หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 858-865

 บทที่ 858 เขย่าสนามรบ!

 

“หลงหนานจื่อ!” สีหน้าของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เย็นชาเมื่อจ้องมองมาที่หวังเป่าเล่อ เพราะเขาเป็นผู้ผนึกรูปปั้นสุสานหลวงเอาไว้ในนพภูมิด้วยตนเอง จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อ อันที่จริงแล้ว องค์ชายทั้งสามแห่งราชวงศ์เองก็รู้เช่นกัน พวกเขาจึงจับตาดูหวังเป่าเล่ออยู่ตลอด


เพียงแค่ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คาดไม่ถึงว่าหวังเป่าเล่อจะยังปรากฏตัวขึ้นได้แม้ว่าตนจะผนึกและฝังรูปปั้นเอาไว้ในนพภูมิแล้วก็ตาม!


“หลงหนานจื่อ!”


“นั่นหลงหนานจื่อนี่นา!” ทันทีที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัว ทั้งสนามรบก็สั่นไหว ในแง่หนึ่ง การมาปรากฏตัวของชายหนุ่มช่างน่าตื่นตะลึงไม่น้อย ทันทีที่โจมตี เขาก็จับอี้เหนียนจื่อคนทรยศเอาไว้ราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงลูกไก่ อีกแง่หนึ่ง การหายตัวไปของหวังเป่าเล่อ เป็นสิ่งที่ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์สังเกตเห็นกันแทบทุกคน ต่างคนต่างก็คาดเดาสาเหตุกันไปต่างๆ นานา


ดังนั้นในวินาทีที่ชายหนุ่มปรากฏตัว ทุกอย่างจึงสั่นคลอนไปหมด


ชั่ววินาทีนั้น ทั้งเทพธิดาหลิงโยวและผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจยิ่งกว่าคือระดับพลังปราณของหวังเป่าเล่อ เพราะชุดเกราะที่ไม่ได้ปกปิดใบหน้าของเขา มีคลื่นพลังแทรกแซงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายกระจายออกมา!


อีกคนที่สังเกตเห็นสิ่งนั้นก็คือศิษย์แห่งเต๋ากูโม่


และนี่คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อแสดงออกมาหลังจากที่ปกปิดพลังที่แท้จริงมาโดยตลอด อีกทั้งเขายังเขย่าวิญญาณของผู้ฝึกตนสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วน กระทั่งปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็ยังนัยน์ตาลุกวาว


“ดูท่าเจ้าจะไม่อยากให้โอสถข้ากระมัง” หวังเป่าเล่อทอดถอนใจ จากนั้นจึประกายเย็นยะเยือกก็สะท้อนออกมาจากนัยน์ตาชายหนุ่ม อี้เหนียนจื่อจะดิ้นรนสักแค่ไหนก็ไม่เป็นผล อีกฝ่ายถึงกับต้องอ้อนวอนด้วยสายตา แต่หวังเป่าเล่อก็ยังกำมือขวาแน่น คอของอี้เหนียนจื่อหักดังกร็อบ ชายหนุ่มปล่อยพลังปราณเข้าไปในกายของอี้เหนียนจื่อ แล้วทำลายวิญญาณของอีกฝ่ายเสียด้วย


“ข้าน่ะอยากฆ่าเจ้ามานานแล้ว!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างเยือกเย็น หลังจากที่ปล่อยมือ ศพของอี้เหนียนจื่อก็สั่นไหวก่อนจะสลายกลายเป็นฝุ่นผง ลอยละล่องไปในจักรวาล


วินาทีที่หวังเป่าเล่อจู่โจม นัยน์ตาของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็ส่องประกาย และคำรามออกมาอย่างปุบปับ “หลงหนานจื่อ ไปช่วยกองทหารผ่าวิญญาณของเจ้าต่อสู้เสีย ข้าอนุญาตให้เจ้าไปที่ใดก็ได้ตามต้องการ!”


“ขอรับ ท่านปรมาจารย์!” ต่อหน้าศิษย์จำนวนมหาศาล หวังเป่าเล่อรู้วิธีกระทำตนอย่างเหมาะสม อีกอย่างหนึ่ง ชายหนุ่มก็ตั้งใจจะกลับมาช่วยเหลืออยู่แล้ว หลังจากที่ตอบคำ เขาก็ยกมือขวาขึ้นก่อนจะโบกลงอย่างรุนแรง!


ทันใดนั้นเอง เรือบินรบจำนวนนับแสนลำก็ปรากฏขึ้นพร้อมด้วยเสียงครั่นครืนดังสนั่น เรือบินทุกลำทะยานออกไปหาศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ล้อมอยู่แล้วระเบิดตัวเอง ภาพนั้นเรียกขวัญกำลังใจให้ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และกองทหารอื่นๆ เป็นอันมาก


“เรือบินรบระเบิด!”


“เรือบินรบเหล่านี้ช่วยแบ่งเบาภาระพวกเราไปได้มากโขทีเดียว!” เห็นได้ชัดว่าเรือบินรบระเบิดตัวเองของกองทหารผ่าวิญญาณของหวังเป่าเล่อนั้นชื่อดังเพียงใด


และในฐานะกองทหารอันดับสอง การที่หวังเป่าเล่อกลับมาช่วยย่อมเปลี่ยนกสถานการณ์การรบได้ แม้อาจไม่ได้รับประกันว่าจะพลิกสถานการณ์ได้ แต่ก็ช่วยลดความกดดันให้ทุกๆ คนได้ไม่น้อย


ทว่า…ขณะที่ความคิดนั้นปรากฏขึ้นในใจศิษย์ทุกคนของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ หวังเป่าเล่อก็โบกมืออีกครั้ง หุ่นเชิดนับแสนตัวที่มีวิญญาณหลอมอยู่ด้านในก็ปรากฏขึ้นตัวแล้วตัวเล่า พวกมันปลดปล่อยพลังปราณออกมา ตัวที่อ่อนแอที่สุดอยู่ในขั้นจุติวิญญาณ หุ่นทุกตัวพุ่งออกไปรอบข้างอย่างรวดเร็ว


พลังที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันทำให้ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ทุกคนได้แต่จ้องมองด้วยปากอ้าค้าง วิญญาณสั่นไหว เช่นเดียวกับผู้ฝึกตนของอารยธรรมครามทองคำ


“นี่มัน…”


“หุ่นเชิดจุติวิญญาณ!”


“มีเป็นแสนๆ ตัวเลย…สวรรค์ มีหุ่นเชิดจุติวิญญาณมากกว่าแสนตัวเสียอีก!”


เทพธิดาหลิงโยว ผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำ และผู้อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะที่เหลือต่างก็พากันจ้องมอง มีเพียงศิษย์แห่งเต๋ากูโม่และปรมาจารย์มหาทัณฑ์เท่านั้นที่สีหน้าคงที่ แม้จะมีแววกังวลอยู่เล็กน้อย


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า…เรือบินรบระเบิดตัวเองและหุ่นเชิดจุติวิญญาณนับแสนนั้นเพียงพอที่จะให้กองทหารของหวังเป่าเล่อขึ้นจากตำแหน่งกองทหารอันดับสองไปเป็นกองทหารอันดับหนึ่งได้อย่างง่ายดาย อันที่จริงแล้ว ในแง่หนึ่ง…กองกำลังของเขาเลยพ้นคำว่ากองทหารไปแล้ว อีกอย่างหากคิดถึงเรื่องพลังปราณของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ แม้ว่าอาจจะเกินไปเล็กน้อยที่จะบอกว่าเขาสามารถตั้งสำนักได้ด้วยตนเอง แต่ก็ไม่เกินจริงสักเท่าใดนัก!


ทว่า…ความตื่นตะลึงยังไม่จบเท่านี้ มาคราวนี้ หวังเป่าเล่อก็ตั้งใจจะไม่ปกปิดความสามารถในการรบของกองทหารของเขาอีกต่อไป เพราะชายหนุ่มต้องการจะขึ้นไปสูงกว่านี้ จึงจำเป็นต้องแสดงพลังที่แท้จริงออกมา ด้วยเหตุนี้ เขาจึงโบกมือขวาอีกครั้ง พลันรัศมีจิตวิญญาณอมตะสิบสองรัศมีก็ถูกปลดปล่อยออกมาเขย่าสนามรบ ทำเอาผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนหน้าถอดสี!


หุ่นเชิดสิบสองตัว รัศมีจิตวิญญาณอมตะสิบสองรัศมี ทันทีที่พวกมันปรากฏขึ้น สนามรบก็เงียบงันไป และในวินาทีต่อมา ก็เกิดเสียงอื้ออึงดังสนั่นเสียจนหูแทบดับ สีหน้าของผู้ฝึกตนสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แปรเปลี่ยนไป ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่สู้กับเทพธิดาหลิงโยวอยู่ก็ร้องตะโกนออกมาแทบสิ้นสติ


“จิต…จิตวิญญาณอมตะ!”


“หุ่นเชิดขั้นจิตวิญญาณอมตะ…”


เทพธิดาหลิงโยวตะลึงไปชั่วอึดใจ ร่างกายของผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำสั่นไหว ส่วนผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนอื่นๆ ของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ต่างก็มีแววตาตกตะลึง บ้างถึงกับตกอยู่ในภวังค์ เพราะหุ่นเชิดจิตวิญญาณอมตะนั้นหาได้ยากยิ่ง และพวกเขาก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้เห็นถึงสิบสองตัวพร้อมกันในคราวเดียว…


กระทั่งสีหน้าของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ที่กำลังต่อสู้กับศิษย์แห่งเต๋ากูโม่และพ่อบ้านก็เปลี่ยนแปลงอย่างมากเช่นกัน ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทั้งสาม ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย ต่างก็เปลี่ยนสีหน้าไปอย่างชัดเจน


โดยสัตย์จริง…จากพลังของกองทหารผ่าวิญญาณที่หวังเป่าเล่อได้แสดงออกมา…ก็ไม่เป็นการเกินเลยอีกต่อไปหากจะบอกว่าชายหนุ่มสามารถสร้างสำนักขึ้นเองได้ เขาน่าจะสร้างขึ้นได้จริงๆ หากต้องการ


จำนวนของจิตวิญญาณอมตะในสามสำนักหลัก…ยังไม่อาจเทียบได้กับจำนวนหุ่นเชิดขั้นจิตวิญญาณอมตะที่หวังเป่าเล่อมีด้วยซ้ำ!


“บัดซบ!” จิตสังหารระเบิดออกมาจากนัยน์ตาของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แม้เขาจะไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายในสุสานหลวง แต่ก็รู้ว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้ใช้หุ่นเชิดเหล่านี้แม้ว่าจะเจออันตรายในคราวนั้น เท่านี้ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่า…สิ่งที่เขาเห็นอยู่นี้ คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อได้มาจากในสุสานหลวง


การปรากฏตัวขึ้นของหุ่นเชิดกระทบกับสถานการณ์การรบอย่างใหญ่หลวง ไม่เป็นการเกินเลยหากจะบอกว่าสิ่งนี้กำหนดทิศทางการรบไปแล้วเรียบร้อย ราวกับว่าสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้กำลังสู้ตัวต่อตัวกับสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แต่เหมือนกำลังสู้กับสองสำนักในเวลาเดียวกันมากกว่า!


การปรากฏตัวขึ้นของกองทหารผ่าวิญญาณของหวังเป่าเล่อ ในฐานะตัวแปรสำคัญของการรบ เป็นการเพิ่มพูนขวัญกำลังใจให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อย่างมาก ในทางกลับกับ ผู้ฝึกตนสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เริ่มตื่นตกใจเป็นครั้งแรกในการรุกรานครั้งนี้ เพราะหุ่นเชิดนับแสนและเรือบินรบระเบิดตัวเองจำนวนมหาศาลที่กระจายออกไปทุกทิศทุกทาง เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นรอบด้าน และหุ่นเชิดขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสิบสองได้มาร่วมในการต่อสู้ของขั้นจิตวิญญาณอมตะด้วย!


แม้จะดูเหมือนหุ่นเชิด แต่สีหน้าของพวกมันก็แสดงออกถึงความมีชีวิต การโจมตีแต่ละครั้งทั้งเฉียบคมและแม่นยำ ดูราวกับว่าหุ่นเชิดเหล่านี้มีชีวิตจริงๆ กระนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกมันใช้วิชาดวงเนตรสวรรค์ออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อดวงเนตรสวรรค์ปรากฏขึ้น ความตื่นตะลึงของทุกคนบนสนามรบก็เพิ่มขึ้นอีก


“วิชาดวงเนตรสวรรค์!”


“นี่มัน…นี่มันอะไรกัน!”


“วิชาดวงเนตรสวรรค์ของราชวงศ์! ไม่ใช่ว่าพวกราชวงศ์ร่วมมือกับอารยธรรมครามทองคำหรือ แล้วทำไมวิชาของพวกมันถึงมาอยู่กับหลงหนานจื่อได้!”


“ช้าก่อน…เจ้าหลงหนานจื่อนี่…สวรรค์ มันเป็นใครกันแน่!”


จิตใจของศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ปั่นป่วนไปหมด แต่พวกเขารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ เมื่อกองทหารผ่าวิญญาณเข้าจู่โจม พวกเขาต่างก็ต้องกัดฟันและส่งเสียงคำรามก่อนจะพุ่งเข้าใส่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยพร้อมๆ กัน


สถานการณ์ในสงครามครั้งนี้กลับหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต้องล่าถอยอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ขณะที่พ่อบ้านและศิษย์แห่งเต๋ากูโม่กำลังต่อสู้เต็มกำลัง ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เองก็ใช้กระบวนท่าลับออกมาอย่างไม่รอช้า พลังยุทธ์ของเขาถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง การต่อสู้ระหว่างชายวัยกลางคนกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สองคนของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกขณะ


ขณะที่จักรวาลส่งเสียงครั่นครืนและมีเสียงกรีดร้องดังออกมาจากทุกหนทุกแห่ง หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้อู้งานอยู่เฉยๆ ชายหนุ่มพุ่งเข้าไปในสนามรบ หวังเป่าเล่อผู้สวมเกราะมหาจักรพรรดิบัดนี้ดูเหมือนกระบี่แหลมคมที่ทิ่มแทงลงไปบนสนามรบ ราวกับว่ากำลังตัดแบ่งสนามรบเป็นส่วนๆ เขาพุ่งเข้าไปขวางหน้าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สองคน ที่ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ยอมสละชีวิตเพื่อนไปหลายคนเพื่อกักขังเอาไว้


ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสองยังอยู่ในชั้นต้นเท่านั้น พวกเขาพยายามหนีด้วยสีหน้าตื่นตกใจ แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว ทั้งคู่ตกเป็นเป้าหมายของหวังเป่าเล่อ และขณะที่ชายหนุ่มปลดปล่อยปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายออกมา พลางเร่งความเร็วสูงสุดเหาะแซงหน้าไปทันที เขาทิ้งผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนหนึ่งไว้ข้างหลังก่อนจะไล่กวดอีกคนหนึ่งไป


ขณะที่หวังเป่าเล่อเหาะแซงไป ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็จ้องมองด้วยดวงตาเบิกโพลงอย่างสิ้นหวัง เขาก้มศีรษะลงมองร่าง ก็เห็นเพียงร่างไร้หัวที่คุ้นเคยกำลังลอยละล่องออกไปอีกทางหนึ่ง


วินาทีถัดมา ทั้งศีรษะและร่างกายของเขาก็ถูกเปลวไฟเผาผลาญ จนทั้งร่างกายและวิญญาณถูกทำลายสิ้นไม่มีเหลือ!


แต่เขาก็ไม่ต้องโดดเดี่ยวนานนัก เพราะเพื่อนของเขา หรือผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะอีกคนหนึ่ง ก็มีชีวิตอยู่ต่อได้เพียงอีกหนึ่งลมหายใจเท่านั้น เพียงแค่หวังเป่าเล่อชี้นิ้วใส่ กะโหลกของเขาก็ยุบเข้าไป ร่างกายแตกสลาย และวิญญาณก็แหลกยับเยิน!


การสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะสองคนติดๆ ในชั่วระยะเวลาเพียงพริบตาทำให้สนามรบสั่นไหวอีกครั้ง ศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนรีบถอยหนีด้วยความตื่นตะลึงและตกใจกลัว ราวกับว่าหวังเป่าเล่อเป็นพญามัจจุราชก็ไม่ปาน!


มีคนเยอะไม่เบา…ข้าจะเพิ่มระดับวิชาดวงเนตรปีศาจอีกครั้งแล้วผลักพลังปราณให้ขึ้นไปอีกขั้นได้หรือไม่นะ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงขณะที่จิตสังหารพลุ่งพล่านอยู่ในใจ!

 

 

 


บทที่ 859 แกร่งเกินต้าน!

