ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 854-855
ตอนที่ 854 เวทีเสวียนหยวน
“ในงานประตูสวรรค์ช่วงสุดท้ายเชี่ยนเอ๋อร์กับน้องฉินได้ร่วมทดสอบบนเส้นทางเดียวกันกับพี่หลิ่ว คนที่ร่วมทางยังมีหลงเซวียนผู้นั้นด้วย พลังของพี่หลิ่วเป็นอย่างไร พวกเราสองคนประจักษ์อยู่กับตา อีกทั้งสัตว์ประหลาดต่างเผ่าหลายตัวนั้นที่ปรากฏตัวออกมากะทันหันตอนสุดท้าย ส่วนใหญ่ก็ถูกพี่หลิ่วสังหาร เรียกได้ว่ามีความชอบใหญ่หลวง ส่วนหลงเซวียนผู้นั้นเหมือนจะถูกขังอยู่ตลอด สุดท้ายทูตวังสวรรค์จึงช่วยเขาออกมา” โอวหยางเชี่ยนส่งสายตาให้โอวหยางฉินด้านข้าง ส่งสัญญาณไม่ให้นางออกปากโต้เถียงอีก หลังจากนี้ให้ตนเอ่ยปากเอง
ชายวันกลางคนชุดม่วงฟังแล้วก็กำลังจะเอ่ยปากโต้ แต่ถูกบุรุษผู้สง่างามยื่นมือขวางไว้ เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม
“ผู้อาวุโสซินกับเชี่ยนเอ๋อร์ คนหนึ่งแนะนำหลงเซวียน คนหนึ่งแนะนำศิษย์หลานหลิ่วให้ทำงานนั้นแทนตระกูลของเรา ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผล ข้าก็ค่อนข้างลำบากใจ เอาเช่นนี้เถิด ไม่สู้ให้ศิษย์หลานหลิ่วกับศิษย์หลานหลงประลองกันต่อหน้าทุกคนสักครั้ง ผู้ใดชนะก็ได้สิทธิใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ เช่นนี้ยุติธรรมที่สุด อย่างไรงานเรื่องนั้นของตระกูลเรา ยิ่งคนนอกที่มาช่วยแข็งแกร่งก็ยิ่งมั่นใจใช่ไหม?”
พี่น้องโอวหยางได้ยินพลันยินดี พวกนางหันศีรษะมามองหลิ่วหมิง ในสายตามีความหวังอย่างยิ่ง
“ในเมื่อหัวหน้าตระกูลโอวหยางเอ่ยเช่นนี้ ข้าน้อยย่อมไม่มีความเห็นอื่น” หลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยก็ตอบรับ
เรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้ก็ไม่เหนือความคาดหมายของเขานัก
แม้ได้ยินโอวหยางเชี่ยนเล่าว่าหลงเซวียนผู้นั้นฝึกฝนวิชาลับอันร้ายกาจวิชาหนึ่งสำเร็จ แต่ด้วยพลังของหลิ่วหมิงวันนี้ หากลงมือเต็มกำลัง ไม่ต้องพูดถึงระดับผลึก ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นปลายเขาก็สู้ชนะได้
“หัวหน้าตระกูลทำเช่นนี้ไม่เหมาะกระมัง อย่างไรการตัดสินใจก่อนหน้านี้ก็เป็นการตัดสินใจของสภาผู้อาวุโส” โอวหยางซินสีหน้าย่ำแย่ทันที เขาหมุนตัวไปค้อมกายเอ่ยกับบุรุษผู้สง่างาม
“ผู้อาวุโสซิน แม้สภาผผู้อาวุโสจะมีอำนาจไม่น้อย แต่ตามกฎตระกูล หัวหน้าตระกูลมีสิทธิตั้งข้อสงสัย นอกจากนี้การตัดสินใจร่วมมือกับนิกายปีศาจลี้ลับเมื่อครั้งก่อนเหมือนจะเป็นการกระทำช่วงที่ข้าไม่อยู่ที่ตระกูลพอดี ข้าตัดสินใจแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องพูดอีก หากยังมีผู้อาวุโสท่านใดไม่ยอมรับก็มาหาข้าได้ ส่วนเวลาประลองกำหนดไว้วันพรุ่งนี้แล้วกัน” บุรุษผู้สง่างามได้ยินก็หัวเราะหึๆ ตอบกลับ
“ไม่กล้า! ในเมื่อหัวหน้าตระกูลตัดสินใจแล้ว หลงเซวียนด้านนั้นข้าจะไปคนไปแจ้งเอง หวังว่าศิษย์หลานหลิ่วผู้นี้ถึงเวลาจะไม่ทำให้คนผิดหวัง ข้าขอตัวก่อน” หลังโอวหยางซินสีหน้าเปลี่ยนไปมาอีกหลายครั้ง สุดท้ายก็ตอบรับโดยที่หน้ายิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้ม หลังจากนั้นเขาจึงประสานมือให้บุรุษผู้สง่างามแล้วก้าวยาวเดินออกไป
“ศิษย์หลานหลิ่วอย่าได้ถือโทษ ผู้อาวุโสซินก็อารมณ์ร้อนเช่นนี้” บุรุษผู้สง่างามพยักหน้าให้หลิ่วหมิงเล็กน้อยแล้วพูดเหมือนจนปัญญาอยู่บ้าง
“ไม่เป็นไรขอรับ ครั้งนี้ผู้เยาว์ก็มาเยือนกะทันหันไปบ้าง” หลิ่วหมิงยิ้มตอบอย่างไม่แสดงท่าที บนใบหน้าไม่มีความผิดปกติสักนิด
“เชี่ยนเอ๋อร์ เจ้าพาศิษย์หลานหลิ่วไปพักผ่อนอย่าได้ชักช้า วันพรุ่งนี้เที่ยงก็พาเขาไปประลองที่เวทีเสวียนหยวนด้วย” บุรุษผู้สง่างามมองหลิ่วหมิงนิ่งนาน จากนั้นหันไปกำชับโอวหยางเชี่ยน
