้นที่อยู่ข้างกายลดน้อยลงเรื่อยๆ กู้ซีจิ่วกลัยังคงเหาะได้สูงเช่นเดิม ความรู้พื้นฐานของเธอไม่แน่น ประกอบกับพลังวิญญาณต่ำต้อย เหาะได้สูงสุดสิบกว่าจั้งก็ร่วงงมา
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เพื่อนร่วมชั้นที่อยู่ข้างกายหายไปหมดแล้ว แม้แต่คนที่เคยเป็นที่โหล่ของชั้นเรียนนี้ก็เหาะขึ้นไปหมดแล้ว
ใต้หน้าผาอันกว้างใหญ่เหลือเพียงตัวเธอเท่านั้น…
บนหน้าผา ศิษย์ทั้งหมดล้วนได้รับผลไม้ที่ตนควรได้รับแล้ว เชียนหลิงอวี่เหาะขึ้นมาเป็นคนแรก ดังนั้นเขาจึงหยิบผลไม้ลูกที่ใหญ่ที่สุด เขาไม่ได้กินมัน แต่เก็บไว้ในถุงเก็บของ
หลังจากเขขึ้นมาได้ก็มองลงไปด้านล่างอย่างร้อนรนอยู่ตลอด มองเห็นเพื่อนร่วมชั้นที่อยู่ข้างล่างเหาะขึ้นมาคนแล้วคนเล่า มองเห็นกู้ซีจิ่วร่วงลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า…
ยามที่เห็นว่าใต้หน้าผาหลอเพียงกู้ซีจิ่วคนเดียว ตัวเขารู้สึกแย่มาก!
เขาเข้าใจนิสัยชอบเอาชนะของกู้ซีจิ่วดี ไม่ว่ากระทำเรื่องใดล้วนต้องทำให้ดีที่สุด ถึงแม้พลังวิญญาณของนางจะต่ำ แต่นางก็อาศัยการพลิกสถานการณ์ต่อสู้จนชิงชัยได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ต่อให้เป็นชั้นเมฆาม่วงห้องหนึ่งมียอดฝีมือมากมายดั่งเมฆา นางก็ยังได้รับความนับถือจากเหล่าศิษย์มากมาย ถึงขั้นว่ามีศิษย์ไม่น้อยที่เคารพยกย่องนาง
เคารพที่นางสร้างโอกาสพลิกผันได้มากมายในการต่อสู้ เคารพที่นางสามารถใช้อ่อนสยบแข็งสร้างปาฏิหาริย์ได้
แม้กระทั่งบรรดาอาจารย์นั้เรียนก็ล้วนชมชอบนาง เนื่องจากนางเป็นศิษย์ที่เล่าเรียนอย่างเอาจริงเอาจังมานะบากบั่นที่สุด นางทราบอยู่เสมอว่าตัวเองต้องการอะไร ถึงแม้พลังวิญญาณของนางจะต่ำต้อยที่สุด แต่ความสำเร็จในการเรียนรู้ของนางกลับเพียงพอให้มองหยามทุกคนในชั้นเรียนนี้ได้!
นางที่ชอบเอาชนะถึงเพียงนั้น จะยินยอมล้าหลังได้อย่างไร?
แต่ยามนี้นางรั้งท้ายแล้ว ซ้ำยังอยู่ภายใต้สายตาจดจ้องของฝูงชนอีก!
เรื่องนี้จะกระเทือนนางอย่างมหาศาลปานใดกัน?
เชียนหลิงอวี่แทบไม่กล้าคิด!
เขาอดไม่ได้จึงส่งกระแสเสียงไปหานาง ‘ซีจิ่ว ใช้วิชาเคลื่อนย้ายของเจ้าผสานกับวิชาตัวเบาเหาะขึ้นมาสิ! ไม่น่าจะมีผู้ใดมองออกหรอก เจ้าขึ้นมาก่อนเถอะ!’
หลานไว่หูวนเวียนอยู่ที่ริมหน้าผาอย่างร้อนรน เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วตกเป็นที่โหล่ ก็รู้สึกทุกข์ยิ่งกว่าตอนตนตกเป้นที่โหล่เสียอีก! นางอดไม่ได้ที่จะลอบมองตี้ฝูอี
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้นั่งอยู่ตรงนั้น บนหน้าสวมหน้ากากเงินไว้ ทำให้คนไม่มีทางมองเห็นสีหน้าของเขา เขาแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นปานขุนเขา เบื้องหน้าเขามีชาที่ชงไว้แต่แรกแล้ว ตอนที่การแข่งขันเพิ่งเริ่ม เขาดื่มชาอย่างสำราญบานใจ แต่ยามนี้เขากลับไม่ดื่มชานั้นมาสักพักแล้ว
————————————————————————————-
บทที่ 864 ควรหาคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับตน
หลานไว่หูเปิดปากเอ่ยอย่างอดไว้ไม่อยู่ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเจ้าคะ ซีจิ่วมีความเข้าใจสูง แต่พลังวิญญาณของนางยังไม่ถึงขั้นจริงๆ ไว่หูคิดว่าไม่ควรจะเรียกร้องจากนางมากเกินไป…”
ตี้ฝูอีกลับไม่มองนาง และไม่ทราบว่าได้ยินเข้าหูหรือไม่ เขากำลังมองธูปดอกหนึ่งที่อยู่ในกระถางธูปเบื้องหน้า ก่อนหน้านี้เขาพูดไว้ชัดเจนว่าถ้าธูปไหม้หมดดอกแล้ว หากว่ายังไม่สามารถขึ้นมาได้ เช่นนั้นก็ถือว่าไม่เหมาะกับวิชานี้ ต้องได้รับบทลงโทษจากเขา
เขาไม่ได้กล่าวว่าบทลงโทษคืออะไร แต่ทุกคนอ้างอิงจากรูปแบบบทลงโทษในอดีตของท่านทูตสวรรค์ผู้นี้ลงโทษคน ต่างรู้สึกว่าบทลงโทษนี้น่าจะไม่ง่ายดายแน่นอน ไม่แน่อาจถูกนำไปขังให้รับความทุกข์ทรมานในแดนหวงห้ามอันใดสักแห่ง
กล่าวกันว่ายามที่เขาลงโทษสานุศิษย์สวรรค์คนอื่น แค่พูดยังไม่ทันลงมือทำโทษ สานุศิษย์สรรค์คนอื่นก็เจ็ปวดอย่างยิ่งแล้ว เนื่องจากบทลงโทษของเขาไร้สิ่งใดให้กริ่งเกรง สามารถลอกหนังคนทั้งป็นได้…
ส่วนผู้อื่นที่มิใช่สานุศิษย์สวรรค์ พอได้ยินเขาเอ่อยออกมาสองคำว่าลงโทษ เช่นนั้นก็คือเรื่องน่าหวาดผวา ผู้ที่ถูกลงโทษมักจะหวาดหวั่นจนขี้หดตดหาย ปรารถนาให้บิดามารดาไม่ต้องกำเนิดตนออกมาสุดหัวใจ…
เช่นนั้นหนนี้บทลงโทษของเขาจะเป็นแบบไหนกัน?
