ลำนำบุปผาพิษ 855-862

บทที่ 855 เขารังเกียจคนๆ นั้น!


กู้ซีจิ่วไม่คิดจะเปิดเผยความลับของตี้ฝูอี ดังนั้นเธอจึงส่ายหน้า “ฉันแค่พูดสมมุติ สมมุติเท่านั้น”


หลงซือเย่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ยกมือลูบผมเธอ “เด็กน้อย ข้อสมมุตินี้ของเธอไม่สมเหตุสมผลเลย เธอลองเทียบกับตัวเธอดูสิ กลิ่นตัวของเธอในชาติก่อนก็ไม่ใช่กลิ่นตัวแบบตอนนี้ นั่นเป็นเพราะเธอย้ายร่างแล้ว ร่างนี้เป็นแค่น่างที่เธอสิงสู่เท่านั้น ไม่ใช่ร่างจริงของเธอ ฉันกล้าวางพนันเลย กลิ่นร่างโคลนนิ่งในตำหนักน้ำแข็งที่หุบเขาถามสวรรค์ของฉันยังเหมือนตัวเธอในอดีตมากกว่ากลิ่นบนร่างเธอเลย…”


น้อยนักที่หลงซือเย่จะกระทำต่อเธออย่างสนิทชิดเชื้อ ดังนั้นยามนี้พอจู่ๆ เขาก็ลูบไล้เส้นผมเธอ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะขนลุกซู่ พอได้ยินเขาเรียกว่า ‘เด็กน้อย’ ก็ขนลุกยิ่งกว่าเดิม!


เธอเคลื่อนไปด้านข้าง เอ่ยว่า “อย่าเรียกฉันว่าเด็กน้อย มันทำให้รู้สึกเหมือนคุณถูกนักรักผู้ยิ่งใหญ่อะไรสิงร่างเข้าให้แล้ว”


หลงซือเย่ก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ “เด็กโง่ ระหว่างคู่รักไม่ใช่ว่าควรเป็นแบบนี้หรอกหรือ?”


กู้ซีจิ่วใจเต้นแรง กระแอมไอคราหนึ่ง “ครูฝึกหลง ฉันยังไม่ได้ตอบรับคุณเลย พวกเรา..ฬก็ไม่นับว่าเป็นคู่รัก”


แววตาหลงซือเย่พลันหมองลงเล็กน้อย แต่ต่อมาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ฉันรอได้ ซีจิ่ว เธอให้โอกาสนี้กับฉันฉันก็ดีใจมากแล้ว พวกเรายังไม่เคยอยู่ด้วยกันในรูปแบบของคนรักเลย เธอไม่เคยชินก็เป็นเรื่องปกติ เดี๋ยวเธอจะค่อยๆ ชินไปเอง”


ค่อยๆ ชินไปเอง? จะค่อยๆ ชินไปเองได้จริงๆ น่ะหรือ?


ตัวกู้ซีจิ่วเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เธอถึงขั้นไม่วาดหวังไว้ด้วยซ้ำ


สายตาที่หลงซือเย่มองเธอช่างอ่นโยนและเปล่งประกายเหลือเกิน นอกจากทำให้เธอซาบซึ้งเล็กน้อยแล้วยังทำให้หนังศีรษะชาหนึบอยู่บ้าง ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คุณยังเก็บร่างโคลนร่างนั้นไว้อีกเหรอ? นึกไม่ถึงว่าคุณอยู่ในยุคนี้ก็สามารถทำของแบบนี้ออกมาได้”


หลงซือเย่ชะงักไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยขึ้น “ร่างโคลนนั้นยังถูกแช่แข็งไว้ในโลงน้ำแข็งใบนั้น…ฉันไม่ได้คิดจะให้เธอใช้แล้ว แต่ระยะนี้ฉันยุ่งวุ่นวายอยู่ข้างนอกตลอด ยังไม่ทันได้กลับไปทำลายทิ้ง ถ้าเธอไม่ชอบมันจริงๆ รอวันหลังเธอกลับไปกับฉัน แล้วพวกเราไปทำลายมันด้วยกันก็ได้”


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ ความหมายในคำพูดประโยคนี้ของเขาคือเธอต้องกลับเขาถามสวรรค์กับเขาเท่านั้น เขาถึงจะยอมทำลายซากแช่แข็งเหรอ?


ช่างเถอะ อันที่จริงเธอก็ไม่ได้สนใจซากแช่แข็งนั้น ขอเพียงเขาไม่หาวิธีทำให้เธอไปอยู่ในร่างโคลนนิ่งร่างนั้นอีกก็พอ เธอเกิดเงามืดต่อร่างโคลนนิ่งแล้ว


ทันใดนั้นเธอคล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว คุณบอกว่าเมื่อก่อนคุณก็เป็นร่างโคลนนิ่งเหมือนกัน คือคุณ…เป็นร่างโคลนนิ่งของพ่อคุณ ถ้างั้นรูปร่างหน้าตาของคุณก็น่าจะเหมือนเขาทุกอย่างใช่ไหม?”


หลงซือเย่ขมวดคิ้ว เขารังเกียจคนๆ นั้น!


“เขาไม่ใช่พ่อฉัน! เขาเป็นคนวิปริต! บ้าวิทยาศาสตร์! รูปร่างหน้าตาของฉันในชาติก่อนน่าจะเหมือนเขาทุกอย่างนั่นแหละ แต่เขาคงกลัวว่าฉันจะมองออก ดังนั้นเมื่อก่อนเขาเลยไว้หนวดไว้เคราตลอด หนวดเครารุงรังปกปิดเครื่องหน้าของเขาไว้มิดชิดมาก ด้วยเหตุนี้ตัวฉันในชาติก่อนเลยมองไม่ออก”


หัวใจกู้ซีจิ่วโหวงวูบ


หนวดเครารุงรัง? ดูเหมือนปรจารย์กู่ที่เธอรู้จักที่เผ่าม้งก็ไว้หนวดเครารุงรังเหมือนกัน ทั้งสองคนมีอะไรสัมพันธ์กันหรือเปล่า? บังเอิญเหรอ? หรือว่าทั้งสองจะเป็นคนๆ เดียวกัน?


สุดท้ายยามที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ตัวเธอก็สะดุ้งโหยง!


เป็นไปไม่ได้หรอกน่า?!


เธอเริ่มจินตนาการสุดกำลังว่าหากหลงซีในชาติก่อนไว้หนวดหน้าตาจะเป็นอย่างไร แต่คิดอยู่พักหนึ่ง ก็พบว่าจินตนาการไม่ออก


ถึงอย่างไรหลงซีในชาติก่อนก็สะอาดสะอ้านหล่อเหลา สุภาพสง่างาม ไม่เฉียดใกล้กับชายมีเครารุงรังแต่งตัวมอซอเช่นนั้นเลย


เธอหวนนึกอีกครั้งว่าปรมาจารย์กู่คนนั้นรูปร่างสูงเท่าไหร่ หัวใจพลันไหววูบทันที!


ดูเหมือนความสูงของปรมาจารย์กู่คนนั้นจะเท่ากับความสูงของหลงซือเย่จริงๆ


————————————————————————————-


บทที่ 856 แถมยังเรียนรู้ผสมผสานจนเข้าขั้นปรมาจารย์แล้ว!


