ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 862-864
ตอนที่ 862 เมืองหนานหมิง
“บิดเบือนความทรงจำ…ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง แต่ผู้อาวุโสชิงหลิงลำบากเสียแรงปิดบังสถานที่ซึ่งบิดาเจ้าไปเช่นนี้ น่าจะมีเหตุผลกระมัง?” หลิ่วหมิงได้ยิน สายตาก็ทอประกาย เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น
“นั่นก็เพราะนายท่านกับท่านพ่อสัญญากันไว้ หากท่านพ่อตามหาของสิ่งหนึ่งให้นายท่าน นายท่านจะปลดสัญญาเลือดในร่างท่านแม่ของข้า ปล่อยพวกเขาออกจากทะเลทรายกุ่ยโม่ ยามนั้นนายท่านถูกขังอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องนี้รั่วไหล ดังนั้นจึงบิดเบือนความทรงจำของคนเผ่าทรายทั้งหมดแล้วส่งบิดาของข้าออกไปเพียงคนเดียว แต่จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่กลับมา” ซาฉู่เอ๋อร์เห็นว่าหลิ่วหมิงไม่โกรธก็ลอบโล่งใจ ริมฝีปากงามอธิบายแผ่วเบาต่อ
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง แต่วันนี้ผู้อาวุโสชิงหลิงแก้วิชาลับบนร่างแม่นางซาแล้ว ดูท่าหลายปีนี้แม่นางซาคงจะได้รับความไว้วางใจจากผู้อาวุโสชิงหลิงยิ่งนัก น่ายินดีน่าฉลองจริงๆ” หลังจากหลิ่วหมิงเข้าใจเรื่องราวก็แย้มยิ้มเอ่ยขึ้นมาทันที
“นายท่านดีต่อข้ามากจริงๆ แต่น่าเสียดายข้าออกจากทะเลกุ่ยโม่มาหลายปี จนวันนี้ก็ยังหาร่องรอยของบิดาไม่พบแม้แต่น้อย วันนี้ลำบากนักกว่าจะมาถึงตระกูลโอวหยาง แต่ท่านก็เห็นแล้วว่าหัวหน้าตระกูลโอวหยางไม่ยอมพบหน้าข้าเลย” ซาฉู่เอ๋อร์สีหน้าหม่นหมอง ริมฝีปากสีผลอิงเถาขบเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“ในเมื่อผู้อาวุโสชิงหลิงให้บิดาของเจ้าตามหาของสิ่งหนึ่งให้เขา บางทีอาจเริ่มจากตรงนี้ได้” หลิ่วหมิงดวงตาทอประกายวูบหนึ่งแล้วเอ่ยปากเตือนสติ
“นายท่านไม่บอกข้าว่าบิดากำลังตามหาสิ่งใด ดังนั้นจำต้องคิดหาวิธีอื่น หลายวันนี้ข้าอยู่ใกล้ๆ เขาหยกฝันจึงได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพี่หลิ่วมาไม่น้อย ในเมื่อพี่หลิ่วเป็นศิษย์ของนิกายยอดบริสุทธิ์ ไม่ทราบจะช่วยน้องสาวสืบข่าวร่องรอยของบิดาอีกแรงได้หรือไม่?” ดวงเนตรงามของซาฉู่เอ๋อร์มองมาหาหลิ่วหมิงด้วยแววตาเต็มไปด้วยความหวัง
“เรื่องนี้…” หลิ่วหมิงลังเลอยู่บ้าง
แม้ก่อนหน้านี้ในตำหนักใหญ่ของตระกูลโอวหยาง โอวหยางซินจะเอ่ยปากปฏิเสธว่าโอวหยางหมิงไม่ใช่คนตระกูลโอวหยาง แต่จากปฏิกิริยาของเขาก็เห็นชัดว่ากำลังพูดโกหก
เป็นไปได้เกินครึ่งว่าบิดาของซาฉู๋เอ๋อร์จะพัวพันกับความลับซ่อนเร้นของตระกูลโอวหยาง นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับขุยตี้แห่งหนานฮวงอีกย่อมยิ่งสลับซับซ้อน บุ่มบ่ามเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาด
แต่ด้วยมิตรภาพระหว่างซาฉู่เอ๋อร์กับเขาในทะเลทรายกุ่ยโม่ จะให้เขาเอ่ยปากปฏิเสธอย่างเด็ดขาด หลิ่วหมิงก็เอ่ยปากไม่ออกอยู่บ้าง
ขณะที่หลิ่วหมิงลำบากใจอย่างยิ่งอยู่นั่นเอง ซาฉู่เอ๋อร์ก็ถอนหายใจแผ่วเบาเอ่ยต่อว่า
“ฉู่เอ๋อร์เข้าใจว่าเรื่องนี้ทำให้คนลำบากใจอยู่บ้าง แต่น้องไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆ จึงขอความช่วยเหลือจากพี่หลิ่ว ขอเพียงได้เงื่อนงำของบิดาสักนิดจากตระกูลโอวหยางก็พอ หากพบสถานการณ์ที่ยากจะตัดสินใจ พี่หลิ่ววางมือได้ตลอดเวลา น้องจะยังคงซาบซึ้งอย่างยิ่ง”
“ในเมื่อแม่นางซาพูดถึงขั้นนี้ ผู้แซ่หลิ่วไม่ช่วยก็แลดูจะแล้งน้ำใจเกินไป ได้ ข้าจะช่วยแม่นางฉู่เอ๋อร์สืบข่าวสักหน่อยแล้วกัน!” หลิ่วหมิงเห็นสีหน้าหม่นหมองของซาฉู่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้นึกถึงตอนที่ตนเองคิดถึงบิดาบนเกาะมฤตยู ใจอ่อนยวบทันที ท้ายที่สุดจึงหัวเราะฝืดเฝื่อนแล้วตัดสินใจ
“ดีเหลือเกิน พี่หลิ่วมีบุญคุณใหญ่หลวง น้องจะไม่มีวันลืม” ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินก็ดีใจยิ่งนัก คำนับอย่างอ่อนช้อยทีหนึ่ง
ต่อจากนั้นซาฉู่เอ๋อร์ก็เล่าเรื่องราวหลังออกจากทะเลทรายกุ่ยโม่มาตามหาโอวหยางหมิงให้ฟังสั้นๆ รอบหนึ่ง
หลิ่วหมิงฟังจบก็ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“ในเมื่อบิดาของเจ้าเป็นศิษย์ตระกูลโอวหยางแน่นอน เรื่องนี้อย่างไรก็คงต้องเริ่มต้นจากตระกูลโอวหยาง เอาเช่นนี้เถิด ข้าจะลองถามสหายตระกูลโอวหยางสองคนดูก่อน”
พูดแล้วหลิ่วหมิงก็พลิกมือเรียกแผ่นค่ายกลสีขาวแผ่นหนึ่งออกมา จากนั้นยิงเคล็ดวิชาหลายสายลงบนนั้นอย่างเร็วไว
บนแผ่นค่ายกลสีขาวมีตัวอักษรน้อยแถวหนึ่งลอยขึ้นมา หลังแสงสีขาวสว่างวูบหนึ่งก็หายไปไม่เห็น
เยี่ยเฮ่าด้านหลังร่างเขาเห็นสิ่งนี้ในดวงตาก็ฉายแววสนใจเล็กน้อย แต่ยังคงนั่งเรียบร้อยอย่างยิ่งไม่ถามสิ่งใดทั้งสิ้น
“หรือนี่จะเป็นแผ่นค่ายกลส่งสารที่ผู้ฝึกฝนของแผ่นดินกลางมักใช้กัน?” ซาฉู่เอ๋อร์มองสำรวจแผ่นค่ายกลสีขาวในมือหลิ่วหมิงอย่างสงสัยใคร่รู้อยู่บ้าง
หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วอดไม่ได้ยกมุมปากขึ้นนิดๆ
