หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 852-857
บทที่ 852 ชี้ทางให้คนเป็น
สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว โอกาสนี้หาได้ยากยิ่งจนไม่มีสิ่งใดเหมือน เพียงแค่พลังปราณที่เพิ่มมากขึ้นก็เรียกได้ว่าคุ้มที่สุดแล้ว แม้ก่อนหน้านั้นเขาจะได้รับโอกาสมากมาย แต่ส่วนใหญ่ก็เพียงเพิ่มพูนพลังของเขาให้มากขึ้นเท่านั้น แต่ในเวลานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ชายหนุ่มสั่งสมมาได้ระเบิดออกมา จนกลายเป็นพลังปราณมหาศาลที่พุ่งขึ้นเสียดฟ้า!
หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าหลังจากที่กินผีแก่เข้าไป ในวิญญาณของเขาก็ดูราวกับมีมหาสมุทรกว้างใหญ่ สิ่งที่เขาต้องทำมากที่สุดในตอนนี้คือการปล่อยมหาสมุทรนี้ให้ไหลทะลักออกมา และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังปราณของเขา!
แต่ในเวลาเดียวกันนั้นหวังเป่าเล่อก็รู้สึกได้ว่ามหาสมุทรนี้ไม่ได้ถูกผนึกอยู่ในวิญญาณของเขาอย่างแน่นหนาเหมือนที่คิดไว้ แต่ดูราวกับว่ากำลังค่อยๆ กระจายตัวออกไปเสียอย่างนั้น!
พลังปราณที่กำลังกระจายตัวออกไปนั้นทำให้ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายวาบ ในฐานะบุตรแห่งความมืดเขารู้ได้ว่าการกระจายตัวออกไปเช่นนี้ไม่ใช่วิชาของสำนักแห่งความมืด นั่นเพราะสำนักแห่งความมืดมีหน้าที่นำทางวิญญาณ และให้ความสำคัญเรื่องการนำวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่สุดกลับเข้าสู่วังวนของการเวียนว่ายตายเกิด ส่วนพลังปราณและพลังวิญญาณนั้นจะกลับสู่สวรรค์และผืนดิน กลายเป็นวัฏจักรที่ไม่รู้จบ
แต่มหาสมุทรในวิญญาณของเขาไม่ได้กระจายกลับคืนสู่สวรรค์และผืนดิน แต่กลับไหลไปยังสถานที่หนึ่ง หวังเป่าเล่ออธิบายความรู้สึกนี้ไม่ถูก แต่จิตสำนึกความเป็นบุตรแห่งความมืดบอกว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นมีความเป็นไปได้มากทีเดียว
บ้าอะไรกันนี่ ความรู้สึกนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตกใจเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตระกูลไม่รู้สิ้น แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจ
หรือว่า…มันจะเป็นวิธีอะไรนั่นที่ตระกูลไม่รู้สิ้นใช้เพื่ออยู่เหนือมายาชีวิตและความตาย แก่นหลักของกระบวนเวทนี้ก็คือการดูดซับพลังจากจักรพิภพเต๋าทั้งหมดเข้าไปในร่างกายตนอย่างช้าๆ สำนักแห่งความมืดชี้ทางให้คนตาย ส่วนตระกูลไม่รู้สิ้นก็ชี้ทางให้คนเป็น
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตนเองเดาถูกหรือไม่ แต่มีอย่างหนึ่งที่มั่นใจมาก…คือเขาจะไม่ปล่อยโอกาสที่อุตส่าห์เพียรพยายามหามาได้นี้ให้สูญเปล่าเป็นอันขาด
หวังเป่าเล่อเปลี่ยนวิญญาณของตนเองให้กลายเป็นที่ที่ให้มหาสมุทรสามารถไหลเข้ามาได้โดยไม่ลังเล ชายหนุ่มเปิดประตูให้น้ำทะเลในวิญญาณของตนไหลเชี่ยวออกมาเช่นกัน
ขณะที่พลังปราณของเขากำลังระเบิดออกมานั้น ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงพลังจากร่างสารัตถะที่พุ่งขึ้นจากระดับแสร้งอมตะ ดวงวิญญาณของเขาสั่นไหว ร่างพาลสะท้าน เหมือนต้นกล้าที่แทงหน่อออกจากผืนดินอย่างไม่หยุดยั้ง หวังเป่าเล่อบรรลุปราณขั้นถัดไปด้วยพลังรุนแรงราวกับจะทำลายล้างได้ทั้งขุนเขาและสูบน้ำทะเลให้เหือดแห้ง
ระดับพลังปราณของชายหนุ่มพุ่งทะยานขึ้นจากขั้นแสร้งอมตะของขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ ไปเป็น…ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น!
ขั้นจิตวิญญาณอมตะนี้จะเปลี่ยนวิญญาณของผู้ฝึกตนให้กลายเป็นดวงวิญญาณเทพ ร่างกายปราศจากซึ่งมลทินใดๆ พลังปราณที่ไหลวนอยู่ในร่างจะปล่อยกลิ่นอายตามธรรมชาติให้หลั่งไหลสู่บรรยากาศโดยรอบ กระบวนการนี้ทำให้ผู้ฝึกตนเปลี่ยนไปทั้งภายนอกและภายใน ก่อกำเนิดเป็นพลังที่คล้ายสนามพลังเนื่องด้วยดวงวิญญาณที่เปลี่ยนสภาพไป พลังนี้มักแผ่ขยายไปในรัศมีสามร้อยเมตร เปลี่ยนทั่วทั้งบริเวณให้กลายเป็นอาณาเขตของตนในทันที
ผู้ใดที่หลงเข้ามาอยู่ในอาณาเขตนี้และมีพลังปราณน้อยกว่า จะถูกสยบเอาไว้ในทันทีโดยธรรมชาติ นอกเสียจากว่าจะใช้วิธีพิเศษหรือสมบัติเวทในการเอาตัวรอด
แต่พัฒนาการยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ตอนที่หวังเป่าเล่อกินวิญญาณผีแก่เข้าไปนั้น เขาไม่ได้กลืนกินเพียงวิญญาณชายชรา แต่ยังกินพลังปราณของดวงวิญญาณนับล้านดวง รวมถึงวิญญาณมังกรทั้งสิบสองตนที่เคยเป็นจักรพรรดิทั้งสิบสองในอดีตชาติเข้าไปด้วย
มหาสมุทรในดวงวิญญาณของเขาก่อตัวขึ้นจากสรรพสิ่งยิ่งใหญ่
หลังจากที่หยุดไปสักพัก หวังเป่าเล่อก็เปิดประตูในดวงวิญญาณขึ้นอีกครั้งเพื่อปล่อยท้องทะเลภายในให้ไหลหลากออกมาอีกรอบ
พลังปราณของเขาพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้าอีกคราในตอนที่ชายหนุ่มบรรลุจากปราณขั้นเชื่อมวิญญาณสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะ ร่างกายของเขาส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว สวรรค์เบื้องบนสุสานหลวงดังสะเทือน ก่อนจะเปลี่ยนสภาพไปเป็นลมหมุนยักษ์ พลังปราณของหวังเป่าเล่อทรงอำนาจจนทำให้ทั้งโลกสั่นไหว และพุ่งทะยานขึ้นอีกครั้งหนึ่ง!
ขั้นปราณของหวังเป่าเล่อพุ่งจากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นไปสู่จุดสูงสุดของชั้น และแตะชั้นต้นขั้นสมบูรณ์ในที่สุด ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างง่ายดายราวกับไม่มีอุปสรรคใดจะเข้ามาขวางกั้นอำนาจของมหาสมุทรได้ ทุกสิ่งทุกอย่างมีอันต้องล่มสลายไปหมดสิ้นเมื่อเผชิญกับพลังอำนาจล้นหลามนี้!
ปรากฏการณ์นี้ทำให้หวังเป่าเล่อข้ามกระบวนการหลอมขั้นปราณให้เสถียรอย่างผู้ฝึกตนปกติไปได้หลายสิบปีเลยทีเดียว
ความรู้สึกนี้… เหมือนกับที่ข้าต้องการทุกอย่าง! ชายหนุ่มตื่นเต้นเป็นอันมาก หลังจากที่สะกดมหาสมุทรในดวงวิญญาณตนเอาไว้ได้ชั่วคราว เขาก็กัดฟันและปล่อยมันอีกครั้ง!
ทันทีที่ทำเช่นนั้น พลังปราณของเขาก็ทะยานขึ้นอีกด้วยกำลังรุนแรง ราวกับเป็นการรวบรวมพลังทั้งหมดที่ตนเองมีให้ระเบิดออกมา จนข้ามผ่านขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นไปสู่…ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางในที่สุด!
ร่างของชายหนุ่มสั่นสะท้านทันทีที่บรรลุขั้นปราณอีกครั้ง เขากู่ร้องออกมาเสียงดังก้อง ร่างทั้งร่างเนืองไปด้วยเสียงสะเทือนปริแตกราวกับว่าภายในกายกำลังส่งแรงสะเทือนออกสู่โลกภายนอกอย่างไรอย่างนั้น ความปั่นป่วนภายในนั้นมากกว่าครั้งแรกมากถึงสิบเท่าเลยทีเดียว
รอยปริแตกภายในกายนี้ทำให้หวังเป่าเล่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต้องยับยั้งมหาสมุทรในวิญญาณเอาไว้ก่อน ประตูภายในดวงวิญญาณของเขาปิดลงอีกครา ในเวลาเดียวกันนั้น ลมหมุนบนท้องฟ้าก็ระเบิดอีกครั้งด้วยความรุนแรงยิ่งกว่าเดิม พื้นดินสั่นไหว รังสีเข้มข้นน่ากลัวพลุ่งพล่านออกจากกาย!
ข้าน่าจะ…ไปต่อได้! หวังเป่าเล่อไม่ได้ลืมตาขึ้น แต่มั่นใจมากว่าตนเองกำลังเดินทางมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อในที่สุด เขาจะดันพลังตนเองขึ้นไปได้ถึงระดับไหนนั้นขึ้นอยู่กับวินาทีนี้แล้ว แน่นอนว่า…ทั้งหมดอยู่ที่ว่าร่างกายของเขารับได้ขนาดไหนด้วย!
นั่นเพราะแม้พลังปราณของเขาจะเพิ่มขึ้นจริง แต่ร่างสารัตถะของเขาก็มาถึงขีดจำกัดเสียแล้ว รอยแตกและแรงสะเทือนก่อนหน้านี้ทำให้ร่างกายของเขาเจ็บปวดเหลือทน ราวกับวิญญาณกำลังจะดับสลายทุกครั้งที่มีเสียงเหล่านี้ดังออกมาจากกาย
แต่คนอย่างหวังเป่าเล่อไม่สนใจความเจ็บปวดเช่นนี้อยู่แล้ว!
เขาเป็นชายที่โหดเหี้ยมจับใจกับตนเอง ในตอนนั้นเอง ชายหนุ่มเปิดประตูในดวงวิญญาณออกอีกครั้งโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ส่งให้มหาสมุทรในดวงวิญญาณทะลักออกมาอย่างรุนแรง ไหลบ่าเข้าในร่างและส่งพลังปราณให้พุ่งขึ้นเสียดฟ้าอีกครา
เสียงสั่นสะเทือนดังออกมาจากวิญญาณของเขาอีกรอบ รอยแตกในร่างกายทวีความรุนแรงขึ้นอีก พลังปราณยังคงพุ่งขึ้นสูงไม่หยุดจากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางเข้าไปใกล้จุดสูงสุด แต่ร่างกายกลับจะยอมแพ้เอาดื้อๆ เสียแล้ว
หากมีคนมายืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้จะเห็นได้ทันทีว่าร่างสารัตถะของชายหนุ่มเต็มไปด้วยรอยแยกมากมายนับไม่ถ้วน ราวกับแจกันกระเบื้องเคลือบแตกร้าวที่ถูกติดกาวเอาไว้ให้คงรูปร่างอยู่ได้ หากไปโดนแม้เพียงปลายนิ้ว ก็คงแตกสลายกลายเป็นเสี่ยงๆ ในพริบตา
นั่นเพราะหวังเป่าเล่อเพิ่มพลังปราณของตนเองปริมาณมากภายในระยะเวลาอันสั้นเกินไป จึงทำให้ร่างสารัตถะของเขาไม่มีเวลาปรับตัวให้เข้ากับพลังใหม่ ราวกับถูกบังคับป้อนอาหารจนแทบจะระเบิดออกมา แม้ขั้นปราณใหม่ของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว แต่ก็ยังเต็มไปด้วยอันตรายน่าสะพรึงเช่นกัน!
เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก็เพราะว่าหวังเป่าเล่อโลภมากอยากเก่งทางลัด และยังไม่เคยมีความเมตตาต่อตนเองแม้แต่น้อยนิด หากเขาเพิ่มพลังปราณให้อยู่เพียงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น ร่างสารัตถะของเขาคงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ แต่หากว่าเขา…ค่อยๆ ดูดซับพลังเข้าไปอย่างช้าๆ ก็จะต้องใช้เวลานานเกินไป สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ชายหนุ่มเกรงว่ายิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ โอกาสที่เขาจะซึมซับพลังเข้าไปก็จะหายไปตามพลังปราณที่ค่อยๆ สลายไปด้วย
ทางเดียวที่จะยับยั้งเหตุการณ์นั้นได้ก็คือ เขาต้องดูดซับพลังทั้งหมดเข้าร่างและเปลี่ยนมันให้กลายมาเป็นพลังปราณของตน หวังเป่าเล่อหลับตานิ่ง คิดคำนวณสะระตะอยู่ในใจ ก่อนกัดฟันท่องบทสวดแห่งเต๋าในใจ!
ชายหนุ่มปลุกอำนาจของเปลวเพลิงดารานิรันดร์และฝ่ามือดาวพระเคราะห์ในเปลวเพลิงนั้นให้ตกใส่ร่างของจนเพื่อบีบอัดไม่ให้ร่างแหลกเหลวหายไป!
ข้าไม่เชื่อหรอก! หวังเป่าเล่อกัดฟัน พลังปราณพลันระเบิดออกมาอีกครั้ง ร่างของชายหนุ่มสั่นสะท้านราวกับกำลังจะระเบิดจริงๆ แต่ทันใดนั้นเปลวเพลิงดารานิรันดร์ก็พุ่งเข้าห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ ฝ่ามือดาวพระเคราะห์เคลื่อนตัวออกมาลอยเหนือร่างเพื่อสะกดมันเอาไว้
ทั้งหมดทำให้ร่างของหวังเป่าเล่อที่กำลังจะดับสลายกลับมาเสถียรอีกครั้ง จากนั้น…พลังปราณของเขาก็ระเบิดออกมาอย่างรวดเร็วด้วยมหาสมุทรที่ไหลทะลัก และพุ่งขึ้นไปหยุดที่ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นนกลางขั้นสมบูรณ์ในที่สุด!
ในตอนนี้เหลือมหาสมุทรพลังปราณอยู่อีกร้อยละ 20 เท่านั้นในดวงวิญญาณของหวังเป่าเล่อ หลังจากที่คิดอยู่เป็รระยะเวลาสั้นๆ ความบ้าคลั่งก็เข้าครอบงำแววตาของชายหนุ่ม เขาปล่อยมหาสมุทรที่เหลือร้อยละ 20 นี้ให้ระเบิดออกมาในทันที
บรรลุขั้น! ชายหนุ่มกรีดก้องในใจ พลังจากบทสวดแห่งเต๋ากลับมาอีกครั้ง ไหลบ่าเข้าครอบงำโลกทั้งใบ รวมทั้งพุ่งใส่ร่างของเขาจนทำให้มันกลับมาเสถียรทั้งที่ยังสั่นสะท้าน จากนั้น…มหาสมุทรพลังอีกร้อยละ 20 ก็ทะลักเข้าร่าง ส่งให้พลังปราณพุ่งขึ้นอีกครั้ง!
เสียงระเบิดดังสะท้อนออกมาจากร่างของหวังเป่าเล่อเหมือนสายฟ้าจากสวรรค์ เสียงนั้นก้องไปทั่วโลกา พลังปราณพุ่งขึ้นสู่ขีดจำกัดด้วยความบ้าคลั่ง ทะลุทะยานผ่านขั้นจิตวิญญาณชั้นกลางขั้นสมบูรณ์ไปในที่สุด!
ก้าวขึ้นไปสู่…ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย!
ผลที่เกิดตามมาก็คือร่างที่สั่นเทิ้ม ความเจ็บปวดมหาศาลเข้าครอบงำราวร่างกายและวิญญาณกำลังถูกฉีกออกจากกันจนทำให้ชายหนุ่มกรีดร้องเสียงหลง พลังปราณของหวังเป่าเล่อหมุนวนปั่นป่วนบ้าคลั่ง ดวงเนตรปีศาจพลันปรากฏขึ้นที่เบื้องหลัง เกราะมหาจักรพรรดิโผล่ขึ้นห่อหุ้มร่างกาย ขณะที่เขายังคงพยายามบรรลุปราณ พลังทั้งสองก็ผนึกกำลังกับเปลวเพลิงดารานิรันดร์ ฝ่ามือดาวพระเคราะห์ และบทสวดแห่งเต๋า เพื่อกดร่างของเขาไว้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี เพื่อซื้อเวลาให้เขาบังคับปราณให้เสถียรและซ่อมแซมร่างกายของตนให้ได้
ข้าต้องทนต่อ ห่าเอ๊ย นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตของหวังเป่าเล่อคนนี้แล้ว! จะไม่มีใครหน้าไหนพรากมันไปจากข้าได้เป็นอันขาด!
ในขณะเดียวกันนั้น ที่ใต้ดินของดาวเอกแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ในโลงศพที่ร่างจริงของหวังเป่าเล่อนอนหลับตาอยู่ กายหลักของชายหนุ่มก็เริ่มสั่นสะท้านเช่นกัน กระแสพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะทะยานปั่นป่วน ขณะที่พลังนั้นกำลังพุ่งขึ้นสู่ชั้นปลาย หน้ากากลึกลับก็ทอแสงสว่างเรืองรอง เสียงแผ่วเบาของแม่นางน้อยดังลอดออกมา
“ไอ้หวังเป่าเล่อนี่…โลภมากเหลือเกิน หมอนี่มันรุนแรงกับตนเองมากไปแล้ว ถึงกับยอมเสียงตายเพื่อแลกกับการพัฒนาขั้นปราณเชียว!”
“ก็ได้ ข้าจะช่วยหมอนี่ก็แล้วกัน แต่หมอนี่คงทำไม่สำเร็จหรอก ร่างอวตารต้องทนไม่ได้และแหลกสลายไปแน่ ซึ่งแปลว่าทั้งหมดจะสูญเปล่า ไม่มีใครทำเรื่องเช่นนี้ได้หรอก ต่อให้เป็นหมอนี่ก็เถอะ ไม่มีทางเลยที่เขาจะทำสำเร็จ!” แม่นางน้อยกระแอมกระไอขณะพูดประโยคเดิมๆ ที่นางเคยเอ่ยมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
บทที่ 853 วิชาแห่งศาสตร์มืดพลังหยางย้...
คำพูดของแม่นางน้อยนั้นสมเหตุสมผลพอตัว หวังเป่าเล่อโลภมากเกินไปจริงๆ ในครั้งนี้ แม้จะเป็นเพราะว่าเขาไม่อยากปล่อยโอกาสงามที่ได้มาอย่างยากยิ่งให้สูญเปล่าไปก็ตามที หากพอใจแค่การบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นและชั้นปลายก็คงไม่ต้องเจ็บปวดเจียนตายเช่นนี้
นั่นเพราะการปล่อยมหาสมุทรในวิญญาณให้ทะลักเข้าร่างในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ อาจหมายถึงการทำให้ร่างอวตารดับสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้
ร่างของเขายังคงอยู่ได้ด้วยพลังของเปลวเพลิงดารานิรันดร์และฝ่ามือดาวพระเคราะห์ภายในกาย รวมถึงพลังบีบอัดของเกราะมหาจักรพรรดิและบทสวดแห่งเต๋าด้วย ความเจ็บปวดเหลือทนภายในร่างทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ สิ่งเดียวที่เขาทำได้ในเวลานี้คือการพุ่งพลังทั้งหมดไปที่การทำให้ร่างกายเสถียร
ชายหนุ่มยังโชคดีที่เปลวเพลิงดารานิรันดร์และฝ่ามือดาวพระเคราะห์นั้นทรงพลังมาก นอกจากนี้เกราะมหาจักรพรรดิยังทำหน้าที่เป็นเหมือนวงแหวนที่บีบรัดร่างกายของเขาเอาไว้ด้วยกัน จึงพอช่วยซื้อเวลาให้เขาหายใจหายคอได้ทัน สิ่งสำคัญที่สุดคือบทสวดแห่งเต๋าที่ตกลงห่อหุ้มร่างของหวังเป่าเล่อเอาไว้ ราวกับกำลังมอบพลังที่แสนยิ่งใหญ่ให้
ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อคงร่างกายให้เสถียรได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แม้…พลังของบทสวดแห่งเต๋านั้นไม่นานก็สลายหายไป แต่เปลวเพลิงดารานิรันดร์นั้นจะคงอยู่ต่อไป แม้ว่าจะต้องตกอยู่ภายใต้ความกดดันมหาศาลก็ตาม หลังจากที่ทำให้ร่างเสถียรได้แล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มเปิดตาได้เล็กน้อย
สงสัยคราวนี้ข้าจะวู่วามเกินไป… หวังเป่าเล่อก้มหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น เขามองร่างของตนเองและรู้สึกได้ว่าทันทีที่เลิกใช้เปลวเพลิงดารานิรันดร์ ฝ่ามือดาวพระเคราะห์ หรือเกราะมหาจักรพรรดิ ร่างกายจะพลันแหลกสลายไปในทันที จุดที่เขาอยู่ในตอนนี้คือสภาวะสมดุลที่สุด
ข้าได้พลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายมาครอบครองแล้ว แต่รู้สึกราวกับเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบเสียอย่างนั้น หากโดนแตะแม้แต่ปลายนิ้วคงสิ้นสภาพไปเป็นแน่ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นอย่างจนปัญญา เขากวาดสายตามองดวงวิญญาณนับล้านที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าโดยไม่ไหวติง นอกจากนี้ยังมองจักรพรรดิทั้งสิบสองพระองค์ที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่พระราชวังท้องฟ้าด้วยเช่นกัน ดวงตาของชายหนุ่มสว่างวาบด้วยแสงประหลาด ท้ายที่สุดเขาก็มองไปยังชุดเกราะของจักรพรรดิที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ในพระราชวังส่วนลึก
หลังจากที่กินผีแก่เข้าไป แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับถ่ายทอดความทรงจำหรือวิชาดวงเนตรปีศาจภาคต่อมา แต่วิชาดวงเนตรปีศาจของเขาก็แตกต่างไปจากเดิม เมื่อจิตวิญญาณของผีแก่ถูกขจัดออกจากดวงเนตรนั้น พลังของวิชานี้ก็ถือว่าเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ หวังเป่าเล่อรู้สึกประหลาดเมื่อมองไปยังชุดเกราะของจักรพรรดิ ราวกับว่า…ชุดเกราะบนบัลลังก์นั้นปล่อยกระแสปราณกังวานที่สะท้อนล้อกับวิชาดวงเนตรปีศาจของเขาอย่างไรอย่างนั้น
หวังเป่าเล่อหรี่ตาทันทีที่สัมผัสได้ถึงปราณกังวานดังกล่าว แม้ทุกส่วนในร่างจะเจ็บปวดไปหมด แต่เขาก็ยังบังคับตนเองให้ลุกขึ้นยืนและก้าวออกไปข้างหน้า พลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายของชายหนุ่มแพร่กระจายออกไป แม้จะก้าวออกไปเพียงก้าวเดียว แต่ร่างเงาของหวังเป่าเล่อก็หายไปเรียบร้อย และมาปรากฏอีกครั้ง…ที่ภายในพระราชวัง เขาอยู่เบื้องหลังจักรพรรดิทั้งสิบสองพระองค์ เบื้องหน้าคือชุดเกราะของจักรพรรดิ!
ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น จ้องมองไปที่ชุดเกราะเบื้องหน้าตน หลังจากที่เงียบอยู่นานหลายลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นกดลงบนชุดเกราะนั้น ดวงเนตรสีดำปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังทันที
ทันทีที่ฝ่ามือของหวังเป่าเล่อสัมผัสลงบนชุดเกราะ และดวงตาสีดำพลันปรากฏขึ้นที่เบื้องหลัง ชุดเกราะก็สั่นสะท้านแหลกสลายกลายเป็นเศษเสี้ยวนับร้อยในพริบตาและพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ มันเข้าคลุมแขนขวาของเขาและค่อยๆ แผ่ขยายเริ่มจากปลายนิ้ว สร้างเกราะฝ่ามือสีดำให้ถือกำเนิดขึ้น เกราะนั้นค่อยๆ ขยายลามไปตามฝ่ามือขวา สู่หน้าอกและมือซ้าย จนปกคลุมทั้งลำตัวในที่สุด
จากนั้นมันก็ค่อยขยายขึ้นบนและลงล่าง ส่วนหนึ่งแผ่ขึ้นไปยังลำคอของหวังเป่าเล่อเข้าปกปิดใบหน้าของเขาเอาไว้ อีกส่วนก็ลามลงไปยังขาทั้งสองข้าง ทันทีที่ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้น…ร่างของชายหนุ่มก็พลันสั่นอย่างรุนแรง เขารู้สึกได้ถึงแรงปั่นป่วนจากเกราะจักรพรรดิดั้งเดิมในกายตนและแรงสั่นจากเรือบินรบเวท
เรือบินรบเวทตั๊กแตนแยกออกจากเกราะมหาจักรพรรดิและลงจอดที่ด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าชุดเกราะจักรพรรดิใหม่นี้ไม่ชอบมันเสียอย่างนั้นจนต้องไล่มันออกไป และเข้ารวมกับเกราะจักรพรรดิดั้งเดิมในกายของชายหนุ่มแทน
การหลอมรวมเป็นหนึ่งนี้พอเหมาะพอดีกันมากกว่าการรวมเกราะจักรพรรดิเดิมเข้ากับเรือบินรบเวทตั๊กแตน ราวกับชุดเกราะทั้งสองนั้นเคยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาก่อน จึงหลอมรวมกันได้อย่างไร้ซึ่งอุปสรรคและสอดประสานส่งเสริมกันเป็นอย่างดี ภายในพริบตาชุดเกราะทั้งสองก็ประสานเข้าด้วยกันเรียบร้อย
ต่อมารังสีพลังที่รุนแรงกว่าเกราะมหาจักรพรรดิเดิมก็ระเบิดออกจากกายหวังเป่าเล่อ หน้าตาของเกราะใหม่นี้ก็เปลี่ยนไปจากเดิมด้วยเช่นกัน ลวดลายซับซ้อนมากมายปรากฏขึ้นที่พื้นผิวเกราะ ดูราวกับเป็นดวงตานับไม่ถ้วน หนามกระดูกที่เคยมีก่อนหน้านี้หดตัวลงแต่ไม่ได้สลายหายไป หวังเป่าเล่อสามารถเรียกมันออกมาได้เพียงใจนึก
สีของชุดเกราะนั้นดำสนิท ท้ายที่สุด…ดวงตาสีแดงยักษ์ดวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่กลางหน้าอกหวังเป่าเล่อท่ามกลางลายดวงตามากมายบนชุดเกราะ ดวงตาที่รายรอบนั้นเปรียบเสมือนดวงดาวที่ขับแสงดวงจันทร์ ทำให้ดวงตาสีแดงยักษ์ดูโดดเด่นสะดุดตาเป็นที่สุด
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือกระแสพลังที่เข้ากันกับร่างอวตารของหวังเป่าเล่ออย่างแนบสนิท นอกจากนี้วิชาดวงเนตรสวรรค์จากชุดเกราะที่ชายหนุ่มถวิลหา ก็พลันประทับลงในจิตใจของเขาทันที
สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อกำหมัดแน่น ลมหายใจหอบเร็ว ทันใดนั้นสวรรค์และผืนดิน สายลมและหมู่เมฆ ก็พลันปั่นป่วนสั่นสะเทือน พลังปราณระดับจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายของเขาระเบิดออกมาและเพิ่มพูนมากขึ้นในทันที พลังปราณของหวังเป่าเล่อก้าวข้ามจากชั้นปลายไปสู่ชั้นสมบูรณ์ แม้ว่าพลังนั้นจะยังอ่อนชั้นกว่าระดับดาวพระเคราะห์…แต่ก็จัดว่าอยู่ไกลจากระดับดาวพระเคราะห์ที่แท้จริงไม่มากนัก!
ปรากฏการณ์นี้ทำให้วิญญาณของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม เขารู้สึกได้ทันทีว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม และร่างที่แหลกสลายใกล้ดับสูญก่อนหน้านี้ก็เริ่มเสถียรมากขึ้นด้วยหลังจากที่ได้ชุดเกราะใหม่มาไว้ในครอบครอง
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ต้องยืมพลังของเปลวเพลิงดารานิรันดร์และฝ่ามือดาวพระเคราะห์มาช่วยกดร่างตนเองไว้แล้ว ความรู้สึกนี้รุนแรงมากจนทำให้หวังเป่าเล่อตัดสินใจลองถอนพลังทั้งสองออกดูพร้อมๆ กัน หลังจากที่เงียบอยู่สองสามวินาที
ทันทีที่เขาถอนพลังออก แม้ความเจ็บปวดจะแพร่กระจายไปทั่วร่าง แต่กายของเขาก็ยังคงสภาพเอาไว้ได้
ไอ้ชุดเกราะมหาจักรพรรดินี่… ยอดเยี่ยมจริงๆ !
หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็มีเวลามานั่งคิดแล้วสิว่าจะทำให้ร่างกายตนเองกลับสู่สภาวะสมดุลดังเดิมได้อย่างไร ระหว่างนี้…ในเมื่อข้าได้วิชาดวงเนตรสวรรค์ฉบับสมบูรณ์มาแล้ว ข้าก็สามารถเพิ่มพลังปราณของตนเองขึ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด ตราบใดที่ยังคงเดินหน้าคร่าชีวิตต่อไป! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นถึงขีดสุด เขารู้ดีแล้วจากประสบการณ์ว่าวิชาดวงเนตรสวรรค์นั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด นอกจากนี้ยังเริ่มเคลือบแคลงสงสัยต้นกำเนิดของมันมากขึ้นอีกด้วย
แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าตนเองจะมานั่งกระวนกระวายกับเรื่องพรรค์นี้ไม่ได้ เขาไม่เสียใจเลยที่ตนเองกำจัดวิญญาณผีแก่เสียสิ้นซาก เพราะรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าชายแก่นั่นไว้ใจไม่ได้ หลังจากที่ปัดความคิดนั้นทิ้งไปเรียบร้อย เขาก็เงยหน้าขึ้นมองบรรยากาศรอบตัว เพื่อตรวจดูว่ายังมีสมบัติอะไรหลงเหลืออยู่ในสุสานหลวงหรือไม่ ในตอนนั้นเอง…
ขณะที่ดวงตาของเขากวาดผ่านไป วิญญาณบรรดาจักรพรรดิที่คุกเข่าไม่ไหวติงอยู่นั้นก็สั่นไหว ทุกคนลุกขึ้นยืน หันหน้ามามองหวังเป่าเล่อพร้อมกัน ก่อนจะคุกเข่าลงอีกครั้ง!
“ขอคารวะท่านจักรพรรดิ!”
ไม่ใช่แค่คนพวกนี้เท่านั้น แต่ดวงวิญญาณหลายล้านดวงที่ด้านนอกก็ลุกขึ้น หันมาคุกเข่าแทบเท้าหวังเป่าเล่อเช่นกัน พวกเขาคุกเข่าลงกับพื้นอย่างพร้อมเพรียงจนทำให้พื้นดินและท้องฟ้าสั่นสะเทือนหวั่นไหว
“ขอคารวะท่านจักรพรรดิ!”
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงในทันที ขั้นแรกเขาตรวจดูให้แน่ใจก่อนว่าตนเองคือหวังเป่าเล่อจริง และเหตุการณ์ที่เขากินวิญญาณจักรพรรดิโบราณไปก่อนหน้านี้ไม่ใช่ภาพมายา จากนั้นเขาก็หันไปมองวิญญาณจักรพรรดิทั้งสองสิบพระองค์ และวิญญาณหลายล้านดวงเบื้องนอก ชายหนุ่มสัมผัสได้แล้วว่ามีบางอย่างน่าสนใจเกิดขึ้น แม้จะยังไม่มั่นใจว่าคือสิ่งใด เป็นเพราะเขากินผีแก่เข้าไป เพราะเขาเป็นบุตรแห่งความมืด หรือเพราะชุดเกราะนี้กันแน่…
หรืออาจเป็นไปได้ว่าเป็นผลของทั้งสามอย่างประกอบกัน กระนั้นเขาก็กลายมาเป็นเจ้าแห่งวิญญาณหลายล้านดวงและวิญญาณจักรพรรดิทั้งสิบสอง นอกจากนี้ สำหรับวิญญาณพวกนี้แล้ว เขาเป็นถึง…จักรพรรดิแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!
จักรพรรดิสิบสองตน… ทุกตนมีพลังเทียบเท่าดวงวิญญาณเทพขั้นจิตวิญญาณอมตะ
ส่วนวิญญาณอีกหลายล้านดวงนั้น แม้จะไม่ได้มีปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่ก็ยังเป็นขั้นจุติวิญญาณ!
ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหายใจเร็วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายวาบ เขาเข้าใจแล้วว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ผีแก่เตรียมการเอาไว้หลังจากที่อีกฝ่ายทำตามแผนสำเร็จและกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
เจ้าไร้น้ำยากว่าข้ามากนักเรื่องการควบคุมวิญญาณ ไอ้ผีแก่ ส่วนเรื่องการผนึกวิญญาณและกอบกู้พลังหยางกลับมานั้น…เจ้าไม่มีทางรู้วิธีการแน่ เพราะฉะนั้น ความจริงแล้วไอ้วิญญาณพวกนี้มันควรจะเป็นของข้าโดยชอบธรรมอยู่แล้ว! หวังเป่าเล่อหัวเราะ เขายกมือขวาขึ้นโบก พลันหุ่นเชิดมากมายก็ลอยออกจากกระเป๋าคลังเก็บ หุ่นเชิดเหล่านั้นมีจำนวนแสนตนด้วยกัน แม้จะไม่ได้ดีพอที่จะให้ดวงวิญญาณทั้งล้านดวงเข้าครอบครอง แต่ก็ยังพอเป็นที่อยู่อาศัยได้
จากนั้นหวังเป่าเล่อก็หยิบหุ่นเชิดที่แข็งแกร่งสิบสองตนซึ่งเขาหลอมกับมือออกมา หุ่นเชิดเหล่านี้เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อหลอมเอาไว้เป็นชุดๆ ในช่วงเวลาหลายปี ชายหนุ่มโบกมือสร้างผนึกฝ่ามือทั้งสองข้าง ทันใดนั้นแสงประหลาดก็ฉายออกจากดวงตา เปลวไฟสีดำพุ่งออกจากกายทั้งภายในและภายนอก เปลี่ยนสภาพไปเป็นผนึกแห่งความมืดที่ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากโลกนี้ ผนึกนั้นผุดขึ้นตามๆ กันมาทีละชิ้น
“วิชาแห่งศาสตร์มืด… ผนึก พลังหยางย้อนกลับ!”
บทที่ 854 สวรรค์แห่งนพภูมิ!
ก่อนหน้านี้ที่หวังเป่าเล่อเข้าไปอยู่ในนิมิตมืด เขาได้เรียนรู้วิชาแห่งศาสตร์มืดมามากมาย แต่ด้วยความที่พลังปราณของเขาต่ำไปจึงไม่สามารถใช้งานพวกมันได้ บัดนี้เมื่อมีปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย ชายหนุ่มก็เริ่มใช้หลายวิชาได้ดังใจนึก
ยกตัวอย่างเช่นวิชาพลังหยางย้อนกลับ ที่เรียกวิญญาณให้เข้าไปอาศัยอยู่ในวัตถุบางอย่างได้ การจะใช้วิชานี้ได้นั้นมีข้อจำกัดมากมาย วิญญาณเหล่านั้นจะต้องไม่ต่อต้านแม้แต่น้อย และยังถือเป็นวิชาต้องห้ามของสำนักแห่งความมืดอีกด้วย
แต่สำหรับหวังเป่าเล่อในตอนนี้ วิชาต้องห้ามไม่มีอยู่จริง ทันทีที่เขาใช้วิชานี้ วิญญาณของจักรพรรดิทั้งสิบสองดวงก็สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง แปรสภาพไปเป็นลำแสงสีแดงสิบสองเส้นที่พุ่งเข้าใส่หุ่นเชิดทั้งสิบสองตัว วิญญาณและหุ่นเชิดพลันหลอมรวมกันทันที
ในตอนนั้นเอง หุ่นเชิดทั้งสิบสองตัวก็สั่นสะท้าน แต่ละตัวระเบิดพลังงานเทียบเท่าพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นออกมา พลังนั้นไม่ได้เสถียรมากและยังต้องการเวลาหลอมรวมกันให้นานกว่านี้ แต่ก็จัดว่าใช้ได้แล้วสำหรับหวังเป่าเล่อที่ไม่ได้รีบร้อนอันใด หลังจากที่ตรวจตราดูจนแน่ใจว่าไม่มีปัญหา เขาก็ยกมือขวาขึ้นโบกเพื่อเก็บหุ่นเชิดกลับไป
หลอมไปอีกสักพักข้าก็จะมีหุ่นเชิดขั้นจิตวิญญาณอมตะสิบสองตัวเอาไว้ในครอบครอง!