ดูเหมือนความสูงของปรมาจารย์กู่คนนั้นจะเท่ากับความสูงของหลงซือเย่จริงๆ แต่รูปร่างดูเหมือนค่อนข้างต่างกัน ปรมาจารย์กู่คนนั้นอ้วนกว่าหลงซีเล็กน้อย


แต่ความอ้วนความผอมของขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตในช่วงนั้น ต่อให้เป็นคนๆ เดียวกันก็ไม่สามารถรักษารูปร่างให้คงเดิมได้ตลอด ถึงอย่างไรก็ยังมีความแตกต่างระหว่างวัยหนุ่มและวัยชรา…


เมื่อเข้าสู่วัยกลางคนมนุษย์จะอวบท้วมได้ง่าย ปรมาจารย์กู่คนนั้นจะใช่นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นไหมนะ?


ดังนั้นเธอจึงถามอีกว่าในปีนั้นที่เธอไปศึกษาวิชากู่ที่เผ่าม้งนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นมีความเคลื่อนไหวอย่างไร


ความจำของหลงซือเย่ดีจนน่าตะลึง เขาบอกเธอว่า ปีนั้นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องป่วยหนัก หลบไปรักษาตัวในสถานที่ลับแห่งหนึ่งตลอดปี ไม่พบปะใคร รวมถึงหลงซีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกชายด้วย…


กู้ซีจิ่วเชี่ยวชาญการวิเคราะห์หาเหตุผล ตามพื้นฐานแล้วสามารถอนุมานต่อยอดออกไปได้ ดังนั้นเธอประมวลอยู่ในสมองพักหนึ่ง พบว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องจะเป็นปรมาจารย์กู่คนนั้น!


หรือว่านักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นไม่เพียงแต่วิจัยเรื่องการโคลนนิ่งเท่านั้น ยังวิจัยวิชากู่ด้วย?! แถมยังเรียนรู้ผสมผสานจนเข้าขั้นปรมาจารย์แล้ว!


คนผู้นี้ทำถึงขนาดนี้เพราะกระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น หรือว่ามีแผนการอื่นอยู่?


เธอนึกถึงหุ่นเชิดชุดม่วงที่คล้ายคลึงกับตี้ฝูอีของอวิ๋นชิงตัวนั้นอีกครั้ง หนก่อนที่หุ่นเชิดชุดม่วงตัวนั้นเดินเที่ยวเทศกาลความเป็นเพื่อนอวิ๋นชิงหลัว แม้แต่เจ้าหอยยักษ์ก็แยกแยะกลิ่นอายเจ้าของเก๊ตัวนี้ไม่ออก หรือว่ามันจะไม่ใช่หุ่นเชิดที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่เป็นร่างโคลนนิ่งของตี้ฝูอี?!


ยิ่งคิดถึงข้อนี้ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าหนังศีรษะค่อนข้างด้านชาแล้ว หันไปถามหลงซือเย่ “คุณว่าหุ่นเชิดชุดม่วงตัวนั้นจะใช่ร่างโคลนนิ่งของตี้ฝูอีหรือเปล่า?”


หลงซือเย่ไม่ทราบว่าความคิดของเธอดำเนินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร จึงตะลึงไปครู่หนึ่ง ส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ไม่น่าใช่มั้ง? ฉันได้ยินอวิ๋นชิงหลัวพูดแว่วๆ ว่าเขาไม่มีองคาพยพทั้งหน้าบนใบหน้าเหมือนปกติ ทั้งหน้ามีแค่ตากับปาก ต้องสวมหน้ากากไว้ถึงจะเหมือนกันมาก…โดยทั่วไปแล้วร่างโคลนจะเหมือนร่างต้นแบบอย่างสมบูรณ์ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีเครื่องหน้า นอกเสียจากว่ามนุษย์โคลนตัวนี้พอสร้างออกมาอวัยวะบนใบหน้าส่วนอื่นๆ ของเขาก็ถูกทำลายทิ้งทันที…เพียงแต่ข้อนี้มีความเป็นไปได้ไม่มาก เธอดูปฏิกิริยาของอวิ๋นชิงหลัวสิ เขาเป็นแค่หุ่นเชิดเท่านั้นแหละ…”


“ถ้างั้นเป็นไปได้ไหมที่เขาจะเป็นร่างผสมระหว่างหุ่นเชิดกับการโคลนนิ่ง? เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่พวกเราไม่รู้จัก?”


หลงซือเย่ชะงักแล้ว หน้าซีดเล็กน้อย เขาศึกษาค้นคว้าเรื่องการโคลนนิ่งอย่างลึกซึ้งยิ่ง แต่ไม่ได้ค้นคว้าเรื่องหุ่นเชิดเลย แม้กระทั่งวิชากู่เขาก็ไม่รู้ แต่สถานการณ์อย่างที่กู้ซีจิ่วพูดมาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…


เขาก็เป็นบุคลฉลาดล้ำเลิศ มีความสามารถในการเชื่อมโยงวิเคราะห์ เมื่อนำเรื่องราวที่เคยประสบมารวมเข้าด้วยกัน ประมวลอยู่ในใจพักหนึ่ง หัวใจก็เริ่มหนาวสะท้านขึ้นมาเช่นกัน!


เขาทราบเรื่องราวมากกว่ากู้ซีจิ่วนัก เขายังทราบเหตุผลที่นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นวิจัยเรื่องการโคลนนิ่งด้วยนั้นเป็นเพราะเขาต้องการเป็นอมตะ สร้างร่างโคลนนิ่งที่เหมือนตัวเองทุกประการแถมยังอ่อนเยาว์อย่างยิ่งออกมาสักร่าง จากนั้นก็ยืมสวมร่างกำเนิดใหม่ เช่นนี้ดวงวิญญาณของเขาก็คงอยู่ได้ตลอดกาล แค่เปลี่ยนร่างบ่อยๆ ก็พอ


แน่นอนว่านี่เป็นแค่ความคิดเพ้อฝันของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นเท่านั้น จวบจนหลงซือเย่ตาย เขาก็ยังไม่ได้ยินว่าชายคนนั้นประสบความสำเร็จเลย


บางทีปรมาจารย์กู่คนนั้นอาจเป็นบิดาผู้คลั่งวิทยาศาสตร์ของเขาก็ได้?!


เขานั่งไม่ติดบ้างแล้ว “ซีจิ่ว เธอยังจำหน้าตาของปรมาจารย์กู่คนนั้นได้ไหม? เธอวาดให้ฉันดูหน่อยสิ!”


ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงวาดออกมา


พอวาดเสร็จก็ส่งให้หลงซือเย่ดู หลงซือเย่ก็ไม่กล้ายืนยันอยู่บ้าง


ชายเคราเฟิ้มที่กู้ซีจิ่ววาดออกมาไม่ค่อยเหมือนนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องในความทรงจำของเขาเลย อย่างไรเสียรูปร่างและการแต่งกายก็เปลี่ยนไปมากเหลือเกิน!


เพียงแต่ทั้งสองก็มีจุดที่คล้ายกันอยู่จริงๆ


————————————————————————————-



บทที่ 857 พวกเราลองดูดีไหม?