ซาฉู่เอ๋อร์ใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทรายกุ่ยโม่ตั้งแต่เล็ก นิสัยไร้เดียงสาตรงไปตรงมา มีชีวิตตัดขาดจากโลกภายนอก วันนี้พลังบรรลุระดับผลึกแล้วแต่เรื่องมากมายที่เป็นความรู้ทั่วไปในโลกแห่งการฝึกฝนล้วนไม่รู้ ขุยตี้แห่งหนานฮวงกล้าวางใจปล่อยนางออกมาคนเดียวแล้วนางยังสามารถตามหาจนมาถึงตระกูลโอวหยางได้อย่างปลอดภัยอีก
ครึ่งค่อนชั่วยามให้หลัง ลำแสงสีม่วงสองสายก็พุ่งเร็วรี่มาจากท้องฟ้าไกลออกมาไป พวกมันกะพริบวูบหนึ่งแล้วร่อนลงมา เมื่อลำแสงดับหายไปก็เผยร่างของสองพี่น้องโอวหยาง
“พี่หลิ่วเหตุใดจึงจากไปอย่างรีบร้อนเช่นนี้ ยังไม่ทันได้แสดงความยินดีที่ท่านเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนสำเร็จต่อหน้าเลย” นัยน์ตาของโอวหยางเชี่ยนทอประกายวูบไหว เมื่อมองเห็นซาฉู่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่หลังร่างหลิ่วหมิง ใบหน้าก็เผยสีหน้าประหลาดเล็กน้อยออกมา
โอวหยางฉินข้างกายนางมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งเช่นเดียวกัน แต่จมูกงามกลับแค่นเสียงหยันเบาๆ
เห็นภาพนี้ ในใจหลิ่วหมิงก็อดไม่ได้ยิ้มเจื่อน เห็นชัดว่าสตรีทั้งสองรู้เรื่องที่หัวหน้าตระกูลโอวหยางเสนอการแต่งงานแต่ถูกเขาปฏิเสธแล้ว
แต่อารมณ์กระอักกระอ่วนเล็กน้อยนี่ถูกเขาสลัดทิ้งไปจากหัวอย่างรวดเร็วนัก เขาประสานมือตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้ารีบร้อนจากมาจึงไม่ทันได้บอกลาเซียนทั้งสอง เสียมารยาทแล้วขออภัยด้วย”
“พี่หลิ่วส่งข้อความเชิญพวกเราพี่น้องมาที่นี่อย่างเร่งด่วนเช่นนี้ คงจะไม่ใช่เพื่อสนทนาสัพเพเหระกระมัง เรียกมาเพื่อเหตุใดก็เชิญพูดให้กระจ่างเถิด” โอวหยางฉินเอ่ยอย่างเย็นชา
หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่ะๆ แล้วยกมือข้างหนึ่งชี้ซาฉู่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“ฮ่ะๆ นั่นแน่นอน ทั้งสองท่านน่าจะยังจำแม่นางซาฉู่เอ๋อร์ที่เคยพบก่อนหน้านี้คนนี้ได้อยู่กระมัง นาง…”
“พี่หลิ่ว ท่านอยากถามข่าวของโอวหยางหมิงผู้นี้กับพวกเราพี่น้องกระมัง แต่ขออภัยยิ่งนัก เรื่องนี้พวกเราไม่อาจทำได้ เดิมทีพวกเราพี่น้องติดค้างน้ำใจพี่หลิ่วครั้งหนึ่ง คำขอร้องของท่านหากรู้ก็สมควรบอก แต่ผู้อาวุโสในตระกูลกำชับพวกเราสองคนอย่างเด็ดขาดว่าไม่อาจเอ่ยเรื่องของคนผู้นั้นกับผู้ใดอีก พวกเราพี่น้องอยู่ในตระกูลย่อมไม่กล้าฝ่าฝืน ขอโปรดอภัยด้วย” โอวหยางเชี่ยนยื่นมือออกมาขัดคำพูดของหลิ่วหมิงแล้วส่ายศีรษะเอ่ยขึ้น
ซาฉู่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างได้ยินย่อมมีสีหน้าผิดหวัง
“ข้าไม่ระวังเอง ทำให้เซียนทั้งสองลำบากแล้ว” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่สีหน้าก็ฟื้นกลับเป็นปกติทันที
“ในเมื่อไม่มีเรื่องอื่น พวกเราก็จะกลับแล้ว วันหน้าพบกันใหม่” โอวหยางเชี่ยนประสานมือให้หลิ่วหมิงเล็กน้อยแล้วส่งสายตาให้โอวหยางฉินที่อยู่ด้านข้าง
จากนั้นทั้งสองคนก็หมุนตัวกลายเป็นลำแสงสีม่วงสองสายเหาะเร็วรี่ไปยังทิศทางที่มาอีกครั้ง
หลิ่วหมิงมองลำแสงของทั้งสองคนค่อยๆ ห่างออกไป สองตาหรี่ลงเล็กน้อยครู่หนึ่ง แต่บนใบหน้าไม่ได้เผยสีหน้าผิดหวังออกมาสักเท่าไร
เดิมทีเขาก็ไม่ได้คาดหวังกับการสืบถามเรื่องโอวหยางหมิงจากพวกนางทั้งสองคนอยู่แล้ว แต่จากการสนทนาครั้งนี้ทำให้รู้ว่าตระกูลโอวหยางมีคนชื่อโอวหยางหมิงอยู่จริงๆ
“ดูท่าตระกูลโอวหยางจะออกคำสั่งห้ามเอ่ยถึงไว้ จะสืบหาข่าวของบิดาเจ้าตรงๆ เกรงว่าคงจะไม่ได้ พวกเราจำต้องหาวิธีอื่น” หลิ่วหมิงมองซาฉู่เอ๋อร์ทีหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ทุกสิ่งแล้วแต่พี่หลิ่วจัดการ” ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินก็ท่าทางฮึกเหิม คล้ายกับเชื่อใจหลิ่วหมิงอย่างที่สุด
หลังหลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็หยิบแผนที่บริเวณเทือกเขาหยกฝันฉบับหนึ่งออกมาจากตัว จากนั้นมองหาอย่างละเอียด
ครู่หนึ่งให้หลังคิ้วเรียวของเขาก็เลิกขึ้น ดวงตาทอประกาย
“พี่หลิ่วมีวิธีแล้วหรือ?” ซาฉู่เอ๋อร์เอ่ยถามด้วยสีหน้ายินดี
“ก็เรียกไม่ได้ว่าเป็นวิธีที่ดี แต่สถานการณ์ตอนนี้ ทั้งข้าและเจ้าล้วนไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับตระกูลโอวหยางจึงได้แต่หาว่ามีคนที่รู้เกี่ยวกับพวกเขาพอช่วยได้หรือไม่” หลิ่วหมิงเก็บแผนที่ไป จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ตั้งท่าเคล็ดวิชา ปราณดำก้อนหนึ่งหุ้มเขากับเยี่ยเฮ่าไว้แล้วมุ่งไปทิศหนึ่งนอกเขาหยกฝัน
ดวงเนตรงามของซาฉู่เอ๋อร์แวววาวแล้วรีบใช้ลำแสงติดตามไป
เทือกเขาหยกฝันในฐานะถิ่นฐานของตระกูลโอวหยางถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกฝนที่มีอยู่น้อยนักในแผ่นดินจงเทียน แม้แต่เทือกเขาขนาดเล็กโดยรอบก็มีพลังปราณแห่งฟ้าดินเข้มข้นอย่างยิ่ง ไม่เพียงมีผู้ฝึกฝนมากมายมารวมตัว เมืองใหญ่ของมนุษย์ธรรมดาหลายเมืองของแคว้นเฉินก็ตั้งอยู่ใกล้ๆ เทือกเขาหยกฝันด้วย
เมืองหนานหมิงเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในนั้น ตัวเมืองตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเทือกเขาหยกฝัน นอกเมืองคือแม่น้ำหนานหมิงแม่น้ำใหญ่อันดับหนึ่งของแคว้นเฉิน เพราะการกัดเซาะนานปีของแม่น้ำทำให้ผืนดินบริเวณเมืองหนานหมิงอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง การเดินทางทางน้ำก็สะดวกยิ่งนัก ดังนั้นเมืองใหญ่แห่งนี้จึงมีประชากรรวมตัวอยู่เกือบสิบล้านคน รุ่งเรืองไม่ธรรมดา
เช้าตรู่วันนี้บนถนนหินเขียวเส้นหนึ่งทางตะวันออกของเมืองหนานหมิง มีคนสองคนกำลังก้าวเดินเชื่องช้าอยู่
บุรุษหนุ่มด้านหน้าสวมเสื้อสีน้ำเงิน ด้านหลังมีร่างน้อยบอบบางร่างหนึ่งติดตาม ทั้งร่างห่ออยู่ใต้ผ้าคลุมผืนใหญ่ เส้นผมสีเงินหลายปอยร่วงลงมาเปะปะ ระหว่างที่เดินมองเห็นเรือนร่างอ้อนแอ้นอรชรของนางได้เลือนราง ดูออกว่าเป็นสตรีผู้งามเป็นเลิศผู้หนึ่ง
สองคนนี้ก็คือหลิ่วหมิงกับซาฉู่เอ๋อร์นั่นเอง แต่เยี่ยเฮ่าไม่ได้อยู่ที่นี่
“พี่หลิ่ว เหตุใดท่านจึงพาข้ามาเมืองของมนุษย์ธรรมดาแห่งนี้เล่า?” ซาฉู่เอ๋อร์จัดการเส้นผมสีเงินที่ร่วงออกมานอกผ้าคลุม แม้บนร่างสวมชุดยาวอยู่ก็ยากจะปกปิดเสน่ห์เย้ายวนของสตรี ชักนำสายตาของคนเดินถนนให้มองมามากมาย
“แม่นางซาอย่ารีบร้อน ตามข้ามาก็พอ” หลิ่วหมิงสีหน้าเรียบเฉยแล้วไม่ได้อธิบาย สายตามองไปมาบนถนนหินเขียวเส้นใหญ่
เวลานี้เป็นยามสายบนถนนกว้างมีคนเดินไปมาขวักไขว่นานแล้ว รถและอาชาเคลื่อนเป็นทิวแถว สองข้างถนนมีร้านค้าตั้งเรียงราย เสียงตะโกนขายของดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ให้ได้ยินไม่ขาดหู เป็นภาพแห่งความเจริญรุ่งเรือง
ไม่นานนักสายตาของหลิ่วหมิงก็จับอยู่บนโรงรับจำนำแห่งหนึ่งริมถนนด้านหน้า สายตาพลันเป็นประกาย ยกเท้าเดินเข้าไปอย่างไม่ทิ้งร่องรอย
แม้ซาฉู่เอ๋อร์เต็มไปด้วยความสงสัยแต่ก็เดินตามไปด้วยดี
หลิ่วหมิงเพิ่งเดินเข้ามาในร้าน ลูกจ้างชุดสีน้ำเงินคนหนึ่งก็ยิ้มแย้มเข้ามาต้อนรับ
“ท่านลูกค้าเชิญขอรับ เชิญนั่งด้านใน”
มองเข้าไปในร้านแห่งนี้ว่างเปล่าไม่มีใครสักคน ดูแล้วกิจการไม่ดี
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ในร้าน ซาฉู่เอ๋อร์กลับไม่นั่ง สองตาใต้ผ้าคลุมกวาดตามองในร้านรอบหนึ่ง พร้อมกันนั้นจิตสัมผัสก็ค่อยๆ แผ่ออกไปคล้ายกำลังตรวจหาสิ่งใด
หลิ่วหมิงมองดูการกระทำของนาง ในใจลอบคิดว่าแม้สตรีผู้นี้ประสบการณ์ไม่มาก แต่ก็รอบคอบระมัดระวังพอตัว มิน่าจึงเดินทางจากหนานฮวงมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย
“ท่านลูกค้า ท่านต้องการจำนำสิ่งใดขอรับ? ไม่ได้โม้นะขอรับ ถึงร้านของเราจะไม่ใหญ่แต่ก็เป็นร้านเก่าแก่อายุร้อยปีของเมืองหนานหมิง ท่านเชื่อถือได้เต็มที่” ลูกจ้างชุดน้ำเงินดูแล้วอายุเพิ่งจะสิบแปดสิบเก้าปี แต่พูดแก่ง ท่าทางฉลาดเฉลียวอย่างยิ่ง
“ข้ามาจากทางเหนือ วันนี้มาที่ร้านของเจ้าเพราะอยากจะจำนำสิ่งหนึ่ง” หลิ่วหมิงล้วงของขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้ลูกจ้างชุดน้ำเงิน ผิวของมันทอประกายสีดำเรืองๆ มันคือป้ายของศิษย์สายในของยอดเขาลั่วโยว
ตอนที่ 863 โอวหยางขุย
ลูกจ้างชุดน้ำเงินเห็นป้ายก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมาเล็กน้อย แต่พริบตาเดียวก็เก็บซ่อนไปแล้วเอ่ยขึ้นเหมือนไม่มีอะไร
“แม้ป้ายแผ่นนี้ของท่านดูไม่เลว แต่ต้องผ่านตาผู้ดูแลก่อนถึงจะยืนยันได้ว่าราคาเท่าไร”
“รับไปสิ” สายตาของหลิ่วหมิงทอประกายแล้วโบกมือ
หลังลูกจ้างชุดสีน้ำเงินมองหลิ่วหมิงนิ่งนาน สองมือก็ประคองป้ายก้าวเร็วๆ ไปด้านในตัวร้าน
ผ่านไปไม่นานนัก ลูกจ้างชุดน้ำเงินก็วิ่งออกมาอีก เขาส่งป้ายคืนให้หลิ่วหมิงด้วยสีหน้านอบน้อมหลังจากนั้นคำนับเอ่ยขึ้นว่า
“ท่านลูกค้า ผู้ดูแลเชิญท่านด้านในขอรับ”
หลิ่วหมิงเก็บป้ายกลับไปไว้ข้างเอวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า หลังเขาลุกขึ้นยืนพลางกวักมือเรียกซาฉู่เอ๋อร์ก็ส่งสัญญาณให้ลูกจ้างชุดน้ำเงินนำทาง
ไม่นานลูกจ้างชุดน้ำเงินก็พาทั้งสองคนเข้าไปด้านในร้าน มาถึงในห้องแห่งหนึ่งด้านในสุด
ในห้องบุรุษวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมที่ท่าทางเหมือนผู้ดูแลคนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลาง สายตาจับอยู่บนร่างหลิ่วหมิงจากนั้นมองไปทางซาฉู่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง แววตาแสดงคำถามออกมา
“ไม่เป็นไร แม้คนผู้นี้ไม่ใช่ศิษย์นิกายเราแต่เป็นสหายคนหนึ่งของข้า” หลิ่วหมิงเอ่ยเรียบๆ
ตอนนี้ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมถึงคำนับอย่างนอบน้อมครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“ฉินอู่ศิษย์สายนอกนิกายยอดบริสุทธิ์คารวะศิษย์พี่หลิ่ว”
ซาฉู่เอ๋อร์ถอดผ้าคลุมบนศีรษะออก ใบหน้าแสดงสีหน้าประหลาดใจ
ที่แท้ร้านแห่งนี้เป็นฐานที่มั่นที่ใช้ติดต่อกันลับๆ แห่งหนึ่งของนิกายยอดบริสุทธิ์ในเมืองหนานหมิง!
