อยากกินไหมล่ะ 863-865

 บทที่ 863 หมอนมาได้ทันเวลาพอดี

“อืม” หยวนโจวพยักหน้าแล้วตอบเช่นเคย


หลังจากเขาถูกถามเรื่องฝีมือการทำอาหาร พวกเขาก็พูดคุยสัพเพเหระ โจวซื่อเจี๋ยถามขึ้นมาและหยวนโจวก็แค่ตอบเท่านั้น เขาถามเรื่องที่หยวนโจวฝึกฝนแกะสลักน้ำแข็งแล้วก็มาถึงธุระสำคัญในเฮือกสุดท้าย


“เรื่องมันเป็นอย่างนี้นะ เท่าที่ผมทราบมาตอนนี้ร้านของคุณก็เป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้คนและอาหารตำหรับเสฉวนก็เป็นแบบต้นตำหรับทีเดียว คุณสนใจจะเข้าร่วมการประเมินสุดยอดร้านอาหารไหมล่ะ?” โจวซื่อเจี๋ยกล่าว


“สุดยอดร้านอาหารงั้นเหรอครับ?” หยวนโจวรู้สึกประหลาดใจแล้วเขาก็ถามขึ้นมา


“ใช่แล้วล่ะ ผมยังไม่ได้บอกคุณมาก่อนเลยนี่นา มีการประเมินสุดยอดร้านอาหารตำหรับเสฉวนในมณฑลเสฮฉวนกันอยู่ทุกปี ผมทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการตัดสินปีนี้ด้วยล่ะ ฉะนั้นผมก็เลยได้โควตาของคนที่อยากจะแนะนำมาด้วย แล้วปีนี้ผมก็อยากแนะนำร้านของคุณน่ะ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวเสียงค่อย


ช่างเป็นหมอนให้แก่ผู้ที่กำลังง่วงนอนเสียจริงๆเลยเชียว ข้อเสนอแนะของโจวซื่อเจี๋ยช่วยแก้ปัญหาเรื่องบัตรผ่านประตูได้ทันเวลาพอดีเลย หยวนโจวคลี่ยิ้มบนใบหน้าออกมา ความเปลี่ยนแปลงมักจะล้ำหน้าแผนอยู่เสมอ แม้แต่เจ้าระบบก็ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าผลจะลงเอยเช่นนี้


“ขอบคุณครับ” หยวนโจวกล่าวด้วยความเคารพ


“อย่าเอ่ยถึงมันเลยน่า นับเป็นบุญของสมาพันธ์เชฟของเราที่มีคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์อย่างคุณมาร่วมงานกับเรา ทั้งยังเป็นโชคดีของวงการเชฟในประเทศจีน แน่นอนว่ากิจกรรมดังกล่าวควรจะเปิดโอกาสให้คนหนุ่มผู้มีความสามารถอย่างคุณ มีเพียงแบบนี้เท่านั้นแหละที่จะสามารถพัฒนาวงการเชฟให้ดีขึ้นได้ แน่นอนว่ากิจกรรมดังกล่าวก็ควรจะเปิดกว้างด้วย” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวอย่างเป็นทางการ


“ผมก็เอาแต่คุยเรื่องกิจกรรมสุดยอดร้านอาหารจนลืมถามไปเลย คุณจะยอมรับคำเชิญไหมล่ะ?” โจวซื่อเจี๋ยรู้ว่าหยวนโจวไม่ชอบคุยเรื่องสัพเพเหระจึงยุติการสนทนาลงทันที


“ครับ ขอบคุณสำหรับข้อเสนอแนะดีๆนะครับ ท่านประธาน” หยวนโจวพยักหน้าอย่างจริงจังแล้วกล่าวว่า “ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังครับ”


“ดี ดี งั้นผมไม่รบกวนคุณแล้วล่ะ ตอนที่คุณฝึกฝีมือการทำอาหารก็อย่าลืมดูแลตัวเองเสียเล่า ผมจะวางหูแล้วนะ” โจวซื่อเจี๋ยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจแล้ววางสายไป


เนื่องจากเรื่องบัตรผ่านประตูได้รับการแก้ไขแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือการแสดงความสามารถของหยวนโจวเอง อีกทั้งเจ้าก็ระบบตัดสินให้ร้านหยวนโจวเป็นร้านที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในมณฑลเสฉวนด้วย และนั่นก็เป็นเรื่องจริง แต่อันที่จริงแล้วมันยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากเจ้าหน้าที่เนื่องจากเวลาเปิดร้านอันจำกัด


ถ้าหากเขาได้ฉายา “สุดยอดร้านอาหาร” มาก็ย่อมช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างหมดจดเป็นแน่แท้


แน่นอนว่าเรื่องนี้หาได้ง่ายดายเช่นนั้นไม่


กลับมาที่อีกด้านหนึ่ง หลังจากหยวนโจวตอบตกลงแล้ว โจวซื่อเจี๋ยก็รู้สึกทั้งพึงพอใจและเบิกบานใจเหลือแสน


“เจ้าหมอนี่ไม่เลวเลยจริงๆ” โจวซื่อเจี๋ยวางสายแล้วกล่าวว่า “เขาแค่ต้องทุ่มเทให้กับฝีมือการทำอาหารของตัวเองเท่านั้นเอง”


“ท่านประธาน คุณได้โควตามาแค่ที่เดียวแถมยังไม่ยกให้ใครนอกจากเขาอีกต่างหาก แน่นอนว่าเขาย่อมต้องตอบตกลงอยู่แล้วล่ะ” เป็นจงลี่ลี่นั่นเองที่ยืนอยู่ข้างๆแล้วพูดขึ้นมา


“คุณไม่เข้าใจหรอก เจ้าหมอนี่เป็นคนทะนงตนมากเชียวล่ะ ดังนั้นการที่เขาตอบตกลงเข้าร่วมงานย่อมดีที่สุดแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงนับได้ว่าความผูกพันใกล้ชิดกับสมาพันธ์เชฟของเรา” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวพลางอมยิ้ม


“เถ้าแก่หยวนเป็นเชฟโดยเนื้อแท้จริงๆ” จงลี่ลี่ชักจะสับสนนิดหน่อย “เขาจะหนีไปไหมครับ?”


