หมอดูยอดอัจฉริยะ 854-857
ตอนที่ 854 เรื่องราวทั้งหมด
ไม่เพียงมีแต่โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นเท่านั้นที่พัฒนา แม้แต่โจวเซี่ยวเทียนก็ยังได้รับประโยชน์จากที่แห่งนี้ กำลังวิชาของเขาพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้เขากลายเป็นบุคคลระดับปรมาจารย์ที่มีพลังสับเปลี่ยนแล้ว
แต่เมื่อสามวันก่อน ทิศทางลมบนทะเลเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ทำให้ปราณวิเศษเหล่านั้นหายหมดในเวลาเพียงไม่กี่นาที ถ้าปราณวิเศษคงอยู่อีกสักครึ่งปีหรือหนึ่งปี ไม่แน่ โจวเซี่ยวเทียนอาจพัฒนาไปถึงระดับเซียนเทียนก็เป็นได้
“แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่มีปราณวิเศษเลยล่ะ? ”
หลังจากที่ฟังศิษย์พี่ใหญ่เล่าจบ เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว มหาสมุทรเป็นสถานที่ๆ ได้รับมลพิษน้อยที่สุดในโลก ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นสถานที่ๆ มีปราณวิเศษอุดมสมบูรณ์มาก แม้แต่ตอนนี้ที่เขานอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย เขาก็สัมผัสไม่ได้แล้วเลยว่าที่นี่มีปราณวิเศษ
“ศิษย์น้องเล็ก อย่าว่าแต่ที่นี่เลย มหาสมุทรอินเดียทั้งผืนน้ำ ก็ไม่มีปราณวิเศษแล้ว…”
โก่วซินเจียยิ้มอย่างขมขื่นกับสิ่งที่ได้ยิน ระดับพลังของเขากับจั่วเจียจวิ้นเพิ่งจะเปลี่ยน พวกเขาจะต้องใช้ปราณวิเศษจำนวนมากเพื่อให้พลังวิชามั่นคง ดังนั้นหลังจากที่ปราณวิเศษในน่านน้ำหายไป เขาลงทุนนั่งเครื่องบินลอยน้ำออกหาสถานที่ๆ ที่มีปราณวิเศษมากพอ
แต่สิ่งที่ทำให้โก่วซินเจียตกตะลึงก็คือ พวกเขาบินอยู่บนน่านน้ำพันกว่ากิโลในวันเดียว กลับพบว่าตลอดทาง ไม่มีตรงไหนมีปราณวิเศษเลย น่านน้ำที่เคยมีชีวิตชีวา มันเงียบสงบเหมือนน่านน้ำแห่งความตาย บางทีก็มีซากศพของปลาวาฬลอยอยู่บนผิวน้ำ
เดิมทีอยากจะค้นหาต่อไป แต่พอได้ข่าวว่าหาเยี่ยเทียนเจอแล้ว ทุกคนก็รีบกลับไป พวกเขาสันนิษฐานว่าปราณวิเศษในมหาสมุทรน่าจะหายไปหมดแล้ว
“เป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน? ” เยี่ยเทียนปิดตาลงและนึกถึงเรื่องที่เขตแดนผสานกัน จากนั้นก็โพร่งออกมาว่า
“ผมเข้าใจแล้ว! ”
“ศิษย์น้องเล็ก เธอเข้าใจอะไร? เธอรู้ว่าปราณวิเศษหายไปได้ยังไงเหรอ? ”
โก่วซินเจียงงกับคำพูดครึ่งๆกลางๆของเยี่ยเทียน
“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมจะเล่าให้ฟังว่าช่วงที่ผมหายไปมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง! ”
เยี่ยเทียนยิ้มอย่างขมขื่นและเล่าเรื่องตอนที่เครื่องบินระเบิดแล้วบินอยู่แถวเขตฟ้าผ่า จนถึงเรื่องที่ฟ้าผ่าจนท้องฟ้ามีรอยแยกกลางอากาศอย่างละเอียดยิบ ที่เล่าเพราะคนตรงหน้าเหล่านี้เป็นคนที่เขาไว้ใจได้อย่างแน่นอน และที่สำคัญพวกเขาทุกคนมีพลังวิชา เยี่ยเทียนจึงเชื่อว่าพวกเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ตนเล่า
“อะไรนะ จางซันเฟิง? สิงห์ขนทอง? สวรรค์ นี่เธอไปถึงที่ไหนเนี่ย? เป็นโลกที่ถูกบรรยายไว้ในคัมภีร์ ซานไห่จิง อย่างนั้นเหรอ? ”
ถึงแม้ว่าสิ่งที่สามคนนี้รับมือไหวมัน มากกว่าคนธรรมดาเยอะ แต่หลังจากที่ฟังเยี่ยเทียนเล่าเสร็จ พวกเขาอึ้งจนพูดไม่ออก และไม่ว่าพวกเขาจะมีจินตนาการสูงแค่ไหน ก็คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะหลงเข้าไปในโลกแห่งตำนานได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโก่วซินเจียที่มีความรู้รอบด้าน เขาคุ้นเคยกับสัตว์โบราณที่เยี่ยเทียนพูดถึงเป็นอย่างดี แล้วสัตว์โบราณแต่ละตัวก็ผุดขึ้นในความคิดทีละตัวตามคำบอกเล่าของเยี่ยเทียน
“เยี่ยเทียน บนโลกนี้มีคนที่ฝึกพลังจนบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคจริงเหรอ? ”
สิ่งที่จั่วเจียจวิ้นสนใจคือการแบ่งระดับพลังวิชา ตอนนี้เขาเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว เขาสามารถลอยตัวโดยใช้ปราณแท้ แล้วการที่เขามีพลังแบบนี้ มันทำให้เขารู้สึกว่าพลังวิชาของตัวเองถึงจุดสูงสุดแล้ว ส่วนการบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคเป็นเพียงตำนานที่เล่าขานแต่ไม่มีมูลก็เท่านั้น
แต่คำบอกเล่าของเยี่ยเทียนทำให้ความคิดของเขาต้องเปลี่ยนอีกครั้ง เขาใช้เวลาฝึกพลังทั้งขีวิต แต่ยังสู้สัตว์โบราณในเกาะเซียน “เผิงไหล” ไม่ได้ มันเลยทำให้อาจารย์จั่วรู้สึกรับไม่ค่อยได้เท่าไหร่
“ใช่ อย่าว่าแต่ท่านนักพรตจาง ปีศาจสามตัวที่ผมเห็น ล้วนแต่มีวิชาสูงพอกับยอดฝีมือระดับจินตัน แล้วถ้าพวกมันหลุดเข้าโลกมนุษย์ คงไม่มีใครสามารถควบคุมได้! ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แม้ในใจจะรู้สึกชื่นชมปีศาจอีกสองตัวที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันกับสิงห์ขนทอง แต่อีกใจก็รู้สึกโชคดี เพราะถ้าเจ้าสามตัวนั่นมาถึงโลกมนุษย์จริง ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“พระเจ้า เป็นความจริงเหรอเนี่ย สิ่งที่บันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณ มันมีอยู่จริงๆ! ”
เขารู้ว่าศิษย์น้องเล็กไม่ใช่คนโกหก ไม่อย่างนั้นโก่วซินเจียคงคิดแล้วว่าเยี่ยเทียนกำลังแต่งเรื่องอยู่ เพราะไม่ว่าจะเป็นภูติผีปีศาจหรือสัตว์โบราณ ล้วนแต่ปรากฏอยู่ในนิทานตำนานโบราณ แล้วเกาะที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปราณวิเศษนั่นอีก ยิ่งทำให้โก่วซินเจียตื่นเต้นมาก
โก่วซินเจียไม่มีญาตสนิทที่ไหน นอกจากเยี่ยเทียนกับศิษย์ในสำนัก เพราะฉะนั้นถ้าเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในที่แบบนั้นจริง มันเหมือนได้อยู่สวรรค์ ด้วยใจที่ศรัทธาในเต๋า ไม่เคยรู้สึกเดียวดายอยู่แล้ว
แต่พอรู้ว่าบาดแผลทั้งตัวของเยี่ยเทียนเกิดจากการหนีออกจาก “เกาะเซียน” นั่น ความคิดที่จะค้นหาเกาะเซียนของเขาก็หายไปทันที
ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิขุนนางหรือนักพรตเต๋า ล้วนแต่อยากไปเกาะเซียน แต่นอกจากเยี่ยเทียนผู้มีโชคชะตา ก็ไม่เคยมีใครไปถึงเกาะเซียนได้สำเร็จเลยสักคน แล้วหลังจากที่เขตแดนนั่นปิดลง เกาะเซียน”เผิงไหล”กับโลกมนุษย์ ก็แยกจากกันโดยสิ้นเชิง
“หรือว่าปราณวิเศษในมหาสมุทรถูกเกาะนั่นดูดไปหมด? ” เมื่อความคิดอยากเข้าเกาะตัดออกไป เขาคิดถึงเรื่องปัจจุบันทันที พลังปราณชีวิตดั้งเดิมที่เคยเกาะตัวแน่นอยู่ในมหาสมุทรแล้วหายไป จะต้องเกี่ยวข้องกับค่ายกลในเกาะนั่นอย่างไม่ต้องสงสัย
“ก็น่าจะใช่ครับ ผมว่าไม่ใช่แค่พลังชี่ดั้งเดิมที่มีความเกี่ยวข้องกับค่ายกลนั่น แม้แต่ปราณวิเศษเจือจางที่อยู่บนโลกก็น่าจะเกี่ยวด้วย! ”
เยี่ยเทียนมีความสงสัยตั้งแต่ได้ข่าวว่าศิษย์พี่ทั้งสองถึงระดับเซียนเทียน ตอนนี้เขาได้คำตอบแล้วว่า การทำงานของค่ายกลกับการป้องกันไม่ให้ปีศาจเข้าออกเขตแดน น่าจะเป็นเพราะได้รับพลังจากโลก
ซึ่งมีเพียงเยี่ยเทียนที่รู้ว่าเกาะมีขนาดใหญ่แค่ไหน ถ้าจะบอกว่ามีพื้นที่พอกับประเทศจีนก็คงไม่มากเกินไป แล้วที่ฟ้าดินผิดปกติ ปราณวิเศษไม่เพียงพอในวันนี้ คงต้องใช้พลังปราณชีวิตฟ้าดินของทั้งโลก ถึงจะเพียงพอให้กับค่ายกลและเขตแดนนั้นคงอยู่ต่อไปได้
สิ่งที่เยี่ยเทียนเดาเอาไว้ไม่มีผิด ก่อนที่ฟ้าดินจะเปลี่ยนไป บนโลกมีปราณวิเศษมากมาย มากพอที่จะส่งเข้าไปในค่ายกลเพื่อให้ค่ายกลทำงานได้ แต่เพราะเมื่อหลายร้อยปีก่อนที่เข้าสู่ยุคธรรม ปราณวิเศษจึงน้อยลงทุกวัน
“ศิษย์พี่ แล้วลูกศิษย์ที่ผมเพิ่งรับละ? ”
หลังจากเล่าเรื่องที่ตัวเองพบเจอตลอดทั้งปีเสร็จ เยี่ยเทียนเพิ่งจะนึกถึงบางอย่าง พูดคุยกันเกือบครึ่งค่อนวัน ไม่เห็นแม้แต่เงาของเหลยหู่ ถึงแม้ว่าไอ้หนุ่มนี้เป็นคนเหลาะแหละไร้ความยุติธรรม แต่ความกตัญญูไม่เคยขาดตกบกพร่อง หรือทิ้งตนเสร็จหนีไปแล้ว?
