องครักษ์เสื้อแพร 854-856
ตอนที่ 854 ในน้ำเด็กปลอมตัว บนเรือยิงหัวโล้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้ว่าเมืองฉางโจวกำลังจะเอ่ยตามมารยาท ไม่สนใจเสียงเอะอะด้านหลัง ทำเป็นไม่ได้ยินเสีย หากก็แอบด่าไป หันไปมองตำหนิไป
คนบนฝั่งและบนเรือมองไปยังจุดที่วุ่นวาย สถานการณ์น่าอึ้งจริง ห่างจากเรือหวังทงราว 20-30 ก้าว มีกลุ่มชายฉกรรจ์กำลังไล่ล่าเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางอ่อนแอมา
ต้อนรับผู้แทนพระองค์มาถึง ทุกหน่วยงานเมืองฉางโจว ยังมีคหบดีมีนชื่อเสียงมากัน ยังมีเจ้าหน้าที่คอยดูแล มีกลุ่มประโคมดนตรี คนติดตามชนชั้นสูงอีกมาก และยังมีคนมามุงดูกันอีก ท่ามกลางคนมากมายเช่นนี้ ท่าเรือเบียดเสียดกันอย่างมาก
ก็เพราะเบียดเสียดกันแน่น ชายฉกรรจ์พวกนั้นจึงไม่อาจจับตัวเด็กหนุ่มไว้ได้ ผลักไปด่าไป คนของชนชั้นสูงไม่น้อยล้วนเหิมเกริมจนเป็นนิสัย พอถูกผลักก็โมโหหนัก หันไปเอาเรื่อง
ชายฉกรรจ์พวกนั้นล้วนโพกศีรษะไว้ มีคนมือไวคว้าผ้าโพกออกได้ เห็นเป็นศีรษะโล้น สะท้อนแสงอาทิตย์บนศีรษะกระจ่างยิ่ง
พอเห็นเช่นนี้ คนบนฝั่งก็ฮือฮาดัง รีบหาที่หลบซ่อนกันใหญ่ พอฝูงชนแตกฮือ ชายฉกรรจ์จึงไล่ตามไปเกือบถึงตัวเด็กหนุ่มผู้นั้น
ทว่าเดิมอยู่ริมคลองส่งน้ำ ใกล้คลองส่งน้ำมากแล้ว ตำแหน่งหวังทงย่อมมองเห็นห่อผ้าอาบน้ำมันในมือเด็กหนุ่มผู้นั้น พอมาถึงฝั่ง เด็กผู้นั้นก็กระโดดลงน้ำทันที
“พวกเจ้ายืนเซ่อทำไมกันอยู่ ทำข้าขายหน้าต่อหน้าใต้เท้าผู้แทนพระองค์แล้ว รีบไปจับพวกก่อความไม่สงบไม่เกรงกลัวกฎหมายสิ รีบไปเร็ว!!”
ผู้ว่าเมืองฉางโจวตะโกนด่าดัง หน้าตาถูกฉีกหมดสิ้น มือปราบติดตามหลายคนได้ยินก็รีบรีบตะโกนเรียกเจ้าหน้าที่ตามไปด้วยกัน
เด็กหนุ่มว่ายน้ำได้ไม่เลว พอโดดลงน้ำได้ ก็ห่างจากฝั่งได้พอควรจึงได้โผล่หัวขึ้นมา กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ตามมามีคนโดดลงน้ำมาด้วย มีคนบนฝั่งตะโกนเรียกเรือ
ตอนนี้มันสนุกกว่าที่คาดมากนัก หวังทงสนใจอยากดูต่อมาก เขามองออกว่า แม้ว่าผู้ว่ามีคำสั่ง แต่มือปราบเจ้าหน้าที่กลับเคลื่อนไหวช้ากันมาก เดินช้ามาก มาถึงก็ไม่ได้ลงมืออันใด เหมือนว่าจะส่งเสียงคลายสถานการณ์แทน ชายฉกรรจ์บนฝั่งก็ไม่เกรงใจ ขุนนางพวกนี้ได้แต่ยิ้มแหะๆ
หวังทงไม่เชื่อว่า เจ้าหน้าที่เมืองฉางโจวนี่จะต่างจากที่อื่น คงสมคบคิดกันเช่นกัน ต้องบอกก่อนว่าผู้แทนพระองค์อยู่ตรงนี้ ยังมีคำสั่งผู้ว่า ยังถึงกับไม่ทำอันใดเช่นนี้อีก ช่างแปลกจริง
ทางบนวิ่งได้เร็ว แต่ในน้ำใช่ว่าจะว่ายช้า ชายฉกรรจ์ที่โดดลงน้ำว่ายได้เร็ว ตามมาถึงตัวอย่างรวดเร็ว ผ้าโพกศีรษะย่อมหลุดยามลงน้ำ สะท้อนแสงอาทิตย์วับวาว
“ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ นายท่าน……ข้าน้อย…….ข้าน้อย…… มีเรื่องคับแค้นต้องการฟ้อง……”
เด็กหนุ่มตะโกนอยู่กลางน้ำ กินน้ำเข้าไปหลายอึก แต่ก็ยังห่างจากหวังทงพอควร หากเป็นคนอำเภออู๋เมืองซูโจวอยู่ หากมักไปนั่งเล่นร้านน้ำชาอยู่บ้าง ก็ย่อมจำได้ว่าเป็นเด็กขายถั่วห้ารสหน้าดำเมี่ยมผู้นั้น ทว่าเด็กหนุ่มตอนนี้เสียงแหลมเล็ก ฟังแล้วก็ไม่ได้แหบ ในน้ำมองไปก็เห็นใบหน้าที่ไม่ดำ
คิดไม่ถึงว่าเกี่ยวพันกับตน หวังทงหันไปมอง กล่าวว่า
“พาขึ้นมา!”