หลานไว่หูโมโหยิ่งนัก!
อย่างไรเสียสิ่งที่นางพบเห็นก็มากกว่าผู้อื่น ตกตัวอย่างเช่นเห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสวมกางเกงให้ซีจิ่ว เห็นซีจิ่วกดท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายลงบนโต๊ะ เห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกับกู้ซีจิ่วจูงมือกันเข้านอกออกในพร้อมกัน…
ถึงแม้ต่อมาจะอธิบายกระจ่างแล้วว่านั่นเป็นเพียงละครหลอกผู้บงการเบื้องหลังเท่านั้น แต่ลางสังหรณ์ของจิ้งจอกน้อยยังคงเฉียบไวยิ่ง นางรู้สึกอยู่เสมอว่าทั้งสองคนในยามนั้นมิใช่การเล่นละคร
ต่อให้เริ่มแรกคือการเล่นละคร แต่ผู้ใดเล่าจะรับประกันได้ว่าในการแสดงฉากสุดท้ายคือการแสร้งเล่นละครจริงๆ?
ยิ่งไปกว่านั้นคือในวันนั้นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายพูดเองกับปากว่า ‘ข้าไม่เคยเล่นละครเลย’ ดังนั้นมีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนที่จะหวั่นไหวเข้าจริงๆ!
ส่วนซีจิ่วระยะนี้สนิทสนมกับหลงซือเย่ ซีจิ่วเองก็เคยบอกกับนางว่าชอบหลงซือเย่ ดังนั้นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอาจรักจนก่อเกิดเป็นความแค้นคิดแก้แค้นซีจิ่ว! ยไม่เพียงแต่เย็นชาต่อนางในยามปกติเท่านั้น ยามนี้ยังวางผนให้นางขายหน้าผู้อื่นที่นี่ด้วย!
ต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน!
ชั่วช้าจริงๆ!
สาสมแล้วที่เขาไมได้ครองใจซีจิ่ว!
เมื่อกล่าวมาเช่นนี้ เขาหางชั้นกับเจ้าสำนักหลงนก อยางนอยเจ้าสำนักหลงก็เคารพสิทธิของซจิ่วมาโดยตลอด ไม่เคยทำให้ซีจิ่วลำบากใจเลย…
หลานไว่หูโมโหยิ่งนัก อดไม่ได้ที่จะส่งกระแสเสียงไปหาเชียนหลิงอวี่ แสดงออกถึงความไม่พอใจของตน เช่นหลิงอวกีคู่แค้นคนเดียวกับนาง ส่งกระแสเสียงกลับไป ‘เจ้าพูดถูก! ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ไม่คู่ควรกับซีจิ่วของพวกเราจริงๆ แต่ว่าเจ้าสำนักหลงผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับนางเช่นกัน เจ้าอย่าลืมนะ หลงซือเย่อายุมากกว่าท่านปู่น้อยของข้าอีก! มองหาคนที่ชอบพอ ก็ควรหาคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนสิถึงจะเหมาะสม’
มือของตี้ฝูอีที่นั่งอยูหลังโต๊ะยาวกุมถ้วยชาใบหนึ่งอยู่ ปลายนิ้วซีดขาวรางๆ
ถึงเขาจะไม่ได้มองลงไปด้านล่าง แต่ก็สามารถจับสัมผัสนางได้ สัมผัสถึงวามพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าของนาง และการร่วงหล่นครั้งแล้วครั้งเล่า…
ถึงทุกครั้งจะเหาะสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็พิชิตความสูงของหน้าผานี้ไม่ได้
ส่วนเหล่าศิษย์คนอื่นๆ ก็ยืนอยู่ริมหน้าผาพากันมองลงไป
ช่วงนี้กู้ซีจิ่วโดดเด่นมากเกินไป ใหญ่ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้านลม อีกทั้งระยะเวลาที่นางอยู่ในชั้นเมฆาม่วงห้องหนึ่งก็สั้นเกินไป คนมากมายยังคงระแวดระแวงเธออยู่ และมีคนไม่น้อยที่อยากเห็นเรื่องน่าขบขันของเธอ…
ยามนี้ยากนักที่จะได้เห็นช่วงเวลาที่เธอเสียหน้าถึงเพียงนี้ ดังนั้นคนบางส่วนจึงมองอย่างเบิกบานนัก…
แน่นอน เธอก็คบหาสหายไม่น้อยเช่นกัน สหายเหล่านั้นร้อนใจแทนเธอยิ่ง แต่ก็ช่วยเหลือเธอไม่ได้
ชั่วชีวิตนี้กู้ซีจิ่วยังไม่เคยเป็นที่โหล่เช่นนี้มาก่อนเลย!
และไม่เคยขายขี้หน้าถึงเพียงนมาก่อนเช่นกัน
หลังจากเดาเจตนาของตี้ฝูอีได้ทะลุปรุโปร่ง ในใจเธอก็เสมือนซุกซ่อนกาต้มน้ำเอาไว้ ทำให้เลือดลมเธอเดือดปุดๆ ไมอาจรวบรวมสมาธิได้ชั่วคราว
————————————————————————————-
บทที่ 865 ข้าไม่อยากลงโทษเจ้า
ไม่ว่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาอันใด ล้วนต้องกระทำอย่างสงบเยือกเย็น แต่ตอนนี้เธอสงบใจไม่ลงชั่วขณะ
โดยเฉพาะหลังจากล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งทำให้จิตใจของเธอย่ำแย่ลงไปอีก
เธอรู้ดีว่าตัวเองขึ้นไม่ได้ แต่กลับไม่ต้องการยอมรับควาพ่ายแพ้ ไม่ว่าทำอะไรเธอล้วนทุ่มเทสุดกำลัง ถ้าตนเพียรพยายามสุดกำลังแล้วหากว่ายังทำไม่ได้ ต่อให้ท้ายที่สุดแล้วไม่ประสบความสำเร็จ อย่างน้อยเธอก็จะไม่เสียใจในภายหลัง
หลังจากเพื่อนร่วมชั้นที่อยู่รอบข้างล้วนขึ้นไปจนสิ้น หัวใจที่เคยสงบเยือกเย็นของเธอก็ดั่งมีเพลิงผลาญ
ตัวเธอทราบว่าตี้ฝูอีที่อยู่ที่นั่นจุดธูปไว้ และทราบว่าธูปดอกนั้นจวนจะไหม้หมดก้านแล้ว
เช่นนั้นก็แล้วไปเถอะ อย่างมากก็รับบทลงโทษจากเขาเท่านั้น จำอย่างไรได้อีกเล่า? คงไม่เอาชีวิตเธอกระมัง? อย่างมากก็ถลกหนัง…
เนื่องจากใจเย็นลงแล้ว สมองเธอจึงเริ่มวิเคราะห์สาเหตุที่ตนผิดครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สรุปผลจากบทเรียนที่ประสบแล้วทดลองต่อ
คนอื่นเห็นเพียงว่าเธอเหินขึ้นแล้วก็ร่วงลงไปซ้ำๆ เห็นความล้มเหลวของเธอ แต่เธอทราบดีว่าตนเองยังคงมีพัฒนาการอยู่ อย่างน้อยก็ยิ่งเหาะก็ยิ่งสูงขึ้น!