เพียงแต่ทั้งสองก็มีจุดที่คล้ายกันอยู่จริงๆ อย่างเช่นการกระจายตัวของหนวดเครา รูปร่างของดวงตาล้วนเหมือนกันมาก


แต่ปลายคางไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่ ปรมาจารย์กู่คางแหลมเรียว แต่คางของของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นกลับค่อนข้างเหลี่ยม


ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้ออุปนัยที่ได้รับอยู่ที่นี่ กู้ซีจิ่วเสนอข้อสมมุติฐานที่บ้าบิ่นข้อหนึ่งออกมา “ฉันคิดว่าปรมาจารย์กู่น่าจะป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้น! คุณอย่าลืมนะ ในยุคปัจจุบันการศัลยกรรมเสริมความงามก้าวหน้าไปมากแล้ว ต่อให้คางเหลี่ยมก็สามารถเหลาให้เรียวได้…”


หลงซือเย่รู้สึกว่าร่างกายหนาวยะเยือกอยู่บ้าง “หรือว่านักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นก็ทะลุมิติมาด้วย?! แถมเขายังค้นคว้าวิชาสิงร่างสำเร็จด้วยใช่ไหม?”


กู้ซีจิ่วพยักหน้า “มีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนว่าเป็นแบบนี้”


หัวคิ้วของหลงซือเย่ขมวดแน่นกว่าเดิม “ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกต้อง ตามที่ตี้ฝูอีบอกไว้ คนๆ นั้นฝึกฝนจนเข้าขั้นทารกก่อกำเนิดถอดร่างแล้ว ต้องรู้ก่อนว่ากว่าจะฝึกฝนถึงขั้นนี้ได้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยห้าสิบปีขึ้นไป แบบนั้นอายุก็ต้องมากกว่าฉัน และฉันสามารถยืนยันได้ว่า ในวันที่ฉันตายคนบ้าคนนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่ดี!”


กู้ซีจิ่วถอนหายใจ “คุณก็เคยบอกนี่ ต่อให้ตายเวลาเดียวกันก็ยังไม่แน่ว่าจะเกิดใหม่ในยุคสมัยเดียวกัน ต่อให้คนๆ นั้นตายทีหลังพวกเรา ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมาเกิดใหม่ก่อนคุณ…”


หลงซือเย่เงียบไปแล้ว


กู้ซีจิ่วก็กำลังใช้ความคิดเหมือนกัน ค่อยๆ ประมวลผล…


เวลาล่วงเลยผ่านไปในความเงียบงันไร้สุ้มเสียงนี้ ไหลผ่านไปเรื่อยๆ


เผลอแปปเดียวก็ผ่านไปสองชั่วยามแล้ว


ท้องฟ้ามืดมนกว่าเดิม ราตรีก็มืดมิดยิ่งขึ้น ทั้งสองคนนอนคว่ำเรียงกันอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าหลงซือเย่เข้าใกล้เธอตั้งแต่เมื่อไหร่ กุมมือของเธอไว้ “ซีจิ่ว ผู้บงการเบื้องหลังคนนั้นอาจยังไม่ตาย มีความเป็นไปได้สูงว่าจะย้อนกลับมาอีก ต่อไปพวกเราต้องระวังให้มากขึ้น ฉันหวังว่าเธอจะสู้เคียงข้างฉัน…”


ฝ่ามือของเขาอบอุ่น มือกู้ซีจิ่วพลันแข็งทื่อเล็กน้อย ชักกลับมา แล้วกล่าวว่า “วางใจเถอะ ฉันก็ไม่อยากให้ไอ้วิปริตนั้นมีชีวิตอยู่เหมือนกัน พวกเราต้องร่วมมือกันแน่นอน ไม่เพียงพวกเราเท่านั้นที่ต้องร่วมมือกัน ยังต้องร่วมมือกับคนอื่นๆ ด้วย…”


หลงซือเย่มองเธอด้วยแววตาเรืองรอง “ฉันไม่สนใจคนอื่น ฉันต้องการแค่ความคิดของเธอเท่านั้น ขอแค่เธอเข้าร่วมกับฉันฉันก็มีความสุขแล้ว”


กู้ซีจิ่วถูกเขามองจนรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลอีกครั้ง ตอนที่เธอคุยเรื่องจริงจังกับเขาเธอปลอดโปร่งมาก แต่ขอเพียงเขาชักนำเข้าสู่ประเด็นความรักเธอก็จะอึดอัดไปทั้งร่าง


เธอไม่อยากให้เขากระอักกระอวน ดังนั้นจึงยิ้มออกมาเช่นกัน “ฉันก็มีความสุขเหมือนกัน”


ล่วงสู่ยามดึก แสงจันทร์ลึกล้ำ


หลงซือเย่มองดูเธอที่นอนคว่ำอยู่ข้างกาย หัวใจพลันรุ่มร้อนขึ้นมา วงแขนโอบรอบเอวเธอ “ซีจิ่ว…” ริมฝีปากร่อนลงบนดวงหน้าเธอ


กู้ซีจิ่วแข็งค้างไปทั้งร่าง!


เธอเอียงหน้าหลบตามสัญชาตญาณ หลบหลีกริมฝีปากเขา เหยียดกายหมายจะลุกขึ้นมา “ฉันรู้สึกว่าควรไปเก็บดอกไม้พวกนั้นได้แล้ว!”


คืนนี้หลงซือเย่กลับคล้ายว่าตัดสินใจอะไรได้แล้ว วงแขนรัดแน่น เธอจึงลุกขึ้นไม่ได้ แถมยังถูกเขาโอบไว้แน่นกว่าเดิม!


“ซีจิ่ว ฉันอยากจูบเธอ…พวกเราลองดูดีไหม?” ลมหายใจเขาร้อนเหมือนไฟ พูดยังไม่ทันขาดคำริมฝีปากของเขาก้ทาบทับลงมาแล้ว!


เดิมทีกู้ซีจิ่วก็คิดจะผลักเขาออกตามสัญชาตญาณ แต่ประโยคสุดท้ายของเขาทำให้หัวใจเธอสั่วไหว!


ตอนที่ตี้ฝูอีบังคับจูบเธอก็เคยเอ่ยถามเธอ ว่าชอบให้หลงซือเย่ปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้หรือไม่ ตอนนั้นเธอจินตนาการไม่ออก เนื่องจากเธอไม่เคยจูบกับหลงซือเย่มาก่อน…


บางที ตอนที่เขาจูบเธอเธออาจจะหาความรู้สึกที่ทำให้จิตใจปั่นป่วนว้าวุ่นเช่นนั้นพบกระมัง?


ไม่แน่อาจจะมีความรู้สึกแบบเดียวกัน…


ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไงกัน?!


ช่วงที่เธอตะลึงตะลานอยู่ ริมฝีปากของหลงซือเย่ก็แตะกับริมฝีปากเธอแล้ว…


————————————————————————————-


 บทที่ 858 ดูเหมือนเธอจะถูกเขาพูดจี้ใจเข้าแล้ว!


