องครักษ์เสื้อแพร 859-860

 ตอนที่ 859 ขอพลีกายเพื่อตอบแทน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เห็นข่งรั่วเหมยเป็นลมล้มพับไปต่อหน้า หวังทงถอนหายใจ จัดการตามสาวใช้ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์มาพาไปดูแลที่ห้องไจ๋ซิ่วเอ๋อร์


รู้มาว่าระหว่างทางอาจมีคนคิดลงมือ หวังทงต้องรอบคอบเตรียมรับมือ ทางหนึ่งก็จัดการคนไปเมืองซูโจวรวบรวมกำลังคุ้มกันจากที่ทำการมา ทางหนึ่งก็สละเรือขึ้นฝั่งที่เมืองซูโจว เตรียมเดินทางทางบก


แม้เป็นแดนใต้ แต่เมืองซูโจวรุ่งเรือง  ระดมรถและม้าก็ง่ายมาก นับประสาอันใดกับได้รับการช่วยเหลือจากร้านสามธารา ข่าวจากเมืองฉางโจวแพร่มา หวังทงพอถึงเมืองฉางโจว ก็สังหารพระผู่หยวนนำกำลังทหารกวาดล้างวัด


ไหนเลยจะเป็นผู้แทนพระองค์สืบคดี เห็นชัดๆ ว่าเป็นดาวเพชฌฆาตมาสังหารคน ทุกคนต้องต้อนรับอย่างหวาดกลัว ไม่กล้าทำความผิดพลาดแม้แต่น้อย


พวกหวังทงรออยู่บนเรือ พอรถและม้ามาครบ ก็ค่อยลงจากเรือ แม้ว่าจะเร็ว แต่อย่างไรก็ต้องอยู่อำเภออู๋ต่ออีกคืน ท่าเรือคลองส่งน้ำอำเภออู๋เทียบกับเมืองฉางโจวแล้วยิ่งใหญ่กว่ามาก  คึกคักที่สุด ตามคำพูดของบรรดาทหารติดตามอารักขาความรุ่งเรืองนี้ เกรงว่าเทียนจินยังสู้ไม่ได้


ทางใต้รุ่งเรืองมากันเกือบพันปี เมืองซูโจวเป็นที่รุ่งเรืองในที่รุ่งเรือง เป็นศูนย์กลางของความสุดยอด ย่อมไม่ธรรมดา


ทหารส่วนใหญ่มองดูอย่างตื่นตาตื่นใจ ทว่าสื่อชี หลิ่วซานหลังกับอู๋เอ้อร์กลับรู้สึกร้อนใจ เพราะท่าเรือคนมาก พวกไม่รู้ที่มาที่ไปก็มากเช่นกัน แม้ว่าจับตาดูแน่นหนาก็อาจไม่พบก็ได้ ภัยรอบตัวโดยแท้


ผู้แทนพระองค์บอกว่าเส้นทางอาจไม่สงบสุข ต้องส่งคนไปขอกำลังเมืองซูโจวมาอารักขา ขุนนางเมืองซูโจวไม่กล้ารอช้า ส่งเจ้าหน้าที่มาล้อมอารักขารอบเรือหวังทง ที่เมืองซูโจวกลางวันแสกๆ ผู้ใดคงไม่กล้าทำอันใด ก็เงียบสงบดีไม่น้อย


ฟ้าใกล้มืด รถม้าก็มาถึง ทหารติดตามหวังทงกับเมืองซูโจวส่งคนไปจัดการนำของจากเรือย้ายขึ้นรถไป


ของใช้ชีวิตประจำวันก็ไม่ยาก มีแต่ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ที่แม้ว่าเพิ่งขึ้นเรือมาไม่นาน แต่ของกลับไม่น้อย  เพียงแค่ของใช้คนเดียวก็ใช้รถใหญ่ไปแล้วหนึ่งคัน


ฟ้ามืดแล้ว หวังทงไม่อยากพักโรงเตี๊ยมในเมือง พักบนเรือต่อ เมืองซูโจวส่งพ่อครัวจากร้านอาหารในเมืองมาจัดโต๊ะเลี้ยง จัดการส่งขุนนางมาหลายคน ก็นับว่าเสร็จงาน


หวังทงไม่ได้ดื่ม ยามนี้เขารู้สึกอึดอัด  เห็นๆ ว่าอยู่กลางแผ่นดินหมิง กลับเหมือนอยู่แดนศัตรูเสียได้ ต้องระวังตัวตลอดเวลา


“ท่านโหว คุณหนูหลูขอพบ!”