เธอย่อมได้ยินกระแสเสียงของเชียนหลิงอวี่ แต่เธอไม่คิดจะทำตามที่เขาแนะนำ
ระหว่างที่ศึกษาเธอมุ่งมั่นแน่วแน่อยู่เสมอ ไม่คิดจะลอบใช้กลโกง เนื่องจากที่สิ่งเรียนรู้เป็นความรู้ของเธอเอง ถ้าเธอหลอกลวงก็เท่ากับหลอกตัวเอง…
อีกอย่างต่อให้เธอใช้วิธีอื่นเหาะขึ้นแล้วไปแล้วอย่างไรเล่า? คนผู้นั้นสายตาดั่งคบเพลิง ไม่แน่อาจจะรอจับผิดเธออยู่ที่นั่นก็ได้ ถ้าหากเธอใช้วิชาเคลื่อนย้ายขึ้นไปแล้วถูกคนผู้นั้นเปิดโปงออกมาซึ่งๆ หน้า แบบนั้นยิ่งขายหน้าไปกันใหญ่!
ขณะที่เธอกำลังลองอยู่ ทันใดนั้นกระแสเสียงของตี้ฝูอีก็แว่วขึ้นในหู ‘ข้าไม่อยากลงโทษเจ้า ใช้วิชาเคลื่อนย้ายผสานกับวิชาตัวเบาเหินขึ้นมาเสีย!
กู้ซีจิ่วไม่ตอบโต้ ใครจะทราบได้ว่าเขาจะมีเจตนาร้ายอันใดอีกหรือไม่? ความคิดคนผู้นี้ซับซ้อนเกินไป ตอนนี้เธอไม่อยากคาดเดาอีกแล้ว!
‘กู้ซีจิ่ว อย่าได้ฝืน ขึ้นมาก่อนค่อยว่ากัน!’ เขาส่งกระแสเสียงมาอีกครา
กู้ซีจิ่วยังคงทำเป็นไม่ได้ยินเหมือนเดิม เธอก็บ้าบิ่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน เธอจะอาศัยฝีมือที่แท้จริงของตนเข้าว่า!
ถ้าชนะเธอก็จะชนะอย่างผ่าเผย ถ้าแพ้ก็จะแพ้อย่างซื่อตรง!
ครานี้เธอสงบจิตใจ โคจรพลังยุทธ์ทั้งร่างอย่างรวดเร็ว ยามที่เธอสำแดงวิชาเหินหาวอีกครั้ง พลันพุ่งทะยานขึ้นมาถึงริมหน้าผา อีกสิบเซนติเมตรเธอก็จะเหยียบลงบนหน้าผาอย่างมั่นคงได้แล้ว!
แต่ระยะห่างสิบเซนติเมตรนีเอง ทำให้เธอพลาดจากปลายหน้าผา ร่างกายร่วงดิ่งลงอีกครา…
ฝูงชนอุทานด้วยความตกใจ กู้ซีจิ่วหลับตาลงนิดๆ เมื่อครู่นี้ในขณะที่เธอขึ้นไป ได้มองเห็นธูปดอกนั้น ไหม้จนถึงก้านแล้ว…
ดังนั้นเธอไม่มีโอกาสลองอีกครั้งแล้ว
สุดท้ายแล้วยังคงล้มเหลวสินะ…
ขณะที่เธอกำลังร่วงลงมาอย่างยอมรับชะตากรรม ทันใดนั้นก็มีสายลมหอบหนึ่งพยุงอยู่ใต้ร่างเธออย่างฉับพลัน ทำให้ร่างกายที่เพิ่งร่วงดิ่งของเธอทะยานขึ้นมาอีกครั้งทันที…
ในที่สุดเธอก็ยืนอยู่บนหน้าผาอย่างมั่นคง
วินาทีที่สองเท้าของเธอแตะลงบนพื้น ธูปดอกนั้นก็ลุกวาบพอดี แล้ววอดดับไป
“ซีจิ่ว เจ้ายอดเยี่ยมที่สุดเลย!” หลานไว่หูพุ่งเข้ามาทันที วนเป็นวงอยู่รอบกายเธอ
“ซีจิ่ว ไม่เลวเลย! ยอดเยี่ยม! เจ้าสามารถเหาะขึ้นมาได้ด้วยพลังวิญญาณขั้นหก น่าทึ่งเหลือเกิน!” เชียนหลิงอวี่สีหน้าเบิกบาน
สหายร่วมชั้นมากมายก้ล้อมวงเข้ามาเช่นกัน เอ่ยยินดีกับเธอ
แน่นอนว่าบางคนก็อดชมเรื่องน่าขบขันเช่นกัน ในใจค่อนข้างไม่พอใจ บ้างก็ยืนไม่พูดไม่จาอยู่ด้านข้าง บ้างก็พูดจาแดกดันสองสามประโยค
สาเหตุที่คนเหล่านั้นพูดจาเหลวไหลก็เป็นเพราะเห็นว่าตี้ฝูอีท่าทีที่ตี้ฝูอีมีต่อกู้ซีจิ่วค่อนข้างคลุมเครือ คล้ายว่าต้องการเล่นงานนางยิ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงไร้ซึ่งความกังวล
————————————————————————————-
บทที่ 866 เมื่อคืนมิได้นอนเลยหรือ
“ที่แท้ขึ้นมาเป็นที่โหล่ก็ได้รับคำยินดีด้วยเช่นกัน เหอะๆ”
“นางก็ทำได้ดีมากมาตลดมิใช่หรือ? ทำไมหนนี้ปล่อยไก่ซะแล้ว? ความจริงก็ไม่เท่าไหร่นี่นา”
“ดูเหมือนนางจะมิใช่การขึ้นมาได้ในรวดเดียวนะ แบบนี้ก็นับหรือ?”
