ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 852-853

 ตอนที่ 852 พบซาฉู่เอ๋อร์อีกครั้ง

 

ในเมื่อที่แห่งนี้เป็นสถานที่สำคัญของตระกูลโอวหยาง เขาจึงไม่เชื่อว่าจะวางไว้เพียงชั้นจำกัดปิดกั้นมิติ ไม่แน่ตรงไหนสักที่อาจวางค่ายกลสังหารที่เอาชีวิตคนได้ไว้ก็เป็นได้


 สัมผัสเฉียบคมของหลิ่วหมิงรับรู้กลิ่นอายสังหารเจือจางที่ปรากฏขึ้นแวบหนึ่งแล้วหายไปท่ามกลางแรงดึงสายนั้นเมื่อครู่


ขณะที่เขากำลังเพ่งสัมผัสอยู่ พี่น้องโอวหยางก็เดินนำเข้าไปในประตูตำหนักใหญ่ก่อนแล้ว หลิ่วหมิงจึงได้แต่ตามเข้าไป


สองข้างของประตูตำหนักใหญ่แต่ละฝั่งมีผู้คุ้มกันร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่ บนร่างสวมชุดเกราะสีม่วง มือหนึ่งถือดาบ มือหนึ่งถือโล่


ผู้คุ้มกันคนหนึ่งในนั้นเห็นพวกหลิ่วหมิงสามคนเดินมาก็ขวางหน้าทั้งสามคนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ตวาดเสียงดังแต่ไกล


“ตำหนักประชุมเป็นสถานที่สำคัญ ไม่ได้รับอนุญาตห้ามเข้า!”


หลิ่วหมิงกวาดสายตาบนร่างผู้คุ้มกันทั้งสองคนรอบหนึ่ง


ปราณที่แผ่ออกมาจากร่างสองคนนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง เห็นชัดว่าทั้งคู่เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้น ดาบด้ามยาวกับโล่ในมือทอแสงจิตวิญญาณแวววาว เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่คุณภาพสูงอย่างที่สุดสองชิ้น


โอวหยางเชี่ยนเห็นเช่นนี้ก็แค่นเสียงหยันทีหนึ่ง พลิกมือเรียกป้ายสีม่วงแผ่นหนึ่งออกมาถือไว้แกว่งไปมาในมือ


สายตาของผุ้คุ้มกันเกราะม่วงจับอยู่บนป้ายในมือโอวหยางเชี่ยน จากนั้นร่างกายจึงค้อมคำนับเล็กน้อย ไม่พูดพร่ำหลีกทางให้


หลิ่วหมิงมองเห็นชัดเจนว่าป้ายในมือโอวหยางเชี่ยนเหมือนกับตราที่อินจิ่วหลิงให้เขาทุกประการ เพียงแต่ป้ายในมือโอวหยางเชี่ยนสลักภาพดวงดาวไว้สามดวงเท่านั้น


โอวหยางเชี่ยนเก็บป้ายไปแล้วมองลึกเข้าไปในตำหนัก นางไม่ได้เดินเข้าไปทันที แต่คิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากถาม


“หัวหน้าตระกูลอยู่ด้านใหรือไม่?”


“หัวหน้าตระกูลกำลังต้อนรับแขกอยู่ด้านใน…” ผู้คุ้มกันเกราะม่วงเอ่ยนิ่งๆ ส่วนสายตาเคลื่อนไปจับอยู่บนร่างหลิ่วหมิง


ตระกูลโอวหยางถือว่าสีม่วงเป็นเกียรติ นับแต่เข้ามาในเขาหยกฝันจนถึงตอนนี้ คนตระกูลโอวหยางทั้งหมดที่หลิ่วหมิงพบล้วนแต่งชุดสีม่วง เขาที่สวมชุดสีน้ำเงินทั้งตัวย่อมสะดุดตาอย่างยิ่ง


“ไม่ต้องแล้ว พวกเราไปรอที่โถงข้างด้านในก็แล้วกัน” โอวหยางเชี่ยนได้ยินก็ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น


