ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 860-861

ตอนที่ 860 เหตุการณ์ประหลาดของระดับแก...

 

ความเจ็บปวดสาหัสส่งมาจากหน้าอก หลิ่วหมิงอ้าปากกว้างรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก


“เจ้าหนู ข้าคือเตาปาหลงแห่งเกาะมฤตยู คืนวันนี้ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะเอาเจ้าเป็นอาหารมื้อค่ำ ข้าไม่ได้ลิ้มรสเนื้อมานานนักแล้ว!” ใบหน้าอัปลักษณ์ดุร้ายยื่นเข้ามาตรงหน้าหลิ่วหมิง อวัยวะทั้งห้าบนหน้าบิดเบี้ยว ปากก็เหมือนกำลังกลืนน้ำลายที่ไหลออกมาอยู่


“อาเฉียน!”


ร่างกายของหลิ่วหมิงสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง บุรุษผู้มีรอยแผลเป็นจากดาบเต็มหน้าที่กำลังจะกินเขาผู้นี้ตรงหน้าก็คืออาเฉียนที่คอยดูแลเขาอย่างดีผู้นั้น แล้วเขายังเป็นความอบอุ่นเพียงน้อยนิดที่เขาได้สัมผัสในช่วงเวลาหลายปีบนเกาะมฤตยูด้วย


“อาเฉียนอะไร ข้าคือเตาปาหลง!” อาเฉียนมองหลิ่วหมิงอย่างเย็นชา เท้าออกแรงเหยียบลงมาหลายครั้ง


เสียงกึกดังขึ้น หลิ่วหมิงรู้สึกได้ว่ากระดูกซี่โครงของเขาหักไปซี่หนึ่ง


ความเจ็บปวดดั่งถูกทิ่มแทงหัวใจเกิดขึ้นทันที ทำให้เขาหวิดจะหมดสติไป


“ไม่ ไม่ใช่แบบนี้…” ร่างกายผอมแกร็นของหลิ่วหมิงดิ้นรนหมายจะดิ้นหลุดออกไปจากเท้าใหญ่ที่เหยียบหน้าอกของเขาอยู่


ความทรงจำน่าหวาดกลัวต่างๆ นานาบนเกาะมฤตยูฉายชัดขึ้นในสมองเขาอีกครั้ง ทว่าความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวกลับกลายเป็นจิตสังหารอันเลือดเย็น


หลิ่วหมิงอยากจะกุมหัวร่ำไห้คร่ำครวญเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งผู้ไร้กำลังและเดียวดาย


ในเวลานี้เองอาเฉียนก็หยิบมีดแหลมเล่มหนึ่งมาจากมือคนผู้หนึ่งด้านข้าง เขาถือมันไว้ในมือแกว่งจนเกิดประกายเป็นรูปบุปผา จากนั้นประกายเย็นเยียบก็พุ่งวูบ มีดแหลมแทงเข้าที่หน้าอกของหลิ่วหมิงดุจสายฟ้าแลบ


“อ้าก!”


ร่างกายของหลิ่วหมิงฉับพลันมีพละกำลังสายหนึ่งผุดขึ้นมา ร่างกายเขาสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง เขาจับเท้าใหญ่ที่เหยียบอยู่บนอกของเขาแล้วออกแรงผลัก


อาเฉียนล้มลงไป ส่วนมีดแหลมในมือก็ร่วงไปด้านข้างดัง “เคร้ง”


หลิ่วหมิงคำรามเสียงดังแล้วแย่งมีดแหลมเล่มหนึ่งมา เขากัดฟันกรอด กระดูกทั้งร่างพากันส่งเสียงดัง จากนั้นขยับมีดแทงเข้าไปในร่างอาเฉียนอย่างแรง ปลายมีดทะลุผ่านหัวใจ


อาเฉียนกรีดร้องออกมาจากนั้นกลายเป็นควันดำสายหนึ่ง ภาพเกาะมฤตยูรอบด้านก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


ฟ้าดินพลิกตลบรอบหนึ่ง หลิ่วหมิงหอบหายใจหนักหน่วง ดวงตาทอประกายแล้วก็พบว่าเขากลับมาถึงห้องศิลาที่ตำหนักหลิงหลงของตระกูลโอวหยางอีกครั้งแล้ว รอบด้านยังคงเป็นโลกของแสงสีน้ำเงิน แต่ท่ามกลางแสงสีน้ำเงินมียันต์สีน้ำเงินมากมายกำลังบินร่อนกลางอากาศเข้าๆ ออกๆ ร่างกายเขาไม่หยุด


พลังงานเย็นสบายสายแล้วสายเล่าส่งเข้ามาในร่างเขาไม่หยุด


อาการหอบของหลิ่วหมิงค่อยๆ สงบลง ประกายแสงที่โชนฉายออกมาจากดวงตายิ่งสว่างขึ้นทุกที ชั่วครู่ให้หลังเขาจึงแหงนหน้าหัวเราะลั่นออกมากะทันหัน


ตอนนี้ภาพมายาของจิตมารระหว่างการทะลวงเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน ในที่สุดก็ถูกเขาทำลายจนหมดสิ้นแล้ว!


