องครักษ์เสื้อแพร 861-863

 ตอนที่ 861 จวนตัว กลับตัวมาทางหวังทง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชาวน้ำย่อมเน้นเรื่องการลงน้ำสะดวก ยามนี้อากาศร้อนมาก ย่อมสวมเสื้อแขนสั้น บ้างก็ถอดเสื้อเลย สวมเพียงกางเกงง่ายๆ


แต่การแต่งกายเช่นนี้ต่อหน้าอาวุธก็เหมือนกับเปลือยกาย ทหารติดตามหวังทงในชุดเกราะครบ แม้อากาศร้อนจัดอึดอัด แต่ในสนามรบนั้นไร้ตา ป้องกันให้ดีอย่างไรก็ไม่มีผิด


การต่อสู้นี้ยังเป็นยามกลางคืน ไม่มีแสงตะวัน ห่อตัวด้วยเกราะไว้นั้นข้างในยังมีเสื้ออีกชั้นไม่ได้ทรมานขนาดนั้น


เสียงบนพื้นที่ต่อสู้หากฟังให้ดี ยังอาจได้ยินเสียงเคร้งคร้างและเสียงฉึกๆ เสียงเคร้งคร้างย่อมเป็นเสียงอาวุธกระทบเกราะ กลางคืนมืดมิด ทุกคนสู้กันชุลมุน คิดจะหาช่องว่างของชุดเกราะลงมือก็ไม่ง่าย ย่อมต้องส่งเสียงเคร้งคร้างดัง


ทางน้ำนี้บนเรือก็แคบ พวกโจรใช้อาวุธขวาน พวกองครักษ์ของหวังทงใช้ดาบยาวทวนยาว อาวุธปะทะกัน อาวุธโจรย่อมไม่อาจแตะต้องโดนพวกหวังทง หากจะถูกดาบยาวทวนยาวแทงเอาเสียมากกว่า ย่อมต้องมีเสียงฉึกๆ


ทหารติดตามหวังทงอาวุธครบมือ ฝึกมาหนัก ยังออกรบได้ชัยมาหลายครั้งก็ย่อมมีความมั่นใจ หากกลางคืนมีคนล้อมชิงความได้เปรียบ และยังไม่ชำนาญพื้นที่ ทุกคนก็ย่อมรู้สึกใจเต้นอยู่บ้าง แต่พวกหานกังพอกลับมาก็มั่นใจมาก


หานกังนำคนออกไปสังหารเสร็จ ก็กลับมาเข้าทัพ 20 คนรอคำสั่งซาตงหนิง คนของหวังทงไม่กำหนดแกนนำถาวร แต่จะเป็นครั้งเป็นคราไป ครั้งหน้าก็อาจจะไปเป็นทหารธรรมดา ความคิดหวังทงก็ง่ายมาก ก็คือให้ทุกคนได้รับการฝึกฝนให้พร้อม


เดิมพวกโจรได้เปรียบอยู่ ใช้วิธีการล้อมรอบทิศทางไว้ แต่ด้านหน้าสังหารรุนแรง เริ่มจากปืนไฟกับธนูยิ่งกันชุลมุน จากนั้นก็มีทหารกลุ่มเล็กออกปะทะ ชุลมุนต่อ เพื่อรักษาสถานการณ์ให้นิ่ง ก็จะต้องส่งคนจากที่อื่นมายันไว้


คนอื่นๆ คิดหาจังหวะชุลมุนลงมือ ทว่าพลธนูและพลปืนไฟบนหลังคาของกองกำลังหู่เวยมีอยู่ พวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ลับ แต่สามารถบรรจุกระสุนได้ง่าย น้าวธนูได้ง่าย โจรด้านล่างต่างถือคบไฟ เป็นเป้ายิงโดนแท้ เข้าใกล้ก็ย่อมตาย ได้แต่หัวหดกลับไป


 มีคนโยนคบไฟเข้ามา อากาศแจ่มใสไม่ว่า ผ่านพ้นเดือนแปดมา พระจันทร์กระจ่างยิ่ง จะซ่อนตัวได้อย่างไร เห็นทัพม้ามุ่งบีบมาด้านหน้า คนที่เหลือก็ไม่อยากอยู่รอความตาย พากันตามถอยกลับไป


การต่อสู้เช่นนี้ ซาตงหนิงเปลี่ยนไปใช้ดาบยาวแทน พอเขานำคนออกมา พวกโจรก็ถอยไปมากแล้ว หวังทงได้ยินบนหลังคามีเสียงธนูยิงกับปืนไฟประปราย  กล่าวกับเฉินต้าเหอว่า


“พวกโจรถึงกับไม่แตกตื่น ดูท่าคงมีอะไรที่ยังไม่เอาออกมาใช้!”


ถูกสังหารถอยกลับไปหลายครั้ง พวกโจรยังถึงกับล้อมวงเข้ามาอีก กลุ่มก่อและการสั่งการนี้ไม่เลว สายตาพลธนูไม่เลว พอได้ยินหวังทงกล่าว ก็หรี่ตามองไป กล่าวว่า


“มีบางคนแต่งกายไม่เหมือนกัน กลางคืนมองไม่ออกว่าเสื้อคลุมใช่ผ้าหรือหนัง ราวกับเป็นคนพวกนี้สั่งการ”


เห็นในบรรดาโจรเสื้อสั้นแขนสั้น มีพวกที่คลุมผมด้วยผ้าแน่นหนา เห็นชัดๆ ว่าเป็นพวกเดียวกัน


“มีพลธนู ทุกคนอย่าแตกตื่น บุกเข้าไปสังหารมันก่อนค่อยถอย!!”


สองคนบนหลังคาวิพากษ์วิจารณ์ กลับได้ยินซาตงหนิงคำรามดัง เจ้ากลุ่มเล็กนั่นรีบเร่งฝีเทาบุกเข้ามา  ได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดดังถี่มาก หวังทงขมวดคิ้วหันไปตะโกนขึ้นว่า


“เป้าเอ้อร์เสี่ยวนำกำลังออกไปต้านไว้ เอ้อร์หู่กับเสี่ยวเปียวนำกำลังออกไปด้วย!!”


ลูกน้องรับคำพร้อมเพรียงพากันเร่งออกไป  ที่จริงแล้วเมื่อครู่ที่ตกใจไม่ได้ส่งผลอันใดกับการนำกำลังออกไปสังหารของซาตงหนิง ตอนนี้เพื่อนทหารออกมาช่วยกัน จึงได้ก้าวขึ้นหน้าไปอีกระยะห่างหนึ่ง


หลายครั้งที่ปะทะกัน สวมชุดเกราะไว้ กองกำลังหู่เวยที่ชำนาญการต่อสู้ย่อมได้เปรียบพวกโจรไม่น้อย พวกโจรส่วนใหญ่ไม่กล้าเข้าปะทะกันตรงๆ ปรากฏว่าองครักษ์ของหวังทงหลายสิบนายปะทะกำลังหลายร้อยนายถอยกลับไป ศัตรูตรงหน้าน้อยกว่าพวกเขา ย่อมไม่อาจมีชัยได้


พอสามกองที่ส่งออกไปรอบแรกกลับมา ซาตงหนิงเงยหน้ารายงานว่า


“ท่านโหว เสี่ยวเถียนโดนยิง ที่เหลือปลอดภัย!!”


