ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 858-859
ตอนที่ 858 กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์
แม้บนตัวผู้เฒ่าชุดน้ำเงินสวมเพียงชุดสีน้ำเงินตัวเดียว แต่หลิ่วหมิงก็ยังสัมผัสได้ว่าแรงกดดันจิตวิญญาณในร่างเขาล้ำลึกดั่งมหาสมุทร เป็นผู้ที่อยู่ในระดับดาราพยากรณ์แน่นอน
“เจ้าก็คือหลิ่วหมิงสินะ ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้ ข้าโอวหยางชิงเฟิงเป็นผู้อาวุโสที่ดูแลตำหนักหลิงหลง เชี่ยนเอ๋อร์กับฉินเอ๋อร์สาวน้อยสองคนนั้นเคยเอ่ยเรื่องเจ้ากับข้าแล้ว” ผู้อาวุโสชุดน้ำเงินพยักหน้า เขาไม่ได้วางท่าน่าเกรงขามเหมือนผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ทั่วไป แต่เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่ค่อนข้างอ่อนโยน
หลิ่วหมิงฉุกใจคิดขึ้นได้ ก่อนหน้านี้พี่น้องโอวหยางเคยบอกว่าผู้อาวุโสที่พิทักษ์ตำหนักหลิงหลงเป็นท่านลุงของพวกนาง ดูท่าคงจะเป็นคนผู้นี้ตรงหน้า
“ไม่นานนี้ได้ยินสองสาวนั่นบอกว่าที่ปัดเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับนิกายปีศาจลี้ลับได้ล้วนอาศัยเจ้าลงแรงไปมาก” ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินลูบเคราเล็กน้อยพลางเอ่ยขึ้นนิ่งๆ
“การกระทำของข้าเพียงแค่เรื่องประจวบเหมาะเท่านั้น ไม่กล้าเอ่ยอ้างความชอบ” หลิ่วหมิงใคร่ครวญคำพูดแล้วเอ่ยอย่างระมัดระวัง
“ดีมาก อายุเท่านี้อย่างเจ้าแต่จิตใจหนักแน่นได้เช่นนี้ แกร่งกว่าคนอายุน้อยมากมายในตระกูลโอวหยางมากนัก มิน่าถึงเข้าสู่พลังระดับนี้ได้ตั้งแต่อายุเท่านี้” ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินเห็นสีหน้าถ่อมตัวของหลิ่วหมิง ในดวงตาก็ฉายแววชื่นชมจางๆ แล้วพยักหน้าเอ่ยชม
“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างถ่อมตัว
“เอาล่ะ สนทนาเรื่อยเปื่อยพอเท่านี้เถิด หัวหน้าตระกูลกับผู้อาวุโสอิงสั่งมาแล้ว เจ้าตามข้ามาเถอะ” ผู้อาวุโสชุดน้ำเงินพูดคำนี้จบก็หมุนตัวเดินไปด้านในห้องโถงใหญ่
“ขอรับ” หลิ่วหมิงขานรับคำหนึ่งก็ตามเข้าไป
ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินผู้นี้เหมือนก้าวเท้าสบายๆ แต่ร่างกายประหนึ่งเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา พริบตาเดียวก็เดินออกไปสิบกว่าจั้ง ทำให้คนมองเห็นร่างกายเขาไม่ชัดสักนิด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ สายตาก็เคร่งขรึมขึ้นวูบหนึ่ง ปราณดำรอบร่างพุ่งออกมา ติดตามไปอย่างเร็วไวลากเงาเลือนรางสายแล้วสายเล่าออกมาเช่นเดียวกัน
ทั้งสองคนเดินตามกันไปอย่างเร็วไวลึกเข้าไปตามทางเดินด้วยกิริยาประหลาดเช่นนี้
ทางเดินเส้นนี้เอียงลงหน่อยๆ คล้ายกับว่ากำลังมุ่งไปใต้ดินของยอดเขาหิมะหยก
เป็นเช่นนี้อยู่ครึ่งก้านธูปเต็มๆ ทั้งสองคนก็มาถึงห้องศิลาที่ดูธรรมดามากห้องหนึ่ง
ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินขยับวูบเดียวไปถึงใจกลางห้องศิลาก็หยุด เขายกมือไพล่หลังหันหลังให้หลิ่วหมิง ในดวงตาของเขามีแววชื่นชมอยู่เล็กน้อย
หลิ่วหมิงที่ด้านหลังเก็บปราณดำไปแล้วมองสำรวจรอบด้านอย่างสงสัยใคร่รู้ไม่หยุด
ห้องศิลาห้องนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด กำแพงสามด้านล้วนเป็นกำแพงธรรมดา มีเพียงกำแพงด้านหนึ่งที่เป็นสีเทาดำ ดูแล้วเหมือนผนังถ้ำธรรมดา
ในเวลานี้เองผู้เฒ่าชุดน้ำเงินก็สะบัดมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งร่วงลงบนกำแพงสีเทาดำด้านนั้น
ทันใดนั้นบนกำแพงด้านนั้นก็มีแสงสีม่วงอ่อนส่องสว่างขึ้นชั้นหนึ่ง
ชั่วครู่หลังจากนั้นเสียงครืนดังสนั่นก็ดังออกมา
พื้นดินเบื้องหน้ากำแพงมีแท่นศิลาแท่นหนึ่งผุดออกมาช้าๆ ด้านบนมีช่องเว้ารูปวงแหวนช่องหนึ่ง
ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินล้วงผลึกสีเขียวขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อแล้ววางลงในช่องเว้ารูปวงแหวนนั่น
ได้ยินเสียง “แกรก” ดังขึ้นเบาๆ หนึ่งหน
กำแพงด้านนั้นฉับพลันเปล่งแสงสีม่วงเจิดจ้าพร้อมกับเสียงวิ้งดังลั่น ผนังถ้ำแยกออกสองด้านเผยให้เห็นทางเข้าถ้ำรูปวงกลมสูงกว่าคนเล็กน้อยทางหนึ่ง
“ตามข้าเข้ามา!”
ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินเอ่ยทิ้งท้ายประโยคหนึ่งก็เดินนำเข้าไปก่อน หลิ่วหมิงลังเลเพียงชั่วครู่ก็ก้าวเท้าตามเข้าไป
ด้านในถ้ำไม่มีที่ใดผิดแปลก คล้ายกับว่าเป็นเพียงถ้ำธรรมดาแห่งหนึ่งเท่านั้น
แม้หลิ่วหมิงสงสัยใครรู้จนอยากจะปล่อยจิตสัมผัสออกไปสำรวจสักรอบ แต่การกระทำนี้เห็นชัดว่าเหิมเกริมเกินไป เขาจึงหักห้ามความคิดนี้ไว้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก
ถ้ำไม่ได้เป็นทางตรง หลังทั้งสองคนเลี้ยวด้านในสองครั้งก็มาถึงในโถงศิลากว้างขวางแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ด้านหน้าโถงศิลามีประตูศิลาที่ส่องแสงสีน้ำเงินเรืองๆ อยู่บานหนึ่ง
ด้านหน้าไม่มีทางไปต่อแล้ว เห็นชัดว่าที่นี่ก็คือจุดมุ่งหมายของการเดินทางครั้งนี้
หลิ่วหมิงมองรอบด้านอย่างงุนงง บนใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์อันโด่งดังของตระกูลโอวหยางอยู่ในถ้ำธรรมดาที่ไม่สะดุดตาสักนิดแห่งนี้หรือ?
“เจ้ารู้สึกว่าที่แห่งนี้ธรรมดาเกินไป ไม่เหมือนกับที่เจ้าคิดไว้ใช่หรือไม่?” ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินคล้ายสังเกตเห็นสีหน้าของหลิ่วหมิงจึงยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้น
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกใจจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ผู้เยาว์รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างจริงๆ”
“ตำหนักหลิงหลงแห่งนี้คือสถานที่ซึ่งโอวหยางหลิงหลงหัวหน้าตระกูลรุ่นแรกของตระกูลโอวหยางเรากักตน ยามนั้นที่ท่านแม่เฒ่าจะทะลวงเข้าสู่ระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ได้สั่งสอนคนรุ่นหลังในตระกูลไว้ว่า ‘การบรรลุเกิดแต่ความเรียบง่าย สรรพสิ่งล้วนกำเนิดที่ใจ’ ตำหนักหลิงหลงหลังนี้จึงเก็บรักษาโฉมหน้าอันเรียบง่ายธรรมดาเช่นนี้ในตอนนั้นไว้มาตลอดจนกระทั่งบัดนี้”
ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินเอ่ยพลางก็ล้วงป้ายผลึกม่วงแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้ออีกครั้งแล้วแกว่งมันเบาๆ หน้าตัว แสงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมาจากด้านในร่วงต้องบานประตูศิลาทันที แล้วจมหายเข้าไปข้างในในพริบตา
“การบรรลุเกิดแต่ความเรียบง่าย…” หลิ่วหมิงใคร่ครวญคำพูดประโยคนี้ ในใจคล้ายบรรลุบางสิ่ง
ในเวลานี้เองแสงสีน้ำเงินบนประตูศิลาก็สว่างขึ้นวูบหนึ่งแล้วหม่นแสงลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว จากนั้นเสียง “กึก” แผ่วเบาก็ดังออกมา ประตูศิลาเปิดออกช้าๆ
มองเข้าไปจากนอกประตู ด้านในประตูศิลาทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยไอสีขาวจางๆ ไหลวนไม่หยุด มองสภาพด้านในโดยละเอียดไม่ชัด แต่พื้นที่ด้านในคล้ายจะไม่ใหญ่
“กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์อยู่ด้านใน หลังลงนามในสัญญาเวทฉบับนี้ เจ้าก็เข้าไปเองเถิด แต่ข้าขอเตือนเจ้าสักคำ เวลาที่กำแพงหลิงหลงแสดงฤทธิ์จะมีเพียงสามวันเท่านั้น เมื่อสามวันสิ้นสุดลงก็จะสูญเสียอิทธิฤทธิ์ไปชั่วคราว รออีกห้าปีให้หลังถึงจะมีฤทธิ์อีกครั้ง จะเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนได้ในช่วงเวลานี้หรือไม่ก็สุดแต่โชคชะตาของเจ้าแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง แม้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ไม่มีพลังโจมตีใดๆ แต่เจ้าก็แตะมันไม่ได้เช่นกัน มิเช่นนั้นจะไม่ใช่ปัญหาเรื่องเลื่อนระดับได้หรือไม่แล้ว” ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินพูดจบ มือข้างหนึ่งก็คว้าอากาศ แสงสีน้ำเงินในมือส่องสว่างวูบหนึ่ง ทันใดนั้นกระดาษสีเงินอ่อนแผ่นหนึ่งก็ปรากฏออกมา เขาหมุนตัวแล้วโยนมาให้หลิ่วหมิง
“ผู้เยาว์เข้าใจ ขอบคุณผู้อาวุโสชิงเฟิงยิ่งที่เตือน” หลิ่วหมิงร่างกายสะเทือนวูบหนึ่ง หลังรับสัญญาเวทที่ลอยมาไว้ในมือก็ค้อมกายคำนับด้วยสีหน้าจริงจัง
ต่อจากนั้นเขาอ่านสัญญาเวทในมือหลายรอบ แล้วจึงใช้จิตสัมผัสกวาดตรวจสอบอีกรอบหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอย่างใดจึงพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งลงบนนั้น จากนั้นใช้นิ้วมือแต้มโลหิตบริสุทธิ์ทิ้งยันต์ประหลาดหลายตัวไว้บนหน้ากระดาษอย่างว่องไว จากนั้นโยนสัญญาเวทกลับไปให้ผู้เฒ่า
ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินรับสัญญาเวทมา กวาดตามองทีหนึ่งก็เก็บไปด้วยสีหน้ายินดี เงาร่างขยับไหววูบหนึ่งอีกครั้งก็หายไปท่ามกลางแสงสีขาว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ก้าวยาวเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างกายจมหายไปในไอหมอกสีขาวของประตูศิลา
เขาเพิ่งก้าวเข้ามาด้านนี้ ประตูศิลาเบื้องหลังก็ค่อยๆ ปิดลงอย่างเชื่องช้า แสงสีน้ำเงินชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นบนนั้นอีกครั้ง
สิ่งที่เข้ามาสู่สายตาคือห้องศิลาเรียบง่ายไม่หรูหราห้องหนึ่ง มีศิลาน้อยหลายก้อนกองสะเปะสะปะอยู่ตรงมุมกำแพง ตรงมุมกำแพงมีจุดที่ชื้นเล็กน้อยจนเห็นตะไคร่เขียวขึ้นอยู่บ้าง
ในห้องศิลาเต็มไปด้วยไอสีเทาขาวคล้ายไอหมอก ไอหมอกไหลเคลื่อนหมุนวนไม่หยุดดั่งคลื่นน้ำ ทำให้ในห้องศิลามีหมอกควันขมุกขมัว พร่ามัวมองเห็นไม่ชัด
แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดยังคงเป็นกำแพงศิลาสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินหม่นกว้างยาวราวสองสามจั้งผืนหนึ่งที่วางอยู่กลางห้องศิลา มันใสแวววาวเปล่งแสงสีน้ำเงินอ่อนออกมา
บนพื้นดินเบื้องหน้ากำแพงศิลาวางเบาะกลมสีขาวเบาะหนึ่งไว้ ทุกสิ่งยังรักษาความเรียบง่ายสบายๆ ไว้เช่นเดิม
“นี่…” เมื่อหลิ่วหมิงมองเห็นกำแพงสีน้ำเงินชัดเจน คนทั้งร่างก็นิ่งอึ้งไป
กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์เบื้องหน้าไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกหรือขนาดล้วนคล้ายคลึงกับกำแพงเก็บเงาที่เขาเคยเห็นในสถานที่ต้องห้ามของนิกายปีศาจอย่างยิ่ง หรือทั้งสองสิ่งจะมีความเกี่ยวข้องอันใดกัน?