“ศิษย์ใหม่? ”
โจวเสี่ยวเทียนอึ้งไปครู่นึง เอ่ยปากถามว่า
“อาจารย์หมายถึงศิษย์น้องหญิงเจียงซานเหรอ? น้องมีพรสวรรค์ด้านการทำนายมากครับ เพราะศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนสอนเองกับมือ แต่เมื่อสองเดือนก่อน พวกเราส่งแกไปเรียนมหาลัยแล้วครับ เพราะแกอายุยังน้อย! ”
ความสามารถด้านการพยากรณ์เรื่องโชคและการทำนายกว้าของเจียงซาน ถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาก มีปัญหามากมายที่อธิบายแค่ครั้งเดียว เธอก็จำได้ขึ้นใจ แล้วความแม่นยำเกี่ยวกับกว้า ถ้าจะนำไปเทียบกับจั่วเจียจวิ้นก็คงไม่มากเกินไป ทุกคนชอบเธอมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนที่เยี่ยเทียนเลือกไว้แล้ว โก่วซินเจียคงจะรับเธอมาเป็นลูกศิษย์เอง
“เจียงซาน? เด็กนี่ก็ไม่เลวเลยนะ! ”
เมื่อได้ยินโจวเซี่ยวเทียนพูดถึงพรสวรรค์วิชาทำนายของเจียงเซาน เยี่ยเทียนรู้สึกดีใจเป็นพิเศษ พูดคุยกันไปไม่นาน หัวข้อสนทนากลับมาที่เหลยหู่อีกครั้ง
“เซี่ยวเทียน คนที่ฉันหมายถึงไม่ใช่เจียงซาน แต่เป็นศิษย์น้องของนาย เหลยหู่ ลูกชายของเหลยเจิ้นเทียนแห่งสมาคมหงเหมิน!”
“ลูกชายของเหลยเจิ้นเทียน? ”
โจวเซี่ยวเทียนปากค้าง และถามออกไปอย่างไม่เชื่อหูว่า
“อาจารย์ ก็อาจารย์บอกเองว่าเจ้านั่นมันเป็นคนน้ำเต็มท้องแล้วไม่ใช่เหรอครับ? แล้ว…แล้วทำไมอาจารย์ถึงรับเป็นลูกศิษย์ละครับ? ”
ตอนที่เยี่ยเทียนเข้าพิธีรับศิษย์ที่ซานฟรานซิสโก โจวเซี่ยวเทียน โก่วซินเจียและคนอื่นรู้ดีว่า เหลยหู่กับซ่งเสี่ยวหลงเคยรวมหัวกันทำร้ายซ่งเวยหลัน พอได้ยินว่าเยี่ยเทียนรับเหลยหู่เป็นศิษย์ ไม่ได้มีแค่โจวเซี่ยวเทียนที่ไม่เชื่อ แม้แต่โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้น ก็มองเยี่ยเทียนอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองเช่นกัน
เยี่ยเทียนโบกมือและอธิบายว่า
“นิสัยที่แท้จริงของเหลยหู่ไม่ได้ร้ายอย่างที่คิด อย่างน้อยเขาก็เป็นคนกตัญญู เอาเถอะ แล้วพวกท่านหาผมเจอได้ยังไง? ”
“ตอนที่พวกเราพบเธอ เธออยู่บนเรือชาวประมงลำหนึ่ง พวกเราได้ข่าวว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งส่งเธอขึ้นเรือเสร็จ เขาก็จากไปเลย อย่าบอกนะว่าคือเหลยหู่? ”
หนึ่งปีที่ผ่านมา โก่วซินเจียและคนอื่นฝึกพลังวิชาที่นี่ตลอดหนึ่งปี และไม่เคยลดความพยายามในการค้นหาเยี่ยเทียนเลยสักวัน เรือที่เทียบมหาสมุทรเกือบทุกลำ มีรูปของเยี่ยเทียนแปะเอาไว้
ดังนั้นตอนที่เรือประมงลำนั้นเห็นเยี่ยเทียน เขาติดต่อโก่วซินเจียและคนอื่นผ่านโทรศัพท์ไร้สายทันที ชาวประมงโชคดีมาก เพราะเงินรางวัลจากถังเหวินหย่วนก็มากพอกับรายได้รวมสิบปีของพวกเขา ถือว่าได้รับโชคครั้งใหญ่เลยทีเดียว
ครุ่นคิดไปครู่หนึ่งก็สายหัว จั่วเจียจวิ้นพูดต่อว่า
“เหลยหู่ใกล้จะสี่สิบแล้ว จะเป็นคนหนุ่มได้ไงกัน น้องเล็ก ฉันว่าเรื่องนี้แปลก”
“แปลกยังไงเหรอครับ? ”
เยี่ยเทียนขำ
“ศิษย์พี่ทั้งสอง ลองส่องกระจกดูก่อนสิครับ ถ้าจะบอกว่าพี่ทั้งสองอายุเจ็ดแปดสิบปีแล้ว ใครจะเชื่อ? เหลยหู่เข้าสู่ระดับเซียนเทียนตั้งแต่ครึ่งปีก่อน แล้วพลังวิชาของเขาต่างจากศิษย์พี่ไม่เท่าไหร่ มันจะดูหนุ่มหน่อยก็เป็นเรื่องปกตินะครับ! ”
จากระดับโฮ่วเทียนเข้าสู่ระดับเซียนเทียน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งหมด จะบอกว่าเหมือนเกิดใหม่ก็คงไม่เกินไป เพราะตอนนี้โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นเองก็เหมือนคนวัยกลางคนที่อายุราวสี่สิบปี แทบจะมองไม่ออกถึงความแก่เลยด้วยซ้ำ
ตอนที่ 855 พร้อมหน้าพร้อมตา
“ก็จริง แต่เหลยหู่เป็นคนจิตใจคดเคี้ยว ทำไมถึงรับเป็นศิษย์ล่ะ?”