“ต้องนับแน่นอนอยู่แล้ว! ต่อให้นางชะงักไปเล็กน้อยก็ยังเหาะขึ้นมาได้! ทักษะเช่นนี้ร้ายกาจกว่าการขึ้นมาได้ในรวดเดียวเสียอีก! ถ้าเจ้าไม่รู้ก็อย่ามาพูดจาเหลวไหล!” หลานไว่หูที่ใจฝ่อมาตลอดต่อล้อต่เอถียงกับผู้อื่นจนหน้าดำหน้าแดงอย่างพบเห็นได้ยาก
คนผู้นั้นไม่คิดจะลดตัวมาหาความกับจิ้งจอกน้อย ดังนั้นเขาจึงมองไปที่ตี้ฝูอี
เนื่องจากการตัดสินสุดท้ายอยู่ในมือตี้ฝูอี จะนับหรือไม่นับล้นขึ้นอยู่กับเขา
สายตาของตี้ฝูอีร่อนลงบนร่างกู้ซีจิ่ว
ครั้งนี้นางทุ่มเทจริงๆ ทั้งร่างแทบจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ ยืนอยู่ตรงนั้นร่างกายเหยียดตรงราวกับหลาวก็มิปาน นางเม้มริมปากจิ้มลิ้มนิดๆ มองดูเขา แววตากระจ่างเยือกเย็น
นะยะนี้ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานางหลบเลี่ยงการสบตากับเขาเสมอ คล้ายว่าพยายามหลีกเลี่ยงเขาสุดกำลัง แต่ครั้งนี้ในที่สุดนางก็บสบตาเขา ทว่ากลับมองเห็นความยินดีเบิกบาน
เขาสูดลมหายใจเบาๆ ลุกขึ้นมาแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ท้ายที่สุดเจ้าสามารถขึ้นมาได้ในขณะที่ธูปดอกนั้นวอดดับลง พอจะนับได้ว่าผ่านแล้ว…”
เมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา จิ้งจอกน้อยเป็นคนแรกที่ไชโยโห่ร้องขึ้นมา “ซีจิ่วๆ เจ้าผ่านแล้วนะ! ยินดีด้วย!”
มองไปทางคนที่พูดจาเหลวไหลเมื่อครู่ผู้นั้นอย่างข่มๆ แวบหนึ่ง “ข้าก็บอกแล้วว่านับ! จตใจของบางคนก็มืดบอดเสียจนมองไม่เห็นความดีของผู้อื่น…”
คนผู้นั้นหน้าแดงก่ำ ไม่ได้พูดอะไรอีก
ตี้ฝูอีมองใบหน้าน้อยๆ ที่ซีดเซียวของกู้ซีจิ่ว เส้นผมยุ่งเหยิงชุ่มเหงื่อ ในที่สุดก็เหยียดกายขึ้น โบกแขนเสื้อพรึ่บ ในที่สุดผลไม้ลูกสุดท้ายบนโต๊ะยางก็ลอยไปทางกู้ซีจิ่ว “นี่คือรางวัลของเจ้า”
ผลไม้ลูกนั้นย่อมเป็นลูกที่เล็กที่สุด สีสันก็ไม่สดฉ่ำมากมายอะไร แต่อย่างไรเสียกเป็นผลไม้ล้ำค่าหายาก ซ้ำยังมีประโยชน์มากมาย
ผลไม้ลูกนั้นลอยไปถึงเบื้องหน้ากู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วหลุบตาลงนิดๆ ไม่ได้เอื้อมไปรับ ผลไม้จึงตกลงพื้นทันที หล่นลงบนพื้นศิลาเขียวใต้เท้าเธอเสียงดังตุบ แตกกระจายเป็นชิ้นๆ ทันที
ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมพิสดารของผลไม้ลูกนั้นในทันใด
ตี้ฝูอีหรี่ตามองนางเล็กน้อย “เจ้า…”
กู้ซีจิ่วเงยหน้าขึ้น กล่าวอย่างเฉยเมย “เมื่อรู่ข้ามิได้ขึ้นมาด้วยความสามารถของตนเอง ตอนที่ข้าร่วงหล่นมีคนลอบช่วยเหลือข้า ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ประสบความสำเร็จ ผลไม้นี้ของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายซีจิ่วไม่อาจรับได้!”
ฝูงชนทึ่มทื่อทันที! นึกไม่ถึงว่าเธอจะพูดออกมาเช่นนี้ ตะลึงกันไปครู่หนึ่ง
มิใช่ทุกคนที่จะมีความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับความล้มเหลวตรงๆ เช่นนี้ มิใช่ทุกคนที่สามารถพูดออกมาว่ามีผู้อื่นให้การช่วยเหลือในช่วงเวลาเช่นนี้…
อย่างเสียสายลมที่โอบพยุงเธอขึ้นมาก็ไร้รูปไร้ลักษณ์ ศิษย์มากมายที่อยู่ที่นี่มองไม่ออกเลยสักคน
แม่นางผู้นี้กล้าหาญมากจริงๆ!
สหายร่วมชั้นเหล่านั้นที่นินทาเธอก่อนหน้านี้ล้วนปิดปากเงียบเช่นกัน ในใจรู้สึกชื่นชมเธออยู่บ้าง
ดูเหมือนตี้ฝูอีก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเธอจะทำแบบนี้ สายตาร่อนลงบนร่างเธอ “กู้ซีจิ่ว เจ้าทราบหรือไม่ว่าถ้าทำภารกิจในคาบนี้ไม่สำเร็จจะได้รับบทลงโทษอันใด?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้านิดๆ น้ำเสียงยังคงเฉยชายิ่งนัก “ไม่ทราบ แต่ในเมื่อมีกฎเช่นนี้ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็จัดารลงโทษตามสมควรเถิด”
ตี้ฝูอีเงียบไป
เขามองสีหน้าของเธอ เนื่องจากหยาดเหงื่อเปียกโชก ทำให้เครื่องสำอางที่เธอแต่งแต้มไว้บางๆหลุดลอกไป เผยให้เห็นผิวหน้าดั้งเดิม
สีผิวเธอค่อนข้างซีดเขียว ริมฝีปากน้อยๆ ค่อนข้างซีดเซียว แม้กระทั่งใต้ตาก็มีรอยคล้ำจางๆ ถึงแม้เธอจะพยายามเหยียดตัวตรง แต่กยังทำให้คนมองเห็นความอ่อนล้าของเธอ…
จู่ๆ เขาก็เอ่ยถามว่า “เมื่อคืนมิได้นอนเลยหรือ?”
————————————————————————————-
บทที่ 867
กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองเขา “เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า?” ยอมรับคำถามของเขาโดยปริยาย
“ไปทำอะไรมา?” เขาถามอีกปะโยคหนึ่ง
หัวคิ้วกู้ซีจิ่วขมวดมุ่น “นี่ไม่เกี่ยวอันใดกับท่านกระมัง? นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของซีจิ่ว ไม่อยากบอกแก่ผู้อื่น”
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเคร่งตึง กล่าวอย่างเฉยชาว่า “วางใจเถอะ ข้าไม่ก้าวก่ายเจ้าหรอก เพียงแต่เรื่องส่วนตัวของเจ้าส่งผลกระทบต่อสภาพการเรียนของเจ้า ในเมื่อครั้งนี้เจ้ามิได้ขึ้นมาด้วยความสามารถที่แท้จริงของตน เช่นนั้นก็รับบทลงโทษเสียเถิด เย็นวันนี้หลังเลิกเรียน จงมาที่นี่แล้วใช้วิชาเหินหาวเหาะขึ้นมาบนหน้าผานี้สิบครั้ง เหาะขึ้นมาไม่ครบสิบครั้งไม่อนุญาตให้พักผ่อน!”