เวลานี้กำแพงระดับสีดำในทะเลจิตวิญญาณก็หายไปไร้ร่องรอยแล้วเช่นกัน พลังเวทไหลบ่าทะลักเข้ามาใจกลางทะเลจิตวิญญาณไม่ขาดประหนึ่งน้ำผุด วังวนพลังเวทสีดำสนิทปรากฏขึ้นกลางทะเลจิตวิญญาณ


ผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดที่ลอยอยู่ในทะเลจิตวิญญาณแผ่คลื่นพลังเวทรุนแรงระลอกแล้วระลอกเล่าออกมา


ผลึกสีเงินเก้าลูก ผลึกสีม่วงหนึ่งร้อยสี่สิบสี่ลูกทยอยเปล่งแสงรัศมีเจิดจ้าออกมา!


ในเวลาเดียวกันนี้ผลึกพลังเวททั้งหมดก็ถูกพลังล่องหนสายหนึ่งดึงรั้งให้ค่อยๆ รวมตัวตรงกลางช้าๆ!


สองตาของหลิ่วหมิงปิดสนิท สองมือทำท่ามืออันลึกลับท่าแล้วท่าเล่าไม่หยุด


เวลาผ่านไปทีละเล็กทีละน้อย ผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดในทะเลจิตวิญญาณในที่สุดก็รวมตัวเข้าด้วยกัน ก่อกำเนิดเป็นรูปทรงกลมที่ส่องแสงสีม่วงแวววาวทั้งลูกลูกหนึ่งอยู่เลือนราง


ตรงกลางลูกกลมนี้มีลักษณะกลวงเปล่า ที่เรียกว่าระดับแก่นเสมือนก็เพราะเป็นการรวมผลึกพลังเวททั้งหมดในร่างกลายเป็นก้อนเพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการเข้าสู่ระดับแก่นแท้ ยิ่งผลึกมาก ลูกกลมที่ก่อตัวขึ้นมาก็ยิ่งแข็งแกร่ง ท้ายที่สุดเมื่อทะลวงเข้าสู่ระดับแก่นแท้ โอกาสสำเร็จก็ยิ่งมากด้วย


ใจกลางลูกกลมมีประกายสายฟ้าสีทองอยู่ดวงหนึ่ง นั่นคือสายฟ้าสวรรค์ที่หลิ่วหมิงผนึกไว้ในทะเลจิตวิญญาณตอนที่อยู่ในหนานฮวงเมื่อหลายปีก่อน


ประกายสายฟ้าที่ปะทุออกมาจากสายฟ้าสีทองโจมตีบนผลึกพลังเวทแผ่วเบา ทำให้ผลึกพลังเวทสีม่วงค่อยๆ ถูกแสงสีทองเจิดจ้าสายแล้วสายเล่าย้อม


ปราณดำที่ห้อมล้อมอยู่บนร่างเขาทะลักออกมาต่อเนื่องไม่ขาดสาย พวกมันล้อมร่างกายของเขาจนกลายเป็นลูกบอลหมอกสีดำลูกหนึ่ง ล้อมร่างกายเขาไว้ด้านในอย่างสิ้นเชิง


เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไป ลูกบอลหมอกสีดำนอกร่างหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ปั่นป่วน ปริมาณไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่สีสันกลับเข้มข้นประหนึ่งหมึก อยู่ท่ามกลางแสงสีน้ำเงินแสบตาเต็มห้องแลดูสะดุดตายิ่งนัก


ในเวลาเดียวกันนี้ในห้องแห่งหนึ่งชั้นบนสุดของตำหนักหลิงหลง บุรุษชุดสีน้ำเงินคนหนึ่งกับบุรุษชุดสีม่วงคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ โต๊ะไม้จันทน์ตัวหนึ่งเบื้องหน้าทั้งคู่วางกระจกทองแดงสีเหลืองมัวบานหนึ่งไว้


กระจกทองแดงรูปร่างดุจจันทร์เต็มดวง ด้านข้างเป็นโลหะสำริดแกะสลัก ด้านบนสลักมังกร ด้านล่างสลักพยัคฆ์ กระจกตรงกลางกลับไม่ใช่กระจกทองแดงธรรมดา ด้านในฉายภาพลูกบอลหมอกสีดำสนิทลูกหนึ่ง เป็นภาพหลิ่วหมิงที่อยู่ในห้องศิลานั่นเอง


หนึ่งในสองคนนั้นสวมชุดสีม่วงตัวใหญ่ ท่าทางสง่างามประหนึ่งหยก เขาก็คือโอวหยางเจี้ยนชิวหัวหน้าตระกูลโอวหยาง


ส่วนอีกคนที่สวมชุดสีน้ำเงิน เส้นผมหนวดเคราสีขาวโพลนก็คือผู้อาวุโสโอวหยางชิงเฟิงผู้พิทักษ์ตำหนักหลิงหลง


“นี่เพิ่งผ่านไปสองวันหนึ่งคืน เด็กคนนี้ก็ผ่านด่านเคราะห์จิตมารแล้ว เด็กคนนี้พรสวรรค์ไม่เลวจริงๆ” ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินมองภาพในกระจกทองแดงแล้วจิ๊ปากชื่นชมในความยอดเยี่ยม