“หัวหน้าตระกูลโปรดวางใจ เชี่ยนเอ๋อร์กับพี่หลิ่วรู้จักกันมาแต่เก่าก่อน ข้าย่อมจัดการให้เหมาะสมแน่นอน” โอวหยางเชี่ยนแย้มรอยยิ้มรีบก้าวเข้าไปรับคำ
หลังหลิ่วหมิงค้อมกายคำนับบุรุษผู้สง่างามอีกครั้งก็ออกจากห้องโถงใหญ่ไปพร้อมพี่น้องโอวหยาง
หลังคนทั้งหมดออกไปแล้ว ในห้องโถงใหญ่ก็เงียบสนิท
บุรุษผู้สง่างามนั่งอยู่บนที่นั่งประธาน มือข้างหนึ่งลูบพนักเก้าอี้แผ่วเบา สายตาเปล่งประกายวูบหนึ่งราวกับว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
เวลานี้เองเงาคนร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ คนชุดม่วงผู้หนึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏตัวข้างกายบุรุษผู้สง่างาม
คนผู้นี้บนคางและแก้มมีหนวดเคราสีดำดกเฟิ้ม ร่างกายสวมชุดยาวที่เหมือนโอวหยางซิน ดูจากการแต่งกายน่าจะเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลโอวหยางเช่นกัน
หัวหน้าตระกูลโอวหยางไม่มีสีหน้าตกใจกับการปรากฏตัวของบุรุษเคราเฟิ้มผู้นี้ เขาเพียงพยักหน้าเล็กน้อยเอ่ยว่า
“บทสนทนาเมื่อครู่ เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม?”
“ขอบคุณหัวหน้าตระกูลยิ่ง!” บุรุษเคราเฟิ้มค้อมกายทีหนึ่งแล้วเอ่ยประโยคไม่มีต้นไม่มีปลายประโยคหนึ่งออกมา เสียงราวกับระฆังดังกังวาน
“แค่การใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ครั้งเดียวเท่านั้น ผู้อาวุโสอิงไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ แต่ให้คนนอกใช้ของศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลอย่างไรก็ไม่ดี จะทำให้เกิดความขัดแย้งในตระกูลได้ง่าย เรื่องนี้อย่าได้มีเป็นครั้งที่สอง” หัวหน้าตระกูลโอวหยางโบกมือเอ่ยนิ่งๆ
“ผู้น้อยเข้าใจแล้ว!” บุรุษเคราเฟิ้มสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม เสียงเบาลงอย่างห้ามไม่ได้
“ท่านคิดว่าหลิ่วหมิงคนนี้เป็นอย่างไร พูดให้ถึงที่สุดแล้วหลงเซวียนก็เป็นศิษย์ที่โดดเด่นในรุ่นนี้ของนิกายปีศาจลี้ลับ พลังย่อมไม่อาจดูแคลนได้” หัวหน้าตระกูลโอวหยางทอดเสียงอ้อยอิ่ง เอ่ยเปลี่ยนประเด็น
“แม้ข้าไม่เคยพบหลงเซวียน แต่เมื่อครู่นอกห้องโถงหลิ่วหมิงผู้นี้รับมือ ‘แทงวิญญาณสังหาร’ ขั้นปลายของผู้อาวุโสซินได้อย่างสบายๆ ด้านอื่นยังไม่ต้องพูดถึง แค่ด้านพลังจิตอย่างเดียวก็บรรลุถึงระดับเดียวกับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้แล้ว ดูท่าอินจิ่วหลิงจะรับศิษย์ดีๆ มาคนหนึ่ง” บุรุษเคราเฟิ้มเอ่ยอย่างค่อนข้างชื่นชม
“เช่นนี้การประลองของทั้งสองคนคงจะมีอะไรให้ดูอยู่บ้าง ถ้าเช่นนั้นทุกสิ่งก็ตัดสินจากการประลองเถอะ อย่างไรก็เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของตระกูล พูดให้ถึงที่สุดพลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างไรก็เป็นเรื่องดี ผู้อาวุโสอิงเข้าใจเจตนาของข้าใช่ไหม?” หัวหน้าตระกูลโอวหยางเอ่ยเช่นนี้แล้วสายตาก็มองบุรุษเคราเฟิ้มตรงหน้าอีกครั้ง
“ข้าเข้าใจ ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่หัวหน้าตระกูลตัดสิน” บุรุษเคราเฟิ้มประสานมือเอ่ย
หัวหน้าตระกูลโอวหยางพยักหน้าแล้วครุ่นคิดเงียบไปอีกครั้ง
“ถูกแล้ว หัวหน้าตระกูล แม่นางน้อยแซ่ซาผู้นั้น…หรือจะเป็นทายาทของโอวหยางหมิงจริงๆ” ทันใดนั้นบุรุษเคราเฟิ้มก็สายตาเป็นประกาย ถามอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา
“ดูหน้าตาท่าทางของนางก็มีเค้าของโอวหยางหมิงเมื่อตอนนั้นอยู่ลางๆ คิดว่าน่าจะเป็นสายเลือดที่เขาเหลือไว้อย่างไม่ต้องสงสัย” บุรุษผู้สง่างามดวงตาเข้มขึ้นในทันใด ชั่วครู่ให้หลังถึงเอ่ยตอบ