“อืม เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่เชฟหรอกนะ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเป็นเชฟที่มีพรสวรรค์ทั้งยังผู้เชี่ยวชาญอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีที่มีอายุน้อยอีกต่างหาก และตอนนี้เขาก็เป็นช่างแกะสลักน้ำแข็งด้วย พูดก็พูดเถอะนะ เขาสามารถมีฝีมือมากมายขนาดนี้ได้ยังไงกัน?” โจวซื่อเจี๋ยชักจะปวดหัวขึ้นมาเสียแล้วเมื่อต้องพูดถึงเรื่องนั้น


ที่จริงโจวซื่อเจี๋ยมีสาเหตุให้ปวดหัว เขาเพิ่งจะเกลี้ยกล่อมซาลาเปาจี้ให้ยอมขอโทษหยวนโจวที่ไปสร้างความลำบากให้ และเขาก็หายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียเลยเมื่อหยางซู่ซินผู้เป็นตัวแทนของวงการแกะสลักน้ำแข็งกลับมาอีกครั้ง


ถึงอย่างไรซาลาเปาจี้ก็พอเข้าใจได้ เนื่องจากอย่างน้อยอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีก็เป็นฝีมือการทำอาหารอีกสาขาหนึ่ง แต่แน่นอนว่าย่อมมีการก้าวก่ายของวงการแกะสลักน้ำแข็งเพื่อชิงตัวหยวนโจวด้วย


ในฐานที่เป็นชายชราที่มีอายุกว่าห้าสิบปี เขาจึงพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะรักษาพรสวรรค์เอาไว้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ความกังวลก็นับเป็นโชคอีกแบบหนึ่งด้วย


“อันที่จริงแล้วอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีทั้งหมดเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยฝีมือการทำอาหาร ส่วนการแกะสลักน้ำแข็งนั้น พวกเราเองก็ร่วมมือกับพวกเขาในเมนูอาหารของเราอยู่บ่อยๆ” จงลี่ลี่พูดอะไรไม่ออกได้แต่ปลอบโยนโจวซื่อเจี๋ยด้วยวิธีนี้เท่านั้นแล้ว


“แน่นอน ฉันรู้ดี ถ้าหากพวกเราไม่ทำอะไรเสียเลย คุณคิดว่าผมจะยอมให้ตาเฒ่าหยางมารังแกอย่างนั้นหรือไง?” โจวซื่อเจี๋ยเริ่มโมโหขึ้นมาเมื่อเขาพูดถึงหยางซู่ซิน


ถูกต้องแล้วล่ะ หลังจากหยางซู่ซินกลับไปคุยเรื่องการแข่งขันกับคนจากวงการแกะสลักน้ำแข็ง ไม่เพียงจะเกิดการทะเลาะกันอย่างดุเดือดในอินเตอร์เน็ตเท่านั้น แม้แต่ประธานของวงการแกะสลักน้ำแข็งก็ยังถามหาหยวนโจวเอากับโจวซื่อเจี๋ยเลย


ในสายตาของโจวซื่อเจี๋ยนั้น เรื่องนี้ต้องโทษหยางซู่ซิน ในเมื่อพ่ายแพ้ในการแข่งขันแล้ว ทำไมถึงต้องพูดให้คนอื่นฟังแถมยังคิดที่จะดึงตัวหยวนโจวไปด้วย?


เมื่อได้ยินโจวซื่อเจี๋ยบ่น จงลี่ลี่ก็พบว่าคงไม่เหมาะที่จะพูดอะไรอีกจึงได้แต่ยิ้มอยู่เงียบๆ เมื่อก้มหน้าแล้วเจอเอกสารในอ้อมแขนตัวเองจึงรีบยื่นส่งให้เขาทันที


“ท่านประธาน นี่เป็นเอกสารของคุณ เสร็จแล้วเรียกฉันได้เลย” จงลี่ลี่วางเอกสารแล้วเตรียมที่จะหลบฉากออกไป


“เป้ง” เสียงกลวงๆส่งผ่านจากการสัมผัสกันของเอกสารหนาหนักกับโต๊ะไม้เนื้อแข็ง โจวซื่อเจี๋ยก้มหน้ามองเอกสารแล้วพบว่าอย่างแรกเป็นจดหมายซึ่งลงลายมือชื่อเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วซึ่งบ่งบอกว่ามาจากประธานของวงการแกะสลักน้ำแข็ง


“เวรเอ้ย เจ้าตัวก่อเรื่อง! ฉันอุตส่าห์ไม่รับสายเขาแล้วแท้ๆยังจะเขียนจดหมายมาให้ประหลาดใจเล่นได้อีก” ทันทีที่โจวซื่อเจี๋ยเห็นส่วนท้าย เขาก็แทบจะทุบโต๊ะแล้วลุกขึ้นทันที


“แค่ก แค่ก คุณเป็นอะไรไหม?” จงลี่ลี่รู้สึกตกใจจึงรีบหันหน้าไปถาม


“ไม่เป็นไร โยนจดหมายฉบับนั้นทิ้งไปซะ” โจวซื่อเจี๋ยหยิบซองจดหมายขึ้นมาแล้วโยนไปให้จงลี่ลี่


“ได้ๆ พักผ่อนก่อนเถอะนะ” จงลี่ลี่รับซองจดหมายมาแล้วรีบกันหลังออกจากห้องไปแล้วปิดประตูทันที การกระทำทั้งหมดเสร็จสิ้นในรวดเดียว


เมื่อจงลี่ลี่ออกมาแล้ว ผู้ช่วยอีกคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องเว่ยป๋อของโจวซื่อเจี๋ยถามเธอตรงประตู “ท่านประธานอารมณ์เสียอีกแล้วเหรอ?”


