หมอดูยอดอัจฉริยะ 858-863
ตอนที่ 858 หลบภัย
“ศิษย์พี่ใหญ๋ ศิษย์น้องเล็กจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ย? ”
จั่วเจียจวิ้นยืนอยู่ตรงประตูด้านนอกด้วยความเป็นห่วงเยี่ยเทียน และพูดกับโก่วซินเจียว่า
“ผ่านไปเดือนกว่าแล้วนะ ด้านในไม่มีเสียงอะไรเลย พวกเราเข้าไปดูกันหน่อยดีมั้ยครับ? ”
ตั้งแต่เก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บ เวลาผ่านไปแล้ว 40 กว่าวัน โก่วซินเจียและคนอื่นจะมาเดินวนตรงนี้เกือบทุกวัน แต่ประตูห้องก็ไม่เปิดสักที มันเลยทำให้พวกเขาค่อนข้างเป็นห่วงเยี่ยเทียน
“น่าจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง? ครั้งนี้ศิษย์น้องเล็กบาดเจ็บไม่เบา เก็บตัวนานหน่อยก็ไม่แปลก เอาล่ะ ทุกคนไปฝึกซ้อมกันเถอะ! ”
โก่วซินเจียส่ายหัว ตอนที่พวกเขาเข้าสู่ระดับเซียนเทียน ก็ใช้เวลาเก็บตัวเกือบครึ่งปีต่อหนึ่งครั้ง เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าอะไรคือไร้เดือนไร้ตะวัน
ช่วงนี้พวกเขาใช้พลอยวิเศษฝึกพลังวิชา จนระดับพลังของแต่ละคนคงที่ ส่วนโจวเซี่ยวเทียนก็ใกล้จะบรรลุแล้วเช่นกัน ไม่มีใครเคยคิดเลยว่า บนเรือสำราญที่กำลังแล่นอยู่บนมหาสมุทรอินเดียลำนี้ จะมีกลุ่มคนที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดรวมตัวกันอยู่
“อีกประมาณครึ่งเดือน ก็น่าจะหายดีทั้งหมด!”
เยี่ยเทียนที่อยู่ในห้อง ไม่ได้ทำสมาธิแบบลึก แต่เขากำลังดูดพลังปราณชีวิตดั้งเดิมที่รวมตัวกันอยู่ในค่ายกลรวมห้าธาตุอย่างบ้าคลั่งเพื่อฟื้นฟูร่างกาย และควบคุมพลังเจี่ยตันของตัวเองให้คงที่ในเวลาเดียวกัน ตั้งแต่เยี่ยเทียนเข้าสู่ระดับเจี่ยตันแล้ว เขาไม่เคยได้ฝึกพลังโดยไม่มีสิ่งรบกวนแบบนี้เลย
เยี่ยเทียนฝึกพลัง ผสมผสานกับสิ่งที่จางซันเฟิงบันทึกไว้ในมู่เจี่ยนไม้ไผ่ จนเข้าใจระดับพลังของตัวเองเพิ่มขึ้น เวลาที่ปราณแท้หมุนเวียนอยู่ข้างใน ผิวชั้นนอกจะขยับและนูนขึ้น เลือดแฝงแสงสีทองไว้จางๆ ไหลผ่านชีพจรที่มีบาดแผลรอบแล้วรอบเล่าราวกับแม่น้ำที่กำลังไหล
เซลส์ภายในร่างกายของเยี่ยเทียนกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย นี่คือวิวัฒนาการของยีน ที่จะทำให้โครงสร้างร่างกายของเขาสมบูรณ์แบบและสมดุลมากขึ้น ตอนนี้เนื้อหนังของเยี่ยเทียนแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า ถึงแม้ไม่ใช้ปราณแท้ เขาก็สามารถกันกระสุนธรรมดาได้
“บาดเจ็บครั้งนี้ ถือว่ามีความโชคดีในความโชคร้าย”
เยี่ยเทียนกำลังทำความเข้าใจกับร่างกายที่กำลังเปลี่ยนแปลง
เยี่ยเทียนรู้สึกได้ว่า เน่ยตันสิงห์ขนทองที่กลืนเข้าท้อง มันไม่ได้หายไปทั้งหมด พลังแข็งแกร่งเหมือนจะซ่อนอยู่ในแขนขาของตัวเอง ตอนนี้ปราณวิเศษกำลังเคลื่อนไหว ฟื้นฟูช้าๆ และเริ่มประสานกับปราณแท้ในร่างกายของตน
สิงห์ขนทองมีกำลังมหาศาล ความสามารถการป้องกันของมัน ถือว่าเก่งกาจที่สุดในบรรดาสัตว์โบราณก็ว่าได้ แล้วในจินตันของมันมีพลังวิเศษอยู่แล้ว ซึ่งการผสมผสานกับยีนจะทำให้ร่างกายของเยี่ยเทียนพัฒนาและแข็งแกร่งขึ้นอีก
แล้วในเน่ยตันที่เต็มไปด้วยพลังดั้งเดิมพันปีของสิงห์ขนทอง ก็เต็มไปด้วยความเข้าใจกฏธรรมชาติ สิ่งนี้จึงถูกเยี่ยเทียนรับไปและรวมเข้ากับความเข้าใจของตนอีกที หลังจากระดับเจี่ยตันของเยี่ยเทียนคงที่แล้ว พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
“สมแล้วที่เป็นสัตว์โบราณที่มีพลังระดับเทียบเท่าเซียนระดับจินตัน แล้วยังมีความเข้าใจในกฏธรรมชาติที่ลึกซึ้งมากถึงเพียงนี้”
เยี่ยเทียนที่กำลังสัมผัสกฏธรรมชาติในจินตันมีสีหน้าชอบใจเป็นบางครั้ง ขมวดคิ้วเป็นบางครั้ง เพราะการสัมผัสแบบนี้ไม่เหมือนกับการอ่านบันทึกของจางซันเฟิง แต่มันคือการสัมผัสประสบการณ์จริงของสิงห์ขนทองที่ต่อสู้กับฟ้าสวรรค์ทั้งชีวิตของมัน
เวลาผ่านไปอย่างต่อเนื่อง เลือดเนื้อบนแขนทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนเริ่มงอกขึ้นมาจนเกือบเต็ม เส้นเลือดใหม่เป็นเส้นชัดเจนมากขึ้น อวัยวะภายในที่บาดเจ็บก็ฟื้นฟูแล้วเกือบทั้งหมด เลือดซึ่งเดิมทีเป็นสีแดงตอนนี้มีสีทองอ่อนปนอยู่และส่งกลิ่นหอมออกมา
“ในไซอิ๋วเคยบันทึกไว้ว่ากินเนื้อของพระถังซัมจั๋งสามารถอยู่ยงคงกระพัน ถึงแม้ของฉันจะไม่มีผลแบบนั้น แต่ก็ขจัดโรค ขจัดภัยทั้งปวงได้อยู่มั้ง?”
เยี่ยเทียนกลืนน้ำลายที่อมไว้เต็มปาก ครุ่นคิดไปมา ตอนที่เข้าสู่พลังสับเปลี่ยนช่วงแรก เขาเคยผ่านการล้างไขกระดูกเปลี่ยนถ่ายเลือดมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่คิดว่าพอถึงระดับเจี่ยตันแล้ว็ต้องทำอีกครั้ง ตอนนี้เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงปราณวิเศษที่อยู่ในเลือด มันช่วยขจัดอาการป่วยได้จริงด้วย
การฝึกครั้งนี้ เยี่ยเทียนได้รับพลังมากมาย ไม่เพียงแต่รักษาอาการบาดของแขนจนหาย แต่ยังเข้าใจในกฎธรรมชาติมากขึ้นอีก สำหรับเยี่ยเทียน ระดับจินตัน สำเร็จมหามรรคอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
เน่ยตันที่อยู่ตรงท้องของเยี่ยเทียน เปลี่ยนเป็นสีทองแล้วครึ่งหนึ่ง เหมือนกับดวงอาทิตย์ดวงใหญ่แขวนอยู่กลางตันเถียน ล้อมรอบไปด้วยดวงดาวที่มีแสงสว่าง ราวกับจักรวาลที่สร้างความลึกลับอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ดีขึ้นมากแล้ว คงต้องกลับแล้วล่ะ! ”
เยี่ยเทียนลืมตาช้าๆ พบว่าร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นเบาบางหนึ่งชั้น จากนั้นจิตก็สั่งปราณแท้ปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าออกไปจนหมด ตอนที่จะลุกขึ้น จู่ๆ เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้ว
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมหัวใจเต้นผิดจังหวะแบบนี้? ”
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆก็รู้สึกแน่นหน้าอก เหมือนถูกบีบหัวใจเอาไว้อย่างรุนแรง เลือดที่ไหลอยู่ในร่างกาย ก็ไหลเร็วมาก ไม่พอแค่นั้น ยังมีเสียงดังก้องอยู่ในสมอง มันก้องจนมึนหัวไปหมด
“เปรี้ยง!”
ทันใดนั้น เสียงฟ้าผ่าก็ดังขึ้น เยี่ยเทียนตื่นขึ้นมา
“หรือว่าถึงคราอัสนีสวรรค์จินตันแล้ว? ”
เยี่ยเทียนเข้าใจทันที จึงรีบลุกขึ้นและเดินไปเปิดประตู เพียงพริบตาเดียวเยี่ยเทียนก็มาถึงดาดฟ้าเรือ
“อาจารย์ ศิษย์น้อง!!! ”
เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงเลยว่าศิษย์พี่ทั้งสองคนกับลูกศิษย์ทั้งสองคนจะอยู่บนดาดฟ้าด้วย เขามองเมฆดำกลุ่มนั้นด้วยสีหน้าตึงเครียด เพราะมันน่าแปลกมาก บริเวณอื่นฟ้าโปร่งใสกระจ่าง มีเพียงบริเวณเรือสำราญที่มีกลุ่มเมฆดำลอยอยู่
“ศิษย์พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้น? เมฆดำกลุ่มนี้ปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่? ”
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเดาออกบ้าง แต่ก็หวังว่าจะเป็นความโชคดี เขาหันไปหาโก่วซินเจีย พูดตามตรง ตั้งแต่เข้าระดับเจี่ยตัน ใช้เวลาไปแค่หนึ่งปีสั้นๆ เยี่ยเทียนไม่ได้เตรียมใจสำหรับอัสนีสวรรค์จินตัน
“เมฆดำกลุ่มนี้จู่ๆก็ปรากฏขึ้นเมื่อหนึ่งนาทีก่อนหน้านี่เอง ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
โก่วซินเจียตกใจมาก เพราะเขารู้สึกว่า ในเมฆดำก้อนนั้นมีพลังหนึ่งที่สามารถทำลายฟ้าดิน แล้วอำนาจของธรรมชาติแบบนี้ มันทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดต่อต้านเลย
เหลยหู่พูดแทรกว่า
“อาจารย์ หรือ…หรือนี่จะเป็นอัสนีสวรรค์จินตัน? ท่านกำลังจะผ่านภัยสวรรค์เหรอครับ? ”
ถ้าพูดถึงบนโลกใบนี้ คนที่เห็นฟ้าผ่าบ่อยที่สุดก็คงเป็นเหลยหู่ ตอนที่เขาอยู่บนเกาะ “เผิงไห” เป็นเวลาหนึ่งปี เขาเห็นฟ้าผ่าแทบจะทุกวัน แล้วเขาก็เข้านอนพร้อมกับเสียงฟ้าผ่าทุกคืน จนเข้าสู่ระดับเซียนเทียน
“น่าจะใช่มั้ง! ”
มองดูเมฆดำที่เกาะกลุ่มอย่างต่อเนื่องและมีแสงฟ้าผ่าเป็นพักๆ เยี่ยเทียนก็มีสีหน้าเอาแน่เอานอนไม่ได้เหมือนกัน เพราะตอนนี้มีเสียงก้องมหามรรคดังขึ้น ราวกับว่ากำลังตอบสนองอัสนีสวรรค์
“ไม่ได้ ฉันจะรับอัสนีสวรรค์จินตันตอนนี้ไมได้! ”
จู่ๆ เยี่ยเทียนก็นึกถึงบันทึกของจางซันเฟิงเกี่ยวกับคำนายของเขาที่เข้าไปในเกาะเซียน “เผิงไหล”
ตามคำกล่าวของจางซันเฟิง ปราณวิเศษบนโลกมนุษย์เบาบาง ไม่คงที่ ไม่สามารถรองรับคนที่มีความอดทนมากกว่าในพื้นที่ตรงนี้ได้ ตอนที่เขาผ่านภัยอัสนีสวรรค์หยวนอิง แล้วเจอเหตุการณ์อากาศเกิดรอยแยก บางทีก็อาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้เหมือนกัน
แต่นักพรตจางเป็นคนโชคร้าย เขาถูกส่งไปขังไว้ที่เกาะปีศาจโบราณ จึงไม่สามารถผ่านภัยอัสนีสวรรค์ได้อีก สุดท้ายก็เหลือเพียงจิตที่หลุดและดับขันธ์เป็นเซียนไป
ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ปราณวิเศษบนโลกตอนนี้เจือจางลงทุกวัน แถมยังไม่คงที่กว่าเดิม ก่อนหน้านี้แค่ฟ้าผ่ายังทำให้ห้วงอากาศเกิดรอยแยกได้ เยี่ยเทียนจึงมั่นใจว่า ถ้าเขาผ่านภัยอัศนีสวรรค์ตอนนี้ เป็นไปได้สูงมากที่จะถูกดูดเข้าไปยังเขตแดนอื่น
กว่าจะออกมาจากเกาะนั้นได้มันไม่ง่าย ใครอยากจะกลับไปอีก คิดไปคิดมา เยี่ยเทียนนั่งขัดสมาธิ สูดลมหายใจเข้าลึก เก็บจิตดั้งเดิมในความคิดลงไปอยู่ในตันเถียน
ขณะเดียวกัน เยี่ยเทียนก็ใช้กำลังภายในเก็บลมปราณเข้าไป นี่เป็นวิธีที่นักพรตจางทิ้งไว้ให้ ไล่ปราณแท้ทั้งหมดให้เข้าไปอยู่ในตันเถียน ตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่างเสียงก้องมหามรรคกับอัศนีสวรรค์
เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว เยี่ยเทียนก็ไม่รู้สึกว่ามีปราณแท้ไหลเวียนอยู่ในร่างกายอีก ดูแล้วไม่ต่างจากคนทั่วไปเลย แม้แต่สายตาก็กลายเป็นตาที่เศร้างหมอง วิชาเก็บลมปราณยังมีผลลัพธ์อีกหนึ่งอย่าง ถ้ายืนนิ่งอยู่ที่เดิม คนที่อยู่รอบตัว ถ้าไม่ได้เห็นกับตา อาจจะไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนของเยี่ยเทียน
ในเวลาเดียวกัน เมฆดำที่เกาะตัวไม่หยุดในตอนแรก ก็หยุดการเคลื่อนไหวลง แสงฟ้าผ่าในเมฆดำที่กระพริบอยู่ จู่ๆก็หายไปเช่นกัน ผ่านไปชั่วขณะ เมฆดำกลุ่มนั้นก็กระจายออกไป แสงตะวันสาดส่องลงมาดาดฟ้าของเรืออีกครั้ง
“ศิษย์น้องเล็ก เธอ…เธอไม่ได้สูญเสียกำลังภายในไปใช่มั้ย? ถึงแม้ว่าภัยอัศนีสวรรค์จะน่ากลัว แต่ก็ไม่ถึงกับรับมือไม่ได้! ”
แม้แต่โก่วซินเจียยังรู้สึกได้ว่า การเคลื่อนไหวของปราณชีวิตในร่างกายของเยี่ยเทียนหายไป แต่ละคนหน้าซีดไปตามๆกัน ผู้ฝึกพลังวิชาเป็นคนที่ทำเรื่องสวนทางกับกฏสวรรค์อยู่แล้ว เยี่ยเทียนหลีกเลี่ยงภัยสวรรค์ขนาดนี้ ในใจของเขาจะต้องมีตราบาปเป็นแน่
“ไม่ใช่ครับศิษย์พี่ใหญ่ ผมไม่ได้กลัวอัศนีสวรรค์ ด้วยระดับพลังของผมตอนนี้ มั่นใจมากว่าจะผ่านภัยไปได้…”
เยี่ยเทียนยิ้มอย่างขมขื่นพูดว่า
“ตรงนี้พลังปราณไม่คงที่เท่าไหร่ ถ้าผมผ่านภัยอัศนีสวรรค์ตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะหายไปอยู่ที่ไหนอีก ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกลับมาได้มั้ย? ”
“แล้วเธอกลัวอะไร? ผ่านภัยนี้ไปได้ เธอก็เข้าระดับจินตัน สำเร็จมหามรรคเลยนะ ไปไหนก็ได้”
โก่วซินเจียรู้สึกโมโหที่เยี่ยเทียนไม่ลองดูก่อน เขาอยากผ่านภัยอัศนีสวรรค์เข้าสู่ระดับจินตัน แต่ระดับพลังยังด้อยเกินไป ถ้ายอมรับการผ่านภัยจริง ร่างคงระเบิดจนแหลกไปแล้ว
“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมไม่เหมือนกับพี่ ผมยังมีพ่อแม่ ภรรยา ผมไม่อยากให้พวกเขาต้องเสียใจอีก! ”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพูดว่า
“ฟ้าสวรรค์ไร้จิตใจแต่คนมีจิตใจ ขอแค่พวกเขายังอยู่บนโลกนี้หนึ่งวัน ทั้งชีวิตของผม ผมก็จะไม่ไปไหน ถ้าเป็นคนไร้จิตใจ ถึงแม้จะเป็นอมตะ แล้วมันดียังไงล่ะ? ”
ตอนที่ 859 กลับบ้าน
“ศิษย์น้องเล็กพูดถูก ฉันผิดเอง”
โก่วซินเจียคิดตาม ตอนนั้นเขาก็ประสบภัยต้องหลบหนีเข้าไปในภูเขาร้าง มีบ้านแต่ก็กลับไปไม่ได้ มีญาติแต่ก็พบปะไม่ได้ ความโดดเดี่ยวแบบนั้น ทำให้เขาเกือบคิดฆ่าตัวตาย จนกระทั่งเริ่มฝีกวิชาเต๋า ความเหงาในใจก็ค่อยๆบรรเทาลง
“เวลาหนึ่งร้อยปีอยู่แค่ปลายนิ้ว การได้อยู่กับครอบครัว ชีวิตนี้ก็ไม่เปล่าประโยชน์แล้ว!”
เยี่ยเทียนหัวเราะฮ่าๆ ถึงแม้อัศนีสวรร์บรรลุจินตันจะถูกควบคุม เมื่อเข้าสู่ระดับจินตัน สำเร็จมหามรรคที่ผู้ฝึกวิชาทุกคนใฝ่ฝันไม่ได้แล้ว แต่เยี่ยเทียนกลับรู้สึกสงบและโล่งใจ ไม่มีความเสียดายเลยแม้แต่น้อย
“หืม? จิตโล่งไปเยอะทีเดียว ผ่านภัยครั้งหน้า คงง่ายขึ้นเยอะ? ”
เยี่ยเทียนสัมผัสจิตใจของตัวเองและมีรอยยิ้มออกมา เต๋าเคยกล่าวไว้ ฝึกปฏิบัติตนนั้นง่าย ฝึกจิตใจนั้นยาก เนื่องจากการฝึกปฏิบัติตนของเยี่ยเทียนพัฒนาเร็วเกินไป จนถึงวันนี้ 20 ปีกว่าเท่านั้น พลังของเยี่ยเทียนยังสูงกว่าผู้อาวุโสอายุร้อยปีพวกนั้นอีก ด้วยเหตุนี้ระดับจิตใจของเยี่ยเทียนจึงตามคนอื่นไม่ทันสักที
แต่เมื่อครู่ พอจิตใจของเยี่ยเทียนทะเลาะกันเองเสร็จ ระดับจิตใจของเยี่ยเทียนก็สูงขึ้นมากทีเดียว เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนหินก้อนใหญ่ถูกยกออกจากอก มันโล่งแปลกๆ เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับเข้าถึงดินแดนฟ้าสวรรค์เป็นหนึ่งเดียวกับฟ้า สวรรค์และธรณีไปแล้ว
“หืม? ศิษย์น้องเล็กตระหนักรู้แล้วหรอ?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหลับตายิ้ม โก่วซินเจียและคนอื่นเริ่มทำตัวไม่ถูก เก็บตัวสามเดือนกว่า ออกมายังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เข้าสภาวะตระหนักรู้อีกแล้ว หรือเยี่ยเทียนเกิดมาเพื่อฝึกปฏิบัตตนจริงๆ?
“วู วู”
ทุกคนเข้าใจว่าห้ามรบกวนเยี่ยเทียน แต่เสี่ยวจินบนบ่าเหลยหู่ไม่สนใจ มันส่งเสียงร้องออกมาและกระโจนใส่เยี่ยเทียนอย่างรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า แต่มันก็ถูกดีดออกมาทันทีที่โดนตัวเยี่ยเทียน
“หืม เจ้าตัวเล็ก แกทำให้ฉันตื่นเหรอ? ”
เยี่ยเทียนลืมตาขึ้น ไม่ได้ถือโทษสิงห์ขนทอง การตระหนักรู้ถึงแม้จะช่วยเพิ่มระดับจิตใจ แต่เยี่ยเทียนกลัวว่าระดับพลังจะเพิ่มขึ้นตาม ถ้าคุมพลังไม่ไหวแล้วอัสนีสวรรค์จินตันเกิดขึ้นอีกครั้ง เขาคงต้องออกจากโลกแห่งนี้แล้วเป็นแน่
“วูวู! ”
เสี่ยวจินเบิกตากว้างจ้องเยี่ยเทียนแบบไม่มีความกลัวใดๆ มันกระโดดขึ้นไปเกาะอยู่บนบ่า และหมอบลงตรงนั้นอย่างสบาย
“นี่ นี่ไม่ใช่ที่นอนของแกนะ”
เยี่ยเทียนหัวเราะท่าทีของเจ้าตัวเล็ก จากนั้นจับมันลงจากบ่า
“วู วู! ”
สิงห์ขนทองมองเยี่ยเทียนด้วยสายตาไร้เดียงสา สายตาคู่นั้นทำให้เยี่ยเทียนนึกถึงพ่อแม่ของมัน เยี่ยเทียนถอนหายใจ และจับมันมาอยู่ที่เดิม
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าที่สิงห์ขนทองมาเข้าใกล้ เป็นเพราะเยี่ยเทียนหลอมจินตันของสิงห์ขนทองแล้วส่วนหนึ่ง จึงมีปราณชีวิตของผู้อาวุโสสิงห์ขนทองเคลื่อนไหวอยู่ในร่างกาย ทำให้เจ้าตัวน้อยปฏิบัติกับตนแบบไม่มีการป้องกันใดๆ
“อาจารย์ ให้มันอยู่กับอาจารย์เถอะครับ ผมดูแลมันไม่ไหวหรอก! ”
เมื่อเห็นสิงห์ขนทอง “เสี่ยวจิน” ทำตัวติดเยี่ยเทียน เหลยหู่รู้สึกโล่งใจมาก เพราะกรงเล็บของเจ้าตัวเล็กคมมาก หลายเดือนมานี้ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าไปไม่ต่ำกว่าสิบชุด หัวไหล่ก็ถูกข่วนจนเป็นแผลไปหมด
ถ้าพูดถึงความเร็ว เหลยหู่สู้เสี่ยวจินไม่ได้ ถ้าพูดถึงพลังวิชา เสี่ยวจิน ก็ชนะเขาอย่างเห็นๆ แล้วยังเป็นหนี้บุญุคุณชีวิตของพ่อแม่เจ้าตัวเล็กนี่อีก ตีก็ไม่ได้ ต่อว่าก็ไม่ได้ เหลยหู่แทบจะเป็นบ้า
เมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กนอนหลับสบาย เยี่ยเทียนหันไปพูดกับโก่วซินเจียว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ครับ ธุระเสร็จหมดแล้ว พวกเรากลับกันเถอะครับ”
“อื้ม เฮ่าเทียนบอกพ่อกับแม่ของเธอว่าเธออยู่แอฟริกาตลอด ถ้าเธอกลับไป อย่าเผลอพูดผิดก็แล้วกัน! ”
โก่วซินเจียพยักหน้าและย้ำกับเยี่ยเทียน ถึงแม้เขาจะเข้าลัทธิเต๋ามานาน แต่เขาก็เป็นคนที่เคยมีพ่อแม่และภรรยามาก่อน เขาเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียญาติ เพราะฉะนั้นเขาจึงให้ความร่วมมือกับซ่งเฮ่าเทียนเป็นอย่างดี
เยี่ยเทียนตอบรับและถามเพิ่มเติมว่า แล้วซ่งเสี่ยวหลงอยู่ที่ไหนตอนนี้? ”
“ซ่งเสี่ยวหลงเหรอ? ไม่รู้สิ เฮ่าเทียนบอกว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้เอง ฉันยังไม่ได้ถามต่อเลย”
เยี่ยเทียนเกือบตายเพราะซ่งเสี่ยวหลงถึงสองครั้ง โก่วซินเจียกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก จึงพูดต่อว่า
“ฉันเคยทำนายกว้าครั้งหนึ่ง เขาน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในยุโรป ศิษย์น้องเล็กอย่าไปสนใจเรื่องนี้เลยนะ เดี๋ยวศิษย์พี่จะไปจัดการเอง”
“อาจารย์ลุงครับ ผมไปดีกว่า ไอ้นั่นมันไม่ใช่คนดีอะไร ผมจะฆ่ามัน! ”
เหลยหู่ที่อยู่ข้างๆ แสดงจิตสังหารออกมา ความเกลียดชังที่มีต่อซ่งเสี่ยวหลง ไมได้น้อยไปกว่าเยี่ยเทียนเลย
เรื่องที่เกิดขึ้นในสมาคมหงเหมิน เป็นเพราะซ่งเสี่ยวหลงยุยงอยู่ข้างหลัง หลังจากที่เหลยเจิ้นเทียนพ่ายแพ้ให้กับเยี่ยเทียน ซ่งเสี่ยวหลงก็หนีไปอยู่ที่แอฟริกา ทำให้ตระกูลเหลยผู้มีวาจาหนักดุจก้อนทองเก้าชั้นต้องออกจากสมาคมหงเหมินไป อย่างน่าเศร้า
เรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลังยิ่งทำให้เหลยหู่โมโห ซ่งเสี่ยวหลงสั่งให้เหมียวจื่อหลงเป่าหูตน ให้ตนไปจัดการเยี่ยเทียน แต่ตัวเขาเองกลับอยู่ในที่มืด พอเกิดเรื่องขึ้นไม่เพียงแต่หนีไปอย่างลอยนวล แถมยังเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้ จนเหลยหู่เองเกือบโดนระเบิดตาย แล้วยังแขนที่ขาดไปอีก ความแค้นนี้เหลยหู่ก็นับว่าเป็นความผิดของซ่งเสี่ยวหลงด้วย
“เอาล่ะ แกตรงไปฮ่องกง อาจมีบางอย่างเกิดขึ้นที่นั่น”
เยี่ยเทียนโบกมือพูดแทรกเหลยหู่ว่า
“สิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง พวกท่านก็กลับฮ่องกงเลยครับ ให้เซี่ยวเทียนกลับจีนกับผมก็พอ”
“ศิษย์น้องเล็ก จะเกิดอะไรขึ้นที่ฮ่องกง? ”
โก่วซินเจียตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ช่วงนี้เหล่าถังจะเจอภัย ที่เกิดขึ้นเพราะผม พวกท่านรีบกลับไปดีกว่าครับ! ”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้วชัดมากขึ้น เมื่อครู่เขารู้สึกว้าวุ่นใจมาก พอลองทำนายแล้วก็พบว่า เหมือนมีบางอย่างจะเกิดขึ้นกับถังเหวินหย่วน และสาเหตุก็มาจากเขา เยี่ยเทียนจึงบอกให้ศิษย์พี่ทั้งสองรีบกลับไป
โก่วซินเจียใช้นิ้วแตะกันสองสามที สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที พูดว่า
“อืม จริงด้วย เอาล่ะ เดี๋ยวฉันกับศิษย์น้องรองจะไปเดี๋ยวนี้เลย! ”
พอกลับไปถึงห้องโดยสาร โก่วซินเจียก็เรียกกัปตันเรือมาและจัดการทุกอย่างจนเสร็จ ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น เครื่องบินทะเลขนาดกลางสองลำก็ลงจอดในทะเลที่ไม่ไกลจากเรือสำราญมากนัก เยี่ยเทียนกับโจวเซี่ยวเทียนขึ้นลำหนึ่ง ส่วนโก่วซินเจียและคนอื่นขึ้นอีกลำหนึ่งตรงไปยังเกาะฮ่องกง