“น่าเสียดายจริงแท้ ด้วยพรสวรรค์ของโอวหยางหมิง หากยามนั้นไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้น เวลานี้…” บุรุษเคราเฟิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเสียดาย
“เรื่องเกี่ยวกับโอวหยางหมิง สภาผู้อาวุโสตัดสินเด็ดขาดไปแล้ว อย่าวิจารณ์ส่งเดชจะดีกว่า” หัวหน้าตระกูลโอวหยางถอนหายใจจากนั้นยื่นมือขัดคำพูดของบุรุษหนวดเฟิ้ม
“ขอรับ!” บุรุษหนวดเฟิ้มเอ่ยตอบเสียงเบา
……
อีกด้านหนึ่งหลิ่วหมิงย้อนกลับมายังหอต้อนรับแขกพร้อมกับสองพี่น้องโอวหยาง หลังบอกลาสตรีทั้งสองนาง เขาก็เดินเข้าไปในห้องทำสมาธิทันที
เยี่ยเฮ่าเห็นหลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งขรึมก็รู้ความไม่รบกวน เขาเป็นเด็กดีนั่งอยู่บนเตียงขณะที่ปากท่องเคล็ดวิชาหลายประโยคอย่างเงียบๆ พวกนี้คือเคล็ดวิชาการโคจรปราณขั้นพื้นฐานที่สุดซึ่งหลิ่วหมิงให้เขาท่องหลายวันนี้
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น เขาหลับตาสองข้างลงแล้วครุ่นคิดสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินมาวันนี้ในสมองอย่างละเอียด
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เขาจึงถอนหายใจแผ่วเบา ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นอีกครั้ง
การมาเยือนตระกูลโอวหยางครั้งนี้ แม้เกิดเรื่องไม่คาดฝันไม่น้อย แต่ในที่สุดเรื่องกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ก็นับว่ามีความหวังอยู่บ้างแล้ว
ดูท่ากุญแจสำคัญคงเป็นศึกกับหลงเซวียนวันพรุ่งนี้ ขอเพียงเขาล้มศิษย์ของนิกายปีศาจลี้ลับผู้นี้ได้ด้วยมือตน เขาที่มีนิกายบริสุทธิ์อยู่เบื้องหลังย่อมไม่กลัวอีกฝ่ายกลับคำกับเขาอีก
ส่วนที่ต้องรับปากช่วยงานตระกูลโอวหยางเรื่องหนึ่ง เทียบกับเรื่องที่เขาต้องทะลวงคอขวดเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนให้ได้เร็วที่สุด นั่นย่อมเป็นเรื่องรอง
ประกายประหลาดแล่นผ่านในดวงตาหลิ่วหมิงไป หลังครุ่นคิดพักหนึ่งเขาก็เริ่มโคจรปราณอย่างจริงจัง เก็บสะสมแรงไว้
ในเวลาเดียวกันนี้ในห้องลับของหอหลังหนึ่งบนยอดเขาอันงดงามที่ตั้งโดดเดี่ยวลูกหนึ่งของเทือกเขาหยกฝัน เงาคนสองร่างกำลังนั่งประจันหน้ากันอยู่
คนหนึ่งในนั้นคือบุรุษวัยกลางคนชุดม่วง เขาก็คือผู้อาวุโสโอวหยางซินของตระกูลโอวหยาง ส่วนผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาคือชายหนุ่มชุดดำหน้าตาอัปลักษณ์ ตาเล็กจมูกบี้ผู้หนึ่ง
หากหลิ่วหมิงหรือพี่น้องโอวหยางอยู่ที่นี่จะต้องจำคนผู้นี้ได้ในปราดเดียวแน่นอน เขาก็คือหลงเซวียนแห่งนิกายปีศาจลี้ลับนั่นเอง
ผ่านไปสิบกว่าปี หน้าตาของคนผู้นี้เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นผมที่กลายเป็นสีเขียวเข้มสะดุดตาอย่างยิ่ง บนเส้นผมประหนึ่งมีดวงไฟสีเขียวดวงแล้วดวงเล่าติดอยู่ แลดูประหลาดอย่างที่สุด
“ฮ่ะๆ คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้อื่นมายืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ด้วย แล้วยังเป็นหลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์อีก นี่บังเอิญจริงแท้” ในดวงตาหลงเซวียนทอประกายประหลาดแล้วยิ้มเอ่ยขึ้นอย่างน่าขนลุก
“เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างนิกายท่านกับตระกูลเรา เดิมทีผ่านการยินยอมของสภาผู้อาวุโสแล้ว เรียกได้ว่าสำเร็จลุล่วงอย่างง่ายดาย แต่คิดไม่ถึงว่าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายหลิ่วหมิงผู้นี้กลับยื่นเท้าเข้ามากะทันหัน น่าชังอย่างที่สุดจริงๆ!” โอวหยางซินหรี่สองตาลง จากนั้นถอนหายใจเอ่ยขึ้นมา