พอสั่งการลงไป คลองส่งน้ำไม่มีกระแสน้ำ ลมก็นิ่ง ได้ยินหวังทงสั่ง คนเรือก็หยิบไม้ไผ่ยาวท่อนหนึ่ง ให้เด็กหนุ่มเกาะไว้
เด็กหนุ่มว่ายน้ำเป็น ที่จริงแล้วผู้แทนพระองค์ส่งไม้ไผ่ออกไปก็เพื่อกันคนที่ตามมาให้ถอยห่างไป แต่เห็นเรือยื่นไม้ไผ่มา สายตาเห็นๆ ว่ากำลังจะจับตัวได้แล้ว เจ้าหัวโล้นนั่นถึงกับควักดาบออกมา แทงใส่ทันที
ตอนนี้ทั้งบนเรือบนฝั่ง ทุกคนล้วนจับตามองอยู่ เห็นควักดาบออกมา ก็อึ้งตกใจกันไป แต่บนเรือหวังทง มีคนจับตาดูอยู่บนหัวเรือนานแล้ว
ในน้ำมีเจ้าโล้นควักดาบออกมา ม่อยื่อเกินบนเรือก็น้าวธนูทันที มือเทพโดยแท้ ยิงเข้าปักหน้าอกเจ้าโล้นนั่นทันที
เด็กหนุ่มยามนี้คว้าไม้ไว้ได้แล้ว คนหวังทงค่อยๆ ดึงขึ้นมา บนฝั่งเงียบไป ตามมาด้วยตกใจ คนตายแล้ว
“ผู้ว่าหลัว กลางวันแสกๆ มีคนใช้ดาบสังหาร เมืองฉางโจวสงบสุขดีนะ!”
ได้ยินหวังทงยิ้มถาม ผู้ว่าหลัวเหงื่อตกเต็มหน้า ผู้ใดจะคิดว่าดีอกดีใจรอรับผู้แทนพระองค์ กลับกลายเป็นเรื่องบัดซบเช่นนี้ไปได้กัน แม้ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ไม่ว่าอันใด ผู้ตรวจการเมืองอิ้งเทียนก็คงจัดการตนเองแน่ ขณะหวาดกลัวนั้นก็ได้ยินผู้ว่าหลัวหันไปตะโกนขึ้นว่า
“ต้าหยา มือปราบเช่นเจ้าเป็นกันอย่างไร!?”
หัวหน้ามือปราบที่ยืนห่างไปไม่ไกลที่ถูกเรียกว่าต้าหยาก็รีบก้มหัววิ่งออกมา คุกเข่าโขกศีรษะกล่าวว่า
“ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ นายท่าน ท่านผู้ว่าโปรดระงับความโกรธก่อน ข้าน้อยจะรีบไปสอบถาม”
ก็เป็นดังหลักการว่าปลาใหญ่กินปลาเล็ก ทางนี้ทำท่าหวาดกลัวราวหลานตัวน้อย หากพอหันไป มือปราบก็ตะโกนสั่งไปว่า
“ปล่อยคนร้ายพวกนั้นไปได้อย่างไร ไม่อยากทำงานกันแล้วใช่ไหม?”
มีตำแหน่งเจ้าหน้าที่เดินในเมืองจะกินดื่มอะไรก็ตามอำเภอใจได้ ก็ย่อมเป็นงานดี ผู้ใดอยากจะสูญเสียไปง่ายๆ กัน ไม่คิดว่าคนด้านหลังพอได้ยินกลับทำสีหน้าลำบากใจ
หวังทงก็สังเกตเห็นว่า ชายฉกรรจ์หลายคนที่เรียกหาเรือเมื่อครู่จากไปแล้ว ไม่มีเจ้าหน้าที่ขวางไว้ ทางนั้นมีคนมากระซิบต้าหยาสองสามคำ
หัวหน้ามือปราบเมืองฉางโจวต้าหยาสะดุ้ง ไม่สนใจคุกเข่าลง ก่อนจะลุกขึ้นไปกระซิบข้างหูผู้ว่า สีหน้าผู้ว่าหลัวก็เหมือนลำบากใจ หันไปกล่าวกับหวังทงว่า
“ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ เมื่อครู่โจรพวกนั้นที่มา ว่ากันว่าเป็นพระจากวัดผู่หยวน เรื่องนี้คือว่า……”
หวังทงอึ้งไป พอได้สติ ก็ยิ้มให้ผู้ว่าหลัวกล่าวว่า
“ท่านเป็นขุนนางที่นี่ ระดับสี่ ถึงกับกลัวพระที่พื้นที่ หมวกแพรบนศีรษะเจ้าไม่อยากได้แล้วกระมัง?”
แม้ว่ายิ้มกล่าว แต่สีหน้าหวังทงเย็นชานั้นมองออกชัดเจน ผู้ว่าหลัวร้อนใจใหญ่ ไม่สนใจวางท่าขุนนางอันใดรีบปรี่เข้าไปกล่าวเบาๆ ว่า
“ใต้เท้าผู้แทนพระองค์คงไม่รู้ว่าเมืองฉางโจวนี่ วัดผู่หยวนกับชนชั้นสูงในเมืองฉางโจวสนิทกันมาก ยังมีใต้เท้าในราชสำนักหลายท่านไปที่วัดบ่อยๆ ข้าน้อยจะล่วงเกินได้อย่างไร จะว่าไป ตำแหน่งข้าน้อยแม้ไม่เอาแล้ว แต่ชีวิตยังเอาอยู่”
ผู้ว่าหลัวพอร้อนใจ สีหน้าก็แสดงออกมาหมด วาจาไม่รักษาหน้าเช่นนี้ ทำเอาหวังทงหมดคำพูด จ้องมองเขาก่อนจะส่ายหน้า กล่าวจริงจังว่า
“ผู้ว่าหลัวให้คนที่มาต้อนรับกลับไปก่อน ให้เจ้าหน้าที่ทางการรอก่อน!”
หวังทงสั่งการเสียงเย็น ตนเองหันไปมองใต้ท้องเรือ ทางนั้นมีทหารสองนายกำลังนำเด็กหนุ่มมา บางทีอาจไม่คิดว่าผู้แทนพระองค์จะอายุน้อยเพียงนี้ เด็กหนุ่มนั่นอึ้งไปก่อนจะได้สติโดยพลัน รีบดิ้นรนกล่าวว่า
“ ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ ข้าน้อยข่งรั่วเหมยขอฟ้องร้องตระกูลสวีเมืองซงเจียงรุกครองที่นา ทำให้ตระกูลบิดาข้าน้อย 10กว่าชีวิตต้องตายไป ขอใต้เท้าผู้แทนพระองค์ให้ความเป็นธรรมด้วย!!”
น้ำเสียงกระจ่ราง เห็นชัดว่าเป็นหญิง ทหารหวังทงพอได้ยินก็รีบปล่อยมือ ข่งรั่วเหมยไม่ทันตั้งตัว ล้มลงพับกับพื้น ส่งเสียงร้องเจ็บ
หวังทงจึงได้สังเกตว่า สีดำบนใบหน้าเด็กหนุ่มนามข่งรั่วเหมยจางลงไปมาก หลายแห่งเผยผิวขาวเนียนกระจ่าง เสื้อผ้าเปียกน้ำแนบเนื้อ ทำให้เห็นร่างอรชร ชายหญิงไม่อาจใกล้ชิด ไม่อาจมองมาก ทุกคนในห้องพากันกระแอมไอหันหน้าหนี หวังทงถามขึ้น
“เจ้ามีหลักฐานอันใด?”