หลังจากเครื่องบินลงจอดที่มัลดีฟส์ เยี่ยเทียนก็เปลี่ยนไปนั่งเครื่องบินภายในประเทศ ด้วยทุกอย่างที่ถูกจัดไว้ล่วงหน้า เยี่ยเทียนถูกพาเข้าไปยังห้องนักบินซึ่งคนนอกไม่สามารถเข้าไปได้ เขากับสิงห์ขนทองเข้าไปโดยไม่มีคนถามอะไร
……………………-
หลังจากเครื่องบินลำที่เยี่ยเทียนนั่ง ลงจอดที่สนามบินนานาชาติ ประตูห้องโดยสารก็เปิดออก คนวัยกลางคนอายุราวสี่สิบกว่าขึ้นมาบนเครื่อง และพาเยี่ยเทียนเดินลงจากเครื่องบินด้วยทางลัด ด้านล่างของเครื่องบิน มีรถยนต์ติดฟิล์มเอาไว้คันหนึ่งจอดอยู่
“เอ๋? ท่านผู้เฒ่า มารับผมด้วยตนเองแบบนี้ ผมก็เกรงใจแย่เลยสิครับ”
หลังจากขึ้นรถแล้ว เยี่ยเทียนพูดลอยหน้าลอยตาว่า
“ไม่เจอตั้งปีกว่า ท่านผู้เฒ่าดูกระปรี้กระเป่ากว่าเดิมเลยนะ ดูสิ มีผมขึ้นตรงหูด้วย! ”
สิ่งที่เยี่ยเทียนพูดเป็นความจริงทั้งหมด ช่วงที่โก่วซินเจียฝึกพลังอยู่บนทะเล เขาใช้ยาวิเศษที่เยี่ยเทียนเก็บมาจากอาณาเขตแห่งเทพกสิกร เสินหนงเจี้ย ปรุงยาไว้มากมาย เอาไปให้ซ่งเฮ่าเทียนหนึ่งขวด ถึงแม้ไม่สามารถทำให้เขากลายเป็นเด็ก แต่ก็ทำให้เขาดูหนุ่มขึ้นเยอะทีเดียว โรคภัยในร่างกายก็บรรเทาลงเช่นกัน
“แกนี่นะ เห็นฉันแล้วปากยังไวเหมือนเดิม”
เดิมทีซ่งเฮ่าเทียนอยากจะดุเยี่ยเทียนสักหน่อย แต่พอเจอหลานชายแล้วก็พูดไม่ออก ถึงแม้เยี่ยเทียนจะพูดจาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ซ่งเฮ่าเทียนรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่กดทับเอาไว้ คำพูดที่เตรียมไว้ก็เหมือนจุกอยู่ในคอพูดไม่ออก
เขาจึงส่งเสียงฮึ่มใส่ หันไปมองสิ่งที่อยู่บนบ่าของเยี่ยเทียนแทน พูดด้วยความโมโหว่า
“ทำไมมีสัตว์เลี้ยงมาด้วย? ฉันว่าแกกลายเป็นพวกลูกคนรวยที่เอาแต่เลี้ยงนกเลี้ยงหมาแล้วนะ! ”
“วูวู”
เสี่ยวจินดูเหมือนจะฟังออกว่าซ่งเฮ่าเทียนพูดถึงอะไร ดวงตาดำกลมโตคู่นั้นเบิกตากว้าง แผ่กรงเล็บออกพร้อมจะข่วน แต่ก็ถูกเยี่ยเทียนห้ามเอาไว้ เยี่ยเทียนหันไปพูดกับซ่งเฮ่าเทียนว่า
“ท่านผู้เฒ่า นี่มันสิงห์ขนทองสัตว์โบราณ ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงเอาไว้เล่นๆนะครับ”
“สิงห์ขนทอง? ที่มีบันทึกในคัมภีร์ ซานไห่จิง—ตำราขุนเขามหาสมุทร หรอกเหรอ? ”
ซ่งเฮ่าเทียนมีพื้นฐานครอบครับที่ร่ำรวย ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาของตะวันออกหรือตะวันตก ล้วนแต่เคยศึกษามาหมดแล้ว เขาจึงรู้จักสิงห์ขนทองอยู่ แต่ก็ตกใจมาก เพราะเขารู้ว่าเยี่ยเทียนไม่เคยพูดโกหก
เยี่ยเทียนหัวเราะฮ่าๆ ตอบว่า
“ผมเคยเจอที่แปลกกว่านี้อีกครับท่านผู้เฒ่า ถ้าอยากฟัง ก็อย่าบ่นผมเยอะนะครับ! ”
“เจ้านี่ ชอบเจอแต่เรื่องแปลกประหลาด กลับไปต้องเล่าให้ฉันฟังด้วยนะ เรากลับบ้านกันก่อนเถอะ! ”
ซ่งเฮ่าเทียนส่ายหัว เขารู้ว่าหลานชายคนนี้ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่มีแต่กำลังอีกแล้ว ตอนนี้เขากลายเป็นคนที่มีความลึกลับตลอดเวลา ถึงแม้จะมีสถานะแบบนี้ เขาก็ไม่สามารถบังคับให้เยี่ยเทียนอธิบายในสิ่งที่เยี่ยเทียนกำลังทำให้ตนฟัง และยิ่งไม่กล้าบังคับให้เยี่ยเทียนพูดในสิ่งที่เขาไม่อยากจะพูด
“ครับ กลับบ้าน กลับบ้านกัน!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เขาแตะสิงห์ขนทองไปครั้งหนึ่ง และพูดว่า
“คราวหลังถ้าไม่มีฉันอยู่ ห้ามทำร้ายใครนะ”
พ่อแม่ของเสี่ยวจินเป็น อสูรรุ่นใหญ่ระดับจินตันขั้นปลาย ฉะนั้นเจ้าตัวเล็กจึงมีพลังระดับเซียนเทียนตั้งแต่เกิด ภายในร่างกายของมันมีพลังที่น่ากลัวมาก ถ้ามันจะก่อเรื่อง แม้ว่าจะเรียกกำลังทหารขนาดใหญ่มาจัดการ ก็ไม่สามารถจัดการมันได้ เพราะฉะนั้นเยี่ยเทียนจึงต้องเอามันมาอยู่ใกล้ๆ
พอเห็นเจ้าตัวเล็กใช้สองมือปิดตาสองข้าง เยี่ยเทียนอดขำไม่ได้พูดว่า
“ไม่ต้องมาทำเหมือนโดนแกล้งเลย พอกลับไปถึง เดี๋ยวฉันจะทำของอร่อยให้แกกินนะ! ”
เดิมทีนึกว่าเจ้าสิงห์ขนทองนอกจากกินสมองสิงห์โต เสือและพลอยวิเศษ ไม่กินอาหารชนิดอื่น
แต่คิดไม่ถึงว่ามันไม่มีอาการต่อต้านอาหารสุกชนิดใดเลย แม้แต่อาหารจานด่วนบนเครื่องบิน มันก็กินอย่างเอร็ดอร่อย แน่นอนว่า ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเหตุการณ์แอร์โฮสเตสทุกคนบนเครื่องต้องท้องร้อง เพราะเจ้าตัวเล็กแย่งกินอาหารจนหมด
ตอนที่ 860 อภัยโทษ
“ท่านผู้เฒ่า ช่วงที่ผมไม่อยู่ ไม่มีเรื่องอะไรใช่มั้ยครับ?”
เยี่ยเทียนลูบที่คอของสิงห์ขนทองไปถามไป แต่สิ่งที่ถามออกไปทำให้บรรยากาศในรถเย็นลงหลายองศาทีเดียว แม้แต่ซ่งเฮ่าเทียนก็ยังจาม
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเก็บการเคลื่อนไหวของปราณชีวิตภายในร่างกายแล้วทั้งหมด เพื่อหลีกเลี่ยงการรับภัยอัศนีสวรรค์ แต่ระดับจิตใจนั้นไม่อาจทำได้ พอเขาถึงระดับแบบนั้นแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความกดดันอย่างบอกไม่ถูก
และมันก็เกิดจากการที่เยี่ยเทียนอยู่ปากทางของการเพิ่มระดับ ถ้าเขาเข้าสู่ระดับจินตัน แล้วเก็บลมปราณละก็ เขาจะไม่แตกต่างจากคนธรรมดาเลย แม้จะอยู่ในกลุ่มคนมากมาย คนเหล่านั้นก็ยากนักที่จะรู้สึกถึงการมีตัวตนของเขา
คำถามที่ถามซ่งเฮ่าเทียนออกไป เป็นเพราะเยี่ยเทียนเคยได้โจวเซี่ยวเทียนพูดว่า ตอนที่เขาออกจากรัสเซีย เรือนสี่ประสานที่ปักกิ่งมักจะมีชาวต่างชาติมาเดินป้วนเปี้ยน แม้กระทั่งตอนที่ซ่งเฮ่าเทียนไปหาเยี่ยเทียน คนเหล่านั้นก็ยังอยู่ตรงนั้น
มันเลยทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกไม่พอใจซ่งเฮ่าเทียนเล็กน้อย ซ่งเฮ่าเทียนเคยรับปากกับตนว่า ความปลอดภัยของตระกูลเยี่ยเขาจะเป็นคนรับผิดชอบเอง แล้วแม่ของเขาก็เป็นลูกสาวแท้ๆของซ่งเฮ่าเทียนไม่ใช่เหรอ
“แกนี่ ทำให้บรรยากาศตึงเครียดกว่าเดิมล่ะ? ฉันเริ่มจะทนไม่ไหวแล้วนะ! ”
ซ่งเฮ่าเทียนหันไปหาเยี่ยเทียนและพูดด้วยเสียงไม่พอใจว่า
“ฉันอยู่ที่ปักกิ่งหนึ่งวัน ตระกูลเยี่ยก็จะปลอดภัยหนึ่งวัน แกจะเป็นห่วงทำไม แกเห็นฉันแก่จนทำอะไรไม่ได้แล้วหรือไง? ”
แม้บรรยากาศที่เกิดขึ้นอาจสู้ตอนที่พลังพิฆาตแผ่ออกจากตัวเยี่ยเทียนไม่ได้ แต่ซ่งเฮ่าเทียนเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงมาตลอด น้ำเสียงที่ใช้มีน้ำหนักพอสมควร จนทำให้พลังพิฆาตของเยี่ยเทียนดับไปเลย
“ครับ เป็นสุขเป็นลาภอันประเสริฐครับ”
เยี่ยเทียนถอยตัวไปด้านหลังและยิ้มเบาๆ คำพูดของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ตอนนี้เขาไม่ใช่เยี่ยเทียนเมื่อหนึ่งปีก่อนแล้ว ในตอนนั้นเขาอาจจะเกรงกลัวอำนาจของเทคโนโลยีของบนโลกนี้อยู่บ้าง
แต่หลังจากเข้าถึงระดับเจี่ยตันแล้ว เยี่ยเทียนรู้ว่า แค่เขายังไม่อยากตาย ก็จะไม่มีอำนาจใดในโลกที่สามารถกำจัดเขาได้ นอกเสียจากว่าผ่านภัยอัสนีสวรรค์ไม่สำเร็จ
“เยี่ยเทียน ฉันมีเรื่องอยากจะถามแกหน่อย”
ซ่งเฮ่าเทียนมองคนขับรถแว๊บนึง ถึงแม้จะมีกระจกกั้นอยู่ แต่เขาก็พูดด้วยเสียงต่ำ
“คนที่ตอบโต้ขีปนาวุธที่รัสเซีย แกรู้จักหรือเปล่า? แล้วแกบอกฉันมาตรงๆ แบบที่แกเป็นอยู่ พวกแกมีอำนาจมากขนาดไหน? ”
หลังจากเรื่องที่รัสเซียจบลง เรือนสี่ประสานที่เงียบสงบก็คึกคักอีกครั้ง แม้กระทั่งการประชุมที่สำคัญ ก็ยังจัดขึ้นที่นั่น วาระการประชุมยิ่งไม่ต้องพูดถึง ล้วนแต่เป็นชั้นการตัดสินใจของประเทศ ซึ่งมีความกังวลต่ออำนาจที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้
คนโบราณเคยกล่าวไว้ว่า “พวกบัณฑิตใช้วิชาหนังสือบ่อนทำลายกฎเกณฑ์ พวกนักบู๊ใช้วิชายุทธ์ บ่อนทำลาย ความสงบ” ถึงแม้ว่ายุคนี้จะเป็นยุคนิยมใข้อาวุธ หลักการนี้ใช้ไม่ได้อีกต่อไป การปรากฏตัวของเยี่ยเทียนกับติงหง ได้สร้างความสนใจให้กับประเทศต่างๆอีกครั้ง มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ศึกษาความสามารถเหนือมนุษย์อย่างเข้มงวด
ความสัมพันธ์ของเยี่ยเทียนกับตระกูซ่งเป็นที่รู้กันทั่วกรุง ซ่งเฮ่าเทียนเกษียณแล้วหลายปี แต่เขายังรับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยของประเทศต่อ หน้าที่ของเขาก็คือการใกล้ชิดกับเยี่ยเทียนและดึงเยี่ยเทียนเข้าไปอยู่ในระบบให้ได้
แน่นอนว่า การศึกษาคนเหล่านี้ในเชิงลึก ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแก๊งมอสโควถูกทำลาย หรือการซ้อมรบของทหารไซบีเรีย ล้วนแต่เป็นเป็นเครื่องยืนยันถึงความแข็งแกร่งของผู้มีความสามารถเหนือมนุษย์ ไม่มีใครกล้าทำอะไรเยี่ยเทียนเลย
“ท่านผู้เฒ่า คนผู้นั้นชื่อติงหง เขาตายตั้งแต่รับภัยอัสนีสวรรค์แล้ว ศพก็ถูกพวกนั้นจัดการแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”
เยี่ยเทียนยิ้มประชดให้กับซ่งเฮ่าเทียนและพูดว่า
“ถ้าอยากรู้ว่าคนแบบพวกผมแข็งแกร่งเท่าไหร่ ท่านผู้เฒ่า ถ้าท่านว่างๆ ลองเปิดหนังสือบันทึกโซวเสินจี้หรือ คัมภีร์ซานไห่จิง ก็จะรู้เอง ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็ลองเปิด ไซอิ๋ว ดูก็ได้ครับ! ”
“เจ้าเด็กนี่ ล้อฉันเล่นใช่มั้ยหะ? ”
ซ่งเฮ่าเทียนเบิกตากว้างใส่เยี่ยเทียน 20 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าเขาจะอยู่ตำแหน่งไหน ก็ไม่เคยมีใครกล้าพูดกับเขาแบบนี้มาก่อน
หนังสือคัมภีร์ที่เยี่ยเทียนพูดถึง มีคนเคยอ่านมากมาย มีแต่คนจิตไม่ปกติเท่านั้น ถึงจะเชื่อสิ่งที่บันทึกอยู่ในหนังสือเหล่านั้น มนุษย์ฝันอยากบินขึ้นฟ้าตั้งแต่พันปีก่อน แต่ก็เพิ่งบินไปถึงดวงจันทร์ได้สำเร็จเมื่อสิบกว่าก่อนเอง?