พูดจบนางก็ยกเท้าเดินเข้าไปในตำหนักก่อน โอวหยางฉินตามติดเข้าไป ส่วนหลิ่วหมิงเดินอยู่ด้านหลังสุด


ผู้คุ้มกันเกราะม่วงมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง ในดวงตาฉายแววสงสัยจางๆ แต่ไม่ได้ก้าวเข้าไปขวางอย่างใด


ด้านในตำหนักคือทางเดินยาวเส้นหนึ่งที่ไม่ได้ตกแต่งมากนัก ทุกสองสามจั้งสองฝั่งของทางเดินยาวมีเสาศิลาแกะสลักต้นหนึ่งตั้งอยู่ บนเสาแกะสลักสัตว์วิเศษเช่นมังกร พยัคฆ์ กระเรียนเป็นต้น แผ่บรรยากาศเคร่งขรึมสายหนึ่งออกมา


ตลอดทางไม่มีคำใดถูกเอ่ยออกมา เสียงฝีเท้าของทั้งสามคนสะท้อนก้องบนทางเดินว่างเปล่า


ชั่วครู่ให้หลังหลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าฉับพลันขยายกว้าง ห้องโถงโล่งแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทั้งสามคน


ฝั่งตรงข้ามของห้องโถงคือทางเข้าห้องโถงหลักกว้างขวางซึ่งสูงสองจั้งกว่า ด้านข้างยังมีห้องโถงข้างอีกแห่งหนึ่ง ยืนมองจากมุมของทั้งสาม ประตูของห้องโถงใหญ่กำลังปิดสนิท มองไม่เห็นสภาพด้านใน เพียงได้ยินอยู่เลือนรางว่าด้านในมีคนพูดคุยกัน


“พี่หลิ่ว หัวหน้าตระกูลกำลังต้อนรับแขกอยู่ด้านใน พวกเรารอสักครู่ค่อยเข้าไปหาเถิด” โอวหยางเชี่ยนมองประตูห้องโถงทีหนึ่งแล้วพาโอวหยางฉินเดินไปทางห้องโถงข้างที่อยู่ด้านข้าง


หลิ่วหมิงย่อมพยักหน้าอย่างเลือกไม่ได้แล้วก้าวเท้าตามไปด้วยเช่นกัน


เพิ่งก้าวไปได้สองก้าวในห้องโถงหลักก็พลันมีเสียงเอะอะร้อนรนดังออกมา จากนั้นเสียง “บึ๊ม” ก็ดังขึ้นหนึ่งครั้ง ประตูใหญ่สองบานผลักเปิดไปสองฝั่ง


พวกโอวหยางเชี่ยนสามคนมองตากันทีหนึ่งแล้วหยุดก้าวเท้าทันที พวกเขาเหลียวหลังกลับไปมองอย่างสงสัยใคร่รู้


เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง


เงาร่างสีขาวร่างหนึ่งคล้ายถูกสายลมแรงสายหนึ่งซัดจนพุ่งถอยออกมา แต่หลังร่างกายพลิ้วทีหนึ่งก็ร่อนลงนอกประตูอย่างมั่นคง


นางเป็นหญิงสาวผู้สวมกระโปรงสีขาวหิมะผู้หนึ่ง!


เรือนร่างนางอรชร สองแขนสีกลีบบัวเผยอยู่นอกเสื้อ ใบหน้ามีผ้าตาข่ายสีขาวผืนหนึ่งปกปิดจึง มองสีหน้าและหน้าตาไม่ชัด แต่ดวงตาดุจดวงดาราคู่นั้นเห็นชัดว่าโกรธเกรี้ยวอยู่หลายส่วน


หลิ่วหมิงเห็นแววตาที่คุ้นเคยนี้ ร่างกายก็สะท้านเล็กน้อยในทันใด


สตรีกระโปรงขาวไม่ใช่ใครอื่น นางก็คือซาฉู่เอ๋อร์สตรีเผ่าทรายที่เคยมีวาสนาพบหน้ากันที่หนานฮวงนั่นเอง


