ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 856-857
ตอนที่ 856 หนึ่งกระบี่ทลายชิงหยาง
“นี่…นี่มันวิชามารอะไร?”
โอวหยางเชี่ยนที่อยู่นอกเวทีหลุดปากออกมา ขณะที่ใบหน้างามซีดเผือด!
แรงกดดันจิตวิญญาณที่ยักษ์ร่างเขียวแผ่ออกมาเห็นชัดว่าแข็งแกร่งถึงระดับแก่นแท้ ถึงขนาดเหนือกว่าปราณที่โอวหยางซินระเบิดออกมาเมื่อวานขั้นหนึ่ง
ใบหน้างามอันเย็นชาของโอวหยางฉินก็ซีดเผือดไปหลายส่วนเช่นกัน
หลงเซวียนแข็งแกร่งกว่าที่พวกนางคิด ในใจทั้งสองรู้สึกไม่ดีอย่างที่สุดขึ้นพร้อมกัน
“ร่างมารหกแขนนี่มีไอปีศาจหนักหน่วงสายหนึ่ง ไม่ผิดแน่ นี่คือวิชาลับพิทักษ์สำนักของนิกายปีศาจลี้ลับ มหาวิชาวิญญาณมารชิงหยาง!” โอวหยางซินมองสำรวจเงามารด้านหลังหลงเซวียนอย่างละเอียดแล้วเอ่ยพึมพำ ในถ้อยคำแฝงความยินดีที่ปิดไม่มิดไว้
“ไม่ผิด นี่เป็นวิชามารวิชาหนึ่ง มหาวิชาวิญญาณมารชิงหยางเป็นวิชาลับที่สืบทอดมาจากยุคโบราณ เล่าลือกันว่าวิชามารนี้ถือกำเนิดมาจากวิชามารที่แท้จริงวิชาหนึ่งของยุคโบราณที่ถูกหมัวเสวียนเจินเหรินบรรพจารย์แห่งนิกายปีศาจลี้ลับคนหนึ่งบังเอิญได้มา เดิมทีเนื่องจากไอปีศาจแท้หายาก วิชานี้จึงสูญเสียคุณค่า ไม่คิดว่าหมัวเสวียนเจินเหรินผู้นี้จะเป็นผู้มีความสามารถน่าตะลึง เขาปรับเปลี่ยนวิชามารนี้ให้ใช้เพลิงมรกตวิญญาณร้ายจากยมโลกแทนที่ไอปีศาจแท้ แต่พลังมากอย่างที่สุดเช่นกัน หลังฝึกฝนสำเร็จปุบ สังหารศัตรูได้ง่ายดายยิ่งนัก” หัวหน้าตระกูลโอวหยางเอ่ยอย่างสบายๆ คล้ายกับรู้เกี่ยวกับวิชามารวิชานี้ละเอียดอย่างยิ่ง
“แต่จะฝึกฝนวิชานี้ให้สำเร็จยากเย็นอย่างที่สุด ยังไม่ต้องพูดถึงความเจ็บปวดมหาศาลยามรับเพลิงมรกตวิญญาณร้ายมาหลอมร่าง แค่วิญญาณมารประทับร่างด่านนี้ก็ทำให้ผู้ฝึกฝนสายปีศาจเก้าส่วนทนรับไม่ไหวจนวิญญาณแตกสลาย ร่างกายระเบิดตาย! ทว่าวิชานี้ต้องฝึกฝนตั้งแต่พลังต่ำกว่าระดับผลึก ตอนที่ยังไม่ผนึกแก่นแท้ถึงจะได้ นอกจากนี้ชั่วชีวิตของเขาจะรับวิญญาณมารได้เพียงดวงเดียว ผู้ฝึกฝนย่อมพยายามรับวิญญาณมารที่แข็งแกร่ง เท่าที่สืบทอดในนิกายปีศาจลี้ลับมาจนวันนี้ มีเพียงน้อยนิดไม่กี่คนที่ฝึกฝนวิชาลับวิชานี้สำเร็จ หลงเซวียนเด็กคนนี้นับว่าหายากจริงๆ” หัวหน้าตระกูลโอวหยางเอ่ยต่อ คำพูดนี้เอ่ยให้สตรีสองนางด้านข้างฟัง
โอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวได้ยินย่อมสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
โอวหยางอิงที่อยู่กลางท้องฟ้ามองดูสถานการณ์บนเวทีสายตาเคร่งขรึมขึ้น ไม่ทราบคิดอะไรอยู่
“นี่เป็นสาเหตุที่เจ้าเชื่อมั่นในตนเองเช่นนี้หรือ?” หลิ่วหมิงผู้ยืนอยู่เบื้องหน้าเงาของยักษ์เพลิงเขียว ร่างกายแลดูเล็กกระจ้อยอย่างยิ่ง แต่สีหน้าเขายังคงนิ่งสงบเช่นเดิมไม่เปลี่ยนไปสักเท่าไร
“วางใจเถิด ตอนนี้ข้าจะไม่สังหารเจ้าง่ายๆ แต่จะเหลือลมหายใจเฮือกหนึ่งไว้ให้เจ้า!” หลังหลงเซวียนหัวเราะลั่นอีกครั้ง เงาเทพชิงหยางหลังร่างก็ขยับ มือข้างหนึ่งที่ถือกระบี่ยักษ์เพลิงมรกตอยู่ขยับฟันลงมาใส่หลิ่วหมิงในทันใด!