 

การปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อเป็นทั้งปัจจัยสำคัญและศิลาก้อนมหึมา ชายหนุ่มมอบโอกาสให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์พลิกกลับมาได้เปรียบในการต่อสู้ที่เสียเปรียบมาตั้งแต่ต้น ขณะที่ทุกคนในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ลุกขึ้นสู้ สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็อ่อนแรงลงตามลำดับ พวกเขาถอยร่นไม่เป็นขบวนและดูราวกับว่าสุดท้ายแล้วสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ขึ้นมาได้เปรียบจนได้!


แม้ว่าการได้เปรียบนี้จะไม่ได้หมายถึงชัยชนะ แต่ก็พอจะจินตนาการได้ว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ โอกาสชนะก็จะเพิ่มขึ้นทุกทีๆ ในที่สุด การจะเอาชนะได้ก็อาจไม่เกินเอื้อมอีกต่อไป!


แทบทุกคนบนสนามรบสัมผัสถึงเรื่องนี้ได้ เพราะอย่างนั้น ขณะที่หวังเป่าเล่อทำให้ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ตื่นเต้นยินดี ผู้ฝึกตนฝ่ายสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เกลียดเขาเข้ากระดูกดำ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ระดับปราณของเขาก็ยิ่งใหญ่เกินไป และกองทหารของเขาก็โหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง


ดังนั้น สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีวิธีจบปัญหานี้เพียงสองวิธี วิธีแรกคือลุ้นให้ประมุขสำนักและผู้อาวุโสเอาชนะปรมาจารย์มหาทัณฑ์ได้ และอีกวิธีหนึ่งก็คือให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทั้งสามกำราบพ่อบ้านและศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ให้สำเร็จ


ติดอยู่เพียงแค่ว่า…สำหรับคู่แรก มาจนตอนนี้ ประมุขสำนักและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายต่างก็ได้เปรียบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เห็นได้ชัดว่า คงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่พวกเขาจะเบียดเอาชนะได้ ส่วนอีกคู่หนึ่ง…ก็เช่นกัน


ดังนั้น…ทางเดียวที่มีก็คือต้องกำจัดหวังเป่าเล่อและพยายามทำลายโอกาสที่ชายหนุ่มสร้างขึ้นมาพร้อมการปรากฏตัวของเขาให้ได้มากที่สุด!


ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เสียทีเดียว เพียงแต่ว่าผลพวงนั้นออกจะยิ่งใหญ่และเสี่ยงอยู่สักหน่อย หากเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ตอนที่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยังกุมความได้เปรียบอยู่ พวกเขาก็คงไม่ตัดสินใจเช่นนี้ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องเสี่ยง พวกเขาเพียงแค่ต้องรักษาจังหวะเอาไว้ สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็จะล่มสลายไปเอง และการทำลายล้างของพวกเขาก็คงไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้


แต่ขณะนี้…โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อพุ่งตรงเข้าไปหาผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง การยอมรับความเสี่ยงก็ดูจะเป็นทางออกเดียวสำหรับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาไม่อาจยอมให้หวังเป่าเล่อต่อสู้กับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นและชั้นกลางได้ หาไม่แล้ว…หากหวังเป่าเล่อฆ่าผู้ฝึกตนได้อีก จำนวนผู้ฝึกตนของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็จะตกลงอย่างรวดเร็ว และหากผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจากฝั่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ถูกปลดปล่อยออกมาเพิ่มอีก พวกเขาคงต้องพ่ายแพ้เป็นแน่


ตอนนั้นเองนัยน์ตาของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ส่องประกาย พลางร้องคำราม “ชิงคุนจื่อ!”


เมื่อเสียงของชายชราดังก้องออกไป ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามที่กำลังสู้กับพ่อบ้านและศิษย์แห่งเต๋ากูโม่อยู่ก็มีแววตาลำบากใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า แต่แล้วแววตานั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นความเด็ดเดี่ยวในทันที ระดับปราณของพวกเขาดูจะพุ่งสูงขึ้นขณะที่ทั้งสามพุ่งออกไปข้างหน้า สองจากสามคนนั้นส่องประกายราวกับเป็นดวงอาทิตย์แล้วพุ่งเข้าใส่พ่อบ้านและศิษย์แห่งเต๋ากูโม่อย่างลืมตาย พวกเขาใช้กระบวนท่าสุดยอดและกักทั้งคู่เอาไว้ได้ชั่วคราว


ขณะที่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์อีกคนหนึ่ง หรือก็คือชิงคุนจื่อที่ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เรียกเมื่อครู่ก็พลิกกาย พลางปล่อยพลังปราณให้พวยพุ่งออกมา เขาจากสนามรบไป พุ่งตัวราวกับเป็นสายฟ้าฟาดตรงไปยังหวังเป่าเล่อ ผู้ที่กำลังต่อยเตะพัลวันเพื่อตรงไปยังสนามรบของจิตวิญญาณอมตะ


ทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตา และในอีกวินาทีถัดมา ขณะที่สนามรบสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ชิงคุนจื่อก็เหมือนว่าจะแปรสภาพเป็นปลาคุนนกเผิง อันที่จริงแล้ว หากมองด้วยตาเปล่า ก็จะเห็นว่ามีเงาของปลาคุนนกเผิงกำลังเคลื่อนที่เข้าประชิดตัวหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว


และอีกไม่กี่ลมหายใจก่อนที่เขาจะเข้าถึงตัว หวังเป่าเล่อที่รู้ตัวอยู่ก่อนแล้วก็หันศีรษะไปหาปลาคุนนกเผิงที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารรุนแรง ริมฝีปากของชายหนุ่มก็กระตุกเป็นเชิงยิ้มเยาะ ก่อนจะมีประกายเยือกเย็นปรากฏขึ้นในแววตา


ในที่สุดก็มีตัวเป้งๆ โผล่มาสักที! หวังเป่าเล่อหัวเราะ ชายหนุ่มรู้จุดประสงค์ของปลาคุนนกเผิงตัวนี้ดี เพราะการตัดสินใจสามอย่างที่หวังเป่าเล่อทำหลังมาถึงสนามรบส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อสถานการณ์โดยรวม


อย่างแรกคือการสังหารอี้เหนียนจื่อ หลังจากที่ปลอบขวัญกองกำลังศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์แล้ว ชายหนุ่มก็สังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะฝ่ายตรงข้ามที่ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เสียสละชีวิตจำนวนมากเพื่อกักขังเอาไว้ไปอีกสองคน การกระทำนี้นอกจากจะส่งเสริมให้ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์มีกำลังใจมากขึ้น ยังเพิ่มจำนวนคนให้มากขึ้นอีกด้วย การที่ไม่ต้องรับมือศัตรูสองด้าน ทำให้ผู้ฝึกตนจำนวนมากสามารถเข้าร่วมการต่อสู้เพิ่มขึ้นได้


หลังจากนั้น สิ่งที่หวังเป่าเล่ออยากทำคือการใช้ปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายของเขาสังหารศัตรูที่อยู่ในชั้นต้นและชั้นกลาง เมื่อทำเสร็จ…ก็คงไม่มีความจำเป็นต้องต่อสู้อีกต่อไป


แม้จะทำให้เขาได้รับชื่อเสียว่าชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า แต่ใครก็ตามที่ยังคิดเรื่องเช่นนั้นในสนามรบก็เป็นคนโง่เขลาที่สมควรตาย สิ่งสำคัญที่สุดในการรบคือการสังหารผู้ที่อ่อนแอกว่าด้วยกำลังที่เหนือกว่านั่นเอง!


หวังเป่าเล่อจึงคาดการณ์ไว้แล้วว่าตนเองจะต้องถูกขัดขวาง สถานการณ์เช่นนี้อยู่ในแผนของเขาเช่นกัน เพราะอย่างไรเสีย จากมุมมองเชิงยุทธศาสตร์ แม้ว่าการสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์คนเดียวจะไม่สำคัญเท่าการสังหารชั้นต้นและชั้นปลายหลายๆ คน แต่ก็มีผลทางด้านจิตใจต่อกองทหารของศัตรูมากกว่า


ดังนั้นเมื่อชิงคุนจื่อพุ่งเข้ามา หวังเป่าเล่อจึงระเบิดเสียงหัวเราะลั่นและพุ่งเข้าไปหาแทนที่จะล่าถอย ชายหนุ่มดูเหมือนดาวหางที่พุ่งตรงเข้าไปหาอีกฝ่าย เมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่อ จิตสังหารอันเข้มข้นก็ระเบิดออกมาจากดวงตาของชิงคุนจื่อ


“เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว!”


ทั้งสองปะทะกันในทันที หากมองจากที่ไกลๆ ก็สุดจะบอกได้ว่าปลาคุนนกเผิงชนใส่ดาวหางหรือดางหางชนใส่ปลาคุนนกเผิงกันแน่ ไม่ว่าจะอย่างไร ทันทีที่ทั้งคู่ชนกัน เสียงดังสนั่นที่ก่อให้เกิดคลื่นกระแทกก็กวาดไปทั่วบริเวณราวกับเป็นคลื่นยักษ์


ผู้ฝึกตนทั้งสองฝ่ายจำนวนไม่น้อยกระอักเลือดออกมาพร้อมกับต้องล่าถอยเพราะแรงกระแทก ร่างของหวังเป่าเล่อก็สั่นคลอนเพราะถูกชนและกระเด็นไปไกลร่วมสามสิบเมตร แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ และยังมีประกายแสงอันแรงกล้าอยู่ในดวงตา เพราะถึงแม้ตอนนี้ชายหนุ่มจะสำแดงคลื่นพลังแทรกแซงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายออกมา แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขายังซ่อนพลังเอาไว้อีกครึ่งหนึ่ง


“หลังจากที่ผลาญพลังปราณของตัวเอง เขาก็เก่งขึ้นกว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายคนอื่นๆ อยู่เล็กน้อย ไม่เลวเลย น่าสนุกดีนี่”


ขณะที่เสียงของหวังเป่าเล่อกระจายออกไป ความตื่นตะลึงของเขาก็พุ่งถึงขีดสุด เขารู้สึกถึงคลื่นพลังมหาศาลที่พวยพุ่งเข้ามาใส่กาย หลังจากที่กระเด็นไปไกลหลายร้อยเมตรชายหนุ่มจึงบังคับตัวเองให้หยุด สีหน้าของเขาซีดเซียวหลังจากบ้วนเอาเลือดออกมากองใหญ่ ความตกใจและไม่อยากเชื่อสายตาทำให้คลื่นในใจสั่นไหวอยู่ไปมา


“เจ้า…” ชิงคุนจื่อยังพูดไม่ทันจบประโยคเมื่อจิตวิญญาณการต่อสู้ลุกโชนขึ้นมาในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มปลดปล่อยพลังปราณออกมาอีกร้อยละยี่สิบ เมื่อพลังปราณเพิ่มขึ้นถึงร้อยละเจ็ดสิบแล้ว เขาก็ก้าวออกมา ความเร็วของชายหนุ่มเพียงอย่างเดียวก็ตัดความว่างเปล่าจนขาดวิ่น ในวินาทีถัดมา ก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าชิงคุนจื่อผู้ตกตะลึง หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น อาวุธเทพปรากฏออกมาก่อนจะวาดลงไปทันที!


ใบหน้าของชิงคุนจื่อซีดขาว เมื่อไม่มีเวลาหลบ เขาจึงทำได้เพียงใช้ผนึกฝ่ามือด้วยมือทั้งสอง เงาของปลาคุนนกเผิงปรากฏชัดขึ้นมาทันที ขณะที่ป้องกันด้วยพลังทั้งหมดที่มี เขายังพยายามให้ปลาคุนนกเผิงสะบัดหางและโจมตีกลับใส่หวังเป่าเล่อ


ทว่า…หวังเป่าเล่อรออยู่แล้วพร้อมความเสียใจในแววตา อาวุธเทพในมือไม่ได้หยุดและฟันลงมาต่อพร้อมด้วยพลังปราณร้อยละเจ็ดสิบที่สนับสนุนอยู่ภายใน ปลาคุนนกเผิงตื่นกลัวตัวสั่นอย่างรุนแรงก่อนจะล้มลงต่อหน้าหวังเป่าเล่อ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ลดความเร็วลง เขากลับไปปรากฏตัวตรงหน้าชิงคุนจื่อและฟันลงไปอีกครั้ง!


เกิดเสียงดังสนั่น ชิงคุนจื่อส่งเสียงร้องโหยหวน ดวงอาทิตย์สีดำระเบิดขึ้นจากภายในกาย แม้ว่าเขาจะต้านทานไว้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี เลือดกระเซ็นไปทุกหนแห่ง สีหน้าอันตื่นกลัวราวกับเห็นผีปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาพร้อมๆ กับเสียงหวีดร้องโหยหวน


“เจ้าไม่ใช่จิตวิญญาณอมตะ!”


“ข้าเป็นบิดาเจ้า!” หวังเป่าเล่อยิ้ม ไม่ใส่ใจกับสีหน้าตื่นตะลึงของผู้ฝึกตนรวมถึงปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่รายล้อมอยู่ ชายหนุ่มก้าวเข้าไปใกล้ชิงคุนจื่อผู้กำลังถอยหนี ก่อนจะฟันอาวุธเทพลงไปอีกครั้ง เกิดเสียงครั่นครืนสะเทือนสวรรค์ดังเลื่อนลั่นอีกครา


ชิงคุนจื่อคำรามออกมาและตั้งรับอีกระลอก ดวงอาทิตย์สีดำในมือชายหนุ่มนั้นยอดเยี่ยม แม้ว่าเขาจะกระอักเลือดออกมาไม่หยุดพลางถอยหลังหนี และบาดเจ็บเพิ่มเรื่อยๆ แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังคงอยู่ แม้จะมีรอยร้าวปรากฏขึ้นมาช้าๆ ก็ตาม


“อ่อนแอ!” หวังเป่าเล่อฟันลงไป เขาวิ่งไล่ไปพลางโจมตีไปพลาง จนในที่สุด หลังจากการฟันครั้งที่เจ็ด ดวงอาทิตย์สีดำในมือชิงคุนจื่อก็ไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป จึงแตกสลายไป หลังจากนั้น การฟันครั้งที่แปดของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏเป็นสายรุ้งที่สะเทือนทั้งสวรรค์และผืนแผ่นดิน ส่งประกายกระบี่ไประหว่างดวงตาที่กำลังตกตะลึงและสิ้นหวังของชิงคุนจื่อ


วินาทีต่อมา ศีรษะของชายหนุ่มก็ปลิวไป คลื่นพลังปราณแทรกแซงที่เหนือกว่าพลังปราณของชิงคุนจื่อมากนักเข้าปกคลุมร่างของเขาเอาไว้ ทั้งร่างกายและกระดูกถูกป่นเป็นผงในพริบตา!


“อ่อนแอเหลือเกิน” หวังเป่าเล่อรู้สึกเต็มตื้นอยู่ในใจขณะที่ยืนอยู่บนจักรวาลและพูดออกมาอย่างเยือกเย็น


สนามรบรอบข้างเงียบสงัดไปทันตา อันที่จริงแล้ว ผู้ฝึกตนจำนวนมากจากทั้งสองฝ่ายที่มองเห็นฉากนี้ต่างก็ลืมต่อสู้ไปเสียสนิท พวกเขาจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาว่างเปล่า ศีรษะมึนราวกับว่าถูกสายฟ้าจากสวรรค์ฟาดเอาก็ไม่ปาน


รัศมีและพลังปราณของหวังเป่าเล่อนั้นรุนแรงเสียจนพื้นดินสนั่นท้องฟ้าสะเทือน!


“ระดับดาวพระเคราะห์หรือ” เทพธิดาหลิงโยวตกตะลึงก่อนจะพึมพำออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ น้ำเสียงของนางทำเอาร่างกายของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสองฝ่ายกระตุก พวกเขาต่างก็มองไปยังหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว

 

 

 


บทที่ 860 เจ้าอยู่ในระดับดาวพระเคราะห...

 

เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องสะท้อนไปมาอยู่ในอากาศ มีพายุหมุนขนาดมหึมาหมุนวนอยู่รอบกายหวังเป่าเล่อ เส้นผมของชายหนุ่มโบกสะบัดไปตามกระแสลมขณะที่คลื่นพลังปราณไหลบ่าออกมาจากกายเขาไม่หยุดยั้ง ท่วมล้นสิ่งรอบข้างราวกับเป็นคลื่นคลั่งในทะเลยามต้องพายุ!


การปล่อยพลังปราณของหวังเป่าเล่อดูคล้ายคลื่นยักษ์ที่โถมซัดเข้าฝั่ง พลังนั้นรุนแรงเสียจนจักรวาลรอบข้างสั่นสะเทือน ทำให้หวังเป่าเล่อกลายเป็นจุดสนใจของทุกๆ คนในสนามรบไปในบัดดล!