หวังทงกำลังใช้ผ้าขัดปืนสั้น กลับได้ยินด้านนอกมีสาวใช้มารายงาน หวังทงอึ้งไปก่อนได้สติ นี่เป็นสาวใช้ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ ในเมื่อไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เป็นคนหวังทง สาวใช้ก็ย่อมเป็นสาวใช้หวังทง ล้วนวางตัวระดับคนรับใช้


คุณหนูหลูก็คือข่งรั่วเหมย  แต่มาขอพบครั้งนี้ไม่ค่อยถูกต้องนัก  หวังทงเองก็แปลกใจ แม้ข่งรั่วเหมยเป็นหญิง แต่ทำงานได้คล่องแคล่ว แต่ไรมาไม่เคยวางตัวเป็นหญิง เหตุใดจึงมาขอพบตอนนี้


ทว่าในเมื่อมาขอพบ ก็ย่อมต้องระวังเรื่องชายหญิงไม่อาจใกล้ชิด หวังทงโบกมือให้ทุกคนในห้องหลบไป จากนั้นให้ข่งรั่วเหมยเข้ามา


ในห้องมีแสงโคมไฟสว่างมาก พอข่งรั่วเหมยเข้ามา หวังทงกลับรู้สึกในห้องยิ่งสว่าง ข่งรั่วเหมยที่ปกติแต่งกายเป็นชาย คืนนี้กลับแต่งกายเป็นหญิง


เครื่องแต่งกายไม่ได้หรูหราแบบชาววัง แต่ก็น่าจะเป็นแบบหญิงชาวบ้านระดับกลาง เด่นที่เรียบง่ายสะอาดตา หน้าตาข่งรั่วเหมยก็กลางๆ ไม่เช่นนั้นแต่งกายเป็นชายเป็นนานจะไม่ถูกพบได้อย่างไร หว่างคิ้วกดลึก รูปร่างสูง สวมชุดกระโปรง ทำให้รู้สึกงามกระจ่างตา


นับเป็นหญิงงามเช่นกัน ใต้แสงโคมก็ยิ่งดูเย้ายวน หวังทงวิเคราะห์อยู่นั้นก็พยักหน้าพอใจข่งรั่วเหมยที่แต่งหน้าเรียบๆ และยังดูเป็นหญิงมากขึ้นอีกหน่อย


หญิงที่ไม่เคยสนใจการแต่งตัวเท่าไรอยู่ๆ มาสนใจ ทำให้คนมองกัน อย่างไรก็มองชื่นชม หวังทงไม่ได้คิดอะไร ข่งรั่วเหมยหันไปปิดประตูลงท่าทางเยื้องย่างอรชร เดินมาในห้องคำนับแบบหญิงสาวลงตรงหน้าหวังทง ทว่าท่าทางดูแข็งทื่อแปลก ๆ


แต่งเป็นชายมานาน ท่าทางเป็นหญิงจึงดูเก้กังไม่น้อย หวังทงรู้ว่าข่งรั่วเหมยตอนกลางวันรู้ข่าวมารดาจากไปแล้ว ยามนี้ยิ้มก็ช่างแล้งน้ำใจ แต่เห็นข่งรั่วเหมยเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ยิ้มส่ายหน้า ข่งรั่วเหมยตอนกลางวันเหมือนจิตใจสิ้นสลาย แต่คืนนี้กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ช่างน่าแปลก


มองหว่างคิ้วข่งรั่วเหมยอย่างละเอียด ยังเห็นแววเห็นความเจ็บปวด มาทำอันใดกัน หวังทงงงเล็กน้อย ข่งรั่วเหมยมองรอยยิ้มหวังทง ก็เริ่มเครียด ลังเลครู่หนึ่งก่อนกัดฟัน หันไปคุกเข่าเหมือนตอนกลางวันว่า


“ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ ขอท่านแก้แค้นให้มารดาข้าน้อยกับครอบครัวด้วย!!”