“ผู้อาวุโสซินวางใจได้ หากเป็นในงานประตูสวรรค์ครั้งนั้น ข้าอาจหวั่นเกรงหลิ่วหมิงผู้นี้อยู่บ้าง แต่วันนี้น่ะหรือ ฮ่ะๆ การประลองวันพรุ่งนี้ ข้าจะทำให้เขาคุกเข่าขอร้องเอง” หลงเซวียนกลับเอ่ยอย่างมั่นใจในตนเองเป็นที่สุด
เพิ่งเอ่ยจบ ดวงตาของเขาก็ทอประกายเย็นเยียบสีเขียวประหลาดจางๆ ปลายผมคล้ายจะมีเสียงระเบิดดังเปรี๊ยะหลายหนดังขึ้นทันทีจากนั้นก็มีเปลวเพลิงสีเขียวดวงแล้วดวงเล่าปรากฏออกมาเลือนราง ทำให้ใบหน้าที่เดิมทีอัปลักษณ์อย่างยิ่งของเขาแลดูชั่วร้ายขึ้นหลายส่วน
“ในเมื่อศิษย์หลานหลงมั่นใจว่าจะชนะ นั่นย่อมดีที่สุด ขอเพียงวันพรุ่งนี้ล้มหลิ่วหมิงได้ เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ข้าจะจัดการให้เอง” โอวหยางซินหัวเราะฮ่ะๆ เอ่ยขึ้น
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด แม้ชายวัยกลางคนชุดม่วงจะมั่นใจในตัวหลงเซวียนที่อยู่ตรงหน้าอย่างที่สุด แต่ทุกครั้งที่นึกถึงภาพหลิ่วหมิงรับกระบวนท่าแทงวิญญาณสังหารของเขาก่อนหน้านี้ขึ้นมา ในใจก็รู้สึกไม่มั่นใจไปชั่ววูบ
“ถ้าเช่นนั้นก็ลำบากผุ้อาวุโสซินแล้ว ถึงเวลาของที่นิกายเรารับปากจะให้ผู้อาวุโสย่อมเป็นไปตามนั้น” หลงเซวียนหัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยขึ้นบ้าง
ค่ำคืนอันเงียบงัน
วันต่อมายามเที่ยงวัน ณ หุบเขาซึ่งมีทัศนียภาพงดงามแห่งหนึ่งบนเทือกเขาหยกฝัน
ในหุบเขาต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจีราวกับสีจะหยดออกมาได้ บุปผาละลานตาสวยงาม กลิ่นหอมชื่นใจระลอกแล้วระลอกเล่าลอยมาตามสายลม กระต่ายขาวกวางน้อยวิ่งกระโจนไปมาในนั้น บนท้องนภาเสียงสกุณาดังกังวาน เป็นภาพที่ชวนให้คนสุขใจราวกับแดนสวรรค์ที่ตัดขาดจากโลก
ที่แห่งนี้ก็คือหุบเขาอิงเฉ่าหนึ่งในเก้ายอดเขาเก้าหุบเขาอันโด่งดังของเทือกเขาหยกฝัน
ใจกลางของหุบเขามีเวทีราบเรียบรูปสี่เหลี่ยมเวทีหนึ่งตั้งอยู่
เวทีนี้อยู่ห่างจากพื้นหลายจั้ง กินพื้นที่ราบสิบกว่าหมู่ สร้างจากศิลาสีน้ำเงินเข้มชนิดหนึ่ง นี่คือศิลาหยดดำซึ่งเป็นหินแร่โลหะชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงในด้านความแข็งแกร่งทนทาน แต่ศิลาชนิดนี้ไม่อาจใช้ทำอาวุธจิตวิญญาณหรืออาวุธเวทได้ โดยทั่วไปล้วนใช้สร้างสิ่งก่อสร้าง
สี่ด้านของเวทีมีเสาศิลาสีน้ำเงินเข้มมากมายตั้งอยู่ พวกมันสร้างขึ้นมาจากหินหยดดำเช่นเดียวกัน บนผิวสลักลวดลายจิตวิญญาณสีน้ำเงินไม่น้อยไว้
เวทีแห่งนี้คือสถานที่ซึ่งปกติศิษย์ตระกูลโอวหยางใช้ประลองพลังเวทกัน มันมีชื่อว่าเวทีเสวียนหยวน
ตอนที่ 855 วิชามารชิงหยาง
เวทีเสวียนหยวนที่ยามปกติครึกครื้น ยามนี้กลับมีคนยืนอยู่ที่ขอบเวทีศิลาเพียงสามคนได้แก่หัวหน้าตระกูลโอวหยาง โอวหยางซินและหลงเซวียนจากนิกายปีศาจลี้ลับ
โอวหยางซินกำลังเอ่ยอะไรเสียงเบากับหัวหน้าตระกูลโอวหยาง ส่วนหลงเซวียนสีหน้าดังเช่นปกติยืนอยู่ด้านข้างอย่างนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา
เวลานี้เองปากทางเข้าหุบเขาก็มีลำแสงสีม่วงเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น มันกระพริบวูบวาบไม่กี่หนก็หยุดอยู่บนเวที
หลังแสงสีม่วงดับลงก็เผยให้เห็นบุรุษเคราเฟิ้มอาภรณ์สีม่วงผู้หนึ่ง โอวหยางอิงนั่นเอง
“คารวะหัวหน้าตระกูล!” โอวหยางอิงเพิ่งยืนมั่นคงก็ประสานมือเอ่ยเสียงกังวานกับหัวหน้าตระกูลโอวหยาง
“คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสอิงจะเลิกเก็บตัวแล้ว หากจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสอิงกำลังทะลวงระดับพลังอยู่กระมัง” โอวหยางซินที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ลำบากผู้อาวุโสซินให้เป็นห่วงแล้ว หลายวันก่อนได้ยินว่ามีคนถือตราของข้าเดินทางมาเยี่ยมเยือนเทือกเขาหยกฝัน ข้าจึงได้แต่เลิกเก็บตัวก่อนเวลา” โอวหยางอิงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