และนี่…เป็นเพียงพลังร้อยละเจ็ดสิบของเขาเท่านั้น!


ภาพที่หวังเป่าเล่อสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทำเอาทุกคนถึงกับตกตะลึง ผู้ฝึกตนทั่วไปของทั้งสองฝ่ายที่อยู่ในสนาบรบต่างนิ่งงัน กระทั่งเทพธิดาหลิงโยวก็ยังผงะ ผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำที่เคยช่วยชีวิตหวังเป่าเล่อไว้ครั้งหนึ่งก็ตกใจเช่นกัน ประกายแห่งความสับสนจางๆ ปรากฏอยู่บนดวงตาของเขา


ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างตกตะลึงกับระดับของรัศมีและพลังปราณที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมาตั้งแต่แรกมาถึงสนามรบอยู่แล้ว มาบัดนี้ พวกเขายิ่งตื่นตกใจมากขึ้นไปอีกไม่รู้กี่เท่า ชายหนุ่มสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ที่ต้องผลาญพลังปราณของตัวเองเพื่อสู้ทั้งที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายลงได้ความแตกต่างกันของพลังนั้นช่างมากเสียจนน่ากลัว!


“หลงหนานจื่อ…”


“เจ้าไปพบเจอตำราลับแบบไหนมากันระหว่างที่หายตัวไป”


“หรือว่านี่จะเป็นการอุบัติขึ้นของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่แข็งแกร่งอีกคนหนึ่งในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์กันแน่” บรรดาผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ต่างก็พากันจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาเคารพและยำเกรง


ไม่เพียงพวกเขาเท่านั้น กระทั่งปรมาจารย์มหาทัณฑ์และศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ต่างก็มีนัยน์ตาเบิกโพลง แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด ปรมาจารย์มหาทัณฑ์สวรรค์ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจเมื่อมองไปทางเทพธิดาหลิงโยว ยิ่งเขาคิดเรื่องนี้มากเพียงใด ชายวัยกลางคนก็ยิ่งรู้สึกว่าทั้งสองช่างเหมาะสมกันอย่างยิ่ง


ข้างศิษย์แห่งเต๋ากูโม่นั้นมีอารมณ์อันหลากหลายปรากฏขึ้นมาบนสีหน้า แววตาท้อถอยฉายชัด เขานั้นทำใจยอมรับกับความพ่ายแพ้เอาไว้แล้ว แต่หากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จะมีชัย เขาก็รู้ดีว่า…เกียรติยศในการควบคุมกองทหารที่ทรงพลังที่สุดในสำนักย่อมไม่ได้อยู่ในมือเขาอีกต่อไปเป็นแน่


ชายหนุ่มไม่ต้องการเสียอำนาจไป แต่ความไม่แน่ใจนั้นหนักหนากว่าความหวงแหนอำนาจมากนัก เขารู้ดีว่าจากการรุกรานของอารยธรรมครามทองคำ การขึ้นสู่อำนาจของหวังเป่าเล่อย่อมต้องเป็นสิ่งเหมาะสมในสายตามหาชนเป็นแน่ มันต้องเป็นสิ่งที่มวลชนให้การยอมรับสนับสนุน อันที่จริงแล้ว ตามนิสัยของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่เขารู้จัก หากพวกเขาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ย่อมต้องให้การต้อนรับหวังเป่าเล่ออย่างอบอุ่นยากเสมอเหมือนแน่นอน!


ความคิดเหล่านี้แล่นผ่านศีรษะของศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ไป ขณะที่…ความตื่นตะลึงนั้นครอบงำคู่ต่อสู้ของเขาเสียสิ้น ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทั้งสองรู้ดีว่าชิงคุนจื่อนั้นทรงพลังเพียงใด และเรื่องนี้ก็ทำให้ศีรษะของทั้งคู่ตื้อตึงไปหมด ทุกๆ สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นดูราวกับเป็นภาพที่หลุดออกมาจากความฝันอันบ้าคลั่งและเหลือเชื่อ


หวังเป่าเล่อนั้นแทบไม่ได้ออกแรง แถมยังเป็นต่อชิงคุนจื่ออยู่ตลอดการต่อสู้ กระทั่งทั้งกายเนื้อและวิญญาณของอีกฝ่ายถูกทำลายลงจนสิ้นซาก การต่อสู้ทั้งหมดดำเนินไปอย่างที่ผู้ฝึกตนทั้งสองไม่ได้คาดคิดมาก่อนแม้แต่น้อย


พวกเขาคิดไปว่าชิงคุนจื่อคงจะได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย สมาชิกสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต่างก็เฝ้ามองด้วยความคาดหวังและตื่นเต้นตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ ขณะที่คนจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นเปี่ยมไปด้วยความตื่นกลัวและวิตกกังวล


เพราะอย่างไรเสีย ชิงคุนจื่อก็มีปราณอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ แถมยังอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งในด้านระดับปราณ พลัง และความแข็งแกร่ง แม้จะไม่ใช่คู่มือของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ แต่ความแตกต่างระหว่างระดับปราณทั้งสองก็ช่างห่างไกลนัก แต่ถึงอย่างนั้น ชิงคุนจื่อก็บรรลุถึงขั้นสุดยอดของระดับก่อนระดับดาวพระเคราะห์แล้ว


ยิ่งไปกว่านั้น เขายังผลาญพลังปราณของตัวเองเพื่อจะปลดปล่อยพลังออกมาจนสูงสุด แม้พลังที่ปลดปล่อยออกมาจะยังไม่ถึงระดับดาวพระเคราะห์ แต่ก็ย่อมเหนือกว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทั่วไปอย่างแน่นอน และเขาย่อมอยู่ในจุดสูงสุดของระดับพลังตัวเองแน่


ในสถานการณ์เช่นนี้ การจะสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายก็ไม่ควรเป็นเรื่องท้าทายนัก แต่…เขาก็ล้มเหลว อันที่จริงแล้ว เขาเพลี้ยงพล้ำถึงขนาดที่ไม่อาจตอบโต้ได้จนกระทั่งถูกสังหาร!


ฉากนั้นส่งเอาความตื่นตระหนกเข้าไปจับในหัวใจของทุกคน ทำเอาสั่นไหวไปจนถึงแก่นดวงใจ พวกเขาคิดว่า…มีเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์และสูงกว่าเท่านั้นที่จะทำอะไรเช่นนั้นได้!


แม้ว่าคลื่นพลังปราณลูกสุดท้ายที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมานั้นจะอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย แต่สิ่งที่คนอื่นๆ โดยรอบสัมผัสได้คือพลังอันแข็งแกร่งจนเหลือเชื่อที่อยู่เหนือขั้นจิตวิญญาณอมตะขึ้นไปอีก พวกเขาไม่เคยเห็นพลังอันแข็งแกร่งเช่นนั้นจากผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะมาก่อน มีเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้นที่มีพลังเทียบเทียมได้!


ประมุขสำนักและผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รวมถึงปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ล้วนตกตะลึงกับระดับพลังที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมาอยู่ในใจ แต่ในฐานะผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ ไม่นานนักพวกเขาก็รับรู้ว่ามีบางสิ่งขาดหายไป


ไม่มีพลังกดดันระดับดาวพระเคราะห์แต่อย่างใด ชายหนุ่มยังไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์! ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เป็นคนแรกที่รู้สึกตัว ประมุขสำนักและผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็สัมผัสได้ในไม่กี่อึดใจต่อมา จากนั้นในอีกอึดใจ ประกายแปลกประหลาดก็สะท้อนอยู่ในแววตาของปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ชายวัยกลางคนสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ และปลดปล่อยแรงกดดันของดาวเคราะห์ของเขาออกมา มันเข้าปกคลุมทั้งประมุขสำนักและผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เอาไว้


แต่เท่านั้นไม่เพียงพอ แม้จะดูเหมือนว่าผู้นำของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้ยืดเยื้อกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แต่นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้ประมุขสำนักของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เอาจริงในการต่อสู้ อีกด้านหนึ่งปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นต่อสู้ชนิดถวายชีวิต เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ประกายสังหารก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาเรียกดาวเคราะห์ออกมาก่อนจะปลดปล่อยพลังทั้งหมด ผู้อาวุโสรับใช้จึงได้รับโอกาสให้โจมตี!


ผู้อาวุโสต้านทานแรงกดดันจากดาวเคราะห์ของปรมาจารย์มหาทัณฑ์และหันกลับมาเช่นกัน ก่อนจะปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกมาแล้วซัดฝ่ามือทะลุจักรวาลไปทางหวังเป่าเล่อ


ราคาของการโจมตีในครั้งนั้นคือเขาต้องรับความเสียหายจากแรงกดดันจากปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไประดับหนึ่ง รวมถึงเลือดที่กระอักออกมาหลังจากจู่โจมไปแล้ว ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่อาจหยุดการโจมตีของผู้อาวุโสได้ทัน ฝ่ามือที่ผู้อาวุโสซัดออกไปแปรสภาพเป็นหัตถ์ขนาดยักษ์ที่ระเบิดเข้าใส่หวังเป่าเล่อด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว


หัตถ์นั้นกว้างหลายร้อยเมตรและแผ่พลังระดับดาวพระเคราะห์ออกมา ผู้อาวุโสระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นใช้พลังเต็มที่ในการปล่อยการโจมตีนั้นออกมา ส่งเอาแรงกดดันของดาวเคราะห์ตนเองออกไป เสียงดังสนั่นก้องจักรวาล ฉีกเอาความว่างเปล่าจนขาดวิ่นและสั่นคลอนจักรวาลไปตลอดทาง ผู้ฝึกตนที่อยู่ในรัศมีการโจมตีไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู ต่างก็ตัวสั่นก่อนจะสลายเป็นฝุ่นไปทันทีที่สัมผัสโดนหัตถ์นั้น!


ความแข็งแกร่งของการโจมตีนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างนิ่ง แรงกดดันที่หัตถ์นั้นแผ่ออกมารุนแรงเสียจนสามารถกดผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะได้เลยทีเดียว หัตถ์ส่งเสียงคำรามกึกก้องพลางพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว เคลื่อนที่เข้าถึงตัวชายหนุ่มแทบจะในพริบตา


ประกายกล้าสะท้อนขึ้นในดวงตาทั้งคู่ของหวังเป่าเล่อขณะที่ชายหนุ่มผงกศีรษะขึ้นอย่างฉับพลัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายตั้งแต่บรรลุขั้นมา แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้กังวลแต่อย่างใด อันที่จริงแล้ว ชายหนุ่มตัวสั่นเพราะความตื่นเต้น ประกายไฟแห่งการต่อสู้ลุกโชนขึ้นในดวงตา เขาประกบฝ่ามือเข้าด้วยกันเป็นผนึกฝ่ามือชุดใหญ่ ก่อนจะชูมือทั้งคู่ขึ้นไปบนอากาศแล้ววาดผ่านท้องฟ้า


พลังปราณร้อยละเจ็ดสิบที่ชายหนุ่มกระจายออกไปปรากฏออกมาในวินาทีนั้น พายุหมุนรอบกายเขาขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว แผ่กระจายเป็นความกว้างร่วมสามพันเมตรในพริบตา พลังที่ปรากฏออกมานั้นทำเอาผู้ฝึกตนจากทั้งสองฝ่ายต้องกระเด็นถอยหลัง พลังที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมาดูจะสูสีกับหัตถ์ระดับดาวพระเคราะห์ที่กำลังมุ่งหน้าใกล้เข้ามา!


เมื่อชายหนุ่มปลดปล่อยพลังปราณออกมาเต็มที่ ดวงเนตรสีดำขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา มันลอยล่องอยู่เหนืออวกาศ ส่งกระแสเย็นสะท้านสันหลังให้ทุกคนที่มองเห็น ตัวตนที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อชัดเจนขึ้นมาพร้อมกัน


นั่นเป็นเพราะว่า…เมื่อดวงเนตรปีศาจสีดำขนาดมหึมาปรากฏขึ้นมานั้น ดวงเนตรสวรรค์เบื้องหลังจักรพรรดิทั้งสิบสองก็ส่องแสงแรงกล้าออกมา ราวกับว่าจะขานรับการมาถึงของอีกฝ่าย ดวงเนตรสวรรค์ที่ล่องลอยอยู่เบื้องหลังหุ่นเชิดทั้งแสนก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน หากมองใกล้ๆ ก็จะเห็นว่ามีดวงเนตรสวรรค์สิบดวงซ้อนกันเป็นดวงเดียวแทนที่จะอยู่เดี่ยวๆ


ดวงเนตรสวรรค์หนึ่งล้านดวงปรากฏขึ้นและตอบสนองต่อดวงเนตรปีศาจของหวังเป่าเล่อ เกราะมหาจักรพรรดิของชายหนุ่มก็เริ่มส่องแสงแรงกล้าออกมา หวังเป่าเล่อที่บัดนี้เนื้อตัวสว่างจ้าไปหมดเงยหน้าขึ้นฟ้าก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น


“เจ้าอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์แล้วอย่างไรกัน…เจ้าจะทำอะไรข้าได้” ชายหนุ่มพุ่งทะยานออกไป พูดยังไม่ทันขาดคำก็มุ่งหน้าเข้าไปหาหัตถ์ระดับดาวพระเคราะห์ ขณะที่ทั้งสองปะทะกัน แขนขวาของหวังเป่าเล่อก็แปรสภาพไปเป็นอาวุธเทพและฟันใส่หัตถ์ราวกับเป็นใบมีด!


ดวงเนตรปีศาจเบื้องหลังเขาลืมตาโพลงขึ้นในทันที พร้อมๆ กันกับดวงเนตรสวรรค์ทั้งหนึ่งล้านที่ลืมขึ้น ในบัดดล… ตอนนั้นเองภาพของดวงเนตรสวรรค์นับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนหัตถ์ระดับดาวพระเคราะห์ เมื่อมือของหวังเป่าเล่อสะบัดลงไป ภาพเหล่านั้นก็…ระเบิดขึ้น!


จักวาลสั่นไหว ความว่างเปล่าขาดสะบั้น ราวกับว่าดาวเคราะห์ทั้งดวงได้บุบสลายหายไปในแสงอันส่องสว่าง ท่ามกลางแสงเจิดจ้านั้น การต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและหัตถ์ระดับดาวพระเคราะห์ก็เป็นที่ประจักษ์ ราวกับเป็นการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรมหรือแสงสว่างและความมืด มันดึงเอาความสนใจของทุกคนบนสนามรบไปเสียสิ้น…ราวกับเป็นแสงสว่างอันเจิดจ้าของดวงตะวันก็ไม่ปาน

 

 

 


บทที่ 861 มหาศิษย์เต๋าอย่างนั้นหรือ

 

หลังออกมาจากนพภูมิ หวังเป่าเล่อก็รู้แค่ระดับปราณของตนเท่านั้น แต่ไม่เคยได้รู้เลยว่าตนเองแข็งแกร่งเพียงใดในการรบ เขาทำได้เพียงเดาจากประสบการณ์ที่ผ่านๆ มา ข้อสรุปที่ชายหนุ่มได้ก็คือ…ต่อให้ตัวเองจะไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ แต่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่หวังจะฆ่าเขาก็ควรต้องคิดดีๆ เพราะคงไม่ใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใด!