และวิญญาณหลายล้านตนนั้นด้วย… หวังเป่าเล่อดีใจจนเนื้อเต้น ไม่เพียงแต่พลังปราณของเขาเท่านั้นที่พัฒนาขึ้นจนน่าตกใจ แต่เขายังได้ของล้ำค่ามากมายมาไว้ในครอบครองอีกด้วย เขาเก็บหุ่นเชิดแสนตัวพร้อมทั้งวิญญาณหลายล้านตนที่อยู่ในนั้นกลับเข้ากระเป๋าด้วยความลิงโลด จากนั้นก็สูดหายใจเข้าและมองไปรอบกาย
ปกติแล้วสุสานจะต้องมีสิ่งของไว้ทุกข์ฝังไว้กับศพ ที่นี่คือสุสานหลวงแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ทั้งจักรพรรดิองค์ก่อนหน้าก็ฝังอยู่ที่นี่ทั้งหมด แปลว่าจะต้องมีของไว้ทุกข์หลายอย่างอยู่แน่ ชายหนุ่มดวงตาสว่างวาบขณะส่งสัมผัสสวรรค์ออกตรวจตรา ด้วยพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายของเขา แม้สุสานนี้จะกว้างใหญ่พอตัว แต่สัมผัสสวรรค์ที่ทรงพลังของหวังเป่าเล่อก็ยังเข้าครอบคลุมได้หมดทั้งบริเวณในพริบตา หลังจากที่ตรวจสอบจนทั่วแล้ว ชายหนุ่มก็สะดุ้งเฮือก ดวงตาวาวโรจน์
ทั้งหมดนี่… หวังเป่าเล่อหายใจหอบถี่เมื่อเห็นสิ่งที่สัมผัสสวรรค์บอก เขารีบลุกขึ้นก้าวหายไปในทันที ก่อนมาปรากฏตัวอีกครั้งที่ท้องฟ้าเหนือพระราชวัง ชายหนุ่มก้มลงมองเบื้องล่างและเห็นภูเขาสี่ลูกที่สัมผัสสวรรค์ตรวจจับได้ก่อนหน้า! ภูเขาทั้งสี่ห้อมล้อมพระราชวังเอาไว้
ภูเขาทั้งสี่ลูกดูเหมือนเทือกเขาที่ติดกันเป็นแนวยาว แต่ดวงเนตรเทพของหวังเป่าเล่อกลับเปิดโปงความลับของมันออกมาจนหมดสิ้น ภาพที่เขาเห็นทำให้ดวงวิญญาณของชายหนุ่มสั่นสะเทือนด้วยความตกใจ
ภูเขาลูกแรกแปรสภาพไปตามกาลเวลาที่ผันผ่านกลายมาเป็นเทือกเขาหนึ่งลูก ภูเขาลูกนี้เกิดมาจากกองศิลาวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ค่อยๆ หลอมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง ก่อนหน้านั้นหวังเป่าเล่อไม่ทันได้สังเกต เนื่องจากพลังปราณจากศิลาวิญญาณจำนวนมหาศาลได้สลายหายไปหมดแล้ว จนมีหน้าตาเหมือนภูเขาธรรมดาทั่วไป
ดูทรงแล้วจะต้องมีศิลาวิญญาณอย่างต่ำสิบล้านก้อนเลยทีเดียว… หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้า เขาตกตะลึงเป็นอันมากจนต้องพาร่างเข้าไปใกล้เพื่อดูให้ชัดๆ เขาทำได้เพียงเอามือทาบอก รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดภายในใจตนเพียงเท่านั้น
ข้ามาช้าไป! ถ้ามาถึงเร็วกว่านี้สักหมื่นปีละก็… หวังเป่าเล่อมีสีหน้าหดหู่ บอกไม่ถูกว่าตนเองรู้สึกอย่างไร หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก เขาก็หันไปมองภูเขาลูกที่สองที่สร้างมาจากโอสถจำนวนนับไม่ถ้วน เสียแต่ว่า…โอสถเหล่านั้นไม่มีพลังปราณหลงเหลืออยู่แล้วเช่นเดียวกับศิลาวิญญาณ โอสถเหล่านี้สูญสิ้นสภาพจากภายในและหมดฤทธิ์ไปเป็นที่เรียบร้อย
ไอ้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นี่มันมีแต่พวกโง่เง่าหรืออย่างไร เหตุใดจึงสุรุ่ยสุร่ายเช่นนี้ หรือว่าก่อนหน้านี้มันเคยรวยมากมาก่อนกันนะ หวังเป่าเล่อรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน ขณะที่มาถึงเขาลูกที่สองซึ่งเกิดมาจากโอสถและได้แต่จ้องมองมันด้วยสายตาว่างเปล่า จากนั้นเขาก็ไปที่ภูเขาลูกที่สามและสี่ต่อไปอย่างดฉยชา ภูเขาสองลูกที่เหลือสร้างมาจากสมบัติเวทและเรือบินรบ!
เมื่อหวังเป่าเล่อไปถึงภูเขาลูกที่สาม ความรู้สึกเสียใจก็มากขึ้นเล็กน้อย นั่นเพราะด้วยความที่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวท เขาจึงมั่นใจว่าภูเขาสมบัติเวทลูกที่สามนี้ไม่ได้มีมูลค่ามากขนาดนั้น แม้จะรู้สึกได้ถึงความสูญเสียในใจ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังทำใจจากมันมาได้
ทว่า…ทันทีที่ชายหนุ่มมาถึงภูเขาลูกสุดท้าย และเห็นว่าภูเขาลูกนี้เกิดจากกองเรือบินรบเวทที่สุมขึ้นเป็นภูเขาเลากา อารมณ์ของหวังเป่าเล่อก็ดิ่งลงไปอีกจนเรียกได้ว่าคล้ายคนอกหักเลยทีเดียว
ให้ตายเถอะ เสียของเป็นบ้า… หวังเป่าเล่ออยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก โดยเฉพาะเมื่อค้นพบว่ามีภูเขาที่สร้างมาจากเรือบินรบอยู่ด้วย พอชายหนุ่มประเมินได้ว่ามีอยู่ราวพันลำ เขาก็รู้สึกเหมือนโดนหมัดที่มองไม่เห็นต่อยจนพาลสั่นไปหมดทั้งร่าง
อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ ต่อให้มันจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่ควรเอาเรือบินรบพันลำมากฝังไปกับคนตายสิ ไอ้หน้าโง่ที่ไหนมันเป็นคนคิดกัน! หวังเป่าเล่อรู้สึกฉุนขาด หัวใจเหมือนโดนความรู้สึกสูญเสียกรีดจนเลือดไหล แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็แอบเคลือบแคลงสงสัยเช่นกัน นั่นเพราะอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นี้ไม่ควรจะแข็งแกร่งอหังการถึงเพียงนี้ หลังจากที่ตรวจสอบดูจนแน่ใจเขาก็ถอนหายใจออกมา
ไอ้ของพวกนี้ไม่ได้ถูกฝังรวมกับคนตายครั้งเดียวแต่แบ่งฝังหลายครั้ง… สงสัยทุกครั้งที่มีไอ้บ้าคนนึงตายพวกนี้ก็จะเอาเรือบินรบเวทมาฝังกับศพมันด้วยแน่ๆ … เรือบินรบพวกนี้มีรอยแตกอยู่บนพื้นผิว แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เกิดจากกาลเวลา ดูจะเป็นร่องรอยความเสียหายจากตอนที่ยังใช้งานอยู่มากกว่า…
ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นละนะ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้วตั้งแต่อารยธรรมนี้ถือกำเนิดขึ้นมา หวังเป่าเล่อถอนหายใจก่อนจะพุ่งเข้าไปเลือกดูเรือบินรบเวทด้วยความหงุดหงิด หลังจากที่ตรวจดูอย่างถี่ถ้วน เขาก็แน่ใจแล้วว่าเรือบินรบเวทเหล่านี้ตายไปเรียบร้อย เหลือไว้เพียงซากให้ดูต่างหน้าเท่านั้น
และด้วยความที่เรือบินรบเวทเหล่านี้ได้รับความเสียหายหนัก หรืออาจเป็นเพราะกาลเวลาที่ล่วงเลยมาเนิ่นนาน พวกมันจึงหมดมูลค่าแม้แต่จะใช้เป็นชิ้นส่วนในการสร้างสิ่งใหม่ๆ ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงรู้สึกหงุดหงิดเป็นอันมาก เขายืนเงียบอยู่นานก่อนจะยกมือขึ้นคว้าอากาศ หลังจากที่หยิบเรือบินรบเวทลำหนึ่งออกมา เขาก็เริ่มกระบวนการปรับปรุงมัน
แม้จะเป็นเพียงซากเรือบินที่หมดราคาแล้ว แต่ความสามารถด้านการหลอมอาวุธเวทของหวังเป่าเล่อก็ทำให้เขาสามารถเปลี่ยนขยะให้กลายเป็นสมบัติได้ หลังจากที่รื้อบางส่วนของเรือบินรบทำลายตนเองออกและรวมมันเข้ากับเรือบินรบเวท หวังเป่าเล่อก็สามารถฟื้นฟูพลังบางส่วนของซากเรือบินกลับมาได้
การนำมารื้อประกอบสร้างใหม่คือหัวใจหลักที่เขาใช้ในการกู้ความสามารถของเรือบินกลับมาชั่วคราว และสามารถระเบิดทำลายตนเองได้เช่นกัน กระนั้นพลังของมันก็อ่อนนัก โดยนับเป็นร้อยละ 10ของเรือบินรบเวทปกติเท่านั้น
แต่ที่นี่มีเรือบินรบเวทอยู่เป็นพันๆ ลำ หวังเป่าเล่อจะได้ทรัพย์สินมหาศาลหากเขาดัดแปลงมันสำเร็จ ชายหนุ่มจึงกัดฟันหยิบหุ่นเชิดออกมาแสนตัวเพื่อการนี้ ด้วยความที่ภายในหุ่นเชิดนั้นมีวิญญาณอยู่จึงทำให้เขาควบคุมมันได้ง่าย สามวันผ่านไป เรือบินรบเวทกว่าเก้าร้อยลำก็ถูกหวังเป่าเล่อดัดแปลงเป็นที่เรียบร้อย ด้วยหยาดเหงื่อและแรงกายของหุ่นเชิดทั้งแสนตัว เรือบินรบเหล่านี้ก็กลายมาเป็นเรือบินรบเวททำลายตนเองของหวังเป่าเล่อในที่สุด
แม้พลังของมันจะไม่ได้ดีเด่อะไร แต่ก็ยังเอาไว้ใช้ทำให้คนตกใจกลัวได้ละนะ! ชายหนุ่มถอนหายใจ สำหรับเขาแล้วพวกเรือบินรบเหล่านี้มีดีอย่างเดียวคือหน้าตา…
การดัดแปลงของเขาแม้จะทำให้พลังทำลายตนเองของพวกมันไม่ได้สูง แต่หน้าตาของเรือบินรบเหล่านี้ก็ยังดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ดูแตกต่างจากเรือบินรบเวทธรรมดาอย่างสิ้นเชิง
หลังจากที่ปลอบใจตนเองเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ยอมรับความจริงในที่สุด แม้จะลังเลอยู่บ้าง ชายหนุ่มก็เก็บเรือบินรบเข้ากระเป๋าและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพลางถอนใจออกมา
หากมีแค่นี้…เห็นทีข้าคงจะต้องไปแล้ว ชายหนุ่มหันหน้าไปมองบรรยากาศรอบตัวก่อนจะส่งสัมผัสสวรรค์ของตนเองออกไปเพื่อตรวจดูสุสานหลวงอีกครั้ง เมื่อเขามั่นใจแล้วว่าตนเองไม่ได้พลาดอะไรไป ชายหนุ่มก็ก้มลงมองพระราชวังข้างล่างขณะลอยอยู่ในอากาศ
น่าเสียดายที่พวกนี้เป็นเพียงภาพมายาไม่มีอยู่จริง มิเช่นนั้น…ข้าคงเอามันมาแยกชิ้นส่วนขายได้ ชายหนุ่มส่ายหน้าด้วยความเสียดายก่อนจะขยับตัวทะยานสู่ท้องฟ้าเบื้องบน เมื่อเข้าไปใกล้เขาก็ยกมือขวาขึ้นปล่อยหมัด
ท้องฟ้าดังสะเทือนเลื่อนลั่น พลันพายุหมุนที่เกิดจากหมัดของหวังเป่าเล่อก็ถือกำเนิดขึ้น เขามีทั้งพลังปราณที่แก่กล้ามาก และยังกลายมาเป็นจักรพรรดิรวมถึงเจ้าของสุสานหลวงแห่งนี้ ชายหนุ่มจึงเปิดทางออกจากสถานที่นี้ท่ามกลางเสียงดังลั่น
ทันใดนั้น หวังเป่าเล่อที่กำลังจะก้าวออกจากที่แห่งนี้ก็พลันหยุดชะงักและจ้องไปข้างหน้า เขามองไปที่พื้นที่มืดสนิทข้างนอกลมหมุน รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่เข้ามาภายในลมหมุนจากด้านนอก ดวงตาสว่างวาบขึ้นมาอย่างเสียมิได้
พลังนี้… หวังเป่าเล่อกลั้นหายใจ ปล่อยสัมผัสสวรรค์ของตนออกไปรวมกับลมหมุนเพื่อสัมผัสโลกภายนอก ทันทีที่เขารู้ว่าตนเองอยู่โลกใด ก็เห็นว่าในโลกนั้นมีหมอกลอยกระจายอยู่ทั่ว รูปปั้นสุสานหลวงที่เขาอยู่นั้นก็ค่อยๆ จมลงเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อตกใจเป็นอันมาก
นี่มัน… มิติแห่งความมืดรึ
มิติแห่งความมืดนั้นมีหลายชื่อเรียกตามแต่อารยธรรม อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เรียกมันว่านพภูมิ สำหรับหวังเป่าเล่อ มิตินี้คือมิติที่สำนักแห่งความมืดเป็นคนเปิด แต่เนื่องด้วยพลังปราณที่ต่ำต้อยของเขา หวังเป่าเล่อจึงเคยแต่ได้ยินมาเท่านั้น ไม่เคยเข้ามาจริงๆ แต่อย่างใด
แต่ในตอนนี้ หลังจากที่ได้สัมผัสบรรยากาศภายนอกและยืนยันอีกรอบให้แน่ใจแล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นในทันที เขาขยับตัวครั้งเดียวก็ก้าวออกจากลมหมุน ไปยืนอยู่บนรูปปั้นที่กำลังจมลงเรื่อยๆ และมองไปที่บรรยากาศรอบกาย ทันทีที่ร่างของเขาปรากฏขึ้น ก็เหมือนกับหินที่ถูกโยนไปบนผิวทะเลสาบ การปรากฏตัวของชายหนุ่มทำให้ม่านหมอกไหวเป็นระลอก เสียงกรีดร้องดังระงมในโลกที่เคยเงียบสงัด
ทันทีที่เขาทอดสายตาไป ม่านหมอกก็พลันปั่นป่วนหมุนวน หมอกนั้นพุ่งเข้ามาล้อมไหลวนรอบกายหวังเป่าเล่อ จนเกิดเป็นหมอกหมุนขนาดใหญ่กระจายตัวไปเป็นวงกว้าง
หมอกพวกนี้ดูเหมือนจะ…กำลังให้กำลังใจ ต้อนรับ และบูชาตัวเขาอยู่!