โอวหยางซินได้ยิน ดวงตาก็ฉายแววตามีเลศนัยเล็กน้อยแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
ปกติการตอนรับคนนอกที่มาเยือนตระกูลโอวหยาง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้อาวุโสซินที่ออกหน้าจัดการ
เพราะเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับนิกายปีศาจลี้ลับ เขาจึงอาศัยช่วงที่อีกฝ่ายเก็บตัว จงใจปิดบังข่าวที่หลิ่วหมิงเดินทางมายืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ไว้ ดังนั้นแม้หลิ่วหมิงจะมาถึงหลายวันแล้ว แต่นอกจากหัวหน้าตระกูลกับผู้อาวุโสที่ดูแลไม่กี่คน ในตระกูลก็ไม่มีใครรู้สักเท่าไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอวหยางอิง โอวหยางซินสั่งศิษย์ในสังกัดอย่างเด็ดขาดว่าจำต้องปิดบังข่าวนี้จากเขาให้ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ตรงนี้ก็เห็นชัดว่ามีคนแจ้งข่าวกับเขาแล้วสินะ?
“ผู้นี้คงเป็นศิษย์หลานหลงจากนิกายปีศาจลี้ลับกระมัง?” โอวหยางอิงเคลื่อนสายตามาจับบนร่างหลงเซวียนแล้วหยุดบนเส้นผมสีเขียวบนศีรษะเขาชั่วครู่เป็นพิเศษ จากนั้นจึงหรี่ตาสองข้างลงพลางเอ่ยถามขึ้นมา
“หลงเซวียนคารวะผู้อาวุโสอิง” หลงเซวียนเก็บท่าทีหยิ่งทะนงไปแล้วประสานมือคำนับ
“จะว่าไปแล้ว หลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ผู้นั้นเหตุใดยังไม่มา ให้พวกเราตั้งหลายคนรอคนรุ่นหลังอย่างเขาคนเดียว ไม่เข้าท่าจริงๆ” โอวหยางซินมองหัวหน้าตระกูลโอวหยางเหมือนเจตนาแต่ก็ไม่เจตนาแล้วเอ่ยขึ้นมา
“ผู้อาวุโสซินโปรดอย่าใจร้อน ยังไม่ถึงเวลาเที่ยงวัน…ท่านดู พวกเขามาแล้วไม่ใช่หรือ?” หัวหน้าตระกูลโอวหยางยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนโยน สายตาทอดมองไปทางปากทางเข้าหุบเขา แล้วทันใดนั้นก็ยื่นมือชี้พร้อมเอ่ยขึ้นมา
บนท้องนภาเหนือปากทางเข้าหุบเขาเมฆดำแถบหนึ่งลอยมาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก บนก้อนเมฆมีชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาก็คือหลิ่วหมิง
หลังร่างเขายังมีแสงสองดวงเคลื่อนตามติดมาด้วย โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินสองคนนั่นเอง
หลังผ่านไปสองสามลมหายใจทั้งสามคนก็ร่อนลงบนเวที
“หลิ่วหมิงคารวะผู้อาวุโสทั้งสาม” ก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงเห็นคนทั้งหลายบนเวทีแต่ไกลแล้ว แม้ไม่รู้จักบุรุษเคราเฟิ้มผู้นั้น แต่เขาก็ยังค้อมกายเล็กน้อยให้ทั้งสามคน จากนั้นกวาดสายตาไปทางหลงเซวียนด้านข้าง
โอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวคำนับหัวหน้าตระกูลโอวหยางกับผู้อาวุโสทั้งสองครั้งหนึ่งเช่นเดียวกัน แต่ไม่สนใจไยดีหลงเซวียนที่อยู่ด้านข้าง พวกนางมองเมินเหมือนไม่เห็นแล้วไปยืนอีกด้านหนึ่ง
หลงเซวียนเห็นโอวหยางเชี่ยน โอวหยางฉินกับหลิ่วหมิงมาด้วยกัน แววตาเหี้ยมเกรียมก็ปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งสองข้าง เขาก็ไม่เป็นฝ่ายเอ่ยอันใดขึ้นมาเช่นเดียวกัน
“แม้ยังไม่ถึงเที่ยงวัน แต่ในเมื่อศิษย์หลานทั้งสองมาถึงแล้ว เริ่มการประลองเร็วหน่อยก็คงไม่เป็นไรกระมัง ข้าห้ามศิษย์ในตระกูลไม่ให้เข้ามาในที่แห่งนี้แล้ว ศิษย์หลานทั้งสองไม่ต้องพะวงสิ่งใด ใช้พลังได้เต็มที่ การประลองครั้งนี้ให้ผู้อาวุโสอิงเป็นกรรมการก็แล้วกัน” หัวหน้าตระกูลโอวหยางหัวเราะแล้วมองบุรุษเคราเฟิ้มที่ยืนอยู่ข้างกาย