สตรีนางนี้ตั้งร่างได้มั่นคงปุบ เสียงฝีเท้าหนักหน่วงก็ดังออกมาจากในห้องโถงหลัก ทันใดนั้นบุรุษวัยกลางคนชุดม่วงใบหน้าตอบยาวซีดเหลืองเดินออกมา จากนั้นขยับวูบหนึ่งขวางหน้าซาฉู่เอ๋อร์ไว้


โอวหยางเชี่ยนตอบสนองทันที ร่างกายค้อมคำนับทีหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า


“เชี่ยนเอ๋อร์คารวะผู้อาวุโสซิน”


แม้โอวหยางฉินข้างกายนางก็คำนับเช่นเดียวกัน แต่สีหน้าดูฝืนอยู่บ้าง


คิ้วดำเข้มของชายวัยกลางคนชุดม่วงขมวดเล็กน้อย เขามองพี่น้องโอวหยางด้วยแววตาคิดไม่ถึงทีหนึ่ง จากนั้นสายตาก็หยุดอยู่บนร่างหลิ่วหมิงชั่วครู่ ท้ายที่สุดจึงจับอยู่บนร่างหญิงสาวผู้ปิดบังใบหน้าเบื้องหน้าอีกครั้งแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา


“แม่นางซา เจ้ากล้ามากพอตัวจริงๆ ไม่เพียงวนเวียนอยู่ที่ตระกูลโอวหยางของข้าไม่ไปไหน วันนี้ยังกล้าลักลอบเข้ามาที่นี่อีก”


ซาฉู่เอ๋อร์กลับไม่มองชายวัยกลางคนชุดม่วงตรงๆ ดวงเนตรดวงดารามองลึกเข้าไปในห้องโถงใหญ่ แล้วตะเบ็งเสียงเอ่ยขึ้น


“หัวหน้าตระกูลโอวหยาง ผู้น้อยเดินทางไกลมาจากหนานฮวงเพื่อเยี่ยมเยือนท่านโดยเฉพาะ กระทั่งหน้าของผู้เยาว์ ท่านก็ไม่ยินดีพบสักครั้งหรือ?”


“หัวหน้าตระกูลเป็นผู้ที่เจ้าอยากพบหน้าก็พบได้หรือ ครั้งก่อนเจ้าเพ้อฝันคิดลักลอบเข้าไปในหอเอกสารของตระกูลโอวหยางเรา หัวหน้าตระกูลก็ไม่ได้ถามหาความผิดที่บุกรุกสถานที่ต้องห้ามของตระกูลจากเจ้า หากรู้จักสถานการณ์ก็จงรีบจากไปเสีย หรือเจ้าคิดจริงๆ ว่าพูดจาเหลวไหลไม่กี่ประโยค ข้าจะไม่กล้าลงมือกับเจ้า?” ชายวัยกลางคนชุดม่วงเห็นเช่นนี้ก็โกรธจัด หลังตวาดเบาๆ คำหนึ่ง แรงกดดันจิตวิญญาณประหนึ่งน้ำแข็งขั้วโลกสายหนึ่งก็ถาโถมออกมาคลุมพวกหลิ่วหมิงสามคนที่ยืนอยู่ด้านข้างไว้ด้านในด้วยเหมือนเจตนาแต่ก็เหมือนไม่เจตนา


หลิ่วหมิงเพ่งสายตา


ชายวัยกลางคนชุดม่วงผู้นี้ตรงหน้าเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้คนหนึ่ง แต่แรงกดดันจิตวิญญาณที่เขาแผ่ออกมาไม่เป็นรองผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้คนใดที่เขาเคยพบมาแน่นอน ถึงขั้นที่มีพลังยิ่งใหญ่ของระดับดาราพยากรณ์อยู่เลือนราง


“ผู้แข็งแกร่งขั้นสมบูรณ์แบบของระดับแก่นแท้ขั้นปลาย…”