เทพยักษ์ตนในกันที่ใช้พละกำลังมหาศาลโยนรูปปั้นนี้เข้ามาในมิติแห่งความมืด… หวังเป่าเล่อประหลาดใจเป็นอันมาก เพราะเพียงแค่หายใจเอาหมอกรอบกายเข้าไป ร่างกายที่อ่อนล้าฉีกขาดภายใต้ชุดเกราะก็พลันได้รับการเยียวยาอย่างรวดเร็ว!
บทที่ 855 ขั้นจิตวิญญาณอมตะที่แข็งแกร...
สำหรับศิษย์สำนักแห่งความมืดแล้ว มิติแห่งความมืดเป็นเสมือนโลกที่พวกเขาควบคุมได้โดยสมบูรณ์ เช่นเดียวกับที่สวรรค์และโลกมนุษย์ถูกแบ่งออกเป็นหยินและหยาง ศิษย์สำนักแห่งความมืดที่อยู่ภายในมิติแห่งความมืดนั้นทำอะไรได้มากมายกว่าการเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณ พวกเขายังสามารถฝึกตนได้ด้วย
และปราณมืดพิเศษภายในมิติแห่งความมืดก็เป็นสารอาหารชั้นเยี่ยม เปรียบดั่งปราณวิญญาณสำหรับสำนักแห่งความมืด ปราณชนิดนี้ช่วยให้พลังปราณของศิษย์สามารถควบรวมหยินและหยางได้ ทำให้พวกเจาแข็งแกร่งเกินสำนักอื่นๆ ไปมากนัก
สำหรับศิษย์สำนักแห่งความมืดยุคก่อน ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันที่จะเข้าไปยังมิติแห่งความมืดเพื่อฝึกตน แต่ต้องมีระดับปราณตามที่กำหนด พวกเขาต้องอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์เป็นอย่างน้อยจึงจะเข้าไปได้ ดังนั้นนั้น หวังเป่าเล่อผู้ที่เคยได้ยินและรับรู้เรื่องนี้มาระหว่างที่อยู่ในนิมิตมืด จึงไม่เคยได้เข้าไปเยือนที่นั่นมาก่อน
และหลังจากที่สำนักแห่งความมืดล่มสลายเพราะเต๋าสวรรค์พังทลาย สำนักแห่งความมืดก็เริ่มอยู่ในขาลงมา ยิ่งไปกว่านั้น เพราะตระกูลไม่รู้สิ้นได้ปิดผนึกมิติแห่งความมืดเอาไว้ ทำให้ไม่มีศิษย์สำนักแห่งความมืดคนใดได้เข้าไปที่นั่นมาเป็นเวลานานมากแล้ว
เช่นเดียวกัน เพราะไม่มีใครได้เข้าไปที่นั่นมาเป็นเวลานาน ทำให้ความเข้มข้นของปราณมืดภายในมิติแห่งความมืดภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นพุ่งสูงจนเหลือเชื่อ แม้ว่าวิญญาณระดับดาวพระเคราะห์ขึ้นไปจะไม่สามารถเข้าสู่มิติแห่งความมืดได้เพราะเต๋าสวรรค์ได้ตายจากไป ทำให้มิติแห่งความมืดทั้งหมดไม่มีต้นกำเนิด แต่ปราณอันเข้มข้น…ยังสามารถกลายมาเป็นอาหารอันโอชะให้หวังเป่าเล่อได้!
หลังจากที่สัมผัสได้ว่านี่คือมิติแห่งความมืดที่สำนักแห่งความมืดกล่าวขวัญถึงและรัศมีของสถานที่นี้ยังทำให้ร่างกายที่แตกสลายของเขาค่อยๆ ดีขึ้น หวังเป่าเล่อก็คิดว่าทุกๆ สิ่งคงจะสมบูรณ์แบบหากเขาสามารถนำร่างจริงมานอนอยู่ที่นี่แทนได้
ช่างน่าเสียดายอะไรอย่างนี้…หวังเป่าเล่อรู้สึกเสียดายจริงๆ แต่กลับตื่นเต้นมากกว่า เพราะตามวิชาแห่งศาสตร์มืดที่เขาเคยได้ร่ำเรียนมา ทันทีที่ชายหนุ่มบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ได้ เขาก็จะสามารถเปิดมิติแห่งความมืดและให้ร่างจริงของเขาเข้าไปในนั้นได้
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็คึกคักขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่ก้าวย่ำไปบนรูปปั้น ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นโบกเป็นผนึกฝ่ามือ ทันใดนั้นเอง หมอกที่รายล้อมอยู่ก็เข้ามาห่อหุ้มกายก่อนจะแปรสภาพเป็นพายุหมุนที่มีตัวเขาเป็นจุดศูนย์กลาง
ขณะที่หมุนวนอยู่นั้น ปราณมืดจำนวนมากก็พุ่งเข้ามาหาหวังเป่าเล่อภายใต้เสียงตะโกนโห่ร้องยินดีและเทิดทูนบูชา ปราณมืดไหลผ่านทวารทั้งเจ็ดของชายหนุ่ม ไหลทะลักผ่านทุกรูขุมขนและร่องรอยเปิดบนผิวหนังของเขาเข้าไป
รัศมีแห่งความตายที่อาจทำให้ใครอื่นตกตะลึงหากได้สัมผัส และใครๆ ต่างก็อยากหลบเลี่ยง เป็นสิ่งที่ทรงคุณค่ายิ่งสำหรับหวังเป่าเล่อ
ขณะที่ชายหนุ่มดูดซึมมันเข้าไปนั้น ร่างสารัตถะภายใต้เกราะมหาจักรพรรดิของเขา ซึ่งตอนแรกมีร่องรอยแตกร้าวอยู่เต็มไปหมดก็ฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่รัศมีแห่งความตายไหลบ่าเข้าท่วมกาย แม้ว่าพลังปราณของหวังเป่าเล่อจะไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ก็มีผลช่วยให้พลังปราณของเขาคงที่!
อาจกล่าวได้ว่าหวังเป่าเล่อคนก่อนเสียการควบคุมปราณที่สั่งสมไว้ไปเพราะระดับพลังปราณของเขาเพิ่มสูงขึ้นเร็วเกินไป ทำให้ไม่อาจจัดการได้อย่างเต็มที่ ทำให้แม้ระดับพลังปราณจะดูเหมือนอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย แต่ยังไม่อาจต่อสู้ได้อย่างเต็มกำลัง แต่ตอนนี้…ภายใต้การเกื้อหนุนของรัศมีแห่งความตาย ปัญหาทุกอย่างในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นจากการเพิ่มพูนพลังปราณอย่างรวดเร็วก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป!
ขณะที่กำลังแก้ไขอยู่นั่นเอง ก็มีพลังคลื่นแทรกปราณระเบิดออกมาจากกายเขา ทั้งยังมีสัมผัสแห่งพลังและความแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากทุกอณูของกายเขาก่อนจะไหลบ่าเข้ารวมกับดวงจิตของชายหนุ่มอีกด้วย ทำให้หวังเป่าเล่อถึงกับต้องยกศีรษะขึ้นคำรามอย่างสุดจะควบคุม
เมื่อเสียงคำรามดังสนั่นออกไป พายุหมุนรอบกายก็พัดหนักอีกครั้ง และรัศมีแห่งความตายจำนวนมากก็พวยพุ่งออกมาราวกับว่ามันมีปริมาณไร้ขีดจำกัด ทั้งยังคล้ายว่ารัศมีแห่งความตายนี้มีปัญญาวิญญาณเป็นของตัวเอง และเริ่มหงุดหงิดจากการติดอยู่ในมิติแห่งความมืดนานเกินไป มันจึงอยากมาเป็นส่วนหนึ่งของหวังเป่าเล่อ และติดตามเขาออกไปเห็นดวงอาทิตย์อีกครั้งนั่นเอง!
ดังนั้นในขณะที่คลื่นเสียงครั่นครืนของอัสนีสวรรค์ดังอยู่ไม่หยุดหย่อน พายุหมุนก็ใหญ่ขึ้นทุกทีๆ และรอยฉีกทุกแห่งบนกายหวังเป่าเล่อก็สมานกันเป็นที่เรียบร้อย เมื่ออาการบาดเจ็บทั้งภายในและภายนอกหายดี ระดับพลังปราณของเขาก็คล้ายกับว่ากลับไปอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายอีกครั้ง ถึงกระนั้น…เพราะการผสานรวมกันของหยินและหยาง ทำให้พลังปราณของหวังเป่าเล่อขณะนี้หนักแน่นราวหินผา!
ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นปัจจุบัน แม้จะมีผู้อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะที่ระดับปราณมั่นคงใกล้เคียงกับหวังเป่าเล่ออยู่ก็ตาม ทว่า…พวกเขาเหล่านั้นก็มาจากขั้วอำนาจอันยิ่งใหญ่หรือตระกูลดัง เรียกได้ว่าคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด
มีเพียงตระกูลใหญ่ๆ เช่นนั้นที่จะสามารถฝึกปรือศิษย์และคาดหวังให้พวกเขาแบกรับความหวังของตระกูลเอาไว้ได้ นอกจากนั้น มีไม่กี่คนในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นแห่งนี้ที่จะเป็นเช่นหวังเป่าเล่อได้ คือสามารถสร้างรากฐานอันมั่นคงราวหินผาหลังจากที่เพิ่งจะควบรวมหยินและหยางเข้าด้วยกันไปหมาดๆ!
อันที่จริง หวังเป่าเล่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนี้คือวัตถุประสงค์ของศิษย์พี่เฉินชิงของเขา เมื่อครั้งที่เฉินชิงพาหวังเป่าเล่อออกจากสหพันธรัฐเพื่อไปยังสถานที่นัดพบลับของสำนักแห่งความมืด เขาก็ตั้งใจจะให้หวังเป่าเล่อใช้พลังของมิติแห่งความมืดเพื่อสร้างร่างกายดุจหินผาหลังจากที่ชายหนุ่มบรรลุระดับดาวพระเคราะห์แล้ว
ถึงแม้จะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการนั้น ส่งผลให้หวังเป่าเล่อยังไม่บรรลุระดับดาวพระเคราะห์ แต่สถานการณ์ปัจจุบันก็ไม่ต่างจากแผนของเฉินชิงนัก เพราะหวังเป่าเล่อ ที่ตอนนี้สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในระดับปราณ ก็ได้รับอานิสงส์โดยหารู้ไม่ว่านี่เป็นแผนของศิษย์พี่ที่วางเอาไว้ ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็เปรียบเทียบตนเองกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายที่เพิ่งจะได้พบตอนทำภารกิจของปรมาจารย์แห่งไฟ
หวังเป่าเล่อเข้าใจอย่างชัดแจ้งว่าก่อนหน้านี้ตนเองมีระดับเกือบเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายหากไม่นับความช่วยเหลือจากสมบัติเวทอื่นๆ ด้วย และหลังจากที่ได้ซึมซับรัศมีแห่งความตายมาแล้ว ชายหนุ่มก็รู้สึกราวกับมีมังกรและพยัคฆ์ผสานรวมกันอยู่ในกาย…ต่อให้ปราศจากความช่วยเหลือจากเกราะมหาจักรพรรดิและสมบัติเวทอื่นๆ เขาก็ยังสามารถสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายได้ด้วยพลังของตนเอง!
และหวังเป่าเล่อยังมั่นใจอีกด้วยว่ากระบวนการนี้จะใช้เวลาไม่นานเท่าใด ดังนั้น ในชั่วพริบตา ชายหนุ่มจึงได้ตัดสินใจว่า เมื่อใดก็ตามที่ระดับปราณของเขาบรรลุถึงระดับดาวพระเคราะห์ เขาก็จะเข้าไปยังมิติแห่งความมืดและดูดซับรัศมีแห่งความตายอีกครั้ง หวังเป่าเล่อจะสามารถปล่อยให้พลังปราณของตนมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ และก้าวพ้นคนอื่นไปได้ด้วยวิธีนั้นนั่นเอง!
