อยากกินไหมล่ะ 859-860
บทที่ 859 ฉันจะหักกระดูกตัวเองให้นายดูเอง
หลังจากการสนทนาโดยบังเอิญ บางคนก็เริ่มถามถึงผลงานแกะสลักน้ำแข็งเมื่อวันก่อน
“เถ้าแก่หยวน เถ้าแก่หยวน ผมจะสามารถดูมังกรที่คุณแกะสลักได้ที่ไหนงั้นหรือ?” ชายหนุ่มที่สวมแว่นตาถามขึ้นด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
“ใช่ ใช่ มังกรตัวนั้นน่าทึ่งชะมัดเลย ดูเหมือนมังกรจริงๆเลยล่ะ! ฉันได้ยินมาว่ามีขุนเขาและสายน้ำแล้วก็มีมังกรอยู่ตรงกลางเลยทำให้ดูโหดเหี้ยมอย่างถึงที่สุดเลยเชียวล่ะ” สตรีวัยกลางคนที่ถือตะกร้าใส่ผักกล่าวขึ้น
หยวนโจวเริ่มเหงื่อตกเมื่อได้ยินคำถามนั้น เห็นได้ชัดเลยว่าเธอกำลังพูดถึงผลงานแกะสลักของหยางซู่ซิน เขาให้สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายไอ้เจ้าคนที่บอกเธอว่าเป็นผลงานแกะสลักของหยวนโจวถ้าเขาเผอิญเจอตัวเข้าล่ะก็นะ เนื่องจาหหยวนโจวไม่ได้หยุดวิ่งออกกำลัง ทุกคนจึงวิ่งออกกำลังไปกับเขาด้วย โชคดีที่หยวนโจวชะลอฝีเท้าตัวเองลงขณะที่คนพวกนั้นกำลังคุยกับเขาอยู่
“มีคนเอาไปแล้วครับ พวกคุณคงจะอดดูเสียแล้วล่ะ” หยวนโจวตอบอย่างจริงจัง
“ห๊ะ? แย่ชะมัดเลย” ชายหนุ่มที่สวมแว่นกล่าวขึ้น
“เฮ้อ เมื่อวานนี้ฉันก็มัวแต่ยุ่งกับการเลี้ยงหลานชายจนไม่มีโอกาสได้มาดูเลย งั้นมังกรมีลักษณะเป็นยังไงบ้างเหรอ?” สตรีวัยกลางคนที่ถือตะกร้าใส่ผักถามขึ้นมา
บางคนก็รู้สึกว่ามันช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเช่นกัน เขาจึงรีบมาที่นี่หลังจากดูวิดีโอในอินเตอร์เน็ต น่าเสียดายที่เขาทำได้แค่อยากมองดูผลงานแกะสลักให้นานขึ้นแทนที่จะได้มาเห็นด้วยตาตนเอง
“ฉันจะเล่าให้ฟังนะ เมื่อวานนี้ฉันได้ยินเรื่องนั้นมาด้วยล่ะ เถ้าแก่หยวนใช้มีดทำครัวได้เจ๋งไปเลยเชียวล่ะ ด้วยเสียงดังขวับขวับ ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็กลับกลายเป็นมังกรน้ำแข็ง แถมยังมีขุนเขาและสายน้ำอีกต่างหาก ผลงานทั้งชิ้นยิ่งกว่าภาพเขียนเสียอีกแน่ะ พูดง่ายๆก็คือน่าทึ่งมากเลยล่ะ” สตรีวัยกลางคนผู้ใจดีอธิบายเมื่อเธอเห็นท่าทีผิดหวังของบางคนตรงนั้นเข้า
คำอธิบายของเธอออกจะเกินจริงจนน่าเหลือเชื่อไปบ้างทำให้หยวนโจวรู้สึกค่อนข้างกระอักกระอ่วนมากทีเดียว แน่นอนว่าคงจะดีหากเธอให้คำอธิบายที่ถูกต้องตามความเป็นจริง แต่เธอกลับเอาแต่คุยโม้โอ้อวดและชื่นชมเขาเสียมาก