“อืม” จงลี่ลี่รักษาความเยือกเย็นของตนเองเอาไว้แล้วพยักหน้า


“เพราะเถ้าแก่หยวนคนนั้นเหรอ?” ผู้ช่วยคนนี้ยังคงถามต่อไปด้วยความสงสัยเพราะไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรกับสถานการณ์เช่นนี้ดีจึงถามซอกแซกขึ้นมา


“อืม” จงลี่ลี่พยักหน้าพอเป็นพิธีแล้วเหลือบมองผู้ช่วยอย่างเข้มงวด


“จึ๊ จึ๊ เถ้าแก่หยวนคนนี้สุดยอดมากเลย นานขนาดไหนแล้วที่สมาพันธ์เชฟของเราไม่ครื้นเครงกันแบบนั้น คนจากวงการอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีเพิ่งจะกลับไปแท้ๆ คนจากวงการแกะสลักน้ำแข็งก็มาหาเขาอีกแล้ว ราวกับว่าทุกคนอยากจะกัดกินเถ้าแก่หยวนให้ได้อย่างไรอย่างนั้นแหละ” ผู้ช่วยยังคงไม่สังเกตถึงความผิดปกติแต่อย่างใด เธอจึงเอาแต่พร่ำบ่นตอนที่กำลังจ้องมองไปที่คอมพิวเตอร์


“เอาล่ะ หยุดเสียทีเถอะน่า กลับไปทำงานได้แล้ว” ในที่สุดจงลี่ลี่ก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิเธอ


“โอ้ ค่ะ ฉันจะกลับไปทำงานเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” จากนั้นผู้ช่วยก็ต้องประหลาดใจที่จงลี่ลี่ดูมีสีหน้าไม่ดีนัก ดังนั้นเธอจึงรีบนั่งลงแล้วเริ่มทำงานของตัวเองทันที


เมื่อจัดการกับผู้ช่วยช่างจ้อที่มีหน้าที่คอยรับผิดชอบเรื่องเว่ยป๋อแล้ว จงลี่ลี่ก็นั่งลงบนเก้าที่แล้วถอนหายใจออกมา จากนั้นเธอค่อยรู้สึกผ่อนคลายลงในที่สุด


แต่ทันทีที่เธอเห็นเอกสารเป็นปึกบนโต๊ะ เธอก็รู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาอีกครั้ง สมาพันธ์เชฟไม่เคยยุ่งและเหนื่อยมากขนาดนี้มาก่อนเลย


“ฉันนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าหยวนโจวมีฝีมือพวกนี้ตั้งแต่อายุยังน้อยได้ยังไงกัน” เมื่อมองไปทางเอกสารปึกใหญ่เกี่ยวกับตัวหยวนโจว จงลี่ลี่ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา


เอกสารพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคำเชิญถึงหยวนโจว ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขัน การสัมภาษณ์หรือรายการโทรทัศน์


ถึงอย่างไรภาพลักษณ์อันเป็นที่ยอมรับมากที่สุดของหยวนโจวก็ยังคงเป็นเชฟ ดังนั้นผู้ที่อยากเชิญเขาย่อมต้องส่งจดหมายเชิญมาที่สมาพันธ์เชฟ


สิ่งเหล่านี้ผ่านการเจรจาต่อรองระหว่างโจวซื่อเจี๋ยกับหยวนโจวมาแล้ว หลังจากสมาพันธ์เชฟประกาศออกมาแล้ว พวกเขาก็จะช่วยจัดการเรื่องจุกจิกพวกนี้ให้หยวนโจว ปกติไม่ค่อยมีใครมาคุยเรื่องจุกจิกพวกนี้กับหยวนโจวตัวต่อตัวหรอกเว้นเสียแต่ว่าจะเป็นผู้ที่ไม่ทราบเรื่องประกาศหรือผู้ที่ดื้อรั้นดันทุรัง


แถมโจวซื่อเจี๋ยยังกำชับเป็นพิเศษว่าอย่าให้เรื่องหยุมหยิมพวกนี้มารบกวนหยวนโจวได้


บทที่ 864 รักแท้ของหลิงหง

ต้องขอบคุณสมาพันธ์เชฟ หยวนโจวจึงไม่ต้องจัดการกับผู้ส่งคำเชิญด้วยตนเองตลอดทั้งวัน ทำให้เขาสามารถทำสิ่งที่คุ้มค่าคุ้มเวลาได้มากกว่า


พร้อมทั้งการออกอากาศของวิดีโอโปรโมท “ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลี” และรายการวาไรตี้ “โรล เดียร์ บีฟ” ก็ทำให้หยวนโจวกลายเป็นเชฟที่เป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ


หยวนโจวไม่รู้ว่าสมาพันธ์เชฟจะปฏิเสธคำเชิญของเขาไปตั้งมากมาย เหลือเพียงคำเชิญสำคัญๆเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ส่งไปให้หยวนโจวหลังจากผ่านการคัดกรองของโจวซื่อเจี๋ยมาแล้ว


แม้จะเป็นเช่นนั้น หยวนโจวก็ปฏิเสธคำเชิญพวกนั้นไปเสียส่วนใหญ่ ก่อนอื่น! แน่นอนว่าย่อมมิใช่เพราะเขาเกียจคร้านแต่อย่างใดหรอก ไม่สิ สาเหตุที่ทำให้เขาปฏิเสธคำเชิญพวกนั้นก็เพราะหยวนโจวเพียงแค่ต้องการที่จะตั้งใจศึกษาทักษะการทำอาหารเท่านั้นเอง