หลิ่วหมิงส่ายศีรษะปัดความคิดสับสนวุ่นวายในสมองทิ้งไป จากนั้นมองสำรวจกำแพงศิลาตรงหน้าอย่างละเอียดอีกครั้ง
ความยาวและความกว้างของกำแพงศิลาผืนนี้แทบจะเท่ากัน มองแวบเดียวคล้ายกับฉากบังลมหนาชิ้นหนึ่ง ขอบของกำแพงศิลาสลักยันต์สีทองหน้าตาเหมือนลูกอ๊อดไว้มากมายนัก
หลิ่วหมิงจ้องกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์อยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตรงหน้าบังเกิดสภาพประหลาด แสงสีน้ำเงินบนกำแพงศิลาคล้ายกำลังไหลเคลื่อนเชื่องช้าแล้วขยายใหญ่ขึ้นเบื้องหน้าไม่หยุด ราวกับว่าจะกลืนทั้งห้องศิลาเข้าไปด้านใน
สมองเขาเหมือนดับไปชั่วครู่ แต่อย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา หลังรีบร้อนเก็บจิตสัมผัส สภาพประหลาดเบื้องหน้าในความรู้สึกก็ค่อยๆ หายไปดั่งสิ่งใดก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“เป็นสมบัติที่ลี้ลับยิ่งนักจริงๆ ยังไม่ทันกระตุ้นก็มีความสามารถประหลาดเช่นนี้แล้ว”
หลิ่วหมิงพึมพำคำหนึ่งแล้วไม่กล้ามองมากอีก เขาเดินวนอ้อมกำแพงศิลารอบหนึ่งก็นั่งขัดสมาธิลงบนเบาะกลม
เขายื่นมือลูบแหวนย่อส่วนแผ่วเบาหนหนึ่ง ในมือก็มีปะการังวิญญาณโลหิตกิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นมา เขาวางมันไว้ข้างตัว จากนั้นงอนิ้วดีดทีหนึ่ง ประกายแสงสีดำสายหนึ่งก็ร่วงลงบนกิ่งปะการัง ปะการังวิญญาณโลหิตทั้งกิ่งเริ่มเปล่งแสงสีแดงระลอกแล้วระลอกเล่าออกมา
เวลานี้หากมีคนใช้จิตสัมผัสตรวจอูอย่างละเอียดก็จะพบว่าปะการังวิญญาณโลหิตกิ่งนี้เหมือนจะกำลังละลายอยู่ช้าๆ ในเวลาเดียวกันไอหมอกสีโลหิตเข้มข้นสายหนึ่งก็แผ่ออกมา
หลิ่วหมิงพลิกมืออีกครั้งเรียกกล่องหยกสองใบออกมาวางไว้ข้างกาย ในนั้นใส่โอสถที่ส่องแสงสีเขียวสองเม็ดไว้ด้านใน เม็ดหนึ่งคือโอสถหยกพิสุทธิ์ ส่วนอีกเม็ดหนึ่งคือโอสถชำระวิญญาณที่เพิ่งได้มาจากพี่น้องโอวหยาง
เดิมทีพลังเวทของเขาได้ฟองอากาศลึกลับทำให้บริสุทธิ์ซ้ำไปมาอยู่แล้ว วันนี้มีโอสถมากมายเช่นนี้ช่วย ผนวกกับประโยชน์ในด้านการชำระจิตใจของกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ เขาคิดว่าโอกาสที่จะเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนสำเร็จอย่างน้อยก็น่าจะมากกว่าหกส่วน
เขาพรูลมหายใจยาวเฮือกหนึ่ง จิตใจค่อยๆ สงบลงจากนั้นก็สูดลมหายใจช้าๆ อีกครั้ง หมอกสีแดงที่ปะการังวิญญาณโลหิตแผ่ออกมาพลันถูกเขาสูดเข้าไปในร่าง
พลังเวทในร่างหลิ่วหมิงกระเตื้องขึ้นประหนึ่งถูกปลุกให้ตื่นจากนั้นก็เริ่มปั่นป่วน เริ่มรวมตัวไปยังจุดตันเถียนและทะเลจิตวิญญาณ
แต่ความปั่นป่วนเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องร้าย หลิ่วหมิงสัมผัสได้ชัดเจนว่าพลังเวทมีชีวิตชีวาขึ้นมา
นี่ก็คือผลมหัศจรรย์ของปะการังวิญญาณโลหิต ไอหมอกสีโลหิตที่แผ่ออกมากระตุ้นพลังเวทที่รวมตัวกันแน่นจนคล้ายยางของผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายให้เคลื่อนอย่างรวดเร็ว
ยิ่งเขาสูดหมอกสีแดงเข้าไปมาก คลื่นพลังเวทก็ยิ่งรุนแรงแล้วค่อยๆ เริ่มซัดไปสี่ด้านแปดทิศประหนึ่งคลื่นน้ำระลอกแล้วระลอกเล่า ถาโถมไปยังทะเลจิตวิญญาณอย่างไม่จบสิ้น
ร่างกายหลิ่วหมิงสะท้าน เขาแค่นเสียงออกมาเบาๆ คำหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว
พลังเวทในเส้นลมปราณพุ่งทะลวงรุนแรงเช่นนี้ แม้กายเนื้อของเขาจะทนทายาด แต่เวลานี้ก็ยังรู้สึกเจ็บแปลบรุนแรงประหนึ่งถูกเข็มทะลวงครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างห้ามไม่ได้