ฝูงชนเงียบสงัด
สีหน้าของทุกคนล้วนแปรเปลี่ยน
การโคจรวิชาเหินหาวนี้อันที่จริงสิ้นเปลืองพลังวิญญาณมาก โดยเฉพาะกับมือใหม่ที่เพิ่งเพิ่งเรียนได้ครึ่งๆ กลางๆ อย่างพวกเขา การเหาะต่อเนื่องกันจะสิ้นเปลืองพลังวิญญาณมากกว่าเดิม
ต่อให้เป็นพวกเขาเหล่าศิษย์ที่พลังวิญญาณบรรลุขั้นหกตอนกลางขึ้นไปแล้ว การเหาะขึ้นมาในครั้งนี้ยังรู้สึกว่าเหนื่อยจนหายใจหอบถี่เลย หากให้พวกเขาเหาะต่อเนื่องกันสิบครั้ง เกรงว่าคงเหนื่อยจนล้มพับไปทันที!
ส่วนกู้ซีจิ่วการที่นางสามารถเหาะขึ้นมาครั้งนี้ยังลำบากลำบนถึงเพียงนี้ แล้วจะให้นางเหาะสิบครั้ง…
เช่นนั้นกู้ซีจิ่วมิต้องเหาะถึงพรุ่งนี้เช้าเลยหรือ?! ร่างกายเล็กๆ ของนางจะรับไหวหรือ?
เมื่อท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายลงโทษผู้อื่นขึ้นมาจะวิปริตยิ่งนักจริงๆ ด้วย! ดูเหมือนจะโดดเรียนวิชาของเขาไม่ได้จริงๆ โดดเรียนเพียงครั้งเดียวก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนหนักหนายิ่ง!
สิ่งที่บรรดาเพื่อนร่วมชั้นคิดได้กู้ซีจิ่วก็ย่อมคิดได้เช่นกัน ในใจเธอคล้ายมีกระแสธารร้อนระอุโหมซัดอยู่ ทว่าเธอฝืนข่มลงไปอีกครา มุมปากเธอยกขึ้นแวบหนึ่ง ตอบรับด้วยเสียงสงบนิ่งยิ่ง “เจ้าค่ะ!”
ยิ่งเขาลงโทษเธออย่างโหดเหี้ยม เธอก็ยิ่งตัดสินใจได้ว่าจะตัดขาดทุกอย่างให้สิ้น!
ตี้ฝูอีมองนัยน์ตามืดดำของนาง จู่ๆ ก็ใจหายวาบ
ตนทำเกินไปแล้วใช่หรือไม่?
….
กู้ซีจิ่วเป็นประเภทที่ไม่ว่าในใจจะตัดสินใจไว้อย่างไร แต่เรื่องที่เธอควรทำเธอก็จะทำมันให้ดีที่สุดเหมือนเดิม
ยกตัวอย่างเช่นหากว่าตันสินใจว่าจะลาออก แต่ภาระหน้าที่ก่อนจะลาออกเหล่านั้นเธอก็จะทำให้เสร็จสมบูรณ์ทุกอย่างเหมือนเดิม
ตอนบ่ายหลังจากเรียนคาบสุดท้ายเสร็จ เธอก็ไปกินอาหารเย็นที่โรงอาหาร แล้วรีบมาที่หน้าผาแห่งนั้น มาปฏิบัติบทลงโทษของเธอให้เสร็จสิ้น
เดิมทีหลานไว่หูกับเชียนหลิงอวี่อยากตามมาด้วย แต่กู้ซีจิ่วไม่ยอม เธอยิ้มแล้วบอกพวกเขาว่า “ถ้าพวกเจ้ามาข้ารู้สึกกดดัน ไม่อยากให้พกเจ้าเห็นข้าในสภาพที่น่าอาย ถ้าเป็นสหายที่ดีก็อย่าตามมาเลย ให้ข้าเหลือหน้าไว้เถอะ!”
ด้วยเหตุนี้หลานไว่หูกับเชียนหลิงอวี่จึงไม่ตามมาอีก เพียงเอ่ยกำชับกำเธอไว้ว่า “เจ้าต้องระวังตัวหน่อยนะ อย่าได้หักโหมเกินไป”
กู้ซีจิ่วพยักหน้า “วางใจเถอะ ข้ารักชีวิตยิ่ง ไม่ปล่อยให้ตัวเองทุกข์ทรมานขนาดนั้นหรอก”
เชียนหลิงอวี่ยังคงไม่วางใจ ยัดเยียดพลุไฟดอกหนึ่งให้เธอ บอกว่าหากเธอเหนื่อยจนแทบสลบก็ให้จุดพลุไฟลูกนี้ แล้วพวกเขาจะรีบมารับเธอ
กู้ซีจิ่วตอบรับ แล้วหันหลังจากไป
เชียนหลิงอวี่มองส่งจนนางเดินไปไกล ในใจตัดสินใจไว้ว่า จะไปดูนางทุกๆ สองชั่วยาม เลี่ยงไม่ให้นางเหนื่อยจนสลบไสลอยู่ในทุ่งแล้วถูกสัตว์ร้ายอันใดคาบไป
ต้องทราบก่อนว่าใกล้ๆ หน้าผาแห่งนั้นจะมีสัตว์ร้ายปรากฏตัวขึ้นเสมอ
กู้ซีจิ่วมาถึงด้านล่างหน้าผา จากนั้นได้พบว่าตี้ฝูอีก็อยู่ด้วย เขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงยืนสง่าอยู่ตรงนั้นท่ามกลางราตรีดูสูงส่งปานทพเซียนยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วเห็นขาอยู่ที่นี่ก็ค่อนข้างประหลาดใจ แต่หลังจากนั้นก็เข้าใจนีว่าเขามาจับตาดูเธอ ดูเหมือนจะเกรงว่าเธอจะแอบใช้กลโกง…
“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย” เธอประสานมือให้เขา ทำความเคารพแบบครึ่งขั้น
สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เคารพนับถือครูบาอาจารย์ยิ่งนัก นี่คือมารยาททั่วไปที่ศิษย์พึงมีต่ออาจารย์ ไม่เกี่ยวกับฐานะของแต่ละฝ่าย
————————————————————————————-
บทที่ 868 ดูเหมือนจะห่างไกลจากเขายิ่งกว่าเดิม
ตี้ฝูอีพยักหน้านิดๆ มองสีหน้านางแวบหนึ่ง ดูเหมือนจะดูดีกว่ายามสายขึ้นมาหน่อย ไม่ซีดเซียวขนาดนั้นอีกแล้ว