“ข้ามีสมุดบัญชีเกล็ดปลาและสัญญาที่ดินและยังมีคำให้การที่ครอบครัวข้าน้อยลงนาม……”
สมุดบัญชีเกล็ดปลาก็คือสมุดบันทึกที่ดินของพื้นที่ เป็นบันทึกทางการจัดแบ่งที่ดิน มีสิ่งนี้ก็เรียกได้ว่ามีหลักฐานที่มีน้ำหนัก เดิมคิดว่าไม่อาจจัดการตระกูลสวีเมืองซงเจียงได้แล้ว คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ มีคนนำหลักฐานมาให้ถึงที่ ข่งรั่วเหมยเงยหน้าขึ้น สีหน้าเด็ดเดี่ยวยิ่ง
เด็กหญิงตอนนี้หน้ามอมแมม มองไม่ใบหน้าไม่ออก แต่แววตานั้นทำให้หวังทงคิดถึงแววตาที่เคยเห็นในตอนนั้น แววตาเจ้าจินเลี่ยงตอนอยู่บนเตียงที่มองมายังตน เพียงแต่ตอนนั้นไม่ทันรู้สึก แต่วันนี้กลับมองกระจ่างแล้ว
“แม่นางน้อย เจ้ากลัวข้าใช่ไหม กลัวว่าข้ากับตระกูลสวีจะเป็นพวกเดียวกัน?”
พอถามออกไป ข่งรั่วเหมยก็สะดุ้งตกใจ หากก้มหน้าลงต่ำ หวังทงเข้าใจแล้วก็หัวเราะดังลั่นสั่งการไปว่า
“ให้แม่นางไจ๋มาดูแลแม่นางผู้นี้ หลิ่วซานหลังนำคนสิบคนอารักขาเรือนี้ไว้ คนอื่นแต่งกายพร้อมอาวุธขึ้นฝั่ง!”
หวังทงกล่าวตบ ก็เดินเข้าไปด้านใน ทั้งเรือก็เริ่มปฏิบัติการ
เกิดเหตุต่อหน้าผู้ว่าการเมืองฉางโจว ถูกผู้แทนพระองค์ตำหนิก็แล้วไป แต่กลับไม่กล้าเอาเรื่องกับคนก่อเรื่องเสียด้วย ผู้แทนพระองค์ยังให้พวกเขารอก่อน ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี กำลังร้อนรนดังมดบนหม้อไฟ
ไม่นานก็กลับเห็นหวังทงในชุดเกราะลงจากเรือมา เรือแต่ละลำก็มีทหารพร้อมรบเดินตามมา วันนี้อากาศร้อน แต่พอทุกคนปรากฏตัว คนที่ได้เห็นก็กลับหนาวยะเยือกขึ้นมาทันที มีแต่ชายร่างผอมราวกับลิงกังข้างหวังทงแต่อยู่รอบนอกออกไปคนหนึ่งเท่านั้นที่ดูธรรมดาในชุดผ้าฝ้าย
ผู้ว่าหลัวกำลังอึ้ง ก็ได้ยินหวังทงยิ้มกล่าวว่า
“รบกวนผู้ว่าหลัวนำทาง ข้าจะไปไหว้พระ!”
หวังทงกล่าวเช่นนี้ ผู้ว่าหลัวกลับไม่ได้รู้สึกผ่อนคลาย หากหนาวเหน็บแทน แต่ยามนี้ยังจะกล่าวอันใดได้ ก็ได้แต่ยิ้มรับคำ
เจ้าหน้าที่ทางการทุกคนถูกตวาดให้นำทาง พวกหวังทงหาม้ามาได้หลายสิบตัว ห่างจากหวังทงกองนั้น พอได้ยินชายร่างเล็กกล่าวว่า
“พระผู่หยวนเดิมเป็นมหาโจรทะเลสาบไท่หู เคยปล้นสินค้าตระกูลสวีถูกทางการจับได้…….”
ตอนที่ 855 ปะทะหลั่งโลหิตหน้าประตู
โดย
Ink Stone_Fantasy
พระผู่หยวนผู้นี้ตอนนั้นได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมชั่วร้ายมาก ชายฉกรรจ์ชาวบ้านในพื้นที่ออกสู้กับเขาหลายครั้ง แต่ก็ถูกคนผู้นี้นำคนสังหารถอยกลับมาหมด แม้แต่ทางการเองก็ใช่ว่าจะเอาชนะได้
ทะเลสาบไท่หูกว้างใหญ่ เป็นพื้นที่หลายอำเภอ แบ่งแยกไม่ชัด คิดจะจับเขานั้น ก็ต้องได้หนังสือจากหนานจิงมาก่อน ยังต้องผ่านกระบวนการมากมาย ความยุ่งยากนี้ทำให้คนทางการไม่อยากทำ และหากทำไปก็ไม่ได้ประโยชน์อันใดกับตนเอง ยังต้องมาบาดเจ็บล้มตาย ต้องมาจ่ายค่ายารักษาไม่ก็ค่าเผาศพอีก เรื่องเช่นนี้จึงไม่มีผู้ใดอยากจัดการ
ผู่หยวนตอนนั้นลงมือโหดเหี้ยมทั้งทางบกและทางน้ำ แต่ไรมาไม่เคยไว้ชีวิตผู้ใด จะมีคนมาฟ้องทางการได้อย่างไร บางทีอาจมีหลุดรอดไปบ้าง แต่ทางการก็จะผลักไส ไม่กล้าไปยุ่งเกี่ยว
มีชื่อเสียงมา ทั้งฝ่ายดำฝ่ายชาวก็ต้องให้เกียรติเขา แม้เป็นผู้มีอิทธิพลบนท้องทะเลส่งสินค้ามาแดนใต้ก็ต้องมาแจ้งให้ผู่หยวนรู้ ถึงกับแบ่งสินค้าให้เขาก็มี