โก่วซินเจียขำในสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด ตั้งแต่เข้าสู่ระดับเซียนเทียน ผมขาวของเขาและจั่วเจียจวิ้นกลายเป็นสีดำทั้งหมด ใบหน้าไม่มีรอยย่น ผิวหน้าขาวเนียนราวกับเด็กทารกแรกเกิด ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนแก่ที่อายุใกล้จะเก้าสิบ
โก่วซินเจียไม่สนใจกับหน้าตาที่เปลี่ยนเป็นหนุ่ม และไม่มีใครรู้สึกแปลกใจ เพราะคนที่รู้จักเขาได้ตายจากโลกนี้ไปหมดแล้ว แต่จั่วเจียจวิ้นเป็นกังวลเล็กน้อย เพราะเขาใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยเพื่อน เขาไม่รู้จะอธิบายให้คนอื่นฟังยังไง
เยี่ยเทียนโบกมืออธิบายต่อว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ นิสัยที่แท้จริงของเหลยหู่ไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น ตอนนี้จิตใจของเขาก็เปลี่ยนไปเยอะมาก ผมคิดว่าจะให้เขามาดูแลเรื่องต่างๆในสำนัก…”
สาเหตุที่สำนักเสื้อป่านขาดคน เพราะไม่มีคนดูแลคนหลักอยู่ในสำนัก ในตอนนั้นเพราะหลี่ซั่นหยวนไม่สนใจ นอกจากใช้เวลาไปกับการฝึกพลังวิชาแล้ว ก็รวบรวมวิชาประจำสำนักให้สมบูรณ์ซะส่วนใหญ่ เขาจึงไม่มีเวลาว่างไปรับลูกศิษย์เข้าสำนัก
พอถึงยุคของเยี่ยเทียน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พูดได้เลยว่าเขาเป็นคนที่ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง ประกอบกับมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย อย่าว่าแต่ดูแลสำนัก แม้แต่พ่อแม่ก็แทบจะไม่ได้เห็นหน้าเยี่ยเทียนเลย
ส่วนโก่วซินเจียและคนอื่น คนหนึ่งรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีวางมือเข้าป่า คนหนึ่งอยู่แต่ในสังคัมชั้นสูง มีหน้ามีตา ไม่ยอมลดระดับลงเพื่อไปทำงานรับลูกศิษย์เข้าสำนักเหมือนพวกสำนักศิลปะต่อสู้
“ความคิดนี้ไม่เลวนะ แต่…”
โก่วซินเจียส่ายหัว แม้จะพูดไม่จบ แต่สิ่งที่ไม่พูดออกมากลับมีความหมายชัดเจน การมอบหน้าที่อันสำคัญของสำนักเสื้อป่านให้แก่เหลยหู่รับผิดชอบ เขาไม่ไว้ใจ
“ศิษย์พี่ใหญ่พูดถูก ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิทุกชั้นฟ้า ทุกชั้นดิน ทุกชั้นมหาสมุทร ศิษย์น้องเล็กบาดเจ็บหนักขนาดนี้ เจ้าเหลยหู่ไม่ถามไถ่สักคำ แล้วยังหายไปอีก ลูกศิษย์แบบนี้ จะไปสอนคนในสำนักเสื้อป่านของฉันได้ยังไง? ”
จั่วเจียจวิ้นไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเยี่ยเทียนเช่นกัน ตอนที่พวกเขาพบเยี่ยเทียน เยี่ยเทียนถูกห่อไว้ราวกับบ๊ะจ่าง บาดแผลเต็มไปหมดทั้งตัว เป็นถึงลูกศิษย์แต่ไม่อยู่ดูแลใกล้ๆ ถ้าจะไล่ออกจากสำนักก็ไม่ได้ทำมากเกินไป
“พอเถอะครับศิษย์พี่ เขาจะต้องกลับมา! ”
เยี่ยเทียนไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหลยหู่ไปไหน แต่เขาเชื่อในสายตาของตัวเอง เพราะตั้งแต่เข้าสู่ระดับเซียนเทียน เหลยหู่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาไม่ใช่อาวุโสหงเหมินผู้มีจิตใจคับแคบคนก่อนแล้ว
“โน่น รีบดูเซียนเร็ว มีคนกำลังบินอยู่! ”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังถกเถียงเรื่องเหลยหู่อยู่ ตรงดาดฟ้าของเรือมีเสียงตกอกตกใจดังขึ้น โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นขมวดคิ้วและปล่อยจิตออกไปพร้อมกัน
เมื่อเข้าสู่ระดับเซียนเทียน สิ่งที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนคือการถอดจิต หลังจากที่ทำความเข้าใจได้ระยะหนึ่งแล้ว โก่วซินเจียกับจั่วจวิ้นก็คุ้นเคยกับการสำรวจโดยใช้จิต ซึ่งมันสะดวกกว่าการใช้ตามองเป็นอย่างมาก
“พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาทันที!”
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะบาดเจ็บไม่น้อย แต่จิตของเขาแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า ก่อนที่คนเหล่านั้นจะตะโกน เขาสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของปราณชีวิต ซึ่งเป็นของเหลยหู่ มันลอยมาจากน้ำทะเลไกลออกไป
“มันยังกล้ากลับมาอีก? ฮึ่ม! ”
หลังจากที่เยี่ยเทียนพูดจบ จั่วเจียจวิ้นส่งเสียงเหอะๆ เดินออกจากห้องโดยสาร ถึงแม้ปราณชีวิตที่อยู่ด้านนอกแข็งแกร่งมาก และไม่ได้ด้อยไปกว่าตน แต่คนแก่ที่มีจุดมุ่งหมายชัดเจนอย่างจั่วเจียจวิ้นก็ไม่กลัวคนรุ่นหลังอย่างเหลยหู่
“ศิษย์พี่ใหญ่ คนที่พลังวิชาเพิ่มระดับแล้ว นิสัยก็เปลี่ยนไปด้วยเหรอครับ? ”
เมื่อเห็นศิษย์พี่รองเดินออกไปด้วยสีหน้ามึนตึง เยี่ยเทียนอดขำไม่ได้ เมื่อก่อนจั่วเจียจวิ้นเป็นคนที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆผ่านสีหน้า แต่หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว อารมณ์รุนแรงกว่าเมื่อก่อนมาก
“อาจารย์ ผมออกไปดูด้วยนะครับ! ”
โจวเซี่ยวเทียนรู้สึกสนใจศิษย์น้องอายุสี่สิบที่อยู่ด้านนอกเหมือนกัน หลังจากบอกเยี่ยเทียนเสร็จ เขาก็ออกไปจากห้องโดยสารด้วยความรวดเร็ว
ที่จริงแล้วในใจของโจวเซี่ยวเทียนก็อยู่ไม่สุขเหมือนกัน เมื่อก่อนเหลยหู่ยังไม่ถึงระดับหลอมปราณสู่จิตเลย ในเวลาสั้นๆแค่หนึ่งปี พลังวิชาของเขาพุ่งไปถึงระดับอาจารย์ลุงทั้งสองท่าน ในฐานะลูกศิษย์คนโตของเยี่ยเทียน ก็ต้องรู้สึกกดดันเป็นธรรมดา
“ออกไปให้หมด ถ้าฉันไม่เรียก ห้ามออกมาเด็ดขาด! ”
ตอนที่โจวเซี่ยวเทียนมาถึงดาดฟ้า เขาเห็นจั่วเจียจวิ้นไล่กะลาสีเรือออกไปพอดี เดิมทีกะลาสีเรือสำราญลำนี้มีแต่ฝรั่ง แต่พอถังเหวินหย่วนรับซื้อเรือลำนี้แล้ว เขาทำการเปลี่ยนเป็นคนจีนทั้งหมด
และเพื่อให้สะดวกต่อการฝึกพลังวิชา กัปตันเรือและกะลาสีเรือเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นศิษย์ของสมาคมหงเหมินแห่งเกาะฮ่องกง หนึ่งปีที่ผ่านมา คนเหล่านี้เคยเห็นโก่วซินเจียเดินบนน้ำแล้วหลายครั้ง แล้วตอนนี้เห็นคนลงมาจากฟ้า นอกจากส่งเสียงตกใจนิดหน่อย ยังถือว่ารับเรื่องนี้ได้เร็วมาก
คำพูดของจั่วเจียจวิ้นมีน้ำหนักพอสมควร เพียงครู่เดียว ดาดฟ้าที่หนาแน่นไปด้วยผู้คนก็กลายเป็นดาดฟ้าโล่งๆ นอกจากจั่วเจียจวิ้นและคนอื่นที่ยืนอยู่ที่ห้องโดยสารแล้ว ขอบเรือที่ห่างออกไปยี่สิบกว่าเมตร มีชายหนุ่มอายุราวสามสิบกว่ายืนอยู่ตรงนั้น
ชายหนุ่มคนนั้นแต่งตัวแปลกๆ ผมยาวประบ่า เสื้อผ้าหุ้มตัวทำมาจากหนังสัตว์ทั้งหมด ตรงแขนข้างขวาไม่มีแม้แต่ชายเสื้อ บางทีอาจจะเป็นเพราะฝีมือไม่ถึง กางเกงก็ยาวข้างหนึ่งสั้นข้างหนึ่ง ขาดรุ่ยเหมือนกับคนป่าที่เพิ่งออกมาจากป่าลึก
บ่าขวาที่ไร้แขนของเหลยหู่ แบกถุงขนาดเท่าตัวเขาอยู่หนึ่งถุง ไม่รู้ทำมาจากหนังของสัตว์ชนิดไหน แม้ฝีมือลายเย็บจะดูหยาบ แต่หนังที่ใช้เป็นหนังที่ดีมาก เต็มไปด้วยลวดลายอันสวยงาม
บ่าซ้ายที่ไม่ได้เป็นอะไร มีสัตว์ตัวเล็กมีขนสีทองทั้งตัวเกาะอยู่ ดูเหมือนว่ามันจะไม่พอใจฐานยึดที่มันเกาะไว้เท่าไหร่ มันส่งเสียงออกมาและกำลังใช้กรงเล็บดึงผมของชายคนนั้น
“แกคือเหลยหู่เหรอ? อาจารย์ของแกบาดเจ็บสาหัส แกไม่อยู่ดูแลอย่างใกล้ชิด มันใช่สิ่งที่ลูกศิษย์ควรจะทำมั้ย? ”
จั่วเจียจวิ้นมองเหลยหู่ที่อยู่ตรงด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ และตำหนิเหลยหู่ทันที ด้วยความที่อยู่ในสังคมมานาน แล้วยังมีพลังที่แตกต่างจากคนทั่วไปอีก จั่วเจียจวิ้นไม่สามารถประนีประนอมดุจพี่ใหญ่ได้จริงๆ
“ท่านเป็นใคร? ท่านรู้ได้อย่างไรว่าผมชื่อเหลยหู่? แล้วตอนนี้อาจารย์ของผมอยู่ที่ไหน? ”
คนที่กำลังพูดอยู่ก็คือเหลยหู่ คนที่นำเยี่ยเทียนส่งขึ้นเรือประมง พลังวิชาของเขาพัฒนาเร็วเกินไป ถึงแม้ว่าช่วงนี้อารมณ์เปลี่ยนไปมาก แต่คนที่เคยดำรงตำแหน่งสูงมาโดยตลอด จะทนต่อการตำหนิจากจั่วเจียจวิ้นได้อย่างไร?
เขาจึงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว การเคลื่อนไหวของปราณชีวิตพุ่งออกมาจากข้างในร่างกาย ทำให้ร่างเดิมทีสูงร้อยเก้าสิบเซ็นติเมตรสูงขึ้นอีกสิบกว่าเซ็นติเมตร จนกลายเป็นยักษ์สูงสองเมตรไป ถ้าดูจากภายนอกดูเป็นคนที่น่าเกรงขามมาก
เหลยหู่รู้ว่าเยี่ยเทียนมีศัตรูเยอะ พลังวิชาของคนที่อยู่ตรงหน้าก็ต่างจากเขาไม่มาก จึงไม่คิดจะประนีประนอม จึงส่งพลังไปล้อมจั่วเจียจวิ้นกับโจวเซี่ยวเทียนไว้ทันที
นอกจากสองคนนี้แล้ว เหลยหู่ก็สัมผัสได้ว่าภายในห้องยังมียอดฝีมืออีกหนึ่งคน หนึ่งต่อสอง เหลยหู่ยอมรับว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสองคนนี้ แต่เขาเป็นคนที่เฉียบขาด ขณะที่กำลังจะลงมือ
“เหลยหู่ ห้ามเสียมารยาทกับอาจารย์ลุงรอง…”
เสียงของเยี่ยเทียนดังออกมาจากด้านใน ทำให้เหลยหู่กับจั่วเจียจวิ้นที่กำลังจะปะทะกันอารมณ์เย็นลง
“ศิษย์พี่รอง ให้เขาเข้ามาเถอะ”
เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของพลอยวิเศษบนตัวเหลยหู่แล้ว เยี่ยเทียนก็มีสีหน้าดีใจออกมาทันที ตอนนี้เขาเดาออกแล้วว่าเหลยหู่ไปไหนมา เมื่อเทียบกับพลอยวิเศษเหล่านั้น การดูแลเขาอย่างใกล้ชิดแทบจะเทียบอะไรไม่ได้
“อาจารย์ลุงรอง? ”
เหลยหู่อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นรีบคุกเข่าคำนับ อย่าว่าแต่ฐานะของคนตรงข้าม การทะลุเข้าระดับเซียนเทียนโดยไม่ใช้ปราณวิเศษบนเกาะเซียนช่วย แค่เหตุผลนี้ก็เพียงพอแล้วที่เหลยหู่ต้องคำนับ
“หืม? ไม่ได้เป็นคนเย่อหยิ่งจองหองอย่างที่เขาว่ากัน…”
โบราณกล่าวไว้ว่าไม่ลงโทษคนที่รู้ว่าผิด ท่าทีของเหลยหู่ทำให้จั่วเจียจวิ้นที่โมโหอยู่ทำอะไรไม่ถูก เยี่ยเทียนเป็นเจ้าสำนัก สิ่งที่เขาได้ทำการตัดสินใจไปแล้ว จั่วเจียจวิ้นไม่สามารถคัดค้านได้
“ลุกขึ้นเถอะ! ”
จั่วเจียจวิ้นมองเหลยหู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินกลับเข้าไปด้านในอย่างไม่สบอารมณ์ ส่วนเหลยหู่ก็เก็บลมปราณและเดินตามหลังเข้าไป
“อาจารย์ ผมผิดไปแล้ว อาจารย์ลุงรองทำถูกแล้วครับ! ”
ประตูเพิ่งจะถูกเปิดออก เหลยหู่เห็นเยี่ยเทียนที่นอนอยู่บนเตียง เขาสะบัดถุงที่อยู่บนบ่าขวาออกและตรงเข้าไปคุกเข่าตรงหัวเตียงทันที
โก่วเซินเจียพยักหน้ากับท่าทีของเหลยหู่ ความจริงใจที่เหลยหู่แสดงออกมา มันมาจากข้างในจริงๆ เพียงเท่านี้ ก็เห็นแล้วว่าเยี่ยเทียนเลือกไม่ผิดคน
“ลุกขึ้นเถอะ นี่คืออาจารย์ลุงใหญ่ คนนี้ชื่อโจวเซี่ยวเทียน เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของแก! ” เยี่ยเทียนแนะนำแต่ละคนให้เหลยหู่เสร็จ เขาถามเหลยหู่ว่า
“เหลยหู่ แล้วหลายวันนี้แกหายไปไหนมา? ”
“อาจารย์ ศิษย์ไม่รู้จะทำยังไง ตอนที่อาจารย์ร่วงลงมา ไอ้เจ้านี่ก็ร่วงลงมาด้วย! ”
เหลยหู่ใช้เท้าถีบถุงที่ใช้หนังสัตว์ห่อไว้ แสดงความไม่พอใจออกมา เขามีแขนซ้ายข้างเดียว ตอนที่ช่วยเยี่ยเทียน เขาจึงต้องโยนถุงที่เต็มไปด้วยพลอยวิเศษทิ้ง แต่สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ ผ่านไปแค่วันเดียวกรรมก็สนองทันตาเห็น
ตอนนั้นอาการของเยี่ยเทียนค่อนข้างหนัก เหลยหู่สัมผัสได้ถึงตันเถียนของเยี่ยเทียน มันน่าจะใกล้แตกแล้ว พอสัมผัสแล้วยิ่งทำให้เหลยหู่กระวนกระวายและไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงดี เพราะตอนนั้นบนทะเลไม่มีปราณวิเศษเหลือเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งมันไม่ดีต่อการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนเลย
แต่ยังโชคดีที่ในกระเป๋าเสื้อของเหลยหู่มีพลอยวิเศษธาตุน้ำอยู่สามชิ้น สองแขนของเยี่ยเทียนที่มีเนื้อ เลือด ชีพจรเริ่มงอกออกมาก็เพราะพลอยวิเศษทั้งสามชิ้นนั้น
ตอนที่ 856 เสี่ยวจิน
เหลยหู่พาเยี่ยเทียนลอยคออยู่ในน้ำสองวันถึงจะพบเรือประมงลำ ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนจะยังไม่ได้สติ แต่สองแขนก็มีเลือดกับเนื้องอกออกมาไม่มีอันตรายต่อชีวิตแล้ว เขาถึงรู้สึกโล่งใจและเกิดความคิดว่าจะกลับไปหาพลอยวิเศษถุงนั้น
เหลยหู่รู้ว่าพลอยวิเศษมีความสำคัญแค่ไหน ถ้าเยี่ยเทียนต้องการฟื้นฟูให้เร็วที่สุด จะต้องใช้พลอยวิเศษมากเพื่อเพิ่มพลังให้พลังปราณชีวิตดั้งเดิม เขาจึงส่งอาจารย์ให้กับชาวประมงลำนั้น จากนั้นก็ออกไปหาถุงที่เขาทิ้งไว้
แต่เหลยหู่คิดไม่ถึง บนผิวน้ำที่นิ่งสงบไม่มีคลื่นใต้น้ำกลับซ่อนความปั่นป่วนเอาไว้ เพราะถุงที่เขาโยนลงทะเล ถูกซัดไปที่ไหนแล้วก็ไม่รู้
โชคดีที่เหลยหู่คิดเผื่อไว้ตั้งแต่ตอนแรก ทำการถอดจิตของตัวเองไว้ที่ถุงบางส่วน แม้ว่าถุงที่เต็มไปด้วยพลอยวิเศษจะถูกคลื่นซัดไปไกลเป็นพันลี้ น่านน้ำที่ไร้ปราณวิเศษผืนนี้เหลยหู่ยังพอสัมผัสได้ว่าจิตของตัวเองอยู่ตรงไหน
เหลยหู่ใช้เวลาหาอยู่หลายวัน สุดท้ายก็เจอถุงอยู่กลางทะเลลึกไกลออกไปเกือบพันกิโลเมตร และถือว่าโชคดีมากที่หนังของสัตว์มีความเหนียว ทำให้พลอยวิเศษยังอยู่ครบทุกชิ้น
“ศิษย์น้องเล็กบอกว่าหน้าตาของแกเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่จิตใจที่เปลี่ยน เปลี่ยนไปทั้งคนเลย ”
ตอนที่เหลยหู่เดินเข้าประตูมา สายตาของโก่วซินเจียจ้องอยู่ที่หน้าของเหลยหู่ จนถึงตอนนี้ โก่วซินเจียเพิ่งจะพยักหน้าและพูดว่า
“เมื่อก่อน แกจมูกโด่ง ตาเฉี่ยวดุจนกเหยี่ยว เป็นรูปลักษณ์ของคนชั่วร้าย ตอนนี้ทั้งหน้าตาและจิตใจเป็นคนมีคุณธรรม รู้จักแก้ไขเมื่อทำผิด ช่างดีเสียจริง!”