“ที่ข้ามาประการแรกคือมาควบคุมเจ้า ประการที่สองคือเสริมบเรียนคาบที่แล้วให้เจ้า คาบที่แล้วเจ้าไม่มา คิดว่าน่าจะเข้าใจเนื้อหาไม่ครอบคลุม…” ตี้ฝูอีเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณมาก ลำบากท่านแล้ว” กู้ซีจิ่วเอ่ยขอบคุณ ทำความเคารพตามมารยาทอีกครั้ง
ตี้ฝูอีเงียบไป
เขาอ้าปากขึ้น คลายว่าจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก้ไม่ได้พูดออกมา เปลี่ยนคำพูดกะทันหัน “พวกเราเริ่มกันเถอะ”
ตี้ฝูอีไม่ได้นำเนื้อหาบรรยายอะไรมา แต่เริ่มบรรยายเนื้อหาในคาบที่แล้วพวกนั้นให้เธอโดยตรง เขาจดจำได้ชัดเจนและละเอียดนัก ถึงขั้นนำเนื้อหาเหล่านั้นมาวิเคราะห์ในใจอย่าละเอียดอีกรอบ พยายามทำให้เข้าใจได้ง่ายๆ ทำให้เธอฟังรอบเดียวก็เข้าใจได้
กู้ซีจิ่วก็ตั้งใจฟังมากเช่นกัน สติปัญญาของเธอล้ำเลิศยิ่ง ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ เธอสามารถระงับอารมณ์ด้านลบทั้งหมดไว้ได้ จิตใจจดจ่ออยู่กับเรื่องราวนี้โดยเฉพาะ
ตี้ฝูอีเตรียมที่นั่งไว้แล้ว ถึงขั้นเตรียมกระดาษกับพู่กันไว้ให้เธอด้วย ให้เธอจดบันทึกได้สะดวก
เมื่อบรรยายเนื้อหาทั้งหมดในคาบก่อนจบ เขาก็มองเธอแล้วเอ่ยถาม “ฟังทั้งหมดเข้าใจหรือไม่? มีจุดไหนที่ไม่เข้าใจหรือเปล่า?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “เข้าใจทั้งสิ้นเจ้าค่ะ”
เธออ่านบันทึกของจิ้งจอกน้อยแล้วมีจุดไม่เข้าใจอยู่บ้างจริงๆ แต่พอเรียนเสริมครั้งนี้เธอก็เจาะจงฟังเนื้อหาส่วนนั้นเป็นพิเศษ ย่อมเข้าใจแล้ว
และเข้าใจยิ่งกว่าเดิมว่าเนื้อหาในคาบที่แล้วมีความสำคัญต่อการประยุกต์ใช้วิชาเหินหาวในครั้งนี้
เมื่อเช้าเธอจดจำบทเรียนคาบที่แล้วเข้าไปทั้งดุ้นโดยที่ไม่เข้าใจก็ยังสามารถเหาะได้สูงถึงเพียงนั้น! กู้ซีจิ่วก็นับถือตัวเองในยามนั้นแล้วเช่นกัน!
“กู้ซีจิ่ว เจ้าสามารถทำความเข้าใจอยู่ข้างล่างก่อนสักหน่อยได้ แล้วค่อยหาทางเหาะขึ้นไป เจ้าฝึกฝนดูก่อน ข้าจะดูว่าผิดตรงไหนไหม…” ตี้ฝูอีนั่งลงบนศิลาเขียวก้อนหนึ่ง มองเธอด้วยสายตาวาววาม
กู้ซีจิ่วก็มิได้พูดเป็นอื่น ตอบรับอีกครา “เจ้าค่ะ”
ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มจัดแจงท่าทางอยู่ตรงนั้น…
ใช้วิธีโคจรพลังยุทธ์ทั้งหมดในเส้นปราณตามที่เขาบอกก่อน จากนั้นก็รวบรวมพลังวิญญาณที่จำเป็นต่อวิชาเหินหาวไว้ที่แขนขาทั้งสี่…
เธอไม่ได้พักผ่อนมากหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ประกอบกับเช้าวันนี้หักโหมฝึกฝนอย่างหนัก พอเธอใช้วิธีโคจรพลังนนี้เช่นนี้ก็รู้สึกเพียงว่าแขนขาทั้งสี่ปวดร้าวไปทุกจุด ทำให้เธอเหงื่อตกทันที
สีหน้าตี้ฝูอีแปรเปลี่ยนนิดๆ ตรงเข้าไปหา กุมข้อมือข้างหนึ่งของเธอไว้ “หยุด!”
กู้ซีจิ่วที่ฝืนโคจรพลังยุทธ์อยู่ พอได้ยินวาจานี้ของเขาก็ลืมตาขึ้น ชักข้อมือกลับทันที ถอยหลังไปสองก้าว “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านจะทำอะไร?”
ตี้ฝูอีมองดูนาง นางประเดี๋ยวก็เรียกว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายบ้าง ประเดี๋ยวก็เรียกว่า ‘ท่าน’ บ้าง ราวกับจะแบ่งแยกระหว่างนางกับเขา
ดูเหมือนจมีบางอย่างผิดไปเสียแล้ว
ตามวิธีที่มู่อวิ๋นบอกยามนี้นางควรจะมีท่าทีคับข้องหมองใจอย่างยิ่ง ใช้อารมณ์กับเขา ทะเลาะกับเขา ไม่แน่อาจจะโมโหจนร้องไห้ออกมา ถ้าสุดท้ายแล้วหัวใจนางมีเขาอยู่ ขอเพียงเขาค่อยๆ เกลี้ยกล่อมไปเอยๆ นางก็จะเปลี่ยนมุมมองใหม่…
แต่ยามนี้ นางไม่ร้องไม่ทะเลาะ ยังสงบนิ่งยิ่งนักอยู่ตลอด แต่ในใจกลับคล้ายตัดสินใจอะไรได้แล้ว
ทำให้เขาค่อนข้างร้อนรนอยู่บ้าง
ในใจนางมีเขาอยู่ เขาทราบดี
นางจำเป็นต้องมีแรงกระตุ้นครั้งใหญ่ถึงจะทำให้นางรับรู้ความรู้สึกตัวเองได้ชัดเจน ยามนี้แรงกระตุ้นครั้งใหญ่ก็มีแล้ว แต่นางดูเหมือนจะห่างไกลจากเขายิ่งกว่าเดิม…
เขามองนาง เอ่ยถามออกไป “เมื่อคืนเจ้า…” เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่านางกลับมาเร็วกว่าเขา เหตุใดถึงไม่ได้นอนทั้งคืนเล่า?