หวังทงถอนหายใจกล่าวว่า


“เมืองซูโจวทางนี้ข้าทำอะไรมากไม่ได้ คิดหาคนร้าย เรื่องนี้อาจฝากความได้ แต่ทางการเมืองซูโจวจะจัดการให้หรือไม่ ก็ไม่อาจรู้ได้”


“คนสังหารหาไม่พบ แต่คนบงการรู้แล้วว่าเป็นตระกูลสวี บิดาและท่านอาข้าน้อย ยังมีมารดาต้องตายใต้น้ำมือตระกูลสวี ข้าน้อยกับมารดาที่จากไปสิบกว่าปีมานี้ต้องร่อนเร่พเนจรก็เพราะตระกูลสวี ขอนายท่านแก้แค้นให้ด้วย ทวงความเป็นธรรมจากตระกูลสวีให้ข้าน้อยด้วย”


บรรยากาศกลับไปเป็นเหมือนตอนกลางวัน หวังทงส่ายหน้า กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า


“บอกเจ้าตามตรง หากต้องการสืบตระกูลสวีนั้นยากมาก ตอนนี้เป็นไปได้ที่สุดก็คือใช้ศิษย์พระผู่หยวนผู้นั้น ทำให้ตระกูลสวีสะเทือน แต่แม้ว่ามีหลักฐาน แต่ตระกูลสวีก็อาจจะหาคนมารับผิดแทนได้ หรือไม่ก็ใช้วิธีอื่นบ่ายเบี่ยงความผิด”


ที่หวังทงกล่าวมาเป็นเรื่องจริง แต่ในสถานการณ์ยามนี้ ข่งรั่วเหมยฟังเข้าหู แต่ไม่คิดฟัง ข่งรั่วเหมยเงยหน้ามองหวังทง กัดริมฝีปากล่าง ยืนขึ้นกล่าวว่า


“หากนายท่านแก้แค้นให้ข้าน้อยได้ ข้าน้อยขอยอมมอบกายแก่ใต้เท้าเพื่อตอบแทน จะยอมเป็นข้ารับใช้ปรนนิบัติใต้เท้า”


ข่งรั่วเหมยกัดฟันกล่าว หวังทงถึงกับอึ้งไป มาในยุคสมัยนี้ รวมถึงชาติก่อนหน้า ก็ไม่เคยมีใครมาพลีกายต่อหน้าตนเช่นนี้มาก่อน เดิมคิดว่ามีแต่ในบทงิ้ว คิดไม่ถึงว่าถึงกับเกิดกับตนเองได้


นอกเรือกลับได้เยินเสียงไอดังหลายที บรรดาทหารติดตามอารักขาอยู่ด้านนอกตามปกติ วาจาข่งรั่วเหมยดังไม่น้อย ด้านนอกได้ยินกระจ่าง ได้ยินเสียงตำหนิดังของเฉินต้าเหอว่า


“ไปลาดตระเวนเรืออื่น ไม่ต้องมายืนทื่ออยู่ตรงนี้ ไป!”


ได้ยินเสียงฝีเท้าด้านนอกอลหม่าน ทุกคนรีบออกไปไกล ข่งรั่วเหมยสีหน้าแดงก่ำ ราวกับมีเลือดฝาด หวังทงอยู่ ๆ ไม่รู้จะกล่าวอะไรดี


ข่งรั่วเหมยอย่างไรก็เป็นสตรี ต่อหน้าคนอื่นถึงกับทำท่าทางเช่นราวกับยอมพลีกายให้เช่นนี้ ก็อายมาก พอเห็นหวังทงไม่มีปฏิกิริยาตอบ น้ำตานางก็ไหลพลั่งพรูออกมาทันที  แม้น้ำตาไหลแต่ก็ยังไม่หยุด ถอดเสื้อคลุมออก จากนั้นก็ถอดกระโปรง ……


“หยุด!!”


หวังทงตะโกนสั่ง ใช้มือตบหน้าผาก อยากร้องไห้เสียจริง เจอการสังหารใหญ่กับพวกนอกด่านมา หวังทงยังไม่เคยเครียดเท่านี้เลย ยามนี้กลับรู้สึกสิ้นหนทาง กดดันไม่น้อย


พอหวังทงตะโกนให้หยุด ข่งรั่วเหมยก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ หยุดเคลื่อนไหวทันที หวังทงเคาะโต๊ะไปมาสองสามที ก่อนจะยกมือชี้ไปด้านนอกกล่าวว่า


“เป็นแม่นางแสนตำลึง ไม่สิ…แม่นางไจ๋สอนเจ้ามาหรือ?”


