องครักษ์เสื้อแพร 857-858

 ตอนที่ 857 หลักฐานมีแล้วอย่างไร

โดย

Ink Stone_Fantasy

ห่อผ้าอาบน้ำมันในมือข่งรั่วเหมยก็คือเอกสารสัญญาที่ดินหลายหน้า มีทั้งสัญญาที่ดินของตนเอง ที่เรียกว่าสมุดบัญชีเกล็ดปลาที่หวังทงได้ยินมาก่อนหน้า ทว่ายามนี้กลับเห็นเป็นครั้งแรก


แผ่นใหญ่ น่าจะใหญ่ราวแผ่นภาพอักษรกลางห้องโถงครึ่งหนึ่งได้ ด้านบนมีเขียนว่าที่นาขนาดเท่าใดของผู้ใด จากที่ใดไปที่ใด ปักหมุดศิลาเป็นหลักฐาน เป็นต้น หวังทงถือไว้ในมือรู้สึกหนามาก แต่ไม่แข็งแรงนัก มีร่องรอยชำรุดหลายแห่ง


ขอบเอกสารเริ่มมีร่องรอยเปื่อยยุ่ย หวังทงหยิบสัญญามาดู เขาไม่ค่อยคุ้นกับเอกสารพวกนี้เท่าไร ทว่าสัญญาน่าจะจริง


หวังทงมองดูอย่างละเอียด กลับคิดถึงข่าวหนึ่งก่อนหน้านี้ได้ จึงถามขึ้น


“เคยได้ยินว่าขุนนางที่ทำการสามารถเล่นลูกไม้กับเอกสารพวกนี้ได้ ไม่ทราบว่าทำอย่างไร?”


พวกหลิ่วซานหลังที่ยืนอยู่ในห้องสบตากัน พวกเขาเป็นคนสายบู๊ จะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร หากเป็นข่งรั่วเหมยที่คุกเข่าอยู่ลังเลไปมากล่าวว่า


“ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ ข้าน้อยพอรู้มาบ้างว่าที่นาพวกนี้ ต้องปรับหน้าดินทุกปีตอนทำนา ยากที่จะไม่ทำให้เขตเปลี่ยน ยังมีที่นาที่ขายไป ดังนั้นทุกช่วงเวลาจึงต้องวัดเขตใหม่ พอวัดเขตเสร็จ คนทางการก็จะใช้กระดาษแผ่นหน้ามาแปะทับและก็ลงกาวหนาๆ ไว้ เช่นนี้เอกสารก็จะอยู่ไปได้ไม่กี่ปีก็จะเปื่อยยุ่ย ไม่มีหลักฐาน ก็ย่อมมีโอกาสเล่นลูกไม้ได้”


“เจ้าหน้าที่พวกนี้สามารถทำอันใดได้บ้าง?”


“นายท่าน เจ้าหน้าที่พวกนี้ก็จะเป็นคนเจ้าของที่ดินส่งมาแทรกซึมในที่ทำการทางการ พวกเขาทำเช่นนี้ก็ย่อมเป็นการเปิดโอกาสให้เจ้าของที่ลงมือ”


หวังทงส่ายหน้ายิ้ม โยนหลักฐานไปอีกทาง เงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า


“ข่งรั่วเหมย ของในมือเจ้าเป็นหลักฐานไมได้”


พอกล่าวเช่นนี้  ข่งรั่วเหมยก็ร้อนใจทันที คลานเข่าเข้ามาหน้าหวังทง รีบร้อนกล่าวว่า


“นายท่าน หลักฐานเอกสารนี่ เทียบกับที่นาในครอบครองตอนนี้ของตระกูลสวี ไยเป็นหลักฐานไมได้”


“หลักฐานเอกสารนี่หาคนที่ไหนมาทำขึ้นมาก็ได้ ทำหลักฐานได้เนียนกว่าของเจ้าอีก ง่ายมากจริงๆ”


ได้ยินคำตอบหวังทงเช่นนี้ ข่งรั่วเหมยสีหน้าซีดเผือด  ขอบตาเริ่มแดงก่ำ โขกศีรษะติดๆ กัน น้ำเสียงแหบพร่าว่า


“นายท่าน เพื่อของสิ่งนี้ในมือข้าน้อย โจรตระกูลสวีส่งคนมาล่าสังหาร หรือว่าใต้เท้าไม่เชื่อว่าของในมือข้าน้อยเป็นของจริง ข้าน้อย…..”