หวังทงพยักหน้า ไม่ได้ออกคำสั่งให้อีกกองออกไป ยามนี้พวกโจรก็ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใด คนที่ห่อตัวเองไว้มิดชิดเริ่มไปรวมตัวกัน หวังทงก้มหน้าถาม ซาตงหนิงเงยหน้ารายงานว่า


“เป็นเกราะหนัง คนพวกนี้ไม่ใช่คนในวงการนักเลงบ้านเรา!”


หวังทงตบบ่าเฉินต้าเหอ กล่าวว่า


“ไปได้ พวกเราร่วมกันออกไปสังหารสักรอบ พวกโจรก็คงจะได้เผยสิ่งที่ซ่อนอยู่”


เฉินต้าเหอรับคำ สองคนวิ่งลงบันไดไป บรรดาทหารติดตามอารักขาปรับเล็กน้อย ทหารปืนไฟมีครึ่งหนึ่งหันไปถืออาวุธ


หวังทงถือดาบพัวเตาในมือ ปิดเกราะบนใบหน้าตนลง กล่าวว่า


“อย่าแตกแถว พลธนูกดดันพลธนูโจรไว้ ยิงสังหารไปก็พอ!”


หวังทงกล่าวจบลูกน้องก็รับคำพร้อมเพรียง ตอนนี้บนสนามรบมีคนถูกธนูยิงไปแค่หนึ่ง ช่างฮึกเหิมเสียจริง อยากออกไปปะทะแสดงความสามารถสักหน่อย


พอเดินไปถึงลานด้านหน้าก็ได้ยินคนตรงข้ามตะโกนดังว่า


“ยันขึ้นไปแถวหน้าๆ  สู้ตายกับพวกมัน  เงินหนึ่งร้อยตำลึง ถึงหยางโจวให้กินเที่ยวกันเต็มที่!!”


กลับชายฉกรรจ์ชุดเกราะหนังมารวมตัวกัน พยายามไล่ต้อนกลุ่มโจรไปด้านหน้า เห็นแล้วก็รู้ว่าให้บุกเป็นทัพหน้ามาก่อน ตนเองรอโอกาสอยู่ด้านหลัง


ทหารทางการ 20 กว่านายกำลังปะทะกับกองกำลังพวกเขาอยู่ตรงหน้า ตอนนี้ออกมาเกือบร้อย จะสู้ยังไง กลุ่มคนเริ่มแตกฮือ


หวังทงสะบัดดาบให้บุก  แต่พอสะบัดดาบออกไป ก็พบกว่าอีกฝ่ายเริ่มชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด พวกโจรด้านหน้าหนีกันกระจัดกระจาย พวกชายสวมเกราะหนังด้านหลังเริ่มหันไปสังหารทิ้ง ยังมีโมโหตะโกนด่าขึ้นว่า


“พี่เลี่ยว ท่านจะทำอะไร!!?”


“นายท่านดีต่อเจ้าไม่น้อย หรือว่าเจ้าไม่อยากอยู่แดนใต้นี้ต่อ!!?”


คนพวกนี้กำลังตะโกนใส่กัน อีกพวกหนึ่งตะโกนว่า


“พวกเจ้าคิดการใหญ่หรือ เสียดายชีวิตพี่น้องที่พลีชีพไป วันนี้จะทวงความเป็นธรรมให้พี่น้อง!!”


อีกฝั่งกลับใช้คนละสำเนียงตะโกนกลับ พวกหวังทงเริ่มแรกคิดว่ามีแผนร้ายอันใด ระยะใกล้เพียงนี้ ก็เห็นว่าลงมือกันจริงๆ สังหารกันทิ้งจริงๆ นี่ไม่ใช่เรื่องเท็จ


การต่อสู้ตอนนี้ต่างจากเมื่อครู่ แม้ว่าโจรพวกเดียวกันเอง แต่เทียบกับเมื่อครู่แล้วดูมีระเบียบกว่ามาก  มีคนหยิบแหทอดปลาทอดใส่กลุ่มคนชุดเกราะหนัง พอทอดแหออกไป ก็จับได้หลายคน จากนั้นก็คว้าฉมวกและดาบเข้าแทง


จากนั้นอยู่พวกที่ลงมือก็ถอยอย่างเป็นระเบียบ เทียบกับพวกเขาแล้ว เมื่อครู่พวกชายชุดเกราะหนังที่ดูมีฝีมือนั้นตอนนี้กลับไม่เท่าไรแล้ว


เดิมปะทะเดือด สู้กันสักอย่างมีกลยุทธ์ ชายชุดเกราะหนังก็เริ่มแตกพ่าย ไม่ถูกสังหารก็หนี กลางดึกมืดมิดเช่นนี้ หมู่บ้านเชียนเติงเจิ้นเส้นทางน้ำมากมาย โยนอาวุธหลบหนีก็ย่อมติดตามได้ยาก


สถานการณ์เงียบลงไปมาก เสียงโจมตีเอะอะ และเสียงตะโกนพวกโจรเริ่มประปราย ชายชุดเกราะหนังแตกพ่าย จากนั้นชายสองร้อยกว่าคนก็รวมตัวกัน


คนพวกนี้รวมตัวกันเงียบมาก ไม่มีคนถืออาวุธหรือคบไฟ  พวกเขาโยนคบไฟไปอีกทาง ให้พอมีแสงสว่างก็พอ คนที่กระจัดกระจาย ยามนี้มาอยู่พร้อมกันอยู่ในบริเวณนี้อย่างไม่ได้นัดหมาย มีคนถือฉมวกมา


“ให้พลธนูกับพลปืนไฟมาให้หมด แหปลานั้นจัดการยาก ต้องรับมือระวัง ฉมวกนั้นก็ยาวกว่าอาวุธเรา และยังเรียวคมแหลม ต้องระวังให้มาก !”


หวังทงสั่งไปเบาๆ บรรดาทหารติดตามอารักขาด้านหลังเริ่มปรับเปลี่ยนรูปแถว พวกเขารู้สึกว่าพวกตรงหน้าไม่เหมือนกับกลุ่มโจรเมื่อครู่ ท่าทางแตกต่าง ราวกับเป็นทหารเก่งกล้า


พอเห็นโจรด้านหน้าเคลื่อนไหวเข้ามาสองสามก้าว พวกหวังทงก็เตรียมรับศึก กำลังรออยู่นั้น ก็กลับเห็นชายฉกรรจ์หัวโล้นหน้าสุด เข้ามาคุกเข่าลงที่พื้น พวกโจรด้านหลังก็ตามมาด้านหลังติดๆ โยนอาวุธคุกเข่าลงเช่นกัน


ชายฉกรรจ์หัวล้านผู้เป็นหัวหน้ากล่าวว่า


“ ใต้เท้าผู้แทนพระองค์  เมี่ยวลั่งนำคนมาช่วยช้า ขอใต้เท้าผู้แทนพระองค์โปรดอภัย!!”