ด้วยเหตุนี้ ซ่งเฮ่าเทียนจึงคิดว่าเยี่ยเทียนกำลังคุยฆ่าเวลากับเขาอยู่ ยังไงก็ไม่มีวันเชื่อ พวกคนฝึกพลังวิชา จะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริง ประเทศจีนก็ไม่ต้องประสบหายนะ ให้คนเหล่านั้นไปจัดการ พันธมิตรแปดชาติ ก็คงถูกจัดการด้วยฝ่ามือเดียวแน่นอน!
“เห็นมั้ยล่ะ ผมพูดให้ฟังแล้วท่านก็ไม่เชื่อ แล้วจะถามผมทำไมละครับ?”
เยี่ยเทียนไม่หลงกลซ่งเฮ่าเทียน โบกมือไปมาพูดว่า
“ท่านผู้เฒ่า ผมจะเล่าให้ท่านฟังนะครับ ผู้ที่ฝึกถึงระดับบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคได้ การเรียกลมเรียกฝน ถล่มภูเขาทลายมหาสมุทรเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ถ้าฝึกถึงระดับหยวนอิง ฉีกอวกาศจนเป็นรอยแยกด้วยมือเปล่าก็ได้ ตัวไปถึงจักรวาลก็ยังได้…”
เยี่ยเทียนไม่ได้พูดเรื่อยเปื่อย ด้วยพลังที่เขามีอยู่ตอนนี้ ถึงแม้ไม่หายใจ เขาก็สามารถมีชีวิตได้นานเป็นเดือน แล้วผลกระทบจากลมแรงก็ทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ถ้าทะลุไปถึงชั้นบรรยากาศ เยี่ยเทียนยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่
แต่เยี่ยเทียนเชื่อว่า ถ้าเข้าไปถึงระดับหยวนอิง บางทีก็อาจจะทะลุไปถึงชั้นอวกาศก็ได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นอากาศหรือปราณวิเศษ ก็ล้วนแต่เป็นพลังงานบางอย่างของอวกาศเท่านั้น เมื่อมนุษย์วิวัฒนาการถึงจุดสูงสุดแล้ว การดูดพลังงานจากอวกาศได้โดยตรง ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
ส่วนความสามารถการเรียกลมเรียกฝน ขอแค่สามารถควบคุมปราณวิเศษของฟ้า สวรรค์และพื้นธรณี เปลี่ยนความผันผวนของปราณวิเศษในบางพื้นที่ ให้มันเกาะตัวจนกลายเป็นลมและฝน ถ้าเป็นไปตามที่เยี่ยเทียนทำนายไว้ เมื่อไหร่ที่เข้าถึงระดับจินตัน ก็จะทำได้เอง
“เดี๋ยวๆ แกช่วยพูดในสิ่งที่มันน่าเชื่อถือหน่อยได้มั้ย?”
เยี่ยเทียนยังพูดไม่ทันจบก็ถูกซ่งเฮ่าเทียนสั่งให้หยุดพูด
“แกอย่าเพิ่งโม้ แล้วตอนนี้แกอยู่ระดับไหน เล่ามาซิ! ”
หลังจากถูกเยี่ยเทียนหลอกมาครึ่งค่อนวัน วิธีการพูดของซ่งเฮ่าเทียนก็เริ่มเลียนแบบตาม เยี่ยเทียนที่ได้ยินก็อดขำไม่ได้
“ระดับผมต่ำมากครับ อยู่แค่ระดับครึ่งจินตันเองครับ! ”
ซ่งเฮ่าเทียนถามต่อด้วยความไม่เข้าใจ
“ครึ่งจินตัน? แล้วมันเป็นยังไง? ”
เยี่ยเทียนขำพูดว่า
“ก็ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่งก็จะถึงระดับบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคครับ”
“งั้นแกก็มีพลังเทียบเท่ากับระดับจินตันแล้วล่ะสิ?”
ซ่งเฮ่าเทียนถามต่อ
“ยังห่างจากระดับจินตันเยอะเลยครับ ครึ่งหนึ่งที่อยู่ตอนนี้กับตอนก้าวข้ามไป ต่างกันมากเลยครับ”
เยี่ยเทียนส่ายหัว เขาเคยเห็นสิงห์ขนทองกับมังกรน้ำที่ปล่อยพลังเต็มที่ เขาที่อยู่ระดับเจี่ยตันเทียบกับพวกนั้นไม่ได้เลย
“แกไม่มีความสามารถอะไรเลย แล้วฉันจะเชื่อคำพูดแกได้ยังไง?”
ซ่งเฮ่าเทียนเหมือนจับจุดเยี่ยเทียนได้ จึงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ เขาเป็นนักวัตถุนิยมที่แท้จริง ไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ แล้วถ้าเยี่ยเทียนเก่งกาจเหมือนที่พูดจริง มันจะเปลี่ยนทัศนคติต่อโลกของท่านผู้เฒ่าทันที
“ผมก็ไม่ได้บอกให้เชื่อนี่ครับ”
หลังจากที่ได้ยินซ่งเฮ่าเทียนพูดแบบนั้น เยี่ยเทียนก็อดขำไม่ไหว อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่ครูสอนศิลปะการต่อสู้ที่มีตำแหน่งเล็กๆ ก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องไปพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าเจ้าหน้าที่ของรัฐ เขาเองก็รู้สึกขี้เกียจอธิบายให้ซ่งเฮ่าเทียนฟังเหมือนกัน
“ไม่ใช่ให้ฉันเชื่อ แต่ให้คนอื่นเขาเชื่อ! ”
น้ำเสียงของซ่งเฮ่าเทียนขรึมขึ้นมาทันที “เยี่ยเทียน ทางการให้ความสำคัญกับคนแบบพวกแกมาก พ่อกับแม่แกไม่ถูกรบกวนก็เพราะสาเหตุนี้ด้วย ไม่อย่างนั้นถึงจะเป็นฉัน ฉันก็บังคับการตัดสินใจของคนบางคนไม่ได้ เพราะฉะนั้น แกต้องทำตัวให้เก่ง มันถึงจะรับรองได้ว่าจะไม่มีใครมารบกวนชีวิตของเวยหลันและคนอื่น ”
“หืม? ท่านหมายถึง ถ้าผมไม่เก่งจริง หรือไม่ยอมรับการรักษาความปลอดภัยของทางการ พวกเขาจะทำอะไรพ่อกับแม่เหรอครับ? ”
เยี่ยเทียนสีหน้าตึงเครียด เจ้าสิงห์ขนทองที่นอนอยู่บนบ่าเด้งตัวขึ้นมาทันที สัตว์โบราณแบบนี้จะอ่อนไหวต่ออันตรายมาก และเมื่อครู่มันสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของปราณชีวิตที่เป็นอันตรายในร่างกายของเยี่ยเทียน
“ไม่หรอก มีตาแก่อย่างฉันอยู่ทั้งคน พวกเขาไม่ทำอะไรที่มันเกินไปหรอก แต่ถ้าเป็นแกก็ว่าไปอีกอย่าง”
ซ่งเฮ่าเทียนขมวดคิ้วพูดต่อว่า
“ทางการเขาหวังว่าแกจะเข้าร่วมการวิจัยผู้มีความสามารถเหนือธรรมชาติ แต่แกสบายใจได้ พวกเขาไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อแกแน่นอน เรื่องนี้ฉันรับรอง แต่ถ้าแกยินยอมเข้าร่วม แกจะได้รับยศพลตรีทันที”
ตอนนี้ซ่งเฮ่าเทียนยังคงคิดว่า สิ่งที่เยี่ยเทียนพูดเมื่อครู่เป็นแค่การคุยโวเท่านั้น ฉะนั้นเขาจึงพูดสิ่งที่เขาคิดไว้ออกมาด้วย การเข้าร่วมวิจัยกับกองทัพ ก็เหมือนได้รับเครื่องรางป้องกันตัว คนอื่นคิดจะทำอะไรเขา ก็คงต้องต้องคิดใหม่
“เข้าร่วมการวิจัยผู้มีความสามารถเหนือธรรมชาติ แล้วยังให้ตำแหน่งยศพลตรีอีก? เป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่น้อยเลยนะครับ! ”
เยี่ยเทียนยิ้มไปส่ายหัวไป พูดต่อว่า
“ท่านผู้เฒ่าครับ นิสัยของผม ท่านก็รู้ดี ตั้งแต่เล็กผมเป็นคนใช้ชีวิตอิสระจากโลกภายนอก ผมไม่ชอบให้ใครมาคุม ผมว่าเอาไว้ก่อนดีกว่านะครับ”
ด้วยพลังของเยี่ยเทียน แค่เขาปล่อยปราณชีวิตออกมาทั้งหมด ยังไงก็เรียกภัยอัสนีจินตันได้แน่นอน และที่เขาเก็บพลังเข้าไป ก็เพราะอยากจะใช้เวลากับที่บ้านให้มาก เขาไม่สนใจเรื่องเข้าร่วมหน่วยงานวิจัยพวกนั้นหรอก อย่าว่าแต่ยศพลตรีเลย นายพลก็ไม่สนใจ
“ท่านผู้เฒ่า อย่าบังคับผมอีกเลย ผมไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ด้วยหรอก! ”
เมื่อเห็นว่ารถแล่นมาถึงหน้าปากซอยบ้านแล้ว เยี่ยเทียนโบกมือไปมาพูดว่า
“เดี๋ยวท่านผู้เฒ่าช่วยผม ไปเจอพวกเขาหน่อย พวกเขาจะได้เชื่ออย่างสนิทใจ! ”
ตอนที่ 861 ครอบครัว
“นี่ ฉันว่าแกลองไปคิดดูหน่อยไม่ได้เหรอ! ”
ตอนที่ซ่งเฮ่าเทียนกำลังพูดโน้มน้าวเยี่ยเทียน เขาก็เปิดประตูลงไปจากรถแล้ว ช่วงค่ำของเดือนหก ปากซอยเปิดไฟสว่างจ้า ล้วนแต่เป็นผู้คนที่กินข้าวมื้อค่ำเสร็จแล้วออกมาเดินย่อย สำเนียงภาษากรุงปักกิ่ง ก้องอยู่ในหูของเยี่ยเทียน ฟังแล้วรื่นหูมาก
เยี่ยเทียนที่สะพายเป้และมีสัตว์เลี้ยงตัวน้อยเกาะที่หัวไหล่ ตอนที่เดินเข้าซอย เขาไม่เป็นจุดสนใจของใครเลย แม้แต่มองก็ยังไม่มีคนมอง เขาเดินไปถึงหน้าบ้านอย่างสบายใจ
“วู วู…”
เสี่ยวจินเงยหน้าขึ้นทำท่าจมูกย่นและมองตรอกซอยที่อยู่หน้าเรือน แล้วก็ส่งเสียงไม่พอใจออกมา การมาถึงโลกที่มีปราณวิเศษน้อยมาก มันทำให้เสี่ยวจินไม่ชิน ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวเยี่ยเทียนกับความชอบในอาหาร เจ้าตัวเล็กคงคลุ้มคลั่งไปแล้ว
“หืม? มีคนแอบมาส่องที่นี่เหรอ? ”
การตอบสนองของเยี่ยเทียนไม่ได้ช้ากว่าเสี่ยวจินเท่าไหร่ เขาสัมผัสได้เหมือนกันว่าตรงนั้นมีกล้องวงจรปิดอยู่ ไม่ใช่แค่หนึ่งอัน แต่ติดตั้งรอบเรือนสี่ประสานเป็นสิบๆอัน นอกจากนี้ชาวบ้านที่อยู่หน้าซอยก็เหมือนจะเปลี่ยนเจ้าบ้านไปแล้ว
“น่ารำคาญจริง! ”