หลิ่วหมิงหลุบตาลงแล้วคิดในใจทันที


ในแดนมายาของดวงตามายาเขาเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับดาราพยากรณ์ตัวจริงอย่างปีศาจสายฟ้าไม่รู้กี่ครั้ง ล้วนรุกรับได้ดั่งใจ แรงกดดันจิตวิญญาณเท่านี้ของชายวัยกลางคนชุดม่วงย่อมไม่อาจมีผลกับเขา


ทว่าพี่น้องโอวหยางอีกด้านหนึ่งเวลานี้ใบหน้างามกลับถอดสี ทนรับแรงกดดันจิตวิญญาณสายนี้ไม่ได้ ถอยหลัง “ตึกๆ” ไปหลายก้าว


ใบหน้าสะสวยของซาฉู่เอ๋อร์ก็ซีดขาวไปทันทีเช่นกัน แต่จากนั้นในดวงตาก็ปรากฏแววตาดื้อรั้นจางๆ ออกมา หลังถอยหลังตึงๆ ไปหลายก้าว ในที่สุดก็ใช้เคล็ดวิชาตั้งร่างมั่นคง จากนั้นยืดอกมองตรงไปหาชายวัยกลางคนชุดม่วง


ชายวัยกลางคนชุดม่วงเห็นเช่นนี้ก็แค่นเสียง ในดวงตาพลันมีลำแสงสีม่วงประหนึ่งวัตถุจริงสองสายพุ่งออกมา พุ่งตรงไปหาสองตาของซาฉู่เอ๋อร์


“แทงสังหารวิญญาณ!”


โอวหยางเชี่ยนเห็นสิ่งนี้ก็อดไม่ได้ร้องตกใจ


นี่เป็นวิชาลับทางจิตที่โด่งดังบนแผ่นดินจงเทียนของตระกูลโอวหยาง ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้เท่านั้นถึงฝึกฝนได้ วิชานี้ใช้พลังจิตอันแข็งแกร่งผนึกรวมเป็นการโจมตีที่ใกล้เคียงกับของจริง การโจมตีไร้รูปลักษณ์เช่นนี้ไม่อาจทำร้ายกายเนื้อคู่ต่อสู้ได้แต่กลับทำร้ายพลังจิตรวมถึงจิตวิญญาณของคู่ต่อสู้อย่างสาหัส


ซาฉู่เอ๋อร์คล้ายคิดไม่ถึงว่าชายวัยกลางคนชุดม่วงจะลงมือกะทันหัน บนร่างพลันทอแสงสีขาวชั้นหนึ่งออกมาจนดิ้นหลุดจากแรงกดดันจิตวิญญาณอันแข็งแกร่ง นางตวาดเสียงหวาน มือตั้งท่าเคล็ดวิชา ประกายแสงสีเหลืองจุดแล้วจุดเล่าก่อตัวขึ้นหน้าร่างเป็นกำแพงสีน้ำตาลทองผืนหนึ่งขวางเบื้องหน้า


ชายวัยกลางคนชุดม่วงกลับแค่นหัวเราะเย็นชา


ต่อจากนั้นเสียง “ปัง” ก็ดังลอยมา กำแพงสีน้ำตาลทองประหนึ่งไม่มีอยู่ กะพริบวูบหนึ่งก็ถูกลำแสงสีม่วงสองสายทะลุผ่าน ลำแสงพุ่งเข้าใส่ซาฉู่เอ๋อร์โดยที่ความเร็วไม่ลดลง


ซาฉู่เอ๋อร์หน้าถอดสี เผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ที่แท้จริง แม้อีกฝ่ายไม่ได้ออกแรงเต็มกำลัง แต่พลังของนางก็ไม่อาจต้านทานได้สักนิด ดวงตามองเห็นลำแสงสีม่วงกำลังจะแล่นมาโจมตีลงบนร่างนาง


ทว่าในเวลานี้เองเสียง “ฟึบ” ก็ดังขึ้น มือใหญ่ที่หุ้มด้วยปราณดำชั้นแล้วชั้นเล่าพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าซาฉู่เอ๋อร์


ลำแสงสีม่วงพุ่งลงบนนั้นก็แตกกระจายเป็นแสงสีม่วงสองก้อน สลายหายไปบนผิวของมือใหญ่ในทันใด


ชายวัยกลางคนชุดสีม่วงเปลี่ยนสีหน้าทันที!