ยิ่งพูดก็ยิ่งสะเทือนใจหนัก หวังทงโบกมือขัดขึ้น ส่ายหน้ากล่าวว่า


“ข้าเมื่อครู่ข้าบอกเจ้าก็คือ หากว่าตระกูลสวีโต้กลับเช่นนี้ เจ้าจะมีหลักฐานอันใดโต้คืน?”


ข่งรั่วเหมยนับว่าเป็นคนฉลาด หวังทงถามเสียงเรียบก็ทำนางหมดวาจาในทันที อึ้งไปนาน ล้มตัวลงนั่งแผละกับพื้น  ดวงตาส่องประกายเมื่อครู่เริ่มหม่นลง เหมือนว่าจิตวิญญาณอยู่ๆ ออกจากร่างไปหมดสิ้น


จากเมืองซูโจวมาถึงเมืองฉางโจว ถูกพบบนฝั่ง แม้ได้ขึ้นเรือผู้แทนพระองค์ราวปาฏิหาริย์ ผู้แทนพระองค์คิดออกหน้าจัดการให้ คิดไม่ถึงว่าพอนำหลักฐานออกมา ถูกผู้แทนพระองค์บอกว่าไร้ประโยชน์ ผู้แทนพระองค์กล่าวมานั้นใช่ว่าคิดผลักไส หากเป็นเหตุผลแท้จริง


คิดถึงอันตรายตลอดทางมา คิดถึงความยากลำบากรักษามาของแม่ลูก อยู่ๆ กลายเป็นฟองแตกสลายไปกับตา ยามนี้ข่งรั่วเหมยรู้สึกเหมือนว่าไม่มีความหมายใดอีก ได้แต่นั่งแผละอยู่กับพื้นไร้สิ้นความหวัง


เห็นเด็กหญิงเป็นเช่นนี้ หวังทงถอนหายใจ หันไปทางสื่อชีกล่าวว่า


“ไปตามสาวใช้สองคนของแม่นางไจ๋มา ประคองนางไปพักก่อน!”


ไม่นาน สาวใช้สองคนก็เดินเข้ามา ประคองข่งรั่วเหมยตัวแข็งทื่อออกไป พอออกไป เฉินต้าเหอก็เข้ามาใกล้ถามขึ้นเบาๆ ว่า


“ท่านโหว เรื่องนี้ไม่จัดการแล้ว?”


ข่งรั่วเหมยเมื่อครู่บรรยายเรื่องราวมา บิดาถูกสังหาร อาถูกสังหาร นางและมารดาหนีรอดมาได้ในตอนนั้นเพราะกลับบ้านมารดา พอได้ยินข่าวก็หลบซ่อนตัวเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ และยังติดต่อกับเจ้าทุกข์อื่น หลายปีมานี้ไปฟ้องร้องหลายท้องที่ แต่ไม่มีคนสนใจ  และพอฟ้องไป ก็มักมีคนมาถึงที่ เป็นภัยถึงชีวิต  หลายปีนี้ข่งรั่วเหมยสองแม่ลูกหนีไปทั่ว กินอยู่ลำบากมาก


เรื่องนี้ฟังแล้วน่าสงสารยิ่ง ทหารติดตามหวังทงนอกจากคนเช่นสื่อชีและอู๋เอ้อร์ พวกเด็กหนุ่มอย่างเฉินต้าเหอก็รู้สึกอยากผดุงคุณธรรม เดิมคิดว่าหวังทงจะออกหน้าจัดการให้นาง คิดไม่ถึงว่าจะจบเช่นนี้ ดังนั้นจึงถามขึ้น


“หลักฐานนี้ทำอันใดได้กัน ท้องที่กับราชสำนักจะฟังความจากเด็กหญิงคนเดียวหรือ ของพวกนี้หาร้านทำออกมาแล้วเอามาสร้างความยุ่งยากให้ตระกูลสวีก็ได้ เจ้าลองคิดดูให้ดี อย่ายืนอยู่ข้างข่งรั่วเหมย หากเจ้าเป็นขุนนางสอบคดี เจ้าจะทำเช่นไร?”