นั่นเพราะว่า ความแตกต่างเดียวระหว่างตัวเขากับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ก็คือ…หวังเป่าเล่อไม่มีดาวเคราะห์และแรงกดดันของดาวเป็นของตนเอง ชายหนุ่มยังไม่ได้ผนึกกายรวมกับดาวเคราะห์ แปลว่าพลังวิญญาณของเขายังอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ พลังวิญญาณของหวังเป่าเล่อโดยพื้นฐานแล้วจะทรงพลังน้อยกว่าของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์


โดยปกติแล้ว แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะก้าวข้ามความแตกต่างในระดับพลังที่กว้างถึงเพียงนั้น ทว่า…หวังเป่าเล่อมีพลังวิญญาณอยู่มากจนแทบเกินจิตนาการ ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทั่วไปน่าจะมีพลังวิญญาณเพียงครึ่งเดียวของเขาเท่านั้น ชายหนุ่มสามารถสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ได้โดยออกแรงแค่ร้อยละเจ็ดสิบเท่านั้น ขณะนี้เมื่อเขาได้ปล่อยพลังวิญญาณออกมาจนสุด พลังของเขาไม่เพียงได้รับการส่งเสริมจากเกราะมหาจักรพรรดิเท่านั้น แต่ยังได้รับการช่วยเหลือจากพลังเทพของเขาเคล็ดวิชาดวงเนตรปีศาจอีกด้วย พวกมันต่างก็ส่งเสริมพลังปราณอันมหัศจรรย์ที่หวังเป่าเล่อมีอยู่แล้ว และช่วยให้ชายหนุ่มสามารถปลดปล่อยพลังได้อย่างรุนแรงชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


พลังวิญญาณที่มากจนท่วมท้นของเขา…มอบพลังในการรับมือกับคู่ต่อสู้ที่มีพลังวิญญาณเหนือกว่าในขณะที่ตัวเขามีพลังวิญญาณต่ำกว่ามาให้


ทุกคนบนสนามรบจับจ้องไปยังพายุหมุนที่ก่อตัวขึ้นภายนอกกายหวังเป่าเล่อ มันมีขนาดใหญ่พอๆ กับหัตถ์ระดับดาวพระเคราะห์และทำหน้าที่เป็นม่านกำบังผู้ฝึกตน พวกเขาต่างก็พากันจ้องมอง เมื่ออาวุธเทพของชายหนุ่มฟันลงมา ส่งเอาเสียงดังกึกก้องสะท้อนไปทั่วจักรวาล พลางฉีกกระชากความว่างเปล่าจนขาดวิ่น


ดวงเนตรปีศาจก็ปลดปล่อยพลังออกมาในวินาทีนั้น สอดประสานรับกับดวงวิญญาณคนตายนับล้านดวงและจักรพรรดิทั้งสิบสองที่อยู่รอบกายหวังเป่าเล่อ ทันใดนั้นดวงตาที่ปรากฏขึ้นมารอบหัตถ์ยักษ์ก็ระเบิดขึ้นพร้อมกัน ส่งให้หัตถ์นั้นสั่นไหวไปทั่ว แต่การโจมตีนี้เป็นการโจมตีระดับดาวพระเคราะห์ที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายได้ใช้กำลังทั้งหมดในการซัดออกมา แม้ว่าดวงเนตรปีศาจจะทรงพลังเพียงใด ระดับปราณของมันก็ยังไม่สูงพอที่จะใช้พลังเทพทำลายหัตถ์ระดับดาวพระเคราะห์ได้อย่างสมบูรณ์ ทำได้เพียงลดพลังของหัตถ์ลงบ้างก็เท่านั้น!


หัตถ์ยักษ์ยังคงพุ่งลงมาพร้อมเสียงดังสนั่น หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังระดับดาวพระเคราะห์ที่ซัดสาดออกมาราวกับเป็นคลื่นคลั่ง พลังนั้นพวยพุ่งเข้าใส่เขา มันเป็นคลื่นอันถาโถมที่กลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้า แถมยังทำลายการโจมตีกลับของเขาไปหลายส่วน


คลื่นพลังผลักหวังเป่าเล่อกระเด็นไป แถมยังกันไม่ให้อาวุธเทพของเขาได้ฟันลงมาได้ถนัด ชายหนุ่มถูกบังคับให้ถอยหลังกลับ ขณะที่ฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ยังคงเคลื่อนที่เข้ามาหา


ช่างเป็นภาพอันน่ามหัศจรรย์ ทุกคนเฝ้ามองขณะที่หวังเป่าเล่อถูกบีบให้ต้องถอยออกจากฝ่ามือที่พุ่งเข้ามาไม่หยุดหย่อน พวกเขามองเห็นบุรุษผู้ที่กำลังจะถูกบดขยี้!


ฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ดูคล้ายลูกไฟที่กำลังจะเผาตัวตนของหวังเป่าเล่อให้กลายเป็นจุณ


อีกด้านหนึ่ง พลังวิญญาณของหวังเป่าเล่อเองก็ไม่แข็งแกร่งพอ มันไม่อาจจะเป็นน้ำที่ช่วยดับเปลวไฟอันร้อนแรงนี้ได้ พลังวิญญาณของชายหนุ่มดูคล้ายหมอกมากกว่าน้ำ ทว่า…แม้จะไม่ใช่น้ำ แต่ก็ยังเป็นหมอกที่ทรงพลังพอประมาณ และหากกระแสหมอกอันเจือจางไม่อาจดับเพลิงได้ หวังเป่าเล่อก็สามารถเรียกหมอกอันหนาแน่นออกมาได้ และหากหมอกดังกล่าวยังทำไม่ได้ ชายหนุ่มก็ยังสามารถเรียกทะเลหมอกออกมาทั้งหมดได้เช่นกัน!


เขามีทะเลหมอกเป็นของตนเอง ชายหนุ่มปล่อยมันออกมาในบัดดลและส่งหมอกนั้นพุ่งไปยังพลังระดับดาวพระเคราะห์ที่เผาไหม้อยู่ตรงหน้าในรูปของฝ่ามือ หมอกนั้นเข้าไปปกคลุมหัตถ์เอาไว้ แม้จะไม่รุนแรงเพียงพอ และอาจสลายไปทันทีที่สัมผัสฝ่ามือ แต่หวังเป่าเล่อก็มีพลังวิญญาณปริมาณมหาศาลที่ดูราวกับว่าไร้ก้นบึ้ง เมื่อทะเลหมอกอันแรกไม่เพียงพอ ชายหนุ่มก็พร้อมที่ส่งทะเลหมอกออกไปอีกนับร้อย!


พลังวิญญาณของเขามากพอที่จะปกคลุมสรวงสวรรค์ได้ มันไหลบ่าออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อก่อนจะระเบิดขึ้นไปสู่ท้องฟ้า!


“ทำลายมันเสีย!” หวังเป่าเล่อส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง ชายหนุ่มตัวสั่นอยู่กลางอากาศ ขณะที่มีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาในดวงตาเพราะเขากำลังใช้พลังทั้งหมดในการต่อต้านพลังของฝ่ามือ พลังวิญญาณปะทุขึ้นมาจากกายของหวังเป่าเล่ออย่างบ้าคลั่ง ทานแรงของฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์เอาไว้ด้วยพลังมหาศาล


ดูเหมือนเป็นการส่งกองทัพมดออกไปรับมือกับพญาคชสาร จำนวนอันมากมายของมดทำให้ช้างไม่อาจรับมือได้ เปลวเพลิงระดับดาวพระเคราะห์ค่อยๆ อ่อนกำลังลง และฝ่ามือก็เริ่มเลือนลาง ในที่สุด ขณะที่แววตาของชายหนุ่มลุกโชนไปด้วยจิตสังหาร ขณะที่เขากำลังคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ขณะที่มือขวาของเขากำแน่นลงไปบนอาวุธเทพและเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีครั้งต่อไป และขณะที่พลังปราณภายในกายเขาพุ่งขึ้นไม่หยุดยั้ง กายของหวังเป่าเล่อก็เริ่มส่องแสงสว่างจ้าออกมา


“จ้วงฟัน!” หวังเป่าเล่อพุ่งไปข้างหน้าขณะที่คำรามออกมา อาวุธเทพของเขาตัดทุกสิ่งที่ขวางหน้า เสียงฟ้าคำรามดังกึกก้องไปทั่วจักรวาล และฝ่ามือที่เริ่มจะเลือนลางลงไปทุกทีก็ถูกผ่าออกเป็นสองซีก!


เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นในอากาศอีกครั้งขณะที่ฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ถูกทำลายลงในที่สุด แรงทำลายส่งผลให้เกิดพลังวิญญาณพวยพุ่งออกไปภายนอก ผู้ฝึกตนทั้งสองฝ่ายที่ขยับหนีห่างออกจากบริเวณการต่อสู้ไม่อาจหลีกพ้นแรงกระแทกจากการสลายตัวของหัตถ์ไปได้ พวกเขาต่างก็กระอักเลือดออกมาพร้อมซวนเซ ในเวลาเดียวกัน ตรงกลางสนามรบก็มีพื้นที่ว่างกว้างใหญ่ปรากฏออกมาในบัดดล


หวังเป่าเล่อเป็นคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงกลางพื้นที่นั้น ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาวาวโรจน์ไปด้วยความกระหายการต่อสู้ ภาพนี้ฝังเข้าไปในใจของทุกๆ คนในที่นั้น ช่างเป็นภาพที่น่าจดจำเสียจนพวกเขาไม่อาจลืมเลือนได้เลย


สีหน้าของทั้งศิษย์แห่งเต๋ากูโม่และพ่อบ้าน รวมไปถึงผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทั้งสองจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่จ้องมองไปยังหวังเป่าเล่อนั้นมีทั้งความตกใจและหวาดกลัวระคนกัน การสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ก็ยังไม่เทียบเท่าการปัดป้องการโจมตีระดับดาวพระเคราะห์ อันแรกอาจจะน่าตกใจ แต่อันหลัง…ช่างน่าเกรงขามและน่าสะพรึงกลัว!


ไม่ใช่แค่พวกเขาที่รู้สึกเช่นนั้น ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ รวมไปถึงประมุขสำนักและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เองก็ตกใจเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน พวกเขาต่างมึนงงกับสิ่งที่ได้เห็น โดยเฉพาะผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย ชายชราถึงกับส่งเสียงตะโกนออกมาตามสัญชาติญาณ เปล่งเสียงเรียกชื่อตำแหน่งในตำนานจากส่วนลึกในความทรงจำ!


“มหาศิษย์เต๋าอย่างนั้นหรือ”


“มหาศิษย์เต๋าหรือ เป็นไปไม่ได้! สถานที่นี้เป็นเพียงอาณาเขตอันห่างไกลในจักรพิภพทั้งสิบเก้าของเรา ที่แห่งนี้มีเพียงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เท่านั้น มหาศิษย์เต๋าในตำนานจะมาอยู่ในที่ด้อยพัฒนาอย่างนี้ได้อย่างไร” ประมุขสำนักแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถึงกับอ้าปากกว้างด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง


ชายชรารู้ดีว่าระดับดาวพระเคราะห์ไม่มียศถาที่เกี่ยวข้องกับเต๋า แปลว่ายศมหาศิษย์เต๋านั้นไม่ใช่ชื่อที่จะมอบให้ผู้ที่บรรลุขั้นปราณระดับดาวพระเคราะห์แต่อย่างใด ยศดังกล่าวสงวนเอาไว้สำหรับอัจฉริยะจากสำนักที่แข็งแกร่งจากจักรพิภพเต๋าและจากตระกูลที่เข้มแข็งเช่นตระกูลไม่รู้สิ้นเท่านั้น!


อัจฉริยะเหล่านั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สำนักหรือตระกูลเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีและลงทุนในการฝึกปรือไปมากมาย พวกเขาเป็นผู้ที่จะมาสืบทอดตำแหน่งประมุขสำนักหรือประมุขตระกูลในอนาคต ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นนั้น อัจฉริยะเหล่านั้นถูกขนานนามว่า…มหาศิษย์เต๋า!


นั่นเพราะพวกเขาถือว่าอยู่ในอีกระดับหนึ่งหากเทียมกับผู้ฝึกตนทั่วๆ ไป พวกเขามีความสามารถในการรับมือคู่ต่อสู้ที่มีระดับปราณสูงกว่า แถมยังมีพลังปราณสำรองอันเหลือล้น หากการฟูมฟักของพวกเขาสัมฤทธิ์ผล พวกเขาก็สามารถรับช่วงต่อในฐานะผู้กุมอำนาจสูงสุดในสำนักหรือตระกูลได้ เมื่อถึงเวลานั้น…พวกเขาก็จะกลายเป็นปราชญ์แห่งเต๋า ผู้จะนำสำนักหรือตระกูลไปสู่ความรุ่งโรจน์!


เป็นสาเหตุให้พวกเขาถูกขนานนามว่ามหาศิษย์เต๋า!


ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเพิ่งได้เห็นหวังเป่าเล่อปัดป้องการโจมตีของเขาได้สำเร็จ ชายชรายังสัมผัสได้อีกด้วยว่าหวังเป่าเล่ออยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นปลายเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็มีพลังวิญญาณสำรองอันเหลือล้นจนกระทั่งผู้อาวุโสมือซ้ายถึงกับตะลึง ทุกสิ่งทุกอย่างบ่งชี้ไปยังชื่อตำแหน่งที่ปรากฏขึ้นมาในมโนสำนึกของชายชรา


ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ตกใจไม่แพ้กัน แต่เหตุผลในการตกใจของเขาต่างจากผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายอยู่สักหน่อย ในฐานะผู้ที่กำลังป้องกันแผ่นดินจากผู้รุกราน ชายวัยกลางคนกังวลเรื่องความอยู่รอดของสำนักของตนเหนือสิ่งอื่นใด เขาเป็นคนแรกที่หายจากอาการตื่นตะลึง ก่อนจะส่งการโจมตีออกไปทันที ประมุขสำนักและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต้องรีบหลุดออกจากภวังค์ก่อนจะหันกลับมาตั้งใจต่อสู้อีกครั้ง การโจมตีอันรุนแรงที่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ซัดออกมานั้นทำให้ทั้งประมุขสำนักและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่มีช่องไปโจมตีหวังเป่าเล่อได้ในตอนนั้น


แต่…หวังเป่าเล่อนั้นมีช่องจู่โจมแน่นอน ชายหนุ่มจะไม่ยอมให้ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายกดดันอยู่ได้ฝ่ายเดียว นัยน์ตาของเขาส่องประกายขณะที่เงยศีรษะขึ้นมองผู้อาวุโส


ไม่ว่าเราจะทำอะไร ทุกสิ่งก็มีดีและเสีย!


อย่าคิดเล่าว่าท่านบิดาของเจ้าทำอะไรเจ้าไม่ได้ เพียงเพราะเจ้าอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์! มีประกายเย็นยะเยือกสะท้อนอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อขณะที่ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นในอากาศ ภายในใจของเขาสั่นไหวเมื่อฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ที่อยู่ในเปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายเริ่มสั่นไหวรุนแรง หนึ่งในสามนิ้วหักงอภายในเปลวเพลิงแตกกระจายและหายไปทันที ก่อนจะมาปรากฏอยู่…ด้านนอกกายหวังเป่าเล่อ ตรงเหนือศีรษะของเขานั่นเอง!


นิ้วนั้นเป็นสีแดงฉานรายล้อมไปด้วยสายฟ้าฟาด มีรัศมีของความบ้าคลั่งและโหดร้ายแผ่ออกมา เพียงพอที่จะทำให้ใบหน้าของผู้คนที่ได้เห็นนั้นซีดเผือด!


เมื่อนิ้วมาปรากฏ มันก็กลับหลังหันและชี้ไปยัง…ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทันที!


จักรวาลส่งเสียงครืนสนั่น ความว่างเปล่าสั่นไหวขณะที่พลังระดับดาวพระเคราะห์พวยพุ่งขึ้นไปยังสรวงสวรรค์ ครอบคลุมทั้งจักรวาลและทำให้ทุกชีวิตบนสนามรบตื่นตะลึงอีกครั้ง


นั่นก็เพราะ…พลังที่อยู่ในนิ้วนั้นเป็นพลังระดับดาวพระเคราะห์ที่แท้จริง ดูๆ แล้วอาจแข็งแกร่งกว่าหัตถ์ที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายซัดออกมาเสียอีก!


“มันอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์!”


“สวรรค์ หลงหนานจื่อมันไม่เจอตั๋วทองคำชนิดไหนมากัน ถึงได้บรรลุขั้นปราณได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ เขาปกปิดระดับปราณที่แท้จริงมาจนถึงตอนนี้เลยเชียวหรือ”


“เขารู้วิธีใช้เคล็ดวิชาฝึกปราณของราชวงศ์ และยังสามารถควบคุมวิญญาณคนตายของตระกูลได้อีก เขาอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย แต่มีพลังพอที่จะสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ ทั้งยังยืนหยัดรับมือกับการโจมตีระดับดาวพระเคราะห์ได้ แถมตอนนี้ ยังเรียกนิ้วระดับดาวพระเคราะห์ออกมาได้อีก!”


ผู้ฝึกตนทั้งสองฝ่ายต่างพากันเสียอาการจากเหตุการณ์น่าตื่นตะลึงที่เกิดขึ้นต่อๆ กัน เทพธิดาหลิงโยวและผู้ฝึกตนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์รวมถึงประมุขสำนักและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตื่นตกใจมากกว่าใครเพื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย ผู้ซึ่งขณะนี้มีสีหน้าตื่นตกใจ ความกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจ ขณะที่เสียงเตือนอันตรายดังสนั่นอยู่ในศีรษะ


“สังหารเขาเสีย!” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อฉาบสะท้อนไปด้วยจิตสังหาร ขณะที่มือขวาของเขาสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ก่อนจะชี้ไปยังผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายทันที!

 

 

 


บทที่ 862 สหายร่วมสำนักเต๋า!