โก่วซินเจียเคยเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สูญเสียแขนไปหนึ่งข้าง ตอนนี้เขาเห็นเหลยหู่ก็สูญเสียแขนไปข้างหนึ่งเช่นกัน มันทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดมากขึ้นอีก เพราะประสบชะตาชีวิตที่คล้ายคลึงกัน โก่วซินเจียจึงสั่งสอนเขาเล็กน้อย
สิ่งที่โก่วซินเจียพูดก็ไม่ผิด เมื่อก่อนเหลยหู่หลงอยู่กับสองสิ่ง “ชื่อเสียงและผลประโยชน์” อยากจะเป็นประมุขของสมาคมหงเหมิน จึงได้ทำสิ่งที่ขัดต่อศีลธรรม ซึ่งมีสาเหตุมาจากความคับแคบของจิตใจ
ก็เหมือนกับคนจนคนหนึ่งกัดก้อนแป้งทุกวัน ถ้าให้เขาจินตนาการชีวิตที่หรูหรา อย่างมากก็คงคิดได้แค่มีซาลาเปาไส้เนื้อให้กินสามมื้อเท่านั้น เมื่อก่อนเหลยหู่ก็เป็นคนแบบนั้น
แต่พอความแข็งแกร่งของเหลยหู่ในยุทธภพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีวรยุทธที่เหนือกว่าคนทั่วไป สิ่งที่เขาเคยเป็นเมื่อก่อน จึงดูเหมือนเด็กไม่รู้จักโต
“อาจารย์ลุง ขอบคุณสำหรับคำสั่งสอนสอน ศิษย์จะจำใส่ใจครับ! ”
ที่จริงหลังจากที่ลงมาถึงบนเรือ เหลยหู่ตกใจมากเลยทีเดียว ตอนแรกเขาคิดว่าบนโลกใบนี้ นอกจากอาจารย์เยี่ยเทียนแล้ว ตนน่าจะเป็นคนที่เก่งที่สุด แต่คิดไม่ถึงว่าแค่เรือลำเดียว มีคนถึงสองคนที่มีพลังวิชาเทียบเท่าตน
ส่วนศิษย์พี่ใหญ่โจวเซี่ยวเทียนท่านนั้น ถึงแม้ว่ายังไม่เข้าถึงระดับเซียนเทียน แต่ก็อยู่ระดับโฮ่วเทียนอย่างสมบูรณ์แล้ว ที่สำคัญปราณชีวิตภายในร่างกายเริ่มเปลี่ยนเป็นปราณแท้แล้ว อีกไม่นานก็คงเข้าถึงระดับเซียนเทียน
ตอนนี้เหลยหู่เพิ่งจะรู้ว่าตนนั้นโลกแคบแค่ไหน พอรู้แบบนี้แล้ว เขาซ่อนความยโสลึกๆ ไว้ในจิตใจทันที เหลยหู่เข้าใจดีว่าเขาเข้าถึงระดับเซียนเทียนได้ ก็เพราะความโชคดี ส่วนโก่วซินเจียและคนอื่นสามารถเข้าถึงระดับนั้นได้ แม้ว่าแทบจะไม่มีปราณวิเศษตรงนี้เลย มันคือพรสวรรค์ การฝึกฝนเช่นนี้ ขี่ม้าเร็วแค่ไหนก็ยังตามไม่ทัน
“พี่เหลย ในถุงนี้เป็นพลอยวิเศษทั้งหมดเลยเหรอ? ”
ความถ่อมตัวที่เหลยหู่แสดงออกมา ทำให้ความรู้สึกของโจวเซี่ยวเทียนที่มีต่อเหลยหู่เปลี่ยนไป เพราะคนตรงข้ามอายุมากกว่าตนตั้งยี่สิบกว่าปี จะให้เรียกศิษย์น้องก็กระไรอยู่ โจวเซี่ยวเทียนจึงตัดสินใจรียกว่าพี่น่าจะดีกว่า
“อย่าเลยครับศิษย์พี่โจว คนเข้าสำนักก่อนเป็นศิษย์พี่ ศิษย์พี่อย่าเรียกผมว่าพี่เลยนะครับ ผมรับไว้ไม่ไหว! ”
สมาคมหงเหมินเป็นพรรคหนึ่งในยุทธจักร มีการแบ่งลำดับศักดิ์ ให้ความสำคัญเรื่องการเรียกขานมาก บางคนที่เป็นตาแก่หกเจ็ดสิบปีเรียกเด็กสิบกว่าขวบว่าอาจารย์ก็ยังมี ฉะนั้นเหลยหู่จึงไม่ได้รู้สึกติดใจกับเรื่องนี้
“เซี่ยวเทียน แกไม่ต้องดูถูกตัวเองจนเกินไป เหลยหู่พูดถูก คนเข้าสำนักก่อนเป็นศิษย์พี่ แกนั่นแหละที่เป็นลูกศิษย์คนโตของสำนักเสื้อป่าน คราวหลังห้ามพูดแบบนั้นอีก! ”
เยี่ยเทียนฟังไปพยักหน้าไป หันไปพูดกับโจวเซียวเทียนว่า
“ต่อไปให้เหลยหู่รับผิดชอบเรื่องรับศิษย์เข้าสำนัก แกตั้งใจฝึกวิชา จะได้เข้าถึงระดับเซียนเทียนเร็วๆ บนโลกใบนี้ก็ยังเป็นโลกที่ใครแกร่งกว่าก็ชนะ แกต้องพยายามเข้านะ! ”
พอเยี่ยเทียนพูดคำนี้ออกมา โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นต่างก็ลุกขึ้นพร้อมกัน โค้งคำนับ ตอบว่า
“น้อมฟังคำสั่งสอนของเจ้าสำนัก! ”
จากนั้นโก่วซินเจียก็นั่งลงและถามเยี่ยเทียนด้วยความสงสัยว่า
“ศิษย์น้องเล็ก ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น? อย่าบอกว่าบนโลกใบนี้ยังจะมีศัตรูปรากฏตัวมาอีก? ”
“คนระดับจินตันอาจจะไม่มี แต่ระดับเซียนเทียนก็ไม่แน่ ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ต้องคิดมากครับ มีผมอยู่ทั้งคน สำนักเสื้อป่านของเราไม่ถึงกับต้องเกรงกลัวใคร…”
เยี่ยเทียนส่ายหัวและไม่ได้พูดต่อ เขาเคยเห็นในบันทึกของจางซันเฟิน โลกในเวลานั้น ถ้าฝึกวิชาไปถึงระดับหยวนอิงแล้ว จะต้องออกจากพื้นที่และเข้าไปสู่อีกเขตแดนหนึ่ง
หากเป็นไปตามที่จางซันเฟิงคาดการณ์เอาไว้ น่าจะเป็นเพราะปราณวิเศษในโลกมนุษย์ไม่พอใช้สำหรับแสดงพลังของเซียนระดับหยวนอิง และยังมีความกดดันต่อการฝึกเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นในโลกมนุษย์ใบนี้ผู้ที่มีวิชาสูงสุดก็คือผู้ที่อยู่ในระดับจินตัน
ต่อจากสมัยของจางซันเฟิง ฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ส่งผลให้ปราณวิเศษน้อยลงกว่าเดิม หลังจากที่เยี่ยเทียนฟื้นขึ้นมา เขารู้สึกว่าจิตของตนเหมือนถูกกดทับเอาไว้บางส่วน เวลาใช้ มันไม่อิสระเหมือนตอนอยู่ที่เกาะ “เผิงไหล”
เยี่ยเทียนจึงกล้าฟันธงว่า เซียนระดับจินตันบางทีก็ไม่สามารถอยู่ในโลกมนุษย์ได้ แล้วคนระดับเจี่ยตันอย่างเขา น่าจะเป็นคนที่มีพลังวิชาสูงที่สุดในโลกแล้ว
“พวกเราต้องขยันฝึกซ้อม ถ้ามีคนระดับเซียนเทียนขั้นปลายออกมา เขาสามารถฆ่าพวกเราให้ตายกันหมดได้! ”
ถึงแม้เยี่ยเทียนไม่ได้พูดว่าไม่ต้องเป็นห่วง โก่วซินเจียขมวดคิ้ว เป็นหลักการของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน กันไว้
ดีกว่าแก้ เหลยหู่หันไปหาโก่วซินเจียด้วยความงุนงง พูดว่า
“อาจารย์ลุงครับ ขอแค่ไม่ใช่ระดับจินตันมา พวกเราไม่ต้องกลัว อาจารย์มีพลังระดับครึ่งทางของระดับจินตันแล้ว! ”