กระบี่ยักษ์ที่ก่อตัวจากเพลิงมรกตดุดันพร่าเลือนไปวูบหนึ่งแล้วกลายเป็นธารอัคคีสีเขียวเส้นหนาห้าสาย แล่นเข้าจู่โจมหลิ่วหมิงจากต่างทิศทางในเวลาเดียวกัน ปิดตายทางหนีหน้าหลังซ้ายขวาของหลิ่วหมิงในพริบตา
เปลวเพลิงร้อนผ่าววาดแหวกอากาศส่งเสียงดังครวญครางเป็นระลอกๆ
สายตาของหลิ่วหมิงทอประกาย พรูลมหายใจแรงเฮือกหนึ่ง จากนั้นแสงสีดำบนร่างเจิดจ้า แขนข้างหนึ่งยกขึ้น ฝ่ามือกดเข้าใส่อากาศเหนือศีรษะในทันใด
เสียงเปรี้ยงดังขึ้นแผ่วเบา!
ฝ่ามือยักษ์สีดำขนาดถึงสิบกว่าจั้งข้างหนึ่งลอยออกมากลางอากาศ รอบนอกมังกรสีดำห้าตัวเวียนวน ด้านบนเส้นลายมือชัดเจน ตบเข้าใส่แสงกระบี่เพลิงมรกตห้าสายอย่างรุนแรง!
เปรี้ยง!
กระบี่ยักษ์กับฝ่ามือสีดำปะทะกัน อากาศรอบด้านสั่นสะเทือนเกิดเป็นวงคลื่นวงแล้ววงเล่าที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คลื่นพลังเวทโถมไปรอบด้านทำให้เวทีเสวียนหยวนทั้งหมดสั่นไหว เสียงดังสนั่นประหนึ่งว่าแผ่นดินสะเทือน
เสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่น!
สุดท้ายแสงกระบี่เพลิงมรกตห้าสายก็ยังเหนือกว่าเล็กน้อยขั้นหนึ่ง แม้ถูกฝ่ามือโจมตีทลายไปสามสายพร้อมเสียงดังกึกก้อง ทว่ายังเหลือแสงกระบี่สองสายโจมตีมาถึงตำแหน่งที่หลิ่วหมิงอยู่ แต่หลิ่วหมิงหายไปไร้ร่องรอยนานแล้ว
เสียงเปรี๊ยะดังอลหม่านขึ้นกลางท้องฟ้า!
แสงสีดำสว่างขึ้นกลางท้องฟ้าไม่ไกล หลิ่วหมิงพาเงาสีดำร่างแล้วร่างเล่าเคลื่อนไหวต่อเนื่องพุ่งเข้าไปหาหลงเซวียนอย่างรวดเร็ว
“เหอะ!”
หลงเซวียนเห็นหลิ่วหมิงหลบพ้นการโจมตีของเทพชิงหยาง คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย แต่จากนั้นสีหน้าไม่ใส่ใจก็ปรากฏขึ้นมาทันที เขายิ้มหยันแล้วเปลี่ยนเคล็ดวิชาที่มือ ตบเงาฝ่ามือเงาหนึ่งออกมา
สองแขนของเทพชิงหยางหลังร่างเขาขยับ แขนข้างหนึ่งถือดาบใหญ่หัวผีเพลิงมรกตเล่มหนาเล่มหนึ่ง ส่วนแขนอีกข้างหนึ่งพันโซ่เพลิงสีเขียวไว้
แขนสองข้างพร่าเลือนวูบหนึ่ง ดาบหัวผีก็ระเบิดแสงดาบสีเขียวมากมายออกมาทันที โซ่บนแขนอีกข้างหนึ่งก็พุ่งรวดเร็วออกมาล้อมหลิ่วหมิงไว้ตรงกลางจนลมฝนไม่อาจลอดผ่าน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ดวงตาพลันฉายแววดุดัน การเคลื่อนไหวรวดเร็วไม่เชื่องช้าสักนิด ทันใดนั้นแสงสีดำบนร่างก็ส่องสว่าง กลายเป็นเงาคนสีดำที่เหมือนกันทุกประการในทันใด หลังโฉบวูบหนึ่ง เงาคนสี่ร่างก็แยกย้ายกันไปในพริบตา มุ่งเร็วรี่ไปยังทิศทางที่ต่างกัน
หลงเซวียนตะลึง เขาจิตสัมผัสกวาดออกไป ชั่วขณะหนึ่งแยกไม่ออกว่าเงาสี่ร่างนี้คนไหนคือร่างจริงของหลิ่วหมิง แสงดาบกับโซ่ในมือเงาเทพชิงหยางหลังร่างลังเลไปชั่วครู่จึงเผยช่องโหว่เล็กน้อยออกมา
ผลปรากฏว่าชั่วครู่หลังจากนั้นเงาสี่ร่างไม่ไกลก็สลายไปสาม ร่างสุดท้ายกลับพุ่งพรวดทะลวงผ่านการปิดล้อมของแขนทั้งสองข้างไป ร่างจริงของหลิ่วหมิงนั่นเอง!