ตระกูลสวีมีที่นาปลูกข้าวและที่ปลูกฝ้าย เมืองซงเจียงเป็นเมืองทอผ้าอันดับต้นๆ ในใต้หล้า ทุกปีมีผ้าขนานใหญ่ส่งออกขาย ยังมีสินค้ามีค่าจากท้องทะเลมาอีก ตระกูลสวีทำการค้าพวกนี้ไม่น้อย
ด้วยสถานะตระกูลสวี สวีเจี้ยสามารถเป็นมหาอำมาตย์ได้ ลูกศิษย์ก็ย่อมมีทั่วไปแม้ในราชสำนัก พวกเขาไม่จำเป็นต้องหาแนวร่วมจากพวกนักเลงในวงการ
แต่สินค้าบนเรือสูงค่ากลับถูกผู่หยวนจับจ้อง ตระกูลสวีมีสินค้าบางอย่างไม่สะดวกแขวนป้ายว่าเป็นสินค้าตระกูลสวี ผู่หยวนลงมือกลางน้ำ
คนปกติสินค้าถูกปล้นชิง คนงานถูกสังหาร ก็ต้องไปแจ้งทางการ ทางการก็บอกว่าจะจัดการคดีให้ แต่ก็ผัดผ่อนเรื่อยมาก สุดท้ายเจ้ารอจนตายก็ไม่ได้ความอันใด แต่เรือการค้าตระกูลสวีถูกปล้น นั่นไม่ใช่เรื่องเล็ก
คนตระกูลสวีไม่ได้แจ้งความกับทางการ ตอนนั้นน้องชายแท้ๆ ของสวีเจี้ยดูแลจวนตระกูลสวีในเมืองซงเจียง เป็นพวกไม่ได้มีตำแหน่งอันใด เขาจึงได้เขียนจดหมายไปยังหนานจิง สามวันจากนั้น เจ้าหน้าที่มือปราบจากเมืองอิ้งเทียน เมืองเจิ้นเจียง เมืองฉางโจว เมืองซูโจวและเมืองซงเจียงก็ประสานกำลังกันออกไล่ล่าทางน้ำและทางบก ยังมีทหารในพื้นที่ออกหน้าอีกแรง ที่ยิ่งทำให้ผู่หยวนตกใจก็คือ พวกมีอิทธิพลบนท้องทะเลไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดินพวกนั้น พวกค้าเกลือเถื่อนที่วางอำนาจเหิมเกริมก็ยื่นมือเข้ามาด้วย
ไม่มีโจรที่ทางการไม่อาจจับได้ มีแต่จับหรือไม่เท่านั้น กำลังประสานกันมากมายเพียงนี้ ว่ากันว่าขันทีใหญ่เมืองหนานจิงกับทหารติดตามเว่ยกั๋วกงก็เข้าร่วมด้วย จะจับไม่ได้ได้อย่างไร คนของพระผู่หยวนถูกล้อมไว้ ได้แต่ยอมมอบตัว
เดิมคิดว่าจะลงโทษเปิดเผย แต่ผู่หยวนผู้นี้ไม่ธรรมดา ถึงกับฝากคนไปพูดกับพ่อบ้านตระกูลสวี บอกว่าตระกูลสวีเป็นตระกูลใหญ่ เรื่องเปิดเผยต้องการคนจัดการให้ เรื่องลับนั้นก็ต้องการคนทำเช่นกัน เขาเองมีความสามารถ หากใช้เขา เขาย่อมรับใช้อย่างภักดี
เล่ากันว่าตระกูลสวีกับสวีเจี้ยในเมืองหลวงตอนนั้นก็มีสายสัมพันธ์กัน จากนั้นผู่หยวนก็ถูกปล่อยตัว ลูกน้องก็ตายไปแค่ตัวเล็กๆ คนที่เหลือกลับออกบวชที่เมืองฉางโจว พริบตากลับตัวก็กลายเป็นพระผู้ใหญ่มีชื่อ ผู่หยวนกลายเป็นพระผู่หยวน หรือไต้ซื่อผู่หยวน
ใต้หล้านี้มีเรื่องหนึ่ง ตระกูลใหญ่มักจะมีวัดของตนเอง คนในบ้านหากมีคนไม่อาจเปิดเผยก็มักส่งไปไว้วัดนี้ นักบวชย่อมไม่ถูกทางการจัดการ มีความสะดวกเช่นนี้ แน่นอน พระผู่หยวนพอออกบวชแล้วก็ไม่เห็นจะกินเจสร้างความดีแต่อย่างใด
ชาวบ้านในพื้นที่ไม่รู้ข่าวความนัยซ่อนเร้น แต่หลูต้าอยู่ในวงการมาโชกโชนย่อมรู้ไม่น้อย พระผู่หยวนยังคงมือเปื้อนเลือดไม่ต่างจากตอนที่เป็นมหาโจร หากเทียบกับตอนนั้น ตอนนี้มีตระกูลสวีหนุนหลัง อาวุธดี ยังเรียกสมัครพวกเดนตายได้อีก อิทธิพลก็เริ่มยิ่งใหญ่กว่าเดิม
แน่นอนสังหารคนแทนตระกูลสวีย่อมไม่ได้ทำเปล่า เมืองฉางโจวและเมืองซูโจว ยังมีหูโจวกับเจียซิงที่เจ้อเจียงกับ มีการค้าใดที่ไม่อาจเปิดเผย ผู่หยวนก็จะมีส่วนแบ่งหลายส่วน ไม่เช่นนั้นการค้านี้ก็ไม่ทำ
เรื่องนี้หากผ่านฝีปากนักเล่านิทานก็คงสนุกไม่น้อย แต่พอเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ก็ย่อมต้องถามขุนนางท้องที่ว่าละอายต่อหน้าที่ไหม ใช่ว่าปล่อยเสือเข้าป่าหรอกหรือ หรือว่าสมคบคิดกับพวกโจรเสียเอง หรือว่าให้การคุ้มครองคนร้ายเสียเอง
หลูต้ากล่าวจบ หวังทงกวักมือเรียกอู๋เอ้อร์กับสื่อชีมาถามว่า
“วัดผู่หยวนสะอาดไหม? จับผิดอันใดไม่ได้?”