“ครึ่งทางของระดับจินตัน? ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์หลานเหลยพูดจริงเหรอ? ”
โก่วซินเจียเบิกตากว้างหลังจากได้ยินเหลยหู่พูดแบบนั้น เขามองหน้าเยี่ยเทียนอย่างไม่เชื่อสายตา เดิมทีเขาคิดว่าเยี่ยเทียนบาดเจ็บหนักขนาดนี้ มีพลังระดับไม่ต่ำกว่าเซียนเทียนก็ถือว่าโชคดีแค่ไหนแล้ว แต่ไม่คิดว่าระดับของเยี่ยเทียนจะเกินความคาดหมายของเขาขนาดนี้
“ครับ แต่ครั้งนี้ผมบาดเจ็บอาการสาหัสไปหน่อย คงต้องใช้เวลาหลายเดือนในการฟื้นฟู! ”
เยี่ยเทียนพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม พลังในร่างกายของเขามั่วไปหมด เนื่องจากปราณวิเศษรอบตัวที่แทบจะไม่มีให้ใช้ ทำให้ความเร็วในการแปลงจากตันเถียนเป็นปราณแท้จึงช้าเหมือนหอยทาก โก่วซินเจียกับคนอื่นมองไม่ออกก็ไม่น่าแปลก
แต่ถ้ามีพลอยวิเศษมาช่วย อาการบาดเจ็บเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องเล็กมาก มีเพียงการรักษาเนื้อหนังและชีพจรเท่านั้นที่ต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย เรื่องนี้เร่งไม่ได้อยู่แล้ว
“เธอ…เธอนี่มันปีศาจชัดๆ! ”
โก่วซินเจียจ้องเยี่ยเทียนอยู่นาน สุดท้ายก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เดิมทีเขาคิดว่าพลังวิชาของตัวเองใกล้เคียงกับศิษย์น้องเล็กมากแล้ว ไม่คิดเลยว่ามันยังห่างกว่าเดิมอีก
“วู วู! ”
เจ้าสิงห์ขนทองที่เกาะอยู่บนบ่าของเหลยหู่เริ่มเบื่อและส่งเสียงออกมา มันยื่นกรงเล็บข่วนไปที่หัวไหล่ของเหลยหู่ จากนั้นก็ยิ้มปากกว้างและทำหน้าตลกใส่ทุกคน
กรงเล็บของสิงห์ขนทองคมมาก ที่ข่วนไปเมื่อครู่ถึงกับเป็นรอยมีเลือดออก เหลยหู่อดขำไม่ได้จึงยื่นมือไปแกะถุงหนังใบนั้น หยิบพลอยวิเศษธาตุทองให้กับมัน พูดออกไปว่า
“พลอยวิเศษเหลือแค่นี้แล้วนะ ถ้ากินหมดแล้วฉันก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหนให้แกแล้วนะ! ”
ที่จริง เหลยหู่อยากจะทิ้งสิงห์ขนทองตัวนี้ตั้งนานแล้ว แม้ว่ามันเพิ่งเกิดมาไม่กี่ปี แต่พลังวิชาของมันเก่งกว่าตัวเองอีก แล้วเจ้าตัวเล็กก็คิดว่าไหล่ของตนเป็นอ้อมอกของแม่มัน เลยทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่างบนไหล่ของเขา จนเหลยหู่รู้สึกลำบากใจแต่ก็พูดไม่ออก
เหลยหู่เองก็ไม่กล้าใช้ความรุนแรงกับมัน เพราะเขาเห็นเจ้าสิงห์ขนทองกลืนกินสมองของสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งกว่ากับตา ถ้ายั่วจนเจ้าตัวเล็กโมโหขึ้นมา แล้วมันข่วนจนกะโหลกศีรษะของเขาถูกเปิดออก มันจะไม่คุ้มเลย
“กรุบ! ” เจ้าสิงห์ขนทองไม่ได้สนใจเหลยหู่เลยสักนิด มันเริ่มกัดกินพลอยวิเศษก้อนนั้น เป็นพลอยวิเศษที่ใช้ขวานฟันก็ยังไม่ฟันไม่หัก แม้แต่รอยก็ยังไม่มี แต่พออยู่ในปากของเจ้าตัวสิงห์ขนทองนี่ มันเคี้ยวพลอยเสียงดัง “กรอบแกรบ” ราวกับเป็นลูกอม
“เหลยหู่ มันกินพลอยวิเศษเป็นอาหารเหรอ? ” นอกจากเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียและคนอื่นต่างก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง พวกเขารู้ว่าพลอยวิเศษมีความพิเศษยังไง แต่พลอยวิเศษกลับกลายเป็นของกินเล่นของเจ้าสัตว์ที่คล้ายลิงซะอย่างนั้น ทุกคนรู้สึกเสียดายมาก
“อาหารของมันไม่ใช่พลอยวิเศษ มันหายากกว่านั้นอีก”
เหลยหู่ที่ยิ้มแห้งกับสิ่งที่ได้ยิน
“เจ้าตัวนี้ ปกติมันจะกินน้ำสมองของสิงห์โต เสือและสัตว์ประหลาดต่างๆ ไม่รู้จะไปหาของแบบนี้ให้มันได้จากที่ไหน ก็เลยป้อนพลอยวิเศษให้มันไปก่อน ไม่อย่างนั้น ถ้ามันเกิดคลั่งขึ้นมา แม้แต่อาจารย์ก็คงยากที่จะคุมมันได้! ”
เจ้าสิงห์ขนทอง พอมันได้ยินเสียงเหลยหู่ มันเงยหน้าขึ้นมาและส่งเสียงฮืมๆคล้ายมนุษย์มาก มันยกแขนขึ้นมาโบกใส่เยี่ยเทียน เป็นท่าทีที่เห็นได้ชัดว่ามันไม่พอใจคำพูดของเหลยหู่ คนที่ไม่มีการเคลื่อนไหวของปราณชีวิตเลยแม้แต้น้อยจะมาเทียบกับมันได้ยังไง
“เอ๋ เจ้านี่ ออกมาจากตรงนั้นแล้วฉลาดขึ้นเยอะเลยนะ”
เยี่ยเทียนหรี่ตาลง ใช้พลังที่ไร้เสียงห่อหุ้มเจ้าสิงห์ขนทองเอาไว้ เจ้าตัวเล็กที่ตอนแรกกำลังกินพลอยวิเศษอย่างเอร็ดอร่อย ตอนนี้จึงขยับไม่ได้
ถึงแม้ปราณแท้ในร่างกายจะหายไปหมด แต่จิตของเยี่ยเทียนไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แล้วพ่อกับแม่ของเจ้าสิงห์ขนทองล้วนแต่เป็นอสูรใหญ่ที่มีพลังระดับจินตัน มันเกิดมาพร้อมกับพลังระดับเซียนเทียน แต่ด้อยกว่าเยี่ยเทียนนิดหน่อย ตอนนี้มันถูกเยี่ยเทียนควบคุมจนขยับไม่ได้
เยี่ยเทียนไม่ได้ทำเกินไป จิตที่ปล่อยออกไป ปล่อยออกไปครู่เดียวก็เก็บกลับมาทันที เพราะขณะที่เจ้าสิงห์ขนทองกำลังจะทำให้ตัวเองหลุดออกจากการควบคุม จู่ๆ พลังกดดันนั่นก็หายไป
ตอนที่ 857 รักษา
“วูวู…” เจ้าสิงห์ขนทองส่งเสียงร้องกระซิกๆ และทำท่าหวาดกลัว แต่มันไม่ได้กระโดดใส่เยี่ยเทียน มันเริ่มแสดงความฉลาดที่ไม่เข้ากับอายุของมัน
“ต่อไปนี้เจ้าชื่อ “เสี่ยวจิน” ก็แล้วกัน! ”
เยี่ยเทียนมองเจ้าสิงห์ขนทองแว๊บหนึ่ง ถ้าจะพูดถึงพ่อแม่ของมันมีบุญคุณกับตัวเอง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะอสูรสามตัวนั่น เยี่ยเทียนคงต้องแก่ตายอยู่บนเกาะ “เผิงไหล” แล้ว ไม่มีโอกาสกลับมาพี่น้องเป็นแน่