เธอได้กลิ่นโอสถที่อยู่ในโพรงปากของเขาอย่างชัดเจน รับรู้ถึงริมฝีปากร้อนๆ ของเขาได้แจ่มชัด ริมฝีปากเขาร้อนกว่าริมฝีปากของเธอมากนัก และแข็งกว่าริมฝีปากเธอเล็กน้อย


ริมฝีปากของบุรุษถึงจะนุ่มอย่างไรก็คงไม่นิ่มไปกว่าริมฝีปากของสตรี…


ร่างกายเธอแข็งทื่อ ฝืนข่มความปรารถนาจะหลบหนีเอาไว้ สัมผัสรสจูบของเขา…


ลมหายใจของเขาร้อนผ่าว เป่ารดใบหน้าเธอทำให้เธอรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง


ไม่ถูกแล้ว! ไม่รู้สึกใจเต้นตุบตับ ไม่รู้สึกมึนงงวิงเวียน ถึงขั้นที่เธอสามารถสัมผัสได้ว่าอันที่จริงริมฝีปากของเขาค่อนข้างแห้งผาก บดเบียดอย่างลุกลี้ลุกลนอยู่บ้าง


ริมฝีปากเสียดสีกันเพียงสองวินาทีเท่านั้น ทว่ากู้ซีจิ่วกลับทนไม่ไหวอีกต่อไป เงยหน้าขึ้นทันที ผลักหลงซือเย่ออกไปในทันใด! จากนั้นก็ใช้วิชาเคลื่อนย้าย ไปปรากฏอยู่ด้านนอกกระโจม!


“ซีจิ่ว…” หลงซือเย่ใจจมดิ่งลงทันที ตามออกมา


กู้ซีจิ่วว้าวุ่นใจ “เจ้าสำนักหลง ขออภัยด้วย!” จากนั้นก็เคลื่อนย้ายจากไป แม้แต่ดอกไม้ก็ไม่เก็บแล้ว


หลงซือเย่ทึ่มทื่อไปแล้ว ยืนอยู่ที่เดิม สายลมพัดต้องบุปผารอบข้างจนเกิดเสียงดังซวบซาบ ฟ้าสางแล้ว และดอกไม้ที่งดงามจนน่าเหลือเชื่อเหล่านี้ก็ร่วงโรยแล้ว…


หรือความรักของเขาจะเป็นเฉกเช่นดอกเหมยบุหลันนี้เบ่งบานได้เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น?


นิ้วมือเขาเย็นเฉียบ ทั้งร่างคล้ายว่าอีกก้าวเดียวก็จะร่วงหล่นสู่หุบเหวลึก ความสิ้นหวังถาโถมสู่หัวใจทำให้เขารูสึกหวาดหวั่น


….


ยามที่กู้ซีจิ่วกลับถึงที่พักตนก็ใกล้รุ่งแล้ว ณ เส้นขอบฟ้าแสงอุษาค่อยๆ ทาบทาขึ้นมา เผยให้เห็นลำแสงกระจ่างสายหนึ่ง


หัวใจเธอเต้นโครมคราม มือเท้าเย็นเฉียบ เดิมทีคิดจะนอนงีบสักหน่อย แต่ในทรวงดั่งมีกระแสธารโหมซัดสาด ทำให้เธอหลับไม่ลง


เธอลุกขึ้นนั่งทันที ใช้น้ำเย็นล้างหน้าสักหน่อย และถือโอกาสทำให้สมองที่คุกรุ่นแจ่มใสขึ้นมา


จากนั้นก็นั่งกอดเขาอยู่บนเตียงแล้วเริ่มใช้ความคิด


นำความคิดในสมองที่คล้ายจะสับสนว้าวุ่นมาจัดระเบียบก่อน จากนั้นเธอก็พบกับความสิ้นหวัง ความรู้สึกที่เธอมีต่อตี้ฝูอีและมีต่อหลงซือเย่แตกต่างกันมากจริงๆ!


เธอพบเขาแล้วใจเต้นแรง ยามที่เขาจูบเธอหัวใจเธอว้าวุ่นยิ่งนัก เลือดลมพลุ่งพล่าน สมองว่างเปล่าขาวโพลนได้ง่ายๆ…


อาการเหล่านี้คล้ายบทบรรยายยามชายหญิงอยู่ด้วยกันที่นักเขียนนิยายรักหวานแหววเขียนเอาไว้ เมื่อก่อนเธอคิดอยู่เสมอว่าอาการเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักเขียนพวกนั้นปั้นแต่งขึ้น เป็นเรื่องหลอกลวงคน


แต่เธอกลับพบว่าเป็นความจริง!


แต่ยามที่อยู่กับหลงซือเย่เอมีสติมาก ชอบวิเคราะห์เปรียบเทียบยามที่อยู่กับเขา ดูเหมือนตอนที่อยู่ต่อหน้าเขาเธอจะไม่เคยแง่งอนฉอเลาะเลย ส่วนมากจะเห็นว่าเขาเป็นคู่หูที่สามารถเชื่อใจได้สามารถพึ่งพาได้สามารถสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันได้…


ตอนที่หลงซือเย่จูบเธอ เธอยังมีแก่ใจมารับรู้ถึงความร้อนจากริมฝีปากผู้อื่น ความอ่อนความแข็งของริมฝีปาก เถึงขั้นที่ว่าเธอไม่รู้สึกใจเต้นแรงเลยด้วยซ้ำ!


‘ซีจิ่ว เจ้าเข้าใจความรู้สึกที่มีต่อหลงซือเย่ผิดไปหรือเปล่า? เจ้าแน่ใจหรือว่ามิได้ชอบเขาแบบพี่ชาย?‘ นี่คือคำถามที่ตี้ฝูอีถามเธอในตอนนั้น ยามนั้นเธอไม่กล้ายืนยันจริงๆ และรู้สึกพาลโกรธจริงๆ…


ยามนี้กลับดูคล้ายวาจาเตือนสติ ดูเหมือนเธอจะถูกเขาพูดจี้ใจเข้าแล้ว!


หรือว่าตนจะชอบตี้ฝูอีเข้าจริงๆ แล้ว


เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา หัวใจเธอก็ตีบตันปานจมน้ำ!


ความรู้สึกนั้นเสมือนตนเดินอยู่ในสวนดอกไม้ที่มีทุ่งหญ้าเหยียดยาววิหคโผบิน จู่ๆ กลับพบว่าใต้ฝาเท้าคือบึงโคลนที่ดูดกลืนมนุษย์ได้ หัวใจที่สงบเยือกเย็นมาลอดพลันร้อนรุ่มขึ้นมาอีกครั้ง!


คนผู้นี้ทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยมั่นคง ยามอบอุ่นก็อ่อนโยนปานสายน้ำ แต่ยามเกรี้ยวกราดขึ้นมาก็ทำให้เธอตกใจยิ่งนัก!


เธอคิดว่ามาตลอดว่าตัวเองชอบปากอ่าวที่เงียบสงบ…


————————————————————————————-




บทที่ 859 พวกเรายังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม!