 

ทันทีที่หวังเป่าเล่อออกคำสั่งไป นิ้วระดับดาวพระเคราะห์ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะเขาก็ส่องประกายสว่างจ้าออกมาทันที มันส่องประกายราวกับเป็นดวงตะวัน แสงสว่างไหลบ่าท่วมจักรวาล ส่งเอาแสงแรงกล้าเข้าไปทิ่มแทงลูกตาของผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะหรือต่ำกว่า ดวงตาของพวกเขาแสบร้อน วิสัยทัศน์พร่ามัว


หวังเป่าเล่อหล่อเลี้ยงนิ้วระดับดาวพระเคราะห์นี้มาเป็นเวลานานมาก มันติดไฟขึ้นมาทันทีที่ปล่อยพลังออกมา เป็นการเสริมความแข็งแกร่ง ความเจิดจ้าของแสง และพลังที่มันปล่อยออกมาในคราวเดียว


ก่อนที่ทุกคนจะกลับมามองเห็นอีกครั้ง นิ้วหักๆ นิ้วนั้นก็พุ่งออกไปราวกับเป็นดาวหาง เดินทางข้ามจักรวาลราวกับว่ากำลังไหลข้ามไป มันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนแทบไม่น่าเชื่อ มาปรากฏอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ระดับดาวพระเคราะห์ระหว่างปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และคู่ปรับของเขาจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์


นิ้วนั้นเล็งเป้าไปยังผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและมุ่งตรงไปหาหน้าผากของอีกฝ่ายทันที ทุกสิ่งเกิดขึ้นในพริบตา ก่อนที่ผู้ฝึกตนรอบกายผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายจะทันเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากผู้อาวุโสและเสียงระเบิดที่ดังสนั่นก้องจักรวาล


สาเหตุของการกรีดร้องนั้นก็เพราะนิ้วหักๆ ระดับดาวพระเคราะห์นั่นเอง พลังระดับดาวพระเคราะห์ที่นิ้วนั้นมีช่างรุนแรงและเพิ่มพูนขึ้นเพราะการแผดเผาตนเอง ราวกับว่ามีคู่ต่อสู้ระดับดาวพระเคราะห์อีกคนแอบเข้ามาในการต่อสู้และลอบโจมตีพวกเขากระนั้น


พลังทำลายของการลอบโจมตีย่อมต้องน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่กำลังส่งเสียงกรีดร้องเริ่มขยับตัวอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะสร้างผนึกฝ่ามือเป็นชุดๆ และปล่อยพลังเทพออกมาพร้อมๆ กัน ประมุขสำนักของเขาก็กำลังขยับตัวเพื่อป้องกันไม่ได้การโจมตีนั้นมาโดนกาย แต่ก็ช้าเกินไป ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ย่อมไม่ยอมให้โอกาสทองนี้หลุดมือไป ชายวัยกลางคนปล่อยพลังปราณออกมาเต็มที่และเมินประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาปล่อยพลังปราณเต็มขั้นเข้าใส่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายทันที


ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายถูกต้อนจนมุม นิ้วหักๆ ระดับดาวพระเคราะห์ของหวังเป่าเล่อมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาในพริบตา แต่ชายชราก็ยังเป็นผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ การดูถูกความสามารถของเขาไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ ในวินาทีเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนั้น แววตาเปื้อนเลือดของผู้อาวุโสก็ปรากฏประกายแห่งความบ้าคลั่งและมุ่งมั่นขึ้นมา เขาตัดสินใจเรียกใช้ดาวเคราะห์ของตน แต่จะไม่เรียกกายมายาของดาวเคราะห์ออกมา เขา…จะเรียกร่างจริงของดาวเคราะห์ให้มาปรากฏ!


ดาวเคราะห์สีแดงฉานปรากฏออกมาจากกายผู้อาวุโส แม้จะมีขนาดเท่ากำปั้นแต่ก็เป็นดาวเคราะห์จริงๆ ภาพเงาอันยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นหลังผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย ทำให้ทุกคนบนสนามรบถึงกับตื่นตะลึง เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสตัดสินใจทุ่มทุกอย่างลงไปในการต่อสู้ครั้งนี้


ในการต่อสู้ระดับดาวพระเคราะห์ทั่วๆ ไป มากสุดผู้ที่ต่อสู้ก็เรียกเพียงกายมายาของดาวเคราะห์ของตนออกมาเท่านั้น พวกเขาจะเรียกร่างจริงดาวเคราะห์ออกมาก็ต่อเมื่อ…เป็นสถานการณ์ที่จะถึงชีวิต การต่อสู้กันของสามผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ดำเนินมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครในสามคนที่ต้องเรียกร่างจริงของดาวเคราะห์ของตนออกมา ทว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว…ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายรู้ดีว่าหากไม่ทำเช่นนั้น โอกาสรอดชีวิตของตนก็จะเท่ากับศูนย์!


ภัยถึงตายนั้นไม่ได้มาจากนิ้วหักๆ ระดับดาวพระเคราะห์ของหวังเป่าเล่อเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ด้วย ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอันบ้าคลั่ง ผู้อาวุโสก็ส่งดาวเคราะห์สีแดงของตนออกไปอย่างรวดเร็ว จักรวาลสั่นสะเทือนเมื่อดาวเคราะห์นั้นปะทะเข้ากับนิ้วที่หัก ก่อให้เกิดเสียงดังกึกก้อง


เกิดเสียงครืนดังสนั่นชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนกระจายออกไปทั่วจักรวาล นิ้วที่หักนั้นทรงพลังยิ่ง แต่การสวนกลับอย่างสิ้นหวังของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเองก็รุนแรงไม่น้อยเช่นกัน การปะทะกันของทั้งดาวเคราะห์และนิ้วที่หักส่งเอาคลื่นพลังวิญญาณไหลทะลักท่วมสนามรบ นิ้วที่หักบุบทลายก่อนจะสลายไปในพริบตา ทางด้านผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเองก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการตัดสินใจโจมตีกลับเช่นกัน!


ดาวเคราะห์สีแดงฉานสั่นไหวอย่างรุนแรงหลังจากที่นิ้วหักๆ นั้นสลายไปแล้ว เริ่มมีรอยร้าวปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของดวงดาวสีแดง แม้มันจะรอดมาได้แต่ก็เสียหายอย่างหนัก เศษดินและหินหลุดร่วงลงมาจากแผ่นเปลือกโลก ผู้อาวุโสมีเลือดซึมออกมาจากริมฝีปาก


การจู่โจมยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านั้น ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์คำรามก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณสูงสุดออกมาอีกครา ผมทั้งศีรษะที่เคยดกดำจู่ๆ ก็ขาวโพลนไปหมดในพริบตา และมีริ้วรอยปรากฏขึ้นบนใบหน้าด้วยเช่นกัน ดูเหมือนว่าเขาจะแก่ตัวลงอย่างก้าวกระโดด เป็นราคาที่ต้องจ่ายในการจะจับตัวประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เอาไว้แม้เพียงอึดใจ เพื่อซื้อโอกาสที่จะยกมือขวาของเขาชี้ไปใส่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายนั่นเอง!


มีรอยนิ้วมือขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นพร้อมเสียงกัมปนาทดังสนั่น ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายจ้องมองมันด้วยความหวาดผวาขณะที่รอยนิ้วมือนั้นค่อยๆ ร่วงลงมาก่อนจะตกลงไปบนดาวเคราะห์ของเขา


เกิดเสียงดังสนั่นจักรวาล และมีเสียงครืนลั่นสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณ ดาวเคราะห์สีแดงของผู้อาวุโสมือซ้ายไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป ในอีกอึดใจถัดมา…ดาวเคราะห์ดวงนั้นก็ถล่มลงทั้งหมด แตกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่กระเด็นกระดอนไปทั่วสนามรบ


ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายส่งเสียงกรีดร้องดังสนั่นเมื่อดาวเคราะห์แตกสลายไป ร่างกายของเขาเองก็ดูเหมือนว่าจะเหี่ยวและยุบเข้าไปในตัวตามดาวเคราะห์ของเขาไป เหมือนว่าร่างของชายชราเป็นลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออกจนเกลี้ยง แต่แรงระเบิดที่เกิดขึ้นจากการแตกสลายของดาวเคราะห์ไม่อาจหยุดการโจมตีร่วมของหวังเป่าเล่อและปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ลงได้ ทั้งคู่ต่างก็มุ่งตรงเข้ามาหวังจะทำลายวิญญาณของผู้อาวุโสให้สิ้นไป และดูเหมือนว่าเกือบจะทำสำเร็จเสียด้วย แต่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็แข็งแกร่งใช่ย่อย ประกายแห่งความบ้าคลั่งสะท้อนอยู่บนดวงตาของชายชราเมื่อกายเนื้อของเขาระเบิด!


ชายชราใช้พลังที่เกิดจากการทำลายตนเองสะท้อนการโจมตีร่วมออกไป เพื่อซื้อเวลาให้วิญญาณของเขาได้มีโอกาสหนี ในวินาทีต่อมา วิญญาณของเขาก็ดิ้นหนีออกจากเงื้อมมือของความตายและรีบถอยหนีจากสนามรบไปอย่างลนลาน


“หลงหนานจื่อ!” วิญญาณของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายตะโกนด้วยความคั่งแค้นและเกลียดชัง ความเสียหายที่ตัวเขาได้รับนั้นหนักหนาอย่างชัดเจน ในขณะที่วิญญาณของเขายังอยู่เป็นตัวตน กายเนื้อของเขากลับถูกทำลายจนสิ้นซาก ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ…ดาวเคราะห์ของเขาถูกทำลาย ระดับปราณร่วงหล่นลงไปเพราะเหตุนั้น และชายชราก็ไม่อาจกลับขึ้นสู่ระดับดาวพระเคราะห์ได้อีกเป็นครั้งที่สอง!


ความเกลียดชังที่เขามีต่อหวังเป่าเล่อนั้นมากมายเกินจะวัด ชายชราย่อมไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มรอดไปได้แน่ หวังเป่าเล่อยืนอยู่ห่างออกไปขณะที่โทสะและความอาฆาตพยาบาทไหลบ่าเข้าท่วมจิตใจของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายเย็นยะเยือก จากนั้นก็มีบางสิ่งมาปรากฏอยู่เหนือศีรษะเขา…สิ่งนั้นก็คือ นิ้วหักๆ นิ้วที่สองนั่นเอง!


“ลองเรียกชื่อข้าอีกครั้งหนึ่งสิ ข้าขอท้าเจ้า”


เสียงกรีดร้องของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเงียบลงในบัดดล ชายชรารีบกดเอาความเกรี้ยวกราดและเกลียดชังในใจเอาไว้ แล้วล่าถอยไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันหลังกลับมามอง เขาหนีออกไปได้ไกลลิบภายในพริบตา ร่างกายที่พ่ายแพ้และน่าเวทนาของเขาช่างเป็นภาพที่บาดตายิ่ง


ผลกระทบจากการที่ดาวเคราะห์ของผู้อาวุโสถูกทำลายเริ่มจะแสดงออกมา คลื่นพลังวิญญาณอันรุนแรงพลุ่งพล่านขึ้นมาราวกับเป็นพายุยักษ์ก่อนจะกวาดไปทั่วจักรวาล มันดูราวจะสามารถพัดทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าให้ราบเป็นหน้ากลางไปในพริบตา สนามรบดูจะพร่ามัวลงไปในบัดดล ทั้งปรมาจารย์มหาทัณฑ์และประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ต้องล่าถอยไปให้พ้นระยะแรงระเบิดจากดาวเคราะห์ที่ถูกทำลาย ไม่มีทางที่พวกเขาจะต่อสู้กันได้ต่อ ทั้งคู่ต่างพยายามลดทอนพลังทำลายของแรงระเบิดที่มาจากดาวเคราะห์ของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่เพิ่งถูกทำลายไป


เพราะอย่างไรเสีย…ต่อให้พวกเขาสามารถรอดพ้นจากแรงระเบิดไปได้ แต่ผู้ฝึกตนราวร้อยละเก้าสิบบนสนามรบก็คงไม่อาจรอดตาย หากพวกเขาปล่อยให้แรงระเบิดนั้นกวาดไปทั่วสนามรบได้ตามอำเภอใจ


ความเสียหายอันใหญ่หลวงขนาดนั้นเป็นสิ่งที่ผู้นำของทั้งสองฝ่ายไม่อาจยอมรับได้ ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พาศิษย์ในสำนักมาร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น สำนักของเขาเป็นเพียงหนึ่งในสำนักที่เข้าร่วมการรุกราน จะเป็นการดีที่สุดหากพวกเขาชนะตั้งแต่การโจมตีระลอกแรก แต่ชายชราก็ไม่ต้องการได้รับชัยชนะหากต้องจ่ายด้วยชีวิตจำนวนมหาศาลของฝ่ายตนเอง


สายฟ้าฟาดส่งเสียงดังสนั่นสะท้อนไปทั่วสนามรบ เมื่อผู้นำทั้งสองต่างก็ล่าถอยไปพลางและพยายามลดแรงกระแทกที่กำลังกระจายไปทั่วจักรวาลไปพลาง


ตอนนั้นเองคนอื่นๆ ก็เพิ่งจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจน สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือร่างอันพร่าเลือนของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่กำลังหนีออกจากสนามรบไปไกลลิบ


ความหวาดกลัวกระจายไปทั่วกองกำลังสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ คลื่นความตื่นตะลึงท่วมท้นขึ้นภายในใจ จนเกิดเป็นความโกลาหลขึ้นในหมู่ผู้ฝึกตนทันที ทุกคนเริ่มล่าถอยตามสัญชาติญาณ


“ผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย…”


“ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายพ่ายแพ้อย่างนั้นหรือ”


“ดูศิลาสีแดงพวกนั้นสิ…สวรรค์ นั่นคือร่างดาวเคราะห์ของเขาหรือ”


ผู้ฝึกตนสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ต่างก็ตะลึงด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน แต่เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายถูกรุกราน ความตื่นตกใจจึงผสมปนเปไปกับความตื่นเต้นอย่างหนัก พวกเขาเดินหน้าใส่คนของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังถอยหนีอย่างไม่เกรงกลัว


กระแสของการรบเปลี่ยนไปในบัดดล ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด นัยน์ตาแดงฉานจ้องเขม็งไปยังปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และหวังเป่าเล่อตาไม่กะพริบ ก่อนจะหรี่ลงเมื่อมองไปเห็นนิ้วหักๆ ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของชายหนุ่ม ประมุขสำนักรีบข่มใจเก็บโทสะและความบ้าคลั่งภายในเอาไว้ ก่อนจะสะบัดข้อมือ เรียกพายุใหญ่ที่ดึงเอากองกำลังที่เหลืออยู่ของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ให้ถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว


ความพยายามในการรุกรานระลอกแรกของอารยธรรมครามทองคำ…ล้มเหลว แถมพวกเขายังเผชิญกับความสูญเสียอย่างหนักอีกด้วย!


สาเหตุของความพ่ายแพ้นั้นมาจาก…การที่หวังเป่าเล่อเข้ามาร่วมศึกด้วย!


ผู้ฝึกตนจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไม่ยอมให้คนของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หนีไปได้ง่ายๆ พวกเขาพากันต่อสู้กับศัตรูอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งเมื่อประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ใช้พลังเทพพาสมาชิกสำนักทุกคนหนีไปได้ เมื่อนั้นบรรดาผู้ต่อต้านจึงได้หยุดต่อสู้ ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเสียงไชโยโห่ร้องดังก้องสนามรบ เสียงนั้นมาจากบรรดาผู้คนที่รอดพ้นเงื้อมมือของพญามัจจุราชมาได้นั่นเอง


ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ผู้ที่ต่อสู้อย่างสุดแรงมาโดยตลอดพยายามอย่างหนักที่จะไม่แสดงอาการอ่อนแอออกมาให้เห็น ชายวัยกลางคนเหลือบมองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะกลืนเลือดอึกใหญ่ที่คั่งค้างอยู่ในปากอย่างไม่แสดงสีหน้าใดๆ และยิ้มออกมาอย่างจริงใจ จากนั้นก็หันไปโค้งคำนับต่ำให้หวังเป่าเล่อต่อหน้าบรรดาศิษย์ ไม่สนใจยศถาหรือระดับปราณใดๆ แม้แต่น้อย


“ขอขอบคุณสหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อสำหรับความช่วยเหลือ! ทั้งตัวข้าและสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เป็นหนี้ท่านครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก!”


หากเป็นในอดีต เขาคงไม่เรียกหลงหนานจื่อว่าสหายร่วมสำนักเต๋า


คงไม่กระทำตนเหมือนว่าหลงหนานจื่อนั้นเป็นผู้เท่าเทียม


ความเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียงและท่าทางนั้น…แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกภายในของชายวัยกลางคนที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง!

 

 

 


บทที่ 863 ช่วยเหลือสำนักเต๋าใหม่ครามท...