ที่สำคัญไปกว่านั้น เธอยังไม่ได้พบเห็นด้วยตนเองแต่อย่างใดเพียงแค่ฟังมาจากผู้อื่นอีกทีก็เท่านั้นเอง
หยวนโจวค่อนข้างประทับใจในตัวสตรีวัยกลางคนผู้นี้อยู่ลึกๆ เธอไม่เคยกินอะไรในร้านของเขาเลยนอกเสียจากมักจะมาเดินเตร่แถวถนนเถ่าซือกับหลานชายของตนเอง ทันทีที่มีคนถามเธอว่าอาหารที่ร้านหยวนโจวอร่อยหรือไม่ เธอก็จะเริ่มคุยโม้โอ้อวดและชื่นชมร้านขึ้นมาในทันที แน่นอนว่าเธอก็ไม่ลืมที่จะบอกว่าเรื่องพวกนั้นได้ยินได้ฟังมาจากผู้อื่นอีกที หากพูดกันตามจริงแล้ว สตรีวัยกลางคนผู้นี้ก็นับได้ว่าเป็นตัวกระจายเรื่องสนุกเลยทีเดียว
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่หยวนโจวจะสามารถทำได้แล้วล่ะ เขาจึงได้แต่รีบจ้ำฝีเท้าของตนเองเท่านั้นแล้ว
“งั้นใครเป็นคนเอาไปกันล่ะ? ฉันต้องไปดูให้ได้เลยแม้จะหมายความว่าฉันต้องซื้อตั๋วก็เถอะนะ” ชายหนุ่มที่สวมแว่นตาถามขึ้นมา
“คุณเหยียนเป็นคนเอาไปน่ะสิ ฉันเองก็ไม่รู้จักที่อยู่เสียด้วยสิ คราวหน้าตอนอยู่ในร้านนายก็ลองถามดูสิ” หยวนโจวกล่าวขึ้น
“โอ้ ได้เลยครับ” ชายหนุ่มที่สวมแว่นตากล่าวขึ้นขณะที่จะเลิกตามหยวนโจวแล้ว
หลังจากชายหนุ่มที่สวมแว่นตาและบุรุษที่รีบวิ่งมาหาจากไปแล้วก็มีคนอื่นๆเข้ามาหาหยวนโจว ส่วนใหญ่จะถามถึงเรื่องผลงานแกะสลัก และไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้เองที่ทำให้สตรีวัยกลางคนสบโอกาสครั้งสำคัญในการแสดงความสามารถในการเล่าเรื่องขึ้นมา
มีนักข่าวสองคนที่พยายามจะขอสัมภาษณ์หยวนโจว หยวนโจวยืนกรานว่านี่เป็นเวลาออกกำลังกายของเขาอยู่แล้วอีกไม่นานก็คงยุ่งง่วนอยู่กับการเปิดร้าน แต่นักข่าวผมสั้นคนหนึ่งในนั้นดูเหมือนจะฉวยโอกาสที่หยวนโจวอารมณ์ดีคอยรบเร้าเขาต่อไป
“เจ้าหนุ่ม มารยาทของนายไปไหนหมดเสียเล่า? เถ้าแก่หยวนก็บอกว่ายุ่งอยู่นะ ถ้าอยากรู้อะไรก็มาถามฉันนี่ ฉันรู้ทุกเรื่องเลยนะ” สตรีวัยกลางคนที่จู่ๆก็ปรากฏตัวกล่าวขึ้นมา
นักข่าวผมสั้นดูเหมือนจะไม่คิดที่จะเสียเวลาคุยกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องเลยสักนิดเดียว ดังนั้นเขาต้องการที่จะหลบเลี่ยงสตรีวัยกลางคนผู้นี้เพื่อไล่ตามหยวนโจว น่าเสียดายที่สตรีวัยกลางคนดูเหมือนจะย่างเท้าได้เร็วเป็นพิเศษ บางทีอาจจะเป็นสิ่งที่เธอได้มาจากซูเปอร์มาร์เก็ตหรือขนส่งสาธารณะในชั่วโมงเร่งรีบก็เป็นได้ เธอค่อยๆซอยเท้าถี่ๆจนสามารถขัดขวางนักข่าวที่พยายามจะหลบเลี่ยงเธอได้เป็นผลสำเร็จ