เธอคิดว่ามาตลอดว่าตัวเองชอบปากอ่าวที่เงียบสงบ ผลสุดท้ายกลับพบว่าถูกมหาสมุทรที่ก่อคลื่นยักษ์ขึ้นเสมอดึงดูดความสนใจเข้าเสียแล้ว เธอห้ามใจไม่อยู่ต้องการเข้าใกล้มหาสมุทร แต่อีกใจก็รู้สึกว่าทักษะว่ายของตนไม่ดีเท่าไหร่ถ้ากระโดดลงไปจริงๆ คงถูกคลื่นสมุทรฉีกกระชากแน่!


คนผู้นี้จะชอบใครกคนเป็นจริงๆ น่ะหรือ?


ถ้อยคำที่คนผู้นี้เอ่ยจะเชื่อถือได้สักแค่ไหน?


จรงอยุ่ว่าเขาเคยดีต่อเธอ แต่จะดีต่อเธอด้วยใจจริงหรือเปล่า? หรือว่าสนใจใคร่หยอกเย้าแม่นางน้อยเพียงชั่วขณะหนึ่ง?


เงาร่างของตี้ฝูอีแวบขึ้นมาเบื้องหน้าทันที แน่นอนว่าท่าทางในหลายวันมานี้ของเขาก้แวบขึ้นมาด้วย ดูเหมือนเขาจะวางมือจากเธอแล้ว วางมืออย่างสง่าผ่าเผยยิ่งนัก…


แล้วเธอล่ะรักเขาจริงไหม?


บางทีอาจเพียงเพราะเขาลึกลับเกินไปเก่งกล้าเกินและพัวพันผู้อื่นมากเกินไป เลยก่อเป็นความหลงใหลเพียงชั่วคราว ไม่แน่ว่าจะใช่ความรัก…


เธอทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างห่อเหี่ยวกลิ้งไปกลิ้งมา พบว่าจิตใจยังคงว้าวุ่นอยู่


วุ่นวายกับตัวเองอยู่บนเตียงพักหนึ่ง ก็ลุกจากเตียงแล้วใช้น้ำเย็นลูบหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็มองออกไปด้านนอก ฟ้าด้านนอกเผยให้เห็นแถบเมฆขาวรำไรแล้ว ฟ้าสางแล้ว!


เธออยู่หน้ากระจกนวดคลึงรอยคล้ำใต้ตาที่เกิดจากการอดนอนทั้งคืน มองดวงหน้าน้อยๆ ที่อ่อนเยาว์ในบานกระจก จากที่เงียบอยู่จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา


กู้ซีจิ่ว ตอนนี้เธอเพิ่งอายุเท่าไหร่กัน? นี่จะเริ่มพัวพันกับเรื่องรักใคร่ชายหญิงเหล่านี้แล้วเหรอ!


ตอนนี้หน้าที่ของเธอคือศึกษาเล่าเรียน กลายเป็นผู้แข็งแกร่ง ไม่ใช่อินุงตุงนังไปอินุงตุงนังมาอยู่ที่นี่ นี่ไม่เหมือนตัวเธอเลยสักนิด!


เธอสงบจิตสงบใจ นั่งสมาธิครู่หนึ่ง ทำให้สีหน้าของตนดูดีขึ้นเสียหน่อย จากนั้นก็ล้างหน้าบ้วนปากอีกครั้ง เนื่องจากต้องการปกปิดรอยคล้ำใต้ตา เธอจึงประทินโฉมเล็กน้อย เดิมทีเธอก็เป็นยอดฝีมือด้านการแต่งหน้าอยู่แล้ว เมื่อแต่งหน้าเสร็จ เมื่อส่องกระจกดู ก็กลายเป็นสาวน้อยที่งดงามมีชีวิตชีวาคนหนึ่ง!


เธอเก็บของให้เรียบร้อย เมื่อก้าวออกประตูมากลับพบหลงซือเย่ยืนอยู่นอกประตู ฝีเธอชะงักทันที!


พอผ่านฉากจูบอันน่าอึดอัดเมื่อคืนไป เมื่อพบหน้าเขาอีกครั้งเธอก็ขลาดๆ อยู่บ้าง…


“ซีจิ่ว ตื่นแล้วเหรอ? ไปเถอะ พวกเราไปกินข้าวด้วยกัน” หลงซือเย่ไม่ปริปากถึงเรื่องเมื่อคืนเลย ก้าวเข้ามาด้วยรอยยิ้ม


กู้ซีจิ่วเป็นคนที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา เธอยังไม่กระจ่างในความรู้สึกที่มีต่อหลงซือเย่นัก พอกระจ่างก้รู้สึกผิดอย่างยิ่ง เธอรู้ว่าธอผิดต่อเขาแต่ในเมื่อมั่นใจแล้วว่าความรู้สึกที่มีต่อเขาไม่ใช่อย่างที่ตนเคยจิตนการไว้ ก็ยิ่งไม่คิดจะให้เขาถลำลึกลงมา พัวพันกันอย่างไม่ชัดเจนตลอดไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้น ดังนั้นเธอจึงสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง เอ่ยขึ้น “เจ้าสำนักหลง ข้ากลับมาทบทวนดูแล้ว ข้ารู้สึกว่า…”


เธอพูดยังไม่จบก็ถูกหลงซือเย่เอ่ยขัด “ซีจิ่ว เธอไม่ต้องพูดอะไรหรอก ฉันเข้าใจดี เป็นฉันวู่วามเกินไป เธออย่าเก็บมาใส่ใจเลย พวกรายังเป็นเพื่อนกันเหมือนเมื่อก่อนใช่ไหม?”


เป็นเพื่อนเหรอ?


หัวใจกู้ซีจิ่วพลันอุ่นวาบ! เขาช่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นยิ่งนักจริงๆ! ในใจเธอรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม แต่ก็โล่งอกด้วยเช่นกัน


หลงซือเย่คนนี้คืเพื่อนที่เธอไม่อยากเสียไป อันที่จริงเธอยากเป็นคู่หูที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขามาก…


เธอซาบซึ้งอยู่ในใจ พยักหน้าอย่างเต็มแรง “ได้! พวกเรายังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม! ครูฝึกหลง ขอบคุณนะ!”


ขอบคุณที่คุณยกโทษให้ ขอบคุณทุกอย่างที่คุณมอบให้ฉัน ต่อให้ฉันตอบรับความรักของคุณไม่ได้ แต่บุกน้ำลุยไฟเพื่อคุณได้…


หลงซือเย่ตบไหล่เธอเบาๆ ยิ้มบางๆ พลางเอ่ยว่า “จะเกรงอกเกรงใจกับฉันไปทำไม? อันที่จริงตอนนี้เธอยังเด็กอยู่ ไม่ต้องขบคิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ พวกนี้หรอก ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือตั้งใจเรียน ตั้งใจฝึกฝน อย่าให้เสียชื่อศิษย์ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์…”


“แน่นอน!” กู้ซีจิ่วรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ยักคิ้วแย้มยิ้ม “ฉันจะยอดเยี่ยมที่สุดเลย!”


————————————————————————————-


บทที่ 860 เรื่องที่ท่านนึกไม่ถึงยังอีกมากนัก


หลงซือเย่เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “เธอยอดเยี่ยมที่สุดตลอดอยู่แล้ว ฉันรู้ดีมานานมากๆ แล้ว…เอาล่ะ พวกเราไปกินข้าวกัน!”