เขาฉวยโอกาสพริบตานั้นเมื่อครู่บีบเข้ามาใกล้เจ็ดแปดจั้ง ตอนนี้อยู่ห่างจากหลงเซวียนไม่ถึงสามสี่จั้งแล้ว
“รนหาที่ตาย!”
เวลานี้หลงเซวียนเพิ่งเผยความลนลานเล็กน้อยออกมา เขาอ้าปากพ่นเลือดบริสุทธิ์คำหนึ่งออกมาทันที ชั่วพริบตาหมอกโลหิตก็ซึมเข้าไปในเงาเทพชิงหยางด้านหลัง
ยักษ์เพลิงมรกตอ้าปากพ่นลูกไฟสีเขียวมหึมาดวงหนึ่งเข้าใส่หลิ่วหมิงในทันใด พร้อมกันนั้นมือข้างนั้นที่ถือโซ่ก็ขยับ โซ่ในมือส่งเสียงดัง “เคร้ง” ทีหนึ่งแล้วจมหายไปในอากาศ
ในเวลาเดียวกันนี้ใกล้ๆ ร่างกายของหลิ่วหมิงก็มีแสงสีเขียวสั่นไหว จากนั้นกลายเป็นโซ่เส้นหนาพุ่งออกมารัดร่างกายเขาไว้แน่นหนาในพริบตา
ต่อจากนั้นลูกไฟสีเขียวก็โถมเข้ามาใกล้หลิ่วหมิง
“เพลิงมรกตวิญญาณร้าย ไม่มีสิ่งใดแผดเผาไม่ได้ ตายเสียเถอะ!”
หลงเซวียนตวาดเสียงดัง สองมือทำท่าเคล็ดวิชาอย่างว่องไว สองตาแดงดุจโลหิต ปากเริ่มเอ่ยถ้อยคำหยาบคายออกมาราวกับว่าเริ่มสูญเสียสติปัญญา
มหาวิชาวิญญาณมารชิงหยางวิชานี้แม้พลังมากอย่างที่สุด แต่ก็กินพลังเวทและพลังจิตอย่างน่าตะลึงยิ่งนัก เขาใช้การโจมตีติดต่อกันหลายครั้งย่อมทนไม่ไหว
หลังลูกไฟสีเขียวเหนือศีรษะหลิ่วหมิงถูกเขากระตุ้นก็ส่งเสียง “ฟู่” ดังขึ้นทีหนึ่งแล้วระเบิดตัวเองกลายเป็นทะเลเพลิงโหมกระหน่ำกดทับลงมา เปลวเพลิงโหมรุนแรงล้อมเวทีค่อนครึ่งไว้แทบจะในพริบตา กลืนร่างกายของหลิ่วหมิงเข้าไปจนหมดสิ้น
“พี่หลิ่ว!”
โอวหยางเชี่ยนร้องตกใจ เรือนร่างงามสั่นเทา เกือบจะก้าวออกไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัว
เสียง “ปึก” ดังขึ้นทีหนึ่ง ฝ่ามือข้างหนึ่งกดลงบนหัวไหล่ของสตรีผู้นี้ในพริบตา พร้อมกันนั้นแรงมหาศาลสายหนึ่งก็ทะลักออกมาทำให้เรือนร่างงามที่สั่นเทาของนางไม่อาจขยับได้อีกแม้แต่นิด ในเวลาเดียวกันนั้นข้างหูก็ได้ยินเสียงกระแสจิตนิ่งเรียบดังขึ้น
“ไม่ต้องรีบร้อน แพ้ชนะยังไม่ตัดสิน!”
โอวหยางเชี่ยนหันหลังกลับไปมองก็เห็นดวงตาของหัวหน้าตระกูลโอวหยางโชนแสงจับจ้องด้านในเขตแดนอยู่ สีหน้าคล้ายไม่เป็นห่วงหลิ่วหมิงสักนิด
ในเวลานี้เอง กลางเปลวเพลิงสีเขียวที่ล้อมร่างกายของหลิ่วหมิงอยู่บนเวทีก็มีเสียงวัวกู่ร้องดังออกมา ท่ามกลางเปลวเพลิงสีเขียวฉับพลันมีแสงสีน้ำเงินลี้ลับสายหนึ่งพุ่งออกมาเลือนราง
เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
เงาวัวสีน้ำเงินตัวหนึ่งลอยออกมาในทันใด มันอ้าปากกว้าง ขย้ำโซ่สีเขียวบนร่างหลิ่วหมิงขาดในคำเดียว จากนั้นก็แหงนหน้าขึ้นอ้าปากสูดหนึ่งครั้ง เปลวเพลิงสีเขียวใกล้ๆ ทั้งหมดก็ถูกมันสูบลงไปในท้อง
“นี่…นี่มัน…”
หลงเซวียนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ สีหน้านิ่งอึ้งไปเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้
“พลังกลืนฟ้า!” หัวหน้าตระกูลโอวหยางสองตาเปล่งประกาย หลุดปากเอ่ยออกมา
เห็นสถานการณ์บนเวทีเปลี่ยนผันรวดเร็ว โอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวก็เปลี่ยนจากตกตะลึงเป็นยินดี บนใบหน้างามเต็มไปด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี กลับกันโอวหยางซินสีหน้าดำทะมึน
หลิ่วหมิงดิ้นหลุดจากพันธนาการของโซ่ปุบ ร่างกายก็โฉบพาเงาเลือนรางหลายร่างพุ่งประหนึ่งสายฟ้าเข้าไปหาหลงเซวียน
วิชาภาพสัญลักษณ์ถูกเขากระตุ้นจนถึงขีดสุด!