ตอนนี้เองกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ก็ส่งเสียงดังวิ้งแล้วเปล่งแสงสีน้ำเงินเจิดจ้าออกมาทันที ทั้งห้องศิลาฉับพลันถูกทะเลแสงสีน้ำเงินกลืนเข้าไปในทันใด
แม้หลิ่วหมิงหลับตาสองข้างแน่นสนิท แต่เวลานี้ก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ แสงสีน้ำเงินส่องลงบนร่างของเขา ความรู้สึกเย็นสบายสายหนึ่งพลันโถมเข้ามา
ตอนที่ 859 จิตมาร
ร่างกายของหลิ่วหมิงขยับเล็กน้อย ใบหน้าทำหน้าไม่ถูกคล้ายยังปรับตัวกับความเย็นสายนี้ไม่ได้อยู่บ้าง แต่เขาไม่ลืมตากลับอดทนไว้
เขารู้สึกได้ถึงพลังของแสงสีน้ำเงินอย่างรวดเร็ว ความเจ็บปวดดุจเข็มทิ่มแทงบนร่างลดทอนลงไม่น้อยอย่างไม่รู้ตัว
สีหน้าของหลิ่วหมิงยินดีเล็กน้อย ดูท่ากำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์จะไม่เสียทีเป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลโอวหยางจริงๆ เห็นชัดว่าไม่ได้มีผลชำระล้างจิตใจเท่านั้น
เขาใช้วิชาอีกครั้ง พลังจิตมหาศาลแผ่ไปยังเส้นลมปราณทั่วร่างควบคุมพลังเวทที่ถาโถมอยู่ไว้
หนึ่งเค่อ สองเค่อ เวลาผ่านไปทีละน้อย…
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ฉับพลันในหูหลิ่วหมิงก็ราวกับมีเสียงอสนีบาตนับไม่ถ้วนฟาดลงมา พลังเวทในเส้นลมปราณทั้งร่างรวมเข้าด้วยกันก่อตัวเป็นธารพลังเวทมหึมาสายหนึ่ง ท้ายที่สุดแล่นตรงเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณ
หัวใจเขาพลันเต้นแรง แต่เวลานี้เองรอบผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดในทะเลจิตวิญญาณก็มีเงาสีดำจางๆ เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่นับไม่ถ้วนลอยออกมาขวางเบื้องหน้าพลังเวททั้งหมดไว้
เปรี้ยง!
พลังเวทที่ถาโถมมาถึงทยอยโจมตีลงบนเงาดำ ชั่วครู่หลังจากนั้นพวกมันก็แตกกระจายประหนึ่งฟองคลื่น
“ปรากฏออกมาแล้วจริง…‘กำแพงระดับ’ !” หลิ่วหมิงในใจเคร่งเครียด
กำแพงระดับที่ว่านี้ ความจริงหากเป็นคำเรียกทั่วไปก็คือคอขวดของระดับพลังที่อยู่เคียงคู่กับผู้ฝึกฝนทุกคนมาตลอดตั้งแต่ระดับศิษย์จิตวิญญาณซึ่งเป็นขั้นพื้นฐานที่สุด ไม่มีผู้ใดได้รับการยกเว้น
ทว่าคอขวดระดับพลังที่ผู้ฝึกฝนระดับต่ำพบอ่อนแออย่างยิ่ง ระดับพลังยิ่งสูง เครื่องพันธนาการที่กั้นขวางระดับพลังเช่นนี้ยิ่งใหญ่โต
โดยทั่วไปเมื่อผู้ฝึกฝนทั้งหมดทะลวงระดับแก่นเสมือนหรือแก่นแท้ กำแพงระดับถึงจะปรากฏออกมาชัดเจนมีรูปลักษณ์ใกล้เคียงวัตถุจริงเช่นนี้
ในเวลาเช่นนี้พรสวรรค์ในตัวแต่ละคนรวมถึงระดับความหนาแน่นและบริสุทธิ์ของพลังเวทที่สั่งสมมาจะเริ่มสำแดงผล!
กำแพงระดับของร่างจิตวิญญาณที่มีชีพจรจิตวิญญาณสวรรค์กับชีพจรจิตวิญญาณพสุธาย่อมทะลวงง่ายกว่าผู้ฝึกฝนทั่วไปมาก
หลิ่วหมิงถึงขนาดเคยเห็นในตำราที่นิกายยอดบริสุทธิ์บันทึกไว้ว่าในสมัยบรรพกาลมีตำนานจำนวนหนึ่งเล่าว่าร่างจิตวิญญาณที่ร้ายกาจบางชนิดถึงขนาดหลบเลี่ยงกำแพงระดับได้
หรือพูดอีกอย่างก็คือคนเหล่านี้ฝึกฝนไปจนถึงระดับแก่นแท้หรือกระทั่งระดับที่สูงกว่านั้นได้โดยไม่พบคอขวดสักนิด!
ความคิดเหล่านี้แล่นผ่านในสมองของหลิ่วหมิงไป ร่างของตัวเขาเองคือร่างสามชีพจรจิตวิญญาณ พูดถึงพรสวรรค์แล้วนับได้ว่าเป็นจำพวกที่ด้อยที่สุดในหมู่ผู้ฝึกฝนทั้งหมด
หลังความคิดแล่นเร็วรี่เขาก็ลืมตาขึ้นอย่างไม่ลังเลสักนิด มือข้างหนึ่งยกขึ้นกวักเบาๆ แสงสีเขียวสายหนึ่งบินออกมาจากในกล่องหยกข้างกายจมหายเข้าไปในปากของเขา
นั่นคือโอสถหยกพิสุทธิ์เม็ดนั้นที่อินจิ่วหลิงมอบให้!