กู้ซีจิ่วยังคงฉงนอยู่บ้าง “ใช่แล้ว สำรับอาหารของอาจารย์อย่างพวกคุณไม่ใช่ว่ามีเด็กรับใช้นำไปส่งที่เรือนพวกคุณหรอกเหรอ? ทำไมยังต้องไปกินที่โรงอาหารล่ะ?”


หลงซือเย่หัวเราะเบาๆ “ฉันจะให้เธอเลี้ยงน่ะสิ!”


“หือ?”


หลงซือเย่ยื่นมือมา ในมือมีดอกเหมยบุหลันหลายดอกส่งกลิ่นหอมจางๆ “ฉันเก็บดอกไม้มาให้เธอแล้ว เก็บได้แปดร้อยกว่าดอก เพียงพอสำหรับตัวยาของเธอ หรือยังไม่คู่ควรให้เธอเชิญฉันไปกินข้าวอีก?”


ดวงตากู้ซีจิ่วเปล่งประกายทันที “ได้เลย! ขอเชิญคุณ!”


….


อาหารเช้าในโรงอาหารของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ยังคงพรั่งพร้อมยิ่งนัก กู้ซีจิ่วทำตัวเป็นเจ้าถิ่นและซื่อตรงเปิดเผยยิ่งนัก สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะใหญ่ ล้วนเป็นของโปรดของหลงซือเย่ทั้งสิ้น


หลงซือเย่กวาดตามองอาหารบนโต๊ะแวบหนึ่ง ยินดียิ่งนัก “ซีจิ่ว ยังคงเป็นเธอที่รู้รสนิยมฉัน”


กู้ซีจิ่วดอไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “นี่ยังต้องพูดอีกเหรอ? ถึงยังไงก็รู้จักกันมานานหลายปี…”


เพิ่งจะกล่าวประโยคนนี้จบ จู่ๆ ภายในโรงอาหารก็เงียบลง มีคนกะซิบเบาๆ ว่า “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมา!”


“วันนี้มันอะไรกัน? ไม่เพียงแต่เจ้าสำนักหลงเท่านั้นที่มากินข้าวที่โรงอาหาร แม้แต่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็มาด้วยเหมือนกัน!”


ขณะที่พูดคุยกัน เหล่าศิษย์ในที่อยู่ในโรงอาหารก็พากันคุกเข่าลงเสียงดังพึ่บพั่บ เทียบได้กับตอนที่ต้อนรับการมาถึงของหลงซือเย่…


กู้ซีจิ่วใจเต้นแรงนิดๆ หันไปมองประตูโรงอาหารเช่นกัน มองเห็นตี้ฝูอีดินเข้ามาจริงๆ ที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาคือมู่อวิ๋น


กู้ซีจิ่วค่อนข้างปวดศีรษะจริงๆ มิน่าล่ะพวกคนใหญ่คนโตถึงไม่อยากมาโรงอาหาร พอมาก็ทำให้ฝูงชนแตกตื่นฮือฮา ซ้ำยังทำให้ผู้อื่นต้องคุกเข่าทั้งขามาขาไปด้วย


ตี้ฝูอีกวาดตามองภายในโรงอาหารแวบหนึ่ง หยุดอยู่ที่โต๊ะนี้ของกู้ซีจิ่ว เอ่ยทักทายหลงซือเย่ด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสำนักหลงก็อยู่ด้วยหรือนี่”


อันที่จริงหลงซือเย่ก็ปวดประสาทเช่นกัน เขารู้สึกว่าตี้ฝูอีผู้นี้ช่างเป็นวิญญาณร้ายที่ตามราวีโดยแท้!


ดังนั้นเขาจึงหนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม[1] “นึกไม่ถึงว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็จะมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเหล่าศิษย์เช่นกัน”


ตี้ฝูอียกยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง “เรื่องที่ท่านนึกไม่ถึงยังอีกมากนัก…”


ยามที่กู้ซีจิ่วเห็นเขาเข้ามา หัวใจยังคงบีบรัดอยู่เล็กน้อย กระอักกระอวนอย่างที่พบเห็นได้ยาก เพียงแต่เธอแสร้งำเป้นสงบนิ่งอยู่ตลอด ดังนั้นเธอจึงทำความเคารพและเอ่ยทักทายเขาอย่างสุขุม


ตี้ฝูอีก็พยักหน้าให้เธอนิดๆ แลไม่ได้มองเธอเพิ่มอีกสักแวบเลย ไม่แตกต่างกับที่ปฏิบัติต่อลูกศิษย์ทั่วไปเลย


ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงนั่งลงด้วยตัวเองอย่างรู้ความ ปล่อยให้เขาทักทายกับหลงซือเย่อยู่ตรงนั้น เธอไม่สนใจอีก


“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ตรงนี้เจ้าค่ะ ตรงนี้” เล่อจื่อซิงที่อยู่ไม่ไกลยืนขึ้นแล้วร้องทักทายตี้ฝูอี


ตี้ฝูอีหันเหฝีเท้าไป เดินไปที่โต๊ะนั้นของเล่อจื่อซิ่ง ดูเหมือนเล่อจื่อซิ่งได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว สั่งอาหารไว้โต๊ะใหญ่ พรั่งพร้อมด้วยอาหารเลิศรสหลากชนิด


“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านพอใจอาหารพวกนี้ไหมเจ้าคะ?” เล่อจื่อซิ่งสีหน้าปรารถนาคำชมเชย


“ไม่เลว! ล้วนเป็นของโปรดข้า ลำบากเจ้าแล้ว นั่งลงแล้วกินด้วยกันเถิด” ตี้ฝูอีหยิบตะเกียบงาช้างส่วนตัวออกมา เริ่มทานอาหารร่วมกับเล่อจื่อซิ่ง


กู้ซีจิ่วก็นั่งลงหน้าโต๊ะของตัวเอง จู่ๆ เธอก็รู้สึกค่อนข้างหมดความอยากในอาหารที่เรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ


หลงซืเย่กลับกินอย่างมีความสุขยิ่งนัก เอ่ยชมเชยความเอาใจใส่ของกู้ซีจิ่วเป็นระยะ อาหารทั้งหมดล้วนถูกปากเขา


กู้ซีจิ่วก็เออออห่อหมกไปด้วย ทันใดนั้นหลงซือเย่กถามออกมาประโยคหนึ่ง “ใช่แล้ว ซีจิ่ว ทำไมเธอไม่สั่งเนื้อผัดสับปะรดมาด้วยล่ะ? ฉันจำได้ว่าเธอชอบกินอันนั้นนี่”


กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “คุณแพ้สับปะรดไม่ใช่เหรอ? ถ้ากับข้าวบนโต๊ะมีรสนี้ด้วยร่างกายก็จะเกิดผื่นแดง…”


————————————————————————————-


[1]  หนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม หมายถึง เสแสร้งแกล้งยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่มองออกว่าไม่จริงใจและไม่ปรารถนาดี




บทที่ 861 จังหวะไม่ตรงกันอยู่เสมอ


หลงซือเย่ยิ้มนิดๆ “ตอนนี้ฉันไม่แพ้เจ้านี่แล้ว ถึงเธอจะสั่งมาก็ไม่เป็นไร”