ขณะที่ข้า…สวมเกราะอยู่ ข้าจะสามารถรับมือกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้หรือไม่นะ หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะเขายังไม่เคยปะทะกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์มาก่อน ชายหนุ่มทำได้เพียงคาดคะเนอยู่ในใจ คำตอบสุดท้ายที่ได้มาก็คือ…
หากตัดสินจากการปะทะกับผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่ข้าพบระหว่างภารกิจของปรมาจารย์แห่งไฟ…หากข้าสวมเกราะมหาจักรพรรดิ ต่อให้ล้มพวกเขาไม่ได้ ก็คงแทบเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อยู่ระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นจะสังหารข้าได้!
เมื่อเข้าใจเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็เห็นว่า ร่างกายของเขาเริ่มซึมซับรัศมีความตายได้ช้าลง เขารู้แล้วว่าร่างกายตนเริ่มถึงขีดจำกัด หวังเป่าเล่อไม่อยากดึงดันต่อจนกระทั่งเสี่ยงเสียสมดุลหยิน-หยางไป นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกาย เขาหยุดการซึมซับลงด้วยความมั่นใจ เมื่อชายหนุ่มก้มศีรษะลงมองรูปปั้น จู่ๆ ก็มีความรู้สึกอยากจะซ่อนมันเอาไว้ให้พ้นสายตา
แต่รูปปั้นนั้นช่างประหลาดและไม่สามารถเอาเข้ากระเป๋าคลังเก็บได้ แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะรู้สึกว่าน่าเสียดาย แต่การทิ้งรูปปั้นเอาไว้ในมิติแห่งความมืดก็คงไม่เสียหายอะไร ดังนั้นชายหนุ่มจึงใช้ผนึกฝ่ามือด้วยมือทั้งสองข้างและใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดผนึกรูปปั้นเอาไว้อีกครั้ง หลังจากที่จัดวางคลื่นพลังรบกวนแห่งความมืดของตนเองเพื่อให้หารูปปั้นเจอทันทีที่กลับมา หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเงยศีรษะขึ้นมองไปยังความเวิ้งว้างเบื้องบน
ได้เวลาที่ข้าจะออกจากที่นี่แล้ว!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลง แม้ว่าร่างกายของชายหนุ่มจะหายดีแล้ว เขาก็ยังไม่ปลดเกราะมหาจักรพรรดิออก ในวินาทีนั้น พลังปราณของเขาก็ทะลักออกมาภายนอก และมีคลื่นพลังปราณแทรกแซงที่เทียบเท่ากับขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย แต่อาจจะทำให้เพื่อนร่วมระดับปราณตกตะลึงเพราะความเข้มข้นของมันพุ่งทะยานออกมาจากกาย และภายใต้พลังเสริมจากเกราะมหาจักรพรรดิของเขา คลื่นพลังแทรกแซงนั้นก็ระเบิดออกมาอีกคำรบ อันที่จริงแล้ว นอกจากเรื่องที่ว่าหวังเป่าเล่อยังไม่มีพลังกดดันพิเศษที่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้รับหลังจากที่กลืนกินดาวเคราะห์เข้าไป ชายหนุ่มก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากคนเหล่านั้นเท่าใดนัก
ภายใต้แรงระเบิดนั้น เงาของเขาก็พุ่งทะยานไปบนท้องฟ้าราวกับเป็นดาวหางที่เคลื่อนที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ชายหนุ่มเร่งความเร็วออกไป หมอกจากมิติแห่งความมืดก็ติดตามร่างกายของเขามาและหมุนวน ราวกับว่าจะมาส่งหวังเป่าเล่อกระนั้น ส่งผลให้ชายหนุ่มเดินทางเร็วขึ้นไปอีก เมื่อความเร็วเพิ่มไปถึงจุดสูงสุด ก็เกิดเสียงกัมปนาทราวสายฟ้าฟาดดังก้องไปทั่วบริเวณ เหมือนว่าความว่างเปล่าได้ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ พายุหมุนที่พุ่งทะยานเป็นทางสู่โลกภายนอกปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อขณะที่เขาเร่งความเร็วออกไป
ร่างของชายหนุ่มพุ่งเข้าไปในพายุหมุนโดยไม่รอช้า ชายหนุ่มหนีออกจากนพภูมิของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ และเมื่อมาปรากฏตัวอีกครั้ง…เขาก็อยู่ในจักรวาลบริเวณนอกดาวเอกดวงเนตรสวรรค์เรียบร้อย!
จักรวาลเลื่อนลั่น มีอักขระโบราณกระจายไปทั่วบริเวณ สร้างพลังแทรกแซงที่มองเห็นได้ไกลหลายสิบกิโลเมตรออกมา แน่นอนว่าพลังนี้ย่อมต้องไปเตะตาบรรดาผู้ฝึกตนจากสามสำนักหลักที่ประจำอยู่นอกดาวเอกดวงเนตรสวรรค์แน่อันที่จริงแล้ว กระทั่งบรรดาผู้ฝึกตนที่อยู่บนพื้นผิวดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ก็ยังมองเห็นความเปลี่ยนแปลงในจักรวาลเมื่อแหงนหน้าขึ้นมอง
แต่ขณะนี้…ดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ทั้งดวงกลับเงียบสนิท กองทหารของสามสำนักหลักที่เคยตั้งอยู่ที่นั่น…กลายเป็นละอองฝุ่นนับไม่ถ้วนที่ล่องลอยอย่างเงียบงันอยู่ในห้วงอวกาศ…
ศีรษะหนึ่งที่ดวงตาเบิกโพลงอย่างน่าเวทนา ลอยเคว้งผ่านหน้าหวังเป่าเล่อไปช้าๆ!
บทที่ 856 ไปช่วยสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์!
ภาพนั้นทำเอาหวังเป่าเล่อผู้ยืนตระหง่านอยู่บนอวกาศต้องหรี่ตาลง ชายหนุ่มก้มศีรษะมองไปยังดาวเอกดวงเนตรสวรรค์จากที่ไกลๆ พลางจับจ้องไปยังเศษฝุ่นและซากปรักหักพังที่กระจายอยู่กลาดเกลื่อน เขามองไม่เห็นผู้รอดชีวิต ในเวลาเดียวกัน ก็ยังมีร่องรอยจางๆ ของพลังแทรกแซงของคาถาอยู่ในบริเวณนั้น หวังเป่าเล่อเรียกใช้พลังปราณ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบกรุนแรงอย่างเงียบงัน
การโบกนั้นปลดปล่อยพลังเทพ หนึ่งในเคล็ดวิชาการฝึกปราณที่เขาร่ำเรียนมาจากสำนักวังเต๋าไพศาล พลังเทพนั้นไม่ได้ใช้เพื่อจู่โจม แต่มีไว้เพื่อใช้กระบวนท่าย้อนคืนที่คล้ายคลึงกับเครื่องย้อนเวลา
ผู้อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณก็ใช้ทักษะนี้ได้เช่นกัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับระดับปราณของผู้ที่คนผู้นั้นจะย้อนเวลาดูด้วย หากเป้าหมายมีระดับปราณสูงกว่าผู้ใช้กระบวนท่า คาถาก็จะล้มเหลว และจะมีแรงสะท้อนกลับตามมา
แต่หวังเป่าเล่อก็ค่อนข้างมั่นใจว่าต่อให้เขาใช้มันกับผู้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ เขาก็จะยังทานรับแรงสะท้อนกลับไหว และหากไม่มีผู้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ การย้อนเวลาก็จะสำเร็จลุล่วงแน่นอน
ในวินาทีต่อมา เมื่อหวังเป่าเล่อโบกมือเสร็จ จักรวาลตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนไป ชายหนุ่มมองเห็นผู้ฝึกตนจากสามสำนักหลักที่เคยมาประจำอยู่ที่นี่ เขายังเห็นไปยังจักรวาลห่างไกล…มีเรือบินรบอยู่ราวหมื่นลำส่องแสงสีรุ้ง ขณะที่ผู้ฝึกตนนับแสนพุ่งทะยานเข้าไปที่ดาวเอกดวงเนตรสวรรค์อย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น…ก็เกิดการต่อสู้กันครั้งใหญ่ ในบรรดาผู้ฝึกตนสีรุ้งมีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์อยู่หลายต่อหลายคน แต่ละคนทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวสายฟ้า และกำจัดผู้ฝึกตนของสามสำนักหลักที่อยู่ที่นั่นทั้งหมด ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีผนึกล่องลอยอยู่โดยรอบอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่า ผนึกเหล่านั้นมีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหล จากความรู้สึกของหวังเป่าเล่อ ผนึกเหล่านั้นเริ่มจะเสื่อมสมรรถภาพลง แปลว่า…อารยธรรมครามทองคำไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดข้อมูลอีกต่อไป
และหากดูจากภาพที่สร้างขึ้นมาจากคาถาย้อนเวลานี้ หวังเป่าเล่อก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเพราะเหตุใด
การต่อสู้นี้เกิดขึ้นเมื่อเก้าวันที่แล้ว!
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หลังจากสลายภาพย้อนเวลาไปแล้ว ชายหนุ่มก็พอจะคาดเดาสถานการณ์ได้ในใจ ในเวลาเดียวกัน เขาก็ก้มศีรษะลงมองดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ เรื่องที่หวังเป่าเล่อกังวลที่สุดในตอนนี้คือร่างจริงของเขา…
แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้รู้สึกว่าร่างจริงกำลังประสบปัญหา แต่ก็อดกังวลไม่ได้ ขณะนี้เมื่อเขายืนอยู่ในจักรวาลและกวาดตามองไปรอบๆ หวังเป่าเล่อก็กระจายสัมผัสเทพออกไป ให้ครอบคลุมดาวเอกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทั้งดวงในพริบตา หลังจากที่ได้เห็นว่าร่างจริงของเขาไม่ได้รับผลกระทบเพราะถูกฝังอยู่ห่างไกลออกไป ชายหนุ่มจึงค่อยเบาใจได้ระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ดี…จากการกวาดตามอง ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นว่าสำนักเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนดาวเอกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เสียสมาชิกไปมากล้น แม้ว่าจะมีร่องรอยการต่อสู้เพียงเล็กน้อยก็ตาม จำนวนศิษย์ที่ลดลงนั้นทำเอาหวังเป่าเล่อต้องหรี่ตาเล็กน้อยอย่างข้องใจ
พวกเขาเสียสมาชิกในสำนักไปร่วมร้อยละแปดสิบ…มันเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ในระยะเวลาหลายปีที่ข้าไม่อยู่ หรือเป็นเพราะอารยธรรมครามทองคำกันแน่ หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอย่างหนักจนอยากจะใช้กระบวนท่าย้อนคืนอีกครั้ง ทว่าในวินาทีต่อมา สายตาของชายหนุ่มก็หยุดนิ่ง และสัมผัสเทพของเขาก็กลับมารวมกันที่…สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ที่เขาเคยอาศัยอยู่เมื่อครั้งก่อน!
พัฒนาการของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์บนดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ก้าวล้ำไปไกลกว่าแต่ก่อนมาก เรียกได้ว่าอยู่ในช่วงยุคทองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แน่นอนว่าความเจริญรุ่งเรืองนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับสถานะของหวังเป่าเล่อ จากความก้าวหน้าของชายหนุ่มในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เองก็ได้รับผลประโยชน์เช่นกัน ทั้งอำนาจและอิทธิพลก็พุ่งสูงขึ้นเป็นอันมาก
เต๋อคุนจื่อ ผู้ที่เชื่อฟังหวังเป่าเล่ออย่างไม่มีข้อกังขา ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเช่นกัน การขึ้นสู่อำนาจของหวังเป่าเล่อทำให้พลังปราณของเต๋อคุนจื่อสูงขึ้นไปด้วย จนบรรลุไปถึงขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลาง
ขณะนี้เต๋อคุนจื่อยืนสับสนอยู่กลางสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ เนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยความบาดเจ็บจากการต่อสู้ สายตาที่สิ้นหวังและสับสนจ้องมองไปยังสำนักอันว่างเปล่าที่อยู่รอบกาย ร่างกายของชายหนุ่มสั่นเทิ้ม
“เต๋อคุนจื่อ!” จนกระทั่งมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากความว่างเปล่าและสะท้อนก้องอยู่ในใจ จู่ๆ ร่างกายของเต๋อคุนจื่อก็สะดุ้งก่อนที่ลมหายใจของเขาจะห้วนถี่ขึ้น
“นายท่าน!” ชายวัยกลางคนขณะนี้เหมือนคนจมน้ำที่จู่ๆ ก็จับเชือกชูชีพเอาไว้ได้ หรือไม่ก็คนที่ขยาดกลัวอันตรายซึ่งวิ่งมาจนถึงที่ปลอดภัย เต๋อคุนจื่อลิงโลดใจเสียจนมองไปรอบกายไม่หยุด
“ไม่ต้องมองหาข้า เล่าให้ฟังทีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
“ท่านอาจารย์ พวกเราแย่แล้วขอรับ สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ด้วย อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ด้วย ราชวงศ์ปฏิเสธที่จะรับรู้ความเกี่ยวข้องระหว่างเราและตัดสินใจสังหารพวกเราเสีย…” เต๋อคุนจื่อถึงกับคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่จนต้องร้องไห้ออกมา
“องค์ชายทั้งสามแห่งราชวงศ์ไปร่วมมือกับอารยธรรมครามทองคำและเปิดประตูมิติให้พวกเขา ปล่อยให้คนของอารยธรรมครามทองคำลงมา…เรื่องนี้เกิดขึ้นราวสองสัปดาห์ก่อนและไม่เป็นความลับอีกต่อไป
“ทันทีที่อารยธรรมครามทองคำปรากฏตัว พวกเขาก็รวมพลังกันไปกำจัดสำนักผนึกผังดาวหกแฉกในพริบตา สามสำนักหลักไม่มีเวลากระทั่งจะได้ตอบโต้…ข้าได้ยินมาว่า ศิษย์กว่าร้อยละแปดสิบของสำนักผนึกผังดาวหกแฉกตายหมด กระทั่งปรมาจารย์หญิงอู๋อวิ๋นก็บาดเจ็บสาหัส ว่ากันว่านางถึงกับเผาผลาญพลังปราณของตนเองเพื่อหนีเอาชีวิตรอดออกมา ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่านางเป็นหรือตาย
“จากนั้นก็ถึงคราวดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ กองทัพอารยธรรมครามทองคำมาถึงและกำจัดกองทหารของสามสำนักหลักที่ประจำอยู่ออกไป ก่อนจะระเบิดผนึกปล่อยให้ราชวงศ์ออกมา หลังจากนั้นพวกเขาก็จับตัวผู้ฝึกตนกว่าร้อยละแปดสิบจากสำนักอื่นๆ บนดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ไป…หากไม่ใช่เพราะว่าข้ารีบไปซ่อนตัว ข้าเองก็คงหนีไม่พ้นเช่นกัน”
“นายท่าน ท่านเองก็เป็นเชื้อพระวงศ์ สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็อยู่ข้างท่าน ข้ามีความสุขมากในตอนแรก แต่ทำไมพวกเขาต้องสังหารพวกเราด้วยเล่าขอรับ” เต๋อคุนจื่อแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หวังเป่าเล่อเองก็นิ่งงันไปพลางนึกเสียใจที่หลอกเต๋อคุนจื่อไปว่าตนเป็นเชื้อพระวงศ์
แต่ถึงอย่างนั้น…ในแง่หนึ่ง ชายหนุ่มตอนนี้ก็เป็นเชื้อพระวงศ์แล้ว
“สำนักใหญ่อื่นๆ ก็คงถูกกวาดล้างไปจนสิ้นหมดแล้ว ตอนนี้อารยธรรมครามทองคำไม่จำเป็นต้องแอบทำตามแผนอีกต่อไป ทั้งอารยธรรมรู้กันหมดแล้วว่าพวกเขาแบ่งกองทัพเป็นสองส่วนออกไปโจมตีอีกสองสำนักหลักพร้อมๆ กัน!” น้ำเสียงของเต๋อคุนจื่อในยามนี้เปี่ยมไปด้วยความเศร้าสร้อย โทสะ และความรู้สึกสับสน เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดราชวงศ์จะต้องสังหารประชาชนของตนด้วย แต่ชายวัยกลางคนก็มีข้อสันนิษฐานอยู่บ้างในใจ เขารู้สึกว่าราชวงศ์เองก็คงมีสองฝ่ายเช่นกัน…
เมื่อฟังเต๋อคุนจื่อจบ หวังเป่าเล่อผู้ที่ยืนอยู่กลางอวกาศก็หรี่ตาลง พลางรู้สึกปวดหัวขึ้นมาถนัด หากว่ากันตามเวลา ชายหนุ่มก็เห็นได้ว่าเหออวิ๋นจื่อแห่งราชวงศ์พร้อมทั้งพวกอารยธรรมครามทองคำคงตัดสินใจสองเรื่องเมื่อเขาเข้าไปถึงสุสานหลวง
เรื่องแรกคือทิ้งรูปปั้นเอาไว้ในนพภูมิก่อนจะผนึกมันเอาไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าหวังเป่าเล่อจะออกมาจากในนพภูมิไม่ได้และต้องตายอยู่ที่นั่น ทว่าพวกเขาไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของชายหนุ่ม
และอีกเรื่องหนึ่งก็คือ…การตัดสินใจเริ่มสงครามอย่างรวดเร็ว
พวกเขายกพลทั้งหมดไปทำลายสำนักผนึกผังดาวหกแฉก…จากนั้นจึงค่อยแบ่งกำลังพลไปโจมตีอีกสองสำนักหลักที่เหลือพร้อมกัน…ประกายเย็นเยียบสะท้อนอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้ดีว่าต้องไปช่วยสองสำนักหลักต่อต้านการรุกรานของอารยธรรมครามทองคำ ด้านหนึ่ง อารยธรรมครามทองคำคงไม่ยอมให้เขารอดไปได้ง่ายๆ แต่อีกด้าน…
อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นสิ่งที่ข้าหมายตาไว้ ตอนนี้อารยธรรมค่อยๆ พัฒนาขึ้น ในไม่ช้ามันจะต้องตกเป็นของข้าแน่นอน หลังจากนั้น ข้าจะใช้คาถาดึงเอาดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐมารวมกับมันเพื่อยกระดับของสหพันธรัฐขึ้นไป เจ้า…กล้าจะมาชิงของของข้าไปซึ่งๆ หน้า! หวังเป่าเล่อกัดกรามแน่น เขาคงรู้สึกเจ็บใจมากหากจะยอมแพ้ตอนนี้ โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าระดับปราณของเขาเพิ่มขึ้นมากแล้ว แถมตอนนี้ชายหนุ่มยังมีบทบาทสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นผู้นำของดวงวิญญาณนับล้านและหุ่นเชิดจักรพรรดิอีกถึงสิบสองตัว
ไม่ใช่เรื่องเกินเลยสักเท่าใดหากจะกล่าวว่า หวังเป่าเล่อเป็นขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่ด้วยตัวคนเดียว
หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์อย่างง่ายๆ เสร็จ หวังเป่าเล่อจึงปลอบใจเต๋อคุนจื่อผู้ที่กำลังจะเสียสติอยู่รอมร่อ จากนั้นจึงพลิกกายแปลงร่างเป็นสายรุ้งพุ่งไปยังสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เต็มกำลัง
ขณะกำลังเดินทาง หวังเป่าเล่อหรี่ตาและหยิบแผ่นหยกสื่อสารออกมาส่งข้อความถามไปทั่ว ช่างโชคร้ายที่ไม่มีผู้ฝึกตนอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์คนใดที่เขารู้จักตอบกลับมาเลย ไม่ว่าจะเป็นเทพธิดาหลิงโยวหรือผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำก็ตาม เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถ้าไม่ถูกฆ่าก็คงถูกผนึกไว้โดยอารยธรรมครามทองคำหมดแล้ว เพื่อเป็นการถ่วงเวลาไม่ให้ข้อมูลแพร่กระจายออกไปได้ทันเวลา!
หวังเป่าเล่อเก็บแผ่นหยกสื่อสารพลางนึกตัดสินใจอยู่เงียบๆ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องไปที่นั่นเพื่อดูให้เห็นด้วยตาตนเอง
หากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ล่มสลายไปแล้วจริงๆ ก็ไม่เป็นไร แต่หากว่ายัง…การต่อสู้ในครั้งนี้ข้าจะเป็นผู้ทำให้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์กลับมาเอง!
เมื่อคิดถึงจุดนั้น หวังเป่าเล่อก็เร่งความเร็วขึ้นอีก คลื่นพลังแทรกแซงที่รุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน ราวกับว่าไม่ได้มาจากผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายก็ระเบิดออกมาจากกายเขา ด้วยความช่วยเหลือจากเกราะมหาจักรพรรดิ หวังเป่าเล่อก็รวดเร็วราวกับว่าสามารถตัดผ่านความว่างเปล่าได้ ระหว่างที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อย่างเต็มกำลัง
ขณะเดียวกัน ด้านนอกสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ การต่อสู้ขนาดใหญ่ที่ส่งผลต่อทั้งสำนักและสามารถตัดสินความอยู่รอดของสำนักได้ก็กำลังอุบัติขึ้น!
ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนอยู่บนดาวเคราะห์มหาทัณฑ์และดาวเคราะห์ใกล้เคียง บ้างก็อยู่บนท้องฟ้า บ้างก็อยู่ในอวกาศ ต่างก็กำลังต่อสู้ยิบตา มีเรือบินรบอยู่จำนวนหนึ่งเช่นกัน ทั้งหมดกำลังพยายามต้านทานกองทัพผู้ฝึกตนจากอารยธรรมครามทองคำ
ฝ่ายสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์กำลังเสียเปรียบอย่างหนัก ดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ถล่มไปส่วนหนึ่งแล้ว และเหลือดวงจันทร์บริวารอยู่เพียงสามดวงเท่านั้น ขณะที่มีทั้งฝุ่น สะเก็ดดาว เศษซาก และศพกระจายเกลื่อนอยู่เต็มบริเวณ!
บทที่ 857 เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่!
สถานการณ์การต่อสู้ตอนนี้ตึงเครียดอย่างหนัก และบนจุดสูงสุดของจักรวาล การต่อสู้ระหว่างระดับดาวพระเคราะห์ก็กำลังเกิดขึ้นเช่นกัน นั่นคือปรมาจารย์มหาทัณฑ์กำลังประมือกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สองคนจากอารยธรรมครามทองคำด้วยตัวคนเดียว!
ในสองคนนั้น คนหนึ่งเป็นผู้นำของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อีกคนเป็นผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย คนแรกอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง อีกคนอยู่ในชั้นต้น ทั้งคู่มีฝีมือเยี่ยมยุทธ หากว่ากันตามทฤษฎี เมื่อพวกเขาร่วมมือกัน ควรจะเป็นเรื่องง่ายอย่างยิ่งที่จะจัดการปรมาจารย์มหาทัณฑ์ แต่พลังยุทธ์ของปรมาจารย์มหาทัณฑ์เองก็ทำเอาพวกเขาตื่นตะลึง!
ตามข้อมูลที่พวกเขาได้มา เหล่าปรมาจารย์ของบรรดาสามสำนักหลักมีระดับปราณเทียบเท่าปรมาจารย์ของอารยธรรมครามทองคำ หากคำนวณดูแล้ว อาจกล่าวได้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์นั้นแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ข้อหนึ่ง แถมพลังก็ไม่ได้ห่างชั้นกันมากเท่าใดนัก ปรมาจารย์ระดับดาวพระเคราะห์ของสำนักผนึกผังดาวหกแฉกมีพลังปราณอ่อนแอที่สุด ดังนั้นเมื่อกองทัพอารยธรรมครามทองคำปรากฏตัว พวกเขาจึงเลือกจัดการกับสำนักผนึกผังดาวหกแฉกก่อนใคร
หลังจากนั้น ประมุขสำนักและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จึงไปต่อสู้กับสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์พร้อมกัน จากการวิเคราะห์ของพวกเขา ด้วยพลังการยุทธ์ของทั้งคู่รวมกัน พวกเขาต้องกำจัดสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างรวดเร็วแน่นอน ทว่าพวกเขาไม่ได้คาดการณ์มาก่อนเลยว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์นั้น…จะแอบซ่อนระดับปราณที่แท้จริงเอาไว้!
ชายผู้นี้ไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้น แต่…อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง อันที่จริง เขาใกล้จะบรรลุถึงจุดสูงสุดของชั้นกลางแล้วด้วยซ้ำ หนำซ้ำพลังการยุทธ์ของเขายังเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทั่วไปอีกด้วย ดังนั้นแม้ว่าประมุขของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะต่อสู้เก่งกาจเพียงใด ปรมาจารย์มหาทัณฑ์สวรรค์ก็ยังยืนหยัดสู้กับทั้งสองได้ แถมยังสูสีจนไม่อาจจะบอกได้ว่าฝ่ายใดกำลังเพลี่ยงพล้ำกันแน่!
การต่อสู้ระหว่างผู้มีพลังการยุทธ์สูงทำให้สงครามยืดเยื้อออกไป ในเวลาเดียวกัน พ่อบ้านของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ผู้ที่หวังเป่าเล่อเคยพบมาก่อน และดูเหมือนจะเป็นศิษย์พี่ของเทพธิดาหลิงโยว ก็กำลังต่อสู้เต็มกำลังเคียงข้างผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่ง ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่นั่นเอง คู่ต่อสู้ของพวกเขาคือผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์สามคนจากอารยธรรมครามทองคำ
แม้ว่าการต่อสู้แบบสองต่อสามจะยากลำบากไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่าผู้อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะคนอื่นๆ ก็กำลังต่อสู้เต็มที่เช่นกัน เทพธิดาหลิงโยว ผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำ อี้เหนียนจื่อ และผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทุกคนในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ต่างก็บาดเจ็บสาหัส แต่พวกเขาก็กัดฟันและต้านทานอย่างถึงที่สุด เพื่อจะหยุดยั้งกองทัพขั้นจิตวิญญาณอมตะของอีกฝ่ายเอาไว้ให้จงได้
ยิ่งไปกว่านั้น กองทหารทั้งหมดของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็มาร่วมต่อสู้ พวกเขากระจายกันไปทั่วจักรวาลมากกว่าสิบจุดเพื่อรับมือกับผู้ฝึกตนจากอารยธรรมครามทองคำอย่างถึงลูกถึงคน
ในพริบตาเดียว ทั้งเสียงครั่นครืน เสียงคำราม และเสียงกรีดร้องก็ดังระงมมาจากทุกทิศทาง บางครั้งก็อาจได้ยินเสียงดาวเคราะห์แตกร้าวด้วย แม้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะดูน่าสะพรึงกลัวเพียงใด แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นกำลังเสียเปรียบอย่างยิ่ง!