 

วิธีที่เขาปฏิบัติตนต่อหวังเป่าเล่อในอดีตเป็นเหมือนการแสดงออกว่าตัวเขาเองนั้นเหนือกว่า และแสดงให้เห็นสถานะอันยิ่งใหญ่กว่าในฐานะปรมาจารย์ของสำนัก แม้ว่าผู้ฝึกตนทุกคนของสำนักจะเป็นศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เหมือนๆ กัน แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ทั้งสถานะและยศก็ไม่อาจเทียบเทียมเขาได้


เพราะเหตุนี้จึงไม่มีใครเลยที่คู่ควรให้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เรียกว่าสหายร่วมสำนักเต๋า ไม่มีใครเลยที่สมควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เขาคิดว่าสมควรจะเรียกว่าสหายร่วมสำนักเต๋า หนึ่งก็คือปรมาจารย์ของสำนักผนึกผังดาวหกแฉก และอีกคนหนึ่งก็คือผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ


และบัดนี้ ก็มีเพิ่มมาอีกหนึ่งคน!


ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ประทับใจกับความสามารถที่หวังเป่าเล่อได้แสดงให้เห็นในสนามรบ พลังรบที่หวังเป่าเล่อได้สำแดงออกมานั้นก้าวล้ำไปกว่ากำลังรบของกองทหารทั้งกอง ถึงขั้นที่ว่าชายหนุ่มสามารถตั้งสำนักเป็นของตนเองได้ อันที่จริงแล้ว ในแง่หนึ่งหวังเป่าเล่อตอนนี้ทรงพลังยิ่งกว่าสำนักบางสำนักเสียด้วยซ้ำ นั่นเพราะกองทหารขั้นจิตวิญญาณอมตะของเขาสร้างขึ้นมาจากหุ่นเชิด และกองทัพหุ่นเชิดของชายหนุ่มจะลุกฮือขึ้นมาเมื่อเขาสั่งเพียงครั้งเดียว อีกทั้งยังพร้อมสู้ชนิดไม่เกรงกลัวความตาย ซึ่งตรงข้ามกับสำนักต่างๆ ที่ย่อมเผชิญความยากลำบากหากจะให้ศิษย์ของสำนักสู้แบบไม่กลัวเกรงเช่นนั้น


 ความสามารถเฉพาะตัวในการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อก็ทำให้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ประทับใจเช่นเดียวกัน  ต่อให้หวังเป่าเล่อทำได้เพียงสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ เพียงเท่านี้ก็ทำให้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์หันมาสนใจเป็นพิเศษได้แล้ว


แต่จากนั้นหวังเป่าเล่อยังสามารถต้านทานการโจมตีจากผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้แถมยังรอดชีวิตมาได้อีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เองก็คาดไม่ถึง หลังจากนั้น หวังเป่าเล่อยังโจมตีไม่หยุดหย่อน ใช้นิ้วมือระดับดาวพระเคราะห์เพื่อโจมตีสวนกลับ ชายหนุ่มเกือบจะสังหารผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายได้ด้วยการโจมตีผสานกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์ด้วยซ้ำไป


ที่สำคัญที่สุดคือ…หลังจากที่หวังเป่าเล่อทำอะไรต่อมิอะไรไปมากมาย ก็ยังมีนิ้วมือระดับดาวพระเคราะห์อีกนิ้วมาปรากฏบนศีรษะ ทุกๆ สิ่งทำเอาปรมาจารย์มหาทัณฑ์แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง เขารู้ว่านี่เป็นการแสดงความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อ และอย่างไรเสีย ใครก็ตามที่สามารถฝึกปราณจนไปถึงจุดนั้นได้ย่อมไม่ใช่คนโง่ การแสดงความแบ็งแกร่งนั้นได้ผลอยู่ไม่น้อย ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ลืมความคิดทุกอย่างที่เขามีอยู่ก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น


เขามีพลังที่สามารถเรียกใช้พลังระดับดาวพระเคราะห์และรับมือกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ ความแข็งแกร่งของเขาไม่ธรรมดา แต่หากคิดถึงเรื่องที่เขาสามารถใช้ดวงเนตรสวรรค์รวมถึงต้นกำเนิดของหุ่นเชิดของเขาด้วยแล้ว…ปรมาจารย์มหาทัณฑ์หรี่ตาลง ขณะที่เขากำลังคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ เขาก็นึกถึงคำที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้เอ่ยกับประมุขสำนักขึ้นมาได้ คำว่า มหาศิษย์เต๋า


ความคิดนั้นทำเอาอารมณ์ความรู้สึกของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ปั่นป่วนไปหมด ชายวัยกลางคนพอจะคาดเดาได้ว่าหวังเป่าเล่อต้องได้รับโอกาสชิ้นงามเพียงใดจึงจะได้ครอบครองพลังอันมหาศาลนี้ ทั้งๆ ที่ตนอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นเท่านั้น ไหนจะยังผลประโยชน์มากมายที่ชายหนุ่มน่าจะได้รับมาจากโอกาสครั้งนั้น แต่เขาก็รู้ถึงความแข็งแกร่งและสติปัญญาอันชาญฉลาดของหวังเป่าเล่อดี รวมถึงความแค้นอันหนาแน่นที่เป็นเชื้อเพลิงให้กับนิสัยบ้าระห่ำของชายหนุ่มอีกด้วย ราคาที่หวังเป่าเล่อต้องจ่ายหากเขาล้มเหลวนั้นแพงเกินกว่าจะยอมรับได้ อีกอย่างสถานการณ์ปัจจุบันก็ยังไม่อนุญาตให้ชายหนุ่มทำการบุ่มบ่ามได้ เพราะการรุกรานจากอารยธรรมครามทองคำยังไม่หายไปไหน


แม้ว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จะชนะการต่อสู้ในครั้งนี้ แต่สงครามก็เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดระหว่างการรุกรานจากภายนอกคือความไม่มั่นคงภายใน หากเรื่องครั้งนี้แพร่งพรายออกไป ก็จะต้องส่งผลให้คนอื่นๆ พากันขยาดกลัวเป็นแน่ เพราะอย่างไรเสียหากไม่ได้หวังเป่าเล่อ ผลลัพธ์การต่อสู้ครั้งนี้ก็คงจะต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้จริงๆ


ยิ่งไปกว่านั้น…ความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่ออาจเป็นองค์ประกอบสำคัญในสงครามข้ามอารยธรรมครั้งนี้ ความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาในใจของปรมาจารย์มหาทัณฑ์และถูกวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว ในที่สุด ชายวัยกลางคนจึงตัดสินใจวางผลประโยชน์ส่วนตัว ความยิ่งทนง และสถานะลง ก่อนจะปฏิบัติกับหวังเป่าเล่ออย่างเท่าเทียมกัน ทั้งสีหน้าและท่าทางต่างก็เต็มไปด้วยความจริงใจ


“หากท่านไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือ สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อาจไม่รอดจากการต่อสู้ครั้งนี้ก็เป็นได้ สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ โปรดรับการคารวะจากข้าด้วยเถิด!” ขณะที่พูดไปนั้น ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็ยกมือประสานก่อนก้มศีรษะคำนับหวังเป่าเล่อต่ำต่อหน้าสานุศิษย์ทุกคนตรงนั้น


“สหายร่วมสำนักเต๋า ไม่มีความจำเป็นต้องขอบคุณข้าแม้แต่น้อย ข้าเองก็เป็นศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เองก็ช่วยเหลือข้าไว้หลายครั้งในอดีต ข้าเพียงแต่ทำสิ่งที่ควรต้องทำก็เท่านั้น” มีประกายเจิดจ้าสะท้อนอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์คาดเดาถูกต้อง ชายหนุ่มเรียกนิ้วระดับดาวพระเคราะห์นิ้วที่สองออกมา ไม่เพียงเพื่อหวังจะข่มขู่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเท่านั้น แต่เพื่อจะทำให้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ประทับใจอีกด้วย หลังจากที่เห็นท่าทีของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่มีต่อตนเอง หวังเป่าเล่อก็รีบพูดตอบออกมาทันที


“สหายร่วมสำนักเต๋า การคารวะครั้งนี้ไม่ได้มาจากข้าเพียงคนเดียว แต่จากทั้งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ของเรา พวกเราขอขอบคุณสหายผู้ทรงเกียรติสำหรับความช่วยเหลือในครั้งนี้!” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ทำสีหน้าดื้อดึง มือก็ยังคงประสานกัน ก่อนที่จะก้มศีรษะคำนับต่ำอีกครั้ง จากนั้นก็ช้อนตามองหวังเป่าเล่อ ดูคล้ายว่าอยากจะพูดอะไรบางอย่าง จนในที่สุดก็พูดออกมา


“สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ แม้ว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จะชนะศึกในครั้งนี้ แต่ชัยชนะนี้ก็ซื้อเวลาให้อารยธรรมของเราเพียงเล็กน้อยก่อนที่การทำลายล้างจะมาถึง…ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องขอความช่วยเหลือจากท่านอย่างไม่สมเหตุสมผล…ข้าได้แต่หวังว่าท่านจะตกลง!”


 “อย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาก่อนจะพูดอย่างชั่งใจ


“สหายร่วมสำนักเต๋าผู้ทรงเกียรติต้องการให้ข้าไปช่วยสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำใช่หรือไม่”


ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่แปลกใจที่หวังเป่าเล่ออ่านใจเขาออก เพราะอย่างไรเสีย หวังเป่าเล่อคงมาถึงจุดนี้ไม่ได้หากไร้ซึ่งความเฉลียวฉลาดและปราดเปรื่องเหนือกว่าคนทั่วไป


 อันที่จริงแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดอยู่จริงๆ ชายวัยกลางคนรู้ดีว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้โจมตีสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเมื่อครั้งที่พวกเขามาบุกรุกสำนัก เขารู้ดีว่าความอยู่รอดของทั้งสองสำนักต่างก็ขึ้นอยู่กับกันและกัน หากสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำถูกกำจัดไป ความหวังในการอยู่รอดของพวกเขาในสงครามระหว่างอารยธรรมครั้งนี้ก็คงไม่เหลือเช่นกัน


แม้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะดูเหมือนไม่เป็นไร แต่เขาก็ได้ผลาญพลังปราณไปจำนวนมากในการต่อสู้รับมือกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สองคน เพื่อจะหยุดไม่ให้ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ขยับสะดวก และเพื่อสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายอีกด้วย แม้จะพร้อมต่อสู้ แต่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็ยังไม่ได้รู้สึกสบายตัวนัก ยิ่งไปกว่านั้น ชายวัยกลางคนยังกังวลว่าประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะกลับมาโจมตีอีกครั้งหากเขาจากไป


เป็นเหตุให้การส่งหลงหนานจื่อ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นอันดับสองในสำนักนำกองทัพไปช่วยสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ชายวัยกลางคนรู้ดีว่าภารกิจนี้อันตรายเพียงใด และก็ยังรู้อีกด้วยว่าหลงหนานจื่อเองก็เคยมีความบาดหมางกับสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำในอดีต จึงเป็นเหตุให้เขาไม่กล้าจะเอ่ยคำขอออกไปตรงๆ


แต่หวังเป่าเล่อก็ได้พูดความคิดของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ออกมาเสียแล้ว ชายวัยกลางคนสูดลมหายใจเข้าลึกและตัดสินใจไม่พูดสิ่งใดอีก เพียงแต่ยกมือขึ้นประสานอีกครั้ง


หวังเป่าเล่อหรี่ตาก่อนจะใคร่ครวญเรื่องนี้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาจะต้องให้ความช่วยเหลือ การต่อสู้ในสงครามนี้คงจะยากขึ้นมากหากสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำถูกทำลายย่อยยับไป


“ข้าจะไป!” หวังเป่าเล่อพยักหน้า


ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เงยหน้าขึ้นจ้องหวังเป่าเล่อด้วยนัยน์ตาลึกซึ้งเปี่ยมความหมาย ก่อนจะออกคำสั่งให้กองทหารอันดับหนึ่งตามการนำของหวังเป่าเล่อไป แต่ไม่ได้ส่งศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ไปด้วย บทผู้บัญชาการนั้นถูกส่งต่อให้พ่อบ้านแทน


ชายวัยกลางคนยังสั่งให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางอีกสามคนตามไปด้วย เทพธิดาหลิงโยวเป็นหนึ่งในนั้น มีการจัดแจงเรื่องต่างๆ อย่างรวดเร็ว จากนั้นกองทหารของหวังเป่าเล่อและกองทหารอันดับหนึ่งก็ออกเดินทาง พุ่งทะยานผ่านประตูเคลื่อนย้ายของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และมุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำทันที


แม้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะไม่ได้ร่วมภารกิจนี้ด้วยตนเอง ชายวัยกลางคนก็ได้ส่งรูปปั้นขนาดเล็กมาให้พ่อบ้าน พลังร่างอวตารของเขาได้ถูกผนึกเอาไว้ในรูปปั้นนี้ แม้ว่าไม่อาจเทียบเท่าพลังที่แท้จริงของดาวพระเคราะห์ แต่พลังการทำลายตัวเองก็อาจพอเทียบเคียงได้บ้าง


ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่ได้ปกปิดการกระทำใดๆ ของเขาจากหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย อันที่จริงแล้ว เขาถึงขนาดยื่นรูปปั้นให้พ่อบ้านต่อหน้าหวังเป่าเล่อเพื่อแสดงความจริงใจ


ชายหนุ่มพยักหน้ากับตนเองเมื่อเห็นเช่นนั้น ทั้งกองทัพของเขาและกองทหารอันดับหนึ่งต่างก็ก้าวออกจากประตูเคลื่อนย้ายไปสู่อาณาเขตสาธารณะของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เมื่อหวังเป่าเล่อออกคำสั่ง กองทหารทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำทันที


แม้ว่าพวกเขาจะประหยัดเวลาไปได้มากจากการใช้ประตูเคลื่อนย้ายของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แต่การเดินทางไปยังสนามรบก็ยังต้องใช้เวลาอีกราวสองชั่วโมง


เรือบินรบมุ่งหน้าผ่านจักรวาลไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ขณะที่ผู้โดยสารทุกคนต่างฉวยโอกาสพักผ่อน การต่อสู้ครั้งที่แล้วหนักหนายิ่ง และขณะนี้พวกเขาก็กำลังจะไปร่วมการต่อสู้อีกครั้งหนึ่งในฐานะกำลังเสริม ทุกคนเหนื่อยอ่อนทั้งกายและใจ ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะนั่งลงทำสมาธิ ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้ พ่อบ้านก็ได้ส่งเทพธิดาหลิงโยวให้มาอยู่ข้างกายเขา


ชายชราสั่งนางให้พยายามเอาใจหวังเป่าเล่อ และจัดการดูแลเขาไม่ให้ขาดตกบกพร่องในทุกๆ เรื่อง


เทพธิดาหลิงโยวนิ่งเงียบให้กับทัศนคติของสำนักที่มีต่อหวังเป่าเล่อซึ่งเปลี่ยนแปลงไป นางเป็นคนไม่ค่อยพูดค่อยจาและไม่คล่องแคล่วนักในการทำความรู้จักคนอื่นๆ นางจึงยืนอยู่ข้างหวังเป่าเล่ออย่างประหม่า จนกระทั่งชายหนุ่มเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ พวกเขาต่างก็จ้องมองกันไปมาอยู่เป็นเวลานาน


“ข้าคิดว่า มาถึงเวลานี้เราก็เป็นเพื่อนเก่าแก่กันแล้ว ทำไมเจ้าไม่…มานอนตักข้าแล้วพักสักหน่อยเล่า” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะเริ่มพูดก่อน


เทพธิดาหลิงโยวรู้สึกกังวลใจเล็กน้อยมาโดยตลอด และคำพูดของชายหนุ่มก็ทำให้นางตัวเกร็งขึ้นมาทันที สีหน้านางเปลี่ยนไป และไม่อาจหยุดตนเองไม่ให้จ้องหน้าหวังเป่าเล่อเขม็งก่อนจะหันหลังและเดินหนีไปได้


หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นปิดหน้าก่อนจะทอดถอนใจพลางจ้องมองไปยังแผ่นหลังอันงดงามของเทพธิดาหลิงโยว


โชคยังดีที่นางไม่ได้ตอบรับข้อเสนอนั้น ข้าคงไม่รู้จะหยุดนางอย่างไรหากนางตอบตกลง เพราะอย่างไรเสียก็มีคนอยากได้ข้าเพราะความหล่อเหลาอยู่ไม่น้อย พ่อบ้านคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่นะ หวังเป่าเล่อกระแอมกระไออย่างประหม่า หลังจากที่ใช้สัมผัสสวรรค์กวาดรอบบริเวณจนแน่ใจว่าปราศจากอันตราย ชายหนุ่มจึงหรี่ตาลงก่อนจะยกมือขวาขึ้นและดึงเอาแหวนคลังเก็บออกมาวงหนึ่ง!