เงาวัวสีน้ำเงินร่างหนึ่งหุ้มร่างกายของเขาไว้ด้านใน แม้ฝั่งตรงข้ามจะส่งลูกบอลไฟสีเขียวเสียงดังหวีดหวิวมาอีกหลายลูก แต่ก็ถูกเงาวัวสีน้ำเงินอ้าปากกลืนเข้าไปจนหมด
หลงเซวียนสีหน้าซีดเผือดเคลื่อนพลังเวทอย่างต่อเนื่อง เทพชิงหยางพ่นลูกไฟสีเขียวลูกแล้วลูกเล่าออกมา เพลิงสีเขียวลุกโหมกลายเป็นกำแพงไฟผืนหนึ่งขวางเบื้องหน้าร่าง
เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
กำแพงไฟถูกทะลวงเป็นรูใหญ่ประหนึ่งเป็นกระดาษ เงาวัวสีน้ำเงินมหึมาตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากตรงกลาง เงาคนด้านในพร่ามัวไปอีกครั้ง จากนั้นหลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา
หลงเซวียนตะโกนก้อง ไอปีศาจสีดำบนร่างทะลักออกมาผืนใหญ่ปกป้องทั้งร่างของเขาไว้ ในเวลาเดียวกันนั้นบนใบหน้าก็ฉายแววเหี้ยม อ้าปากพ่นมีดบินสีดำเล่มหนึ่งออกมา มันวาดผ่านอากาศประหนึ่งสายฟ้าแลบ ฟันตรงเข้าใส่หน้าผากของหลิ่วเมิง
แววเยาะหยันจางๆ แล่นผ่านในดวงตาของหลิ่วหมิงไป แสงสีเงินบนร่างส่องสว่าง บนแผ่นหลังมีหนวดปลาหมึกซึ่งมีลวดลายจิตวิญญาณสีเงินแผ่เต็มเส้นหนึ่งยืดออกมาดั่งสายฟ้าแลบ เพียงตวัดครั้งเดียวก็จับมีดบินสีดำที่พุ่งเร็วรี่มาไว้ได้ทันที
ปีศาจสมุทรแปดขาใกล้จะเป็นร่างสมบูรณ์แล้ว หลังผ่านการหลอมด้วยวิชาเกราะอสูรระดับความแข็งแกร่งของหนวดก็เทียบเท่ากับอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด ไม่ว่ามีดบินสีดำจะขยับดิ้นรนอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด
หลิ่วหมิงงอนิ้วแล้วดีดทีหนึ่ง ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนพลันกลายเป็นแสงสีน้ำเงินสายหนึ่งหุ้มมีดบินไว้ มีดบินที่เดิมทีดิ้นไม่หยุดฉับพลันสลายกลายเป็นไอสีดำ ถูกแสงสีน้ำเงินกลืนเข้าไป
เมื่อไม่มีไอดำควบคุม แสงจิตวิญญาณของตัวมีดบินก็หม่นแสง ขาดการเชื่อมต่อกับหลงเซวียนไปทันที
“เป็นไปไม่ได้…”
หลงเซวียนอ้าปากพ่นเลือดคำหนึ่งออกมา แต่ทันใดนั้นเขาก็กัดฟัน สองมือตั้งท่าเคล็ดวิชาอย่างเร็วไวอีกครั้ง เงามารด้านหลังร่างขยับแล้วขยายใหญ่ขึ้นอีกสามส่วนทันที
ในเวลานี้เองหลิ่วหมิงที่บินพุ่งเข้ามาฉับพลันก็หยุดอยู่กับที่ มือข้างหนึ่งตบข้างเอวอย่างเร็วไว
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง ฝักกระบี่สีเงินอ่อนชิ้นหนึ่งปรากฏออกมา พร้อมกันนั้นกระบี่น้อยสีทองเล่มหนึ่งก็บินพุ่งออกมาจากข้างใน
หลังกระบี่บินว่างเปล่าถูกใช้ไปเมื่อครั้งก่อนก็ได้รับการบำรุงมาหนึ่งเดือนกว่า แม้ห่างไกลเทียบเคียงไม่ได้กับยามนั้นที่ออกจากฝักครั้งก่อน แต่แสงกระบี่ยังคงเร็วประหนึ่งสายฟ้าแลบ
ในดวงตาหลงเซวียนฉายแววโหดเหี้ยมเล็กน้อย เขาตะเบ็งเสียงคำราม เงาเปลวเพลิงสีเขียวที่สอดแทรกไอปีศาจสีดำบนร่างส่งเสียงหวีดหวิวประจันหน้าเข้าไป
แสงสีทองส่องสว่าง ขณะที่เสียง “แควก” ประหนึ่งเสียงผืนผ้าขาดดังขึ้น!