“ได้!” กู้ซีจิ่วหันหลังไปหมายจะไปสั่งอาหาร


หลงซือเย่กลับยืนขึ้น “ฉันไปเอง จะให้เธอวิ่งรอกได้ยังไงกัน?” เขาไปที่ช่องสั่งอาหาร รออยู่ครู่หนึ่ง ก็ถือจานสองใบเดินกลับมา จานหนึ่งคือปลาหางกระรอก[1] อีกจานหนึ่งคือเนื้อแกะผัดกระเทียม


สองอย่างนี้เป็นของโปรดกู้ซีจิ่ว เดิมทีโรงอาหารของที่นี่ไม่มีสิ่งนี้ วิธีทำอาหารหลายหย่างนี้เป็นกู้ซีจิ่วถ่ายทอดให้พ่อครัวใหญ่ของที่นี่


อาหารควันกรุ่นสองจานนี้วางอยู่เบื้องหน้ากู้ซีจิ่ว ในที่สุดก็ดึงดูดความอยากอาหารของกู้ซีจิ่วได้บ้างแล้ว เพียงแต่เธอยังค่อนข้างกังวลอยู่ “ฉันจำได้ว่าคุณไม่ชอบพวกผัดเปรี้ยวหวาน และเกลียดอาหารต่างๆ ที่มีกระเทียม…”


เธอโปรดปรานอาหารพวกนี้เป็นการเฉพาะ แต่ชาติก่อนตอนอยู่ต่อหน้าหลงซีจะไม่กินเด็ดขาด เนื่องจากหลงซือเย่ผู้นี้ค่อนข้างเลือกกิน อาหารที่เกลียดก็มีมากมาย


หลงซือเย่ยิ้ม เลิกคิ้วถาม “ถ้างั้นฉันเกลียดอะไรบ้าง? เธอจำได้ไหม?”


คำถามข้อนี้กู้ซีจิ่วตอบคล่องปานนับทรัพย์สินในบ้านตน “ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ? คุณไม่กินกระเทียม ไม่กินผักชี ไม่กินขึ้นฉ่าย ไม่กินต้นหอม มะเขือยาวชอบกินแค่แบบผัดเต้าเจี้ยว…” เธอร่ายออกมาชุดใหญ่


สายตาที่หลงซือเย่มองเธอล้ำลึกเล็กน้อย ถอนหายใจเบาๆ “ในอดีตของที่ฉันเกลียดมากมายขนาดนี้เชียว ฉันกลับไม่รู้เลยว่าตัวเองเคยจุกจิกถึงเพียงนี้ เธอจำได้ชัดเจนขนาดนี้พบเห็นได้ยากนัก”


กู้ซีจิ่วแย้มยิ้ม ไม่พูดอะไร


เธอจำเรื่องพวกนี้ได้เป็นเรื่องปกติมาก อย่างไรเสียชาติก่อนเธอก็ไปกินข้าวกับเขาอยู่บ่อยๆ เพื่อแผนไล่ตามคนของตน เธอจึงศึกษารสชาติที่เขาโปรดปรานจนทะลุปรุโปร่งยิ่ง ประกอบกับเธอมีความจำเป็นเลิศ ด้วยเหตุนี้เธอเลยร่ายเรื่องเหล่านี้ออกมาได้โดยไม่ต้องทบทวนเลย


อันที่จรงหลงซือเย่ค่อนข้างละอายใจ ชาติก่อนเธอใส่ใจรสชาติที่เขาชอบเสมอ เก็บงำความชอบของตัวเองไว้ดียิ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยสนใจนิสัยการกินของเธอ จำได้ไม่กี่อย่างเท่านั้น…


แววตาเขาวูบไหวเล็กน้อย เขาทราบว่าตนไม่ควรไล่ตอนเธอจนเกินไป เช่นนั้นเธอจะถอยหนีลูกเดียว ทั้งสองคนแม้แต่เพื่อนก็เป็นไม่ได้ แบบนั้นเขาจะไม่เหลือความหวังอีกเลย!


เขารู้จักนิสัยใจคอเธอดี เข้าใจลักษณะนิสัยของเธอ


ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถอยเพื่อรุก ยอมถอยกลับมาอยู่ในฐานะเพื่อนก่อน ไม่ก่อให้เธอเกิดแรงกดดันในใจ ใช้ฐานะเพื่อนดูแลอยู่ข้างกายเธอ…


เธอจะเป็นของเขาในไม่ช้าก็เร็ว!


อันที่จริงกู้ซีจิ่วค่อนข้างใจลอยอยู่บ้าง หูเธอดีมาก ได้ยินความเคลื่อนไหวจากโต๊ะนั้นของตี้ฝูอีบ้างเป็นครั้งคราว


ได้ยินเล่อจื่อซิ่งแนะนำอาหารให้เขาอย่างกระตือรือร้น ได้ยินนางขอคำชี้แนะเรื่องปัญหาในระหว่างการฝึกฝนจากเขา และได้ยินคำตอบของเขา


เขาผู้นี้ความจริงแล้วนิสัยไม่ค่อยดีนัก ปกติจะคร้านอธิบายความรู้แก่ลูกศิษย์ บางครั้งมีศิษย์ไปถามคำถามเขาหลังเลิกรียน ส่วนใหญ่เขาจะตอบกลับเพียงโยคเดียวว่า ‘ไปศึกษาเอาเอง’ จากนั้นก็เดินหนีผู้อื่นไปทันที


แต่เห็นได้ชัดว่าเขาใส่ใจเล่อจื่อซิ่งคนนี้เป็นพิเศษ เนื้อหาที่นางถามออกมา เขาแทบจะพูดออกมาอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น แม้กระทั่งถ้อยคำที่ว่า ‘นอนไม่คุยกินไม่พูด’ ก็อย่าได้พูดถึงอีกเลย


กู้ซีจิ่วใช้ตะเกียบคีบอาหารในจานมา มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้ม


เธอรู้สึกว่าค่อนข้างน่าขัน ดูเหมือนจังหวะของเธอกับตี้ฝูอีจะไม่ตรงกันอยู่เสมอ


ต่อให้มีความรู้สึกแล้วอย่างไรเล่า? เธอกับเขาอาจถูกลิขิตให้ไร้วาสนาต่อกัน…


ช่างเถอะ ตอนนี้เธอยังเด็กอยู่นะ! ยังเร็วเกินไปที่จะมาใคร่ครวญเรื่องพวกนี้!


ตอนนี้เธอควรให้ความสำคัญกับการเรียนของตัวเอง ความก้าวหน้าของตัวเองก่อน ไม่ใช่มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องรกๆ ใคร่ๆ พวกนี้…


….


คาบแรกของวันนี้คือวิชาของตี้ฝูอี


ครั้งนี้กู้ซีจิ่วไม่โดดเรียนแล้ว


————————————————————————————-


 บทที่ 862 นี่พุ่งเป้ามาที่เธอหรือ?