“เด็กคนนี้คว้าที่หนึ่งในงานประตูสวรรค์มาได้ พรสวรรค์ย่อมไม่ด้อย แต่ชั้นเชิงวิชาของเขาร้ายกาจจริงๆ หลงเซวียนผู้นั้นแห่งนิกายปีศาจลี้ลับฝึกฝนวิชาวิญญาณมารชิงหยางสำเร็จ ผลสุดท้ายประมือกับเขาครั้งหนึ่งสู้ได้ไม่กี่กระบวนก็พ่ายแพ้แล้ว” หัวหน้าตระกูลโอวหยางดวงตาเป็นประกายเล็กน้อยขณะที่ปากเอื้อนเอ่ย


“อ้อ? คิดไม่ถึงว่านอกจากมารเฒ่าเฮ่าคนนั้น นิกายปีศาจลี้ลับจะมีคนฝึกฝนวิชามารวิชานี้สำเร็จอีก ว่ากันว่าหลังฝึกวิชานี้สำเร็จ เรียกได้ว่าแทบจะไร้คู่ต่อกรในหมู่คนรุ่นเดียวกันแล้วแพ้ได้อย่างไร?” คิ้วขาวโพลนของผู้เฒ่าชุดน้ำเงินขยับครั้งสองครั้งจากนั้นเอ่ยถามเสียงเรียบอย่างรู้สึกสนใจ


“ที่จริงเดิมทีข้าก็คิดว่าหลิ่วหมิงผู้นี้จะแพ้ แต่คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะอัญเชิญเงาเชอฮ่วนออกมาได้แล้วใช้พลังกลืนฟ้า ข่มเพลิงมรกตวิญญาณร้ายของวิชาวิญญาณมารชิงหยางอย่างสมบูรณ์” หัวหน้าตระกูลโอวหยางเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน


“อสูรเชอฮ่วนหรือ!” ได้ยินคำนี้ ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินที่ท่าทางสบายๆ มาตลอดก็อดไม่ได้ตกตะลึง


“เด็กคนนี้ใช้วิชาลับพิเศษชนิดหนึ่งเรียกเงาเชอฮ่วนออกมา หากข้ามองไม่ผิดน่าจะเป็นวิชาลับภาพสัญลักษณ์บางอย่างของหนานฮวง” หลังหัวหน้าตระกูลโอวหยางครุ่นคิดเล็กน้อยก็เอ่ยขึ้นช้าๆ


“หลิ่วหมิงคนนี้ที่ตัวมีวิชาลับไม่น้อย ดูท่านิกายยอดบริสุทธิ์จะมีเด็กมีแววขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้ว! ศิษย์อายุน้อยเหล่านั้นในตระกูลด้อยกว่าเขาอยู่ห่างไกลทีเดียว” ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินถอนหายใจเอ่ยขึ้น


“แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนั้นก็มีหวังเพิ่มขึ้นไม่น้อยด้วย” หัวหน้าตระกูลโอวหยางได้ยินก็เงียบงันไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเอ่ยออกมา


ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินลูบเครา สายตามองไปยังกระจกทองแดง


“เอ๋!”


บนหน้าผู้เฒ่าชุดน้ำเงินฉับพลันเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา ในกระจกทองแดงลูกบอลหมอกสีดำสนิทนอกร่างหลิ่วหมิงมีประกายสีม่วงอ่อนหลายสายแกว่งไกวอยู่แผ่วเบา


“รวดเร็วเช่นนี้ผลึกพลังเวทก็รวมตัวกันสำเร็จแล้ว” คิ้วขาวของผู้เฒ่าชุดน้ำเงินเลิกขึ้นแล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง


หัวหน้าตระกูลโอวหยางมองแสงสีม่วงที่แกว่งไกวแผ่วเบาอยู่ จากนั้นคิ้วก็ขมวดเล็กน้อยคล้ายขบคิดอะไรบางอย่าง


ในตอนนี้เองลูกบอลหมอกรอบร่างหลิ่วหมิงก็ส่งเสียงแผ่วเบาหลายครั้ง ปราณดำฉับพลันระเบิดออก


หลังจากนั้นท้องฟ้าเหนือตำหนักหลิงหลงก็มีพลังปราณแห่งฟ้าดินมารวมตัวกันก่อเกิดเป็นวังน้ำวนพลังปราณมหึมาลูกหนึ่ง เมฆมงคลสีขาว สีแดง สีเหลืองนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า


ท่ามกลางเมฆมงคล มีจุดแสงสีขาวไม่น้อยพุ่งผ่านไปมาประหนึ่งมัจฉาแหวกว่าย จุดแสงสีขาวแต่ละจุดล้วนมีประกายแสงสีม่วงอ่อนสายแล้วสายเล่าลอยออกมาดั่งดวงดารายามค่ำคืน


พลังปราณแห่งฟ้าดินไหลวนบ้าคลั่งส่งเสียงครวญครางยาวดั่งมหาสมุทรกรีดร้อง พุ่งตรงขึ้นไปยังเก้าชั้นฟ้า


“ดาราฉายแสง เด็กคนนี้เข้าสู่ระดับแก่นเสมือนกลับเกิดปรากฏการณ์ประหลาดที่ยามเข้าสู่ระดับแก่นแท้ถึงจะมี!” ในตำหนักหลิงหลง ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินร้องตกใจ บนใบหน้ารักษาความนิ่งสงบไว้ไม่อยู่อีกต่อไป


ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั่วไป ยามสลายผลึกผนึกแก่นแท้อย่างแท้จริงจะชักนำพลังจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินให้เคลื่อนไหวจนเกิดปรากฏการณ์ประหลาดของดวงดาราตามแต่คุณสมบัติของแก่นแท้ที่ก่อตัวขึ้นมา


แต่หลิ่วหมิงเพิ่งเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนก็เกิดปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้แล้ว ไม่แปลกที่ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินจะตกตะลึงเช่นนี้


หัวหน้าตระกูลโอวหยางเห็นเช่นนี้ สองตาก็พลันสว่างวูบขึ้นเช่นเดียวกัน แต่เขายังคงรักษาสีหน้าไว้ได้ ประกายประหลาดในดวงตาไหววูบ ไม่รู้ใคร่ครวญอะไรอยู่


เนื่องจากปรากฏประหลาดขณะเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนของหลิ่วหมิงใหญ่โตอย่างที่สุดจึงทำให้ศิษย์มากมายของตะรกูลโอวหยางพากันหยุดมือจากเรื่องที่ทำอยู่แล้วเดินออกมาด้านนอก หลังมองเห็นเมฆมงคลก้อนมหึมาบนท้องฟ้าก็พากันตาโตอ้าปากค้าง


“ตรงนั้นคือที่ตั้งตำหนักหลิงหลง เหมือนจะมีคนเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนสำเร็จแล้ว”


“ดูเร็ว นี่…เหมือนจะเป็นปรากฏการณ์ประหลาดของดวงดารา!”


“นี่เป็นศิษย์พี่อัจฉริยะคนไหนในตระกูลหรือ?”


ศิษย์ตระกูลโอวหยางมากมายมองเห็นปรากฏการณ์ประหลาดนี้ล้วนอุทานตกตะลึง


ผู้อาวุโสระดับแก่นแท้จำนวนหนึ่งเห็นแสงดารากลางเมฆมงคล สีหน้ายิ่งตกตะลึง คนไม่น้อยทะยานร่างเหาะไปทางตำหนักหลิงหลง


หลังปรากฏการณ์ประหลาดบนฟ้าเหนือตำหนักหลิงหลงคงอยู่เป็นเวลาครึ่งก้านธูปเต็มๆ ในที่สุดก็ค่อยๆ สลายไป ทุกสิ่งฟื้นคืนกลับมาสงบอีกครั้งในทันที


บนหออันประณีตแห่งหนึ่งบนเขาหยกฝัน สตรีสาวชุดม่วงสองคนกำลังยืนอยู่ริมหน้าต่างมองไปยังตำหนักหลิงหลงที่อยู่ไกลๆ


โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินสองพี่น้องนั่นเอง


“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพี่หลิ่วจะเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนได้เร็วเช่นนี้ นอกจากนี้ปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินนี่คล้ายจะไม่เหมือนคนอื่นๆ อยู่บ้าง” โอวหยางเชี่ยนใบหน้าแฝงแววตกตะลึง เอ่ยพึมพำขึ้นมา


“สหายหลิ่วกระทำสิ่งใดล้วนไม่ธรรมดา ข้ากลับไม่ตกใจเท่าใดนัก แต่พี่สาวท่านใกล้จะฝึกฝนถึงขั้นสมบูรณ์แบบของระดับผลึกขั้นปลายแล้ว จะเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนก็แค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่โอสถชำระวิญญาณเม็ดนั้นให้สหายหลิ่วไปแล้ว ถึงเวลาต้องคิดหาวิธีไปขอจากท่านลุงชิงเฟิงมาอีกเม็ดถึงจะได้” โอวหยางฉินสายตาวูบไหวแล้วเอ่ยเช่นนี้


“ระดับแก่นเสมือนทะลวงง่ายปานนั้นหรือ พี่หลิ่วอัจฉริยะเช่นนั้นก็น่าจะเตรียมปัจจัยภายนอกไว้ช่วยเหลือไม่น้อยถึงทะลวงสำเร็จ เรื่องนี้ค่อยๆ ใคร่ครวญทีหลังเถิด” โอวหยางเชี่ยนถอนหายใจอย่างหมดความสนใจอยู่บ้าง


ในสิ่งก่อสร้างอีกแห่งนึ่งบนเทือกเขาหยกฝัน โอวหยางซินมองเมฆมงคลที่ค่อยๆ จางหายไปกลางท้องฟ้าไกลลิบๆ จากนั้นในดวงตาก็ฉายแววเหี้ยมเกรียมนิดๆ ออกมาไม่ทราบว่าในใจคิดอะไรอยู่


ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งเดือน


หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ข่าวคนนอกตระกูลทะลวงเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนที่ตำหนักหลิงหลงค่อยๆ เล่าลือกระจายไปในหมู่ศิษย์ตระกูลโอวหยางบนเทือกเขาหยกฝัน ชื่อหลิ่งหมิงจึงเป็นที่รู้จักของศิษย์ตระกูลโอวหยาง


แต่หนึ่งเดือนมานี้หลิ่วหมิงยังคงทำให้พลังเสถียรอยู่ในตำหนักหลิงหลง ไม่ได้โผล่หน้าออกมาดังนั้นศิษย์ตระกูลโอวหยางส่วนใหญ่จึงรู้จักเพียงชื่อเขาแต่ไม่เคยพบตัวคน