เงาเทพชิงหยางเบื้องหลังหลงเซวียนฉีกกระจุยดังลั่น กลายเป็นฝนลูกไฟสีเขียวเต็มท้องฟ้า
ท่ามกลางฝนลูกไฟสีเขียว หลงเซวียนคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่กับพื้น บนหน้าอกมีแผลมหึมาแผลหนึ่ง เลือดสดไหลทะลักออกมา
ตอนที่ 857 ผู้อาวุโสชิงเฟิง
หลงเซวียนในเวลานี้ใบหน้าไร้สีเลือด มือข้างหนึ่งกดรอยแผลบนหน้าอกที่เลือดทะลักออกมา ขณะที่หอบหายใจหนักหน่วงจนลุกไม่ขึ้น
“พี่หลง ยังจะประลองอีกไหม?”
หลิ่วหมิงเอ่ยเรียบๆ ประโยคหนึ่งแล้วสะบัดมือ แสงกระบี่สีทองเส้นหนึ่งบินกลับมาอยู่ในมือเขา แล้วโลดเต้นเบาๆ หลายครั้งราวกับสิ่งมีชีวิต
เวลานี้คือการประลอง หากไม่ใช่เพราะกฎที่โอวหยางอิงประกาศไว้ก่อนหน้านี้ หนึ่งกระบี่เมื่อครู่ของเขาคงสะบั้นศีรษะของหลงเซวียนไปนานแล้ว
หลงเซวียนสีหน้าย่ำแย่ สักประโยคก็เอ่ยไม่ออก แต่ร่างกายมหึมาคล้ายลมรั่ว กลับคืนมาขนาดเดิมอย่างรวดเร็ว ลมปราณก็เซื่องซึมลงในพริบตาเช่นกัน
“ข้าขอประกาศว่าการประลองครั้งนี้ หลิ่วหมิงชนะ!”
โอวหยางอิงที่อยู่กลางอากาศประกาศอย่างเด็ดขาดยิ่งนัก ในเวลาเดียวกันนั้นสีหน้าของเขายามมองหลิ่วหมิงก็มีความยินดีพร้อมกับคิดไม่ถึงนิดๆ ด้วย
เห็นชัดว่าการที่หลิ่วหมิงชนะได้อย่างเด็ดขาดในการประลองครั้งนี้เหนือความคาดคิดของเขาอย่างยิ่ง
คำพูดของโอวหยางอิงเพิ่งเอ่ยจบ มือข้างหนึ่งก็สะบัด เคล็ดวิชาสายหนึ่งจมหายไปในเขตแดนบนเวทีประลอง
ผิวของเขตแดนส่องแสงสีน้ำเงินออกมาสองสามหนทันทีจากนั้นก็แตกสลายไปเอง
หลงเซวียนได้ยิน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความคับแค้น เขามองมาหาหลิ่วหมิงแต่ไม่พูดสักคำ จากนั้นเหาะขึ้นฟ้ากลายเป็นลำแสงสีดำเส้นหนึ่งแหวกท้องนภาจากไป
โอวหยางซินที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านข้างใบหน้าเขียวคล้ำ หลังเอ่ยอย่างรีบเร่งกับหัวหน้าตระกูลสองประโยคก็สะบัดแขนเสื้อกลายเป็นแสงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าไล่ตามไปทางที่หลงเซวียนจากไปด้วย
หัวหน้าตระกูลโอวหยางยิ้มน้อยๆ มองสำรวจหลิ่วหมิงที่ยืนอยู่บนเวทีตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่หยุด
หลิ่วหมิงเวลานี้เก็บกระบี่บินว่างเปล่าเข้าไปในฝักกระบี่แล้ว มือข้างหนึ่งลูบซ่อนมันไว้ ต่อจากนั้นจึงเก็บเคล็ดวิชา เสื้อสะบัดพลิ้วร่อนลงมาจากบนเวทีศิลา ระหว่างที่ร่อนลงมาก็ทยอยเก็บเงาวัวสีน้ำเงินกับเคล็ดวิชาเกราะอสูรไปด้วย
“พี่หลิ่ว ยินดีด้วย!”