ได้ยินหวังทงถามเช่นนี้ มุมปากสื่อชีกระตุก อู๋เอ้อร์อดไม่ได้แสยะยิ้มรีบกล่าวว่า
“ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว ท่านโหวอย่าได้ตำหนิ คนในวงการนักเลงใช้วัดเป็นแหล่งกบดานก็ไม่น้อย วันนี้ทางการไม่ตรวจสอบ มีอะไรซ่อนไว้ก็วางใจได้ พวกเขาเป็นพระปลอม ไม่ใช่พระจริง ให้พวกเขาลำบากจะทนไหวได้อย่างไร ข้าน้อยกล้าพนันเลยว่า ในวัดผู่หยวน ด้านหลังต้องมีหญิงสาว ย่อมมีของโจร”
สื่อชียังกล่าวว่า
“ท่านโหววางใจได้ วัดเช่นนี้เป็นที่ซ่อนของอย่างดี มีแต่ข้างนอกเอาของมา ย่อมไม่มีเหตุผลที่วัดจะส่งออกไป ย่อมต้องตรวจสอบเจอ”
หวังทงยิ้มพยักหน้า เจ้าหน้าที่นำทางด้านหน้าเมื่อครู่ได้ยินหวังทงกับหลูต้าคุยกันก็ตกใจขวัญกระเจิง ไม่กล้าเข้าใกล้อีก ด้านหลังเช่นนี้พวกเขาย่อมไม่ได้ยินอันใด
**********
คนนอกมักกล่าวถึงวัดผู่หยวนแห่งเขาฮุ่ยซาน แต่เมืองฉางโจวไหนเลยจะมีเขาสูง จะว่าไป วัดต้องอาศัยชาวบ้านทำบุญ ล้วนต้องอำนวยความสะดวกให้ชาวบ้านทำบุญ หากสร้างบนเขาจริง คนรวยที่ไหนจะเสียเวลาขึ้นเขาให้เปลืองแรง
ดังนั้นแท้จริงแล้ววัดผู่หยวนจึงอยู่นอกเมืองออกไปแค่สามลี้ มองแล้วก็เหมือนเป็นจวนใหญ่มีพื้นที่มาก เดือนแปดอากาศร้อน แต่คนก็ยังมาจุดธูปไหว้พระกันไม่น้อย
พวกหวังทงในชุดเกราะเต็มยศควบมากันตามทาง ด้านหน้ามีคนทางการนำมา เป็นที่สะดุดตามาก ระหว่างทางมีคนเห็นคนเร่งรีบวิ่งไปยังวัดผู่หยวน เห็นชัดว่าไปแจ้งข่าว
เส้นทางไปวัดผู่หยวนเป็นทางกว้าง ทัพม้าที่ตามมาบนฝั่งไม่เห็นแล้ว ไม่รู้ว่าไปไหนกันหมด
ชุดเกราะจำเป็นต้องซับชุดฝ้ายไว้ด้านใน เดือนแปดเมืองฉางโจวอากาศร้อนมาก หวังทงเหงื่อออกมาจนไม่สบายตัว ดีที่เบื้องหน้าเป็นวัดผู่หยวนแล้ว
หวังทงได้ไปมาหลายแห่ง เห็นสิ่งก่อสร้างใหญ่โตมาไม่น้อย วัดผู่หยวนนี่ไม่เบา กำแพงสูงหลังคากระเบื้องดำ มีต้นไม้ใหญ่สองข้างประตูทางเข้า ให้ความร่มรื่นมาก เห็นเจดีย์และอารามในวัด กอปรกับควันธูปลอยจากกระถาง ให้ความรู้สึเหมือนเป็นวัดแดนสะอาดเสียจริง
ผู้ว่านำผู้แทนพระองค์มาถึง ผู้แทนพระองค์กับทหารติดตามมาในชุดเกราะ ข่าวนี้ชาววัดผู่หยวนล้วนรู้กันแล้ว พระผู่หยวนนำคณะพระออกมาต้อนรับ
หวังทงหยุดม้าตรงหน้าวัด ผู้ว่าหลัวรู้ว่าไม่ได้การแล้ว แต่ไม่กล้ากล่าวหรือทำการใด ได้แต่หลบทางให้เจ้าหน้าที่ล้อมทุกคนไว้
“เจ้าอาวาสวัดนี้มาตรงหน้าข้านี่!”
หวังทงกล่าวเสียงดัง พระผู่หยวนกล่าวอมิตาภพุทธ จากนั้นค่อยๆ ก้าวออกมา ตามที่หลูต้าบรรยายมา ผู่หยวนน่าจะอายุราว 50 ทว่ากินดี สิบกว่าปีนี้ดูแลตัวเองได้ดี ก็เลยดูเหมือน 40 กว่าเท่านั้น รูปร่างอ้วน ใบหน้าอูมอวบ ในชุดจีวระและประคำ เดินออกมาดูเป็นพระผู้ใหญ่จริง
ต่อหน้าหวังทง ก็อมิตาภพุทธก่อนจะประสานมือพนมคำนับ กล่าวว่า
“ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ อาตมาขอเจริญพร”
“ผู่หยวน เมื่อครู่ตอนข้าอยู่ริมน้ำ มีหัวโล้นหลายคนทำการชั่วร้ายกลางวันแสกๆ จะสังหารผู้บริสุทธิ์ต่อหน้าข้า เจ้าโล้นพวกนั้นเป็นคนวัดผู่หยวนเจ้า เจ้าอธิบายอย่างไร?”
สีหน้าผู่หยวนดูไม่ออกว่าคิดอย่างไร มีแต่คำนับอย่างเป็นทางการกล่าวว่า
“วัดเราเป็นสถานที่สะอาดศักดิ์สิทธิ์ ใต้เท้าผู้แทนพระองค์อย่าได้กล่าววาจาเหิมเกริม……”
“อืมแสร้างเป็นผู้มีจิตเมตตาได้เหมือนนะ!”
หวังทงบนหลังม้าแค่นเสียงฮึ ชักดาบออกจากฝัก กำลังคุยกันดีๆ ผู้ใดจะไปคิดว่าจะชักดาบออกมา รอบช่างมีคนส่งเสียงร้องตกใจ ผู่หยวนรีบยกมือแตะดาบที่เอวทันที ทว่าก็ได้สติอย่างเร็ว หากการเคลื่อนไหวนี้กลับตกอยู่ในสายตาของหวังทงทั้งหมด
“โจรโล้น ถึงกับคิดลอบสังหารข้า!!”