กล่าวจบก็โขกศีรษะลงกับพื้น โจรด้านหลังก็โขกศีรษะตาม พากันโขกอย่างแรงดังไปทั่ว หวังทงเงียบไป การหักมุมเช่นนี้ทำเอาอึ้งไป หวังทงก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง คิดแล้วก็หยุด ถามขึ้น


“ผู้ใดคือเทพมังกรทะเลสาบไท่หู?”


ชายฉกรรจ์หัวล้านก้าวออกมาคุกเข่าลงคำนับนอบน้อม กล่าวว่า


“ข้าน้อยก็คือเมี่ยวลั่ง ต่อหน้าใต้เท้าผู้แทนพระองค์จะใช้ชื่อบัดซบพวกนั้นได้อย่างไร”


“พวกที่มาล้อมข้านี้หรือว่าไม่ใช่คนของเจ้ากัน?  บาดเจ็บล้มตายไปมากเพียงนี้ ตอนนี้มาไม้ไหนกันอีกล่ะ?”


หวังทงถามเสียงเรียบๆ เมี่ยวลั่งโขกศีรษะกล่าวว่า


“ข้าน้อยเดิมก็ทำผิดกฎหมาย ไม่มีหน้ามาเผยตัวตน ข้ากับพี่น้องจึงได้ปิดบังชื่อแซ่หลบซ่อนตัวอยู่ทะเลสาบไท่หูหาปลาเลี้ยงชีพ คิดไม่ถึงว่าถูกคนชั่วชักชวนหลอกมาทำชั่ว ทุกวันนี้กลุ้มใจอยู่ วันนี้กลับถูกพวกมันหลอกมาล้อมโจมตีใต้เท้าผู้แทนพระองค์……”


กล่าวถึงตรงนี้ เมี่ยวลั่งถึงกับมีน้ำเสียงสะอื้น กล่าวว่า


“ล้อมโจมตีใต้เท้าผู้แทนพระองค์เป็นความผิดโทษหนัก เมี่ยวลั่งจะไปร่วมมือสมคบคิดกับพวกคิดการใหญ่เช่นนั้นได้อย่างไร คิดไม่ทำตาม พวกโจรก็อิทธิพลมาก ใต้เท้าหู่บารมีเกรียงไกร ข้าน้อยหาโอกาสนำพี่น้องไปของสวามิภักดิ์นานแล้ว ขอใต้เท้าให้โอกาสพวกข้าน้อยได้แก้ไขตัวเองใหม่ด้วย!!”


กล่าวจบก็โขกศีรษะพร้อมกัน หวังทงส่ายหน้าหลุดหัวเราะออกมา เมี่ยวลั่งกลับกล่าวอีกว่า


“ใต้เท้าโปรดไว้ใจ พวกข้าน้อยโยนอาวุธทิ้งแล้ว สามารถมัดกันเองให้ใต้เท้าได้ตรวจสอบดูได้……”


“ก็หาช่องโอกาสเก่งเหมือนกันนะ…..”


หวังทงพึมพัมเบาๆ



ตอนที่ 862 กะทันหันอย่างมาก

โดย

Ink Stone_Fantasy

“นายน้อยข้าเอ๊ย เรื่องนี้ท่านทำผิดมหันต์แล้ว!”


ยามเช้าตรู่เช่นนี้ตามปกติแล้ว เจ้าบ้านตระกูลสวีเมืองซงเจียงยังคงนอนอยู่ แต่ทว่าวันนี้กลับไม่ได้นอนทั้งคืน ในห้องรับแขกกำลังพบกับไต้เฟิ่งเสียนที่เร่งรีบมาจากเมืองซูโจว


คนอื่นในห้องถูกไล่ให้ออกไปหมด หากละแวกนั้นมีคนอยู่ก็คงต้องแปลกใจเป็นแน่ ไต้เฟิ่งเสียนหรือท่านไต้ที่แต่ไรมาก็มีท่าทีสงบแบบบัณฑิตถึงกับเสียกริยาเช่นนี้ได้


“ท่านไต้ เขาจับตัวศิษย์ผู่หยวนไว้ ยังไม่รู้ว่าเก็บกวาดอันใดออกมาจากผู่หยวนได้บ้าง นางชั่วตระกูลหลูนั่นก็แล่นขึ้นเรือมันไปแล้ว หากไม่ลงมือก็เกรงว่าจะสายไป”


สวีพานสีหน้าบึ้งตึงเช่นกัน กล่าวเสียงเย็นเยียบ ไต้เฟิ่งเสียนตบมือดัง ยืนขึ้นกล่าวว่า


“มีอันใดสายไปกัน จะเก็บกวาดอันใดออกมาได้ เอาอะไรออกมาได้  ท่านต้องกลัวอันใดกัน!? ตอนนี้ทางการใช้สมุดบัญชีเกล็ดปลาตอนนี้หรือตอนนั้นเป็นหลักฐาน อันนั้นเป็นหลักฐานได้หรือ!? ท่านสั่งผู่หยวนไป เคยเอ่ยเองไหม เคยมีจดหมายสั่งการไปไหม?”


สวีพานส่ายหน้า ไต้เฟิ่งเสียนแค่นยิ้มกล่าวว่า


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านกลัวเขาทำไม จะไปสืบอันใดได้  จะไปมีหลักฐานเอาผิดอันใดได้ นายท่านสวีท่านคิดมากเกินไปแล้ว ถึงกับทำเรื่องเช่นนี้ได้  ใช่ว่าเป็นการเปิดโอกาสให้หวังทงอ้างหรอกหรือ”


“จะอ้างอันใดได้!? ที่เหล่าเมี่ยวทำก็เพื่อแก้แค้นแทนผู่หยวน คนในจวนที่ติดต่อกับเมี่ยวลั่งก็ถูกข้าส่งไปเจ้อเจียงแล้ว”


ไต้เฟิ่งเสียนเห็นสวีพานท่าทางมั่นใจ ก็ถอนหายใจ กล่าวอย่างเสียไม่ได้ว่า


“นายท่าน เมี่ยวลั่งไม่เหมือนกับผู่หยวน เขาบอกนายท่านหลายรอบแล้วว่า ขอให้นายท่านจัดการคดีเขาที่หนิงปอให้เรียบร้อย อยากไปเป็นเจ้าหน้าที่ทางการที่เมืองซงเจียงหรือไม่ก็เมืองซูโจว”


“ใช่ แต่ไม่ใช่ท่านไต้บอกข้าหรือว่า ต้องให้เขาสงบเสงี่ยมคอยช่วยในที่ลับ หากมีสถานะทางการ เกรงว่าคงไม่ยอมให้เราบังคับได้”


“ความคิดเช่นนี้ คนเช่นนี้ ท่านให้เขาไปจัดการหวังทง ใจเขาย่อมคิดนอกลู่ อาศัยจังหวะนี้สวามิภักดิ์ด้วยการเปิดเผยเรื่องราวของนายท่านก็เป็นได้ ถึงตอนนั้นคงยุ่งยากมาก!”