เยี่ยเทียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายที่ออกมาจากพวกที่แอบส่องกล้องวงจรปิด ถึงแม้เขาจะโกรธ แต่เขาก็ระบายออกมาไม่ได้ และเยี่ยเทียนก็เข้าใจว่าถ้าคนเหล่านี้อยู่ที่นี่ เขาอาจจะได้รับการรบกวนจากพวกต่างชาติน้อยลงมาก
“คุณเป็นใคร ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้? ”
เยี่ยเทียนโยกหัวไปมา ตอนที่กำลังจะเคาะประตู ก็มีเสียงเรียกดังขึ้น เขาคืออาเขยของเยี่ยเทียน กำลังอุ้มแตงโมลูกหนึ่งหนักห้ากิโลกว่าเข้าบ้าน แต่ถูกเยี่ยเทียนบังประตูไว้
“อาเขย ผมเอง! ”
เยี่ยเทียนอยากจะร้องไห้ ปกติไม่จะค่อยสนิทสนมกับอาเขยเท่าไหร่ แต่หลังจากเผชิญกับเรื่องที่เกาะ “เผิงไหล”แล้ว เยี่ยเทียนเห็นถึงความสำคัญของครอบครับมากขึ้น เพราะเหตุการณ์นั้นทำให้เขาเกือบกลับมาไม่ได้
“เยี่ยเทียน? เจ้าหนุ่มนี่ ยังรู้จักบ้านกลับบ้านด้วยเหรอ? ”
พอได้ยินเสียงเยี่ยเทียน หลิวเหวยอันอึ้งไปครู่นึง จากนั้นแตงโมก็หล่นลงพื้น เขาผลักประตูออกและตะโกนเสียงดังว่า
“เยี่ยเทียนกลับมาแล้ว พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ ชิงหย่า เยี่ยเทียนกลับมาแล้ว! ”
“ผมไม่ใช่แขกนะ ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ? ”
เยี่ยเทียนใช้พลังดูดแตงโมที่กำลังจะหล่นลงพื้นจากกลางอากาศมาอยู่ที่มือขวา จากนั้นก็ก้าวข้ามคานประตูเข้าไป
เรือนสี่ประสานหลังนี้ หย่อมหญ้าทุกต้นเยี่ยเทียนปลูกเองกับมือ มองดูบรรยากาศที่คุ้นเคย ภายในใจของเยี่ยเทียน พลุ่งพล่านไปด้วยทุกความรู้สึก ตอนนี้เยี่ยเทียนเข้าใจแล้วว่าคำพูด “สุขใดเล่าจะเท่าบ้านเรา”หมายความว่าอย่างไร
เยี่ยเทียนยังเดินไปไม่ถึงกลางเรือน เสียงตะโกนของหลิวเหวยอันสร้างความแตกตื่นให้กับทุกคนในบ้าน เริ่มมีคนออกมาดูบ้างแล้ว ไม่รู้ว่าซ่งเวยหลันกำลังจะออกไปข้างนอกหรือเปล่า เธอใส่ชุดราตรีกับรองเท้าส้นสูง แต่เธอวิ่งนำหน้าทุกคน
“เจ้าเด็กนี่ ยังรู้จักกลับบ้านด้วยเหรอ? ”
ซ่งเวยหลันมาถึงก็หยิกหูเยี่ยเทียนทันที แต่เสียงที่พูดออกมาสั่นเคลือเล็กน้อย เธอทิ้งธุรกิจอันใหญ่โตมาเพื่อใช้ชีวิตที่เงียบสงบกับสามีและลูกชาย
แต่คิดไม่ถึงว่าลูกชายยุ่งกว่าเธออีก บางทีไม่ได้เจอหน้าเกือบห้าเดือน ซึ่งเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ครั้งนี้หายไปตั้งปีกว่า แล้วที่น่าโมโหกว่านั้น คือเจ้าลูกชายไม่แม้แต่จะโทรศัพท์มาหาเธอเลย จนเธอกับลูกสะใภ้มักจะแอบร้องไห้อยู่บ่อยครั้งเวลาไม่มีคน
“แม่ครับ เบาหน่อยสิครับ หูผมจะหลุดแล้ว โอ๊ย เจ็บครับ! ”
เยี่ยเทียนรู้สึกอบอุ่มขึ้นมาทันทีที่ได้พบกับแม่ บนโลกใบนี้ มีเพียงพ่อแม่เท่านั้นที่รักโดยไม่หวังผล ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนจะฝึกพลังจนมีอายุเป็นพันปี ก็คงได้รับความรู้สึกแบบนี้จากพ่อแม่เท่านั้น
“เจ็บให้ตายไปเลย!”
ภาพพจน์นักธุรกิจหญิงแกร่งของซ่งเวยหลันหายไปหมดแล้ว เธอหยิกหูเยี่ยเทียนไปเดินไป ปากก็พูดว่า
“ถ้าแกไม่เล่ามาให้ละเอียด ฉันกับชิงหย่าไม่ปล่อยแกไว้แน่! ”
“วู วู…”
เสี่ยวจินที่เกาะอยู่บนหัวไหล่ของเยี่ยเทียน มองดูซ่งเวยหลันที่เป็นที่นิยมกล่าวขวัญของคนทั่วไป ตาดำกลมโตมีท่าทางสงสัยออกมา มันไม่พบพลังใดในตัวของ “คน” นี้ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเยี่ยเทียนถึงกลัวบุคคลคนนี้มากนัก
แน่นอนว่า สิงห์ขนทองถูกเยี่ยเทียนเตือนไว้หลายครั้งตั้งแต่อยู่บนเครื่องบิน มันจึงไม่ได้สนใจมากนัก มันมองดูรอบๆ จากนั้นมันเลื่อนตัวลงจากหัวไหล่ สองมือแยกแตงโมออกจากกันและมุดเข้าไปอยู่ในนั้น
“แม่ครับ ผมมีธุระจริงๆ เป็นภารกิจลับ ถ้าพูดออกมาเราอาจจะโดนฆ่าปิดปากนะครับ ถ้าไม่เชื่อลองถามคุณตาดูก็ได้ คุณตาอยู่ข้างหลังแหนะ”
โบราณกล่าวไว้ว่าบุรุษที่แท้จริงต้องยอมลดราวาศอกได้ชั่วคราว หลังจากถูกแม่หยิกหู เยี่ยเทียนก็เริ่มโกหกต่างๆนานา แต่ดูเหมือนคำโกหกนั้นจะได้ผลต่อความโกรธของซ่งเวยหลัน
“มีหลานที่ไหนกล้าทำกับคุณตาแบบนั้นหะ? ”
“แม่ครับ ไม่เจอกันหนึ่งปี แม่สวยขึ้นอีกแล้วนะครับ”
เมื่อเห็นว่าแม่คลายมือออก เยี่ยเทียนก็เริ่มประจบสอพลอ
“แม่ดูพ่อสิ เหมือนตาแก่อายุห้าหกสิบเลย แต่แม่ยังสาวเหมือนเด็กมหาลัยที่อายุยี่สิบกว่า ถ้าเราเดินด้วยกันข้างนอก คนพวกนั้นคงคิดว่าเป็นน้องสาวผมแน่เลย! ”
“เจ้าเด็กนี่ ฉันแก่ขนาดนั้นเลยหรือไง ฉันยังไม่ถึงห้าสิบนะ”
เยี่ยเทียนพูดยังไม่ทันจบ เสียงของเยี่ยตงผิวก็ดังออกมาจากข้างในห้อง พอเดินออกมาเขาก็เบิกตากว้างใส่เยี่ยเทียน หลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติ มีความมั่งคั่งร่ำรวย ไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าลูกชายจะบอกว่าตนแก่
“ทำตาโตใส่ลูกทำไม? คุณดูแก่กว่าฉันอยู่แล้วจริง ๆ! ”
ตัวเองว่าลูกได้ แต่ซ่งเวยหลันไม่เคยยอมให้ใครมาว่าลูกเธอ เธอตอบกลับประโยคเดียวเยี่ยตงผิงถึงกับพูดไม่ออก จากนั้นเธอหันมาพูดกับเยี่ยเทียนต่อว่า
“ไม่ต้องมาพูดยอแม่เลย ไปไหนมา? ทำไมไม่โทรมาเลย? ”
เป็นผู้หญิง ใครๆก็ชอบให้คนอื่นมาชื่นชม โดยเฉพาะซ่งเวยหลัน เธอใช้น้ำมันกบหิมะที่เยี่ยเทียนนำมาให้ตลอดทั้งปี ผิวของเธอเนียนนุ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก พอลูกชายชมหน่อย แม้ยังรู้สึกโกรธเล็กน้อย แต่เธอก็เอามือออกจากหูเยี่ยเทียน
“แม่ครับ ผมขอโทษ แต่เรื่องนี้แม่ต้องไปคุยกับคุณตาเองนะครับ! ”
ซ่งเฮ่าเทียนเดินเข้าเรือนกลางไปเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเยี่ยเทียนพูดต่อว่า
“ชิงหย่า เมียรักของฉัน คิดถึงจังเลย! ”
เยี่ยเทียนโยนปัญหาให้คุณตาเสร็จเขาก็ไม่สนใจอะไรอีกเลย เยี่ยเทียนเดินเข้าไปกอดชิงหย่าและพูดว่า
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ถ้าไม่มีอะไรอย่ามารบกวนพวกเรานะครับ แล้วก็ นี่คือสิงห์ขนทอง ผมพามันมาเองครับ เจ้าตัวเล็กนิสัยไม่ค่อยดีนะครับ อย่าไปทำให้มันโกรธล่ะ! ”
เยี่ยเทียนพูดไป ขาก็เตะแตงโมลูกนั้นไป แล้วเปลือกแตงโมก็แตกกระจุยกระจาย แสงสีทองเส้นหนึ่งพุ่งเข้าไปที่ต้นไม้ใหญ่ข้างๆ ส่วนเนื้อแตงโมถูกกินจนหมดเกลี้ยง
“ปล่อยฉัน นาย…นายก็เก่งแต่แกล้งฉัน! ”
พอกลับมาถึงเรือนกลัง อวี๋ชิงหย่าก็เริ่มร้องไห้ สองมือทุบเข้าที่อกของเยี่ยเทียนไม่หยุด ความเป็นห่วงใยในหนึ่งปีที่ผ่านมา หายไปพร้อมกับอ้อมกอดของเยี่ยเทียน
“ชิงหย่า ฉันจะไม่แกล้งเธออีกแล้ว ขอโทษนะ เป็นความผิดของฉันเอง! ”
เยี่ยเทียนพูดขอโทษภรรยาที่ข้างหูด้วยเสียงแผ่วเบาจนหูของอวี๋ชิงหย่าเต็มไปด้วยลมหายใจอุ่น ๆ จากปากของเยี่ยเทียน ทันใดนั้นตัวของเธอก็อ่อนระทวย สองมือของเธอโอบเข้าที่คอและพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า
“นายต้องชดเชยให้ฉัน!”
“ได้สิ!” เยี่ยเทียนหัวเราะฮ่าๆ พอเข้าไปถึงห้องนอนเขาใช้ขาปิดประตู ดีดนิ้วชี้ จากนั้นไฟในห้องก็ดับลงจนมืดสนิท เสียงหายใจแรงก็ดังขึ้น
เยี่ยตงผิงและคนอื่นรู้หน้าที่และไม่ได้ไปรบกวนสองสามีภรรยาคู่นั้น แต่ซ่งเฮ่าเทียนกลับถูกลูกสาวตำหนิชุดใหญ่ พอเห็นว่ายากที่จะอธิบาย เขานั่งพักได้ครู่เดียว ก็หาเหตุผลและกลับออกไปทันที
……-
“ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะได้หรือไม่ได้? ”
เมื่อขอบฟ้าส่องแสงดวงตะวัน เยี่ยเทียนลืมตาขึ้นมองหน้าของภรรยาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เยี่ยเทียนใช้มือลูบไล้ใบหน้าภรรยาอย่างแผ่วเบา แล้วเขาก็รู้สึกผิดเล็กน้อย
เมื่อคืน เขาพบว่าภรรยาอยู่ในช่วงตกไข่ ความคิดอยากมีลูกสักคนจึงเกิดขึ้นในใจ แต่การที่พลังของเขาพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ยีนส์ในร่างกายของเขาต่างไปจากคนทั่วไป เมื่อคืนเยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำสำเร็จมั้ย?