“ฉันจะบอกให้นะ หากนายมีอะไรก็ถามฉันได้ เจ้าหนุ่ม ไม่ได้ยินฉันพูดงั้นรึ?” สตรีวัยกลางคนเริ่มถามนักข่าวแทนแล้ว
เมื่อนักข่าวเห็นว่าหยวนโจวกำลังจะกลับไปที่ร้าน เขาก็เริ่มโมโหขึ้นมาแล้ว เขาเหลือบมองสตรีวัยกลางคนทั้งยังดูเหมือนคิดจะใช้กำลังเข้าทำร้ายร่างกายอีกด้วย
ไม่เพียงสตรีวัยกลางคนจะไม่รู้สึกหวาดกลัวสายตาดุดัน เธอยังสืบเท้าไปข้างหน้าอีกต่างหาก “ฉันจะบอกอะไรให้นะ ถ้าหากนายแน่จริงก็จับฉันให้ได้สิ ขอเพียงแค่แตะต้องฉันนิดเดียวเท่านั้นแหละ ฉันก็คงจะกระดูกกระเดี้ยวหักแล้ว การกระทบกระแทกใส่ตัวฉันอาจจะทำให้ฉันกระดูกแตกละเอียดได้ แล้วเมื่อถึงโรงพยาบาลฉันก็คงต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง ลำพังแค่เงินเดือนขี้ปะติ๋วของนาย แค่ให้ฉันอยู่โรงพยาบาลสักสองเดือนก็พอให้บัญชีธนาคารของนายโดนสูบจนเกลี้ยงได้แล้วนะจะบอกให้”
และก่อนที่นักข่าวจะทันได้ตอบอะไรออกไป สตรีวัยกลางคนก็พอต่อไปว่า “ฉันรู้กฎหมายนะ แถมฉันยังมีเพื่อนบ้านอีกเป็นล้านที่อยู่ที่นี่ด้วย ถึงนายจะเป็นนักข่าวก็ไม่มีสิทธิ์หนีความผิดไปได้หรอก”
และสิ่งนี้ก็ทำให้นักข่าวหวาดกลัวได้เป็นผลสำเร็จ เขาได้แต่มองหยวนโจวจากไปอย่างช่วยไม่ได้
ด้วยหูอันเฉียบคมของหยวนโจวทำให้เขาได้ยินทุกสิ่งทุกอย่าง เขาจึงลอบชื่นชมสตรีวัยกลางคนอยู่ในใจ
ตอนนี้หยวนโจวไม่รู้ตัวว่ากำลังมอบความรู้สึกให้คนนอกเพราะเขาเป็นคนใจกว้าง แต่อันที่จริงแล้ว หยวนโจวเป็นคนที่ภายนอกดูเย็นชาทว่ากลับมีหัวใจอันเร่าร้อน ทั้งยังเป็นคนที่ดูใจกว้างทั้งๆที่ภายในแล้วเป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้น
ดังนั้นเขาจึงตรวจสอบว่านักข่าวทั้งสองคนนั้นมาจากหนังสือพิมพ์ไหนกันแน่ จากนั้นเขาก็ตอบตกลงให้นักข่าวคนอื่นๆที่ว่าง่ายเข้าสัมภาษณ์ได้หลังเวลาอาหารเช้า หยวนโจวทำเช่นนี้ก็เพื่อแสดงให้นักข่าวที่กำลังรบกวนผู้อื่นอยู่ได้รู้ว่าถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนสบายๆ แต่เขาก็ใช่ว่ายอมไปเสียตลอดเวลาไม่ ด้วยเหตุนี้นักข่าวที่กำลังรบกวนผู้อื่นผู้นั้นก็จะถูกรบกวน แถมยังต้องรู้สึกริษยาและหัวเสียไปอีกด้วย