แต่คำเชิญในคราวนี้ค่อนข้างแตกต่างออกไปจากเมื่อก่อนหน้านี้ พอถึงเวลาที่เหมาะสมจึงทำให้หยวนโจวรู้สึกค่อนข้างยินดีปรีดามากทีเดียว เมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกเบิกบานใจ หยวนโจวก็อยากจะแกะสลัก เช่นเดียวกับตอนนี้ เขาออกไปข้างนอกแล้วเริ่มแกะสลักทันที


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อมัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับอะไรสักอย่าง เวลาอาหารค่ำก็มาถึงโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว


วันนี้หลิงหงมาถึงค่อนข้างเร็ว ส่วนอู๋ไห่ก็ยังคงเป็นคนแรกที่มาถึงและหลิงหงก็เข้ามาต่อท้ายเขาทันที


“นายแทบไม่เคยมาเร็วมากขนาดนี้เลยนี่นา” อู๋ไห่ลูบหนวดเคราแล้วมองหลิงหงด้วยสายตาแปลกๆ


เขาเพิ่งพูดไปเมื่อตอนกลางวันอยู่หยกๆว่าพักนี้เขาค่อนข้างแล้วเมื่อตอนกลางวันเขาก็มาเข้าแถวเร็วมากๆเลยด้วย นั่นเป็นเรื่องแปลกมากจริงๆ


“ก็ตอนกลางวันฉันไม่ยุ่งไงล่ะ” หลิงหงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ เขาดูไม่ร่าเริงอย่างเคย


“นายความจำเสื่อมหรือไง? นายเพิ่งจะบอกไปตอนกลางวันเองว่าพักนี้นายค่อนข้างยุ่ง” อู๋ไห่หาใช้ผู้ที่จะไว้หน้าผู้อื่นจึงทำให้เขาเตือนหลิงหงขึ้นมาตามตรง


“ฉันจะยุ่งนับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปต่างหากเล่า” หลิงหงขมวดคิ้วแล้วอธิบาย


“ฉันไม่คิดว่านายจะความจำเสื่อมเลยนะ นายต้องกังวลอะไรสักอย่างอยู่แหงๆเลย ดูนายสิ นายดูเพ้อๆยังไงก็ไม่รู้” อู๋ไห่กล่าวยืนยัน


“ไปตายซะ” หลิงหงขึ้นเสียงแล้วโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์


พวกเขามักจะคุยกันอยู่เช่นนี้ ส่วนบรรดาลูกค้าคนอื่นๆที่รีบมาเข้าแถวก็หาได้รู้สึกถึงความผิดปกติแต่อย่างใดไม่ แต่อู๋ไห่กลับมองหลิงหงด้วยสายตาแปลกๆและเชื่อว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นกับเขา


ใช่แล้วล่ะ ท่าทีที่อู๋ไห่มองหลิงหงช่างเปี่ยมไปด้วยความสงสัยเป็นอันมาก


แน่นอนว่าย่อมเป็นเพราะหลิงหงอารมณ์เสียมาก่อนแล้ว เขาจึงไม่น่าจะใจเย็นและสงบนิ่งได้หรอก


ต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่แล้วมิตรภาพระหว่างอู๋ไห่กับหลิงหงมาจากการโต้เถียงกันในแต่ละวันของพวกเขานั่นเอง


อู๋ไห่ลังเลอยู่ชั่วครู่และมองหลิงหงที่ดูเหมือนจะเป็นปกติเช่นเคยอีกครั้ง เนื่องจากเขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อู๋ไห่จึงไม่ทราบว่าจะถามอะไรดี


เพียงไม่นานนักก็มีคนมาเข้าแถวมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเสียงดัง “ติ๊ง” พวกเขาก็เริ่มเข้าแถวรอรับตั๋วหมายเลข เวลาอาหารค่ำเริ่มขึ้นแล้ว


สิบคนแรกรวมทั้งอู๋ไห่กับหลิงหงเข้าร้านไปกินอาหารแล้ว ทันทีที่พวกเขาได้ที่นั่งแล้ว หลิงหงก็หันกลับไปมองแล้วนั่งลงข้างพี่วั่น


เพราะความเป็นห่วงในตัวหลิงหงเพื่อนของเขาแล้ว แน่นอนว่าอู๋ไห่ย่อมต้องนั่งลงข้างหลิงหงด้วย


“นายมานั่งทำอะไรตรงนี้เล่า?” หลิงหงมองอู๋ไห่แล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์


“ดูเรื่องสนุกน่ะสิ” อู๋ไห่ลูบหนวดเคราแล้วหาได้ปกปิดเจตนาแม้แต่น้อย


“โฮ่โฮ่” หลิงหงอดไม่ได้ที่จะกลอกตา จากนั้นเขาก็หันหน้ากลับไปแล้วไม่ได้คุยกับอู๋ไห่อีก


“มีอะไรงั้นเหรอ?” น้ำเสียงอ่อนโยนของพี่วั่นดังขึ้นมา


พี่วั่นเป็นคนฉลาดมากทีเดียว เมื่อเธอพบว่าหลิงหงมานั่งข้างเธอเป็นพิเศษ เธอก็รู้แล้วล่ะว่าเขาต้องมีเรื่องอยากถามเธอแน่ๆจึงรุกเข้าไปคุยกับเขา


“เปล่าหรอก ผมแค่อยากเลี้ยงอาหารค่ำพี่เท่านั้นเอง” จู่ๆหลิงหงก็มองไปทางอู๋ไห่แล้วเรียกโจวเจีย


“ห๊ะ? นายไม่ต้องทำแบบนี้หรอกน่า แค่บอกมาว่าจะให้ฉันช่วยอะไรก็พอแล้วล่ะ” พี่วั่นตกตะลึงก่อนแล้วค่อยตอบคำถามออกมา


“ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนก็แล้วกัน” หลิงหงกล่าวอย่างใจเย็น


“งั้นก็ได้” เมื่อได้ยินเช่นนั้น พี่วั่นก็ไม่ปฏิเสธน้ำใจของเขาอีกแถมยังตอบตกลงอีกต่างหาก


“ฉันขอโต๊ะจีนปลารวมมิตรให้พี่วั่นนะ” หลิงหงบอกโจวเจียที่อยู่ข้างๆ


“ช้าก่อน ฉันก็อยากกินด้วยนะ” อู๋ไห่กล่าวอย่างใจกล้าหน้าด้าน แม้ว่าเจ้าคนหน้าไม่อายอู๋จะไม่ค่อยกินปลาสักเท่าไหร่นักก็ตามที


“เรื่องที่ฉันจะบอกไม่เกี่ยวกับนายสักหน่อย” หลิงหงเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรเอามากๆ


“ไม่เอาน่า บางทีฉันอาจจะช่วยนายได้อยู่นะ” ขณะที่กำลังลูบหนวดเคราตนเองอยู่นั้น อู๋ไห่ก็กล่าวด้วยความมั่นใจออกมา


“ฉันขอพนันเลยว่านายช่วยไม่ได้หรอก” หลิงหงกล่าวด้วยความมั่นใจยิ่งกว่าอู๋ไห่เสียอีก


“เอาล่ะ พี่หลิง สาเหตุที่มาเลี้ยงอาหารคืออะไรกันแน่คะ?” ในที่สุดโจวเจียก็ถามขึ้นมาก่อนที่อู๋ไห่จะทันได้ตอบหลิงหง


ตามกฎของร้านหยวนโจว โต๊ะจีนปลารวมมิตรสามารถสั่งได้เฉพาะในการเลี้ยงอย่างเป็นทางการเท่านั้น ด้วยเหตุนั้นโจวเจียจึงต้องถามเรื่องนั้นขึ้นมาก่อน


“มันเป็นเรื่องสำคัญมากเชียวล่ะ เรื่องเกี่ยวกับการไปร่วมงานแต่งงานน่ะ” หลิงหงกล่าวอย่างจริงจัง


“ไปร่วมงานแต่งงั้นเหรอคะ?” โจวเจียมองพี่วั่นกับหลิงหงซ้ำไปซ้ำมาด้วยท่าทีสับสน


“นายจะพาพี่วั่นไปร่วมงานแต่งงานงั้นรึ?” อู๋ไห่ถามออกมาโต้งๆ “นายไม่กลัวถูกตีจนตายหรือไง? ให้พูดตรงๆก็คืออย่าลืมทิ้งมรดกของนายให้เถ้าแก่หยวนก่อนที่นายจะลาโลกไปด้วยล่ะ”


เมื่อเขากล่าวเช่นนั้นออกมา แม้แต่ความสนใจของหยวนโจวก็ยังถูกพวกเขาดึงดูดไปด้วย ในส่วนท้ายของคำพูดอู๋ไห่ถูกเมินไปในทันที มรดกของหลิงหงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับหยวนโจวหลังจากเขาเสียชีวิตไปเสียหน่อย


เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหมอนี่กันนะ? หยวนโจวมองหลิงหงแล้วคิดในใจ เขาหลงรักพี่วั่นอยู่งั้นเหรอ?


“ฉันยังโสดอยู่เลยนะ แต่หากรวมพี่วั่นเข้าไปด้วยเจ้าหมอนี่ก็มีแฟนปาเข้าไปแล้วตั้งสามคน” เมื่อนึกได้เช่นนั้น หยวนโจวก็มองหลิงหงด้วยความขุ่นเคือง หยวนโจวไม่รู้หรอกว่าจริงๆแล้วหลิงไม่เอาส่วนลดมีแฟนมาแล้วมากกว่าสามคน


สำหรับเรื่องนี้หลิงหงนับว่าเป็นคนดีทีเดียว เขาเห็นอกเห็นใจคนโสดและไม่เคยโอ้อวดแฟนสาวของเขาต่อหน้าผู้อื่นมาก่อนเลย


เนื่องจากหยวนโจวอยู่ข้างๆแถมท่าทางของเขาก็ไม่เด่นชัดเท่าอู๋ไห่จึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นเขา


“เปล่าสักหน่อย ฉันอยากปรึกษาพี่วั่นเรื่องไปร่วมงานแต่งงานของใครบางคนต่างหากเล่า” หลิงหงโบกมือแล้วอธิบาย


“ฉันเข้าใจแล้ว” ในที่สุดอู๋ไห่ก็เข้าใจเสียที จากนั้นเขาก็โน้มตัวไปกับโต๊ะเพื่อแสดงว่าไม่สนใจ


“อีกอย่างฉันเองก็อยากกินโต๊ะจีนปลารวมมิตรด้วยล่ะ” อู๋ไห่ลุกขึ้นมาอีกครั้งทันที เขาจ้องมองไปทางหลิงหงแล้วพร่ำพูดซ้ำๆถึงสิ่งที่เขาเพิ่งจะพูดไป


“นายเคยไปร่วมงานแต่งงานมาก่อนไหม?” หลิงหงถามเขาด้วยสีหน้าเฉยเมย


“ไม่อ่ะ แต่ฉันเคยเห็นคนอื่นแต่งงานนะ” อู๋ไห่กล่าวอย่างหน้าไม่อาย


“โฮ่โฮ่” หลิงหงตอบเขาง่ายๆแค่สองคำ จากนั้นเขาก็มองโจวเจียเพื่อยืนยันกับเธอ


“ขอไปถามเถ้าแก่ก่อนนะคะ” โจวเจียกล่าว


“ไม่มีปัญหา” โจวเจียยังไม่ทันจะหันหน้าไปบอกอะไรหยวนโจวที่อยู่ข้างๆก็ตอบตกลงออกมาแล้ว