“อย่า…ไปไหนอีกนะ! ”
อวี๋ชิงหย่าที่หลับอยู่เหมือนรู้สึกถึงบางอย่าง เธอจับมือของเยี่ยเทียนเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย
“ไม่ไปแล้ว จากนี้ไปฉันจะไม่จากเธอไปไหนอีก! ”
เยี่ยเทียนนอนลงและดื่มด่ำกับความสงบนี้ การบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรค มีชีวิตอมตะ ล้วนไม่สำคัญกับเขาอีกต่อไป เขาเพียงแต่ต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบกับภรรยา
“เพราะนายแท้ๆเลย แม่ต้องแซวแน่ๆ ! ”
สองสามีภรรยานอนจนถึงบ่าย อวี๋ชิงหย่าหยิกเข้าที่เอวของเยี่ยเทียนไม่หยุด เมื่อคืนคงจะดุดันไปหน่อย พอตื่นขึ้นมา เยี่ยเทียนแทบจะเดินไม่ได้
“ไม่หรอก พวกท่านรออุ้มหลานอยู่นะ ไปกัน ไปกินข้าวกัน! ”
เยี่ยเทียนยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาปล่อยปราณวิเศษเข้าไปในร่างกายของภรรยา ปราณวิเศษนั้นทำให้เธอรู้สึกสบายตัว ความเหน็ดเหนื่อยที่สั่งสมมาก็หายเป็นปลิดทิ้ง
“ท่านผู้เฒ่า นี่มันอะไรกันครับ? ”
พอมาถึงเรือนกลาง เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วทันที เพราะเขาเห็นว่าซ่งเฮ่าเทียนพาคนสามสี่คนมานั่งอยู่ตรงเรือน เมื่อก่อนเวลามาบ้านของลูกสาว ซ่งเฮ่าเทียนไม่เคยให้ลูกน้องตามเข้ามาเลย
ตอนที่ 862 เข้าพบ
ซ่งเฮ่าเทียนวางแก้วน้ำชาลง และกวักมือเรียกเยี่ยเทียน
“เยี่ยเทียน ออกไปข้างนอกกับตาหน่อย มีคนอยากพบแก!”
“แต่ผมยังไม่ได้กินข้าวเลยนะครับ กินข้าวเสร็จแล้วค่อยว่ากัน”
เยี่ยเทียนส่ายหัวด้วยความไม่พอใจ เมื่อคืนเพิ่งกลับมาถึงบ้าน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้พูดคุยกับครอบครัวเลย ถึงเรื่องจะใหญ่เท่าฟ้าก็ต้องกินข้าวให้เสร็จก่อน
เยี่ยเทียนพูดไปมองซ่งเฮ่าเทียนไป แล้วเขาก็ทำหน้าทะเล้นออกมา
“นั่นมองอะไร? จะขู่ผมหรือ? ”
เพราะตอนที่เยี่ยเทียนพูดเมื่อครู่ คนที่อยู่ข้างหลังซ่งเฮ่าเทียนส่งสายตาอันแหลมคมใส่เขาทุกคน ถ้าเป็นคนทั่วไปคงทำตัวไม่ถูกแล้ว แต่เยี่ยเทียนไม่สนใจอะไรเลย เขาดึงอวี๋ชิงหย่าไปที่ห้องกินข้าวของเรือนกลาง
“เยี่ยเทียน ไม่ไว้หน้าคุณตาหน่อยเลยเหรอ? ”
พอเข้ามาถึงห้องกินข้าว ซ่งเวยหลันมองลูกชายด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย พ่อของเธออายุจะแปดสิบแล้ว ยิ่งมาเชิญด้วยตัวเองอีก เธอรู้สึกว่าเยี่ยเทียนไม่ควรแสดงท่าทีแบบนั้น
เยี่ยเทียนยิ้มและพูดว่า
“แม่ครับ ถ้าไปกับคุณตา อาจจะต้องไปหลายวันเลยนะครับ ถ้าแม่จะให้ผมไป ผมไปเดี๋ยวนี้เลยก็ได้ครับ!”
“ไม่ได้ แกเพิ่งกลับมาเมื่อวาน ยังไม่ได้กินข้าวกับแม่สักมื้อเลย ให้พวกเขารอไปก็แล้วกัน เรากินข้าวกันเถอะ! ”
พอได้ยินลูกชายพูดแบบนี้ ซ่งเวยหลันรีบเปลี่ยนคำพูด ในสายตาของแม่ ลูกต้องมาก่อนเสมอ ลำดับต่อไปก็คือพ่อแม่ ส่วนคนที่ไม่มีตำแหน่งเลยก็คือสามี
“เฮ้อ เจ้านี่ พอมีของกินก็วิ่งเร็วเชียวนะ! ”
ไม่รู้ว่าสิงห์ขนทองมุดขึ้นมาที่โต๊ะอาหารตั้งแต่เมื่อไหร่กัน มันอุ้มจานเนื้อตุ๋นไว้และกินอย่างเอร็ดอร่อย ด้วยความน่ารักของมัน จึงไม่มีใครพูดอะไร ลูกพี่ลูกน้องของเยี่ยเทียนที่ชื่อหลิวหลันหลันนั่งอยู่ข้างมันดูแลมันอย่างดี
“วูวู…” เสี่ยวจินเงยหน้ามองเยี่ยเทียน กลอกตาใส่เยี่ยเทียนและกินต่ออย่างไม่สนใจ ทุกคนหัวเราะชอบใจกับท่าทางของมัน
…………
“ท่านครับ เอ่อ…”
หลังจากเยี่ยเทียนเดินจากไป ชายวันกลางคนอายุราวสามสิบที่ยืนอยู่ด้านหลังซ่งเฮ่าเทียนขมวดคิ้ว รูปร่างของเขาไม่สูง หน้าตาธรรมดามาก สิ่งที่ต่างไปจากคนทั่วไปก็คือสองมือที่ขาวผิดปกติ เล็บถูกตัดแต่งไว้อย่างสะอาดสะอ้าน แม้แต่มือที่ฉายบนหน้าจอทีวีก็ยังต้องยอมแพ้
“รอ พวกแกรอตรงนี้แหละ! ”
“ท่านครับ มีผู้ใหญ่อีกหลายท่านรออยู่นะครับ แบบนี้คงไม่ดีมั้งครับ? ”
คิ้วของชายคนนั้นขมวดแน่นขึ้นอีก เขาชื่อฉางเฮ่า ถึงแม้หน้าตาจะดูเหมือนคนอายุ 27-28 แต่อายุจริงๆมากกว่า 40 แล้วด้วยซ้ำ เป็นคนที่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา ถึงแม้จะอยู่ต่อหน้าซ่งเฮ่าเทียน สง่าราศรีก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย
ฉางเฮ่าเกิดในตระกูลกังฟูของมณฑลเสฉวน เข้าเป็นทหารตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เคยเข้าร่วมสงครามโจมตีกลับเพื่อการป้องกันในปี 1979 ตอนนั้นเขาอายุยังไม่ถึง 20 แต่เขานำกองกำลังสำรวจบุกศัตรูแล้วหลายครั้ง ความสามารถนี้เก่งกาจมากจนไม่มีใครเทียบได้ จนถึงวันนี้ เขาถือได้ว่าเป็นคนที่เก่งระดับอาจารย์สอนกังฟูก็ว่าได้
แต่ความสามารถที่เก่งที่สุดของฉางเฮ่า ไม่ใช่กังฟูของตระกูลแต่เป็นปืน ในระยะห้าสิบเมตร ด้วยสายตาอันเฉียบคม เขาไม่เคยยิงพลาดเป้า และเขาเก่งจนแม้กระทั่งเส้นผมที่โผล่ออกมาด้านนอก เขาสามารถยิงมันจนขาดและไม่โดนหัวของคนที่เป็นเป้า
ยุคหลังปี 1980 ฉางเฮ่าเคยได้รับยศผู้รักษาความปลอดภัยอันดับหนึ่งแห่งภาคกลางและภาคใต้ของประเทศ ตอนนี้เขาดำรงตำแหน่งผู้รักษาความปลอดภัยของข้าราชการระดับสูงของประเทศ แม้ว่าเขาจะใส่ชุดนอกเครื่องแบบ แต่ที่จริงแล้วเขามียศถึงพลตรี ในพระราชวัง มีแค่สองสามคนที่เป็นเหมือนเขา
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงกล้าแสดงความไม่พอใจท่าทีของเยี่ยเทียนออกมาโดยตรง เขาก็มองไม่ออกว่าชายหนุ่มคนนี้ต่างจากคนทั่วไปตรงไหน แต่กลับมองแค่ว่าท่าทีของซ่งเฮ่าเทียนคือการตามใจหลานชายของตัวเองเท่านั้น
“หืม? แม้แต่คำพูดของฉันแกก็ไม่ฟังแล้วใช่มั้ย? ”
ซ่งเฮ่าเทียนหันกลับมาฮึ่มใส่ พูดเสริมว่า
“ถ้ามีอะไร เดี๋ยวฉันจะรับไว้เอง ไม่ให้พวกแกมารับเคราะห์แทนหรอก เพราะตำแหน่งของพวกเขา ทุกคนบนโลกนี้เลยต้องรีบไปพบอย่างงั้นหรือ? ”
ซ่งเฮ่าเทียนกุมอำนาจมาหลายปี แม้จะเกษียณแล้ว แต่เมื่อไหร่ที่ขรึมขึ้นมา รังสีแห่งความน่ายำเกรงก็ยังพอมีอยู่บ้าง ตอนแรกฉางเฮ่าอยากจะพูดต่อ แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าพูด เพราะตำแหน่งของเขาสองคนนั้นต่างกันมาก
“รีบกินนะ กินเสร็จแล้วไปพบคนๆหนึ่งกับฉันด้วย! ”
ถึงแม้เมื่อครู่จะตำหนิฉางเฮ่าไป แต่พอเดินเข้ามาในห้องอาหาร ซ่งเฮ่าเทียนก็ยังต้องเร่งเยี่ยเทียนอยู่ดี เพราะคนที่รอพวกเขาอยู่ ด้วยตำแหน่งของพวกเขา มีแต่คนอื่นเท่านั้นที่จะต้องเป็นฝ่ายรอ
เยี่ยเทียนส่ายหัวไปมา หลังจากช่วยแม่กับป้าใหญ่ตักซุปเสร็จ เขาพูดว่า
“ท่านผู้เฒ่าก็ชอบหาแต่เรื่องให้ผม ผมบอกแล้วว่าไม่ไป ยังทำแบบนี้ทำไม”
“หาเรื่อง? แกไม่ไปสิจะมีเรื่อง”
ซ่งเฮ่าเทียนถอนหายใจและพูดว่า
“ยิ่งแกมีความสามารถแค่ไหน แกถึงจะได้รับความเคารพเท่านั้น ถึงตอนนั้นแกอย่าซ่อนมันไว้ ปล่อยออกมาให้หมด! ”
“จะให้ผมไปแสดงโชว์อย่างงั้นเหรอ? ”
เยี่ยเทียนเบิกตากว้าง แล้วก็หัวเราะต่อ
“ก็ได้ครับ ผมรู้ว่าท่านหวังดี”
เมื่อเห็นซ่งเฮ่าเทียนนั่งลงแต่ไม่กิน เยี่ยเทียนจึงยืนขึ้นและพูดว่า
“งั้นก็ไปกันเถอะครับ คืนนี้ผมสัญญากับชิงหย่าว่าจะไปเดินเล่นด้วยกัน อย่าทำให้ผมต้องเสียเวลาทำเรื่องสำคัญนะครับ!”
“ไอ้เด็กนี่ อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ! ”
ซ่งเฮ่าเทียนไปต่อไม่ถูกกับคำพูดของเยี่ยเทียน อย่าว่าแต่คนทั่วไป ทูตจากแต่ละเขตแดนอยากเข้าพบคนพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วท่าทีเหมือนโดนบังคับของเยี่ยเทียน แม้แต่ซ่งเฮ่าเทียนก็รู้สึกหมั่นไส้จนอยากจะเตะ
“ก็ผมเป็นแค่คนธรรมดา อยากใช้ชีวิตกับลูกเมียเท่านั้น ชื่อเสียงอำนาจผมไม่สนใจหรอกครับ! ”
พอเดินออกมาจากห้องอาหาร เยี่ยเทียนแอบหัวเราะ ด้วยอายุเท่านี้แล้วพูดแบบนี้ อาจจะยังเร็วเกินไป
พวกฝีมือดีที่มีฉางเฮ่าเป็นหัวหน้า กำลังมองเยี่ยเทียนด้วยสายตาเหมือนมองคนบ้า พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนนี้มีดีตรงไหน ที่พวกเขาต้องวางมือจากงานที่ทำอยู่แล้วมารับงานนี้โดยเฉพาะ?