เฉินต้าเหอเป็นคนหัวไว พอหวังทงถามเช่นนี้ก็คิดนานครู่หนึ่ง ก่อนจะแสดงสีหน้าหมดหวังเช่นกัน ยืนส่ายหน้า


หวังทงลุกขึ้นไปที่โต๊ะน้ำชา ดื่มน้ำชาเย็นชืดไปคำหนึ่ง กล่าวเบาๆ ว่า


“ที่จริงแล้วการฮุบครองที่นาของตระกูลใหญ่ไม่ใช่เรื่องผิดอันใด แต่กินไปคำโตแล้วไม่ยอมจ่ายภาษี จึงจะเป็นภัยของแผ่นดิน”


ตอนกลางวันเทียบท่า ตอนกลางวันสังหารพระ มีผลประโยชน์ก้อนโตวัดผู่หยวน ทางการเมืองฉางโจวทั้งหมดก็ทำคดีได้รวดเร็วมาก


แม้ว่าคหบดีใหญ่ในพื้นที่ไปมาหาสู่กับพระผู่หยวนมาก หวังทงสังหารเช่นนี้ ทุกคนย่อมไม่พอใจ แต่เทียบกับเนื้อก้อนโตอย่างวัดผู่หยวนแล้ว ไม่พอใจก็ไม่เท่าไร เคยไปมาหาสู่กันก็ไม่เท่าไร รีบจัดการปิดคดีให้เร็วดีกว่า ทุกคนจะได้แบ่งสรรเป็นเรื่องสำคัญ ทางการให้ความสนใจ คหบดีใหญ่ท้องที่ก็ช่วยเหลือ ทางการเมืองฉางโจวทำงานได้ประสิทธิภาพดียิ่ง ก่อนฟ้ามืด ก็มีเอกสารสรุปส่งมาถึงเรือหวังทง


“เงิน 5,000 ตำลึง ยังมีเครื่องประดับประณีตสามกล่อง วางอยู่บนเรือแล้ว นี่คือบัญชีตรวจยึดทรัพย์สิน ขอใต้เท้าผู้แทนพระองค์ตรวจดู”


ผู้ว่าหลัวกล่าวอยู่นั้น สีหน้าลิงโลดยิ่ง หวังทงบอกแล้วว่าไม่เอาทรัพย์สิน แต่หากไม่ให้ ก็ย่อมเท่ากับไม่รู้ความ มอบให้หวังทงอย่างไรก็เรียกได้ว่าไม่น้อย แต่ของพวกผู้ว่าหลัวย่อมไม่น้อยเช่นกัน ทุกคนร่ำรวยถ้วนหน้าไยไม่ดีใจ


“ที่นาในครอบครองวัดผู่หยวน รอใต้เท้ากลับจากเมืองซงเจียง ทางนี้จัดการแบ่งสรรมอบให้ใต้เท้า”


หวังทงพยักหน้า ของพวกนี้สำหรับเขาแล้วไม่เท่าไรนัก มองผ่านๆ ก็พอ กล่าวว่า


“พระที่จับมาได้สอบปากคำแล้วยัง?”


พอหวังทงถามเช่นนี้ ผู้ว่าหลัวก็สีหน้าอึกอัก ตอนบ่ายทุกคนยิ่งแต่กับทรัพย์สิน ผู้ใดจะไปสนใจพระพวกนั้นกัน อย่างไรความผิดก็แน่นหนาไม่อาจกลบได้แล้ว


หวังทงย่อมเข้าใจคนพวกนี้ เขาเพียงแค่ยิ้มกล่าวว่า


“ผู้ว่าหลัวกับทุกท่านคืนนี้ลำบากแล้ว สอบสวนทั้งคืนนี้เลย สอบปากคำได้ก็ให้พวกเขาลงชื่อคำให้การ จัดการให้เรียบร้อย หากมีคนไม่พอ ข้าจะส่งคนไปช่วย”


ในเมื่อหวังทงไม่เอาผิด เพียงเสนอใหม่ ข้อเสนอก็ไม่ได้เกินเลยไปนัก ต้องการส่งคนมาช่วย อย่างไรก็ไม่ได้บอกว่าขอแบ่งเพิ่ม ผู้ว่าหลัวย่อมไม่มีความเห็น เพียงรีบยืนขึ้นกล่าวร้อนตัวว่า


“ ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ทำงานแข็งขันทำให้ข้าน้อยรู้สึกละอายยิ่ง ข้าน้อยคืนนี้จะกลับไปสอบปากคำ จะต้องสอบปากคำออกมาให้เสร็จ มอบให้ใต้เท้า”


หวังทงยิ้มพยักหน้า ลุกขึ้นไปส่งผู้ว่าหลัวที่หัวเรือ ทำให้ผู้ว่าหลัวรู้สึกตกใจที่ได้รับความเมตตาเช่นนี้ หวังทงกลับมา ก็ไปตามหลิ่วซานหลังกับสื่อชีมา สั่งการไปตรงๆ ว่า