ในฐานะสี่ยอดนิกายใหญ่แห่งเผ่ามนุษย์ นิกายยอดบริสุทธิ์ดำรงอยู่บนแผ่นดินจงเทียนมาเนิ่นนานไม่รู้เท่าไร ทุกหนทุกแห่งบนแผ่นดินจงเทียนมีฐานที่มั่นทั้งลับทั้งแจ้งอยู่มากมายไว้ใช้รวบรวมส่งต่อข่าวสายนานาประการ
บางครั้งก็จะมีศิษย์ของนิกายตนอย่างหลิ่วหมิงเช่นนี้บังเอิญมาเยือนที่แห่งนี้เพื่อขอความช่วยเหลือหรือถามข่าวบางอย่าง
หลิ่วหมิงรู้มาว่าเมืองมนุษย์แต่ละแห่งใกล้ๆ เขาหยกฝันล้วนมีฐานที่มั่นเช่นร้านแห่งนี้อยู่ไม่น้อยเกินสิบกว่าแห่ง แม้บางแห่งในนั้นถูกเปิดเผยแล้ว แต่ตระกูลโอวหยางก็แกล้งทำเป็นไม่รู้
อย่างไรเรื่องทำนองเดียวกันนี้ นิกายใหญ่และตระกูลใหญ่แต่ละแห่งก็ล้วนกระทำดุจเดียวกัน ตระกูลโอวหยางเองก็ตั้งฐานที่มั่นประเภทเดียวกันนี้อยู่ใกล้ๆ เทือกเขาหมื่นวิญญาณเช่นกัน กลุ่มอำนาจใหญ่แต่ละแห่งล้วนรู้แก่ใจดีจึงไม่เป็นฝ่ายไปเปิดโปง
ในเมื่อตอนนี้ต้องการสืบเรื่องราวของตระกูลโอวหยาง หลิ่วหมิงย่อมนึกถึงที่แห่งนี้
“พี่หลิ่วมาเยือนครานี้ ไม่ทราบศิษย์น้องรับใช้อันใดได้บ้าง?” ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมคำนับครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยถามด้วยใบหน้าจริงจัง
“ข้าอยากถามเกี่ยวกับตระกูลโอวหยางสักหน่อย ข่าวทั้งหมดของคนที่ชื่อโอวหยางหมิง” หลิ่วหมิงเอ่ยถามตรงเข้าประเด็น
“โอวหยางหมิง!”
บุรุษหน้าเหลี่ยมได้ยินก็ตะลึงไปเล็กน้อย เขามองหลิ่วหมิงอย่างค่อนข้างประหลาดใจแล้วจึงเอ่ยต่อ “คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่หลิ่วจะรู้จักคนผู้นี้ด้วย นี่เหนือความคาดหมายของข้าอยู่บ้าง”
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็เงียบไม่เอ่ยวาจา แต่บนหน้าซาฉู่เอ๋อร์กลับปรากฏสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย
“เจ้าไปเฝ้าด้านนอกไว้ก่อน” ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อยแล้วโบกมือเอ่ยกับลูกจ้างชุดสีน้ำเงินที่รออยู่ด้านข้าง
ลูกจ้างชุดสีน้ำเงินเข้าใจความหมาย หลังค้อมกายให้ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมกับพวกหลิ่วหมิงครั้งหนึ่งก็ถอยออกไปแล้วปิดประตูห้องเบาๆ
ตอนนี้ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมถึงเดินมาข้างตู้ใบหนึ่งที่อยู่ริมห้อง หลังรื้อค้นด้านในอยู่พักหนึ่งก็เอาหนังสือบางๆ เล่มหนึ่งออกมา
“โอวหยางหมิง ศิษย์สายตรงรุ่นที่ยี่สิบแปดของตระกูลโอวหยาง ร่างกายมีชีพจรจิตวิญญาณพสุธา พรสวรรค์เลิศล้ำ อายุสิบหกปีเข้าสู่ระดับของเหลวจิตวิญญาณ อายุสามสิบปีเข้าสู่ระดับผลึก อายุสามสิบเจ็ดปีได้เข้าไปอยู่ในหอหลินอิงของตระกูลและกลายเป็นศิษย์แกนนำ อายุไม่ถึงร้อยปีก็ผนึกแก่นแท้ แต่ข่าวคราวหลังจากนั้นกลับไม่มีสักเท่าไร คล้ายกับว่าคนผู้นี้หายไปตั้งแต่นั้น ทว่าเมื่อสี่สิบปีก่อน คนผู้นี้ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ทั้งตระกูลโอวหยางเหมือนจะเกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับคนผู้นี้ นับจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวของคนผู้นี้อีก จนกระทั่งวันนี้เป็นตายยังไม่ทราบ” ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมพลิกมาถึงหน้าหนึ่งในนั้นแล้วอ่านช้าๆ
หลังอ่านจบ ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมก็ส่งหนังสือให้หลิ่วหมิง
บรรทัดแรกของหนังสือใช้หมึกสีเข้มเขียนอักษรตัวโตไว้สามตัวว่าโอวหยางหมิง ด้านล่างใช้ตัวหนังสือขนาดเล็กบันทึกเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับโอวหยางหมิงไว้
หลิ่วหมิงอ่านอย่างละเอียดพักหนึ่ง สิ่งที่บันทึกอยู่บนนั้นล้วนเป็นประวัติชีวิตจำนวนหนึ่งก่อนที่เขาจะบรรลุระดับแก่นแท้ แต่ไม่เห็นจุดที่เกี่ยวพันกับหนานฮวงเลย บรรทัดสุดท้ายเขียนด้วยหมึกสีแดงไว้สี่คำว่าเป็นตายไม่ทราบ
หลิ่วหมิงวางหนังสือลงช้าๆ จากนั้นมองซาฉู่เอ๋อร์ทีหนึ่งพลางส่งกระแสจิตถาม
“สี่สิบปีก่อน หรือว่า?”