เบื้องหน้าซาฉู่เอ๋อร์มีเงาคนที่ปราณดำวนล้อมร่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร เขาก็คือหลิ่วหมิงที่ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาอยู่นั่นเอง


เขาหน้าซีดเล็กน้อย ทว่าพริบตาเดียวก็ฟื้นคืนสภาพเดิม มืออีกข้างหนึ่งดึงซาฉู่เอ๋อร์ลอยถอยหลังหลายก้าวไปยืนตั้งร่างมั่นคงห่างจากชายวัยกลางคนชุดสีม่วงกว่าสิบจั้ง


“พี่ใหญ่หลิ่ว…” ซาฉู่เอ๋อร์ตกตะลึง แต่เมื่อเห็นใบหน้าของหลิ่วหมิงชัด ดวงเนตรงามก็ทอประกายทันที


หลิ่วหมิงยิ้มให้ซาฉู่เอ๋อร์เล็กน้อย แต่ในใจกลับลอบถอนหายใจ


ครั้งนี้เขาลงมือล่วงเกินอยู่บ้างแล้วจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ตอนนี้เกรงว่าคงล่วงเกินผู้อาวุโสตระกูลโอวหยางตรงหน้าแล้ว


แต่เขากับซาฉู่เอ๋อร์รู้จักกันที่ทะเลทรายกุ่ยโม่ จะนิ่งดูดายมองอีกฝ่ายบาดเจ็บต่อหน้าย่อมไม่อาจทำได้


“เจ้าหนูจากที่ไหนกล้ามาทำกำเริบเสิบสานที่นี่?” ชายวัยกลางคนชุดม่วงเห็นเช่นนี้ก็โกรธจัด สายตาเย็นชาประหนึ่งดาบคมกริบมองมาหาหลิ่วหมิง


“ผู้อาวุโสซิน ผู้นี้คือสหายหลิ่วหมิงศิษย์สายในจากนิกายยอดบริสุทธิ์ ครั้งนี้เดินทางมาเขาหยกฝันเพื่อเยี่ยมเยียนหัวหน้าตระกูลโดยเฉพาะ” โอวหยางเชี่ยนเห็นเช่นนี้ คิ้วดำขลับก็ขมวดแต่ยังคงเอ่ยแนะนำประโยคหนึ่ง


พร้อมกันนั้นสตรีผู้นี้ก็ขยับเท้าดอกบัว เดินมาระหว่างกลางทั้งสองคนบังอยู่หน้าร่างหลิ่วหมิงนิดๆ เหมือนเจตนาแต่ก็ไม่เจตนา


“อ้อ? ที่แท้เจ้าก็คือหลิ่วหมิงที่อยากยืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ของตระกูลเราคนนั้น” ชายวัยกลางคนชุดม่วงได้ยินดวงตาพลันฉายประกาย บนใบหน้าเผยสีหน้าเย็นชานิดๆ ออกมา


ในเวลาเดียวกันในหูหลิ่วหมิงก็ได้ยินเสียงของโอวหยางฉินส่งกระแสจิตเร็วไวมาหลายประโยค


หลังหลิ่วหมิงฟังจบ ในใจก็ตกตะลึง


บุรุษผู้นี้เบื้องหน้านามว่าโอวหยางซิน เป็นผู้อาวุโสในตระกูลโอวหยางผู้นั้นที่ต้องการผลักดันการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลโอวหยางกับนิกายปีศาจลี้ลับอย่างสุดกำลัง


หลังความคิดหมุนเร็วรี่ในใจแล้วคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ทำหน้าสงบนิ่งปล่อยฉู่เอ๋อร์แล้วประสานมือเอ่ยว่า


“หลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์คารวะผู้อาวุโสซิน”