ไม่พูดมากความต่อ หวังทงสองขากระแทกสีข้างม้า ม้าก็กระโจนไปด้านหน้า ดาบในหวังทงฟันลง ผู่หยวนยังไม่ทันตั้งตัว หัวก็ถูกฟันร่วง กลิ้งลงไปที่พื้น ก่อนเลือดสดจะสาดกระเซ็นพุ่งออกมา
รอบด้านเงียบกริบไปก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องดังอย่างตกใจ ผู้ว่าหลัวที่ตามมาด้วยสองมือสั่น ไม่ว่าควรทำเช่นไร ผู้แทนพระองค์ก็ไม่ควรสังหารคนกลางวันแสกๆ เช่นนี้ และยังเป็นถึงพระผู้ใหญ่มีชื่อในเมืองฉางโจวเสียด้วย
พระวัดผู่หยวนที่ออกมาต้อนรับหวังทงแตกฮือ ทหารติดตามหวังทงกรูกันมาด้านหน้า แบ่งเป็นสองทาง พระจำนวนไม่ได้น้อยไปกว่าทหารติดตามอารักขาหวังทง แต่ทหารติดตามอารักขาหวังทงมาพร้อมอาวุธครบมือ ทำเอาพระทั้งหลายไม่กล้าเคลื่อนไหวพลการ
แต่บรรดาราษฎรที่มุงดูกลับแตกตื่นแทน หวังทงบนหลังม้าหันไปใช้ดาบเปิดจีวรพระผู่หยวน ที่เอวพระผู่หยวนมีดาบสั้นยาวสามเชียะอยู่จริงๆ
ผู่หยวนเดิมเป็นโจร ย่อมต้องมีอาวุธติดกายไม่น้อย แต่หากเป็นพระพบผู้แทนพระองค์นำดาบติดตัวมาด้วย เรื่องนี้ก็พูดยาก นับประสาอันใดกับใต้เท้าผู้แทนพระองค์ตะโกนออกมาว่า ‘ลอบสังหาร’ คนระยะใกล้ล้วนได้เห็นศพผู่หยวนว่ามีดาบ
เรื่องนี้ค่อยๆ แพร่ออกไปรอบๆ คนที่ตกใจก็เริ่มพากันเงียบ เปลี่ยนเป็นวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ ผู้ว่าหลัวเดินมาดู ก็ตัวสั่นงันงกไปหมด ผู้แทนพระองค์สังหารพระว่ายุ่งยากแล้ว แต่พระคิดลอบสังหารผู้แทนพระองค์ กลับยุ่งยากยิ่งกว่า
“ผู้ว่าหลัว โจรโล้นนี่คิดลอบสังหารข้า ดีที่ที่ว่าการเมืองฉางโจวกล้าหาญ จึงได้ปราบลงได้ รีบนำคนของเจ้ามาจับสิ!”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ผู้ว่าหลัวจึงได้วางใจ นี่เรียกว่าสร้างความชอบ รีบหันไปสั่งคนมาจัดการ พระบางรูปเห็นท่าไม่ดีก็คิดหนีกลับเข้าวัด ทว่าก็มีพลธนูรอยิงบนกำแพงแล้ว คนทั้งหมดถูกบีบให้ออกไปอยู่ด้านนอก
เห็นสถานการณ์ในความควบคุมเช่นนี้ คนที่มุงอยู่ข้างทางก็มีคนหนึ่งคุกเข่าร้องไห้ตะโกนขึ้นว่า
“ ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ ช่วยลูกข้าน้อยด้วย!!”
ตอนที่ 856 พยานและหลักฐาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
สถานการณ์กำลังวุ่นวายเช่นนี้ ถึงกับมีคนพุ่งออกมาคุกเข่ากล่าวว่าให้ช่วยลูกด้วย ช่างราวกับโยนฟืนลงบนกองไฟเสียจริง คนมุงพากันมองดู
สำหรับหวังทง การโขกศีรษะนี้ราวกับส่งหมอนมาให้ คนที่พุ่งออกมานี้เป็นชายวัยกลางคนในชุดแพรไหม ยามคนผู้นี้พุ่งออกมา ก็มีมือปราบหลายคนรู้จัก ถามอย่างสงสัยว่า
“ท่านจู้ ท่านมีเรื่องใดกัน?”
พอถาม หวังทงจึงได้รู้ว่า ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือพ่อค้าผ้ารายใหญ่เมืองฉางโจว เปิดกิจการร้านผ้าแพรไหมสิบกว่าร้าน และยังเป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองฉางโจว คนเช่นนี้จะมีเรื่องเดือดร้อนได้อย่างไร ไปแจ้งทางการก็ได้นี่ ไยต้องมาขวางหน้าขุนนางเพื่อร้องทุกข์ด้วย
“บุตรชายคนเดียวข้าถูกพระวัดผู่หยวนจับตัวไป บอกว่ามีวาสนากับพุทธะ หากคิดอยากให้บุตรชายข้าได้กลับบ้าน ก็ต้องส่งมอบเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเพื่อไถ่ตัวจากพุทธะ”
ตอนอยู่ตอนเหนือของแม่น้ำ หวังทงได้ยินเรื่องนี้จากหลูต้าแล้ว พระผู่หยวนในเมืองจับตัวเด็กจากครอบครัวใหญ่ไปที่วัด แล้วก็บังคับเรียกร้องเงินทอง คิดไม่ถึงว่าตนเองจะได้ประสบเหตุนี้ หวังทงบนหลังม้ายิ้มเงยหน้ามองไปยังเจดีย์กล่าวว่า
“บุตรชายเจ้าน่าจะถูกขังไว้ที่เจดีย์นั่นกระมัง!”
ผู้ว่าหลัวสีหน้านิ่งไม่น้อย ความชั่วร้ายวัดผู่หยวนยิ่งมาก ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ก็ยิ่งง่ายต่อการจัดการ กำลังจัดการอยู่นั้น หวังทงก็กล่าวว่า
“ของที่ได้ในวัดเท่าไรข้าไม่สนใจ ที่นาของวัด ข้าก็ไม่สนใจ แต่ต้องขายถูกให้คนที่การค้าหลายเจ้าหน่อย”
ได้ยินเช่นนี้ ผู้ว่าหลัวก็เริ่มคึกคัก วัดเป็นที่ปลอดภาษี ที่นาสี่ทิศก็มีไม่น้อย แต่ไรมาก็เป็นเจ้าของที่ดินอันดับหนึ่งเช่นกัน พระผู่หยวนก่อเรื่องเช่นนี้ ผู้ว่าหลัวก็ย่อมเคยได้ยินมา เงินทองของมีค่าในวัดก็ย่อมไม่น้อย หวังทงกล่าวว่าไม่สนใจจำนวนเท่าใด ก็ย่อมให้ท้องที่จัดการเอง การค้าที่ว่านั้น ทุกคนก็รู้ดีแก่ใจ อย่างไรก็ต้องไม่ปล่อยให้ใต้เท้าผู้แทนพระองค์มือเปล่ากลับไป
“ข้าน้อยรับคำสั่ง! หากไม่ใช่ใต้เท้าผู้แทนพระองค์มาด้วยตนเอง ความชั่วร้ายของโจรนี่ ท้องที่ยังไม่รู้ว่าจะเสียหายอีกเท่าไร ข้าน้อยละอายใจยิ่ง ขอทำความดีชดใช้ความผิด จะรวบรวมกำลังเจ้าหน้าที่จัดการคดีให้เร็วที่สุด!”