“…….น่าจะไม่เป็นเช่นนี้ …..ข้ายังส่งคนที่สนิทไว้ใช้ได้ไปคุมด้วย……”


“คนพวกนั้นทำอันใดได้ ให้จัดการวางอำนาจบาตรใหญ่ในเมืองยังพอได้ แต่หากลงมือด้วยอาวุธจริงล่ะก็ คนของเมี่ยวลั่งไม่ใช่คนที่คุมได้ง่ายเลย…..”


สวีพานกล่าว ไต้เฟิ่งเสียนก็โต้กลับ สุดท้าย สวีพานสีหน้าซีดเผือด ร่างเริ่มสั่นเทา กล่าวอย่างหวาดกลัวว่า


“ทำไงดี? เดิมหวังทงนั่นมีอะไรในมือ  ครั้งนี้กลับส่งจุดอ่อนให้เขากับมือ นี่……นี่……นี่……ใช่ว่าภัยมาถึงตัวแล้วหรือ……”


เห็นสวีพานไร้ทางออก ไต้เฟิ่งเสียนก็เห็นใจส่ายหน้า ถอนหายใจกล่าวว่า


“นายท่าน แต่เรื่องยังเงียบอยู่ ไม่ต้องร้อนใจไป ตอนแรกท่านอำมาตย์สวีบอกว่ากวาดล้างตระกูลเหยียนได้มาหลายแสนตำลึง แจ้งไปแค่ไม่กี่หมื่นตำลึง ฮ่องเต้ซื่อจงสอบถาม ยังไม่เห็นร้อนใจเช่นท่าน  จะให้ทำอย่างไรต่อก็ทำไป  ทุกอย่างไม่ยอมรับเสียอย่าง คนพวกนั้นท่านเลี้ยงไว้ด้านนอก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนในจวน ถึงตอนนั้นก็ไม่ยอมรับ กล่าวเพียงแค่ถูกใส่ร้าย หวังทงจะทำอันใดได้? ถึงตอนนั้นคนแดนใต้สามเมืองใหญ่เราร่วมกำลังกัน ให้คนในราชสำนักคอยเสริม เขายังจะทำอันใดได้อีก?”


ไต้เฟิ่งเสียนพูดได้ไม่ร้อนใจ สวีพานก็จึงพลอยสงบสติลงตามไปด้วย ถอนหายใจยาวถามขึ้น


“ท่านไต้หมายความว่า?”


“นายท่านไม่ต้องทำอันใดแล้ว รอเขามาก็พอ ทำมากก็ผิดมาก รอเขามาก็พอ”


**************


“เมืองซงเจียงเป็นของตระกูลสวีจริงๆ ยามนี้ถึงกับไม่มีคนมาต้อนรับ ช่างเถอะ พวกเราไปเองก็ได้!”


หวังทงกล่าวอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร คืนวานต่อสู้ดุเดือด เช้าตรู่มา ในหมู่บ้านเชียนเติงเจิ้นจึงค่อยมีคนออกมาเก็บกวาด บนพื้นมีศพราวสองร้อยกว่า  สำหรับชาวหมู่บ้านแล้วเรียกได้ว่าน่าตกใจไม่น้อย


 เสียงสังหารคืนวานก้องฟ้า ราษฎรหมู่บ้านเชียนเติงเจิ้นพากันหลบอยู่ในบ้านอย่างหวาดกลัว เห็นผู้แทนพระองค์ไม่เป็นอะไร ก็วางใจ เรื่องใหญ่เช่นนี้ มาเจอเรียกว่าโชคร้าย อย่างไรก็ต้องส่งคนไปแจ้งทางการอำเภออู๋ รอทางการมาจัดการ


ยังไม่เห็นขุนนางเมืองซงเจียงมาต้อนรับ หวังทงอดไม่ได้ถอนหายใจ พวกเมี่ยวลั่งก็เหมือนเป็นนักเลงใหญ่ไม่เลว ดูการจัดการของพวกเขาแล้ว ไม่เห็นว่ามีแผนร้ายอันใดจริงๆ


กองกำลังเมื่อคืน มีส่วนหนึ่งเป็นของโจร นอกจากพวกสวมเกราะหนังที่ล้วนเป็นทหารที่ตระกูลสวีเลี้ยงไว้นอกจวน พวกที่เป็นกำลังหลักล้วนเป็นคนของเมี่ยวลั่ง พวกเมี่ยวลั่งแล่นเรือตามมา ถึงกับนำพาเอาทรัพย์สินและครอบครัวมาพร้อมกันหมด คิดต้องการมาสวามิภักดิ์เต็มที่


“ข้าน้อยมีสายสัมพันธ์กับชาวท้องทะเลมาก รู้จักท่านเสิ่นและท่านซาที่ทำงานให้ใต้เท้า ใต้เท้าต้องการคนที่สามารถออกทะเลได้ ข้าน้อยรู้ว่าตนเองเหมาะสม จึงได้หาโอกาสมาสวามิภักดิ์ท่าน ครั้งนี้ข้าน้อยจึงได้วู่วามแล้ว!”


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตรงตามความต้องการพอดี เมี่ยวลั่งผู้นี้เป็นทหารจากไถโจวและหนิงปอ ทางนั้นติดทะเล ยังเป็นโจรทะเลสาบไท่หู บนแม่น้ำและบนท้องทะเลน่าจะมีความสามารถไม่น้อย คนเช่นนี้เป็นที่ต้องการรับไว้จริง และเมื่อคืนที่คิดกลับตัวได้ทันเวลา ก็ช่วยหวังทงไว้ไม่น้อย


ทว่าทุกอย่างกะทันหันเกินไป เรื่องบังเอิญเช่นนี้หวังทงย่อมไม่เชื่อมากนัก เมี่ยวลั่งเองก็เข้าใจดี เขามาอยู่ข้างหวังทงบนเรือคนเดียว คนในครอบครัวให้ตามมาทางฝั่ง ลูกน้องก็ให้ลงเรือตามมา


การกระทำเช่นนี้ก็เพื่อนำตนเองมาเป็นตัวประกันให้หวังทง ลูกน้องย่อมไม่ทำอันตรายหวังทง ทุกอย่างจัดการเรียบร้อย


“หากมีจดหมายเป็นหลักฐาน ครั้งนี้ก็จะได้มอบให้ใต้เท้าเลย ทว่าตระกูลสวีทำงานด้วยการบอกกล่าว ระวังตัวมาก พี่น้องข้าน้อยยอมเป็นพยานให้ได้”