“อะไรกัน คนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสอิงหรือ? ผู้อาวุโสตระกูลโอวหยางคนนั้นที่เดิมทีอินจิ่วหลิงให้เขามาหา!” หลิ่วหมิงได้ยินย่อมตะลึงจนอดไม่ได้มองบุรุษเคราเฟิ้มหนหนึ่ง
ชายวัยกลางคนชุดม่วงได้ยินก็สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
บุรุษเคราเฟิ้มตอบรับจากนั้นทะยานร่างเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือเวที
หลิ่วหมิงกับหลงเซวียนสบตากันทีหนึ่ง จุดที่สายตาประสานกันราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน จากนั้นทั้งสองก็ทะยานร่างขึ้นฟ้าพร้อมกัน ร่อนลงใจกลางเวทีแทบจะในเวลาเดียวกันแล้วยืนประจันหน้ากัน
“การประลองครั้งนี้ข้าเป็นกรรรมการ ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ผู้ชนะจะได้ใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ของตระกูลโอวหยางเราหนึ่งครั้งและรับปากว่าจะทำงานใหญ่ชิ้นหนึ่งของตระกูลโอวหยางเราให้บรรลุ พวกเจ้าสองคนหากมีผู้ไม่ยินยอม ตอนนี้ก็ถอนตัวไปเสีย” โอวหยางอิงเอ่ยข้อตกลงช้าๆ รอบหนึ่ง พร้อมกันนั้นสายตาก็กวาดบนร่างทั้งสองคนด้านล่าง
ถึงเวลานี้หลิ่วหมิงย่อมไม่เอ่ยปากถอนตัว เขาเพียงยิ้มน้อยๆ ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
ส่วนหลงเซวียนฝั่งตรงข้ามจ้องหลิ่วหมิงเขม็งด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ดีมาก! แต่ทั้งสองท่านล้วนไม่ใช่ศิษย์ตระกูลโอวหยางของเรา ดังนั้นยามประลองขอให้ประลองแต่สมควร อย่าลงมือสังหาร มิเช่นนั้นข้าจะบังคับหยุดการประลอง ประกาศให้ฝ่ายที่ฝ่าฝืนกฎแพ้” โอวหยางอิงเห็นทั้งสองคนล้วนไม่เอ่ยวาจาจึงเอ่ยขึ้นเสียงเคร่ง
“ได้”
“ไม่มีปัญหา”
ครั้งนี้หลิ่วหมิงกับหลงเซวียนล้วนพยักหน้า
“ดีมาก การประลองเริ่มขึ้น ณ บัดนี้”
โอวหยางอิงเอ่ยขึ้นแล้วสะบัดมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมา ทันใดนั้นยันต์สีน้ำเงินนับไม่ถ้วนก็รุมล้อมบนเวทีเสวียนหยวนจากนั้นกลายเป็นม่านแสงครึ่งวงกลมสีน้ำเงินอ่อนชั้นหนึ่งกลางอากาศ กักพวกหลิ่วหมิงสองคนไว้ตรงกลาง
“หลิ่วหมิง อย่าคิดว่าได้อันดับหนึ่งจากงานประตูสวรรค์แล้วตนเองจะเยี่ยมยอดนัก วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าเข้าใจว่ามีเพียงข้าหลงเซวียนถึงจะเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ศิษย์รุ่นเยาว์ของสี่ยอดนิกายใหญ่” หลงเซวียนเห็นเช่นนี้ ในดวงตาพลันทอประกายเย็นเยียบแล้วเอ่ยขึ้น
เพิ่งเอ่ยจบ เขาก็ท่องมนตร์อย่างเร็วไว เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้นทีหนึ่ง บนร่างเขาก็มีเปลวเพลิงสีเขียวลุกโชน
แม้หลิ่วหมิงยืนอยู่ห่างหลายสิบจั้งก็ยังสัมผัสได้ถึงสายลมร้อนผ่าวสายหนึ่งที่ถาโถมเข้ามาใส่ใบหน้า ในใจจึงพรั่นพรึงเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชา ปราณดำบนร่างทะลักออกมา พร้อมกับที่เคล็ดวิชาในมือเขาพร่าเลือนไป เงามังกรสีดำประหนึ่งมีชีวิตตัวหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นจากความว่างเปล่า ร้องคำถามถาโถมออกมาทันที
หลงเซวียนฝั่งตรงข้ามเห็นเช่นนี้ก็ยกมือขึ้น อสรพิษประหลาดสีเขียวยาวหลายจั้งตัวหนึ่งทะลวงออกมาจากในแขนเสื้อแล้วพุ่งไปยังฝั่งตรงข้าม
อสรพิษประหลาดแยกเขี้ยว เกล็ดบนร่างอสรพิษถูกเปลวเพลิงสีเขียวลุกไหม้หุ้มไว้ มันอ้าปากส่งเสียงดังฟ่อๆ ออกมา
เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้นทีหนึ่ง
หนึ่งมังกรหนึ่งอสรพิษปะทะกันกลางอากาศ หากพูดถึงแค่ขนาด เงามังกรสีดำเห็นชัดว่าใหญ่กว่าเท่าหนึ่ง แต่ครู่ต่อมาเสียงแผ่วเบาก็ดังขึ้น จากนั้นเงาสองร่างก็ระเบิดพร้อมกันกลายเป็นปราณสีดำกับเพลิงสีเขียวเต็มฟ้าแผ่ขยายไปสี่ด้านแปดทิศ
ทั้งสองพลังสูสีทัดเทียม!