มันเป็นของที่เขาชิงมาจากผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ของตระกูลไม่รู้สิ้นที่พบระหว่างทำภารกิจให้ปรมาจารย์แห่งไฟ เป็นแหวนคลังเก็บที่หวังเป่าเล่อสงสัยว่ามีสมบัติซ่อนอยู่แต่เปิดดูไม่ได้!


มาดูกันว่าข้าจะปลดผนึกมันได้หรือยัง! นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องสว่างด้วยความลุ้นระทึก ก่อนที่จะปล่อยพลังปราณออกมาและส่งสัมผัสสวรรค์ให้ไหลบ่าเข้าไปสู่แหวนวงนั้น!

 

 

 


บทที่ 864 ขวดเล็กๆ ใบหนึ่ง!

 

หวังเป่าเล่อเคยพยายามปลดผนึกแหวนวงนี้ตั้งแต่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะขั้นปราณของเขายังต่ำเกินไป


ขณะนี้ชายหนุ่มคิดว่าเมื่อปราณของเขาใกล้จะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์แล้ว เขาก็ควรทรงพลังมากพอ…ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงรีบปลดปล่อยพลังปราณและส่งมันไหลท่วมเข้าไปในแหวนราวกับเป็นคลื่นคลั่ง


ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงแรงต่อต้านที่ออกมาจากแหวนแทบจะในทันที มีคำสาปบางอย่างอยู่ภายในแรงต่อต้านนั้น มันปัดป้องการเข้าถึงของสัมผัสสวรรค์ใดๆ ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา


หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงพลังระดับดาวพระเคราะห์ในแรงต่อต้านดังกล่าว เพื่อจะที่ฝ่าแรงต้านทานเข้าไป เขาจึงจำเป็นต้องใช้พลังระดับดาวพระเคราะห์เช่นกัน ชายหนุ่มหรี่ตาลง ก่อนจะเหวี่ยงพลังปราณของเขาอย่างแรงแล้วฟาดลงไปที่แรงต้านทานอย่างสุดกำลัง หวังจะทำลายมันให้แหลกเป็นเสี่ยง ทว่า…แม้จะมีปราณสำรองมากมายเพียงใด ระดับปราณของเขาก็ยังอ่อนแอเมื่อเทียบกับปราณระดับดาวพระเคราะห์ภายในแหวน


พลังปราณของหวังเป่าเล่อเมื่อเทียบกับปราณระดับดาวพระเคราะห์แล้ว ก็เสมือนหมอกกับน้ำ ชายหนุ่มไม่อาจปลดผนึกแหวนคลังเก็บได้ในทันที แต่หวังเป่าเล่อก็เตรียมรับมือเรื่องนี้มาแล้ว ด้วยผนึกฝ่ามือจำนวนหนึ่ง เกราะมหาจักรพรรดิของชายหนุ่มก็ปรากฏขึ้นและเพิ่มพลังปราณให้เขาในทันที ส่งให้มีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งไหลบ่าเข้าไปในแหวน และหวังเป่าเล่อก็รู้สึกได้ว่าพลังต้านทานในแหวนเริ่มอ่อนกำลังลง


แม้จะเล็กน้อยในทีแรก แต่พอเวลาค่อยๆ ผ่านไป เมื่อหวังเป่าเล่อยังคงปล่อยพลังปราณเต็มที่เข้าไปในแหวนเป็นเวลาร่วมสิบห้านาที เขาก็เริ่มได้ยินเสียงแตกร้าวดังขึ้นในศีรษะ คำสาปภายในแหวนคลังเก็บเริ่มแตกร้าว หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงดังกล่าว ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะส่งแรงกดดันเข้าไปเพิ่มนั้นเอง จู่ๆ ก็มีแสงสีขาวสว่างจ้าส่องขึ้นมาจากแหวน!


แรงต้านทานจากแหวนจู่ๆ ก็รุนแรงขึ้น และรอยร้าวจำนวนมากที่เกิดขึ้นก็เริ่มสมานตัวเอง หวังเป่าเล่อมีสีหน้าตกตะลึง


ใครบางคนเพิ่งจะร่ายคาถาป้องกันการบุกรุกทั้งมวล! สัญชาตญาณและประสบการณ์ของหวังเป่าเล่อช่วยให้ชายหนุ่มได้ข้อสรุปว่า ใครก็ตามที่ร่ายคำสาปใส่แหวนวงนี้เอาไว้ กำลังเสริมพลังให้คำสาปจากที่ห่างไกลผ่านวิธีการพิเศษบางอย่าง


ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่สามารถเข้าไปได้! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายเยือกเย็น เปลวเพลิงดารานิรันดร์ภายในกายสั่นไหว และฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ก็ปรากฏขึ้นมาลอยอยู่เหนือศีรษะของชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะปล่อยเปลวเพลิงดารานิรันดร์ออกมารวมกับพลังปราณของตน และโจมตีใส่แหวนอีกครั้งหนึ่ง!


แรงต่อต้านที่ออกมาจากแหวนรุนแรงขึ้นอีกในครั้งนี้ แต่ก็ดูเหมือนกับว่ามันใกล้จะสลายไปเต็มทน รอยแตกร้าวไม่สมานตนเองอีกต่อไป สถานการณ์เริ่มยืดเยื้อ แต่หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งถูกผลักดันด้วยความอยากรู้อยากเห็นอันแรงกล้า ก็เริ่มฉวยโอกาสจากการยืดเยื้อนั้นส่งสัมผัสสวรรค์ออกไป มันไหลผ่านรอยแยกบนแหวนและเข้าไปด้านใน


คำสาปภายในแหวนยังไม่ได้สลายไปจนหมดแม้จะมีรอยแยกปรากฏขึ้นมากมาย เป็นเหตุว่าทำไมหวังเป่าเล่อจึงไม่อาจหยิบสิ่งที่อยู่ภายในแหวนออกมาได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าชายหนุ่มจะไม่สามารถส่งสัมผัสสวรรค์เข้าไปสำรวจด้านในได้!


สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อไหลเข้าไปผ่านรอยแตกของแหวน และในอึดใจถัดมา เขาก็เห็นสิ่งที่อยู่ภายในแหวน พื้นที่ด้านในไม่กว้างเท่าใดนัก และไม่ได้มีของอยู่มากมายเลย อันที่จริงแล้ว ด้านในมีของเพียงสามชิ้นเท่านั้น!


เศษกระดาษตัดเป็นรูปมนุษย์!


คันธนูสีแดงที่มีอัญมณีประดับอยู่เก้าชิ้น!


และ…ขวดแก้วใบเล็กโปร่งใสที่ดูสุดแสนธรรมดา ดูไม่ใช่ขวดที่หลอมขึ้นมาเพื่อใส่โอสถแต่เอาไว้ใส่ของทั่วๆ ไป!


เศษกระดาษรูปมนุษย์นั่งอยู่บนขวดแก้ว ดูไร้ชีวิตชีวา แต่ทันทีที่สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อไหลผ่านเข้าไป ตาของมันก็กะพริบก่อนจะสะท้อนประกายแสงแปลกประหลาดออกมา


หวังเป่าเล่อถึงกับขนหัวลุกเมื่อได้เห็นแสงในแววตานั้น ความรู้สึกนั้นคล้ายคลึงกับการมองตาอสรพิษร้าย ชายหนุ่มเป็นบุตรแห่งความมืด จึงไม่ควรหวาดกลัววิญญาณเร่ร่อนหรือผีใดๆ แต่ในวินาทีนั้น เขารู้สึกถึงความกังวลและความกลัวที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจ


คันธนูให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงกระแสพลังวิญญาณอันยากจะอธิบายที่ไหลเข้ามาสู่กายเมื่อสายตาของเขาจับจ้องไปที่คันธนู อัญมณีทั้งเก้าที่อยู่ในคันธนูส่องแสงแรงกล้าราวกับเป็นดวงอาทิตย์เก้าดวง! ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าสายตาของเขาเล่นตลกหรือไม่


สุดท้าย ขวดเล็กๆ ใบนั้น มันดูธรรมดาที่สุดจากของทั้งสามอย่าง แต่รัศมีที่เปล่งออกมานั้นเก่าแก่เป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่ามันจะนำพาความเน่าเปื่อยผ่านกาลเวลามาด้วย ราวกับว่าขวดนี้ดำรงอยู่มานานแสนนานแล้ว!


ความตื่นเต้นไหลผ่านโลหิตของชายหนุ่มเมื่อเขาเพ่งมองไปยังของทั้งสามชิ้น ก่อนจะพุ่งสูงขึ้นทันทีเมื่อเขามองเห็น…เศษกระดาษชิ้นหนึ่งภายในขวดใสนั้น!


นั่นมันอะไรกัน หวังเป่าเล่อกำลังจะส่งสัมผัสสวรรค์เข้าไปภายในขวดเพื่อดูให้แน่ใจ แต่เมื่อสัมผัสสวรรค์ไหลลึกเข้าไปในแหวน นัยน์ตาของมนุษย์กระดาษก็ส่องประกายประหลาดขึ้นมาอีกครั้ง สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง และชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงพลังที่ไหลบ่าออกมาจากกระดาษรูปมนุษย์ตนนั้น สัมผัสสวรรค์ของเขาจางหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเป็นเกล็ดหิมะที่สัมผัสเข้ากับน้ำเดือด


หวังเป่าเล่อตกตะลึงกับภาพที่เห็น สัมผัสสวรรค์ของเขาถอยหลังกรูดอย่างรวดเร็วและไหลกลับออกมาทางรอยแยกของแหวน ทันทีที่มันไหลออกมา แรงต้านทานที่อยู่ในแหวนคลังเก็บก็เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นและสมานรอยแตกทั้งหมดใหม่ ปิดทางไม่ใช่ชายหนุ่มได้เข้าไปอีกครั้ง


ขณะที่สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้น ในจักรวาลที่ห่างออกไป ไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไปมาก ด้วงสวมเกราะสีทองขนาดยักษ์กำลังเคลื่อนที่ผ่านอวกาศ มีคนสองคนนั่งอยู่ภายใน คลื่นพลังปราณไหลบ่าออกจากกายของทั้งคู่ หนึ่งในนั้นอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ อีกคนหนึ่งอยู่เพียงขั้นจิตวิญญาณอมตะ


หากหวังเป่าเล่ออยู่ที่นั่นด้วย เขาย่อมจำผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะได้…เพราะคนผู้นั้นคือผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์แห่งตระกูลไม่รู้สิ้นที่เขาพบเจอระหว่างปฏิบัติภารกิจให้ปรมาจารย์แห่งไฟ


“ขอบคุณสหายร่วมสำนักเต๋าตันโจวจื่อที่มาช่วยเหลือ!” อดีตผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ ผู้ที่ร่วงหล่นลงมาอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะระล่ำระลักพูดกับสหาย


“ไม่จำเป็นเลย สหายร่วมสำนักเต๋าซานหลิงจื่อ ข้าขอให้สิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริง และหนึ่งในเก้าแบบจำลองของคันธนูจักรพิภพอยู่ในแหวนคลังเก็บของท่านจริงๆ!”


“ไม่ต้องเป็นห่วงเลย สหายร่วมสำนักเต๋าตันโจวจื่อ มันอยู่แน่นอน!” ซานหลิงจื่อสัญญาอย่างแข็งขัน แต่ในใจลึกๆ นั้นเปี่ยมไปด้วยความกังวล เขาต้องการหาตัวหน้ากากสุกรให้พบด้วยตนเองแล้วแย่งเอาแหวนคลังเก็บกลับมา แต่ดันพบเข้ากับศัตรูเก่าขณะที่กำลังบาดเจ็บ จึงไม่มีทางเลือกต้องยอมเสียของอย่างหนึ่งในแหวนคลังเก็บเพื่อรักษาชีวิตไว้ แต่เขาก็ได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว แบบจำลองของคันธนูจักรพิภพนั้นมีค่าน้อยที่สุดจากของสามสิ่งในแหวนคลังเก็บของเขา


ทันทีที่ตันโจวจื่อเปิดผนึกแหวนคลังเก็บ เจ้ากระดาษรูปมนุษย์ที่ดุร้ายคงจะกลืนเขาเข้าไปทั้งตัว!


ตันโจวจื่อจ้องมองซานหลิงจื่อด้วยสายตาล้ำลึกอย่างยาวนานก่อนจะแสยะยิ้มอยู่ในใจ เขาไม่ได้พูดสิ่งใดต่อไป แต่ยอมทำตามคำบอกเล่าของอีกฝ่าย ก่อนจะหันเหทิศทางของด้วงเกราะทองมุ่งลึกเข้าไปในอวกาศ


ขณะเดียวกันนั้นเอง ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ในเรือบินรบเวทของกองกำลังเสริมที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำซึ่งหวังเป่าเล่อนั่งอยู่ ชายหนุ่มกำลังนั่งจ้องแหวนในมือ ใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อย และมีอาการหอบหายใจนิดหน่อย


คลื่นของพลังวิญญาณที่ออกมาจากกระดาษรูปมนุษย์เมื่อครู่นั้นแปลกประหลาดนัก สัมผัสสวรรค์ของเขาอ่อนแรงลงทันทีเมื่อปะทะเข้ากับพลังวิญญาณเช่นนั้น และตัวชายหนุ่มเองยังได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมบาดหู อันที่จริงแล้ว หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าร่างจริงของเองก็ได้รับผลกระทบจากการระเบิดพลังวิญญาณของกระดาษรูปมนุษย์เช่นกัน ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่ากระดาษนั้นถูกอะไรบางอย่างกักขังไว้ หาไม่แล้ว และหากไม่ใช่เพราะชายหนุ่มถอนสัมผัสสวรรค์ออกมาได้ทัน เขาก็อาจได้รับบาดเจ็บสาหัส หรืออาจตายไปแล้วก็เป็นได้


จะอันตรายเกินไปแล้ว! หวังเป่าเล่อจ้องเขม็งไปยังแหวนคลังเก็บในมือ ชายหนุ่มไม่คาดคิดว่าสิ่งของภายในแหวนจะอันตรายถึงเพียงนี้ เขามีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น แต่ก็จางหายไปในเวลาไม่ช้า ก่อนที่ดวงตาของชายหนุ่มจะส่องประกายกล้า การเข้าไปสำรวจนั้นแม้จะอันตรายมาก แต่เขาก็เรียนรู้ข้อมูลมาไม่น้อยเช่นกัน


เจ้ากระดาษรูปมนุษย์นั่นน่ากลัวนัก ข้าสัมผัสได้ถึงวิญญาณมืดที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน แต่วิญญาณนี้…ช่างน่ากลัวกระทั่งกับข้าที่เป็นบุตรแห่งความมืด จุดกำเนิดของมัน…จะต้องยิ่งใหญ่มากเป็นแน่!


แล้วคันธนูนั่นอีก…มองปราดเดียวข้าก็บอกได้เลยว่ามันเป็นสมบัติที่ยอดเยี่ยม มาคิดๆ ดูแล้ว อัญมณีทั้งเก้าที่ประดับอยู่บนคันธนูอาจจะเป็น…ดารานิรันดร์ทั้งเก้า! เมื่อคิดได้เช่นนั้นหวังเป่าเล่อก็ถึงกับอ้าปากค้าง การปลดผนึกแหวนคลังเก็บอาจไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาในตอนนี้ ปัญหาก็คือเมื่อปลดผนึกได้แล้วจะทำอย่างไรต่อไป…ปัญหาใหญ่ของชายหนุ่มในตอนนี้คือผลพวงที่เขาต้องเผชิญหลังจากส่งสัมผัสสวรรค์เข้าไปภายใน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังกังวลเรื่องความเสี่ยงที่การสำรวจอาจนำมา ตำแหน่งของเขาอาจถูกเปิดโปง!


ทั้งคู่เป็นวัตถุเวทที่ไม่ธรรมดา เป็นดั่งตั๋วทองสู่การบรรลุขั้นปราณ สำหรับของชิ้นที่สาม…ขวดที่ดูโบราณนั่น แค่เพราะมันถูกเก็บเอาไว้กับวัตถุเวทอีกสองชิ้น ก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่ามันต้องมีค่าทัดเทียมกันแน่!