ตั้งแต่หลูต้าบอกว่าไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เคยมีคนขอไถ่ตัวราคาแสนตำลึง หวังทงก็มักจะเรียกนางเช่นนี้ หวังทงถามเช่นนี้ ข่งรั่วเหมยได้แต่ก้มหน้า ใช้ท่าทางเหมือนไม่ได้ขยับพยักหน้า เริ่มพยายามยืนหยัดทำ แต่ตอนนี้สมองกระจ่รางแล้ว กลับรู้สึกอายและตื่นตระหนก ไม่รู้ทำเช่นไรดี


หวังทงถอนหายใจ ในใจคิดว่าไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ดูเรียบร้อย แต่ความคิดไม่น้อย ข่งรั่วเหมยเป็นคนนิสัยเด็ดเดี่ยว หากให้ทนอดกลั้นความแค้นต่อไป ก็ไม่รู้จะสร้างเรื่องใดขึ้นอีก หวังทงกระแอมไอในลำคอ กล่าวว่า


“เจ้าไม่ต้องทำเรื่องไร้ประโยชน์เช่นนี้ ข้าบอกเจ้าเลย หากสืบได้ ก็สามารถจัดการคดีได้ ข้าจะต้องจัดการเต็มที่ ไม่เห็นแก่ตนเองแน่นอน ผลเช่นไร ไม่อาจรับปากได้!”


หวังทงพูดเหมือนไม่กระจ่าง แต่ที่จริงแล้วได้รับปากแล้ว เมื่อก่อนไปสืบคดีตระกูลสวีล้วนไม่คิดทำอันใดมาก แต่ยามนี้หวังทงไม่คิดแบบเดิมแล้ว


ข่งรั่วเหมยพอได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็กลับเป็นปกติ คุกเข่าลงโขกศีรษะ กล่าวเบาๆ ว่า


“ความเมตตาของนายท่าน ข้าน้อยขอยอมมอบชีวิต รับใช้นายท่าน…….”


“บอกว่าเป็นข้ารับใช้เข้าใจง่ายหน่อย เจ้าไปพักผ่อนก่อน วันนี้เจ้ากระทบกระเทือนใจมามาก พักผ่อนให้ดี คิดอยากกินอะไร ก็ให้คนไปซื้อให้เจ้า รอดูข้าจัดการคดีนี้ก็พอ!”


หวังทงยิ้มเฝื่อนโบกมือ ตะโกนเรียกด้านนอก กลับเป็นสาวใช้เข้ามา สาวใช้จะคำนับ หวังทงก็กล่าวว่า


“กลับไปบอกไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ว่าสงบเสงี่ยมหน่อย  อย่าได้คิดเล่นอะไรอีก คิดว่าสนุกหรือไง?”


สาวใช้คุกเข่าหวาดกลัว ไม่กล้ากล่าวอันใด


************


หยุดพักที่อำเภออู๋หนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นพวกหวังทงขี่ม้าออกเดินทางพร้อมรถ ก่อนเดินทางผู้ว่าเมืองซูโจวมาส่ง หวังทงไม่ได้เกรงใจอันใด กล่าวเพียงว่า


“เมืองซูโจว นางที่ตรอกปลาแห้งนั่นไม่ได้แขวนคอตายเอง มีคนลงมือสังหาร ข้ากลับจากเมืองซงเจียงมา เจ้าต้องมีคำตอบให้ข้า ไม่เช่นนั้น ก็เอาหมวกขุนนางเจ้ามารับผิดชอบไป!”


กล่าวจบก็จากไป หวังทงไปได้ไม่ไกล ผู้ว่าเมืองซูโจวก็ตบหน้ามือปราบเมืองซูโจวสองที ด่าเจ้าหน้าที่สืบคดีเมืองซูโจวและนายอำเภออู๋  ทวนวาจาหวังทงเมื่อครู่อีกรอบ เมืองซูโจวรีบร้อนปฏิบัติงานกันทันที


เดินทางไปได้ครึ่งทาง ก่อนเข้าสู่เมืองซงเจียงต้องพักที่หมู่บ้านเชียนเติงเจิ้นคืนหนึ่งก่อน พวกหวังทงไปหาโรงเตี๊ยมละแวกนั้นพัก ก่อนเข้าพัก หวังทงพูดกับลูกน้องว่า


“หากต้องการโจมตีพวกเรา เกรงว่าก็คงคืนนี้แล้ว!”