นั่นเพราะ…สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของอารยธรรมครามทองคำมีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะมากกว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แม้ว่าหลายคนจะถูกจับกุมตัวเอาไว้ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังคงพุ่งเข้าใส่กองทัพไม่หยุดหย่อน กองทหารจำนวนมากของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็เต็มกลืนที่จะต้านทาน และทำได้เพียงใช้พลังของวงแหวนปราณและการบังคับสังเวยชีวิตของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเพื่อซื้อเวลา แต่ก็เห็นได้ชัดว่าวิธีนี้คงจะทำได้อีกไม่นาน และในไม่ช้าพวกเขาก็จะต้องพ่ายแพ้
และเมื่อกองทหารล้มเมื่อใด สถานการณ์การต่อสู้ที่เลวร้ายอยู่แล้วก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์คงจะพบจุดจบเช่นเดียวกับสำนักผนึกผังดาวหกแฉกเป็นแน่
ที่สถานการณ์เป็นเช่นนี้เป็นเพราะความแข็งแกร่งของอารยธรรมครามทองคำ แต่ก็เกี่ยวข้องกับหวังเป่าเล่ออยู่บ้างเช่นกัน เพราะอารยธรรมครามทองคำนั้นได้วิเคราะห์กำลังรบของผู้ฝึกตนระดับสูงและกองทหารทั้งหมดของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เอาไว้ก่อนจะบุกจู่โจม กองทหารผ่าวิญญาณของหวังเป่าเล่อเป็นกองทหารอันดับสอง แน่นอนว่า การหายไปของเขาทำให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อ่อนแอลง
หากเป็นช่วงเวลาอื่นใด การที่ชายหนุ่มหายไปคงไม่เป็นอะไรนัก แต่เพราะนี่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการรบ เรื่องนี้จึงกลับกลายเป็นเรื่องสำคัญขึ้นมาทันที
หลังจากที่สงครามเกิดขึ้นไปสักระยะหนึ่ง สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็แสดงทีท่าว่าไม่อาจต้านทานได้ไหวอีกต่อไป แม้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะยังต่อสู้อยู่ได้ แต่ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่และพ่อบ้านก็เริ่มเสียท่าให้ผู้ตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทั้งสามบ้างแล้ว
ในเวลาเดียวกับ เทพธิดาหลิงโยวและคนอื่นๆ ก็เริ่มเพลี่ยงพล้ำ เพราะพวกเขาต้องพยายามอย่างหนักที่จะกักขังผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจำนวนมากกว่าที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์มี อาการบาดเจ็บเริ่มลุกลาม กองทหารทั้งหมดของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน พวกเขาเริ่มดักผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเอาไว้ไม่ไหว และผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณแทบทั้งหมดของสำนักก็ถูกฆ่าเกือบหมดสิ้นแล้ว
เมื่อเห็นเช่นนั้น ทุกคนในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็เริ่มโกรธ สิ้นหวัง และเศร้าสร้อย ในขณะเดียวกัน นัยน์ตาของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังต่อสู้กับปรมาจารย์มหาทัณฑ์อยู่นั้นก็ส่องประกายขึ้น จู่ๆ เขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนก้องไปทั่วสนามรบ
“สหายร่วมสำนักเต๋ามหาทัณฑ์ มาถึงขั้นนี้แล้ว สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ของท่านไม่มีทางถอยได้อีกแล้ว ข้าจะให้ทางเลือกแก่ท่านเดี๋ยวนี้ มาเข้าร่วมสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และเป็นลูกน้องของข้า ท่านจะว่าอย่างไร”
“เจ้ารุกรานอารยธรรมของข้า สังหารสหายร่วมสำนักเต๋าของข้า แถมยังทำลายสำนักข้า ต่อให้ข้าต้องตายอยู่ตรงนี้ ข้าก็จะไม่ยอมทำสิ่งขี้ขลาดอย่างไปเป็นลูกน้องเจ้าโดยเด็ดขาด!” ใบหน้าของปรมาจารย์มหาทัณฑ์บิดเบี้ยวจนน่ากลัวแสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวังอันแรงกล้าในใจ แต่เขายังมีคุณธรรมที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ในฐานะหนึ่งในปรมาจารย์แห่งสามสำนักหลัก และเป็นปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุด เขาย่อมเป็นผู้ที่ทะเยอทะยานอย่างที่สุดอยู่แล้ว มาตอนนี้ ชายวัยกลางคนก็ยังมีศักดิ์ศรีให้ยึดถือ!
ขณะที่เขาพูดไปนั้น ก็ยกมือขวาขึ้นก่อนจะโบกเป็นผนึกฝ่ามือ ทันใดนั้นเอง ดาวเคราะห์สีดำก็ปรากฏขึ้นก่อนจะระเบิดออกมา ชายวัยกลางคนพุ่งตรงเข้าไปประมือกับสองผู้ฝึกตนแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อีกครา
เมื่อเห็นเช่นนั้น ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เข้ารับมือกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์พร้อมยิ้มเยาะไปด้วย เขาพูดขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพื่อเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย แต่กลับส่งคำพูดไปถึงศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ทุกคนแทน
“เจ้าหมอนี่จะต้องตายด้วยน้ำมือของตนเอง! ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ทุกคน ไม่ว่าปรมาจารย์ของเจ้าจะตัดสินใจเช่นไร ชีวิตของพวกเจ้าก็อยู่ในมือของพวกเจ้าเอง เส้นทางการฝึกตนนั้นยากลำบาก และพวกเจ้าก็มีโอกาสเดียวเท่านั้น ใครก็ตามที่ยอมแพ้จะมีชีวิตรอด เจ้าจะได้เข้าร่วมสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเรา!”
ไม่ใช่ทุกคนที่มีจิตใจที่ตั้งมั่นเทียบเท่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ชี้เป็นชี้ตายเช่นนี้ และเมื่อพวกเขาไม่เห็นความหวัง หลายคนก็เริ่มลังเลเพราะคำพูดของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
ปรมาจารย์มหาทัณฑ์นิ่งเงียบไม่ตอบโต้และไม่พูดอะไรอีก ชายวัยกลางคนรู้ดีว่าตนดูแลศิษย์ในสำนักเป็นอย่างดี แต่เขาก็รู้ว่า ณ จุดนี้ การจะเลือกเอาชีวิตรอดก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน
ทว่าชายชราก็ไม่ได้คาดคิดว่าผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่ง ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ ผู้ที่ไม่เคยมีความสุขภายใต้การนำของเขาและควรเลือกที่จะเอาชีวิตรอด กลับไม่เลือกเช่นกัน กลับกันลูกน้องของเขา รองผู้บัญชาการอี้เหนียนจื่อ…กลับก้าวถอยหลังแล้วคำรามออกมาอย่างไม่รีรอ
“ปรมาจารย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ข้าขอยอมแพ้!”
เมื่อพูดจบ สนามรบทั้งหมดก็สั่นสะเทือน ผู้ฝึกตนสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จำนวนมากเปลี่ยนใจกันเป็นการใหญ่ อันที่จริงแล้ว…แม้ว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นคนหนึ่งจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สักเท่าใดนัก แต่กับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ขั้นจิตวิญญาณอมตะก็ถือว่ายิ่งใหญ่ แถมยังเป็นตำแหน่งที่สูงทั้งเกียรติยศทั้งสถานะ และเพราะอี้เหนียนจื่อเป็นถึงรองผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่ง การที่เขาเลือกยอมแพ้ก็ทำให้มีผู้เปลี่ยนใจตามเป็นจำนวนมาก
สีหน้าของเทพธิดาหลิงโยว ผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำ รวมถึงผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนอื่นๆ บิดเบี้ยวไปในทันที ทว่าคนที่หน้าเสียที่สุดไม่ใช่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ แต่คือผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่ง ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่
“อี้เหนียนจื่อ เจ้ารนหาที่อย่างนั้นหรือ!” ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ ผู้ซึ่งพยายามอย่างที่สุดที่จะรับมือกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะขั้นสูงสุดสามคนจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พร้อมพ่อบ้าน จ้องมองไปยังอดีตลูกน้องด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า
“ผู้บัญชาการขอรับ อย่างไรเสียพวกเราก็ต้องแพ้แน่นอน ไม่ใช่ว่าข้าเป็นคนอกตัญญู แต่เพราะข้าไม่มีทางเลือก!” อี้เหนียนจื่อเองก็บาดเจ็บสาหัส ขณะที่เขาพูด เลือดก็ไหลซึมออกมาจากมุมปากไม่หยุด ชายหนุ่มมีสีหน้าบ้าคลั่งและไม่สนใจว่าเขาจะเดินชนศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์กี่คนขณะล่าถอย ด้วยพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะของเขา ชายหนุ่มสังหารศิษย์ไปหลายต่อหลายคนตอนที่เดินชนเพื่อจะถอยหนี
“ดี อี้เหนียนจื่อใช่หรือไม่ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นสมาชิกของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เราจะให้แต้มการรบกับเจ้าตั้งแต่ตอนนี้ ยิ่งเจ้าสังหารมากเท่าใด เมื่อกลับถึงสำนัก เจ้าก็ยิ่งแลกรับวัตถุเวทได้มากเท่านั้น หากเจ้าสังหารขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ ข้ารับประกันว่าเจ้าจะได้รับโอสถวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ที่จะทำให้เจ้าบรรลุไปสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง!” เมื่อเห็นเช่นนั้น ปรมาจารย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น หลังจากที่ประกายแห่งความเกลียดชังและขบขันปรากฏขึ้นลึกๆ ในดวงตา เขาก็เริ่มพูดจาให้กำลังใจ
ทันทีที่พูดจบ สายตาของอี้เหนียนจื่อก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าชายหนุ่มกำลังลำบากใจ แต่ในไม่ช้า ประกายดุร้ายก็สะท้อนออกมาจากดวงตาของเขาเมื่อหันไปเห็นเทพธิดาหลิงโยว ผู้ที่กำลังล่าถอยอย่างช้าๆ อยู่ตรงหน้า!
เทพธิดาหลิงโยวมีระดับปราณต่ำที่สุด อีกทั้งนางยังบาดเจ็บหนักกว่าเขา จิตสังหารปรากฏขึ้นบนดวงตาของอี้เหนียนจื่อขณะที่เขาพลิกตัวแล้วพุ่งทะยานออกไป
แต่ในวินาทีนั้นเอง…จู่ๆ ก็มีเสียงครั่นครืนดังขึ้นในจักรวาลที่ห่างออกไป เสียงนั้นดังสนั่นจนน่าตื่นตะลึง และสายรุ้งเส้นยาวที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วราวกับจะตัดผ่านความว่างเปล่าก็พุ่งทะยานผ่านสนามรบ เมื่อครู่นี้มันยังอยู่ห่างออกไป แต่ในอึดใจเดียว…สายรุ้งยาวนั้นก็มาปรากฏอยู่บนสนามรบ แค่ความเร็วเพียงอย่างเดียวก็ทำเอาบรรดาผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะตื่นตะลึง ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่และพ่อบ้านเองก็ไม่ต่าง กระทั่งปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็ยังมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป
ขณะที่สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปนั่นเอง สายรุ้งทอดยาวก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าอี้เหนียนจื่อ มือข้างหนึ่งยื่นออกมาโดยไม่ได้หยุดเคลื่อนที่ ก่อนจะคว้าคอของอี้เหนียนจื่อเอาไว้!
ทันทีที่สายรุ้งจางหายไป เงาร่างของหวังเป่าเล่อก็มาปรากฏบนสนามรบ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นบี้อี้เหนียนจื่อ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะดิ้นรนเพียงไรก็ไม่อาจหลุดไปได้ อันที่จริงแล้ว เขาพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ สายตาของอี้เหนียนจื่อแสดงความตื่นตะลึงและไม่อยากจะเชื่อเมื่อมองเห็นชัดๆ ว่าผู้มาใหม่เป็นใคร
“นี่ เจ้าผู้นำสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรสักอย่างน่ะ ถ้าข้าฆ่าเจ้าอี้เหนียนจื่อได้ ข้าจะไปขอแลกโอสถวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยใช่หรือไม่” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ก่อนจะมองไปทางประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีสีหน้าเครียดขึงและตกตะลึงพอๆ กัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น