“ทุกวันนี้พวกนักข่าวต้องตื่นแต่เช้ากันแน่ๆเลย” หยวนโจวกล่าวพลางปาดเหงื่อบนศีรษะ เขามุ่งหน้าขึ้นชั้นสองเพื่อไปอาบน้ำก่อนที่จะเริ่มเตรียมอาหารเช้า
แต่วันนี้กลับมีลูกค้าที่มาเพื่ออาหารเช้ามากขึ้น ถึงอย่างไรเมื่อวานนี้หลายๆคนก็ไม่ได้เห็นการแข่งขันแกะสลักน้ำแข็งด้วยตาตนเองแถมตอนนี้ยังมาที่นี่เพื่อดูตัวเอกของการแข่งขันอีกต่างหาก
ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ที่อยู่ในสาขาการแกะสลักน้ำแข็งของเมืองเฉิงตู โชคดีที่พวกเขาทราบว่าหยางซู่ซินเป็นผู้ที่แข่งขันกับหยวนโจว ดังนั้นจึงหามีผู้ใดกล้ามาทำปากดีกับหยวนโจว
พวกเขาแค่จ้องมองหยวนโจวด้วยความอยากรู้อยากเห็นจากระยะไกล ถึงแม้ว่าหยวนโจวจะคุ้นเคยกับการเป็นจุดสนใจเช่นนี้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมรับสิ่งนี้ได้ เขาไม่ชอบใจเอาเสียเลยและเริ่มคิดว่าเขาน่าจะคิดเงินพวกเขาที่มาจ้องมองเขาเช่นกัน
แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าหากเขาคิดเงินพวกเขาที่มาจ้องมอง ตัวเขาเองจะไม่ต่างอะไรกับสัตว์ในสวนสัตว์งั้นหรือ? ดังนั้นหยวนโจวจึงต้องพิจารณาใคร่ครวญให้ลึกซึ้ง
ส่วนสาเหตุที่ทำให้คนจากสมาพันธ์การแกะสลักน้ำแข็งแห่งเมืองเฉิงตูไม่ได้มาจ้องมองเขานั้นก็คงขอคำตอบเอาจากโจวซื่อเจี๋ยแล้วล่ะ
หามีผู้ใดกล้าขโมยคนจากโจวซื่อเจี๋ยหรอก ถึงอย่างไรเมื่อตอนที่เจรจาต่อรองกัน โจวซื่อเจี๋ยก็ถือมีดทำครัวไปเยี่ยมอีกฝ่ายเชียวนะ ควรรู้เอาไว้ว่าโจวซื่อเจี๋ยก็เป็นเชฟแถมยังมีมีดทำครัวอีกมากมาย ไม่ว่าอย่างไรสงครามในอินเตอร์เน็ตก็ยังคงดำเนินต่อไป หามีผู้ใดล่วงรู้เลยว่ามันจะขยายไปสู่ชีวิตจริงเช่นเดียวกันด้วย
ดังนั้นถึงแม้ว่าร้านจะแออัดมากในช่วงเวลาอาหารเช้า ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังดำเนินต่อไปโดยไม่เกิดสิ่งไม่คาดฝัน ส่วนการสัมภาษณ์หลังจากนั้นก็ดำนินไปอย่างราบรื่น แต่ในช่วงเวลาอาหารกลางวันกลับมีบางคนมาถึง
“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะ พี่ยา” โจวเจียกล่าวทักทาย
“สวัสดีจ่ะ เจียเจีย” น้ำเสียงมีชีวิตชีวาของสตรีผู้หนึ่งขานตอบ
เสียงนี้ทำให้แม้แต่หยวนโจวที่กำลังยุ่งง่วนกับการทำอาหารก็ยังต้องเงยหน้าขึ้นมา
เขาประสานสายตากับญินยาในชุดทางการรัดรูปสีครามที่กำลังเดินเข้ามาด้วยรองเท้าส้นสูงอย่างสง่างาม