โอสถเข้าปากปุบก็ละลายกลายเป็นความอบอุ่นสายหนึ่งไหลไปทั่วสี่แขนข้าร้อยกระดูกของหลิ่วหมิงในพริบตา ปราณดำรอบร่างเขาพลุ่งพล่านตามออกมา หลังจากหมุนรอบหนึ่งก็กลายเป็นหนวดสีดำเส้นแล้วเส้นเล่าสะบัดบ้าคลั่งอยู่รอบตัวเขา
คลื่นพลังเวทที่ถูกขวางในเส้นลมปราณของเขารวมตัวกันอีกครั้งแล้วพุ่งปะทะกำแพงล่องหนในทะเลจิตวิญญาณระลอกแล้วระลอกเล่า
พลังเวทกับกำแพงระดับปะทะกันไม่หยุด ทำให้ความเจ็บปวดประหนึ่งเข็มทิ่มแทงในร่างหลิ่วหมิงเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง
แม้มีแสงสีน้ำเงินของกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ก็คล้ายไม่มีประโยชน์อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในสมองเขาเวลานี้เหมือนมีใครบางคนถือเข็มเรียวเล็กนับไม่ถ้วนทิ่มแทงเข้ามาด้านใน แม้หลิ่วหมิงเป็นคนอดทนก็อยากยื่นมือเข้าไปตะกุยสักครั้งสองครั้งยิ่งนัก
“ฟู่…”
ในเวลาเดียวกับที่หลิ่วหมิงควบคุมพลังเวทให้ทะลวงคอขวด เขาก็ลองปรับจังหวะลมหายใจ แต่ไม่ว่าเขาพยายามสงบจิตใจอย่างไร ความเจ็บปวดในสมองก็ไม่ลดทอนลงเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ถูกสิ ตอนนี้จิตมารคงเริ่มสำแดงเดชแล้ว!”
ในใจเขาฉุกคิดได้รวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ ค้นพบความผิดปกติได้ในทันที
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่ในใจเขาเริ่มกระสับกระส่าย นี่ก็คือสัญญาณว่าจิตมารกำลังจะแผลงฤทธิ์!
หลิ่วหมิงใจสะท้าน ฉวยโอกาสกวักมืออย่างฉับไว โอสถชำระวิญญาณในกล่องหยกอีกใบหนึ่งฉับพลันกลายเป็นแสงสีเขียวเส้นหนึ่งจมเข้ามาในปากเขาอย่างรวดเร็ว
กระแสเย็นสบายสายหนึ่งไหลไปตามคอของเขา จากนั้นละลายเข้าไปในท้องน้อยแล้วแผ่ออกจนเต็มในทันที แล้วจึงค่อยๆ ลอยขึ้นไปยังสมองของเขา
เขารู้สึกว่าสติแจ่มชัดขึ้นเล็กน้อย พลังจิตในทะเลจิตรับรู้เหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นอยู่บ้าง
“ไม่เสียทีเป็นโอสถล้ำค่าของตระกูลโอวหยาง ฤทธิ์ไม่ธรรมดาจริงๆ!” ในใจหลิ่วหมิงอุทานชมหนึ่งประโยค ความกระสับกระส่ายที่ผุดออกมาในใจเขาคล้ายจะลดทอนลงไปมากนัก
กระแสพลังเวทในทะเลจิตวิญญาณไหลหลากพุ่งชนโจมตีอีกหลายหน เงาดำของกำแพงระดับในที่สุดก็เริ่มพังทลายเกิดรอยร้าวเส้นหนึ่ง
“แครก!”
เสียงแผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยินเสียงนี้สั่นสะเทือนทะเลจิตรับรู้ของหลิ่วหมิงราวกับอสนีบาตเก้าชั้นฟาดดังกึกก้อง กระแสพลังเวทถาโถมไหลบ่ากลบเงาดำไว้ด้านในจนมิด
จิตวิญญาณของเขาแทรกอยู่ในพลังเวทอย่างไม่รู้ตัวแล้วทะลวงผ่านเงาดำของกำแพงระดับไปทันที
ผลสุดท้ายครู่ต่อมา เบื้องหน้าก็พลันดำมืด
ทุกสิ่งรอบด้านมลายหายไปในพริบตา สิ่งที่เข้าสู่สายตามีเพียงความมืดอันเป็นอนันต์ เสียงสักนิดก็ไม่มี ความเงียบสนิททำให้คนจิตใจว้าวุ่นอย่างห้ามไม่ได้
“ภาพมายา ไม่ใช่ นี่คือพลังของจิตมาร!”
หลิ่วหมิงหัวใจเต้นดังตึกตัก!