“วัดผู่หยวนกับตระกูลสวีต้องสมคบคิดกันแน่ คำให้การต้องมีเอ่ยถึง”


****************


ทัพม้าตามขบวนเรือหวังทงมานั้น พอเกิดเรื่องที่เมืองฉางโจวก็มีคนส่งสารด่วนไปยังเมืองซงเจียง เช้าวันต่อมาหวังทงก็ออกเดินทาง ม้าเร็วเข้าเมืองซงเจียงไปแล้ว หวังทงย่อมไม่รู้เรื่องนี้ แต่เขายืนมองอยู่หัวเรือ พบกว่าสองฝั่งมีทัพม้าน้อยลงกว่าเมื่อวานมาก


คืนสอบสวน พระวัดผู่หยวนที่ถูกจับล้วนกล่าวสารภาพออกมาจนหมดไม่มีเหลือ เจ้าหน้าที่เมืองฉางโจวคบหาสมาคมกับพระพวกนี้ ก็รู้ว่าคนพวกนี้เป็นพวกโจรทะเลและพวกโจรเดนตาย ไม่กล้าลงมือสอบ


ทว่าพอหลิ่วซานหลังกับสื่อชีมา เขาสอนคนย่อมไม่สนใจเรื่องนี้  หลังจากสังหารพระสิบกว่าคนในโถงกลางที่ทำการไป ทุกคนที่เหลือย่อมไม่กล้าปิดบังอันใดอีก


การจับบุตรหลานคหบดีไปเรียกค่าไถ่ ทำร้ายพ่อค้านอกพื้นที่ที่ไม่รู้เบื้องลึกของวัดผู่หยวน สังหารประสงค์ทรัพย์ ปล้นนอกเมืองกับเส้นทางน้ำเพื่อฉุดคร่าสตรี เรื่องพวกนี้ล้วนอยู่ในคำให้การ ในนั้นยังพูดถึงการได้รับคำสั่งจากตระกูลสวีไปจัดการสังหารคนนอกเมืองอีกด้วย


แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพระผู่หยวนกับศิษย์วัดผู่หยวนอีกสามคนจัดการ คนอื่น ๆ ไม่ได้ข้องเกี่ยว ผู่หยวนกับศิษย์สองคนเมื่อวานถูกสังหารไปแล้ว ที่เหลืออีกคนก็ถามอันใดก็ตอบหมด จึงไม่กล้าทิ้งไว้ที่ทำการเมืองฉางโจว หากนำกลับมาที่เรือด้วย


ศิษย์ผู่หยวนเป็นโจรทะเล ย่อมมีความสามารถเอาตัวรอด ไม่เกรงกลัวความตาย ทว่าพอเห็นวิธีการของหลิ่วซานหลังกับสื่อชีจึงได้รู้ว่าตนเองได้เปิดโลกแล้ว มีอันใดก็ต้องพูดให้หมด ทว่าตระกูลสวีทำงานได้รอบคอบมาก เรื่องที่ศิษย์ผู่หยวนรู้ก็ไม่มากนัก


ขุนนางสบคบโจร  และใช้การสังหารชิงทรัพย์ ความผิดนี้เล็กได้ใหญ่ได้ ตั้งแต่ลงมาจากหนานจิง ตลอดทางก็เห็นวิธีการต่างๆ ของพวกคนแดนใต้ หวังทงอย่างไรก็ต้องรอบคอบมากขึ้น


ออกเดินทางจากอู่จิ้น ฟ้ายังไม่มืดก็ถึงเมืองอู๋ซี คนเรือมาสอบถาม ต้องการแวะไปดูทะเลสาบไท่หูไหม เส้นทางน้ำสะดวกมาก คนเหนือมาครั้งแรก ก็ย่อมต้องอยากความกว้างใหญ่ของทะเลสาบไท่หู หวังทงกลับไม่สนใจนัก ให้ไปจอดเรือพักที่เมืองอู๋ซี


******************


ตระกูลสวีเมืองซงเจียงทุกคนต่างหวาดกลัว  นายท่านสวีพานที่กำลังสนทนาเรื่องกาพย์กลอนกับผู้มีชื่อเสียงอยู่ พอได้ยินข่าว ก็ถึงกับร้อนใจ สาวใช้หนึ่งทำถ้วยชาแตก ก็สั่งให้ตีตายทันที