วันนี้ประตูใหญ่ของห้องลับที่สร้างเข้าไปในตัวภูเขาของตำหนักหลิงหลงเปิดออกดังปัง บุรุษชุดสีน้ำเงินผู้หนึ่งก้าวเดินออกมาจากด้านในช้าๆ เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง



 

 

 


ตอนที่ 861 เข้าสู่ระดับแก่นเสมือน

 

เทียบกับหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ สภาพของหลิ่วหมิงไม่เปลี่ยนไปเท่าใดนัก แต่เมื่อขยับมือขยับเท้าแรงกดดันที่ไม่อาจพรรณนาได้สายหนึ่งก็แผ่ออกมาเลือนราง


หลิ่วหมิงสัมผัสความเปลี่ยนแปลงของทะเลจิตวิญญาณในร่าง ในใจรู้สึกโชคดียิ่งนักที่เข้าสู่ระดับแก่นเสมือนได้อย่างราบรื่นเช่นนี้


หลังทะลวงเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนก็เท่ากับเหยียบเข้าสู่ระดับแก่นแท้ไปขาหนึ่ง บรรลุสัญญาที่ให้ไว้กับหลัวโหวก่อนหน้านี้แล้ว


ส่วนการเข้าสู่ระดับแก่นแท้ แม้ยากเย็นยิ่งกว่าแต่หลัวโหวสัญญาว่าถึงเวลาจะช่วยเขาอีกแรง นี่จึงทำให้เขามีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง


คิดถึงตรงนี้ หลิ่วหมิงก็อารมณ์ดียิ่งนัก


“ยินดีกับศิษย์หลานหลิ่วที่เข้าสู่ระดับแก่นเสมือนได้ หลังจากนี้ก็นับวันรอผนึกแก่นแท้ได้แล้ว” เสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังขึ้น ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่โอวหยางชิงเฟิงปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเขา


“คารวะผู้อาวุโสชิงเฟิง ครั้งนี้ผู้เยาว์โชคดีทะลวงระดับสำเร็จได้ล้วนด้วยอิทธิฤทธิ์มหัศจรรย์ของกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ช่วยเหลือ มิเช่นนั้นแม้ทะลวงคอขวดสิบหน ข้าก็ไม่มั่นใจว่าจะเลื่อนระดับได้สำเร็จ” หลิ่วหมิงรีบร้อนคำนับพลางเอ่ยตอบ


“ศิษย์หลานหลิ่วยังถ่อมตัวเช่นเดิม อายุเท่าเจ้าทำตัวสบายๆ บ้างสิถึงจะสมควร” โอวหยางชิงเฟิงหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ


หลิ่วหมิงฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะ ไม่เอ่ยต่อ


ต่อจากนั้นหลิ่วหมิงก็เดินตามหลังโอวหยางชิงเฟิงผ่านถ้ำอีกครั้งกลับไปในห้องโถงใหญ่ของตำหนักหลิงหลง


เวลานี้หัวหน้าตระกูลโอวหยางผู้สวมชุดสีม่วงตัวใหญ่นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เมื่อไร เมื่อเห็นหลิ่วหมิงกับผู้อาวุโสเดินเข้ามาในห้องโถง เขาก็ยิ้มน้อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า


“ฮ่าๆ ยินดีด้วยศิษย์หลานหลิ่ว”


“หัวหน้าตระกูลชมเกินไปแล้ว” หลิ่วหมิงในใจตกตะลึง พร้อมกันนั้นก็สงสัยอยู่บ้าง เขาคิดว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติให้หัวหน้าตระกูลโอวหยางผู้ยิ่งใหญ่มาแสดงความยินดีกับตนเองโดยเฉพาะนะ


“จะว่าไปแล้ว ศิษย์หลานหลิ่วเหตุใดไม่ทำให้ระดับพลังเสถียรมากขึ้นในห้องศิลาแห่งนั้นเล่า ที่แห่งนั้นเดิมทีเป็นสถานที่ฝึกฝนของบรรพบุรุษตระกูลเรา พลังปราณฟ้าดินเข้มข้นกว่าด้านนอกหลายเท่า” หัวหน้าตระกูลส่งสัญญาณให้หลิ่วหมิงนั่งลง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าอ่อนโยน


“พลังของผู้เยาว์เสถียรแล้ว หลังจากนี้เพียงต้องใช้เวลาฝึกฝนบ้างเท่านั้นจึงไม่กล้าใช้สถานที่ล้ำค่าของตระกูลโอวหยางต่ออีก” หลิ่วหมิงไม่เข้าใจเจตนาของหัวหน้าตระกูลโอวหยางอยู่บ้าง จึงเอ่ยตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ทันที


หลังเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน แม้พลังเวทกับระดับพลังจะก้าวหน้าขึ้นมาก แต่การเลื่อนระดับครั้งนี้ พลังเวทในร่างเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไปมากนัก ดังนั้นเวลาที่ใช้ทำให้พลังเสถียรที่จริงไม่จำเป็นต้องมากมาย


ระหว่างที่ทั้งสองคนพูดคุย สาวน้อยชุดน้ำเงินผู้นั้นที่หลิ่วหมิงเคยพบก่อนหน้านี้ก็ยกชาจิตวิญญาณสามถ้วยมา ระหว่างที่ยกชามาสาวน้อยมองสำรวจหลิ่วหมิงไม่หยุด ในดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความสงสัยใคร่รู้