หยวนโจวรู้สึกสงสัยเรื่องที่หลิงหงอยากรู้เรื่องงานแต่งงานเหลือเกิน ด้วยหูตาอันเฉียบคมของเขาทำให้เขาได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างแม้ว่าพวกเขาจะคุยกันเสียงค่อยก็ตามที


“ขอบใจนะ” หลิงหงโบกมือให้หยวนโจวพลางอมยิ้มแล้วโอนเงินให้ทันที


“โต๊ะจีนปลารวมมิตรงั้นหรือ? หลิงหง นายอยากรู้รายละเอียดอะไรเกี่ยวกับงานแต่งงานกันล่ะ?” พี่วั่นมองหลิงหงพลางอมยิ้มแล้วแสดงสีหน้าอยากรู้อยากเห็น


หลิงหงเอาแต่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร


“นายหลงรักเพื่อนเจ้าสาวอยู่ใช่ไหมล่ะ?” พี่วั่นคาดเดาอย่างมีเหตุผล


“เปล่าหรอก แฟนเก่าของผมเชิญผมให้ไปร่วมงานแต่งงานของเธอล่ะ” หลิงหงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ


“แฟนเก่างั้นรึ?” พี่วั่นมองหลิงหงด้วยความประหลาดใจ


“แฟนเก่าของนายเป็นคนแบบไหนกันถึงได้เชิญนายไปร่วมงานแต่งงานของตัวเองน่ะ?” แม้แต่อู๋ไห่ก็ยังตกตะลึงไปด้วยเลย


แฟนเก่าของหลิงหงรวมกันแล้วมีมากถึง 1000 แต่ก็ไม่น้อยกว่า 800 คน ถ้าหากพวกเธอแต่ละคนเชิญเขาไปร่วมงานแต่งงานกันหมด หลิงหงคงเหนื่อยตายเป็นแน่ ดังนั้นอู๋ไห่จึงอยากรู้ว่าเธอผู้นั้นเป็นคนอย่างไรกันแน่


ที่สำคัญคนอย่างหลิงหงจะไปร่วมงานแต่งงานของแฟนเก่าตัวเองได้อย่างไรกันเล่า? เรื่องแบบนั้นช่างไม่เข้ากับนิสัยใจคอของเขาเอาเสียเลย


เขาเป็นที่ขึ้นชื่อในเรื่องยึดหลักการที่ว่าพอเลิกกันก็กลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว เขาสามารถละทิ้งอะไรก็ได้ทั้งนั้นยกเว้นก็เพียงความรักเท่านั้น


บทที่ 865 ขอให้เธอมีความสุข

ที่สำคัญไปกว่านั้นผู้หญิงทุกคนมีแนวโน้มที่จะเลิกติดต่อกับหลิงหงหลังจากเลิกกันแล้ว ถึงจะเคยรักกันมาก่อนก็เถอะนะ


“ผู้หญิงคนนี้ต่างจากคนอื่น พวกเราเคยรักกันมากมาก่อน” หลิงหงกล่าวด้วยความมั่นใจ


“สำหรับคนอื่นอาจจะเป็นเรื่องจริงนะ แต่สำหรับนาย ฉันกลับไม่คิดอย่างนั้นหรอก” อู๋ไห่กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “นายเคยมีรักแท้กับเขาด้วยเหรอ?”


“นายให้คำอธิบายกับทุกสัมพันธ์ว่าเป็นรักแท้ของนายไปเสียหมดเลยนี่นา” แม่แต่พี่วั่นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเขา


“มันไม่เหมือนกันสักหน่อย คนนี้ต่างออกไป” หลิงหงส่ายหน้า


“ช้าก่อนนะ หมายความว่านายมีแฟนหลายคนเลยหรือ?” หยวนโจวอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ พี่วั่นเองก็อดที่จะกลอกตาให้เขาไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่ใครๆก็รู้กันทั้งนั้น


เมื่อเมินหยวนโจวที่ตกตะลึงไปแล้ว พี่วั่นก็ถามด้วยความสนใจว่า “ต่างกันยังไงกันล่ะ?”


ในขณะนั้นเอง โจวเจียก็ยกเซ็ตก่อนอาหารมาเสิร์ฟให้พวกเขา หลิงหงดื่มน้ำเข้าไปอึกหนึ่งอย่างสบายอกสบายใจแล้วเตรียมเล่าเรื่องของเขาให้ฟัง


“พวกเรารู้จักกันตั้งแต่ตอนยังเรียนมหาวิทยาลัย” น้ำเสียงของหลิงหงบริสุทธิ์สดใสอย่างถึงที่สุด ดังนั้นจึงทำให้รู้สึกได้ถึงความยินดีเมื่อเขาเริ่มพูดคุยขึ้นมา


แน่นอนว่าในสายตาของหยวนโจว นั่นคือน้ำเสียงทั่วๆไปของคนหนุ่ม ดังนั้นหยวนโจวจึงค่อยๆลดเสียงให้ค่อยลงเพื่อแหบลงหน่อยจนฟังดูเหมือนเสียงของเจ้าชายรูปงาม


กลับเข้าเรื่องของเรากันต่อเถอะ หลิงหงเล่าเรื่องรักๆใคร่ๆเมื่อครั้งแรกรุ่นอันแสนงดงามและโรแมนติก หลังจากฟังเรื่องราวจนจบแล้ว หยวนโจวก็สามารถสรุปได้เพียงประโยคเดียวว่าคนโสดไม่เหมาะที่จะฟังเอาเสียเลย