ผู้ว่าหลัวรับคำเสียงดังก้อง รีบไปจัดการทันที หวังทงบนหลังม้ายิ้มพยักหน้า เขามีสถานะผู้แทนพระองค์ แต่อย่างไรก็เป็นคนนอก หากคิดให้ท้องที่ทำงาน ก็ต้องให้ผลประโยชน์เพียงพอ
พระที่ถูกกันออกมาด้านนอกเริ่มร้อนใจกัน พวกเขาย่อมไม่ใช่คนดีอันใด แต่ทหารติดตามหวังทงก็ช่างร้ายกาจไม่น้อย พลธนูในที่สูงก็หลายคน ทหารในชุดเกราะก็ล้อมอยู่รอบนอก เมื่อครู่หลายคนที่คิดหนีก็ถูกธนูยิงใส่
หากไม่กล้าขยับก็ส่วนไม่กล้าขยับ คนกลุ่มใหญ่กำลังมา หากยังไม่ขยับอีกก็คงเหมือนปูที่ถูกจับใส่ไห พระหลายคนก็เริ่มสบตากัน มีคนตะโกนขึ้นว่า
“นายท่าน อาตมาถูกใส่ร้าย!!”
คนหนึ่งตะโกน ทุกคนก็พากันเสียงดัง พระนับร้อยเบียดเสียดกันอยู่ แม้แต่เอาเจ้าอาวาสก็มีดาบสั้น พวกเขาเหล่านี้ อย่างไรก็ต้องมีมีดดาบอาวุธในมือทั้งนั้น ตะโกนร่ำไห้ไปก็เบียดตัวกันออกไป
ม้าพวกหวังทงยามนี้ไม่ใช้ ม้าแบกทหารชุดเกราะมาก็ย่อมเหนื่อยกำลังไม่พอแล้ว หวังทงโดดลงจากหลังม้า มองไปยังความวุ่นวายด้านหน้า หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“พวกนี้ไม่ใช่พระ เป็นโจร จัดการตามธรรมเนียมการจัดการกับโจรได้เลย!”
มีวาจานี้ บรรดาทหารติดตามอารักขาที่ลังเลก็ลงมือทันที พระที่นี่ไม่ใช่พระจริง ล้วนเป็นพวกเดนตายกับโจรร้าย แต่พวกเขากำลังเผชิญกับองครักษ์ของหวังทงที่ได้ผ่านท้องทะเลและทุ่งหญ้านอกด่านแห่งความเป็นความตายมาแล้ว ระยะห่างนี้ไม่ใช่น้อยๆ พระพวกนี้คิดว่าตะโกนร้องไห้ให้วุ่นวายแล้วอีกฝ่ายจะใจอ่อน
คิดไม่ถึงว่าตะโกนร้องไห้ให้วุ่นวายบุกขึ้นหน้า ที่รอรับพวกเขากลับเป็นการฟันสังหารอย่างไม่ปราณี ดาบพัวเตาในมือหานกังน้ำหนักมาก ฟันร่างพระด้านหน้าขาดครึ่งท่อน เลือดสาดกระจาย
ดาบสั้นจะไปสู้กับทวนยาวดาบใหญ่ได้อย่างไร พริบตาก็ตายไปยี่สิบกว่า บรรดาพระเริ่มถอยกลับไป
“โยนอาวุธในมือทิ้ง กุมหัวคุกเข่าลง ไม่เช่นนั้นสังหารให้หมด!!”
บรรดาทหารติดตามอารักขาตะโกนดัง พระวัดผู่หยวนเห็นคนมากกว่าหลายเท่าท่าทางน่ากลัว ก็ไม่กล้าอีก ไม่รู้ผู้ใดนำโยนอาวุธทิ้ง ตะโกนกุมหัวคุกเข่าลงกับพื้น
มีเงินก้อนใหญ่อยู่เบื้องหน้า ผู้ว่าหลัวย่อมไม่ลังเล รีบไปจัดหาคนงานจากโรงบ้านใกล้ๆ มาหลายคน คนทางการจากในเมืองก็กำลังเร่งมาที่นี่ เชือกมัดอะไรก็นำมาหมด พระด้านนอกถูกจับมัดหมด หวังทงนำคนเข้าวัดผู่หยวน
ในวัดมีเณรทำงานเล็กน้อยทั่วไป ยังมีพระท่าทางอ่อนแอคอยเฝ้าไว้ พอเห็นบรรดาทางการเข้ามาก็ตกใจจนไม่กล้าขยับ คนพวกนี้ที่จริงแล้วก็เหมือนกับคนรับใช้พวกตระกูลใหญ่ พอถูกถามหนักก็บอกหมด ถามเสร็จ พระผู่หยวนนี่ควรสังหารทิ้งจริง
เจดีย์ในวัดขังเด็กไว้ถึง 10 กว่าคน ล้วนเป็นเด็กจากตระกูลคหบดีละแวกนั้น ถูกจับโกนหัวเหมือนเณรไปหมดแล้ว หากที่บ้านไม่มีเงินมาไถ่ตัว ก็จะถูกนำไปขาย หรือไม่ก็ให้ใช้แรงงานในวัด มีคนถูกทำร้ายจนไม่เหลือสภาพอยู่ด้วย
ท่านหลิวเปิดร้านผ้าแพรไหมในเมืองฉางโจวพอได้เห็นบุตรชายตนเอง พ่อลูกกอดกันร้องดังลั่น สื่อชีกับอู๋เอ้อร์คุ้นเคยกับการเป็นรังโจรของวัดในที่ลับ วัดที่ทุกคนเห็นว่าเป็นที่สะอาด ยิ่งใกล้วิหารไปทางด้านหลังก็ยิ่งไม่สะอาด
มีโกดังเก็บของมีค่าไว้เต็มหลายโกดัง ด้านหลังวัดยังมีหญิงสาวอีกราว 20 กว่าคน ก็น่าตกใจพอแล้ว มีคนเห็นเจ้าหน้าที่ทางการมาก็แผดเสียงร้องไห้ดังทันที
ที่แท้มีโจรจากที่อื่นก่อคดี เห็นสตรีหน้าตาไม่เลว ก็คิดเอาใจพระผู่หยวน ส่งมามอบให้พระผู่หยวนเล่นถึงวัด หากคิดหนีก็ย่อมถูกสังหารปิดปาก พอพบสตรีพวกนี้ จึงได้รู้เรื่องลับมากมายจากคำให้การของพวกนาง
โกดังเก็บของมีค่าไว้เต็ม เป็นของกลางไม่น้อย เป็นของที่ปล้นชิงมาแล้วยังไม่อาจขายต่อได้ในทันที คนสนิทพระผู่หยวนพอเห็นเจ้าหน้าที่กรูกันมา เห็นศพเต็มพื้นที่ ก็รู้ว่าไร้อำนาจบารมีแล้ว มีคนยอมให้การโดยขอชีวิตตนไว้