“ฝีมือแกก็ไม่เลว แต่การใช้ชีวิตที่สบายนานเกินไป ความสามารถก็จะด้อยลงนะ”
ตอนที่เดินผ่านฉางเฮ่า เยี่ยเทียนยิ้มพร้อมพูดว่า
“ฝีมือแกก็ไม่เลว เดิมที แกสามารถพัฒนาได้อีกถ้ายังอยู่สายกังฟู อาจจะเก่งกว่าหยางลู่ฉาน ต่งเซิงไห่ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่แกเปลี่ยนไปเล่นปืน ความคิดของแกก็เลยปะปนยุ่งเหยิงไปหมด ด้วยเหตุนี้ความสามารถในกังฟูของแกก็เลยหยุดเพียงเท่านั้น! ”
เยี่ยเทียนมีสายตาที่แหลมคมมาก มองแว๊บเดียวก็รู้เลยว่าฉางเฮ่ามีความสามารถแค่ไหน นอกจากศิษย์พี่และเหลยเจิ้นเทียนแล้ว เขาแทบจะไม่เคยเห็นคนที่มีฝีมือดีขนาดนี้ อายุแค่สี่สิบกว่าแต่มีพลังสับเปลี่ยนแล้ว ถือว่ามีพรสวรรค์กว่าศิษย์พี่ของเยี่ยเทียนอีก
สิ่งที่น่าเสียดายคือคนที่มีหวังเข้าถึงระดับเซียนเทียน สุดท้ายกลับเลือกทางเดินผิดๆ เดิมทีเขาเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ความสามารถที่ซ่อนอยู่ด้านในถูกปล่อยออกมาถึงจุดสูงสุด อาวุธปืนพวกนี้ก็ใช่ว่าจะทำอะไรได้
“สามหาว อายุก็น้อย รู้อะไรบ้าง! ”
ฉางเฮ่าตะลึงคำพูดของเยี่ยเทียนในตอนแรก แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้สติ ที่เยี่ยเทียนพูดน่าจะเป็นเพราะซ่งเฮ่าเทียนเล่าให้ฟังตอนอยู่ในห้องอาหาร เยี่ยเทียนไม่มีทางรู้ด้วยตัวเองแน่ๆ
เยี่ยเทียนไม่สนใจคำพูดของฉางเฮ่า เขาส่ายหัวและเดินนำหน้าทุกคนไป คนๆนี้ไม่มีใจแห่งเต๋า หรืออาจจะพูดได้ว่าเขาซึมซับสรรพสิ่งในโลกมนุษย์ไปหมดแล้ว แล้วเยี่ยเทียนก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้า จึงไม่คิดจะช่วยให้เขาเปิดใจ
ปากทางเรือนสี่ประสาน มีรถเก๋งสีดำจอดอยู่สามคันตั้งแต่เช้า
เยี่ยเทียนขึ้นนั่งคันที่สอง หลังจากขึ้นรถแล้ว หน้าต่างรถก็กลายเป็นสีดำทันที ไม่สามารถมองเห็นข้างนอกได้เลย แล้วที่นั่งด้านหลังกับห้องคนขับก็มีกระจกทึบเลื่อนขึ้นมากั้นไว้ พื้นที่ๆเยี่ยเทียนอยู่มืดสนิทในทันใด
“คุณเยี่ย ขออภัยนะครับ มันมีความจำเป็น โปรดเข้าใจ! ”
เสียงของฉางเฮ่าดังขึ้นจากด้านหลัง ถึงแม้เขาจะพูดด้วยเสียงสุภาพ แต่น้ำเสียงค่อนข้างแข็งทื่อ เห็นได้ชัดว่ามีความไม่พอใจในคำพูดของเยี่ยเทียนเมื่อสักครู่อยู่ไม่น้อย
“ครับ ผมของีบสักหน่อย ถึงแล้วปลุกผมก็แล้วกัน! ”
เยี่ยเทียนไม่สนใจเท่าไหร่ เขาหาวเสร็จก็ล้มตัวนอนจริงจัง ลูกเล่นแบบนี้ไม่มีความหมายอะไรกับเขาหรอก ขอแค่เขาปล่อยจิตออกมา กรุงปักกิ่งครึ่งหนึ่งก็อยู่ในสายตาของเขาหมดแล้ว
“คนนี้มันเก่งจริงหรือว่าโง่กันแน่? ”
การกระทำของเยี่ยเทียน ทำให้ฉางเฮ่าที่นั่งอยู่ด้านหน้าไม่เข้าใจ ถ้าสลับเป็นตัวเขาเอง การไปพบปะกับคนกลุ่มนั้นในครั้งแรก เขาไม่มีทางแสดงท่าทีที่สบายใจขนาดนี้แน่ๆ
รถเริ่มแล่นออกจากในเมือง และตรงไปยังทิศตะวันตก พอแล่นไปแล้วประมาณชั่วโมงครึ่ง รถก็เลี้ยวขึ้นทางชันที่ขรุขระ
หลังจากแล่นมาถึงตรงนี้ ตาของเยี่ยเทียนกระตุกเล็กน้อย เพราะเขาสัมผัสได้ถึงในระยะสิบกิโลเมตร มีคลื่นไฟฟ้าที่มองไม่เห็นครอบบริเวณนี้อยู่ น่าจะเป็นสิ่งที่เอาไว้ป้องกันดาวเทียมบนฟ้า
“ ไม่คิดว่าในปักกิ่งจะมีพื้นที่แบบนี้อยู่ด้วย”
เยี่ยเทียนพบว่า หลังจากที่รถแล่นออกจากทางชันออกไปสี่ห้าร้อยเมตรแล้ว จู่ๆรถก็เลี้ยวขวา แล้วด้านข้างของภูเขาลูกนั้นก็มีประตูบานใหญ่บานหนึ่งเปิดออก รถแล่นเข้าไปด้านใน จากนั้นประตูก็ปิดลงอย่างเงียบๆ
“ภูเขาทั้งลูกถูกขุดจนหมด ใช้เงินไปไม่น้อยเลยนะเนี่ย! ”
หลังจากเข้ามาถึงด้านใน เยี่ยเทียนยอมรับว่า บางทีเซียนก็สู้กำลังของคนไม่ได้
ตอนที่ 863 แถลงไข
สถานที่ที่เยี่ยเทียนอยู่ ณ ตอนนี้ เกิดจากการขุดเจาะสันเขาของภูเขาทั้งลูกไปจนหมด ภายในพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ไม่เพียงมีรถถังจอดอยู่นับร้อยคัน ปืนใหญ่อีกหลายร้อยกระบอกเท่านั้น แต่ยังมีทางวิ่งสำหรับเครื่องบิน และเครื่องบินรบเปล่งประกายสีเงินหลายลำจอดอยู่ที่สุดปลายทางวิ่งอย่างสงบอีกด้วย
หลังจากเข้าสู่เขตสันเขาแล้ว รถก็ขับตรงไปสู่ส่วนลึกของสันเขาทันที จากนั้นยังต้องผ่านด่านประตูไฟฟ้าอีกหลายแห่ง รถจึงจะจอดลง แต่แล้วเยี่ยเทียนก็รู้สึกว่ารถทั้งคันรวมถึงร่างของเขากำลังตกลงสู่เบื้องล่าง ที่แท้อีกฝ่ายก็ขับรถตรงเข้าไปในลิฟต์เลย
“คุณเยี่ย ถึงแล้วครับ!”
หลังจากลงไปลึกประมาณสามสิบกว่าเมตร ลำแสงสายหนึ่งก็สาดส่องเข้ามา ประตูรถถูกเปิดออกจากด้านนอก
อยู่ท่ามกลางความมืดมิดมาสองชั่วโมงกว่า เมื่อปะทะกับแสงสว่างจ้ากะทันหัน คนส่วนใหญ่จะไม่ชินกับแสง ต่างก็มักจะรู้สึกแสบตาจนน้ำตาไหลพรู ฉางเฮ่ายืนอมยิ้มอยู่นอกประตูรถ ท่าทางจะอยากดูว่าเยี่ยเทียนจะทำหน้าตาน่าเยาะเย้ยอย่างไรออกมาบ้าง
แต่สีหน้าท่าทางของเยี่ยเทียนกลับทำให้ฉางเฮ่าต้องผิดหวัง หลังจากเยี่ยเทียนก้าวออกมาจากรถ ฉางเฮ่ากลับไม่เห็นว่าสีหน้าของเขาจะมีที่ใดผิดแปลกไป แสงไฟสว่างจ้าเหนือศีรษะนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเขาเลยสักนิด
“ซ่อนเสียลึกลับจริงนะ ไม่นึกเลยว่า ซีซาน[1]จะมีที่แบบนี้ซุกซ่อนอยู่ด้วย คงเอาไว้ใช้หลบภัยจากอาวุธนิวเคลียร์ละสิ?”
เยี่ยเทียนมองไปรอบๆ สิ่งก่อสร้างใต้ดินเหล่านี้ล้วนสร้างมาจากคอนกรีต และจุดที่ผืนดินค่อนข้างสูงก็ยังมีเสาคอนกรีตหนาค้ำยันไว้อีกด้วย ต่อให้มีหัวรบนิวเคลียร์ลูกหนึ่งตกลงมาจากข้างบน เชื่อว่าที่นี่ก็คงจะไม่เป็นอันตรายใดๆ แน่นอน
ผนังทั้งหมดของสิ่งก่อสร้างใต้ดินนี้ถูกทาสีเคลือบไว้แล้ว แต่ยังสามารถระบายอากาศได้ดีอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เยี่ยเทียน แต่เปลี่ยนเป็นคนอื่นละก็ ต่อให้เป็นความฝันก็คงนึกไม่ถึงหรอกว่าตัวเองอยู่ลึกลงไปใต้ดินหลายสิบเมตรแล้ว
“คุณ…คุณรู้ได้ยังไงว่าที่นี่คือซีซาน?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ฉางเฮ่าก็มีสีหน้าอย่างกับกินแมลงวันลงไปตัวหนึ่ง เขาไม่นึกเลยว่า มาตรการรักษาความลับของเขานี้ เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียนแล้วจะกลับกลายเป็นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
เยี่ยเทียนโบกมือ ชี้ไปที่ทางแยกสายหนึ่งอย่างเฉยเมยแล้วตอบว่า
“พูดไปคุณก็ไม่เข้าใจหรอก เหล่าฉาง เลิกเล่นลูกไม้ตลบตะแลงพวกนี้ได้แล้วละ รีบไปกันเถอะ เสร็จเรื่องแล้วผมจะได้กลับเร็วๆ หน่อย”
“คุณ…คุณยังรู้อะไรอีก? ใครเป็นคนบอกคุณน่ะ?!”
คราวนี้สีหน้าของฉางเฮ่าเปลี่ยนไปจริงๆ แล้ว เท้าถอยหลังไปหลายก้าวติดๆ กัน มือขวาสอดไปที่ใต้รักแร้ปานสายฟ้าแลบ เพราะทิศทางที่เยี่ยเทียนชี้ไปนั้น เป็นตำแหน่งของห้องประชุมซึ่งมีผู้นำระดับอาวุโสหลายท่านอยู่ในนั้น
พลังฝีมือของฉางเฮ่าเข้าสู่ระดับพลังสับเปลี่ยนแล้ว เขาจึงรู้ว่าพลังปราณนั้นสามารถใช้ในการรับรู้ถึงเรื่องบางอย่างที่คนทั่วไปไม่อาจสังเกตได้ อย่างการฝึกชี่กงรักษาโรคและการทายอักษรข้ามฉากกั้นในสมัยก่อน ที่จริงแล้วก็เป็นการใช้พลังปราณช่วยเปิดเส้นลมปราณคลายจุดในร่างกาย หรือใช้พลังปราณสัมผัสถึงตัวอักษรที่อยู่บนกระดาษนั่นเอง ฉางเฮ่าเองก็ทำได้เหมือนกัน
แต่ตำแหน่งของผู้นำอาวุโสเหล่านั้นอยู่ไกลจากที่นี่ถึงสี่สิบห้าสิบเมตร และระหว่างทั้งสองแห่งยังมีหินผา โครงเหล็กและคอนกรีตขวางกั้นอยู่อีกด้วย ฉางเฮ่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่า เยี่ยเทียนพบสถานที่แห่งนั้นได้อย่างไร
“พอเถอะ ของสิ่งนั้นน่ะใช้กับผมไม่ได้ผลหรอก อย่าเอาออกมาเลย”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า มองไปยังหินผาจุดหนึ่งซึ่งไม่ได้มีความแตกต่างใดๆ กับหินผารอบๆ เลย แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ที่ทุกท่านเชิญผมมานี่ แค่เพราะอยากเห็นว่า ผมจะหล่อเหลาน่ามอง สง่าผ่าเผยทรงเสน่ห์ขนาดไหนเท่านั้นน่ะหรือครับ? ถึงอย่างไรก็น่าจะให้น้ำชามาดื่มสักถ้วยสิ ผมได้ยินมาว่า ใบชาจากต้นชาต้าหงเผาที่อู่อี๋ซานนั่นน่ะ โดนพวกคุณเหมาไปหมดเลยนี่!”
พอเยี่ยเทียนกล่าวขึ้นมาเช่นนั้น ผู้อาวุโสหลายคนในห้องประชุมที่อยู่ไกลออกไปสี่สิบห้าสิบเมตรนั้น ต่างก็เปลี่ยนสีหน้าไปพร้อมๆ กัน และหนึ่งในนั้นยังรวมถึงซ่งเฮ่าเทียนซึ่งเพิ่งจะเร่งรุดมาถึงด้วย
“ซ่งเหล่า[2] หลานชายคุณนี่ร้ายจริงนะ อาจจะมีพลังสะท้านฟ้าสะเทือนดินอยู่จริงๆ ก็ได้นา?”
ผู้ที่นั่งตำแหน่งประธานในห้องประชุมนั้น เป็นชายสูงวัยอายุราวหกสิบปี สีหน้ามุ่งมั่นจริงจังคนหนึ่ง แต่ยามนี้บนใบหน้าของเขากลับเปี่ยมด้วยความอัศจรรย์ใจ เพราะสายตาของเยี่ยเทียนที่มองมาที่กล้องเมื่อครู่นั้น ดูราวกับจะมองทะลุเข้ามาในใจของพวกเขาก็ไม่ปาน ทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกชนิดหนึ่งซึ่งบรรยายไม่ถูกขึ้นมา
“ถึงเขาจะเป็นหลานผม แต่ก็เติบโตบนภูเขาตั้งแต่เล็ก หลี่ซั่นหยวนเป็นคนแบบไหน พวกคุณก็คงจะรู้กันอยู่แล้ว ผมก็ไม่ได้รู้จักเยี่ยเทียนมากไปกว่าพวกคุณเท่าไหร่หรอก!”