นี่ทำให้ม่านตาของหลิ่วหมิงหดเล็กลงเล็กน้อย
“วิชาที่ศิษย์หลานหลิ่วฝึกฝนคือวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬวิชาสายวิญญาณของศิษย์สายในนิกายยอดบริสุทธิ์ เมื่อครู่ทั้งสองประมือกันด้วยสัตว์จำแลงจากพลังเวท เห็นชัดว่าพลังเวทของศิษย์หลานหลิ่วบริสุทธิ์กว่าอยู่บ้าง พลังก็เหนือกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง แต่ดันกลายเป็นเสมอเสียได้ น่าสนใจทีเดียว” หัวหน้าตระกูลโอวหยางที่อยู่นอกเวทีมองเห็นภาพนี้ บนใบหน้าก็เผยสีหน้าประหลาดใจน้อยๆ แล้วเอ่ยขึ้นมา
โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินด้านข้างฟังแล้วก็อดไม่ได้สบตากันทีหนึ่ง จากนั้นเผยสีหน้ากังวลออกมาเล็กน้อยมรกต
“ผู้อาวุโสซิน ได้ยินว่าหลงเซวียนเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ศิษย์หัวกะทิรุ่นนี้ของนิกายปีศาจลี้ลับ ไม่ทราบท่านมองออกหรือไม่ว่าวิชาที่เด็กคนนี้ใช้ตอนนี้เป็นวิชามารเพลิงมรกตชนิดใด?” ทันใดนั้นบุรุษผู้สง่างามก็หันหน้าไปมองโอวหยางซินแล้วเอ่ยถามนิ่งๆ ด้วยท่าทางสบายๆ
“โปรดอภัยที่ข้าตาไม่มีแววจึงมองไม่ออก แต่ได้ยินว่าหลังจากงานประตูสวรรค์หลงเซวียนฝึกฝนพลังใหม่ที่แข็งแกร่งชนิดหนึ่งได้ คิดว่าคงเป็นวิชานี้” โอวหยางซินลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น
บุรุษผู้สง่างามยิ้มเล็กน้อย ลึกลงไปในดวงตาประกายแสงปรากฏขึ้นเลือนราง แต่ไม่ถามอันใดเพิ่มอีก
โอวหยางเชี่ยนเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นริมฝีปากงามก็เผยอขึ้นเหมือนจะเอ่ยวาจา แต่โอวหยางฉินที่อยู่ด้านข้างดึงแขนเสื้อนางเบาๆ พลางส่ายศีรษะนิดๆ จนแทบมองไม่เห็น
โอวหยางเชี่ยนกัดริมฝีปากเบาๆ แล้วเงียบไปเช่นกัน
สายตาของทั้งสามคนรวมอยู่บนเวทีอีกหน
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง
หลิ่วหมิงสะบัดมือข้างหนึ่ง ปราณดำที่สลายไปสายแล้วสายเล่าก็ม้วนตัวกลับมาทันที พวกมันรวมตัวกันใหม่อยู่ข้างกายเขาแล้วลอยละล่องเคลื่อนไหวเองไม่หยุด
“หลิ่วหมิง ในเมื่อเจ้าสังหารเผ่าประหลาดระดับแก่นแท้ในดินแดนแห่งมรดกของงานประตูสวรรค์ได้ก็คงไม่ได้มีความสามารถเท่านี้กระมัง ถ้ามีอย่างอื่นก็รีบแสดงออกมาเสียตอนนี้เถอะ ไม่เช่นนั้นอีกประเดี๋ยวเกรงว่าคงจะไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยจริงๆ แล้ว!” หลงเซวียนคำรามหัวเราะลั่น จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ตั้งท่าเคล็ดวิชา เปลวเพลิงสีเขียวบนร่างยิ่งสั่งสมยิ่งมากจนแทบจะกลบร่างกายของเขาไว้ด้านในจนมิด
ทันใดนั้นสองมือของหลงเซวียนก็บิดยืดไปด้านหน้า เสียง “ฟู่ๆ” ดังออกมา อสรพิษเปลวเพลิงสีเขียวเหมือนเมื่อครู่ทุกประการบินออกมาจากกลางเปลวไฟสีเขียวแล้วโถมเข้าใส่หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว ปราณดำบนร่างเข้มข้นขึ้นในทันที
อสรพิษประหลาดสองตัวพาเสียงลมหวีดหวิวพุ่งตัดผ่านกันทีหนึ่งแล้วทะลุผ่านร่างหลิ่วหมิงไป แต่ร่างกายของเขากลับส่งเสียงดัง “ปัง” แล้วแตกกระจาย นี่เป็นเพียงเงาร่างหนึ่งเท่านั้น
ต่อจากนั้นไม่ไกลออกไปด้านหน้าก็มีคลื่นไหวกระเพื่อม ร่างต้นของหลิ่วหมิงปรากฏตัวออกมา เขาไม่พูดพร่ำก็สะบัดแขน หมัดที่มีปราณดำพันรอบหมัดหนึ่งต่อยออกมากลางอากาศส่งเสียงดังสนั่น
เสียงพยัคฆ์คำรามดังกึกก้อง!