“เป็นเช่นที่พี่หลิ่วคาด บิดาออกจากทะเลทรายกุ่ยโม่มาเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนจริงๆ” ซาฉู่เอ๋อร์กัดริมฝีปากสีอิงเถาเบาๆ แล้วส่งกระแสจิตตอบ
ในใจหลิ่วหมิงลอบพยักหน้า ดูท่าหลังโอวหยางหมิงออกจากทะเลทรายกุ่ยโม่คงเคยกลับมาที่เทือกเขาหยกฝันแล้วทำให้เกิดความขัดแย้งในตระกูลโอวหยางเพราะสาเหตุที่ไม่ทราบบางประการ แม้ในหนังสือนี่บันทึกว่าคนผู้นี้เป็นตายไม่ทราบ แต่หลิ่วหมิงคิดว่าการหายตัวไปของโอวหยางหมิงผู้นี้คงหนีไม่พ้นเกี่ยวข้องกับตระกูลโอวหยางแน่นอน ถึงขนาดเป็นไปได้ว่าอาจถูกตระกูลโอวหยางสังหารหรือกักขังไว้
“แค่ข้อมูลเท่านี้ยังไม่พอ ข้าต้องการรู้ข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้ หากรู้ที่อยู่ของคนผู้นี้ได้ยิ่งดี” หลิ่วหมิงวางหนังสือลงแล้วเอ่ยอย่างนิ่งสงบกับชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมอีกครั้ง
“บันทึกเกี่ยวกับคนผู้นี้ของพวกเราที่นี่มีเพียงเท่านี้ หากศิษย์พี่ต้องการข้อมูลมากกว่านี้เกรงว่าจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง แล้วระหว่างนั้นก็ต้องมีค่าใช้จ่ายพิเศษอยู่บ้าง…” ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
“เท่านี้น่าจะพอกระมัง ข้าต้องการสืบสถานการณ์ของคนผู้นี้ให้ได้เร็วที่สุด” หลิ่วหมิงพลิกมือเรียกถุงผ้าหนักอึ้งใบหนึ่งออกมาโยนไปให้ ขณะที่ปากเอ่ยขึ้นเรียบๆ
ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมยื่นมือรับถุงผ้าไปแล้วกวาดตามองครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นบนใบหน้าก็เผยสีหน้ายินดีออกมาเล็กน้อย เขาพยักหน้ารัวพร้อมเอ่ยว่า
“ศิษย์พี่หลิ่วโปรดวางใจ ข้าต้องการเวลามากที่สุดเพียงสามวันเท่านั้น”
หลิ่วหมิงได้ยินก็ยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอันใดอีก
ต่อจากนั้นเขาก็ไม่ได้รั้งอยู่ที่นี่นาน เขาย่อมไม่ต้องกังวลว่าชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมผู้นี้รับหินจิตวิญญาณไปแล้วจะไม่ทำงาน เขาออกไปจากโรงรับจำนำพร้อมกับซาฉู่เอ๋อร์ทันที
“แม่นางซา ร้านแห่งนี้เป็นฐานที่มั่นแห่งหนึ่งของนิกายยอดบริสุทธิ์ของข้า แม้ไม่นับว่าเป็นความลับนัก แต่ไม่จำเป็นก็อย่าเปิดเผยกับผู้อื่นง่ายๆ” หลังออกจากร้านมา หลิ่วหมิงก็เดินไปทางตะวันออกของเมืองพร้อมกับที่เอ่ยปากขึ้นช้าๆ
“พี่หลิ่วโปรดวางใจ แม้น้องความรู้ตื้นเขินแต่ย่อมรู้จักสมควร เรื่องทำร้ายผู้มีพระคุณเช่นนี้ไม่มีวันทำ” ดวงเนตรงามของซาฉู่เอ๋อร์ฉายแววซาบซึ้งจางๆ แล้วเอ่ยอย่างจริงจังยิ่งนัก
หลิ่วหมิงหัวเราะ หากไม่ใช่เขารู้จักนิสัยของซาฉู่เอ๋อร์อยู่บ้าง เขาก็คงไม่บุ่มบ่ามพาสตรีนางนี้มาที่นี่
ไม่นานนักทั้งสองคนก็มาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งทางตะวันออกของเมืองแล้วแยกย้ายเข้าไปในห้องพักสองห้อง
เยี่ยเฮ่ารอหลิ่วหมิงอยู่ในห้องนั้นอย่างเชื่อฟัง เขายังคงเอาแต่ท่องเคล็ดวิชาที่หลิ่วหมิงสอนเขา
สามวันว่างเว้นติดกัน บ่ายวันที่สี่หลิ่วหมิงกับซาฉู่เอ๋อร์ก็ขยับตัวมาที่โรงรับจำนำอีกครั้ง
“ลูกค้าทั้งสองเชิญด้านใน” ลูกจ้างชุดสีน้ำเงินเห็นทั้งสองคนก็ดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรแล้วพาพวกเขาไปด้านหลัง ฉินอู่ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมเวลานี้รออยู่ข้างในก่อนแล้ว
“พี่ฉิน สืบเรื่องได้อย่างไรบ้าง?” หลิ่วหมิงเอ่ยถามเรียบๆ
“ได้ข่าวมาบ้าง แต่ไม่คืบหน้ามากนัก” ฉินอู่เชิญทั้งสองคนเข้าไปในห้องลับแห่งหนึ่ง ถอนหายใจไปพลางก็บอกตรงๆ
“อ้อ? ลองว่ามาฟังดูซิ” หลิ่วหมิงเอ่ยถาม
“ข้าใช้วิธีการลับบางอย่าง แต่ได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาไม่มากนัก ข้าหาที่อยู่ของโอวหยางหมิงไม่พบ แต่หาสถานที่เร้นกายของศิษย์ในตระกูลซึ่งก่อนหน้านี้ใกล้ชิดกับเขาอย่างยิ่งคนหนึ่งพบ บางทีอาจสอบถามข้อมูลอื่นเกี่ยวกับโอวหยางหมิงจากเขาได้” ฉินอู่ยกมือส่งคัมภีร์หยกเล่มหนึ่งให้หลิ่วหมิงแล้วบอกทุกสิ่งทุกอย่าง
“อ้อ ได้ผลเช่นนี้” หลิ่วหมิงรับคัมภีร์หยกมาด้วยมือข้างเดียว คิ้วขมวดเข้าหากัน
ส่วนซาฉู่เอ๋อร์ได้ฟังถึงตรงนี้ สองมือด้านในแขนเสื้อก็กำเป็นหมัดแน่น ในดวงตาปรากฏแววตายินดีจางๆ
หลิ่วหมิงเห็นแววตาของซาฉู่เอ๋อร์ก็ลอบถอนหายใจ จากนั้นแนบคัมภีร์หยกลงบนหน้าผาก ข้างในบันทึกข้อมูลจำนวนหนึ่งก่อนที่โอวหยางหมิงจะหายไปกับตำแหน่งสถานที่เร้นกายตอนนี้ของศิษย์ร่วมตระกูลผู้นั้นอยู่จริงๆ
………
ครึ่งค่อนวันให้หลัง ลำแสงสองสายสีดำสายหนึ่งสีเหลืองสายหนึ่งก็ร่อนลงนอกหุบเขาอันเงียบสงบแห่งหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ห่างจากเทือกเขาหยกฝันร้อยกว่าลี้
หลังแสงรัศมีกะพริบหายไปก็เผยร่างของหลิ่วหมิงกับซาฉู่เอ๋อร์ออกมา
“ที่นี่หรือ?” ซาฉู่เอ๋อร์ยืนอยู่นอกหุบเขาอันเงียบสงบ หลังชะเง้อมองเล็กน้อย ในดวงตาก็ฉายแววสงสัยเอ่ยพึมพำขึ้นมา
ด้านในหุบเขามีเพียงป่ารกครึ้มเขียวชอุ่ม ไม่มีเงาบ้านหรือสิ่งก่อสร้างใดๆ ให้เห็น
“นี่เป็นภาพมายา วางไว้ได้ประณีตทีเดียว ถึงกับซ่อนเร้นคลื่นพลังเวทได้ ดูท่าผู้ฝึกฝนที่อาศัยอยู่ที่นี่น่าจะชำนาญศาสตร์นี้” ดวงตาของหลิ่วหมิงทอแสงสีดำเรืองๆ หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็งอนิ้วหนึ่งแล้วดีด ลูกไฟขนาดเท่าศีรษะคนพุ่งรวดเร็วออกมา
ลึกเข้าไปในหุบเขาอันเงียบสงบเกิดคลื่นระลอกหนึ่งขึ้นกลางอากาศ ลูกไฟส่งเสียงดัง “ฟู่” แล้วถูกกลืนเข้าไป
หลังจากนั้นก็เกิดระลอกคลื่นขึ้นกลางหุบเขา ภาพทุกสิ่งสั่นไหววูบหนึ่งดุจผิวน้ำราบเรียบที่ถูกคนโยนหินก้อนหนึ่งลงไป
“พี่หลิ่วพลังสายตาดีจริงๆ!” ซาฉู่เอ๋อร์เห็นเช่นนี้ ในดวงตาก็ฉายแววนับถือจางๆ
“แม่นางซาอยู่ในทะเลทรายกุ่ยโม่มานาน ยามปกติพบเจอแต่อสูรทรายเป็นหลัก วิชามายาชั้นจำกัดได้พบเจอมาไม่มาก มองไม่ออกก็ไม่แปลก” หลิ่วหมิงโบกมือแล้วหัวเราะเบาๆ เอ่ยขึ้นมา
ในตอนนี้เอง ขณะที่ระลอกคลื่นกลางหุบเขายังไม่ทันสลายไป แสงสีน้ำเงินอ่อนสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้น มุมหนึ่งของแสงสว่างเหมือนถูกฉีก หลังจากส่องสว่างขึ้นวูบหนึ่ง ชายหนุ่มผู้สวมชุดยาวสีเหลืองอ่อนคนหนึ่งก็เหาะออกมา หลังเขายืนมั่นคงก็มองพวกหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าระแวดระวัง
“พวกเจ้าเป็นใคร บังอาจบุกรุกคฤหาสน์ภูเขาจื่อเสวียนของข้า!”