โอวหยางเชี่ยนเดินเข้ามารับพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มงดงาม โอวหยางฉินผู้มีสีหน้าเฉยชาเป็นนิจด้านหลังร่างนางก็ก็เผยสีหน้ายินดีอย่างห้ามไม่อยู่ออกมาด้วย
หลงเซวียนพ่ายครั้งนี้ เรื่องงานแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับนิกายปีศาจลี้ลับก็ได้แต่ยกเลิก ทั้งสองคนย่อมไม่ต้องแต่งงานกับหลงเซวียนแห่งนิกายปีศาจลี้ลับผู้นั้นแล้ว
หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ ให้ทั้งสองคน จากนั้นสายตาจึงมองไปบนร่างโอวหยางเจี้ยนชิวที่อยู่ไม่ไกล แล้วค้อมกายคำนับจากไกลๆ
“ฮ่ะๆ ศิษย์หลานหลิ่วพลังแข็งแกร่งเหนือกว่าที่ข้าคิด ไม่เสียทีเป็นอันดับหนึ่งของงานประตูสวรรค์” หัวหน้าตระกูลโอวหยางหัวเราะพลางก้าวเดินเข้ามาช้าๆ
“หัวหน้าตระกูลล้อเล่นแล้ว พลังตื้นเขินเท่านี้ของข้า ตระกูลโอวหยางส่งศิษย์ระดับแก่นแท้ออกมาสักคนก็แข็งแกร่งกว่าข้ามากนัก” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างถ่อมตัว
“ศิษย์หลานถ่อมตัวเกินไปแล้ว เอาล่ะ ถ้อยคำตามมารยาทพูดกันเท่านี้ก็พอ ในเมื่อศิษย์หลานหลิ่วชนะการประลองครั้งนี้ ย่อมได้ใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ของตระกูลเราหนึ่งครั้งตามสัญญา แน่นอนก่อหน้านั้นจะต้องทำสัญญาเวทก่อนว่าหลังเสร็จเรื่องจะรับปากทำงานเรื่องหนึ่งให้ตระกูลโอวหยางเราถึงจะได้” หัวหน้าตระกูลโอวหยางมองโอวหยางอิงที่เพิ่งเหาะเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่ง!” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็ยินดียิ่งนัก รีบประสานมือเอ่ยขอบคุณอีกหน
“เรื่องต่อจากนี้มอบให้ผู้อาวุโสอิงจัดการก็แล้วกัน ต้องทำให้ศิษย์หลานหลิ่วพอใจที่สุด” หัวหน้าตระกูลโอวหยางอมยิ้มกำชับอีกหนึ่งประโยค รอบร่างก็เปล่งแสงสีม่วงบินจากเวทีเสวียนหยวนมุ่งไปนอกหุบเขา
สี่คนที่เหลืออยู่บนเวทีเสวียนหยวนมองส่งหัวหน้าตระกูลแล้วนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
โอวหยางอิงมองสำรวจหลิ่วหมิงจากหัวจรดเท้าอยู่หลายครั้ง ทันใดนั้นบนหน้าก็เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาแล้วเอ่ยว่า
“ครั้งก่อนที่พบหน้ากับสหายอินคือเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อนหน้า เวลานั้นในสังกัดของเขามีเพียงเสี่ยวอู่เป็นศิษย์สายตรงเพียงคนเดียว คิดไม่ถึงว่าไม่กี่สิบปีนี้เจ้าเฒ่าคนนี้จะรับศิษย์ดีๆ เช่นนี้มาอีกคนหนึ่ง!”
“ผู้อาวุโสอิงชมเกินไปแล้ว ยามมาอาจารย์กำชับไว้ว่าให้มาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับผู้อาวุโสอิงแทนเขาด้วย” หลิ่วหมิงรู้ว่าโอวหยางอิงกับอินจิ่วหลิงมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา น้ำเสียงที่เอ่ยวาจาจึงนอบน้อมยิ่งนัก
“อินจิ่วหลิงเจ้าเฒ่าคนนี้อยากเตือนข้าว่าอย่าลืมสัญญาเก่าก่อนล่ะสิ!” โอวหยางอิงแค่นเสียงเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง แต่ในน้ำเสียงไม่มีความชิงชังสักเท่าไร
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่เอ่ยคำใดต่อ
“กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์เตรียมไว้พร้อมนานแล้ว ไม่รู้ว่าศิษย์หลานหลิ่วคิดจะใช้เมื่อใด?” โอวหยางอิงแค่นเสียงจบก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยถามขึ้นมา
“ข้าต้องการเวลาสองวันปรับสภาพจิตใจ สามวันให้หลังเป็นอย่างไร?” หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็อ้าปากบอก
แม้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้กับหลงเซวียน แต่ก็เสียพลังเวทพลังกายไปไม่น้อย ก่อนหน้าเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน เขาต้องทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด
“ก็ดี! สามวันให้หลัง เจ้าตรงไปที่ตำหนักหลิงหลงได้เลย เรื่องอื่นข้าจะช่วยเจ้าจัดการให้เรียบร้อยเอง แต่หลังเสร็จเรื่องไม่ว่าทะลวงเข้าระดับแก่นเสมือนได้หรือไม่ก็ต้องดูโชคชะตาของเจ้าเองแล้ว” โอวหยางอิงพยักหน้า
“เรื่องนี้แน่นอน ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งที่ใส่ใจ” หลิ่วหมิงเอ่ยขอบคุณซ้ำ
ต่อจากนั้นโอวหยางอิงถามถึงสภาพระยะนี้ของอินจิ่วหลิงอีกหลายประโยคก็ไม่รั้งอยู่ต่อ ล่องลอยจากไปเช่นเดียวกัน