เมี่ยวลั่งกล่าวเหมือนที่หวังทงกำลังคิด องครักษ์เสื้อแพรรู้การสอบสวน เข้าใจเรื่องการตัดสินคดีพวกนี้มาก ตอนนี้หวังทงมีทั้งพยานหลักฐานในมือ ตระกูลสวีหากปฏิเสธก็ได้ อย่างมากก็เสียงชื่อเสียง ตามวิธีการของบัณฑิตแผ่นดินหมิง อย่างไรก็ต้องหาว่าหวังทงป้ายสีขุนนางบัณฑิต


*************


ใกล้เข้าสู่เขตเมืองซงเจียง ยังไม่เห็นคนเมืองซงเจียงมาต้อนรับ แต่ขุนนางเจ้าหน้าที่ใกล้เมืองซูโจวกลับร้อนใจยิ่งต้องตามมา  ใต้เท้าผู้แทนพระองค์เกิดเรื่องในเขตเมืองซูโจว หมวกขุนนางทุกคนล้วนอาจไม่สามารถรักษาไว้ได้แล้ว ดีไม่ดีอาจมีความผิดติดตัวด้วย อยู่ ๆ ต้องมาซวยเช่นนี้ ไยต้องเจอเหตุเช่นนี้ด้วย


ความหวาดกลัวของขุนนางเมืองซูโจว หวังทงกลับปลอบใจ ให้พวกเขากลับไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเมืองซูโจว ไม่จำเป็นต้องคิดมาก


ออกเดินทางจากหมู่บ้านเชียนเติงเจิ้นมาได้สองชั่วยาม ก็เห็นเงาไกลๆ ของอำเภอชิงผู่แล้ว คนเดินทางเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แดนใต้รุ่งเรือง สามเมืองใหญ่แดนใต้อย่างซูโจว อู๋ซีและฉางโจว ม้าเร็ววิ่งไปก็ถึงกันได้ในวันหนึ่ง ระยะห่างเช่นนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รุ่งเรือง การขนส่งไม่จำเป็นต้องเสียเวลามาก การค้าก็ลดต้นทุนได้มาก


เพิ่งเข้าเขตเมืองซงเจียง หวังทงเริ่มระวังตัวขึ้น ถึงกับสั่งการให้เดินทางตามแบบทหาร ส่งม้าออกไปสืบข่าวด้านหน้า  ไปสังเกตการณ์ด้านหน้าไว้ก่อน


เดินทางมาได้ครึ่งชั่วยามก็เห็นคนเดินทางรอบๆ เริ่มหลบทาง มีม้าสี่ตัวขี่ตะบึงมา คนบนหลังม้าสวมชุดทางการ ดูแล้วน่าจะเป็นขุนนางทางการระดับแปดหรือเก้า มาถึงตรงหน้าก็ตะโกนขึ้นว่า


“ ใต้เท้าผู้แทนพระองค์อยู่ไหม  ใต้เท้าผู้แทนพระองค์อยู่ไหม ข้าน้อยเป็นคนผู้ว่าส่งมาต้อนรับ มาสายไปแล้ว ขอใต้เท้าโปรดอภัย!!”


หวังทงส่ายหน้า เมืองซงเจียงถึงกับส่งขุนนางเล็กๆ ระดับแปดเก้ามาต้อนรับ และยังมาอย่างไม่มีพิธีรีตอง ไร้ธรรมเนียมมาก แม้ว่ามีตระกูลสวีอยู่เบื้องหลัง แต่หรือว่าอำเภอชิงผู่นี้แม้แต่ธรรมเนียมทางการก็ไม่เข้าใจหรือ?


ขุนนางสี่คนถูกทหารหวังทงขวางไว้ จึงเร่งลงจากหลังม้า ยิ้มเข้ามาด้านหน้ากล่าวว่า


“ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ ในอำเภอเกิดเหตุนิดหน่อย ใต้เท้าเราจึงมาไม่ได้ กำลังเร่งมาแล้ว  ใต้เท้าผู้แทนพระองค์มาถึงที่นี่ ที่อันต่ำต้อยของเรากลับเสียมารยาท ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ข้าน้อยขอโขกศีรษะขออภัยใต้เท้า”


หวังทงก็ขี้เกียจจะเอาเรื่องขุนนางตัวเล็กตัวน้อยที่ออกมารับหน้าเสื่อแทนนาย กวาดตามองไปรอบหนึ่ง ขุนนางสี่คนโขกศีรษะอยู่บนพื้น ชุดยับย่น หมวกบนหัวก็เบี้ยว รองเท้ากับชุดสกปรกเลอะเทอะ ดูแล้วมาอย่างเร่งรีบจริง


“พวกเจ้ากลับไปเถอะ ข้าจะไปหวา…….”


“ใต้เท้า!! พวกเขาไม่ใช่……”


หวังทงยังกล่าวไม่ทันจบ ซาตงหนิงด้านหลังก็ตะโกนดังขึ้น  หวังทงได้สติชักดาบจากอานม้าออกมา เกือบเป็นเวลาเดียวกันกับซาตงหนิงตะโกนนั่นเอง แต่ขุนนางที่คุกเข่าอยู่ก็กระโดดขึ้นทันที ดาบหวังทงฟันลงไปพอดีเช่นกัน


ฟันลงไปบนคอขุนนางที่กระโดดขึ้น หวังทงลงแรงฟันครานี้ คอก็ถูกบั่นไปครึ่งหนึ่งทันที แต่คนผู้นั้นก็ยังเคลื่อนไหวได้ ดาบสั้นบาดตัวม้าเป็นแผลหนึ่ง ม้าเจ็บปวดจนคลั่งร้องดังกระโดดยกตัวหวังทงลอยขึ้น พริบตาก็สะบัดหวังทงตกจากหลังม้า


หวังทงตกลงบนพื้นอย่างแรง ร่วงลงมาทำเอาตัวแข็งทื่อ ดาบกระเด็นตกพื้น เรื่องเกิดกะทันหัน ทหารข้างกายหวังทงยังไม่ทันได้ตั้งตัว คิดจะเคลื่อนไหวก็ถูกม้าที่ได้รับบาดเจ็บกระโดดยกตัวขึ้นขวางไว้


พวกที่คุกเข่าอยู่ที่เหลือก็กระโดดขึ้นมา ตายไปคน ที่เหลืออีกสามคนก็ชักดาบสั้นกรูกันเข้ามา คนแรกมีดาบสั้นในมือแทงใส่หวังทงทันที หวังทงเองก็ควักดาบสั้นที่พกไว้ที่เอวออกมา พลิกกาย เอี้ยวตัวหลบ ดาบสั้นในมือแทงใส่ไหล่มือสังหารที่พุ่งเข้ามาทันที


มือสังหารอ้าปากค้าง ดิ้นรนไปมาแต่ก็ไม่อาจหลุดออกจากดาบได้ ตายก็ไม่ตาย แต่ดาบกลับไปติดอยู่ที่กระดูกไหล่มือสังหาร ชักไม่ออก หานกังข้าง ๆ มายืนขวางหน้า ฟันใส่มือของมือสังหาร พลิกมือหันสันดาบฟันมือสังหารสลบ แต่มือสังหารยังเหลืออีกคน