ตอนที่ 858 ชุลมุน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เรือแล่นบนคลองส่งน้ำ ผ่านหมู่บ้านกาวเฉียวเข้าสู่เมืองอู๋ซี จากนั้นไม่เกินหนึ่งวันหนึ่งคืนก็จะถึงริมทะเลสาบไท่หู


ตอนถึงเมืองอู๋ซี ฟ้ายังไม่มืด ขุนนางท้องที่เมืองอู๋ซีกับคหบดีในท้องที่มารอต้อนรับผู้แทนพระองค์ หวังทงย่อมขี้เกียจจะสนใจ ไล่ทุกคนให้ลงจากเรือไป หวังทงไม่ลงจากเรือ ขุนนางก็ย่อมไม่ต้องยุ่งยากต้อนรับ จึงไม่ดึงดันต่อ


จัดการหาอาหารและยาจากเมืองอู๋ซีขึ้นมาเพิ่มแล้ว ก็ไม่มีเรื่องใดให้ทำอีก ยาโดยมากก็เป็นยาทำให้จิตใจสงบ เพราะหลังจากจากเมืองฉางโจวมา ข่งรั่วเหมยก็เอาแต่ร้องไห้ จิตใจไม่สงบอย่างมาก


ไม่ได้หยุดพักในเมืองอู๋ซี ขบวนเรือเตรียมตัวก่อนฟ้ามืดจะเข้าจอดเทียบท่าพัก เป็นคลองส่งน้ำเขตเมืองฉางโจวกับเมืองซูโจว


ตลอดทางเงียบสงบมาก มีเพียงฟ้าใกล้มืดเท่านั้น ศิษย์ผู่หยวนผู้นั้นอยู่ ๆ ก็แผดเสียงร้องดังลั่นบอกว่าอยากขอพบใต้เท้าผู้แทนพระองค์ อย่างไรก็ไม่มีอะไรทำ หวังทงจึงให้นำตัวเข้ามา


ศิษย์ผู่หยวนเป็นพระอ้วนท่าทางน่ากลัว ถูกมัดแน่นหนา พอเข้ามาในห้องหวังทงก็โขกศีรษะดังส่งเสียงแหบพร่าว่า


“นายท่าน ตอนแรกนายท่านสองท่านรับปากข้าน้อยแล้ว จะให้ข้าน้อยตายไม่ทรมาน นายท่านอย่าได้คืนคำ!”


กล่าวจบก็ส่งเสียงร้องไห้ดังลั่น หลิ่วซานหลังกับสื่อชีลงมือโหดเหี้ยม ทำให้อยู่ไม่สู้ตายเสียดีกว่า แต่เรือแล่นอยู่กลางทาง ไยอยู่ๆ กล่าวเช่นนี้ น่าแปลกไม่น้อย


“ให้เจ้าตายไม่ทรมานใช่ว่าไม่ได้ หรือว่าเจ้าตอนนี้ไม่อยากมีชีวิตแล้ว เกิดเหตุอันใดกัน?”


หวังทงถาม สีหน้าพระเต็มไปด้วยความหวาดกลัว น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า


“นายท่านจับข้าน้อยขังไว้ที่เรือนั่น มองออกไปบ่ายวันนี้ ได้เห็นเรือเจ้ามังกรทะเลสาบไท่หูตามมาด้วย หากถูกคนเจ้ามังกรจับได้ ย่อมต้องถูกหั่นเป็นหมื่นชิ้น ดีไม่ดีอาจถูกค่อยๆ เฉือนเนื้อทีละชิ้นโยนลงทะเลเลี้ยงปลา ข้าน้อยมีโทษหนัก ไม่ขอชีวิต ขอแค่นายท่านตอนนี้ลงมือรวดเร็วก็พอ”


“พวกทางทะเลและทะเลสาบนี่ คนในวงการนักเลงชื่อเจ้ามังการหลายคนเลยหรือ?”


หวังทงหัวเราะ ชื่อน่ากลัวอยู่ แต่ไม่รู้ว่าพระผู่หยวนมีชื่อเสียงขนาดไหนในวงการเหมือนกัน คนที่คุกเข่าเอ่ยชื่อมา สื่อชีอึ้งไปสบตากับอู๋เอ้อร์ สื่อชีเข้าไปใกล้ถามขึ้น


“เจ้ามังกรแซ่เมี่ยว เจ้าแห่งชาวท้องทะเลที่ไถโจว?”