รู้สึกไม่ดีเลยที่ต้องมาเห็นผู้อื่นโอ้อวดความสัมพันธ์ของพวกเขาต่อหน้าธารกำนัล


“ฉันคิดว่าฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาถึงแล้วฉันเองก็น่าจะหาแฟนสักคนได้แล้ว” หยวนโจวตัดสินใจ


“งั้นนายก็รู้สึกว่ามันเป็นรักแท้เพราะผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมรับของขวัญที่นายซื้อให้สินะ แล้วต่อจากนั้นเล่า?” พี่วั่นมีท่าทีตอบสนองเป็นคนแรกแล้วมองหลิงหงด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“ไม่เลย แต่ผมรู้สึกได้ว่าเธอรักผม” หลิงหงครุ่นคิดอยู่สักครู่แล้วให้คำตอบอันคลุมเครือแก่พวกเขา


ใช่แล้วล่ะ ในเรื่องราวของหลิงหงนั้น หญิงสาวที่เขารู้จักในมหาวิทยาลัยต่างไปจากหญิงสาวคนอื่นๆ เนื่องจากเป็นคนสูงยาวเข่าดี ร่ำรวยแถมยังหน้าตาหล่อเหลาอีกต่างหาก ตอนอยู่ในมหาวิทยาลัยเขาจึงเปลี่ยนแฟนบ่อยมาก


หญิงสาวคนนั้นไม่ใช่คนที่สวยที่สุดและรูปร่างก็ใช่ว่าจะยอดเยี่ยมที่สุด แถมเธอก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบที่สุดแต่อย่างใด ถ้าให้อธิบายเป็นคำพูดเพียงไม่กี่คำก็คือเธอไม่นับว่ามีอะไรโดดเด่นสะดุดตาเลยสักนิดเมื่อเทียบกับแฟนคนก่อนๆของหลิงหง ส่วนสาเหตุที่ทำให้หลิงหงตามจีบเธอก็เพราะว่าเธอมีดวงตาอันแสนงดงามมากนั่นเอง


ในสมัยเรียน หลิงหงนับว่ามีคุณสมบัติขั้นพื้นฐานของเพลย์บอยก็ว่าได้ เขาคิดว่าทุกอย่างสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยเงินแล้วเขาจะต้องสนใจทำไมกันเล่า?


ดังนั้นเขาจึงมักจะมอบของขวัญไปให้เมื่อใดก็ตามที่เขากับแฟนทะเลาะกันหรือมีเรื่องทำนองนั้น แต่มีเพียงหญิงสาวคนนั้นที่ปฏิเสธของขวัญ เหตุผลง่ายมากทีเดียว ก็เพราะของขวัญแพงเกินไปน่ะสิ อีกด้านหนึ่งหากเป็นวันเกิดของเขาหรือเทศกาลต่างๆ เธอก็จะมอบของขวัญให้เขาด้วย


ของขวัญของหญิงสาวหาได้มีราคาค่างวดอะไร บางอย่างเป็นของที่เธอทำขึ้นมาเองและบางอย่างก็เลือกมาจากร้านค้าเล็กๆด้วยตัวเองแถมราคายังไม่ถึง 100 หยวนอีกต่างหาก พูดง่ายๆก็คือหญิงสาวค่อนข้างเอาใจใส่และทุ่มเทเพื่อเขามากทีเดียว


ในตอนนั้นสิ่งเหล่านี้กลับไม่ต้องตาของหลิงหงเอาเสียเลย เขารู้สึกว่าสิ่งเล็กๆน้อยๆพวกนี้ช่างไม่ดึงดูดใจจึงเลิกกับเธอเมื่อเขารู้สึกเบื่อหน่ายเธอเต็มทนหลังจากคบหากันมาได้สักระยะหนึ่ง


หลิงหงยังจำได้ชัดว่าหญิงสาวร้องไห้เสียจนตาแดงก่ำ พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยหลังจากเรียนจบ


หลิงหงบอกไม่ถูกว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไหนกันแน่ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังจำตอนที่หญิงสาวมองเขาด้วยสายตาค้นคว้าอันแสนสดใสของเธอเมื่อยามที่มอบของขวัญให้เขาได้ แววตาของเธอเปล่งประกายราวกับกำลังรอคำชมอยู่ แต่ในตอนนั้นหลิงหงกลับไม่เคยรู้สึกว่าสร้อยข้อมือเส้นเล็กๆหรือของขวัญเล็กๆน้อยๆพวกนี้จะน่าดึงดูดใจเลยสักนิด เขาขว้างมันทิ้งไปแล้วเลิกกับเธอ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องชมเธอเลย


หลายวันก่อน จู่ๆหลิงหงก็ได้รับสายที่ไม่รู้จัก น่าแปลกที่หลิงหงกลับจำเสียงได้เมื่อตอนที่เธอพูดขึ้นมา นั่นเป็นเสียงของเธอ หญิงสาวคนนั้นกำลังจะแต่งงานและอยากเชิญเขาไปร่วมงานแต่งงาน แล้วหลิงหงก็ตอบตกลงอย่างน่าประหลาด


“ถ้าพวกเขายอมรับของขวัญของนาย พวกเขาก็น่าจะชอบนายแหละ” พี่วั่นกล่าวเข้าประเด็น “นอกจากนี้จะมีแฟนสาวคนไหนปฏิเสธที่จะรับของขวัญที่แฟนหนุ่มส่งมาให้กันเล่า?”