“โจวเจีย เนื้อวัวสไลซ์บางเฉียบ” หยวนโจวกล่าวพลางวางจานลง
บทที่ 860 ชาลำไยและพุทราแดง
แน่นอนว่าตามปกติแล้วหยวนโจวจะเสิร์ฟอาหารที่เสร็จแล้วให้ลูกค้าเงียบๆ แต่คราวนี้กลับต่างออกไป
“เธออยากกินอะไรดีล่ะ?” หยวนโจวเดินเข้าไปหาญินยาที่เพิ่งจะนั่งลงแล้วถาม
“ชาลำไยกับพุทราแดงแก้วนึงแล้วก็ก๋วยเตี๋ยวน้ำใส” ญินยากล่าวอย่างสุภาพ
“วันนี้วันอะไรงั้นหรือ โจวเจีย?” หยวนโจวไม่ตอบแล้วย้อนถามทันที
“วันที่สี่ของเดือนค่ะเถ้าแก่” โจวเจียตอบโดยไม่เงยหน้า
“ฉันนึกว่าเธอจะดื่มชาลำไยกับพุทราแดงทุกวันที่เจ็ดของเดือนเสียอีก?” หยวนโจวถามด้วยความสงสัย
เมื่อญินยาได้ยินเช่นนั้น เธอก็เงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองไปทางหยวนโจว แววตาของเธอฝากแฝงไปด้วยเจตนาร้าย อาจกล่าวได้ว่าถ้าหากสายตาสามารถฆ่าคนได้ หยวนโจวก็คงกลายเป็นเนื้อบดด้วยสายตาเช่นไปแล้ว
“อืม รอสักครู่นะ” หยวนโจวเลิกไอเพื่อปกปิดความเก้อกระดากแล้วตอบอย่างเยือกเย็น จากนั้นเขาก็กลับไปเตรียมอาหาร
เขาลืมแม้แต่เรื่องรับเงินของออเดอร์นี้ไปแล้ว โชคดีที่โจวเจียฉลาดพอที่จะจ่ายเงินของตัวเองไปก่อนอย่างเงียบๆ
“ใจนารีช่างสุดแท้จะหยั่งถึงราวกับมหาสมุทรเสียจริงๆ ไม่อาจคาดเดาความคิดของพวกเธอได้เลย” หยวนโจวรำพึงอยู่ในใจก่อนที่เขาจะจดจ่ออยู่กับการทำอาหารอีกครั้ง
ชาลำไยกับพุทราแดงที่ญินยาสั่งไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถเตรียมขึ้นได้ด้วยการต้มลำไยกับพุทราแดงเพียงเท่านั้น ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือวัตถุดิบต้องผ่านการต้มให้ค่อยๆเดือด แน่นอนว่าวัตถุดิบพวกนี้สามารถตระเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าได้ ดังนั้นเครื่องดื่มแก้วนี้จึงสามารถทำได้อย่างรวดเร็วทีเดียว
อันที่จริงแล้ว มันสามารถทำได้อย่างง่ายดายราวกับกำลังรินน้ำลงบนวัตถุดิบที่เตรียมเอาไว้เลยเชียวล่ะ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ชาลำไยกับพุทราแดงของหยวนโจวก็ยังให้รสชาติที่ต่างออกไปจากที่อื่นอยู่ดี
ดังนั้นแม้ว่าเครื่องดื่มแก้วนี้จะมีราคาแก้วละ 88 หยวนเท่ากับน้ำแตงโม แต่ญินยาก็ยังคงเพลิดเพลินกับการดื่มที่นี่อยู่ดี จากสิ่งนี้เห็นได้ชัดเลยว่าไม่มีอาหารจานใดธรรมดาเลยสักจาน ตราบใดที่เป็นสิ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความใส่ใจย่อมทำให้เกิดสิ่งดีๆตามมาอยู่เสมอ