ไม่ว่าความรู้สึกที่เธอมีต่อตี้ฝูอีจะเป็นความรู้สึกอะไร เธอก็ไม่เคยเห็นการเรียนของตนเป็นเรื่องขำๆ


วิชาเหินหาวที่ตี้ฝูอีสอนเหมาะสมกับเธอมากจริง ถึงอย่างไรเธอก็ฝึกฝนพลังวิญญาณธาตุลม การต่อสู้ในยามปกติก็อาศัยความเร็วในการชิงชัย และวิชาเหินหาวนี้ก็มีส่วนช่วยในการพัฒนาความเร็วเป็นอันมาก


เธอขาดเรียนไปหนึ่งคาบ แถมเนื้อหาที่บรรยายในคาบนั้นยังสำคัญมากด้วย ถึงแม้จะอ่านบันทึกที่หลานไว่หูคัดลอกมาให้เธอแล้ว แต่ก็ไม่กระจ่างเท่าฟังในชั้นเรียน


อย่างไรเสียจิ้งจอกน้อยก็ใชมือดีด้านการจดบันทึก เนื้อหาทั้งหมดที่จดมาไม่มากมายหลายจุดที่ทให้กู้ซีจิ่วอ่านแล้วงงงวย


วันนี้เธอจึงมาเรียน เตรียมจะพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ตรวจสอบส่วนที่ขาดหาย ชดเชยเนื้อหาที่ขาดไปในคาบที่แล้ว


แผนการของเธอยอดเยี่ยมมาก แต่แผนการนี้กลับไม่เป็นท่า คาบนี้เป็นคาบปฏิบัติจริง! เนื้อหาที่ปฏิบัติก็เป็นเนื้อหาที่เธอขาดเรียนในคาบที่แล้ว


….


หน้าผาแห่งหนึ่งสูงประมาณห้าสิบจั้ง พื้นราบบนหน้าผาเกลี้ยงเกลาเป็นมันวับ


บนพื้นวางโต๊ะยาวตัวหนึ่งไว้ บางโต๊ะวางผลไม้สีแดงฉ่ำวาวขนาดแตกต่างกันไว้จำนวนหนึ่ง ผลไม้เหล่านี้มียี่สิบแปดลูกพอดีไม่ขาดไม่เกิน


และชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่งก็มีศิษย์ยี่สิบแปดคนพอดีเช่นกัน


ตี้ฝูอีนั่งอยู่หลังโต๊ะยาว กวาดตามองเหล่าศิษย์ที่ยนเรียงรายอยู่เบืองหน้าดั่งต้นไป๋หยางน้อย เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “นีคือผลชาดเทวะ สรรพคุณของมันข้าไม่ต้องพูดพวกเจ้าก็คงรู้ดี วันนี้จะทดสอบความชำนาญที่พวกเจ้ามีต่อวิชาเหินหาวสักหน่อย พวกเจ้าจงกระโดดลงไปใต้ผาให้ข้าซะ จากนั้นคอยใช้วิชาเหินหาวเหินขึ้นมา ผลชาดเทวะเหล่านี้ขนาดไม่เท่ากัน สรรพคุณย่อมแตกต่างเช่นกัน ศิษย์ที่ขึ้นมาถึงก่อนสามารถเลือกได้ตามสบาย ถึงก่อนย่อมได้เลอผลที่ใหญ่ที่สุด ขึ้นมาคนสุดท้ายย่อมเหลือเพียงผลที่เล็กที่สุด หากมีคนที่ใช้วิชาเหินหาวขึ้นมาไม่ได้เลย เช่นนั้นผลไม้นี้ก็จะไม่มส่วนของเขา สามารถนำผลไม้ของเขามาเป็นรางวัลให้ผู้ที่มาถึงคนแรกได้ อนุมานเช่นนี้ ทุกคนฟังทราบหรือไม่?”


“รับทราบ!” สายตาเหล่าศิษย์เปล่งประกาย ตอบอย่างพร้อมเพรียง น้ำเสียงกึกก้องมีพลัง


ผลชาดเทวะ เป็นผลไม้ล้ำค่าที่หายากมากชนิดหนึ่ง มีส่วนช่วยในการยกระดับพลังวิญญาณอย่างมาก ผลชาติเทวะธรรมดาราคาผลละหนึ่งร้อยหินวิญญาณ ส่วนผลชาดเทวะชั้นเลิศราคาอย่างน้อยห้าร้อยหินวิญญาณขึ้นไป!


สำหรับลูกศิษย์เหล่านี้แล้ว นี่คือรางวัลที่มีค่ายิ่ง!


ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายช่างสมเป็นขาใหญ่ของแผ่นดินยิ่งนัก ใจกว้างถึงเพียงนี้!


ด้วยเหตุนี้สายของศิษย์แทบทั้งหมดล้วนลุกวาวแล้ว ผู้คนพากันสะบัดไม้สะบัดมือ เตรียมแย่งชิงที่หนึ่งกันอย่างฮึกเหิม


ทว่าหัวใจกู้ซีจิ่วกลับจมดิ่งลงไปแล้ว!


ภาคปฏิบัติของวิชาเหินหาวนี้ต้องการพลังวิญญาณมหาศาลนัก บรรทัดฐานคือจะต้องบรรลุพลังวิญญาณขั้นหกตอนกลาง และตอนนี้เธอเพิ่งจะประมาณขั้นห้ากับอีกสองส่วน


เธอเรีนวิชานี้เดิมทีก็ค่อนข้างกินแรงอยู่แล้ว แผนการในใจคือเรียนรู้ทักษะไว้ก่อน รอจนพลังวิญญาณบรรลุขั้นหกตอนกลางค่อยปฏิบัติจริงก็ยังไม่สาย กลับนึกไม่ถึงเลยว่า…


ชั้นเมฆาม่วงห้องหนึ่งในเมื่อเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ ศิษย์ในชั้นเรียนย่อมไม่ธรรมดายิ่ง นอกจากตัวประหลาดอย่างกู้ซีจิ่ว คนอื่นล้วนบรรลุขั้นหกตอนกลางขึ้นไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือบางคนบรรลุขั้นแปดแล้ว…


การใช้วิชาเหินหาวนี้สำหรับศิษย์คนอื่นแล้วอาจไม่หนักหนาเกินไป แต่สำหรับกู้ซีจิ่วแล้วนับว่ายากประหนึ่งให้ปีนขึ้นสวรรค์!


ประกอบกับเธอขาดเรียนคาบก่อนที่เป็นบทเรียนสำคัญ ดังนั้นการปฏิบัติครั้งนี้เธอจึงไม่เข้าใจเลยสักนิด


นี่เขาพุ่งเป้ามาที่เธอหรือ?


เขาไม่สนใจเธออีกต่อไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม? ด้วยเหตุนี้จึงคิดไล่เธอไปแบบอ้อมๆสินะ?


กู้ซีจิ่วสูดลมหายใจเบาๆ ความจริงแล้วเธอไม่ได้สนใจผลไม้นั้นสักเท่าไหร่


————————————————————————————-


[1]  ปลาหางกระรอก เป็นการนำปลาทั้งตัวมาบั้งเป็นริ้วๆ แล้วนำไปทอดให้บานฟู ดูคล้ายหางกระรอก จากนั้นก็ราดด้วยน้ำ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)