ซ่งเฮ่าเทียนได้ยินแล้วก็ยิ้มเฝื่อนๆ เนื่องจากความแค้นระหว่างตระกูลเยี่ยและตระกูลซ่ง เขาจึงเพิ่งจะได้รู้จักกับเยี่ยเทียนหลังจากที่ตนลงจากตำแหน่งไปแล้ว แต่หลายปีมานี้เยี่ยเทียนก็แทบจะไม่ได้อยู่ที่กรุงปักกิ่งเลย ดังนั้นสิ่งที่ซ่งเฮ่าเทียนรู้จึงมีอยู่จำกัดจริงๆ ไม่ใช่ว่าเขาจงใจจะหลบเลี่ยงหัวข้อสนทนานี้
ส่วนเรื่องที่เยี่ยเทียนกราบหลี่ซั่นหยวนเป็นอาจารย์นั้น แน่นอนว่าย่อมปิดบังจากคนเหล่านี้ไม่ได้เช่นกัน กระทั่งเรื่องสมัยเด็กที่แม้แต่เยี่ยเทียนเองยังอาจจะลืมไปแล้ว ก็ยังถูกพวกเขาขุดคุ้ยขึ้นมาได้ ข้อมูลเหล่านี้ย่อมมาจากหมู่บ้านเชิงเขาที่เยี่ยเทียนเคยอาศัยอยู่ตั้งแต่เล็กนั่นเอง
“บางทีเรื่องบางเรื่อง อาจจะเหมือนอย่างที่อยู่ในบันทึกก็ได้กระมัง?”
ชายสูงวัยที่นั่งตำแหน่งประธานคนนั้นทอดถอนใจ กดปุ่มสีเขียวปุ่มหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วพูดขึ้นว่า
“ฉางเฮ่า พาคุณเยี่ยเข้ามาเลย พวกเราเช็ดถูเก้าอี้คอยรับแขกอยู่นานแล้วละ!”
“คุณเยี่ย เชิญ!”
หลังจากได้ยินคำสั่งของชายสูงวัย ฉางเฮ่าก็คลายมือข้างขวาที่กุมด้ามปืนอยู่ออก แต่กลับส่งพลังปราณในกายไปไว้ที่มือทั้งสองข้าง หากเยี่ยเทียนเล่นตุกติกอะไรขึ้นมา เขาก็จะลงมือโดยไม่ไว้ไมตรีเด็ดขาด
“วุ่นวายกันจริงๆ เลย”
แม้จะเป็นระยะทางเพียงสี่สิบห้าสิบเมตร แต่เยี่ยเทียนต้องผ่านประตูอีกถึงสามด่าน ประตูทั้งสามด่านนี้ล้วนหล่อหลอมขึ้นจากเหล็กกล้า และแต่ละครั้งที่จะผ่านด่าน เยี่ยเทียนก็จะถูกค้นตัวหนึ่งครั้ง เห็นได้ชัดว่ามีมาตรการควบคุมอย่างเคร่งครัดเข้มงวดมาก
“ให้ทุกท่านรอเสียนานเลย ขออภัย ต้องขออภัยจริงๆ ครับ!”
เมื่อเข้าไปถึงในห้องประชุมซึ่งมีพื้นที่กว่าหนึ่งร้อยตารางเมตรแล้ว เยี่ยเทียนก็ประสานมือคารวะไปรอบทิศอย่างสบายๆ เป็นกันเอง แล้วก็ไม่รอให้ใครเชื้อเชิญ ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งลงฝั่งตรงข้ามชายสูงวัยตำแหน่งประธานคนนั้น จนพวกฉางเฮ่าที่ตามอยู่ข้างหลังต่างพากันขมวดคิ้ว
นอกจากการประชุมประเภทที่ต้องจัดขึ้นทุกๆ ปีแล้ว ยากนักที่ผู้อาวุโสเหล่านี้จะได้มาชุมนุมกัน ยามนี้เมื่อต่างมารอเยี่ยเทียนกันพร้อมหน้า กลับได้เพียงคำพูดลอยๆ เช่นนี้เป็นการตอบแทน
เยี่ยเทียนไม่ได้รู้สึกว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้เป็นคนแปลกหน้าเลยสักนิด ปกติถ้าบ้านไหนมีโทรทัศน์ก็ต้องจำคนเหล่านี้ได้อยู่แล้ว หากเปลี่ยนเป็นเมื่อหลายปีก่อน เยี่ยเทียนก็คงจะรู้สึกหวั่นเกรงอยู่ แต่ในตอนนี้ บุคคลผู้ได้กุมอำนาจสูงสุดในโลกของคฤหัสถ์เหล่านี้ กลับไม่ได้ดูพิเศษอะไรเลยในสายตาของเยี่ยเทียน
ผู้อาวุโสแซ่เยวี่ยคนนั้นควบคุมอารมณ์ได้ดีมาก เขาเมินเฉยต่อท่าทีเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ของเยี่ยเทียนโดยสิ้นเชิง และกล่าวอย่างยิ้มแย้ม
“คุณเยี่ยไม่ใช่คนธรรมดาๆ พวกเราเป็นฝ่ายรอก็สมควรแล้วละ!”
“ตกลง อย่างนั้นเราก็มาเริ่มเปิดประเด็นสำคัญกันเลยดีกว่า”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง
“ถ้าพวกคุณมีคำถามหรือความประสงค์อะไร ก็แจ้งผมมาได้เลย คำถามให้ถามได้แค่ข้อเดียว ส่วนความประสงค์นั้น ผมไม่รับรองนะว่าจะตอบตกลงได้ และพวกคุณก็มีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จากนี้ไปห้ามมาตอแยผมอีก!”
“แก…พูดแบบนี้ได้ยังไง?!”
เยี่ยเทียนกล่าวยังไม่ทันสิ้นเสียง นายพลที่นั่งอยู่ข้างๆ ผู้อาวุโสแซ่เยวี่ยนายหนึ่งก็ตบโต๊ะพลางลุกขึ้นยืน
“อย่านึกว่าตัวเองเป็นหลานของซ่งเหล่าแล้ว พวกเราจะทำอะไรแกไม่ได้นะไอ้เด็กบ้า นี่ถ้าอยู่ในกองทัพละก็ ป่านนี้คงให้คนลากแกออกไปยิงเป้าแล้ว!”
ในเรื่องความสามารถของเยี่ยเทียนนั้น คนทั้งหลายในที่ประชุมนี้ก็มีความคิดเห็นแตกต่างกันไป บ้างก็เชื่อ บ้างก็ไม่เชื่อ และนายพลผู้ได้กุมทหารหาญนับล้านผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ไม่เชื่อ เมื่อเห็นเยี่ยเทียนพูดจาไร้สัมมาคารวะเช่นนี้ จึงไม่อาจข่มเพลิงโทสะในใจได้อีก
แต่ละคนที่อยู่ในห้องประชุมนี้ ล้วนเป็นบุคคลที่สามารถชี้เป็นชี้ตายได้เพียงลั่นวาจาเท่านั้น โดยเฉพาะนายพลระดับใหญ่ซึ่งกุมกำลังพลนับล้านไว้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ เมื่อระเบิดโทสะขึ้นมาแล้ว อุณหภูมิในห้องประชุมก็ลดลงไปหลายองศาทันที แม้แต่บรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซึ่งสามารถออกศึกสู้รบได้เหล่านั้น ก็ยังต้องหดคออย่างไม่อาจข่มกลั้น
“เฮ้ ท่านผู้เฒ่า เขาจะบอกว่าผมต้องพึ่งบารมีของท่านอยู่ด้วยแหละ”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็หัวเราะขึ้นมาดังลั่น ไม่ได้เห็นนายพลอาวุโสซึ่งกำลังโกรธจัดจนผมชี้ชันผู้นั้นอยู่ในสายตาเลย เขาโบกมือพูดว่า
“ท่านนายพลก็อายุปูนนี้แล้ว ทำไมยังมีโทสะรุนแรงแบบนี้อีกล่ะครับ? ธาตุไฟกำเริบจะกระเทือนถึงตับ ผมแนะนำให้ไปตรวจดูเสียหน่อยนะ”
“แก ทหาร!” นายพลอาวุโสโมโหกับคำพูดของเยี่ยเทียนจนแทบจะตายแล้วมาเกิดใหม่อีกรอบ กระทั่งถึงขนาดไม่สนใจจะไว้หน้าซ่งเฮ่าเทียนแล้ว เรียกคนให้เข้ามาลากเยี่ยเทียนออกไปเดี๋ยวนั้นเลย
“นี่เหล่าจ้าว ใจเย็นๆ ก่อน พวกเรามีเวลาอยู่ไม่มากนะ”
เหล่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซึ่งยืนอยู่ที่ประตูยังไม่ทันได้ขานตอบ ชายสูงวัยรูปลักษณ์สง่าอย่างบัณฑิตอีกคนหนึ่งก็โบกมือปรามขึ้นก่อน แล้วหันไปพูดกับเยี่ยเทียนว่า
“พ่อหนุ่ม เรื่องต่างๆ ที่คุณทำลงไปในไซบีเรียน่ะพวกเรารู้หมดแล้ว เราประหลาดใจกันมากว่า ร่างกายของมนุษย์นั้น สามารถมีพลังถึงระดับที่ว่ากันในเทพนิยายหรือตำนานต่างๆ ได้จริงๆ น่ะหรือ? คุณจะชี้แจงให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหม?”
ชายสูงวัยรูปลักษณ์สง่างามสมถะ และมีบุคลิกของปราชญ์บัณฑิตผู้นี้แซ่อู๋ เขานั่งอยู่ตำแหน่งที่สูงที่สุดรองจากคุณเยวี่ยซึ่งนั่งตำแหน่งประธาน เมื่อได้ยินเขาเอ่ยขึ้นเช่นนั้น นายพลจ้าวก็ได้แต่ข่มกลั้นโทสะในใจ แล้วนั่งลงอย่างโมโหฮึดฮัด
“นี่ถือว่าเป็นคำถามรึเปล่าครับ?”
เยี่ยเทียนมองชายสูงวัยผู้นั้นแวบหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะเพื่อความสงบสุขของครอบครัวในวันหน้า เขาก็คงคร้านที่จะมานั่งสนทนาเรื่อยเปื่อยอยู่ที่นี่ ถ้าเขามีเวลาว่างละก็ ไม่สู้ไปจ่ายกับข้าวที่ตลาดสดเป็นเพื่อนภรรยายังจะดีเสียกว่า ตั้งแต่ได้เริ่มบำเพ็ญพรต เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าตัวเองยิ่งห่างไกลจากชีวิตของปุถุชนมากขึ้นทุกที
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนถามดังนั้น แต่ละคนในห้องประชุมก็สบตากันแวบหนึ่ง อู๋เหล่าพยักหน้าแล้วตอบว่า “นี่แหละคือคำถามของพวกเรา หวังว่าคุณเยี่ยจะตั้งใจชี้แจงแถลงไข แล้วรัฐบาลจะไม่ทำให้คนอย่างพวกคุณผิดหวังแน่นอน!”
“พูดตามตรงนะ พวกคุณก็ไม่มีอะไรที่จะให้ผมได้หรอก!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วพูดต่อ
“ในเมื่อพวกคุณอยากรู้กัน อย่างนั้นผมจะบอกให้ก็ได้ สิ่งต่างๆ ที่บันทึกไว้ในคัมภีร์เต๋าเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งหมด การบรรลุจินตันสำเร็จมหามรรคที่พวกคุณมองว่าเป็นเพียงเทพนิยายนั้น ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน เรื่องที่คนเหล่านั้นหอกดาบฟันแทงไม่เข้า สามารถย้ายภูเขาก้าวข้ามมหาสมุทร กายเนื้อเหาะเหินได้นั้น ก็เป็นความจริงอีกเช่นกัน”
เยี่ยเทียนมองบรรดาผู้อาวุโสที่กำลังตะลึงปากอ้าตาค้างแวบหนึ่ง แล้วพูดต่ออย่างเนิบช้า
“แน่นอน ที่พูดกันว่าจะอายุยืนไม่แก่ไม่ตายนั่นน่ะเป็นแค่เรื่องไร้สาระ ในโลกนี้ไม่ว่าใครก็หนีการเกิดแก่เจ็บตายไม่พ้น นี่เป็นกฎของธรรมชาติ ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ทั้งนั้น”
สาเหตุที่เยี่ยเทียนเพิ่มคำพูดตอนสุดท้ายเข้าไปนั้น ไม่ใช่เพราะว่าเขาคาดเดาความคิดจิตใจของผู้อื่นได้ แต่เพราะเขาจำเป็นต้องนำสิ่งที่ไม่น่าฟังมาพูดเกริ่นไว้ก่อน ยอดอัจฉริยบุคคลอย่างจิ๋นซีฮ่องเต้และจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้นั้น หลังจากที่ล่วงเข้าสู่วัยชราแล้ว ต่างก็พยายามเสาะแสวงหนทางสู่ความเป็นอมตะเช่นกันมิใช่หรือ?
………………..
[1] ซีซาน (西山) เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงปักกิ่ง
[2] การเติมคำว่า -เหล่า ไว้ท้ายแซ่ เป็นวิธีเรียกขานเพื่อแสดงความเคารพและความสนิทสนมต่อผู้สูงวัย โดยมักใช้กับผู้สูงวัยที่มีตำแหน่งฐานะสูง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น