ตอนที่ 860 โจมตีราวกับละครเด็กเล่น

โดย

Ink Stone_Fantasy

หมู่บ้านเชียนเติงเจิ้นเป็นหมู่บ้านราวพันกว่าครัวเรือน แต่โรงเตี๊ยมกลับมีมาก หมู่บ้านเชียนเติงเจิ้นทุกเดือนเก้าเดือนสิบก็จะมีพ่อค้ามากันมากยิ่งกว่าชาวบ้านในหมู่บ้าน เพราะว่าหมู่บ้านนี้เป็นตลาดค้าผ้าใหญ่แห่งหนึ่งของเมืองซงเจียงกับเมืองซูโจว ใต้หล้านี้เมืองซูโจวอุดมสมบูรณ์ เมืองซงเจียงมีชื่อเรื่องค้าผ้า การค้าสองแห่งนี้ย่อมไม่ธรรมดา


การค้าผ้าเป็นกิจการใหญ่ สองฝ่ายค้าขายกันย่อมเป็นคหบดีใหญ่ โรงเตี๊ยมทำการค้าแค่สองเดือนนี้ก็พอกินไปเป็นปี พวกหวังทงผ่านเข้าพัก กลับเป็นฤดูกาลที่ไม่ใช่ช่วงคึกคักแห่งปี เงียบเหงามาก


ตามระเบียบเมืองซูโจวกับเมืองซงเจียง เมืองซูโจวคุ้มครองอารักขาหวังทงมา ก็จะมาสิ้นสุดที่หมู่บ้านเชียนเติงเจิ้น ตามหลักแล้ว พวกหวังทงมาถึง เจ้าหน้าที่เมืองซงเจียงก็ควรจะมาต้อนรับ แต่ทางหวังทงกลับไม่เห็นเจ้าหน้าที่เมืองซงเจียงสักคนเดียว


เจ้าหน้าที่เมืองซูโจวสบถด่าไปหลายคำ ทว่ากลับไม่รู้ทำเช่นไร ได้แต่ลองสอบถามหวังทงว่า


“ใต้เท้าผู้แทนพระองค์พักสักคืนก่อน? พรุ่งนี้เมืองซงเจียงคงส่งคนมาต้อนรับ?”


เดิมคิดแอบขี้เกียจสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะตามน้ำ กล่าวว่า


“ข้าพักที่นี่สักคืนละกัน พวกเจ้ากลับไปก่อนได้!”


งานนี้ไม่มีผลพลอยได้ หวังทงราวกับยมบาลเช่นนี้ใครจะกล้าล่วงเกิน ผู้ใดก็ไม่อยากทำงานนี้ พอได้ยิน เจ้าหน้าที่ เมืองซูโจวก็ไม่เกรงใจ อำลาทันที กลับไปเสียอย่างนั้น


“พวกผู้หญิงพาไปไว้ด้านใน  ให้ทุกคนมีมีดสั้นคนละหนึ่งเล่ม พวกโจรหากบุกเข้าไป ไม่อยากถูกย่ำยีก็ให้ปลิดชีพตนเอง!”


หวังทงสั่งการเสียงดัง ให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมไปหลายสิบตำลึง ช่วงเวลาไร้ผู้คนเช่นนี้เรียกว่าไม่น้อย  พวกเถ้าแก่และคนงานโรงเตี๊ยมถูกสั่งให้ออกจากโรงเตี๊ยมไปก่อน คืนนี้เหมาโรงเตี๊ยมไว้แล้ว


ทำอาหารง่ายๆ ไม่กี่อย่าง ทุกคนเริ่มยุ่งกับการเตรียมการ ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยไม่รู้เลยว่าเกิดอันใดขึ้น กำลังสงสัย หวังทงก็นำมีดสั้นมามอบให้พวกนาง พอได้ยินหวังทงสั่งการ ปกติก็อยู่กับความเป็นความตายมามาก สตรีกลุ่มนี้จึงไม่รู้สึกกลัว แค่อึ้งไปเท่านั้น


รอหวังทงกลับออกไป สาวใช้ที่ตกใจจึงได้ร้องไห้ออกมา ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ปกติเจ้าความคิด จึงได้นำทุกคนเข้าไปรวมตัวกันในห้องชั้นในสุด


ด้านนอกพลธนูเริ่มหามุมเหมาะ พลปืนไฟในโรงเตี๊ยมก็เริ่มบรรจุดินปืน ยังมีคนไปยกเตาจากในครัวออกมาทำเป็นกระถางไฟ เตรียมเป็นเชื้อไฟสำหรับจุดชนวน


หวังทงกับบรรดาทหารติดตามอารักขาล้วนสวมเกราะ ทุกคนถืออาวุธในมือ โรงเตี๊ยมมีลานด้านหน้าที่สว่างมาก หวังทงปีนขึ้นไปบนหลังคามองไปรอบๆ