“ศิษย์หลานหลิ่วไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ เชิญ!” หัวหน้าตระกูลโอวหยางพยักหน้าเล็กน้อยแล้วยกถ้วยชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง


หลิ่วหมิงย่อมไม่กล้าชักช้า รีบยกถ้วยขึ้นจิบเล็กน้อย


หัวหน้าตระกูลโอวหยางสนทนาเรื่อยเปื่อยกับหลิ่วหมิงเช่นนี้พร้อมกับที่สายตากวาดบนร่างหลิ่วหมิงเป็นระยะ ในดวงตาคล้ายแฝงรอยยิ้มมีเลศนัยน้อยๆ ทำให้หลิ่วหมิงอดไม่ได้งงงวยกว่าเดิม


ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินที่อยู่ด้านข้างเอ่ยแทรกขึ้นเป็นระยะก็มีรอยยิ้มน้อยๆ อยู่บนหน้าเช่นกัน


“…จำได้ว่าเคยได้ยินเชี่ยนเอ๋อร์บอกว่า ตอนที่พบกับศิษย์หลานหลิ่วครั้งแรกคือในตลาดแห่งหนึ่งบนยอดเขาต้นกล้าเขียวใช่ไหม?” หัวหน้าตระกูลเอ่ยไปๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามขึ้นมา


“ถูกต้องแล้ว ตอนอยู่ที่นั่นบังเอิญวังมายานภาหยกเปิดออก จึงได้ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ด้านในกับสหายโอวหยางเชี่ยน” หลิ่วหมิงเอ่ยตอบตามจริง


“งานประตูสวรรค์สิบกว่าปีก่อน ได้ยินเชี่ยนเอ๋อร์กับฉินเอ๋อร์เล่าว่าสุดท้ายต้องขอบคุณศิษย์หลานหลิ่วถึงเอาชีวิตรอดมาจากมือผู้ฝึกฝนต่างเผ่าหลายตนนั้นได้ พวกนางสองคนรู้สึกขอบคุณศิษย์หลานหลิ่วมาตลอด” หัวหน้าตระกูลโอวหยางยิ้มลึกลับเอ่ยขึ้นมา


หลิ่วหมิงได้ยินก็อึ้งไป ไม่ทันตอบอันใด ในใจก็มีลางสังหรณ์ว่าเรื่องยุ่งยากกำลังจะตกใส่หัวอยู่เลือนราง


“ไม่ทราบศิษย์หลานหลิ่วคิดอย่างไรกับเชี่ยนเอ๋อร์และฉินเอ๋อร์สาวน้อยสองคนนี้?” หัวหน้าตระกูลโอวหยางเอ่ยถามขึ้นยิ้มๆ


“เซียนทั้งสองอายุยังน้อยก็พลังระดับผลึกแล้ว พรสวรรค์ไม่ธรรมดา วันหน้าจะต้องสร้างผลงานยิ่งใหญ่ได้แน่…ไม่ทราบหัวหน้าตระกูลเหตุใดจึงถามเรื่องนี้?” หลิ่วหมิงสายตาวูบไหวเล็กน้อย ตอบกลับไปอย่างระมัดระวัง


“ฮ่ะๆ เทียบกับศิษย์หลานหลิ่ว สาวน้อยสองคนนั้นด้อยกว่าอยู่ไกล แต่ในหมู่ศิษย์รุ่นเดียวกันพวกนางสองคนไม่ว่ารูปโฉมหรือพลังล้วนนับว่าเป็นตัวเลือกชั้นดี…จะว่าไปแล้ว ศิษย์หลานหลิ่วน่าจะยังไม่มีคู่รักไว้ฝึกฝนคู่อย่างเป็นทางการสินะ ไม่ทราบว่าคิดจะตบแต่งหนึ่งในพวกนางสองคนเป็นคู่รักฝึกฝน ร่วมกันฝึกฝนมุ่งสู่ทางบรรลุหรือไม่?” หัวหน้าตระกูลโอวหยางอ้อมเป็นโยชน์ ในที่สุดก็เผยเจตนาของเขาออกมา


“ฝึก…ฝึกฝนคู่หรือ?”


หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกตะลึง สมองค้างอยู่บ้างไปชั่วขณะ อ้าปากหวอเกือบจะพูดติดอ่าง


“ไม่ผิด ศิษย์หลานหลิ่วเป็นศิษย์ระดับสูงของนิกายยอดบริสุทธิ์ เชี่ยนเอ๋อร์กับน้องสาวพวกนางทั้งสองคนเป็นศิษย์สายตรงของตระกูลโอวหยางเรา เรียกได้ว่าฐานะเหมาะสม เรื่องนี้ไม่ว่ากับเจ้า กับตระกูลโอวหยางหรือนิกายยอดบริสุทธิ์ล้วนเป็นเรื่องดี ไม่ทราบศิษย์หลานหลิ่วคิดอย่างไร?” บุรุษผู้สง่างามยิ้มตาหยีเอ่ยขึ้น


“ขอบคุณเจตนาดีของหัวหน้าตระกูลโอวหยางยิ่ง แม่นางโอวหยางทั้งสองไม่ว่าชาติกำเนิด รูปโฉม ระดับพลังล้วนยากหาคนเทียบเคียง แต่ว่า…” บนหน้าหลิ่วหมิงในที่สุดก็ฟื้นกลับมาปกติแล้วยิ้มเจื่อนๆ ขึ้นมา