มือสังหารคนสุดท้ายไปถึงหน้าหวังทงแล้ว หวังทงตอนนี้มือเปล่าแล้ว กำลังจะหลบก็ถูกแขนมือสังหารบนพื้นขวางไว้ มือสังหารคนสุดท้ายสะบัดดาบสั้นปาดไหล่ขวาหวังทง หวังทงตัวแข็งทื่อ มือสังหารเห็นช่องว่าง แทงใส่หน้าอกหวังทง แรงครานี้หนักมาก แต่กลับเหมือนโดนของแข็งบางอย่างบนตัวหวังทง หวังทงสวมเกราะอ่อนไว้ มือสังหารยังไม่ทันได้สติ หวังทงคำรามดัง หมัดขวาต่อยเข้าลำคอมือสังหารเต็มๆ  คอหอยแตก มือสังหารกุมคอล้มลง


“ท่านโหว ท่านโหว!!”


ทหารรอบๆ ล้อมกรูกันเข้ามาส่งเสียงร้องตกใจ หวังทงถอนหายใจ โบกมือกล่าวว่า


“ไม่เป็นไร แค่บาดเป็นแผลเล็กน้อย พันแผลไว้สักหน่อยก็พอ”


พอพูดจบ หวังทงกลับรู้สึกหน้ามืด เบื้องหน้าดำสนิท……


“ดาบอาบยาพิษ……”


นี่เป็นความคิดหวังทงก่อนหมดสติไป


**************


ข่าวแพร่ไปอย่างรวดเร็ว คนที่ควรรู้ข่าวในเมืองซงเจียงก็รู้กันทั่ว


ในเย็นวันนั้นเอง อำเภอหวาถิง หน้าประตูใหญ่จวนตระกูลสวี ไต้เฟิ่งเสียนสีหน้าบึ้งตึงเร่งก้าวขึ้นรถม้า สวีพานเร่งฝีเท้าตามหลังออกมา ชี้มือชี้ไม้กล่าวว่า


“ท่านไต้ ท่านไต้ สวีพาน แม้จะร้อนใจอย่างไร ก็คงไม่กระทำการเช่นนี้ในเขตเมืองซงเจียงเด็ดขาด เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง แต่อย่างไรก็ต้องระวังเรื่องมาถึงตัวอยู่ ขอท่านเชื่อข้า ไม่เช่นนั้น ข้าสวีพานขอสาบานก็ได้……”


ไต้เฟิ่งเสียนหันไปจ้องสวีพานถามเสียงเย็นเยียบขึ้น


“ไม่ใช่นายท่านสวีทำหรือ?”


“ไม่ใช่จริงๆ !!”



ตอนที่ 863 ไร้หลักฐานตรวจสอบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หวังทงจำไม่ได้ว่าก่อนสลบไปได้คิดถึงว่าจะตายหรือไม่ และไม่รู้ว่าตนเองสลบไปนานทเท่าใด ตอนตื่นขึ้นมา ก็อยู่บนเรือแล้ว


พอลืมตามา หวังทงยังไม่ทันได้สติดี รอจนมั่นใจว่าตนเองฟื้นแล้วไม่ได้สลบอยู่ ก็หันไปจะคว้าอาวุธ ทว่าว่างเปล่า


“ท่านโหวฟื้นแล้ว!!”


ตามมาด้วยเสียงทหารตื่นเต้นยินดีถ้วนหน้า เห็นใบหน้าเบียดเสียดกันดีใจกรูเข้ามา หวังทงผ่อนลมหายใจ หลิ่วซานหลังให้ทหารหนุ่มพวกนี้ออกไปตามหมอเข้ามา เข้าไปกล่าวเบาๆ อย่าละอายใจว่า


“เป็นพวกข้าน้อยคุ้มกันไม่ดี……”


หวังทงคิดจะยกมือ แต่กลับรู้สึกมือเท้าไร้เรี่ยวแรง อ้าปากจะพูด ก็รู้สึกว่าตนเองไร้แรงจะพูด เสียงแหบพร่ากล่าวว่า


“ไม่ต้องพูดวาจาเช่นนี้ บอกข้าก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


ถูกดาบอาบยาพิษปาดจนสงบล้มลง สื่อชีกับอู๋เอ้อร์มีประสบการณ์เรื่องพวกนี้ วินาทีแรกก็รีบเข้าไปดูบาดแผลทันที พยายามดูดพิษออก ทว่าพิษนั้นรุนแรงมาก หวังทงจึงไม่ได้สติ


ได้แต่ส่งไปยังอำเภอชิงผู่ เชิญหมอมาตรวจอาการ ผู้แทนพระองค์ประสบเหตุลอบสังหาร ขุนนางอำเภอชิงผู่ย่อมชุลมุนกันไปหมด จากนั้นก็พบร่างของขุนนางตายอยู่ในเมือง  ยิ่งทำให้ทุกคนตกใจอลหม่าน


ดีที่เป็นพื้นที่รุ่งเรือง จึงมักมีหมอดี หมอที่เชิญมาแม้จะแตกตื่นตกใจ แต่ก็ยังรักษาได้ดี ใช้สมุนไพรขจัดพิษ  จากที่หมอบอกนั้น ยาพิษบนดาบถูกความชื้นแดนใต้ทำให้เสื่อมสภาพ ฤทธิ์ยาไม่ได้รุนแรงเหมือนเดิม กอปรกับหวังทงร่างกายแข็งแรง จึงไม่เป็นภัยถึงชีวิต แต่หลังหวังทงได้รับบาดเจ็บ ไม่ได้ดูดพิษออกในทันที พิษจึงเข้าสู่ร่างกาย ส่งผลต่ออวัยวะภายใน ต้องใช้เวลารักษาให้ฟื้นคืนกำลังดังเดิม


หวังทงสลบไปที่อำเภอชิงผู่ได้วันหนึ่ง บรรดาหมอแม้บอกว่าจะฟื้นในเวลาไม่นาน แต่ทหารหวังทงกลับร้อนใจยิ่ง เห็นสภาพพวกเขาแล้ว หมอชิงผู่ก็ไม่รู้ว่าตนเองคิดเองหรือทางการสั่งให้บอกไป จึงบอกไปว่าอำเภอหวาถิง เมืองซงเจียงมีหมอดัง ไปที่นั่นน่าจะมั่นใจกว่า


สภาพร่างกายหวังทงตอนนี้ ขี่ม้าไม่สะดวก มีคนนำเรือมา จากชิงผู่นั่งเรือมาไปอำเภอหวาถิง


“มือสังหารเป็นผู้ใดส่งมา?”


“ท่านหมอกำชับให้ท่านโหวอย่าเหนื่อยมาก เรื่องนี้……”


“บอกข้า มือสังหารเป็นผู้ใดส่งมา?”