โกดังไม่น้อยมีของที่นำออกขายไม่ได้ กำลังคิดจะนำออกทะเลไปขายที่ต่างประเทศ ย่อมไม่อาจสลัดความเกี่ยวข้องกับโจรสลัดได้ ป่าด้านหลังวัดยังมีซากศพมากมาย เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับอีกหลายคดี
ผู้แทนพระองค์ มาถึงเมืองฉางโจว พอถึงวัดก็ปราบปรามรังโจรเรียบเป็นหน้ากลอง ปิดคดีได้มากมาย ราษฎรเมืองฉางโจวเคยรู้สึกดีกับวัดผู่หยวนไม่น้อย พอได้ยินเรื่องน่าตกใจของวัดมากมายเช่นนี้ ก็พากันแพร่ข่าวกันออกไปทันที พากันสรรเสริญความเก่งกล้าของหวังทง
มีพยานและหลักฐานพร้อมคำให้การ คดีนี้ก็ไม่มีทางพลิกแล้ว หวังทงกลับไปที่เรือ เดิมเตรียมไว้ว่ารับเลี้ยงแล้วก็จะไปทันที ตอนนี้คงต้องพักสักคืน ให้ที่ทำการรับรองเอกสารกลับไปแล้ว ไม่เช่นนั้น คดีอาจพลิก ทางการเปลี่ยนคำให้การ จะกลายเป็นกลับมาใส่ร้ายป้ายสีตนแทนได้
พอกลับถึงเรือ หวังทงไม่ได้ตามข่งรั่วเหมยมาถาม หากจัดการหาคนบนฝั่งจัดเกี้ยวมาแบกข่งรั่วเหมยพร้อมจัดทหารติดตามไปวัดผู่หยวนวนรอบหนึ่ง
พูดอันใดก็ไร้ประโยชน์ พอได้เห็นหัวพระผู่หยวนกับหัวพระอีกหลายรูป ที่ไม่วางใจทั้งหมดก็ล้วนมลายสิ้นไป พอกลับถึงเรือ ไม่ต้องรอหวังทงเอ่ย ข่งรั่วเหมยย่อมมาขอพบด้วยตนเอง
“ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ มารดาข้าน้อยยังอยู่เมืองซูโจว ขอท่านเมตตา พอถึงเมืองซูโจว ให้ข้าน้อยได้รับมารดาขึ้นเรือมาด้วย”
พอได้ยินขอร้องเช่นนี้ หวังทงลังเลครู่หนึ่ง สีหน้าเข้มงวดกล่าวว่า
“เจ้าเด็กหญิงตัวคนเดียว บางวาจาไม่ควรกล่าวตรงเกินไปนัก ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเขาสามารถมาดักรอเจ้าที่แม่น้ำได้ หรือว่าไม่ตามไปถึงบ้านเจ้าแล้ว มารดาเจ้าคงร้ายมากกว่าดีแล้ว”
คำว่า ร้ายมากกว่าดี ก็คือไม่มีเรื่องดีอันใดแน่แล้ว ข่งรั่วเหมยที่คุกเข่าอยู่ย่อมเข้าใจ ร่างผอมบางโงนเงนไปมา มองแล้วเหมือนว่าทรงตัวจะไม่อยู่แล้ว
หวังทงขมวดคิ้ว เด็กหญิงสุขภาพไม่ดี ร่างกายอ่อนแอ กำลังจะตามคนเข้ามา ข่งรั่วเหมยกลับบังคับฝืนตนไว้ กล่าวน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า
“มารดาข้าน้อยต้องการให้ฟ้อง คืนความเป็นธรรมให้ตระกูลข่งเรา มารดาข้าน้อยแม้ต้องประสบภัย หากรู้ว่าข้าน้อยทำสำเร็จ ก็คงตายตาหลับอยู่บนสวรรค์”
อาจเป็นเพราะข่งรั่วเหมยแต่งกายเป็นชายนานไป จึงเรียกตนเองเหมือนเป็นเด็กหนุ่ม สตรีเข้มแข็งเช่นนี้เป็นที่ชื่นชมของหวังทง จึงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ไหนว่ามาว่าไยจะฟ้องร้องตระกูลสวี ข้ามาเมืองซงเจียงก็รับพระบัญชามาจัดการเรื่องนี้”
ข่งรั่วเหมยเป็นแม่นางน้อยอายุไม่ถึง 20 ตอนนั้นเกิดเรื่องนางยังไม่ถึง 2 ขวบ บิดาข่งรั่วเหมยเป็นเจ้าหน้าที่เล็กๆ ในศาลที่ว่าการเมืองซงเจียง มีหน้าที่ดูแลสมุดบันทึกทางการ เจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆ ไม่ใช่ตระกูลใหญ่ในพื้นที่ การเสียภาษีก็ย่อมเป็นภาระไม่น้อย
ตระกูลข่งเป็นเจ้าหน้าที่ก็ย่อมมีที่นาไม่น้อย เพื่อประหยัดเงินภาษีจึงได้เอาที่นาไปฝากไว้กับตระกูลสวี เริ่มแรก ก็ทำตามธรรมเนียม แต่พอสวีเจี้ยกลับบ้านเกิดมา ตระกูลสวีกลับไม่ยอมรับว่าฝาก หากฮุบที่นาไปเสียเอง
ทุกคนในพื้นที่ย่อมออกมาเรียกร้อง แต่ตระกูลสวีอิทธิพลมาก ผู้ใดก็เอาเรื่องไม่ได้ ยามนั้นไห่รุ่ยมาถึงแดนใต้พอดี เริ่มสืบคดี คนฟ้องร้องก็ย่อมมาก ตระกูลสวีทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยอมคายที่นาออกมา หลายครอบครัวไม่อาจนำหลักฐานออกมาได้ แต่ตระกูลข่งกลับมีหลักฐานเป็นสมุดบัญชีเกล็ดปลา ไม่เพียงแต่นำของตนกลับได้ ยังช่วยเหลืออีกหลายคน
ตอนนั้นทำให้ทุกคนดีใจกันอย่างมาก แต่พอไห่รุ่ยล้มในเวลาไม่นาน ตระกูลสวีก็กลับมาฮุบใหม่ และยิ่งวางอำนาจบาตรใหญ่ พูดหน้าตาเฉยว่าที่ดินเหล่านั้นเป็นของตระกูลสวี เพราะการนำไปฝากย่อมมีหนังสือรับฝาก ตระกูลข่งยังมีบัญชีเกล็ดปลาเป็นหลักฐาน ย่อมต้องกลายเป็นหนามยอกในตาของตระกูลสวี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น