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าเขาค่อนข้างสับสนว้าวุ่น จึงเลิกคิ้วมองเขา
————————————————————————————-
บทที่ 869 มิเทียบเท่าคุณชายน้อยผู้สำราญ
ตี้ฝูอีกล่าวต่อว่า “วันนี้เจ้าอาการจ้าไม่ดี การไม่ได้เมื่อคืนส่งผลยิ่งนัก ประกับช่วงเช้าวันนี้หักโหมเกินไป ดังนั้นยามนี้เลือดลมของเจ้าจึงรับการโคจรพลังของวิชาเหินหาวไม่ไหวอยู่บ้าง”
เขาหยิบผลไม้สีแดงฉ่ำวาวผลหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อดั่งเล่นกล “นี่มอบให้เจ้า”
นั่นคือผลชาดเทวะลูกหนึ่ง ทั้งสดทั้งใหญ่กว่าทุกผลที่เขานำออกมาก่อนหน้านี้
กู้ซีจิ่วไม่ได้รับไว้ ส่ายหน้าพลางตอบว่า “ผลไม้นี้คือของรางวัล ข้าไม่มีความชอบอะไร ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่จำเป็นต้องมอบสิ่งนี้ให้ข้า”
พลันหยิบโอสถฟื้นกำลังเม็ดหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของตน โอสถชนิดนี้มีประโยชน์ยิ่งนักในการคลายความอ่อนล้าฟื้นฟูพละกำลัง กู้ซีจิ่วจะใช้มันฟื้นฟูทุกครั้งที่เหนื่อยล้า
ผลไม้ในมือตี้ฝูอีค่อยๆ หดกลับไป เขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ เขามองออกว่าโอสถของกู้ซีจิ่วไม่เลวจริงๆ ต่อให้สรรพคุณสู้ผลไม้ของเขาไม่ได้ แต่ก็ฟื้นฟูกำลังของนางได้แน่นอน
ตี้ฝูอีใบหน้าที่ซีดเซียวของนาง ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “วันนี้เจ้าอาการไม่ดี กลับไปพักก่อนเถิด! พรุ่งนีค่อยมารับโทษอีกครั้ง”
กู้ซีจิ่วก็รู้สึกว่าอาการของตนไม่ค่อยดีนัก ถึงอย่างไรเธอไม่ได้พักผ่อนมาสองวันหนึ่งคืนแล้ว แถมยังเข้าร่วมการฝึกซ้อมที่เข้มงวดถึงเพียงนี้อีก…ในเขายืดเวลาให้อีกวัน เช่นนั้นเธอก็หายใจได้คล่องแล้ว
เธอตอบรับคราหนึ่ง “เจ้าค่ะ ขอบพระคุณมาก!” แล้วหันหลังจากไปอย่างว่องไวทันที
ตี้ฝูอียืนอยู่ตรงนั้นมองแผ่นหลังของห่างไกลออกไป เหม่อลอยไปชั่วขณะ
เดิมีเขาคิดจะอธิบายแก่นาง ทว่าคิดไปคิดมาก็ยอมแพ้อีกครั้ง
เขาหลุบตามองมือตน สุขภาพของกู้ซีจิ่วดูเหมือนจะอ่อนแอกว่าที่เขาคาดไว้ มีอะไรผิดปกติหรือเปล่านะ?
….
“นายท่าน ทำไมท่านกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะขอรับ?” มู่อวิ๋นเข้ามาต้อนรับ “ท่านคงมิได้ปล่อยให้นางฝึกฝนอยู่ที่นั่นพียงลำพังใช่ไหมขอรับ? นายท่าน ยากนักที่จะได้มีโอกาสใกล้ชิดนางเช่นนี้ ท่านจะปล่อยไปไม่ได้นะขอรับ”
ตี้ฝูอีปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าตามข้ามา!”
ด้วยเหตุนี้มู่อวิ๋นจึงรีบตามตี้ฝูอีเข้าไปในเรือน
หลังจากเข้ามาแล้วตี้ฝูอีก็ไม่พูดไม่จาอยู่พักหนึ่ง และเพ่งพิศเขาขึ้นๆ ลงๆ ไม่หยุด มู่อวิ๋นถูกเขามองจนขนลุกแล้ว ค้อมกายเอ่ยขึ้น “นายท่าน?”
“มู่อวิ๋น แผนแสร้งปล่อยเพื่อจับของเจ้าเคยประสบความสำเร็จกับเด็กสาวมาแล้วกี่นาง พวกนางมีนิสัยอย่างไรบ้าง?”
“นี่…ข้าน้อยประสบความเสร็จมาแล้วสองนาง เย็นชานางหนึ่ง หยิ่งทะนงนางหนึ่ง”
“มา เล่าเรื่องเฉพาะของเจ้ากับสองนางนั้นให้ข้าฟังหน่อย ข้าจะฟังแก้เบื่อ”
ด้วยเหตุนี้มู่อวิ๋นจึงเล่า มู่อวิ๋นผู้นี้ความจริงแล้วเจ้าชู้อย่างยิ่ง ตอนที่เขายังไม่ได้ติดตามตี้ฝูอี ก็เคยเป็น ‘ยอดอาชาเลิศล้ำ เสื้อขนสัตว์เลอค่า มิเทียบเท่าคุณชายน้อยผู้สำราญ’ เป็นคุณชายเจ้าชู้ที่เคยเกี้ยวพาหญิงสาวมาแล้วมากมาย เขามีนิสัยประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง ยิ่งเกี้ยวพาสตรีได้ง่ายดายเท่าไหร่ก็เบื่อหน่ายง่ายขึ้นเท่านั้น ละทิ้งอย่างรวดเร็ว
มีอยู่ปีหนึ่งเขาไปดื่มสุรา ณ ที่แห่งหนึ่ง ผลคือที่นั่นมีหญิงบ่มสุราอยู่นางหนึ่ง เขาดึงดูดด้วยสารพัดวิธี ผลคือหญิงบ่มสุรานางนั้นเย็นชากับเขาเสมอ
เดิมทีเขาพียงอยากหยอกเย้าหญิงบ่มสุรานางนี้ตามประสาคนเจ้าชู้เท่านั้น หากอีกฝ่ายตอบรับง่ายๆ ยอมพลีกายให้เขา เขาก็คงละทิ้งในชั่วข้ามคืน แต่เนื่องจากหญิงบ่มสุรานางนี้ไม่ติดกับเขาเลย ทำให้หัวใจเขาคันยุบยิบ ยิ่งได้มาครองยากเท่าไหร่ก็ยิ่งสนใจอีกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น
เดิมทีหญิงบ่มสุรานางนี้กมิได้งามล่มเมืองถึงเพียงนั้น แต่เขากลับยิ่งมองยิ่งเห็นนางขัดเคืองนัยน์ตา ยิ่งไม่ได้มาครองก็ยิ่งอึดอัดคับข้อง รู้สึกเพียงว่านางเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งในใต้หล้านี้ คนงามที่เขาประสบพบเจอนำมารวมกันแล้วยังงามสู้นางไม่ได้เลย
————————————————————————————-
บทที่ 870 ดาบนั้นคืนสนอง
ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลายเป็นลูกค้าประจำของหอสุราแห่งนั้น หาโอกาสไปหยอกเย้าโฉมงามนางนั้น แต่โฉมงามช่างมีจิตใจเข้มแข็งนัก ไมสนใจใยดีเขาเลย…
จนกระทั่งวันหนึ่งเขารู้สึกว่าโฉมงามนางนี้เกี้ยวพาไม่ได้จริงๆ ไม่คิดจะสิ้นเปลืองกำลังอีกต่อไป ดังนั้นจึงควบคุมตัวเองงดไปที่นั่นหนึ่งดือน หนึ่งเดือนผ่านไปเขาเตรียมการจะไปที่นี่เป็นครั้งสุดท้าย ถือว่าเป็นการบอกลาความรักข้างเดียวให้ตน ไม่นึกเลยว่าพอเขาไปถึงโฉมงามนางนั้นก็นัยน์ตาแดงก่ำ ถามเขาว่าเพราะเหตุใดถึงไม่มานานขนาดนี้ ยามนั้นเขาค่อนข้างทึ่มอยู่บ้าง เอ่ยถามสตรีนางนั้นไปประโยคเดียว “เจ้าคิดถึงข้าหรือ?”