พระที่คุกเข่าถึงกับอึ้งไปก่อนจะโขกศีรษะกล่าวว่า


“ใช่ ท่านเมี่ยว”


“นำตัวกลับไปที่เดิม!”


อู๋เอ้อร์กล่าว ทหารสองนายมานำตัวออกไป อู๋เอ้อร์กระซิบหวังทงกล่าวว่า


“ท่านโหว เจ้ามังกรเมี่ยวเป็นขันทีใหญ่ทะเลสาบไท่หู มีกำลังโจรนับพันในมือ พระผู่หยวนหลายปีก่อนก็มาปลอมตัวเป็นพระแล้ว การค้าทางน้ำก็ล้วนเป็นเจ้ามังกรเมี่ยว…….”


สื่อชีข่างๆ กล่าว


“เจ้ามังกรเมี่ยวตอนนั้นขุนพลที่หนิงปอ เพราะทำความผิดจึงนำลูกน้องหนีออกมา เขาใช้กฎทหารคุมกำลังคน ลูกน้องฝีมือดีมาก ร่วมมือกับหัวหน้าโจรสิบกว่าคนบนทะเลสาบไท่หู มีคนลือกันว่า คนแซ่เมี่ยวเคยสู้กับโจรสลัดที่เมืองซงเจียงกับเมืองเจียซิงด้วย ไม่เคยเสียเปรียบ!”


โจรก็คือโจร กำลังทางการอ่อนแอมาก แต่พวกนอกด่านทางเหนือ โจรสลัดทางใต้ กลับเป็นภัยใหญ่ที่ทุกคนยอมรับ สามารถสู้กับโจรสลัดได้ไม่เสียเปรียบ ก็ย่อมเรียกได้ว่าร้ายกาจ


“มาถึงตอนนี้ไม่มีเหตุผลที่จะกลับไป เกรงว่าไปขอกำลังทหารจากกองกำลังเจิ้นไห่มาก็คงไม่ได้การ ไปขึ้นฝั่งที่สวี่ซู่ก่อน จากนั้นค่อยไปรวบรวมม้าไปเมืองซูโจว พวกเราเข้าเมืองซงเจียงทางบก!”


หวังทงตบโต๊ะตัดสินใจ


**************


ณ เมืองหนานจิง โรงเตี๊ยมหนึ่งห่างจากที่พักของหวังทงราวสองช่วงถนน มีคนแต่งกายแบบพ่อค้าถือสัมภาระรีบเดินออกไปอย่างร้อนรน


แบกห่อสัมภาระบนหลังไม่ออกนอกเมือง แต่เดินวนไปมาในเมือง จากนั้นไปหยุดที่ด้านหลังวัดร้างแห่งหนึ่ง ไปเก็บฟืนจากรอบๆ มา และหยิบแท่งไฟจุดไปมาสองสามทีก็เกิดประกายไฟ ก่อนจะล้วงของในสัมภาระออกมา เป็นจดหมายปึกใหญ่โยนเข้ากองไฟ


เพิ่งโยนเข้าไปได้ปึกหนึ่งก็กลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังมา ชายแต่งตัวแบบคนงานสองคนนำทหารองครักษ์เสื้อแพรมาถึงทหารองครักษ์เสื้อแพรตวาดดังถามว่า


“ทำอะไรกัน คิดจะวางเพลิงในเมืองหรือ!”


เมืองหนานจิงเป็นสิ่งก่อสร้างไม้มาก ยามนี้อากาศแห้งมาก เขาสองคนจุดไฟก็ย่อมทำให้คนสงสัย พอเห็นก็ไปตามเจ้าหน้าที่มา สองคนเห็นดังนั้นก็ลนลาน โยนจดหมายในมือเข้ากองไฟทันที หันหลังรีบเผ่นหนี เจ้าหน้าที่ย่อมไม่ไล่ตามทันที มีคนเดินไปที่กองไฟหยิบแผ่นหนึ่งที่ยังไม่ไหม้ออกมา พออ่านก็ถึงกับอึ้งไป เขารู้อักษรไม่มาก แต่จดหมายนี้เป็นจดหมายที่โยนเข้าไปในจวนชนชั้นสูงในหนานจิงหลายจวน


ก่อนหน้าสืบไปก็ไม่ได้ร่องรอยใด ถึงกับได้มาอย่างไม่เสียแรง ทหารองครักษ์เสื้อแพรรีบเข้าไปดับไฟ  นำจดหมายออกมา