แดนใต้สายน้ำมาก ต้นไม้ก็มาก ยืนบนหลังคาแม้ว่าสูง แต่ก็เห็นได้ไม่ไกลนัก หากหลบซ่อนตามต้นไม้ก็ยากค้นพบ


ในสายตาหวังทงมองเห็นแม่น้ำสิบกว่าสาย แต่กว้างพอแล่นเรือได้ไม่ถึงสิบสาย จุดตัดกันของแม่น้ำเหล่านี้รอฟ้ามืดพวกโจรคนนั่งเรือมากัน


ทว่าข้อดีก็คือเพราะหมู่บ้านเชียนเติงเจิ้นเป็นที่ราบ เนินดินไม่มาก ทำการค้าตามฤดูกาลเท่านั้น ดังนั้นโรงเตี๊ยมจึงกว้างขวาง โรงเตี๊ยมกับโรงเตี๊ยมห่างกันมาก พวกหวังทงอยู่ในโรงเตี๊ยม ที่จริงแล้วก็เท่ากับอยู่ในป้อมปราการไม้ เรียกว่าได้เปรียบ


เห็นพระอาทิตย์เคลื่อนไปทางตะวันตก  ฟ้ากำลังจะมืดแล้ว…


************


ก่อนฟ้ามืด หวังทงส่งทหารไปซื้ออาหารจำพวกปลาแห้งผักดองมาจากในหมู่บ้าน ตกดึกไม่รู้ว่าจะทำอะไรกินก็จะได้มีให้ทุกคนได้กินกัน


พอตกดึก ลูกน้องอาศัยช่วงยังไม่เรื่องนี้พักผ่อนเอาแรงกันก่อน หวังทงปีนขึ้นไปบนหลังคาสนทนากับเฉินต้าเหอ ตำแหน่งพวกเขาสามารถมองเห็นพลธนูที่ซ่อนตัวในมุมสูงต่างๆ ได้ ครั้งนี้พลธนูที่ติดตามหวังทงมานั้นล้วนไม่ใช่ธรรมดา ฝีมือยิงไม่ต้องพูดถึง ความกล้าก็มากพอ


“ประตูไม่ต้องปิด รอพวกเขากลับมาค่อยปิดประตู!”


หวังทงหยิบปลาแห้งมาเคี้ยวเล่นเป็นของว่าง กินไปก็กล่าวกับเฉินต้าเหอไป เฉินต้าเหอพยักหน้ากล่าวว่า


“ขอท่านโหววางใจ จะว่าไปชาวบ้านที่นี่ก็ไม่ธรรมดา เมื่อครู่เข้าไปซื้ออาหาร ครอบครัวเล็กๆ ถึงกับกินข้าวขาวกับปลาเค็ม หากเป็นชาวบ้านเขตปกครองเหนือ ปีหนึ่งแป้งขาวจะได้กินสักกี่ครั้งกัน?”


ได้ยินเฉินต้าเหอตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น หวังทงกลับก้มหน้ามองไปยังหลิ่วซานหลังที่กำลังตรวจรอบลานด้านหน้า  ปรับเปลี่ยนตำแหน่งของทหารด้านล่าง ตอบว่า


“แดนใต้ร่ำรวยไม่ใช่นิทาน ที่นี่ราษฎรธรรมดาก็สามารถให้บุตรชายได้ร่ำเรียนได้ หากเป็นทางเหนือจะได้ได้อย่างไรกัน?”


หวังทงยิ้มตอบ เฉินต้าเหอได้แต่หัวเราะตาม ก่อนจะหยิบปลาส่งเข้าปาก เคี้ยวสองสามทีก็กล่าวอีกว่า


“ตอนนี้เทียนจินทำได้แล้ว ราษฎรสามารถให้ลูกหลานได้เรียนหนังสือ และยังมีโรงเรียนสอนทำการค้าโดยเฉพาะอีกด้วย หนทางทำมาหากินก็ไม่น้อย นี่เป็นเพราะท่านโหวโดยแท้ หากเป็นเมื่อก่อน พวกเขาจะไปกล้าคิดได้อย่างไร”


เฉินต้าเหอเป็นทหารจากเมืองจี้โจว ครอบครัวเขาตอนนี้ย้ายมาเทียนจินหมด ชีวิตวันๆ ก็ไม่เลว ย่อมรู้สึกพึงใจ หวังทงไม่ตอบอันใด อยู่ๆ เขาคิดได้ เหมือนหลายวันก่อนเป็นวันไหว้พระจันทร์ เทศกาลนี้ผ่านไปอย่างไม่ทันรู้ตัว