ผลคือสตรีนางนั้นโผเข้าใส่อ้อมอกเขานเกิดเสียงดังตุบ!
กลายเป็นเรื่องราวอันงดงามของเขา
แน่นอนว่ามู่อวิ๋นผู้นี้เจ้าชู้มาตั้งแต่กำเนิด หลังจารักใคร่กับแม่งนางผู้นี้ไปได้ระยะหนึ่ง ก็พบ่าสตรีนางนี้มิได้ยอดเยี่ยมอย่างที่เขาจินตนาการไว้ เพียงแต่เนื่องจากได้มาครองอย่างยากลำบากทำให้สิ้นเปลืองความคดไปมากมายนัก ยามนี้พอได้มาครองแล้ว ขอเสียของอีกฝ่ายก็เผยของมาทันที
อย่างเช่นเท้าของอีกฝ่ายใหญ่ไปหน่อย ดั้งของอีกฝ่ายไม่มีสันอยู่บ้าง นิสัยใจคอของอีกฝ่ายค่อนข้างแย่เป็นต้น…
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเลิกรากับแม่สาวอดีตภูเขาน้ำแข็งนางนี้
นี้คือการใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับครั้งแรกของเขา แน่นอนว่าเป็นการทำลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ยังคงยอดเยี่ยมนัก ดังนั้นเขาจึงสรุปผลประสบการณ์ที่ได้รับมา ต่อมาก็นำไปใช้กับหญิงสาวรายที่สอง
หญิงสาวรายที่สองคือจอมยุทธ์หญิงนางหนึ่ง หยิ่งผยองย่างยิ่ง ประหนึ่งบุปผาบนยอดดอย แม้จะดึงดูวีรบุรุษนับไม่ถ้วนให้แข่งขันกันหมอบราบอยู่ใต้ชายกระโปรงนางได้
นางมีความลุ่มหลงอันพิสดารอย่างหนึ่ง นางคาดหวังให้ยอดบุรุษทั้งหมดในใต้หล้านี้ชมชอบนาง ต่อสู้กันเพื่อนางได้จะดีที่สุด สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อนาง วิธีที่นางใช้หว่านบุรุษเหล่านี้ก็เป็นกลยุทธ์ปล่อยเพื่อจับเช่นกัน ไม่สนิทชิดเชื้อกับผู้ใดจริงๆ แต่ทำราวกับนางกำลังตกผู้อื่นอยู่ ไม่ให้ความหวังผู้อื่นแต่ก็ไม่ทำให้ผู้อื่นหมดความหวัง มักจะทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเพียงก้าวเดียวก็จะไล่ตามนางทันแล้ว…
ในช่วงที่บุรุษเหล่านั้นถูกดึงดูดเสมือนบ้าคลั่งไป
สหายสนิทคนหนึ่งของมู่อวิ๋นก็เป็นหนึ่งในนั้น ทำการต่อสู้กับบุรุษอีกคนด้วยความหึงหวงในตัวนาง แทบจะเอาชีวิตไมอด จากนั้นก็ถูกสตรีนางนั้นเตะทิ้งเยี่ยงสุนัข
เมื่อเรื่องนี้ถูกมู่อวิ๋นทราบเข้า เขาจึงตัดสินใจล้างแค้นให้สหายสนิท ใช้วิธีดาบนั้นคืนสนอง
เริ่มแรกก็ตามเกี้ยวสตรีนางนั้นอย่างบ้าคลั่งอยู่หลายวันเช่นเดียวกับบุรุษคนอื่นๆ เขารูปโฉมหล่อเหลางามสง่า เมื่ออยู่ในหมู่บุรุษเหล่านั้นก็ดูราวกับต้นหยกสะโอดสะอง ย่อมดึงดูดความสนใจจากสตรีนางนั้นได้ สตรีนางนั้นสนิทชิดเชื้อกับเขามากก่าบุรุษคนอื่นๆ เล็กน้อย แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น
มู่อวิ๋นเองก็ไม่รีบร้อน หลังจากตามเกี้ยวพาอย่างบ้าคลั่งอยู่หลายวันก็รามือ ไม่ปรากฏตัวต่อหน้าสตรีนางนั้นเลยหนึ่งเดือน ต่อมายามที่ปรากฏตัวอีกครั้งข้างกายเขาก็พาคนรู้ใจนางอื่นมาด้วย…
สตรีนางนั้นไม่ยินยอมอย่างยิ่ง เมื่อเห็นเขาดีต่อหญิงอื่นก็คับข้องหมองใจนัก ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มเข้าใกล้เขาจริงๆ คงอยากเอาชนะเขา
แต่เขาก็เฉยเมยอยู่ตลอด ทำให้สตรีนักตกผู้นั้นคันหัวใจยุบยิบ ปล่อยวางจากเขาไม่ได้มากยิ่งขึ้น ต้องการครอบครองหัวใจของเขา ต้องการให้เขาประคองนางไว้กลางฝ่ามืออีกครั้งเฉกเช่นก่อนหน้านี้…
ในท้ายที่สุด สตรีนางนั้นแทบจะมอบกายถวายชีวิตให้เขา มิใช่เขาก็ไม่แต่ง เขาจึงหยิบยื่นไมตรีให้แก่อีกฝ่าย ด้วยเหตุนี้สตรีนางนั้นจึง…จึงกลายเป็นหนึ่งในบรรดาคนรู้ใจมากมายของเขา
หลังจากได้นางมาครองแล้วขาก้สลัดสตรีนางทิ้งอย่างง่ายดายทันที ให้นางได้ลิ้มรสการอยู่มิสู้ตายหลังถูกบุรุษทอดทิ้ง…
เมื่อมู่อวิ๋นเล่าประสบการณ์ที่พบเจอในยามเยาว์สองเรื่องนี้จบ ก็รู้สึกว่ายังไม่เต็มอิ่ม ต่อมาจึงสรุปข้อคิดเห็นให้ด้วย…
————————————————————————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น