“วูวู…”
หลังจากได้ยินชื่อ เจ้าตัวเล็กเอียงหัวคล้ายกับคิดบางอย่าง แล้วมันก็กระโดดจากหัวไหล่ของเหลยหู่ไปที่กลางอกของเยี่ยเทียน และเอาหัวมุดอยู่ตรงนั้น ท่าทางดูไร้เดียงสา พลังวิปริตที่กลืนกินน้ำสมองของสัตว์ประหลาดแทบจะไม่มีเหลือ
“แกนี่มันฉลาดจริงนะ”
เยี่ยเทียนขำท่าทีของเจ้านี่
“ดูเหมือนว่าเกาะจะมีส่วนช่วยยับยั้งความฉลาดของสัตว์โบราณ อย่างสัตว์โบราณดึกดำบรรพ์แบบนี้ ควรจะมีความฉลาดตั้งแต่เกิดถึงจะถูก”
“เอาล่ะ ต่อไปนี้แกจะเป็นสัตว์ผู้พิทักษ์ของสำนักเสื้อป่านของฉัน เดี๋ยวฉันพาแกไปอาณาเขตแห่งเทพกสิกร เสินหนงเจี้ย แล้วจะแนะนำเพื่อนอีกสองตัวให้แกรู้จัก”
ตอนแรกเยี่ยเทียนอยากจะลูบหัวปลอบใจเจ้าตัวเล็กสักหน่อย แต่ทั้งตัวถูกห่อไว้อย่างกับบ๊ะจ่าง สองแขนยิ่งไม่กล้าขยับ จึงทำได้เพียงมองไปที่เหลยหู่และพูดว่า
“มันชอบกินพลอยวิเศษธาตุทอง งั้นก็ป้อนให้มันวันละครึ่งก้อนก็พอนะ ไม่อย่างนั้นพลอยวิเศษแค่นี้คงไม่พอหรอก! ”
“ เยี่ยเทียนยังพูดไม่ทันจบ เสี่ยวจินที่เกาะอยู่ตรงหน้าอกก็ใช้กรงเล็บข่วน เยี่ยเทียนด้วยความไม่พอใจสมองสิงห์โตและเสือไม่มีให้กิน แล้วยังจะมากำหนดปริมาณพลอยวิเศษอีก
“ที่นี่มีของอร่อยมากมาย รับรองแกต้องชอบ วันหลังแกอาจจะไม่อยากกินพลอยวิเศษอีกเลยก็ได้นะ”
เยี่ยเทียนส่งสัญญานทางสายตาไปให้กับโจวเซี่ยวเทียนพูดว่า
“ที่นี่มีของกินดีๆอะไรบ้าง? ทำมาให้เจ้าตัวเล็กชิมหน่อยซิ เสี่ยวจิน ถ้าแกไม่ชอบ มาหาฉันได้เลย! ”
“อาจารย์ครับ สบายใจได้ ผมจะทำให้ เสี่ยวจินกิน จนมันลืมพลอยวิเศษไปเลย! ”
โจวเซี่ยวเทียนเห็นเจ้าสิงห์ขนทองกินพลอยวิเศษเป็นอาหารจนรู้สึกเสียดายไปหมด หลังจากได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้น เขาก็ยืดอกขึ้นและตบอย่างมั่นใจ
คนในห้องรวมถึงเหลยหู่ด้วย ล้วนแต่เป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องเงินทอง พอได้ยินสิงห์ขนทองชอบกินสมองสิงห์โตกับเสือ โจวเซี่ยวเทียนก็เริ่มคิดแล้วว่าจะซื้อสวนเสือไว้สักที่หนึ่งแล้วให้สถานที่แห่งนั้นเป็นแหล่งอาหารให้กับเจ้าตัวเล็ก
“วูวู” เมื่อเห็นว่าโจวเซี่ยวเทียนเรียกมัน เสี่ยวจินจึงหันไปมองเยี่ยเทียนก่อน ในโลกของสัตว์โบราณอย่างพวกมัน สิ่งที่น่าเกรงขามก็คือคนที่เก่งกว่า และในตอนนี้ ที่แห่งนี้ มีเพียงเยี่ยเทียนเท่านั้นที่ทำให้สิงห์ขนทองรู้สึกน่าเกรงขาม
“เสี่ยวจิน ฉลาดจริงนะ”
เมื่อเห็นท่าทีของมัน เยี่ยเทียนยิ้มพูดว่า
“ไปสิ ไม่เจอของอร่อยค่อยกลับมาหาฉัน พลอยวิเศษก็ยังอยู่ไม่ใช่เหรอ? ”
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้า…เจ้าตัวเล็กนี่มันเหมือนกับเป็นบรรพบุรุษของเราเลยนะ!”
จั่วเจียจวิ้นอดขำไม่ได้กับท่าทีสิงห์ขนทอง เสี่ยวจิน ที่เดินตามหลังโจวเซี่ยวเทียนออกไป แต่ก็ยังหันกลับมามองถึงสามรอบ พลอยวิเศษแค่ก้อนเดียวสามารถทำให้ระดับโฮ่วเทียนเพิ่มเป็นระดับเซียนเทียนได้ มันวิเศษมาก แต่สำหรับเสี่ยวจิน มันกินพลอยวิเศษเหมือนกินลูกอม ทำให้คนที่เห็นถึงกับบีบหัวใจ
เยี่ยเทียนส่ายหัวพูดออกไปด้วยสีหน้าจริงจัง
“ศิษย์พี่รอง อย่าไปดูถูกมันนะ ถ้าเจ้าสิงห์ขนทองมันโตขึ้นจริง การมีตัวตนของมันจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา เกรงว่าสำนักวิชาใหญ่ที่มีในสมัยโบราณ ไม่อยากจะให้มีสัตว์โบราณแบบนี้! ”
หลังจากที่จางซันเฟิงเกิดมาบนโลกนี้ เขาบันทึกตำนานต่างๆไว้มากมาย เขาเคยไปอีกสองเขตแดนที่ซึ่งมีมนุษย์อาศัยอยู่ด้วย เขตแดนเหล่านั้น ถึงแม้จะมีสัตว์โบราณหายากที่สูญพันธุ์หมดแล้วในโลกมนุษย์ แต่สัตว์โบราณระดับสิงห์ขนทองแบบนี้ มีเพียงหนึ่งเดียวและตัวเดียวเท่านั้น
“ไม่ต้องรอให้มันโต พวกเราก็คงโดนมันกินหมดนี่แหละ ”
จั่วเจียจวิ้นไม่เคยเห็นอำนาจของพ่อแม่ของเจ้าตัวเล็ก ก็เลยยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเยี่ยเทียนพูดขนาดนี้แล้ว เขาก็ทำอะไรไม่ได้ จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและพูดว่า
“ศิษย์น้องเล็ก จะกลับปักกิ่งหรือไปเกาะฮ่องกง? ฉันยังไม่ได้บอกพ่อกับแม่ของเธอเลยว่าพวกเราเจอเธอแล้ว”
“ที่บ้านผมไม่มีอะไรใช่มั้ยครับ? ”
พอได้ยินจั่วเจียจวิ้นเอ่ยถึงที่บ้าน เยี่ยเทียนก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที ตั้งแต่ออกมาได้ เขายังไม่ได้ถามถึงพ่อแม่และภรรยาเลย หรือว่าฝึกพลังจนจิตบริสุทธ์ไร้ความอยากแล้วจริงๆ?
“ไม่มีอะไร คุณตาของเธอบอกว่าเธอออกไปทำงานให้กับทางรัฐบาล ตงผิงก็เลยไม่ได้ถามอะไรมาก มีฉันกับพี่ใหญ่อยู่ด้วย เธอไม่ต้องเป็นห่วงที่บ้านหรอก”
เรื่องที่เยี่ยเทียนหายตัวไป ทั้งจั่วเจียจวิ้นและคนอื่นแทบล้มประดาตาย ไม่เพียงแต่ต้องลากถังเหวินหย่วนมาช่วยกันแต่งเรื่อง แม้แต่โก่วซินเจียเองถึงกับต้องไปปักกิ่งเพื่อให้ซ่งเฮ่าเทียน ไปอธิบายให้กับลูกสาวและลูกเขยฟัง เพราะผู้เฒ่าคนนี้มีตำแหน่งสูงส่ง คำพูดที่ออกมาจากปากเขาจึงมีน้ำหนักค่อนข้างมาก และคนที่บ้านของเยี่ยเทียนก็เชื่อจริงๆ
“ครับ ถ้ายังงั้นผมยังไม่กลับไปจะดีกว่า”
เยี่ยเทียนครุ่นคิดไปครู่หนึ่งและหันไปถามเหลยหู่ว่า
“ได้หยิบเบาะรองนั่งสมาธิออกมาด้วยมั้ย?”