ยามนี้ในหมู่บ้านเริ่มเงียบแล้ว คืนดึกสงัด ชาวบ้านเข้านอนกันแล้ว หวังทงนอนอยู่บนหลังคาหลับตาพักสักครู่ รอบด้านเงียบๆ อยู่ๆ ก็มีการเคลื่อนไหว รอบโรงเตี๊ยมมีเสียงนกร้อง ราวกับว่าถูกสิ่งใดทำให้ตกใจ


หวังทงพลิกตัวปีนลงจากหลังคา  เสียงนกเป็นเสียงจากพลธนูที่แอบซ่อนอยู่ เป็นเสียงส่งสัญญาณ


คนที่มาไม่คิดปิดบังร่องรอยตนเอง  เดิมหมู่บ้านที่มืดแล้วก็เริ่มมีไฟส่องสว่างมา มีคนตะโกนดังว่า


“เจ้ามังกรมา ราษฎร์หลบไป!”


ราษฎรในหมู่บ้านรู้ว่าคำนี้หมายความว่าอะไร รอบด้านเงียบกริบ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น ลานหน้าโรงเตี๊ยมเริ่มเคลื่อนไหว บรรดาทหารติดตามอารักขาเริ่มจัดแถว


“ส่งสัญญาณ ลงมือได้!”


หวังทงหันไปบอกเฉินต้าเหอข้างๆ  เฉินต้าเหอพยักหน้า ควักเอาลูกธนูหนึ่งจากซองหนังบรรจุลูกธนู ยิงขึ้นท้องฟ้า


เสียงแหวกอากาศดังบนฟ้า ไฟที่สว่างบนเส้นทางรอบด้านก็เริ่มอลหม่าน พลธนูตามต้นไม้รอบโรงเตี๊ยมเริ่มลงมือยิง


“บนต้นไม้มีคน!!” “ทางหลังคานั้นมีคน!!”


พวกนั้นใช้สำเนียงพูดถิ่นใต้ส่งเสียงร้องตกใจกับการลอบซุ่มโจมตีครั้งนี้ ไม่นานก็มีคนส่งเสียงร้องดังเจ็บปวดล้มลง หากเสียงธนูยังคงดังอย่างต่อเนื่อง


“พลธนูไม่มาก คนมีดาบนำหน้าออกไป!!”


เสียงร้องดังเจ็บปวดกับเสียงร้องตกใจ กับเสียงตะโกนท่ามกลางฝูงคน ไล่ต้อนโจรให้ขึ้นหน้า พลธนูน้าวธนูยิงไม่หยุด แต่ก็ไม่อาจจะคงประสิทธิภาพเช่นนี้ได้นานนัก พอได้ยินเสียงธนูยิงประปรายลง พวกโจรก็ค่อยๆ บุกขึ้นมาอีก


พลธนูโดดลงจากที่ซ่อนตัว เริ่มวิ่งกลับไปโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว การยิงธนูทำให้มีระยะห่างจากโจรพอสมควร พวกเขาห่างจากโรงเตี๊ยมไม่ไกล สามารถวิ่งกลับไปได้อย่างปลอดภัย


“เจ้าโจรกลุ่มนี้มียุทธวิธีอยู่บ้างเหมือนกัน ลอบโจมตีกลางคืน ถึงกับยังรับมือได้!”


หวังทงบนหลังคายิ้มกล่าว ตามด้วยหันไปทางลานด้านหน้าตะโกนขึ้นว่า


“ปืนไฟออกไปจัดแถวยิงสองรอบ จากนั้นกลับเข้ามารักษาการต่อ พลธนูที่ยังมีแรงแขนขึ้นหลังคาไป!”


ลูกน้องรับคำพร้อมเพรียง รอบๆ โรงเตี๊ยมค่อยๆ สว่างขึ้น โจรที่ถือคบไฟค่อยๆ รวมตัวกันเข้ามา เสียงเคลื่อนไหวของหนักด้านล่าง มีคนตะโกนขึ้นว่า


“พลธนูถอยก่อน พวกเราออกไปก่อน!”