หลิ่วหมิงเคลื่อนสายตามามอง ชายหนุ่มชุดเหลืองตรงหน้าพลังระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นปลายเท่านั้น แต่เผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนระดับผลึกสองคนเช่นพวกเขากลับไม่เผยสีหน้าขลาดกลัวแม้แต่น้อย เขาเอ่ยเสียงกระจ่างชัดทันที
“สหายท่านนี้ พวกเราสองคนไม่มีเจตนาจะล่วงเกิน แต่มีธุระอยากขอพบผู้อาวุโสโอวหยางขุย รบกวนช่วยแจ้งแทนด้วย”
“หืม? พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าท่านพ่อเร้นกายอยู่ที่นี่? พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?” ชายหนุ่มชุดเหลืองได้ยินก็ตกตะลึง สีหน้าเปลี่ยนไปในทันใดแล้วตวาดเสียงดุดัน
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังขบคิดว่าจะเอ่ยปากอย่างไรถึงจะค่อนข้างรอมชอม ทันใดนั้นในหุบเขาก็พลันมีเสียงที่ค่อนข้างแก่ชราเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เสียนเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท!”
เสียงเพิ่งเอ่ยจบ ในหุบเขาก็มีแสงสีน้ำเงินสั่นไหวเกิดเป็นรูปร่างของบานประตูบานหนึ่ง ผู้เฒ่าชุดสีเหลืองคนหนึ่งเหาะออกมาจากด้านใน
ตอนที่ 864 พิสูจน์สายเลือด
“ท่านพ่อ” ชายหนุ่มชุดเหลืองสำรวมสีหน้าจากนั้นหมุนตัวมาคำนับผู้เฒ่าอย่างนอบน้อม แล้วก้มศีรษะถอยไปอยู่ด้านข้าง
“ทั้งสองท่าน เมื่อครู่บุตรชายข้าเอ่ยวาจาล่วงเกินไป ได้โปรดอย่าได้ถือโทษ” หลังจากผู้เฒ่าชุดเหลืองตวาดให้ชายหนุ่มถอยไปก็เอ่ยกับพวกหลิ่วหมิงอย่างเกรงใจอย่างยิ่ง แต่ในดวงตากลับฉายแววระแวดระวังเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น
“ท่านคงจะเป็นสหายโอวหยางขุยกระมัง? พวกเราสองคนต่างหากเป็นฝ่ายล่วงเกินที่บุ่มบ่ามมาเยือน” หลิ่วหมิงกวาดสายตาบนร่างผู้เฒ่าชุดเหลืองแล้วแววตาวูบไหวเล็กน้อย ผู้เฒ่าคนนี้ก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนเช่นเดียวกัน แต่ดูจากสภาพไม้ใกล้ฝั่งของเขา เห็นชัดว่าชีวิตนี้คงไร้ความหวังจะผนึกแก่นแท้แล้ว
“ข้าคือโอวหยางขุย ในเมื่อสหายทั้งสองตั้งใจมาเยี่ยมเยือน ถ้าเช่นนั้นก็เชิญเข้ามานั่งในคฤหาสน์เถิด” ผู้เฒ่าชุดเหลืองเห็นหลิ่วหมิงพูดจาเกรงใจเช่นนี้ ความระแวดระวังในแววตาก็ลดน้อยลงไปบ้าง เขาเบี่ยงกายทำท่าเชิญ จากนั้นบานประตูแสงสีน้ำเงินก็กะพริบวูบหนึ่งแล้วขยายใหญ่ขึ้น
“ในเมื่อสหายว่าเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราสองคนก็ไม่เกรงใจแล้ว” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า แล้วกระตุ้นเคล็ดวิชาเหาะเข้าไปทันที
ซาฉู่เอ๋อร์ย่อมขยับตัวตามไปเช่นเดียวกัน
หลังเข้าไปในแสงสีน้ำเงิน พวกหลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าฉับพลันสว่างจ้า
หลังม่านแสงยังมีหุบเขาอันใดที่ไหน สิ่งที่ปรากฏแทนที่เบื้องหน้าทั้งสองคนกลับเป็นป่าทึบเขียวชอุ่มผืนหนึ่ง
จวนที่สร้างจากไม้สีม่วงขนาดไม่ใหญ่นักหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางป่าทึบสีเขียวไม่ไกล
เหล่าสกุณากับหมู่แมลงร้องเสียงใสดังมาจากรอบด้านเป็นระยะ จวนทั้งหลังขนาบด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มสองด้านทำให้รู้สึกเงียบสงบผ่อนคลาย เป็นสถานที่เร้นกายที่ดีแห่งหนึ่งจริงๆ
ใบหน้าหลิ่วหมิงคล้ายไม่ใส่ใจ แต่จิตสัมผัสขนาดมโหฬารแผ่ออกไปตั้งแต่แรกแล้ว พริบตาเดียวก็ครอบป่าทึบทั้งหมดไว้ด้านใน
จิตสัมผัสกวาดค้นหาหลายรอบก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ
นอกจากผู้เฒ่าชุดสีเหลืองกับชายหนุ่มชุดเหลือง ในจวนยังมีคนอีกหลายคน แต่พลังล้วนต่ำอย่างยิ่ง แค่ระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น
นอกเหนือจากนี้ที่แห่งนี้ก็ไม่มีร่องรอยว่าวางค่ายกลชั้นจำกัดอันร้ายกาจอันใดไว้ นี่ทำให้เขาวางใจไปเปลาะหนึ่ง
ตอนนี้เองสายลมจากเบื้องหลังก็พากลิ่นหอมสายหนึ่งพัดเข้ามาในจมูก ซาฉู่เอ๋อร์นั่นเองที่ขยับเข้ามาใกล้
“เชิญทั้งสองคนดื่มชาจิตวิญญาณที่โถงรับแขก” ผู้เฒ่าที่อยู่ด้านข้างเอ่ยกับทั้งสองคน จากนั้นเขากับชายหนุ่มชุดเหลืองก็พาทั้งสองคนเดินเข้าไปในจวน หลังเข้าไปในจวนก็เดินตรงเข้าไปในห้องโถงใหญ่ตรงหน้า
ตอนนี้ชายหนุ่มชุดเหลืองกลับไม่ได้ตามเข้ามา เขาเพียงยืนอยู่ที่ประตูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ในห้องโถงใหญ่ไม่มีข้ารับใช้คอยรับใช้ หลังจากผู้เฒ่าเชิญทั้งสองคนนั่งลงก็ไปชงชาจิตวิญญาณสองถ้วยที่ด้านหลังห้องโถงด้วยตนเองแล้วยกมาให้พวกหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยขอบคุณแล้วรับถ้วยชามาวางไว้ข้างตัว