หลิ่วซานหลังยังกล่าวไม่ทันจบก็ถูกหวังทงขัดขึ้น น้ำเสียงหวังทงแม้ไม่ดัง แต่ก็เด็ดขาดยิ่ง หลิ่วซานหลังเงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า


“มือสังหารมาจากมณฑลซานซี  พวกเขาเล็งช่องว่างอย่างดี เมืองซงเจียงทุกหน่วยงานไม่สนใจท่านโหว ท่านโหวยังเจอเหตุโจมตีจากหมู่บ้านเชียนเติงเจิ้นมาระลอกหนึ่ง พวกเขาจึงสังหารขุนนางหลายคนแล้วถอดเอาชุดมา ปลอมตัวเป็นขุนนางมาลงมือ ถูกหานกังตีสลบไปคนนั้น พอตื่นมาสอบความมาได้เท่านี้”


ก็ไม่รู้ว่าใช้วิธีการทรมานอย่างไร จึงได้ทำให้มือสังหารเดนตายถึงกับยอมสารภาพได้ หวังทงขี้เกียจจะสนใจ  เพียงแต่จับตาดูเพดานเรือนิ่งไปครู่หนึ่ง


เพิ่งจากฟื้นจากการสลบ ในสมองยังคงรู้สึกงงอยู่ ตั้งแต่เกิดมาถึงตอนนี้ จากพลทหารองครักษ์เสื้อแพรธรรมดามาเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรแผ่นดินหมิง ยังได้รับแต่งตั้งเป็นถึงโหว หวังทงผ่านความเป็นความตายมาอยู่ แต่กลับไม่เคยผ่านประสบการณ์เหมือนตายเช่นนี้ ยามนี้สมองเหมือนว่างเปล่า แต่ความคิดสับสนเริ่มพรั่งพรูขึ้นมาในห้วงความคิด


หวังทงจัดการอารมณ์ให้นิ่งอยู่นาน จึงได้ค่อยๆ กล่าวว่า


“เป็นพวกตระกูลสวีส่งมาหรือไม่?”


“อันนี้ข้าน้อยไม่กล้าฟันธง เมี่ยวลั่งทางนั้นบอกว่าเมืองซงเจียงเป็นพื้นที่พวกเขา พวกเขาไม่ควรลงมือในเมืองซงเจียง หากจะทำจริง ในเมืองซงเจียงยังมีอีกหลายแห่งที่ซุ่มโจมตีได้ เช่นนั้นย่อมมีความมั่นใจมากกว่า พอคิดได้เช่นนี้ ก็ไม่น่าเป็นตระกูลสวี และ…….”


“อย่าเอาแต่อึกอัก ว่ามา!!”


หวังทงอยู่ ๆ ก็หงุดหงิด ตวาดไป หลิ่วซานหลังรีบกล่าวว่า


“มือสังหารเดนตายพวกนี้ ตระกูลสวีเลี้ยงได้ แต่ไม่เลี้ยง  คนเช่นนี้เลี้ยงไว้ ไม่ได้ใช้ประโยชน์ใดในแดนใต้นี้ กลับเป็นภัยมากกว่า น่าจะไม่ใช่ตระกูลสวี”


“เจ้าหมายความว่ามือสังหารเดนตายสี่คนไม่น่าใช่ตระกูลสวีส่งมา!?”


แม้ว่าหวังทงน้ำเสียงอ่อนแรง แต่หลิ่วซานหลังก็ยังรู้สึกหนาวสันหลัง ได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวอย่างหวาดกลัวว่า


“ข้าน้อยไม่ใช่ออกหน้าแทนตระกูลสวี เพียงแต่กล่าวว่าหากตระกูลสวีส่งมือสังหารเดนตายมา เส้นทางจากตอนเหนือแม่น้ำถึงหนานจิงก็น่าจะลงมือได้มั่นใจกว่า”


หวังทงเงียบไปนานก่อนจะกล่าวว่า


“คนอื่นมีบาดเจ็บไหม?”


“ด้วยบารมีท่านโหว นอกจากแม่นางสองคนตกใจแล้ว คนอื่นไม่เป็นไร ยังมีอีกเรื่องที่ต้องแจ้งท่านโหว ตอนนี้ผู้คุ้มกันรอบเรือล้วนเป็นทหารจากอำเภอชิงผู่ เป็นคนของเมี่ยวลั่ง”


หวังทงพยักหน้าช้าๆ ครั้งนี้ไม่กล่าวอันใด หลิ่วซานหลังรอสักพัก กล่าวเบาๆ ว่า


“ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าน้อยออกไปก่อน พวกข้าน้อยมือหนัก งานปรนนิบัติท่านโหวขอมอบให้แม่นางไจ๋กับแม่นางหลูแทนก็แล้วกัน!”


หลิ่วซานหลังออกไป ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยสองนาง ยังมีหญิงรับใช้สูงวัย ก็เดินเข้ามา ข่งรั่วเหมยสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง ทว่ายังใช้ผ้าชุบน้ำร้อนเข้ามาเช็ดหน้าผากให้หวังทง ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ไปดูว่ายาร้อนเกินไปหรือไม่ ค่อยๆ ประคองเข้ามา


ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ประคองชามยามาถึง ก็กลับเห็นหวังทงมองใบเรือ  สีหน้านิ่งเฉยอยู่ ๆ ก็ยิ้ม  ยิ้มนี้มิได้เป็นยิ้มพึงใจ หากเย็นเยียบยิ่ง ทำให้ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์สะดุ้งตกใจ  ชามยาในมือเกือบร่วงหล่น หวังทงพึมพำกับตนเองว่า


“ที่แท้โดนยาพิษเป็นเช่นนี้เอง……”


“นายท่าน โดนยาพิษมีอันใดให้พึงใจกัน อย่าได้คิดมากเช่นนั้น รีบดื่มยา รักษาสุขภาพให้ดีเถิด”


ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์บ่นเบาๆ  จากนั้นก็ก้าวเข้าไปเบื้องหน้า หยิบช้อนตักยาป้อนหวังทง หวังทงไร้เรี่ยวแรง นอนอยู่กับที่ ดื่มยาไปก็มักจะไหลออกจากมุมปาก ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์หยิบผ้าเช็ดหน้ามาค่อยๆ เช็ดให้เบาๆ  หวังทงตั้งแต่บาดเจ็บถึงตอนนี้ ไม่ได้ดื่มน้ำสักหยด พอดื่มยา ก็กลับรู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย


ข่งรั่วเหมยเช็ดใบหน้าไปมา ก่อนจะหยิบยาที่หมอให้มาปะแผล  แล้วยังใช้ผ้าพันแผลที่ต้มน้ำมาก่อนพันแผลไว้ หวังทงสังเกตเห็นสีหน้าข่งรั่วเหมย ค่อยๆ หันไปถามขึ้น


“แม่นางหลู เจ้าคิดว่าแค้นไม่อาจชำระแล้วหรือ?”