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือทุกวันนี้เมื่อญินยาอยากดื่มชาลำไยกับพุทราแดง เธอก็จะมาที่ร้านหยวนโจว
“พี่ยาทั้งหมด 376 หยวนนะคะ พี่จะชำระเงินสดหรือโอนเงินดีคะ?” โจวเจียถามขึ้นมา
“โอนเงินก็แล้วกัน ฉันโอนให้แล้วนะ” ญินยาโชว์โทรศัพท์ให้โจวเจียดู
“เรียบร้อย ขอบคุณนะคะพี่ยา” โจวเจียพยักหน้า
“อืม” ญินยาส่งเสียงโดยไม่ได้กล่าวอะไรให้มากนัก
ส่วนหยวนโจวนั้น เขาเงยหน้าเพื่อแอบมองญินยาก่อนที่จะเริ่มทำชาลำไยกับพุทราแดง
ก๋วยเตี๋ยวน้ำใสกับชาลำไยกับพุทราแดงเสร็จเกือบพร้อมกัน ดังนั้นหยวนโจวจึงเสิร์ฟมันพร้อมกันเสียเลย
“ออเดอร์ของเธอน่ะ” หยวนโจวกล่าวขณะที่วางถาดลงแล้วเสิร์ฟอาหารทีละอย่าง
ชาบรรจุอยู่ในแก้วใสแจ๋วเสียจนสามารถมองเห็นวัตถุดิบทั้งหลายตรงก้นแก้วได้อย่างชัดเจน
มันมีสีน้ำตาลแดงและทันทีที่มาถึง กลิ่นหอมของพุทราหวานก็กำจายออกมาทั้งยังให้ความรู้สึกสดชื่นอีกต่างหาก เมื่อญินยาได้กลิ่นเข้า คิ้วที่ขมวดแน่นของเธอก็ผ่อนคลายลงบ้าง
อาหารรสหวานช่วยให้คนร่าเริงขึ้นมาได้ ดังนั้นเมื่อได้สูดกลิ่นหอมหวานเข้าไปย่อมทำให้อารมณ์ดีขึ้นไปด้วย
“ฮึ” ญินยาดูเหมือนจะยังถือโทษโกรธเคืองกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เธอจึงส่งเสียงออกทางจมูกอย่างเย็นชาแทนที่จะมอบรอยยิ้มให้
หยวนโจวไม่ได้พูดอะไรแล้วหลบฉากไปหลังจากเสิร์ฟอาหารแล้ว
ทันทีที่หยวนโจวหันหลังเดินจากไปแล้ว ญินยาก็หยิบแก้วขึ้นมาแล้วจิบคำเล็กๆ
รสชาติของชาแก้วนี้ดีมากเนื่องจากลำไยและพุทราแดงที่ผ่านการต้มให้ค่อยๆเดือดเป็นเวลานาน เมื่อดื่มเข้าไปรสชาติที่เด่นชัดที่อาจจะเกี่ยวข้องกับวัตถุดิบทั้งสองอย่างนี้อย่างเห็นได้ชัดจะให้ความรู้สึกอบอุ่นยิ่ง
ทันทีที่ชาแก้วนี้เข้าสู่ปากจะมีแค่รสหวานเล็กน้อยเท่านั้น และเมื่อเข้าสู่โคนลิ้นแล้ว รสหวานจัดก็ดูเหมือนว่าจะเต็มไปทั่วทั้งปากพร้อมกลิ่นหอมของพุทรา สุดท้ายเมื่อล่วงเข้าสู่ลำคอแล้วก็จะให้ความรู้สึกกลมกล่อมอย่างหาที่เปรียบมิได้
เมื่อลำคอรู้สึกได้ถึงความชุ่มชื้นจากชาที่ไหลผ่านลงไปจนถึงกระเพาะอาหารก็จะรู้สึกได้ถึงความสดชื่นโดยสิ้นเชิง ถึงอย่างไรทั้งลำไยและพุทราแดงก็มีฤทธิ์ให้พลังงาน ดังนั้นความรู้สึกสดชื่นจึงหาใช่ความเข้าใจผิดแต่อย่างใด