เรื่องง่ายมาก สองคนทั้งวันลับๆ ล่อๆ  เมืองหนานจิงระยะนี้เกิดเรื่องมากมาย คนงานและเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเกรงว่าจะไปรับภัยมาใส่ตัวปล่อยให้โจรมาพัก พอสองคนนั้นไป ก็ส่งคนสะกดรอยตามไป และยังรู้จักทหารองครักษ์เสื้อแพรละแวกนี้ ตามกันก็มา


สืบมาจนได้จดหมายนี้ ก็ส่งให้นายตนดู ข่าวกับปิดไม่มิด ในเมืองหนานจิงที่ควรรู้ก็รู้กันหมด


หัวหน้าทหารพวกนี้ก็คือจางเหลียนเซิง พอหวังทงไปแล้ว จางเหลียนเซิงก็รับรู้ถึงความสนุกในการเป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรแล้ว เมื่อก่อนหลายคนที่ไม่เห็นเขาในสายตาตอนนี้ก็มาขอประจบเป็นพวกด้วย เมื่อก่อนไม่เคยมองเขาดีๆ ตอนนี้ก็ยังต้องยิ้มให้


บังเอิญมาก ทหารที่สืบความเรื่องจดหมายได้นั้นเป็นคนของจางเหลียนเซิง พอได้ยินว่าเกี่ยวกับจดหมายคราก่อน จางเหลียนเซิงก็ฮึกเหิมขึ้นมาอีกหลายส่วน


เรื่องนี้เกี่ยวพันกับชนชั้นสูงในเมืองหนานจิง เกี่ยวพันกับหวังทง สืบความได้แล้ว ยังเป็นความชอบตนเองอีก สามารถประจบได้หลายฝ่าย


องครักษ์เสื้อแพรจะขี้เกียจเพียงใด แต่คงพอมีเวลาลงทัณฑ์สอบ  สองคนที่ถูกจับได้ก็ไม่ใช่พวกปากแข็งอันใด พอใช้เครื่องลงทัณฑ์ก็รับสารภาพทันที…….


พ่อค้าสองคนนี้เป็นคนของคนสนิทหลี่จื๋อ พวกเขาทำการต่าง ๆ ในหนานจิงตามคำสั่งหลี่จื๋อ หลี่จื๋อคือใคร เมืองหนานจิงทุกคนรู้ดีว่าปรากฏชื่อในรายชื่อวีรบุรุษเมืองหลวง จางเหลียนเซิงแม้สั่งให้เป็นความลับ แต่ข่าวก็ยังคงมีคนรู้แล้วรู้ต่อกันไปอีก


วันนั้นตอนค่ำก็มีคนมาหา เรื่องนี้อย่าแพร่ออกไป เรียนให้ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ทราบก่อน รอใต้เท้าผู้แทนพระองค์สั่งการค่อยว่ากัน พวกเราก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องไปก่อน ถึงกับมีคนมาบอกให้รู้ว่า หลี่จื๋อเป็นขุนนางเมืองหลวง คณะเสนาบดีใหญ่เมืองหลวงหกกรมกอง ล้วนมีสายสัมพันธ์กับเขา เรื่องนี้ใหญ่มาก พวกเราไม่อาจข้องเกี่ยว


พอได้ยินเช่นนี้ จางเหลียนเซิงไม่กล้ารอช้า รีบจัดการส่งคนไปส่งข่าวที่เมืองซงเจียง


นายกองพันเมิ่งเซี่ยนฮุยที่ถูกขังไว้ หลังจากอยู่ในคุกหลายวัน ก็บอกว่าเบื้องตนเองคือผู้ใด เขาเป็นองครักษ์เสื้อแพร ย่อมต้องกระจ่างในการลงทัณฑ์สอบขององครักษ์เสื้อแพรที่แสนโหดเหี้ยม ไม่กี่วันก็เริ่มหวาดกลัว กลัวว่าจะต้องโดนเอง แม้กล่าวว่าเบื้องหลังตนเองคือผู้ใด อาจเป็นโทษตาย แต่อย่างไรก็แค่ไม่ทำงานนี้แล้ว


ตามคาดของหวังทง เมิ่งเซี่ยนฮุยเป็นนายกองพันตระกูลสวีส่งเสริมมา ไม่ว่าอย่างไรคนก็มักจะเห็นใจคนมาจากบ้านเกิดเดียวกัน แต่ทว่าสวีเจี้ยกลับไม่ใช่ รังแกคนบ้านเดียวกัน ฮุบที่นาไม่ว่า เรื่องสมคบทำชั่วอื่นๆ ก็ไม่น้อย ล่วงเกินคนไปมากมาย พอสวีเจี้ยตายไปก็ไม่กล้าฝังที่บ้านเกิด