“สหายทั้งสองมาหาผู้เฒ่าในสถานที่ห่างไกลเช่นนี้คิดว่าคงมีเหตุผลที่มา ไม่ทราบเป็นเรื่องอันใด? พวกเจ้าสองคนอายุน้อยเช่นนี้ก็มีพลังระดับผลึกแล้ว คงเป็นศิษย์แกนนำของตระกูลสินะ ข้าเร้นกายอยู่ที่นี่ตั้งแต่หลายสิบปีก่อน ในตระกูลยังมีเรื่องใดที่ข้าช่วยได้อีกหรือ?” ผู้เฒ่าชุดเหลืองนั่งลงแล้วก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไร้ชีวิตชีวา
“สหายโอวหยางคงจะเข้าใจผิดแล้ว ผู้น้อยหลิ่วหมิงเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ ผู้นี้คือแม่นางซาฉู่เอ๋อร์มาจากหนานฮวง” หลิ่วหมิงได้ยินก็นิ่งไปชั่วครู่จากนั้นหัวเราะขึ้นเบาๆ
“ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ หนานฮวง…พวกเจ้าสองคนไม่ใช่ศิษย์ตระกูลโอวหยางหรือ? ที่แห่งนี้ของข้าน่าจะมีเพียงคนของตระกูลโอวหยางที่รู้ ไม่ทราบพวกเจ้าสองคนรู้จักที่แห่งนี้ได้อย่างไร?” ผู้เฒ่าชุดเหลืองได้ฟังคำพูดของหลิ่วหมิงก็ตกตะลึง
“แม้ผู้แซ่หลิ่วหาใช่ศิษย์ตระกูลโอวหยาง แต่แม่นางซาผู้นี้มีความเกี่ยวพันกับตระกูลโอวหยางอยู่บ้าง พวกเราสองคนใช้เวลาไปประมาณหนึ่งทีเดียวถึงตามหาที่อยู่ของสหายพบ” หลิ่วหมิงหัวเราะเบาๆ แล้วประสานมือชี้แจง
“อ้อ? พวกเจ้าทั้งสองคนไม่ใช่คนของตระกูลโอวหยางก็ยิ่งดี” ผู้เฒ่าชุดเหลืองฟังแล้วก็เป่าลมหายใจเบาๆ ทั้งร่างเหมือนจะผ่อนคลายลงทันที
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่นอกประตูได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกหลิ่วหมิงกับผู้เฒ่าชุดเหลืองแล้ว สีหน้าก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน จากนั้นเขาก็หมุนตัวจากไปอย่างเงียบเชียบ
“ในเมื่อไม่ใช่คนของตระกูลโอวหยาง ถ้าเช่นนั้นสหายทั้งสองมาตามหาคนแก่ที่เร้นกายเช่นข้าคนนี้เพราะเหตุใด?” ผู้เฒ่าชุดเหลืองเอ่ยถามอีกครั้งอย่างค่อนข้างสนใจ
“สหายโอวหยาง ท่านคงรู้จักโอวหยางหมิงชื่อนี้กระมัง? จากข้อมูลที่พวกเราสองคนสืบมาได้ ก่อนหน้านี้สหายสนิทกับคนผู้นี้อย่างยิ่ง?” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็บอกจุดประสงค์ที่มา
“โอวหยางหมิง พวกเจ้าสองคนมาที่นี่เพื่อสอบถามเรื่องนี้หรือ?” ผู้เฒ่าชุดเหลืองได้ยินปุบมือก็ชะงัก สีหน้าเขียวคล้ำในทันใด ครู่หนึ่งให้หลังถึงถามขึ้นอย่างเย็นชา
“ไม่ผิด” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะบอกพวกเจ้า เชิญพวกเจ้าสองคนไปจากที่นี่เสียตอนนี้” ผู้เฒ่าชุดเหลืองลุกพรวดทันที ใบหน้าเรียบเฉยไม่หลงเหลืออารมณ์ใดๆ
“ดูท่าสหายจะหลบเลี่ยงชื่อนี้อย่างยิ่ง แต่สหายอย่าเพิ่งรีบร้อน ฟังแม่นางซาผู้นี้อธิบายเสร็จค่อยเอ่ยส่งแขกก็ไม่สาย” หลิ่วหมิงกลับยิ้มน้อยๆ
“ฟังนางอธิบาย?” ผู้เฒ่าชุดเหลืองได้ยินคำนี้ ความโกรธก็ลดหายไปเล็กน้อย ดวงตาฉายแววประหลาดใจจางๆ
“ผู้เยาว์ซาฉู่เอ๋อร์ โอวหยางหมิงคือบิดาของข้า หวังว่าผู้อาวุโสจะบอกที่อยู่ของบิดาแก่ผู้เยาว์ได้” เวลานี้ซาฉู่เอ๋อร์ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง จากนั้นคำนับผู้เฒ่าฝั่งตรงข้ามอย่างอ้อนน้อมแล้วเอ่ยขึ้นมา
“อะไรนะ? เจ้าคือลูกสาวของโอวหยางหมิง ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงมาก่อน” ผู้เฒ่าชุดเหลืองตกใจมาก เขาจ้องซาฉู่เอ๋อร์เขม็งทันที สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาในทันใด
“ผู้เยาว์เพิ่งเกิดหลังบิดาจากไปไม่นาน” ซาฉู่เอ๋อร์เอ่ยเสียงเบา
“อืม เมื่อพูดแบบนี้ หน้าตาของเจ้าก็ดูละม้ายคล้ายโอวหยางหมิงอยู่บ้างจริงๆ แต่เจ้าคงจะไม่อาศัยแค่คำพูดลอยๆ ไม่กี่ประโยคแล้วจะให้ข้าเชื่อว่าเจ้าเป็นสายเลือดของโอวหยางหมิงจริงๆ กระมัง?” ผู้เฒ่าสีหน้าถมึงทึงแปรเปลี่ยนไปมาพักหนึ่ง หลังจากนั้นจึงถอนหายใจเอ่ยขึ้นมา พร้อมกันนั้นบนร่างเขาก็แผ่แรงกดดันจิตวิญญาณเลือนรางสายหนึ่งออกมาด้วย
หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้างสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ายามนี้ผู้เฒ่ากำลังเคลื่อนพลังเวทในร่าง เห็นชัดว่าหากพูดผิดสักคำ อีกฝ่ายจะลงมือใช้กระบวนท่าใหญ่ทันที
ทว่าหลิ่วหมิงเพียงยิ้มน้อยๆ เขายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับสักนิด
กลับเป็นซาฉู่เอ๋อร์ที่ฟังแล้วล้วงป้ายสีม่วงแผ่นหนึ่งที่ตัวส่งไปให้ทันที แล้วเอ่ยอย่างจริงจังอย่างยิ่งว่า
“ในเมื่อผู้เยาว์มาเยือนแล้วย่อมไม่อาจอาศัยเพียงคำพูดปากเปล่า นี่คือของแทนตัวที่บิดาทิ้งไว้ให้มารดาก่อนบิดาจะจากไป ผู้อาวุโสตรวจสอบดูได้”
ผู้เฒ่าชุดเหลืองสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่งป้ายมาอยู่ในมือทันที หลังจากนั้นจึงก้มศีรษะตรวจสอบอย่างละเอียด