“ฟู่ รสชาติเยี่ยมยอดมากเลย” ญินยากล่าวพลางประคองแก้วด้วยฝ่ามือทั้งสองข้าง อันที่จริงแล้ว เธอดูเหมือนกระรอกน้อยที่กำลังเคี้ยวอะไรสักอย่างด้วยการกัดกินคำเล็กๆ
บรรยากาศของเจตนาร้ายรอบตัวเธอได้อันตรธานหายไปจนสิ้นเนื่องจากเธอดูสงบลงแล้วโดยสิ้นเชิง
ญินยาไม่รีบที่จะเริ่มกินบะหมี่ เธอยังคงดื่มต่อไปจนเครื่องจวนจะหมดแก้วก่อนแล้วค่อยหยุด
หลังจากดื่มชาลำไยและพุทราแดงแล้ว เธอก็ยืดเส้นยืดสายอย่างเกียจคร้านราวกับแมวที่เพิ่งจะกินอิ่ม สิ่งนี้ไปกระตุ้นความสนใจของลูกค้าที่อยู่ข้างๆเธอเข้าทันที
“เครื่องดื่มแก้วนี้ยอดเยี่ยมขนาดนั้นเลยหรือ?” เฉินเหว่ยถามขึ้นมา เขาไม่ชอบเครื่องดื่มรสหวานเนื่องจากเขาจะดื่มแต่เหล้าเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจความรู้สึกของญินยา
“แน่นอน นายลองสั่งมาชิมดูสักแก้วสิ” ญินยาให้คำแนะนำอย่างจริงใจพลางพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรมากกว่าที่เคย
“ไม่ล่ะขอบใจนะ ฉันมาที่นี่เพื่อมาหาอะไรกินเท่านั้นแหละ” เฉินเหว่ยโบกมือ “ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มอะไรก็สู้เหล้าไม่ได้หรอก”
เป็นที่น่าสังเกตว่าพักนี้เฉินเหว่ยไม่ค่อยได้มาดื่มที่ร้านมากสักเท่าไหร่นัก มีข่าวลือว่าเขากำลังเก็บเงินเพื่อทำเรื่องสำคัญอยู่ ส่วนเรื่องใหญ่นั้นหามีผู้ใดทราบไม่ ถึงอย่างไรหยวนโจวก็ไม่มีทีท่าว่าจะกระพือข่าวออกไปแต่อย่างใด
และเมื่อญินยาหันมามองหลิงหงที่อยู่อีกด้าน แต่ก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไรออกมา หลิงหงก็พูดว่า “ฉันชอบน้ำแตงโม”
“อีกอย่างนะ ชาลำไยและพุทราแดงกับน้ำแตงโมก็มีราคาเท่ากันด้วย” ญินยาหาได้ใส่ใจคำปฏิเสธแต่อย่างใดแล้วความคิดของเธอก็ถูกเรื่องอื่นเข้ามาแทนที่
“ใช่แล้วล่ะ ทั้งสองอย่างต่างก็มีราคาอยู่ที่ 88 หยวน” หลิงหงกล่าวพลางพยักหน้าหลังจากตรวจสอบเมนูแล้ว
“ใช่ แพงชะมัดเลย” ถังซีแสดงความคิดเห็น เธอเรียนจบแล้วเพิ่งจะเริ่มทำงานเมื่อไม่นานมานี้เอง แม้ว่าเธอจะเป็นแฟนตัวยงของหยวนโจว แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าชาลำไยและพุทราแดงแพงเกินไปอยู่ดีนั่นแหละ
“ถ้าหากถูกลงกว่านี้ล่ะก็ฉันจะดื่มมันทุกวันเลย” ม่านม่านเห็นด้วย