ทันใดนั้นบนเวทีเสวียนหยวนก็เหลือเพียงหลิ่วหมิงกับสองพี่น้องโอวหยาง
“ขอบคุณพี่หลิ่วยิ่งที่เอาชนะหลงเซวียนผู้นั้น ช่วยพวกเราเลี่ยงเคราะห์ไปได้ครั้งหนึ่ง” โอวหยางเชี่ยนตอนนี้ถึงคำนับอย่างอ้อนช้อยให้หลิ่วหมิงครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจยิ่ง
โอวหยางฉินด้านข้างก็มีสีหน้าซาบซึ้งเช่นกัน
“เซียนทั้งสองไม่ต้องเกรงใจ ครั้งนี้ข้าก็แค่ช่วยผู้อื่นเท่ากับช่วยตนเองเท่านั้น” หลิ่วหมิงกลับโบกมือหนหนึ่งแล้วเอ่ยตอบ
“ไม่ว่าอย่างไร พวกเราพี่น้องก็ติดค้างน้ำใจพี่หลิ่วครั้งหนึ่ง วันหน้าหากต้องการให้พวกเราพี่น้องช่วย เชิญเอ่ยปากได้เลย” โอวหยางเชี่ยนเอ่ยอย่างจริงจัง
“ในยันต์เก็บของแผ่นนี้คือค่าตอบแทนที่สัญญาว่าจะให้พี่หลิ่วก่อนหน้านี้” โอวหยางฉินหยิบยันต์เก็บของแผ่นหนึ่งออกมาส่งให้
หลิ่วหมิงเห็นสิ่งนี้ก็ยื่นมือไปรับมาจากนั้นใช้จิตสัมผัสกวาดเล็กน้อย
ในยันต์เก็บของมีของไม่น้อยจริงๆ นอกจากกล่องหยกสีเขียวใบหนึ่งกับอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดสองชิ้น ก็ยังมีหินแร่และหญ้าจิตวิญญาณล้ำค่าระดับสูงอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงหินจิตวิญญาณกองน้อยกองหนึ่ง
ของทั้งหมดรวมเข้าด้วยกันมูลค่าเกือบสิบล้านหินจิตวิญญาณ สำหรับพวกนางที่เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกสองคน นี่เรียกได้ว่าเสียเลือดกองโตจริงๆ
นอกจากนี้หินแร่และหญ้าจิตวิญญาณเหล่านี้ หลิ่วหมิงดูแล้วค่อนข้างคุ้นตา น่าจะเป็นสิ่งที่สตรีทั้งสองหาพบจากในแดนลึกลับประตูสวรรค์
ของเหล่านี้หลิ่วหมิงไม่ได้เห็นค่าอย่างไร เขาเพียงพลิกมือทีหนึ่งเรียกกล่องหยกสีเขียวใบนั้นออกมา หลังเปิดออกด้านในคือโอสถสีเขียวเข้มขนาดเท่าหัวแม่โป้งเม็ดหนึ่งที่ทอแสงสีเขียวประหนึ่งไอหมอก กลิ่นโอสถหอมชื่นใจ
“สิ่งนี้คือโอสถชำระวิญญาณหรือ?” สองตาหลิ่วหมิงหรี่ลงพลางเอ่ยถาม
“ไม่ผิด นี่คือโอสถที่มีเฉพาะตระกูลโอวหยางของเรา มีพลังในการชำระกลั่นวิญญาณ เพิ่มโอกาสในการเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนราวหนึ่งส่วน” โอวหยางเชี่ยนมองโอสถสีเขียวอย่างปวดใจอยู่บ้างแล้วเอ่ยออกมาเช่นนี้
แม้โอสถชำระวิญญาณจะเป็นโอสถที่มีเฉพาะตระกูลโอวหยาง แต่โอสถนี้ปรุงยากอย่างที่สุด ทั้งตระกูลอย่างมากที่สุดร้อยปีก็ปรุงโอสถออกมาได้สิบกว่าเม็ดเท่านั้น
โอสถชำระวิญญาณเม็ดนี้นางจ่ายไปมากนักถึงได้มา เดิมทีคิดจะเอาไว้กินยามตนเองเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน แต่ตอนนี้กลับไปอยู่ในมือหลิ่วหมิงเสียแล้ว
แต่เทียบกับการแต่งงานกับหลงเซวียนแห่งนิกายปีศาจลี้ลับผู้นั้น นี่ย่อมไม่นับเป็นอันใด อย่างไรนางก็ยังอยู่ห่างจากการเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนอีกระยะเวลาหนึ่ง ค่อยหาวิธีเอาเม็ดที่สองมาอีกก็ได้
หลิ่วหมิงมองโอสถในมือหลายครั้งแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นพลิกมือเก็บเข้าไปในแหวนย่อส่วน
มีโอสถเม็ดนี้ คิดว่าโอกาสที่จะเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนสำเร็จคงเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย
ต่อจากนั้นหลิ่วหมิง โอวหยางเชี่ยนและน้องสาวของนางก็สนทนาสัพเพเหระกันอีกหลายประโยค หลังถามที่ตั้งของตำหนักหลิงหลงเล็กน้อยต่างฝ่ายก็บอกลากัน
จากนั้นเขาก็กลับมาในห้องทำสมาธิของหอต้อนรับแขก ปิดประตูฝึกฝนอย่างเงียบสงบ เตรียมจิตใจและพลังเวทให้อยู่ในสภาพพร้อมที่สุด
เวลาสามวันผ่านไปเพียงพริบตา
ตรงขอบเทือกเขาหยกฝัน มียอดเขาอันงดงามที่ยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะขาวพิสุทธิ์ตลอดทั้งปีลูกหนึ่ง เมื่อทอดสายตามองไป ทั้งภูเขาล้วนเป็นต้นซงโบราณสูงเสียดฟ้า ทำให้เขาลูกนี้ประหนึ่งพู่กันหยกสีเขียวหยกที่เชื่อมผืนฟ้าและแผ่นดิน นี่ก็คือยอดเขาหิมะหยกหนึ่งในเก้ายอดเขาเก้าหุบเขาของเทือกเขาหยกฝัน
ใต้ยอดเขามีตำหนักศิลาสีเขียวที่สร้างขึ้นตรงไหล่เขา หน้าตำหนักเวลานี้มีเงาคนสีดำร่างหนึ่งกำลังยืนอยู่ เขาก็คือหลิ่วหมิง
ตำหนักสีเขียวทั้งหลังส่องแสงสีเขียวเรืองๆ ประหนึ่งสลักมาจากหินเขียวก้อนใหญ่มหึมาอย่างยิ่งก้อนหนึ่ง บรรยากาศน่าเกรงขาม!