สถานการณ์เช่นนี้ เพื่อคุ้มครองกิจการและครอบครัวตนเอง ทางการและทางโจรก็ย่อมต้องร่วมกันส่งเสริมคนกลุ่มหนึ่งขึ้นมา และเมิ่งเซี่ยนฮุยก็เป็นหนึ่งในนั้น


ทว่าเมิ่งเซี่ยนฮุยไม่กล่าวอันใดมากนัก บอกแค่ว่าตนเป็นคนที่ตระกูลสวีให้การดูแล จึงได้โดดเด่นขึ้นมาครองตำแหน่งนายกองพันได้ ส่วนให้เขาทำอันใดนั้น ก็ย่อมยอมรับว่านายกองร้อยผู้นั้นเป็นเขาสั่งการไปเอง เรื่องอื่นไม่รู้ทั้งสิ้น


จางเหลียนเซิงไม่รู้ทำอย่างไรต่อ อย่างมากก็ให้คำตอบหวังทงไปได้เท่านั้น เรื่องอื่น ๆ ทำอันใดไม่ได้ จับไปขังต่อ


**********


ระวังตัวมาตลอดทาง พวกหวังทงตั้งแต่มาถึงอำเภออู๋เมืองซูโจวก็ไม่ได้ประสบเหตุยุ่งยากใด เส้นทางสงบสุขดี


เมืองซูโจวเป็นที่ร่ำรวยในใต้หล้าที่สุด ร้านสามธาราที่นี่ก็ย่อมต้องมีร้านสาขา มีพื้นที่ตนเอง ทำงานก็ย่อมสะดวกกว่ามาก


เมืองซูโจวมีขุนนางมาขอพบ ตามคำสั่งหวังทงให้เตรียมม้า ร้านสามธารากับเจ้าหน้าที่ท้องที่ก็ย่อมต้องไปบ้านข่งรั่วเหมยหาตัวมารดาข่งรั่วเหมย


ข่งรั่วเหมยหลายวันนี้จิตใจไม่ปกตินัก มักเหม่อลอย เพื่อความปลอดภัยของนาง หวังทงไม่ยอมให้นางลงจากเรือ รอถึงตอนกลางวัน หวังทงกลับเรียกนางไปพบ


พอเข้ามาในห้อง ไม่มีทหารอารักขาในห้องเหมือนเคย มีแต่หวังทงคนเดียว สีหน้าจริงจัง เห็นนางเข้ามาก็โบกมือให้สาวใช้ติดตามออกไป หวังทงกระแอมไอกล่าวว่า


“มารดาเจ้าแขวนคอตายแล้ว เพื่อนบ้านเจ้าหลายวันก่อนพบศพ”


ข่งรั่วเหมยก้าวไปด้านหน้าเหมือนไม่ได้ยิน อยู่ๆ ก็โงนเงนไปมา สีหน้าไร้สีเลือด คุกเข่าลงใบหน้าสีเผือด


หวังทงกล่าวอีกว่า


“คนข้ามีคนรู้จักกับเจ้าหน้าที่ท้องที่ ได้ยินมาว่า วันนี้เพื่อนบ้านเห็นพระสองรูปกับพวกมาที่บ้านเจ้า แขวนคอตายหรือไม่ เจ้าควรรู้”


“เป็นไปได้อย่างไร……เป็นไปได้อย่างไร…….มารดาข้าทนลำบากมานานวัน กำลังจะฟ้องร้องคืนความยุติธรรมได้แล้ว แค้นกำลังได้แก้แค้นแล้ว จะแขวนคอตายได้อย่างไร”


ข่งรั่วเหมยพึมพำกล่าว สายตาพร่ามัว โงนเงนไปมา ก่อนสีหน้าจะเด็ดเดี่ยวก้าวเข้าไปกล่าวอย่างมั่นใจว่า


“นายท่าน ต้องเป็นคนตระกูลสวีส่งมาแน่ ต้องเป็นตระกูลสวีส่งคนมาปิดปาก ขอนายท่านให้ความเป็นธรรมด้วย แก้แค้นให้ข้าน้อยด้วย!!!”


ข่งรั่วเหมยค่อยๆ ตัวเอียงล้มลงก่อนจะเป็นลมไปทันที

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)