ข่งรั่วเหมยอึ้งไป ลังเลครู่หนึ่งก้มหน้าตอบว่า


“ชีวิตข้าน้อยหากไร้ซึ่งนายท่านคงไม่อาจรอดต่อไปได้ จากนี้ไม่ขออันใดอีก ขอเพียงได้มีที่อยู่ข้างนายท่านก็พอ”


พูดไปพูดมา น้ำตาก็ร่วงเผาะ เช็ดเท่าไรก็ไม่หมด หวังทงหันหน้ากลับไป ไม่กล่าวอันใดอีก


*************


ขบวนเรือผู้แทนพระองค์มาถึงเมืองซงเจียง ผู้แทนพระองค์ถูกลอบสังหาร เรื่องใหญ่เช่นนี้ทำให้ทุกคนในเมืองซงเจียงต่างร้อนใจ เดิมคิดจะเย็นชาใส่ ผู้ใดจะคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ ตอนนี้อยู่ๆ มีภัยมาถึงตัวเช่นนี้ คิดจะปัดความรับผิดชอบคงไม่ได้ ดีที่ผู้แทนพระองค์ หวังทงยังมีชีวิตอยู่ ขบวนผู้แทนพระองค์ไม่มีผู้ใดบาดเจ็บหรือเสียชีวิต  ยังพอแก้ไขชดเชยได้


เรือหวังทงห่างจากเมืองซงเจียงอีกราวสองชั่วยาม ผู้ว่าเมืองซงเจียงกับนายอำเภอหวาถิงและขุนนางทั้งหลายเร่งรีบมาต้อนรับ อย่าไรก็ต้องขึ้นเรือไปขอรับผิด ถามไถ่สักหน่อย จากนั้นค่อยให้หมอมีชื่อหรืออะไรก็แล้วแต่มาดูแล


ห่างจาเมืองซงเจียงราว 15 ลี้ พวกตระกูลสวีโดยมีสวีพานเป็นผู้นำ ก็มารอต้อนรับ สวีพานลาออกจากราชการกลับบ้านเกิดตอนนั้นเป็นนายกองกรมโยธา พอกลับมาก็มีบารมีอยู่  ระดับขุนนางยังคงอยู่ ถือเป็นระดับขุนนางสูงสุดในเมืองซงเจียง


สวีพานพอเข้ามาในห้องเรือของหวังทง สีหน้าก็ละอายใจยิ่ง รีบกล่าวติดๆ กันว่า


“ข้ามีความผิด ข้ามีความผิด หากไม่ใช่ข้ามีเรื่องพิพาทที่ดินกับคนในพื้นที่ ก็คงไม่ทำให้ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ต้องจากเมืองหลวงมาไกลเพียงนี้ ก็ย่อมไม่มาถูกโจมตีเช่นนี้ระหว่างทาง ข้ารู้สึกละอายใจยิ่ง ขอใต้เท้าผู้แทนพระองค์ลงโทษด้วย”


วาจาสวยหรูผู้ใดก็ย่อมกล่าวได้ แม้สวีพานจะร้อนรน แต่อย่างไรก็อยู่ในวงการขุนนางมาหลายปี ความสามารถในการกลบเกลื่อนสีหน้าก็ย่อมมีอยู่ หวังทงเมื่อครู่กินโจ๊กไปแล้ว กำลังวังชาคืนมาไม่น้อย ให้ทหารประคองออกมานั่งอยู่ขอบเตียง เขาจ้องมองสวีพานสองสามที สวีพานดูเหมือนพวกผู้ดีตามคาด ร่างกายดูแลอย่างดี ท่าทางดูดีไม่น้อย หวังทงส่ายหน้าเสียงแหบพร่าถามขึ้น


“ข้าพอเข้าสู่แดนใต้ก็เจอแต่เรื่องไม่สงบสุข ว่ากันว่าวัดผู่หยวนพระปลอมนั่นมีสายสัมพันธ์กับใต้เท้าสวี เรื่องนี้ใต้เท้าสวีจะว่าอย่างไร?”


ได้ยินหวังทงถามเช่นนี้ สีหน้าสวีพานเหมือนครุ่นคิด จากนั้นกล่าวว่า


“วัดผู่หยวนมีชื่อในแดนใต้ไม่น้อย ตระกูลสวีก็ใหญ่ ย่อมต้องมีคนไปมาหาสู่กับวัดผู่หยวน อันนี้เลี่ยงไม่ได้ ข้ากลับไปจะสอบถามให้หนัก”


ตอบอย่างเป็นทางการตามคาด หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง ถามขึ้นอีกว่า


“ข้ามาประสบเหตุที่หมู่บ้านเชียนเติงเจิ้น โจรทางน้ำพวกนั้นเป็นโจรทะเลสาบไท่หู มีคนบอกว่าเป็นการบงการจากตระกูลสวี มีเรื่องนี้ไหม?”


“ ใต้เท้าผู้แทนพระองค์โปรดพิจารณา นี่เป็นเรื่องใส่ร้ายป้ายสี บิดาข้าเป็นถึงมหาอำมาตย์ บรรพชนก็เป็นขุนนางภักดีในสมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง  บิดาข้าจากไป ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังทรงมีสารสดุดี ข้าเป็นขุนนางราชสำนัก จะไปสมคบกับพวกโจรได้อย่างไร ทำเรื่องเหลวไหลบัดซบราวกับสัตว์ป่าเช่นนี้ได้อย่างไร ขอใต้เท้าผู้แทนพระองค์สืบความให้กระจ่าง สืบความให้กระจ่างด้วย!!”


สวีพานยืดอกยืนยัน คิดแล้วก็คงรู้ว่าไม่ได้มีหลักฐานแน่นหนามาถึงตัว หวังทงสีหน้านิ่ง ถามขึ้นต่อว่า


“ใต้เท้าสวี เกี่ยวกับเรื่องที่นานั้น ข้ามีสัญญาเกล็ดปลาในมือ  ล้วนบอกว่าใต้เท้าสวีฮุบที่ดินชาวบ้าน ใต้เท้าสวีมีอันใดแก้ตัวไหม?”


“ ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ เรื่องรุกครองที่ดินนั้น ข้าจะพูดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ทางการย่อมมีหลักฐานแสดงชัด พอใต้เท้าผู้แทนพระองค์ตรวจสอบแล้ว ข้ากับตระกูลสวีย่อมบริสุทธิ์”


ตั้งแต่ลงเรือมาจนถึงห้องหวังทงนี้ สวีพานกล่าวได้มีเหตุผลไปเสียหมด ไม่มีท่าทางอาการร้อนตัวแม้แต่น้อย หวังทงไม่กล่าวอันใดต่อ เงียบไปครู่หนึ่ง มองสวีพานยิ้มกล่าวเบาๆ ว่า


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้  ข้าก็ไปตรวจสอบที่ที่ทำการในเมืองซงเจียงก็แล้วกัน ผลออกมาอย่างไรก็ค่อยว่ากัน!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)