“ฮ่ะๆ หรือศิษย์หลานหลิ่วก็…” หัวหน้าตระกูลโอวหยางหัวหราะฮ่ะๆ เอ่ยขึ้น


“หัวหน้าตระกูลโอวหยางอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” หลิ่วหมิงรีบโบกมืออธิบาย


โอวหยางชิงเฟิงที่นั่งอยู่ด้านข้างได้ยินคำนี้ก็หุบยิ้มทันที คิ้วขาวโพลนขมวดน้อยๆ


“อ้อ ถ้าเช่นนั้นหมายความว่าศิษย์หลานหลิ่วไม่ถูกใจพวกเชี่ยนเอ๋อร์หรือ?” หัวหน้าตระกูลโอวหยางก็น้ำเสียงเย็นชาขึ้นในทันใดด้วย อากาศในห้องโถงคล้ายกับจะเริ่มจับตัวแข็งทำให้คนหายใจไม่ออก


“ที่จริงข้ามีคู่รักฝึกฝนที่หมั้นหมายกันไว้คนหนึ่งแล้ว นางเป็นศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์คนหนึ่งเหมือนกัน เรื่องนี้อาจารย์ของผู้เยาว์กำหนดไว้ตั้งแต่หลายปีก่อนหน้านี้ เพราะเหตุนี้เรื่องที่หัวหน้าตระกูลโอวหยางเอ่ยขึ้นมา จึงได้แต่ขอปฏิเสธ” หลังในใจคิดเร็วไวรอบหนึ่งก็เอ่ยขึ้นอย่างชัดเจนทันที


เขากับพี่น้องโอวหยางพบหน้ากันไม่กี่ครั้ง พูดถึงความรู้สึกอันใดไม่ได้แม้แต่น้อย ผนวกกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจียหลานยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย ไหนเลยยังจะกล้าหาผู้ฝึกฝนหญิงคนอื่นอีก


“ที่แท้ศิษย์หลานหลิ่วก็มีสัญญาหมั้นอยู่แล้ว เช่นนี้ข้าก็ไม่บังคับ” หัวหน้าตระกูลโอวหยางพูดแล้วก็ลุกขึ้น พยักหน้าอย่างเฉยเมยให้หลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อก้าวยาวเดินออกไป


หลิ่วหมิงลอบถอนหายใจในใจ รู้ว่าปฏิเสธครานี้ล่วงเกินหัวหน้าตระกูลโอวหยางผู้นี้แล้ว แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เช่นกัน อย่างไรก็รับปากตบแต่งกับคนหนึ่งในพี่น้องโอวหยางจริงๆ ไม่ได้


“ผู้อาวุโสชิงเฟิง เป้าหมายที่ผู้เยาว์เดินทางมายังเทือกเขาหยกฝันครั้งนี้บรรลุแล้วจึงจะขอลาตรงนี้” หลังหัวหน้าตระกูลโอวหยางออกไป หลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นเอ่ยลากับโอวหยางชิงเฟิง


“ศิษย์หลานหลิ่วตามสบายเถิด ที่นี่ของข้าจริงๆ ก็ไม่สะดวกรั้งคนนอกไว้นานเช่นกัน” โอวหยางชิงเฟิงในฐานะลุงของพี่น้องโอวหยาง เมื่อหลิ่วหมิงปฏิเสธการแต่งงานตรงๆ ใบหน้าก็ค่อนข้างไม่น่าดู น้ำเสียงเย็นชาขึ้นไม่น้อยเช่นเดียวกัน


หลิ่วหมิงยิ้มเจื่อนในใจ ได้แต่ประสานมือคำนับทีหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินออกไปด้านนอก  สุดท้ายเท้าเพิ่งก้าวออกไปก้าวเดียวก็พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ทันใดนั้นจึงเอี้ยวศีรษะกลับมาเอ่ยถามอย่างจริงจังอีกครั้ง


“ก่อนหน้านี้สัญญาว่าหลังข้าใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ ต้องทำงานใหญ่เรื่องหนึ่งให้ตระกูลโอวหยางเป็นการแลกเปลี่ยน แต่จนถึงบัดนี้ตระกูลของท่านก็ยังไม่บอกกล่าวให้ชัดเจนว่าที่แท้เป็นเรื่องใด เวลาใดต้องทำหรือ? ข้าจะได้เตรียมตัวก่อนบ้าง”


“ศิษย์หลานหลิ่วไม่ต้องกังวล เรื่องนั้นยังไม่ถึงเวลา ยามที่ต้องการใช้ท่าน ย่อมมีคนตระกูลโอวหยางเดินทางไปหาท่านเอง” โอวหยางชิงเฟิงมองหลิ่วหมิงนิ่งนานทีหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ


“เช่นนี้ก็ดี หากตระกูลท่านมีข่าว ส่งคนไปนิกายยอดบริสุทธิ์แจ้งผู้เยาว์คำเดียวก็พอ” หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วหมุนตัวก้าวยาวเดินออกจากตำหนักหลิงหลงไป


เมื่อออกจากตำหนักใหญ่ เขาก็ตั้งท่าเคล็ดวิชาด้วยมือเดียว เมฆดำก้อนหนึ่งยกร่างเขาลอยขึ้นมุ่งไปทางหอต้อนรับแขก