มองมาอีกทาง พลปืนไฟ 20 คนวิ่งออกไป ค่อยๆ เรียงแถว จากนั้นก็สิบคนหนึ่งแถวเดินก้าวขึ้นหน้า


โจรที่ล้อมอยู่พากันอึ้งทันที ตนเองมีคนหลายร้อย เมื่อครู่ที่ธนูยิงมาตายไปสิบกว่า บาดเจ็บ20-30คน ไม่ระคายเคืองอันใด เหตุใดแค่ 20 ยังกล้าออกมาอีก เป็นความกล้าหาญหรือว่าสมองพังไปแล้วกันแน่


ยังไม่ทันได้งง ก็เห็นราว 20-30 ก้าวห่างออกไป ทหารในชุดเกราะหยุดแล้ว ค่อยๆ จัดระเบียบ………..เสียงปืนดัง ปัง ปัง ปัง โจรด้านหน้าหงายหลังตึง ถูกยิงหงายนี้เรียกว่าตายแน่นอน คนรอบๆ พากันหันหลังวิ่งหนีทันที เพิ่งจะรวมตัวกันได้ก็ต้องชุลมุนหนีตายอีกครา


เมื่อเป็นเช่นนี้ พลปืนไฟ 20 กว่าที่วิ่งออกไปก็มีเวลาบรรจุกระสุนปืนใหม่อีกรอบ ก้าวขึ้นหน้าไปอีกสิบก้าว ยกปืนเล็ง ยิงอีกระลอก


“ไม่อาจต้านทานได้แล้ว มารดามันสิ มีปืนไฟด้วย!”


มีคนส่งเสียงร้องตกใจ ทิศทางที่พลปืนไฟเล็งไป โจรหนีกันกระจัดกระจาย ยิงระลอกสองไป พลปืนไฟก็ไม่สู้ต่อ หากหันหลังวิ่งถอยกลับโรงเตี๊ยม บรรดาทหารติดตามอารักขาเตรียมพร้อมอุดประตูใหญ่ไว้ด้วยของที่เตรียมไว้ก่อนหน้า หวังทงเงียบอยู่นั้นก็หันไปทางทุกคนตะโกนขึ้นว่า


“อย่าเพิ่งปิดประตู ยังต้องออกไปอีก หานกัง เจ้านำคน 20 ออกไปทางประตูหน้า สังหารเปิดทางไป 100 ก้าว ไม่ว่าศัตรูเป็นอย่างไร ก็ต้องถอย!”


หานกังรับคำสั่งเสียงดัง กองเล็กๆ จัดกองได้ง่ายมาก อย่างรวดเร็ว มีกองทหารหนึ่งวิ่งออกไป


ปืนไฟดังจบ พวกโจรยังตกใจไม่หาย แต่พอเห็นกองทหารออกมาจากโรงเตี๊ยม เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง แค่ทหารชุดเกราะก็แลดูน่าตกใจพอแล้ว ห่อตัวราวกับหนังเหล็ก ดูอาวุธที่ถืออีกที ล้วนเป็นทวนยาวดาบใหญ่ ดูอีกฝ่ายรูปร่างสูงใหญ่ยิ่ง เหมือนตนจะไม่ได้เปรียบอันใด


ทหารชุดเกราะ 20 วิ่งมาพร้อมเพรียง เสียงเหล็กกระทบกัน เสียงฝีเท้าย่ำพื้น แม้ว่าคนน้อย แต่ก็สร้างความข่มขวัญไม่น้อย โจรตรงข้ามอดไม่ได้ถอยหลังไปหลายก้าว พวกเขาคิดหนี แต่หัวหน้าด้านหลังกลับไม่ยอม ยังคงผลักดันอย่างหนักหน่วง มีคนตะโกนดังอยู่ตรงนั้น


ในที่สุด คนมาก็สร้างความกล้าได้อีกครั้ง ยังมีกฎระเบียบทหารบังคับไว้ ในที่สุดทุกคนก็ก้าวขึ้นหน้ามาอีก เห็นด้านหน้าลิบๆ สองฝ่ายก็ส่งเสียงร้องดังก่อนจะสะบัดดาบและทวนยาวเข้าปะทะกัน เสียงร้องดังเจ็บปวดตามมาทันที


พวกโจรได้สติอย่างรวดเร็ว เสียงร้องดังเจ็บปวดมีแต่ฝั่งตน ทหารกลุ่มนี้เข้มแข็งมาก แต่คิดจะถอยก็กลับไม่ง่าย หานกังนำทหารเข้าประชิดศัตรูแล้ว


“ถานต้าหู่ เจ้าเตรียมคนไว้ 20 เปลี่ยนกับหานกัง!!”


หวังทงยิ้มสั่งการ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)