อย่างไรกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ก็ทำได้เพียงชำระล้างจิตใจคน ลดทอนผลของจิตมาร ไม่อาจขวางการปรากฏของจิตมารได้อย่างสมบูรณ์
เขาเลียริมฝีปาก นึกย้อนถึงวิธีขจัดจิตมารที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์และเรื่องๆ ที่อินจิ่วหลิงเคยเตือน หลังสูดลมหายใจทีหนึ่ง เขาก็สงบจิตใจก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
ทว่าเขาเพิ่งเดินไปได้สองก้าว ความมืดอันเงียบสนิทก็แตกสลายในทันใด เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้นทีหนึ่ง แสงสีแดงปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เปลวเพลิงร้อนผ่าวอย่างที่สุดสายหนึ่งโถมเข้ามา
ร่างกายหลิ่วหมิงพร่าเลือนวูบหนึ่ง ขยับหลบทันที แต่ทันใดนั้นข้างกายก็กลายเป็นทะเลเพลิง เนื้อหนังทั้งร่างของเขายังคงถูกเปลวเพลิงที่ผุดขึ้นมากะทันหันแผดเผา ความเจ็บปวดสาหัสทะลักออกมาทั่วทุกส่วนของร่าง
หน้าของเขาบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด เนื้อหนังบนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีดำอีกครั้งท่ามกลางเปลวเพลิงที่แผดเผา ผิวหนังภายนอกม้วนหยิกเป็นรอยยับย่น บนมือและเท้าปรากฏตุ่มน้ำใสขนาดใหญ่ตุ่มแล้วตุ่มเล่า จากนั้นพวกมันก็ระเบิดดัง “ปัง” ต่อเนื่องกัน
เปลวเพลิงรอบด้านอุณหภูมิสูงขึ้นทุกที เสียยงลุกไหม้ดังขึ้นทุกที กลางอากาศเต็มไปด้วยลายคลื่นจางๆ ไอความร้อนน่าหวาดกลัวสายหนึ่งแผ่ท่วมท้น
หลิ่วหมิงลืมสองตาขึ้น แม้ความเจ็บปวดบนร่างจะสาหัสขึ้นทุกที แต่เขาก็ยังกัดฟันแน่น เดินไปด้านหน้าช้าๆ อย่างแน่วแน่ แต่ละก้าวล้วนสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ส่งมาทั่วร่าง
“ความเจ็บปวดนี่เป็นเพียงความรู้สึกลวง…” หลิ่วหมิงประคับประคองสติแจ่มชัดเสี้ยวสุดท้ายไว้มั่นขณะที่ก้าวต่อไปข้างหน้าทีละก้าวๆ
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เปลวเพลิงที่ลุกโหมรอบด้านก็ถดถอยไปช้าๆ รอบด้านเปลี่ยนกลับมาเป็นโลกว่างเปล่าใบหนึ่งใหม่อีกครั้ง แผลไหม้และความเจ็บปวดบนร่างก็หายตามไปด้วย
“ฟู่…”
หน้าผากหลิ่วหมิงผุดเหงื่อเย็นออกมาจากนั้นสายตาก็ยิ่งแน่วแน่กว่าเดิม ยกเท้าก้าวยาวไปด้านหน้า
“หมิงเอ๋อร์!”
ทันใดนั้นเสียงบุรุษทุ้มต่ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นไกลๆ เบื้องหลัง ชั่วพริบตานั้นหลิ่วหมิงประหนึ่งถูกอสนีบาตฟาด ร่างกายสะท้านรุนแรง บนใบหน้าเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา เท้าหยุดลงอย่างห้ามตนเองไม่ได้
เสียงนี้สำหรับเขาแล้วเป็นความทรงจำอันห่างไกลยิ่งนัก แล้วก็เป็นเสียงที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำเขาไม่เคยลืมเลือน!
หลิ่วหยางจง ผู้ปกครองเขตแห่งเมืองหยางหยวน บิดาของเขา!
มารดาคลอดยากจึงเสียชีวิตไปตั้งแต่ยามให้กำเนิดเขา ตั้งแต่เล็กบิดาเลี้ยงดูเขามากับมือ ภาพที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำฉับพลันลอยขึ้นมาในใจหลิ่วหมิงทีละภาพๆ
ริมฝีปากหลิ่วหมิงสั่นระริก แต่หลังจากนั้นเขาก็ก้าวเท้าออกไปอีกครั้ง ก้าวเดินไปข้างหน้า สุดท้ายก็ไม่ได้หันกลับไปสักครั้ง
“หมิงเอ๋อร์ ได้เห็นเจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ พ่อปลื้มใจนัก ตอนนี้พ่อกำลังจะไปแล้ว แต่ก่อนจากไปอยากพูดกับเจ้าสักคำ”
เสียงที่น่าเกรงขามและเปี่ยมไปด้วยความรักความเมตตาอันคุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง ในน้ำเสียงแฝงแววขอร้องนิดๆ
หลิ่วหมิงกัดฟันกดความต้องการที่จะหันกลับไปไว้ แล้วหักห้ามใจไม่หยุดก้าวเท้าเช่นเดิม
“โจรกบฏหลิ่วหยางจงใจกล้านักนะ! เจ้ากระทำผิดต่อจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน หลอกลวงเบื้องสูง โทษหนักถึงประหาร วันนี้ข้าได้รับคำสั่งจากกรมอาญาให้มาจับกุมเจ้า เอาตัวไป!” เสียงเฉยชาเสียงหนึ่งตวาดดุดัน จากนั้นเสียงโซ่ตรวนสวมลงบนศีรษะของคนผู้หนึ่งก็ดังตามมา
“พาตัวไป!” เสียงเย็นชาออกคำสั่ง
“หมิงเอ๋อร์ ช่วยพ่อด้วย! เจ้าก็รู้ว่าพ่อบริสุทธิ์!” หลิ่วหยางจงขอความช่วยเหลือเสียงดังอย่างคับแค้น
ในสมองหลิ่วหมิงเกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง เลือดไหลรินลงมาจากกระหม่อม การจับกุมของมนุษย์ธรรมดาเหล่านี้ ด้วยพลังวันนี้ของเขา แค่ยกมือยกเท้าก็สังหารพวกเขาทั้งหมดกลายเป็นเศษเนื้อได้ เช่นนี้ย่อมช่วยบิดาได้แล้ว!