หนึ่งชั่วยามให้หลัง ลำแสงสีดำสายหนึ่งก็บินเร็วรี่ออกจากเทือกเขาหยกฝันเหาะไปยังที่ไกล


ขณะที่ผ่านป่าทึบแห่งหนึ่ง ลำแสงก็หยุดชะงัก แสงสีดำดับลงเผยร่างของชายหนุ่มชุดน้ำเงินคนหนึ่งกับเด็กน้อยคนหนึ่งด้านใน


หลิ่วหมิงกับเยี่ยเฮ่านั่นเอง


“ท่านหลิ่ว ทำไมไม่ไปหรือ?” เยี่ยเฮ่าโคลงศีรษะมองหลิ่วหมิงอย่างประหลาดใจอยู่บ้างแล้วอดไม่ได้เอ่ยปากถาม


หลิ่วหมิงหมุนตัวกลับมา สายตามองไปยังป่าทึบเบื้องล่าง ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นนิ่งๆ


“สหายด้านล่าง เจ้าตามข้ามานานน่าจะเหนื่อยแล้ว ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกแล้ว แสดงตนออกมาเถิด”


ในป่าทึบเบื้องล่างมีเสียง “ฟึบ” ดังขึ้น ชั่วขณะที่กิ่งใบสั่นไหว เงาคนสีขาวร่างหนึ่งก็เหาะออกมาจากในป่า เปล่งแสงวูบวาบไม่กี่หนก็เหาะมาถึงเบื้องหน้าหลิ่วหมิงไม่ไกล


“ที่แท้แม่นางซานี่เอง” สายตาของหลิ่วหมิงเคร่งขรึม หลังมองเห็นคนที่มาชัด พลังเวทที่ลอบกระตุ้นขึ้นมาฉับพลันก็สลายไป บนใบหน้าเผยรอยยิ้มน้อยๆ


เงาคนชุดขาวสวมชุดยาวสีขาวอ้อนแอ้นอรชรก็คือซาฉู่เอ๋อร์ที่ไปจากตระกูลโอวหยางเมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านั่นเอง


“พี่หลิ่ว ท่าน…ท่านเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนแล้ว!” ซาฉู่เอ๋อร์มองเยี่ยเฮ่าที่อยู่ข้างกายหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นสายตาก็จับบนร่างหลิ่วหมิง นางแย้มยิ้มงดงาม กำลังจะเอ่ยคำพูด ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวหลิ่วหมิง ดวงเนตรงามจึงอดไม่ได้ฉายแววประหลาดใจแล้วเอ่ยทัก


“ครั้งนี้ข้ามาเยือนตระกูลโอวหยางก็เพื่อยืมใช้สมบัติชิ้นหนึ่งเพื่อเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน ช่างเรื่องนี้ก่อนเถิด แม่นางซารั้งอยู่ที่เทือกเขาหยกฝันแห่งนี้เพราะเรื่องบิดาของท่านหรือ?” หลิ่วหมิงอธิบายประโยคหนึ่งก็ย้อนถามกลับหนึ่งประโยค


“ครั้งนี้ข้าลำบากนักกว่าจะออกมาจากทะเลทรายกุ่ยโม่ได้ หากสืบข่าวของบิดาไม่ได้ย่อมไม่มีทางเลิกราโดยง่าย” บนดวงหน้างามของซาฉู่เอ๋อร์เผยสีหน้าเด็ดเดี่ยวออกมา แม้เสียงเบาแต่น้ำเสียงแน่วแน่


หลิ่วหมิงได้ยินก็เงียบไปพักหนึ่ง ชั่วครู่ให้หลังบนใบหน้าจึงเผยสีหน้าประหลาดเล็กน้อยแล้วเอ่ยปากถามเรียบๆ


“ก่อนหน้านี้อยู่ต่อหน้าคนตระกูลโอวหยาง ข้าจึงไม่สะดวกเอ่ยมาก จำได้ว่ายามนั้นในทะเลทรายกุ่ยโม่ แม่นางซาเคยบอกเองกับปากว่าบิดาของท่านหาใช่คนของเผ่าทราย หลังพลัดหลงเข้ามาในทะเลทรายกุ่ยโม่ก็กลายเป็นมนุษย์ธรรมดาแล้วตายจากไป วันนี้เหตุใดแม่นางซายังต้องมาตามหาข่าวคราวของเขาที่แผ่นดินกลางอีก หรือยังมีเรื่องซ่อนเร้นอันใดอยู่?”


“เรื่องนี้เล่าแล้วยาว ในยามนั้นข้าหาได้มีเจตนาจะหลอกลวงพี่หลิ่ว แต่ยามนั้นคนของเผ่าทรายทั้งหมดในทะเลทรายกุ่ยโม่ล้วนถูกนายท่านใช้วิชาลับวิชาหนึ่งบิดเบือนความทรงจำ พวกเราล้วนคิดว่าบิดาแก่ตายไปในทะเลทรายกุ่ยโม่ แต่ที่จริงบิดาถูกนายท่านพยายามส่งออกไปจากทะเลทรายกุ่ยโม่ ข้าก็เพิ่งถูกนายท่านแก้วิชาลับให้แล้วบอกเรื่องเหล่านี้ไม่นานนี้เอง” ซาฉู่เอ๋อร์ถอนหายใจทีหนึ่งแล้วอธิบาย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)