เงาหมัดหัวพยัคฆ์สีดำสนิทประหนึ่งมีชีวิตข้างหนึ่งลอยออกมาแล้วกระแทกเข้าใส่หลงเซวียนประหนึ่งดาวตกพร้อมเสียงคำราม
พลังอันแข็งแกร่งที่แฝงมาบนเงาหมัดพุ่งแหวกอากาศจนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น
หลงเซวียนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาตกตะลึงกับพลังกายเนื้ออันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงอยู่บ้าง แต่เพียงครู่เดียวสองมือก็ทำท่าเคล็ดวิชาหลายท่าอย่างรวดเร็ว เปลวเพลิงสีเขียวก่อตัวเพียงชั่วครู่ก็กลายเป็นดอกบัวสีเขียวดอกหนึ่งผลิดอกแล้วแย้มกลีบบานเบื้องหน้าเขาอย่างเร็วไว
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
กลีบดอกสีเขียวขนาดมหึมาต้านเงาหมัดสีดำสนิทไว้ กลีบดอกไม้เอนไปด้านหน้าเหมือนจะหุ้มหมัดนี้เข้าไป
ตามติดต่อจากนั้นดอกบัวสีเขียวก็พลันกลายเป็นเปลวเพลิงสีเขียวดวงหนึ่ง เสียง “เปรี๊ยะๆ” ดังลั่น เพียงครู่เดียวเงาหมัดหัวพยัคฆ์ก็ไหม้เป็นขี้เถ้า
หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ก็คิ้วขมวดเล็กน้อย
ชะงักไปเพียงครู่เดียว อสรพิษประหลาดที่มีไฟสีเขียวลุกท่วมสองตัวซึ่งเขาสลัดทิ้งไว้หลังร่างก็ย้อนกลับมา โถมเข้าใส่แผ่นหลังของเขาอย่างรวดเร็วกว่าเดิม
หลิ่วหมิงแค่นเสียงคำหนึ่งแล้วพลิกมือ โจมตีสองฝ่ามือใส่อากาศ
เสียงระเบิดดังแสบแก้วหู เงาฝ่ามือสีดำสองข้างลอยออกมา!
เห็นชัดว่าพลังป้องกันของอสรพิษเพลิงเขียวสู้ดอกบัวที่หลงเซวียนเสกออกมาเมื่อครู่ไม่ได้ เสียงครวญคราญดังขึ้นจากนั้นพวกมันก็ถูกโจมตีกระจุยกลายเป็นดาวตกดวงไฟสีเขียวลอยกระจายออกไป
ในเวลานี้เองร่างกายของหลงเซวียนก็ถูกเปลวเพลิงโหมกระหน่ำสีเขียวห่อหุ้มไว้ เสียงหัวเราะลั่นได้ใจของหลงเซวียนดังออกมาจากใจกลางเปลวเพลิง เสียงราวกับกำลังจะบ้าคลั่ง
“เอาล่ะ! หลิ่วหมิงเจ้ายอมแพ้ได้แล้ว อยู่ต่อหน้าเทพชิงหยาง เจ้าไม่มีโอกาสใดๆ อีกแล้ว!”
สิ้นเสียง เปลวเพลิงสีเขียวก็ลุกไหม้รุนแรงขึ้นกว่าเดิมแล้วเผยเงาของหลงเซวียนออกมา
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ร่างกายเขาขยายขึ้นเกือบหนึ่งเท่าจนกลายเป็นยักษ์สูงสามจั้งกว่าตนหนึ่ง นอกจากนี้บนร่างกายส่วนที่โผล่พ้นเสื้อผ้ายังปรากฏลวดลายจิตวิญญาณสีเขียวประหลาดเหมือนไส้เดือนตัวแล้วตัวเล่า
นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุด บนแผ่นหลังของหลงเซวียนยังมีเปลวเพลิงสีเขียวโหมกระหน่ำก่อตัวกลายเป็นยักษ์สีเขียวสูงสิบกว่าจั้งตนหนึ่ง ใบหน้ามันพร่ามัวไม่ชัด แต่เห็นว่าบนศีรษะมีเขายาวโง้งคู่หนึ่ง ร่างกายสวมชุดเกราะ ขณะที่แขนกำยำหกข้างถืออาวุธต่างๆ นานาเช่นดาบ กระบี่ โล่
ไอปีศาจเข้มข้นสายหนึ่งแผ่ขยายไปสี่ด้านแปดทิศโดยมีมันเป็นศูนย์กลาง ราวกับว่าราชามารปรากฏกายขึ้นบนโลก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น