“ไม่ผิด นี่เป็นป้ายประจำตัวของโอวหยางหมิงจริงๆ แต่อาศัยแค่ของไร้ชีวิตชิ้นหนึ่งยังไม่พอ ข้าจะใช้วิชาพิสูจน์สายเลือดของเจ้าด้วย” ครู่หนึ่งให้หลังผู้เฒ่าชุดเหลืองก็โยนป้ายกลับมา หลังจากสำรวจซาฉู่เอ๋อร์จากหัวจรดเท้าอีกหลายครั้ง เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าอ่อนลง
“ไม่เป็นปัญหา ขอเพียงทำให้ผู้อาวุโสเชื่อในตัวตนของผู้เยาว์ได้ ผู้อาวุโสจะใช้วิชาใดก็ได้ทั้งสิ้น” ซาฉู่เอ๋อร์ตอบเต็มปากเต็มคำอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิด
“ดีมาก! ข้ามีเลือดหยดหนึ่งที่โอวหยางหมิงทิ้งไว้ให้เมื่อตอนนั้น กระบวนการพิสูจน์รวดเร็วยิ่ง ถ้าเช่นนั้นรบกวนแม่นางซาเค้นเลือดออกมาสักหน่อยหยดลงบนนี้เถิด” โอวหยางขุยได้ยินก็พยักหน้า มือข้างหนึ่งพลิกหงาย ทันใดนั้นในมือก็มีแผ่นค่ายกลรูปปริซึมแผ่นหนึ่งปรากฏออกมา บนผิวของมันมองเห็นลวดลายจิตวิญญาณสีเงินอ่อนที่เว้าเข้าไปตัวแล้วตัวเล่าอยู่เลือนราง
ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็ก้าวเข้าไปข้างหน้าหลายก้าว นางยกท่อนแขนขาวผ่องขึ้นมาจากนั้นริมฝีปากก็เอื้อนเอ่ยคำหนึ่ง ทันใดนั้นมีดสายลมแวววาวเล่มหนึ่งก็เฉือนผ่านข้อมือเป็นรอยแผลยาวราวหนึ่งชุ่นกว่าแผลหนึ่ง เลือดสายหนึ่งไหลลงมาจากบาดแผลจมลงไปในแผ่นค่ายกลแล้วไหลเข้าไปในรอยเว้าสีเงินอ่อนเหล่านั้นจนหมดอย่างเร็วไว
“เท่านี้ก็พอแล้ว”
โอวหยางขุยเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขาโยนแผ่นค่ายกลออกไปเบื้องหน้าทันที จากนั้นสิบนิ้วก็ดีดรัว ยิงเคล็ดวิชาสิบกว่าสายออกไปในครั้งเดียว
ทันใดนั้นแผ่นค่ายกลก็เริ่มแยกตัวออกแล้วส่งเสียงดังวิ้ง พร้อมกับที่ช่องเว้าสีเงินเหล่านั้นทอแสงสีเลือด
จากนั้นผู้เฒ่าก็สะบัดแขนเสื้อ โยนขวดกระเบื้องสีขาวใบหนึ่งออกมากลางอากาศเหนือค่ายกล นิ้วหนึ่งจิ้มไปบนอากาศ
เสียง “ปัง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง ขวดกระเบื้องพลันระเบิดแตกกระจาย เลือดสีแดงคล้ำหยดหนึ่งร่วงออกมาแล้วจมหายไปในแผ่นค่ายกลอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากแผ่นค่ายกลถูกผู้เฒ่ากระตุ้น มันก็เริ่มหมุนติ้วกลางอากาศ มียันต์สีเลือดลอยออกมาจากด้านในเป็นระยะ จากนั้นทยอยกลายเป็นแสงสีเลือดจุดแล้วจุดเล่ากระจายออกมา
“เก็บ”
ผู้เฒ่าเอ่ยออกมาคำหนึ่งพร้อมกับที่มือข้างหนึ่งคว้าไปกลางอากาศ แผ่นค่ายกลสั่นวูบหนึ่งกลางอากาศจากนั้นก็หยุดนิ่งแล้วพุ่งมากลางฝ่ามือของเขาในทันใด
โอวหยางขุยก้มศีรษะตรวจดูลวดลายจิตวิญญาณสีเลือดที่กะพริบบนค่ายกลอย่างละเอียดอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นจึงเงยศีรษะมองซาฉู่เอ๋อร์ สุดท้ายบนใบหน้าก็เผยสีหน้ากระอักกระอ่วนแล้วถอนหายใจเอ่ยขึ้นว่า
“ดูท่าจะไม่ผิดแล้ว แม่นางซาเป็นบุตรสาวของน้องชายคนนั้นของข้าจริงๆ”
“ในที่สุดผู้อาวุโสก็เชื่อ ก่อนหน้านี้แม่นางซาใช้ชีวิตอยู่ที่หนานฮวงมาตลอด เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งมาถึงแคว้นเฉินเพราะต้องการตามหาที่อยู่ของผู้อาวุโสโอวหยางหมิง หากผู้อาวุโสทราบก็โปรดชี้แนะอย่าได้เก็บงำ” หลิ่วหมิงเอ่ยแทรกขึ้นอย่างนิ่งสงบ
“ที่อยู่? คนเหล่านั้นของตระกูลโอวหยางก็อยากตามหาที่อยู่ของโอวหยางหมิงมาตลอด น่าเสียดายพวกเขาหามาเนิ่นนานปานนี้ก็หาไม่พบ” ทันใดนั้นผู้เฒ่าชุดเหลืองก็หัวเราะหยัน เอ่ยเหมือนจะเสียดสี
หลิ่วหมิงอดไม่ได้ตะลึงไปชั่วครู่ หรือว่าอีกฝ่ายก็ไม่รู้ที่อยู่ของโอวหยางหมิงเช่นกัน?
ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยิน ในใจก็เคร่งเครียด
“ก่อนหน้านี้โอวหยางหมิงนับว่ามีบุญคุณกับข้าอยู่บ้าง ในเมื่อเจ้าเป็นบุตรสาวของเขา ทั้งยังตามหามาจนถึงที่นี่ ข้าจะเล่าเรื่องราวในยามนั้นให้เจ้าฟังสักหน่อยก็ได้” ผู้เฒ่าชุดเหลืองสูดลมหายใจลึกอีกเฮือกหนึ่งแล้วเผยท่าทางขมขื่นเอ่ยออกมาเช่นนี้
“ผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ!” ซาฉู่เอ๋อร์ขบริมฝีปากเล็กน้อย มืองามสองข้างกำชายกระโปรงไว้เบาๆ นางเอ่ยขึ้นอย่างกังวลอยู่บ้าง
“ตระกูลโอวหยางแม้เป็นตระกูลเดียว แต่ในตระกูลก็แบ่งเป็นหลายสายยิ่งนัก สายเลือดสายนี้ของพวกเราเดิมทีเป็นตระกูลสายรอง ไม่ได้รับความสำคัญจากตระกูลนัก ในตอนนั้นเพราะโอวหยางหมิงแสดงพรสวรรค์ในการฝึกฝนอันล้ำเลิศออกมาถึงทำให้สายเลือดสายนี้โดดเด่นขึ้นมาอยู่บ้าง กระทั่งข้าที่ในตอนนั้นสุดท้ายเลื่อนระดับมาถึงระดับผลึกได้ก็เพราะโอวหยางหมิง” ผู้เฒ่าชุดเหลืองเล่าพลางเดินช้าๆ ไปริมหน้าต่าง สายตาทอดมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง เอ่ยพึมพำเหมือนเหม่อลอย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น