“ใช่ พี่พูดถูก” หลิงหงยักไหล่แล้วกล่าว “บางทีสิ่งที่ทำให้ผมจำเธอได้อาจไม่ใช้เพราะรักแท้หรอก แต่น่าจะเป็นเพราะหญิงสาวคนนั้นไม่เหมือนกับคนอื่นๆต่างหาก ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”


“นานมาแล้วสินะที่นายเองก็มีความรักที่ยั่งยืนจริงๆน่ะ” พี่วั่นกล่าว


“อืม ผมเอาแต่หมกมุ่นกับทุกความสัมพันธ์และไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย แต่คนๆนี้เป็นเพียงคนเดียวที่หลงเหลือความประทับใจเอาไว้ให้ผม” หลิงหงพยักหน้า


“อาจเป็นเพราะนายยังอยากเห็นภาพลักษณ์ดีๆของเธอก็ได้นะ” อู๋ไห่ลูบหนวดเคราแล้วกล่าวอย่างจริงจัง


“ไปตายซะ ไอ้นักมายากล นายมันจะไปรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับความรักกันเล่า?” หลิงหงมองอู๋ไห่อย่างดูถูกดูแคลน


“ฉันเข้าใจเรื่องนั้นแล้วล่ะ แล้วนายอยากถามอะไรงั้นเหรอ?” พี่วั่นหาได้สนใจเรื่องนี้แต่กลับถามขึ้นมา


“สานไหมทองด้วยความอุตสาหะระหว่างสวมเสื้อกันหนาว อาหารจานแรกของโต๊ะจีนปลารวมมิตรทั้งสองที่ได้แล้วค่ะ ทานให้อร่อยนะคะ” ในตอนนั้นเอง โจวเจียก็ยกอาหารจานแรกออกมาเสิร์ฟ


“ขอบใจนะ เจียน้อย” หลิงหงเผยรอยยิ้มเจิดจ้าให้โจวเจียก่อนแล้วค่อยผลักจานไปให้พี่วั่น


“ด้วยความยินดีค่ะ” โจวเจียตอบแล้วหลบฉากออกไป


“มากินกันก่อนเถอะ ไม่งั้นคงได้มีใครบางคนน้ำลายหกใส่ชามตัวเองแหงๆ” หลิงหงเหลือบมองอู๋ไห่แล้วเจตนาพูดเสียงดัง


“นายก็พูดอย่างกับฉันไม่ได้กินอะไรมาก่อนอย่างนั้นแหละ” อู๋ไห่มองหลิงหงด้วยความดูถูกดูแคลน


อู๋ไห่แทบจะหยุดพูดทันทีเมื่อเขายื่นตะเกียบออกไปคีบอาหารแล้วยัดเข้าปากทันทีด้วยความเร็วปานสายฟ้า


“ฮ่าฮ่า ฉันก็ได้กินเหมือนกัน แถมไม่มีน้ำลายหกสักหยดเลย” อู๋ไห่กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ


“โฮ่โฮ่ เจ้าคนหน้าไม่อายอู๋” หลิงหงถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ


“ขอบใจที่ชม ชื่อนั้นคู่ควรกับฉันแล้วล่ะ” อู๋ไห่ลูบหนวดเคราแล้วพยักหน้าพลางอมยิ้มเพื่อแสดงความเห็นด้วย


“พี่วั่น ปล่อยเขาอยู่คนเดียวไปเถอะ มากินกันดีกว่านะ” หลิงหงเมินเขาแล้วหันไปรับรองพี่วั่น


“ขอบใจนะ” พี่วั่นพยักหน้าด้วยความสุภาพแล้วยื่นตะเกียบออกไปเพื่อกินอาหาร


อาหารของหยวนโจวมักจะมีรสชาติอร่อยมากอยู่เสมอ และอาหารของโต๊ะจีนปลารวมมิตรก็ทยอยกันถูกยกมาเสิร์ฟทีละจาน เมื่อเพิ่งจะกินหมดไปจานหนึ่งสักครู่ก็จะมีอีกจานถูกยกมาเสิร์ฟ


ฝีเท้าที่สอดคล้องกับเวลาอาหารค่ำของบรรดาลูกค้าและความเคยชินยังทำให้แน่ใจได้ว่าบรรดาลูกค้ามักจะจมจ่อมอยู่กับอาหารอร่อยอยู่เสมอ


ดังนั้นมันจึงเป็นเวลาแห่งการดื่มด่ำรสชาติของหลิงหง พี่วั่นและอู๋ไห่ที่ขโมยอาหารด้วยการลอบจู่โจมเป็นบางครั้งบางครั้ง ที่จริงแล้วตอนนี้พวกเขาไม่มีเวลาพอที่จะมาพูดถึงเรื่องอื่นเสียด้วยซ้ำไป


หลิงหงกับพี่วั่นคุยกันไม่หยุดจนกว่าจะมีของหวานมาเสิร์ฟ


ส่วนอู๋ไห่นั้น เขาได้แต่จมจ่อมอยู่กับอาหารอร่อยจนยากที่จะถอนตัวออกมาได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เข้าร่วมวงสนทนาแต่อย่างใด


จากนั้นหลิงหงก็เริ่มคุยธุระสำคัญกับพี่วั่น


เขาค่อยๆถามอย่างละเอียดจนเข้าใจรายละเอียดทั้งหมดของงานแต่งงาน


พี่วั่นอธิบายเรื่องงานแต่งงานราวกับว่าเธอเคยแต่งงานมาแล้วอย่างไรอย่างนั้น แต่สาเหตุที่แท้จริงก็คือเธอมักจะไปร่วมงานแต่งงานของคนอื่นอยู่บ่อยๆ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงรูมเมทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเธอเลย แม้แต่น้องสาวคนเล็กของเธอเองก็ยังแต่งงานแล้ว


แน่นอนว่าเรื่องนั้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หลิงหงมาถามเอากับพี่วั่น ถึงอย่างไรก็มีแค่เธอเท่านั้นที่มีประสบการณ์อย่างโชกโชนในการไปร่วมงานแต่งงานของคนอื่น


นักมายากล(魔法师) มีอีกความหมายหนึ่งในหนังสือการ์ตูน อันมีความหมายเจาะจงถึงชายหนุ่มที่ยังคงความบริสุทธ์เอาไว้จนมีอายุ 30 ปี

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)