แต่…มันคืออะไรกันนะ ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแววสับสน แม้ชายหนุ่มจะส่งสัมผัสสวรรค์เข้าไปในขวดเพื่อดูกระดาษแผ่นหนึ่งในนั้นให้แน่ใจและถูกขัดขวางโดยกระดาษรูปมนุษย์ แต่เขาก็มองเห็นอยู่แวบหนึ่ง และเห็นคำสองคำบนกระดาษแผ่นนั้น ดูเหมือนบนกระดาษนั้นจะมีถ้อยคำอยู่สามส่วน


แม้จะไม่เข้าใจคำใดเลยที่ได้เห็น แต่ความหมายของคำศัพท์เหล่านั้นก็เหมือนจะมาปรากฏขึ้นเองในใจของหวังเป่าเล่อหลังจากที่มองเห็น เพราะการได้เห็นเพียงแวบหนึ่งก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มจึงสามารถปะติดปะต่อได้ว่าคำทั้งสามนั้นหมายถึงสิ่งใด


คำศัพท์ทั้งสามคำก็คือ…


คนร่ำรวย? นัยน์ตาของชายหนุ่มยังคงสับสนอยู่ หวังเป่าเล่อทั้งตื่นเต้นทั้งอยากรู้จนอยู่ไม่สุข เขาอยากรู้ว่าสิ่งใดกันแน่ที่อยู่ในขวดนั้น เพราะมีความรู้สึกว่ามีโอกาสชิ้นงามซุกซ่อนอยู่ภายใน

 

 

 


บทที่ 865 การเปิดตัวอย่างทรงพลัง!

 

แต่หลังจากไตร่ตรองและมองร่างกายที่เปราะบางของตนเอง หวังเป่าเล่อก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยอมรับว่าเขารีบร้อนเกินไป การพัฒนาระดับปราณไปอย่างก้าวกระโดดทำให้ชายหนุ่มหลงคิดไปว่าตนเองนั้นไร้เทียมทาน


คำสาปในแหวนไม่ใช่อุปสรรคอะไร จะฝ่าเข้าไปก็ได้ถ้าส่งแรงกดดันเพิ่มขึ้นอีกหน่อย แต่กระดาษรูปมนุษย์ในแหวนนั่น…น่ากลัวใช่เล่น หวังเป่าเล่อนึกถึงสิ่งที่เขาเห็นก่อนหน้านี้แล้วก็ขนลุกขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ชายหนุ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ตระกูลไม่รู้สิ้นจึงไม่ได้ปลดผนึกแหวนนี้แม้ว่าจะตกอยู่ในอันตรายถึงตาย


เขาอาจกังวลว่า หากปลดผนึกแหวนแล้ว…เขาก็คงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกใครฆ่าอีกต่อไป กระดาษรูปมนุษย์นั้นคงจะจัดการเขาเสียเองเป็นแน่


หากเป็นเช่นนั้น แล้วผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ตระกูลไม่รู้สิ้นไปจับกระดาษรูปมนุษย์เอามาขังไว้ในแหวนได้อย่างไรกันเล่า ปริศนานี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกสับสนแต่ก็ยืนยันการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขาไปในคราวเดียวกันว่าวัตถุเวทที่เหลือภายในแหวนคลังเก็บวงนี้นั้น…ต้องเป็นของล้ำค่าแน่นอน!


เป็นไปได้สูงมากว่าจะต้องมีคัมภีร์เวททรงพลังเก็บอยู่ในขวดนั้น! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อทอประกายด้วยความตื่นเต้น ชายหนุ่มสับสนอยู่เล็กน้อยที่จู่ๆ คำว่า ‘คนร่ำรวย’ มาปรากฏอยู่บนคัมภีร์เช่นนั้น ถึงกระนั้นเขาก็เชื่อว่ามันต้องมีความหมายที่ลึกล้ำกว่านั้นซ่อนอยู่แน่นอน


ปาฏิหาริย์มักปรากฏขึ้นจากเหตุการณ์ธรรมดาๆ…หวังเป่าเล่อเข้าใจขึ้นมาแจ่มแจ้ง ประโยคหนึ่งจากอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงผุดขึ้นในใจ ในอดีตชายหนุ่มไม่เข้าใจความหมายของประโยคนั้น ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตนได้ฉลาดขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว


เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ เก็บแหวนคลังเก็บไปอย่างระมัดระวัง ชายหนุ่มยังคงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจจึงใช้เวลาพักหนึ่งร่ายคาถาจำนวนไม่น้อยผนึกแหวนคลังเก็บเอาไว้ หัวใจเขาค่อยผ่อนคลายลงได้หลังจากนั้น


รอให้ท่านบิดาผู้นี้บรรลุระดับดาวพระเคราะห์เสียก่อนเถอะ แม้จะยังไม่อาจรับมือกระดาษรูปมนุษย์ได้ แต่ข้าก็จะหาทางหลบเลี่ยงมันเข้าไปหยิบของมาจากในแหวนให้จงได้ หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะ จากนั้นชายหนุ่มจึงหลับตาลงและนั่งนิ่ง ปล่อยให้ทั้งพลังปราณ จิตใจ และดวงวิญญาณพากันกลับเข้าสภาวะปกติ


เวลาผ่านไปอย่างแช่มช้าขณะที่ทั้งกองทหารของเขาและกองทหารอันดับหนึ่งเดินทางข้ามจักรวาลและเข้าไปยังอาณาเขตของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ


ควรมีกองเรือบินรบประจำการอยู่ที่บริเวณเส้นเขตแดน ทว่าตอนนี้กลับไม่มีเลย ราวกับว่าประตูได้ถูกเปิดอ้าค้างเอาไว้ ยอมให้ใครต่อใครผ่านไปมาได้ตามอำเภอใจ มีร่องรอยของพลังจากคาถาที่ถูกร่ายเอาไว้ในบริเวณนั้น หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงร่องรอยพลังงานที่คุ้นเคยผ่านสัมผัสสวรรค์ของเขา…แต่อยู่ค่อนข้างไกลออกไป


ความเข้มข้นของพลังงานที่สัมผัสได้ทำให้หวังเป่าเล่อถอนใจด้วยความโล่งอก ชายหนุ่มบอกได้ว่าพลังนั้นไม่ได้นิ่งและยังเคลื่อนไหวอยู่ ร่องรอยพลังงานที่นิ่งงันบอกให้รู้ว่าการต่อสู้ได้จบลงไปแล้ว ในขณะที่ร่องรอยพลังงานซึ่งยังเคลื่อนไหวแปลความหมายได้ว่าการต่อสู้ยังคงดำเนินอยู่


และหากการต่อสู้ยังดำเนินต่อไป มันก็หมายความว่าพวกเขามาทันเวลา


หวังเป่าเล่อส่งคำสั่งผ่านดวงจิตเทพของตนไปยังทุกคน รวมถึงพ่อบ้าน เทพธิดาหลิงโยว และบรรดาเรือบินรบทั้งมวล ให้เร่งความเร็วมุ่งไปข้างหน้า ตรงไปยังดาวเอกของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำทันที


ในเวลาเดียวกันนั้น ณ ที่แห่งหนึ่งเหนือดาวเอกสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ การต่อสู้อันดุเดือดที่คล้ายคลึงกับที่เกิดขึ้น ณ สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์กำลังดำเนินอยู่ แต่สถานการณ์ของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำดีกว่าอยู่บ้าง แม้พวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แต่ก็ยังพอรับมือได้อยู่ สาเหตุเป็นเพราะกองกำลังหลักของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นไปอยู่ที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จนหมด


ทั้งสองฝ่ายต่างก็เฝ้ารอกำลังเสริม ผู้ฝึกตนที่กำลังต่อสู้กับปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำคือผู้อาวุโสฝ่ายขวาของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ชายชราอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ขั้นต้นเช่นเดียวกับปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ดังนั้นแม้การต่อสู้จะส่งเสียงดังสนั่นสะท้อนก้องไปทั่วจักรวาล แต่มันก็ยังยืดเยื้อ ไม่มีทีท่าว่าฝ่ายใดจะกุมชัยชนะได้ การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ


การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะบนสนามรบก็เป็นเช่นเดียวกัน ราวกับว่าทั้งสนามรบกำลังอยู่ในสถานการณ์การชักเย่ออันรุนแรง ทั้งสองฝ่ายต่างก็เปี่ยมไปด้วยความหวาดวิตก แม้จำนวนผู้เสียชีวิตจะน้อย แต่ก็แทบไม่มีใครแข็งแรงเต็มร้อยสักคน


เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนก็เริ่มเหนื่อยล้าทั้งกายใจถึงขีดสุด แต่ตราบใดที่กำลังเสริมยังมาไม่ถึง การต่อสู้ก็ยังต้องดำเนินต่อไป สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สามารถผนึกมุมของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำไว้ได้ทั้งสี่จุดและหยุดไม่ให้มีการส่งข้อความเสียงเข้าออกได้ สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำก็ทำเช่นเดียวกัน ผลลัพธ์จากการผนึกของทั้งสองฝ่ายคือการที่สนามรบถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง นอกเสียจากว่ามีผู้นำสารเข้ามาในสนามรบด้วยตนเอง ข้อมูลจากภายนอกก็ไม่อาจเข้ามาถึงผู้คนบนสนามรบได้เลยแม้แต่น้อย


เพราะเหตุนี้ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาจึงไม่รู้เลยว่าประมุขสำนักและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายนั้นล้มเหลว เขาคิดไปว่าป่านนี้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์คงจะล่มสลายไปแล้วเป็นแน่ และประมุขสำนักกับผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็กำลังเดินทางมาตามแผน


ชายชราไม่ใช่คนเดียวที่คิดถึงกำลังเสริม ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเองก็กังวลอยู่ไม่แพ้กัน เขาเองก็รอคอยกำลังเสริมจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อยู่เช่นกัน นั่นเป็นความหวังเดียวของชายชรา เพราะสำหรับเขาแล้ว มันไม่มีทางออกอื่นอีก ตั้งแต่เริ่มต้นการต่อสู้นี้ เป้าหมายเดียวของศัตรูคือการปิดล้อมพวกเขา โอกาสการจะหนีรอดไปได้ด้วยตนเองนั้นแทบเป็นศูนย์


ทางออกเดียวคือการต่อสู้จนตัวตาย ต่อให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไม่สามารถเอาชนะกองกำลังของผู้รุกรานได้ ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำก็ต้องเดิมพันว่าอีกสำนักจะสามารถต่อสู้ซื้อเวลาให้ได้บ้าง เพราะหากเป็นเช่นนั้น เขาก็มั่นใจว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต้องเลือกพักการต่อสู้ก่อน เพราะกองกำลังของทั้งสองต่างก็อ่อนล้าเกินไป


สถานการณ์เช่นนี้เป็นการวัดกันระหว่างความอดทนของพวกเขาและความเร็วในการมาถึงของกำลังเสริม เป็นการทดสอบความแข็งแกร่งว่าจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้นานกว่าอีกฝ่ายหรือไม่ คงไม่ยากที่จะจินตนาการว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาพย่ำแย่สักเพียงใดในตอนท้าย


เสียงระเบิดดังสนั่น เสียงร้องโหยหวนอย่างบ้าคลั่ง และเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่นอยู่ในอากาศไม่หยุดหย่อน แต่แล้วจู่ๆ ก็มีจุดแสงปรากฏขึ้นบนอวกาศที่ห่างไกล แม้จะบางเบาในตอนแรก แต่ก็สว่างขึ้นมาทันทีในอีกชั่วอึดใจ ดูคล้ายดาวหางจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าเข้ามาใกล้ ทุกคนบนสนามรบต่างก็มีปฏิกิริยาเมื่อได้เห็น


ไม่มีความจำเป็นต้องดูให้แน่ใจ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์บอกได้ทันทีว่านั่นไม่ใช่กำลังเสริมฝ่ายตนแน่นอน ใบหน้าของเขาเกรี้ยวกราด ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำมีท่าทีตรงกันข้าม แววตาของเขาตื่นเต้นอย่างหนัก ท่ามกลางความตื่นเต้นยินดีนั้น คลื่นพลังวิญญาณอันเข้มข้นก็กระจายผ่านจักรวาลเมื่อดาวหางเหล่านั้นมุ่งหน้าลงมาหาสนามรบอย่างรวดเร็ว!


ดาวหางเหล่านั้นคือกองเรือบินรบระเบิดตัวเองของหวังเป่าเล่อและกองทหารอันดับหนึ่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาตัดผ่านจักรวาลราวกับเป็นคมกระบี่ ไถลผ่านอวกาศอันดำมืด และพุ่งตรงลงมาสู่การต่อสู้ไม่ต่างจากกระบี่ที่พร้อมรบ ผู้ฝึกตนจำนวนมากจากกองทหารอันดับหนึ่งแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ หุ่นเชิดนับแสนของหวังเป่าเล่อ และหุ่นเชิดจักรพรรดิทั้งสิบสองของเขาออกมาจากเรือบินรบและพุ่งเข้าใส่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตามคำสั่งของพ่อบ้านทันที!


พ่อบ้านสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ปลดปล่อยพลังปราณออกมาเมื่อก้าวลงมาจากเรือบินรบ เสียงร้องคำรามของเขาสะท้อนก้องทั่วสนามรบ


“ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถูกสังหารแล้ว และประมุขสำนักก็บาดเจ็บสาหัส กองทัพของพวกเขาแตกสลายไปแล้ว มีผู้ถูกสังหารและต้องหนีตายนับไม่ถ้วน สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้รับชัยชนะท่วมท้น ตามคำสั่งปรมาจารย์ของพวกเรา เรามาเพื่อช่วยเหลือสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ!”


การมาถึงของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ส่งคลื่นอารมณ์กระจายไปบนใบหน้าของผู้ฝึกตนสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทุกคนที่เหนื่อยล้าจากการต่อสู้ยืดเยื้อ ใจของพวกเขาทุกคนอื้อชา การตอบสนองแรกคือความไม่อยากเชื่อ สิ่งที่พ่อบ้านเพิ่งพูดนั้นเป็นไปไม่ได้เลย แต่…สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็อยู่ที่นี่แล้ว และการที่พวกเขามาถึงก็หมายความได้อย่างเดียวว่ากองกำลังที่ส่งไปรุกรานสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นพ่ายแพ้


การมีจิตใจท้อถอยบนสนามรบนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่ง กระทั่งผู้อาวุโสฝ่ายขวายังได้รับผลกระทบแบบเดียวกัน แต่เขาก็สลัดทิ้งความกลัวในใจก่อนจะตะโกนออกมา


“ไม่จริง พวกปีศาจสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำแค่แบ่งคนจำนวนเล็กน้อยจากกำลังหลักมาทำให้เราสับสน!” ผู้อาวุโสฝ่ายขวาปล่อยพลังปราณออกมาทันทีหลังจากตะโกน เพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้ทหารที่กำลังเสียขวัญ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่พ่อบ้าน หวังจะสังหารอีกฝ่ายให้ได้ไม่ว่าอย่างไร ก่อนจะต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ


หวังเป่าเล่อกระโจนออกมาจากเรือบินรบเวทของเขา ชายหนุ่มมองไปยังสนามรบที่อยู่ไกลออกไป ยกมือขวาขึ้นแล้วชี้ไปอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก กระแสลมระเบิดออกมาจากนิ้วมือแล้วพุ่งไปด้านหน้า แล้วไปหยุดอยู่บริเวณหนึ่งไกลจากกายชายหนุ่ม ตรงกลางระหว่างผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะสองคนที่กำลังสู้กันอยู่


ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำนั้นหวังเป่าเล่อจำหน้าได้ เขาคือผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ ผู้ที่รับอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกเข้าร่วมกองทัพแล้วพยายามจะสังหารหวังเป่าเล่อ ขณะนี้ชายวัยกลางคนกำลังตกอยู่ในอันตรายและอาจจะตายได้ทุกเมื่อ


การโจมตีของหวังเป่าเล่อ ซึ่งได้รับการเสริมพลังจากพลังปราณสำรองมหาศาลที่เขามีอยู่ พุ่งเข้ามาใส่อย่างรุนแรง ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หน้าซีดด้วยความตื่นกลัวก่อนจะหนีทันที แต่กระนั้นก็ยังไม่พ้นการโจมตีและต้องบ้วนเอาเลือดออกมากองใหญ่ทั้งๆ ที่กำลังหนี ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำก็หน้าซีดเช่นกัน เขาผงะถอยหลังพลางหันไปมองผู้ช่วยชีวิต ก่อนจะตัวสั่นและตาเบิกโพลงเมื่อได้เห็นหวังเป่าเล่อ เขาดูไม่เชื่อสายตาตนเอง


หวังเป่าเล่อเมินผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ การช่วยชีวิตอีกฝ่ายเป็นเพียงเรื่องง่ายดาย ชายหนุ่มเงยหน้ามองขึ้นไปในจักรวาล ดวงตาจับจ้องไปยังผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สองคนที่กำลังต่อสู้กัน เขาหรี่ตาลง


หวังเป่าเล่อคิดเรื่องนี้มาตลอดทาง ว่าตนเองมาที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเพราะเรื่องยุทธศาสตร์ล้วนๆ แต่ เขาก็ยังไม่ชอบคนพวกนี้เท่าใดนัก ชายหนุ่มจึงตัดสินใจว่าจะหาโอกาสสังหารพวกเขาเสียบ้างระหว่างภารกิจช่วยเหลือนี้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)