“เบาะรองนั่งสมาธิ ผมหยิบมาด้วยครับอาจารย์”
เหลยหู่พยักหน้า หยิบเบาะรองนั่งสมาธิออกมา และพูดว่า
“ศิษย์ไร้ความสามารถ บันทึกมู่เจี่ยนไม้ไผ่ของนักพรตจางผมหยิบมาไม่ทัน มันยังตกอยู่ในเขตแดนนั่นครับ”
ตอนนั้นเหลยหู่เก็บบันทึกมู่เจี่ยนไม้ไผ่ในกระเป๋าหนังใบหนึ่ง แต่มันไหลออกจากไหล่ของเขาตอนอยู่กลางอากาศตกลงไปในทะเล
“เสียดาย นั่นมันของดีเลยนะ! ”
เยี่ยเทียนทำหน้าเสียดาย ถึงแม้เขาจะจำสิ่งที่บันทึกไว้ในมู่เจี่ยนไม้ไผ่ได้ทั้งหมดได้ แต่เขาไม่สามารถคัดลอกบันทึกนั่นลงไม้ได้อย่างมีเสน่ห์เหมือนกับจางซันเฟิง ได้แต่รอให้เขาเข้าถึงระดับจินตันก่อน อาจทำได้ก็ได้
เยี่ยเทียนส่ายหัวหันไปหาโก่วซินเจีย
“ศิษย์พี่ใหญ่ครับ ผมต้องรบกวนพี่เรื่องหนึ่ง ช่วยย้ายของที่ไม่ได้ใช้ในห้องนี้ออกไปให้หมดหน่อยครับ จากนั้นก็ตั้งค่ายกลรวมห้าธาตุ ผมจะรักษาอาการบาดเจ็บ เหลยหู่ แกก็อยู่เรียนรู้กับอาจารย์ลุงนะ”
ในศิษย์พี่ทั้งสองของเยี่ยเทียน จั่วเจียจวิ้นมีความชำนาญเรื่องทำนายถามกว้าเป็นอย่างมาก ส่วนโก่วซินเจียก็ศึกษาวิชาค่ายกลไม่ได้ด้อยกว่าเยี่ยเทียน ดังนั้นงานตั้งค่ายกลจึงตกเป็นหน้าที่ของโก่วซินเจีย
“ครับอาจารย์”
“ไม่มีปัญหาศิษย์น้องเล็ก”
เหลยหู่กับโก่วซินเจียตอบพร้อมกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเข้าระดับเซียนเทียนแล้วทั้งคู่ แต่เยี่ยเทียนเป็นเจ้าสำนักของสำนักเสื้อป่าน ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ
ด้วยพลังวิชาของโก่วเซินเจีย แม้จะต้องถอดชิ้นส่วนเรือลำนี้ออกทั้งหมดก็ง่ายเหมือนปลอกกล้วย ผ่านไปครู่เดียว เรือสำราญอันหรูหราก็กลายเป็นเรือที่ว่างเปล่าไปทันที เพราะเหลยหู่รู้สึกว่ามันเกะกะ เขาจึงโยนโซฟาและของต่างๆนานาทิ้งลงทะเล
“ศิษย์พี่ใหญ่ วางพลอยวิเศษธาตุทองตรงนี้ห้าอัน! ”
“เหลยหู่ ถัดจากขาขวาแกไปสามก้าว วางพลอยวิเศษธาตุน้ำหกอัน!”
“ไม่ได้ ปราณวิเศษตรงข้างซ้ายไม่ค่อยสมดุล ศิษย์พี่รอง ช่วยวางพลอยวิเศษธาตุดินอีกสี่อัน!”
พอเคลียร์ของในห้องเสร็จ เยี่ยเทียนก็เริ่มให้ทุกคนช่วยกันตั้งค่ายกล ค่ายกลนี้แตกต่างจากค่ายรวมห้าธาตุที่สืบทอดมาจากโบราณ เยี่ยเทียนทำการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เพื่อกระตุ้นให้ปราณวิเศษที่อยู่ในพลอยวิเศษออกมาได้อย่างเต็มที่
แต่ก็ยังทำให้โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นรู้สึกเสียดาย
เมื่อครู่พวกเขาลองคำนวณดูพบว่า ในกระเป๋าหนังที่เหลยหู่เอามาด้วย มีพลอยวิเศษธาตุต่างๆอยู่ 931 อัน ธาตุไม้มีแค่ 30-40อัน เป็นพลอยวิเศษที่เยี่ยเทียนเก็บเอง ที่เหลือถูกใช้ไปตอนที่อสูรใหญ่พวกนั้นต้านภัยอัสนีสวรรค์
ค่ายกลที่เยี่ยเทียนตั้งขึ้น ต้องใช้พลอยวิเศษถึง 368 อัน ลดลงมากกว่าหนึ่งส่วนสามอีก ทำให้โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นที่เหมือนคนถูกรางวัลรู้สึกอยากจะโมโหเยี่ยเทียน
“ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่เป็นไร ถึงแม้พลอยวิเศษจะเป็นของพิเศษ แต่เราต้องหามันเจออีกครับ! ”
เยี่ยเทียนขำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ของศิษย์พี่ทั้งสองคน จางซันเฟิงทิ้งพิกัดการเข้าออกของอีกสองเขตแดนเอาไว้ให้ ที่นั่นมีต้นน้ำของปราณวิเศษ ขอแค่มีพลังระดับเซียนเทียนขั้นกลาง ก็จะเข้าออกที่นั่นได้อย่างอิสระ ถ้าต้องใช้พลอยวิเศษจริง เยี่ยเทียนจะต้องหาวิธีไปที่นั่นและเอามันออกมาได้แน่นอน
พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้น สีหน้าของทั้งคู่ค่อยดีขึ้นหน่อย เหลยหู่พยุงเยี่ยเทียนขึ้นมาพิงที่หัวเตียง แล้วนำเบาะรองนั่งสมาธิวางไว้ใต้ตัวของเยี่ยเทียน จากนั้น สามคนก็เดินออกจากห้องไป
“ถ้าไม่มีเบาะรองนั่งสมาธินี่ ฉันคงต้องรักษาอาการบาดเจ็บอย่างน้อยก็สองปี! ”
เยี่ยเทียนสัมผัสถึงปราณวิเศษธาตุไม้ที่มาจากด้านล่าง เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก เพราะความบริสุทธิ์ของปราณวิเศษจากเบาะรองนั่งสมาธิ มันไม่ได้ด้อยไปกว่าพลอยวิเศษธาตุไม้ชั้นดีเลย ตอนที่ปราณวิเศษเริ่มเคลื่อนไหวไปตามเส้นชีพจร เยี่ยเทียนรู้สึกได้ทันทีว่าชีพจรที่แหลกสลายกำลังสมานเข้าด้วยกัน
“ช้าไป เปิด!”
เยี่ยเทียนเบิกตากว้าง จิตตั้งเดิมปรากฏขึ้นอยู่ข้างบนของร่างกาย จิตตั้งเดิมที่มีใบหน้าพอๆกับเยี่ยเทียน สองมือชิดกันเริ่มรวบรวมจิต ทันใดนั้น ปราณวิเศษในพลอยวิเศษจากมุมต่างๆ เริ่มพุ่งออกมาไปหาเยี่ยเทียน
“รู้สึกสบายมาก พอเข้าถึงระดับเจี่ยตันแล้ว ปริมาณปราณวิเศษที่เข้าไปในร่างกาย มากกว่าเมื่อก่อนสิบกว่าเท่าอีก! ”
ที่จริงคนที่อยู่ระดับเซียนเทียนไม่ต้องใช้พลอยวิเศษมากขนาดนั้น แต่ด้วยขีดจำกัดของพลังกับระดับปราณวิเศษของพลอยวิเศษหนึ่งก้อน เกือบครึ่งหนึ่งก็อาจจะเสียไปโดยไม่ได้ใช้เลย
เพราะฉะนั้นถึงแม้จะอยู่ดินแดนแห่งทวยเทพ นอกจากเทพเซียนระดับจินตันแล้ว ลูกศิษย์เก่งที่แต่ละพรรคฝึกฝนเป็นพิเศษ จะใช้ปราณวิเศษช่วยทุกวันก็คงเป็นไปไม่ได้ มีเพียงผู้ที่เพิ่งเข้าระดับใหม่ถึงจะใช้ปราณวิเศษได้
แต่ตอนนี้ร่างกายของเยี่ยเทียนเหมือนถ้ำไม่มีจุดสิ้นสุด ปราณวิเศษที่กำลังพลุ่งพล่าน ไม่ได้ใช้ไปสูญเปล่า มันซึมเข้าร่างกายของเยี่ยเทียนทั้งหมด หมอกขาวซึมออกมาข้างนอกผิวเยี่ยเทียน ไม่นานนักหมอกก็คลุมเขาไว้ทั้งตัว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น