“งั้นรึ? ราคาของน้ำแตงโมเป็นที่พอเข้าใจได้เนื่องจากสายพันธุ์แตงโมที่นำมาใช้และวิธีการที่เถ้าแก่หยวนใช้ทำเครื่องดื่ม แต่ชาแก้วนี้แค่มีรสหวานเท่านั้นเอง มีอะไรพิเศษจนสมควรจะมีราคาเท่ากับน้ำแตงโมกันเล่า?” ลูกค้าชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา
ส่วนเรื่องที่เขาทราบสายพันธุ์ของแตงโมที่นำมาใช้ได้อย่างไรนั้นย่อมเป็นเพราะตำราว่าด้วยเรื่องวัตถุดิบเป็นแน่แท้ ทุกสิ่งทุกอย่างระบุเอาไว้ในตำราอย่างชัดเจนแล้ว ดังนั้นบรรดาลูกค้าของร้านจึงพบเจอแหล่งที่มาของแตงโมมานานแล้ว
“ฉันเห็นด้วย” ถังซีพยักหน้าเห็นด้วย
สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่เธอชอบ แน่นอนว่าเธอก็ย่อมหวังให้มันราคาถูกลงบ้างก็ยังดี
“เถ้าแก่หยวน ทำไมชาลำไยและพุทราแดงถึงได้มีราคาเท่ากับแตงโมเลยล่ะ?” ในที่สุดก็มีลูกค้าถามหยวนโจวขึ้นมาแล้ว
“ใช่ ฉันก็รู้สึกว่าน้ำแตงโมควรจะเป็นเครื่องดื่มที่แพงกว่านะ” ลูกค้ากล่าวพลางพยักหน้า “จากอัตราส่วนระหว่างราคาและคุณภาพ ชาลำไยและพุทราแดงควรจะจำหน่ายที่ราคา 38 หยวนมากกว่านะ”
ทุกคนต่างมองไปที่หยวนโจวเพื่อรอฟังคำตอบของเขา
หาใช่ว่าบรรดาลูกค้าพยายามที่จะบอกว่าอาหารที่ร้านหยวนโจวไม่สมราคา แต่พวกเขารู้สึกว่าชาลำไยและพุทราแดงไม่ควรจะมีราคาเท่ากับน้ำแตงโมเลย
ชาลำไยและพุทราแดงแก้วหนึ่งพิเศษอย่างไรงั้นหรือ?
แน่นอนว่าหยวนโจวย่อมต้องตอบคำถามของบรรดาลูกค้าอยู่แล้วล่ะ ถึงอย่างไรการขจัดความสงสัยของลูกค้าหรือจะพูดให้ถูกก็คือ “การทำเท่ห์” เป็นสิ่งที่หยวนโจวชอบทำเอามากๆเลย
ด้วยความเป็นมืออาชีพของเขา หยวนโจวจึงทำก๋วยเตี๋ยวน้ำใสให้เสร็จก่อนแล้วส่งให้โจวเจียนำไปเสิร์ฟก่อนที่จะตอบคำถาม
“ฉันใช้น้ำตามธรรมชาติที่ให้กลิ่นพุทรา พุทราแดงฉางโจว ลำไยป่อไป่รวมทั้งน้ำจากน้ำพุฮุ่ยเพื่อแช่ลำไยเอาไว้ ก็ประมาณนี้แหละ”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทื่อๆ แถมคำพูดของเขายังชัดเจนอีกต่างหาก แต่จากเบาะแสที่บรรดาลูกค้ามีนั้นอยู่นั้นก็พอเข้าใจแต่ละคำที่พูดออกมาได้ ทว่าเมื่อรวมกันแล้วพวกเขากลับไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิดเดียว
น้ำตามธรรมชาติที่ให้กลิ่นพุทรา…
พุทราแดงไหมทองฉางโจว…
ลำไยป่อไป่…
น้ำจากน้ำพุฮุ่ย…
เจ้าพวกนี้คืออะไรกันล่ะนี่?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น