“หมิงเอ๋อร์ พ่อจากไปครานี้ เจ้ากับข้าคงไม่อาจพบหน้ากันได้อีกชั่วชีวิต กระทั่งหันมามองพ่อสักหน เจ้าก็ไม่ยอมหรือ?” ชั่วพริบตาเสียงของหลิ่วหยางจงก็แก่ชราลงไปมากจนใกล้จะเป็นการวิงวอน
ร่างกายของหลิ่วหมิงเริ่มสั่นเทิ้มเพราะความโกรธแค้นและความลังเลอย่างที่สุด ร่างกายประหนึ่งกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด เขาคิดจะทิ้งทุกสิ่งแล้วหมุนตัวกลับไปมองบิดาของตนอยู่หลายครั้ง ทว่าทุกครั้งเมื่อถึงเวลานี้ล้วนมีความเย็นสบายเบาบางสายหนึ่งจากที่ไหนไม่ทราบแทรกซึมเข้ามาในร่างกายของเขา ทำให้เขารักษาสติแจ่มใสเสี้ยวหนึ่งไว้ได้ เขาลำบากอดทนจนท้ายที่สุดก็ไม่ได้หันกลับไป
แม้ยามนี้ไม่มีความเจ็บปวดทรมาน แต่เสื้อผ้าของหลิ่วหมิงทั้งหมดเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าบิดเบี้ยวกว่าเดิมจากการดิ้นรน คล้ายกับว่าทรมานยิ่งกว่ายามเปลวเพลิงร้อนลามเลียเมื่อครู่เสียอีก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรเสียงอ้อนวอนของหลิ่วหยางจงเบื้องหลังก็ค่อยๆ ลอยไกลออกไป ในที่สุดก็ลอยสลายหายไปกับอากาศ
หลิ่วหมิงหอบหายใจหนักหน่วงแทบจะหมดเรี่ยวแรงเซล้มลงกับพื้น
ทันใดนั้นเองเท้าของเขาก็เหยียบลงบนความว่างเปล่า พริบตาเดียวทั้งร่างก็ร่วงลงไปในความมืดที่มองไม่เห็นก้น
หลิ่วหมิงตาลายไปวูบหนึ่งแล้วรู้สึกว่าส้นเท้าถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งจับเหลี่วงอย่างแรงจนลอยไปบนฟ้า
เขาสะบัดแขนหมายจะกระตุ้นพลังเวทเหาะขึ้นไป ทว่าทันใดนั้นเขาก็พบว่าเขากลายเป็นเด็กน้อยอายุแปดเก้าขวบคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ อีกทั้งไม่มีพลังเวทสักนิด
สภาพแวดล้อมรอบด้านมืดมิดไปหมด เสียงคลื่นน้ำกระทบชายฝั่งดังครืนลอยมาแต่ไกล ไกลออกไปกว่านั้นมองเห็นยอดเขาและป่าไม้มืดครึ้มที่ซ่อนอยู่จำนวนหนึ่ง
ที่นี่คือ…เกาะมฤตยู!
ครู่ต่อมาร่างกายของเขาก็ร่วงลงไปไม่หยุดอย่างไร้การควบคุม ในใจเขาเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้!
ขณะที่เขาจวนเจียนจะร่วงถึงพื้นนั่นเอง เบื้องล่างพลันมีนักโทษโหดเหี้ยมไม่น้อยโผล่ออกมากะทันหัน พวกเขาพากันชูมือสองข้างขึ้นคว้าร่างกายของเขาไว้จากนั้นโยนขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างแรง เมื่อร่วงลงมาก็โยนขึ้นไปอีกครั้ง
หลิ่วหมิงรู้สึกหัวหมุน แต่ส่งเสียงร้องไม่ออกสักประโยค
เวลานี้ในหูเขาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะโห่ฮาและเสียงเย้ยหยันเย็นชาที่ดังออกมาจากปากนักโทษทั้งหลายเหล่านี้ ราวกับว่าพวกเขากำลังเล่นเกมอันสนุกสนานอยู่
แม้หลิ่วหมิงพยายามตั้งหลักอย่างสุดความสามารถ แต่เห็นชัดว่าพละกำลังของเขาตอนอายุแปดเก้าขวบกับนักโทษรอบด้านแตกต่างกันมากเกินไป
เสียง “ปึง” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
ร่างกายผอมแกร็นของเขาฟาดลงบนพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นเท้าใหญ่โตข้างหนึ่งก็เหยียบหนักๆ ลงบนหน้าอกของเขาไม่ปล่อยให้เขาได้ลุกขึ้นมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น