บนประตูใหญ่ของตำหนักแขวนป้ายแผ่นหนึ่งไว้ บนนั้นเขียนไว้ว่า “ตำหนักหลิงหลง” ด้วยตัวอักษรห้าวหาญทรงพลัง
หลิ่วหมิงยืนอยู่บนบันไดศิลาที่ห่างจากตำหนักหลิงหลงไม่กี่จั้ง เขาแหงนหน้าเล็กน้อยมองตำหนักเบื้องหน้า ในดวงตาฉายแววตาครุ่นคิดอยู่นิดๆ
ตำหนักหลิงหลงแห่งนี้จะว่าไปแล้วก็เป็นหนึ่งในสถานที่ต้องห้ามของตระกูลโอวหยาง แต่ตอนเขามา ด้านนอกกลับไม่มีผู้คุ้มกันสักคน
นี่ทำให้หลิ่วหมิงคิดไม่ถึง แล้วก็ลังเลอยู่บ้างว่าหากบุ่มบ่ามเข้าไปจะเหมาะสมหรือไม่
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดว่าจะรออยู่ที่นี่สักพักดีหรือไม่ ประตูใหญ่ของตำหนักก็เปิดออกช้าๆ สตรีสาวในชุดบัณฑิตสีน้ำเงินอ่อนผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านใน
“ท่านคือสหายหลิ่วจากนิกายยอดบริสุทธิ์ใช่หรือไม่? ผู้น้อยรับคำสั่งจากผุ้อาวุโสชิงเฟิงมาเชิญสหายเข้าไปด้านใน” สาวน้อยชุดน้ำเงินคำนับหนหนึ่งแล้วเอ่ยถามอย่างมีมารยาทยิ่งนัก
“ข้าก็คือหลิ่วหมิง รบกวนสหายนำทางแล้ว”
หลิ่วหมิงคำนับกลับหนหนึ่ง เขาเพิ่งเคยเห็นศิษย์ตระกูลโอวหยางที่เทือกเขาหยกฝันสวมเสื้อผ้าสีอื่นนอกจากสีม่วงเป็นครั้งแรกจึงอดไม่ได้มองสาวน้อยชุดสีน้ำเงินเพิ่มอีกหลายที
หลังเดินตามสาวน้อยชุดน้ำเงินเข้าไปในตำหนักหลิงหลง เขาก็ค่อนข้างประหลาดใจเมื่อด้านในเป็นเพียงห้องโถงที่แลดูตกแต่งเรียบง่ายยิ่งนักแห่งหนึ่ง นอกจากโต๊ะและเก้าอี้ชุดหนึ่งก็ไม่มีสิ่งอื่นอีก
“สหายหลิ่วโปรดรออยู่ที่นี่สักครู่ ผู้น้อยจะไปเชิญผู้อาวุโสชิงเฟิงออกมา” หลังสาวน้อยชุดน้ำเงินเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งก็หมุนตัวเดินไปยังทางเดินยาวด้านข้างห้องโถงใหญ่
หลิ่วหมิงยักไหล่เดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง จากนั้นสายตาก็เริ่มมองสำรวจรอบด้านห้องโถงใหญ่
หลังผ่านไปราวหนึ่งเค่อเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น
หลิ่วหมิงรู้สึกตัวก็รีบร้อนลุกขึ้นยืน เมื่อเขาหมุนตัวกลับมา ในห้องโถงก็มีผู้เฒ่าที่สวมชุดสีน้ำเงินแบบเดียวกันผู้หนึ่งเดินเข้ามา
คนผู้นี้รูปร่างผอมแกร็น ใบหน้าซูบผอม เส้นผมหนวดเคราล้วนเป็นสีขาวโพลน ใต้คางไว้เคราแพะ ดูแล้วคล้ายกับผู้เฒ่าธรรมดาคนหนึ่ง
“หลิ่วหมิงจากนิกายยอดบริสุทธิ์คารวะผู้อาวุโส” หลิ่วหมิงมองเพียงปราดเดียวก็รีบค้อมกายคำนับพร้อมกับเอ่ยขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น