“เหอะ นิกายยอดบริสุทธิ์ ชื่อเสียงใหญ่โตนักรึ! เป็นแค่ศิษย์สายในตัวเล็กๆ คนหนึ่ง คิดจะมายุ่งกับกิจธุระของตระกูลโอวหยางเรา ใจกล้าเกินไปหน่อยแล้วกระมัง!” โอวหยางซินฟังแล้วสีหน้าเย็นชาบนใบหน้าไม่ลดลงสักนิด


“มิกล้า ผู้เยาว์เพียงเคยมีวาสนาพบหน้ากับแม่นางซาผู้นี้ที่หนานฮวงครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงทราบว่านางเป็นศิษย์ของผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์แห่งหนานฮวง ไม่ทราบเห็นแก่หน้าของผู้แข็งแกร่งท่านนี้ ผู้อาวุโสซินยอมให้นางพูดจนจบได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยขึ้นมา


“ผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์! เจ้าหนู เจ้าพูดเหลวไหลอันใด หนานฮวงมีผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ตั้งแต่เมื่อไร” โอวหยางซินได้ยินแรกสุดตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นได้จึงด่าทอด้วยสีหน้าบึ้งตึงอีกครั้ง

 

 

 


ตอนที่ 853 โอวหยางหมิง

 

“ผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์?”


โอวหยางเชี่ยนได้ยินคำนี้พลันปิดริมฝีปากงามแผ่วเบา แล้วมองสำรวจซาฉู่เอ๋อร์บนจรดล่างไม่หยุด


โอวหยางฉินก็ตกใจเช่นเดียวกัน แววตาที่มองไปหาซาฉู่เอ๋อร์มีความสงสัยเพิ่มขึ้นมา


ซาฉู่เอ๋อร์ได้ฟังคำพูดของหลิ่วหมิงก็ถอนหายใจทีหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น


“ผู้น้อยเป็นศิษย์ของผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก ที่จริงข้าเดินทางมายังตระกูลโอวหยางครานี้ก็เพื่อตามหาบิดา บิดาของข้าเป็นคนของตระกูลโอวหยาง”


โอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวได้ฟังย่อมตกตะลึงอีกหน คนชุดม่วงกลับสีหน้าถมึงทึง สายตาวูบไหวไม่ทราบกำลังคิดสิ่งใดอยู่


“ใช่แล้ว ข้าจำได้ ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกข้าว่าบิดาเจ้าเป็นชาวจงเทียน คิดไม่ถึงว่าเป็นคนจากตระกูลโอวหยาง” หลิ่วหมิงนึกออกลางๆ


“บิดาข้านามว่าโอวหยางหมิง ยามนั้นท่านบอกมารดาเองกับปากว่าท่านเป็นศิษย์ตระกูลโอวหยาง มิเช่นนั้นครั้งนี้ข้าคงไม่ออกจากหนานฮวงตรงมาตามหาที่นี่” ซาฉู่เอ๋อร์เอ่ยเสียงเบา


“โอวหยางหมิง”


ใบหน้าโอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวเผยสีหน้างุนงงเล็กน้อย คล้ายกับว่าไม่เคยได้ยินนามนี้มาก่อน


ส่วนบนหน้าชายวัยกลางคนชุดม่วงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ครู่เดียวก็คล้ายนึกบางอย่างขึ้นได้ สีหน้าฟื้นกลับมาเป็นปกติในพริบตา


ความเปลี่ยนแปลงชั่วพริบตานี้อยู่ในสายตาซาฉู่เอ๋อร์และหลิ่วหมิงทั้งสิ้น


“หวังว่าผู้อาวุโสจะให้ผู้น้อยได้พบหัวหน้าตระกูลท่านสักครั้ง เมื่อผู้เยาว์ทราบข้อมูลที่แท้จริงของบิดาจะจากไปทันที ไม่กวนตระกูลโอวหยางอีกเด็ดขาด” ซาฉู่เอ๋อร์เอ่ยถามด้วยเสียงร้อนรน


“ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าตระกูลโอวหยางไม่มีคนชื่อโอวหยางหมิงผู้นี้ เจ้ามาหาผิดที่แล้ว ไยยังงมงายอีก!” โอวหยางซินรำคาญเล็กน้อยแล้ว


“เป็นไปไม่ได้ ท่านพ่อเคยบอกท่านแม่เองกับปากว่าเขามาจากตระกูลโอวหยางหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่แห่งแผ่นดินจงเทียน เป็นศิษย์แกนนำรุ่นที่ยี่สิบแปด นามว่าโอวหยางหมิง…” ซาฉู่เอ๋อร์ร้อนใจรีบเอ่ยขึ้น


“ข้าไม่มีความจำเป็นต้องหลอกเจ้า ตระกูลโอวหยางไม่มีคนผู้นี้อยู่ในบันทึกจริงๆ แผ่นดินจงเทียนมีตระกูลมากมาย แซ่โอวหยางก็ไม่ได้มีแค่ตระกูลเราที่เขาหยกฝัน เจ้ารีบไปเสีย ไปสืบหาข่าวคราวที่อื่นเถิด” ชายวัยกลางคนชุดม่วงเอ่ยอย่างเย็นชา


ซาฉู่เอ๋อร์อ้าปากจะเถียงอีก แต่โอวหยางซินกลับสะบัดแขนเสื้อเอ่ยเสียงเหี้ยม


“ข้าจะพูดเพียงเท่านี้ ตระกูลโอวหยางไม่ยินดีต้อนรับแม่นาง เชิญตามสบายเถิด มิเช่นนั้นอย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจจริงๆ!”


พูดจบ แรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเลือนราง ชักนำให้อากาศรอบด้านเกิดวงกระเพื่อมจางๆ


ไม่ว่าโอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวหรือซาฉู่เอ๋อร์ล้วนแค่นเสียงแผ่วเบา ถอยหลังไปก้าวหนึ่งอีกครั้งอย่างห้ามตนเองไม่ได้ จากนั้นรอบร่างถึงเปล่งแสงสีขาวตั้งร่างมั่นคงได้


มีเพียงหลิ่วหมิงที่ร่างกายโงนเงนเล็กน้อยอยู่กับที่ทนรับได้เหมือนไม่มีปัญหา


นี่ทำให้โอวหยางซินอดไม่ได้มองหลิ่วหมิงอย่างคิดไม่ถึงเพิ่มอีกหน แต่หลังแค่นเสียงหยันทีหนึ่งก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่


ซาฉู๋เอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็กัดริมฝีปากเล็กน้อย ท้ายที่สุดจึงฝืนยิ้มให้หลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วเดินออกไปด้านนอกด้วยสีหน้าหม่นหมอง


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ได้ไล่ตามไปทันที


จากสถานการณ์ตรงหน้า ในสิบมีแปดเก้าส่วนที่บิดาของซาฉู่เอ๋อร์น่าจะเป็นศิษย์ของตระกูลโอวหยางจริง นอกจากนี้เป็นไปได้อย่างที่สุดว่าเขาอาจเกี่ยวข้องกับความลับบางอย่างของตระกูลโอวหยาง มิเช่นนั้นคนนอกผู้หนึ่งบุกตระกูลโอวหยางดื้อๆ ติดกันหลายครั้งเช่นนี้ ไหนเลยจะปล่อยคนไปง่ายดายเช่นนี้


แต่หากเขาจำไม่ผิด ตอนนั้นซาฉู่เอ๋อร์เคยบอกว่าบิดาของนางสิ้นชีวิตอยู่ในทะเลทรายกุ่ยโม่นานแล้ว หากเป็นเช่นนี้สตรีนางนี้จะมาตระกูลโอวหยางทำอันใดอีก


หากเขาไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องราวกระจ่างชัดก็ไม่สะดวกลงมือช่วยเหลือจริงๆ ไม่เช่นนั้นอาจกลายเป็นอวดฉลาดแสดงความโง่


“พี่หลิ่ว หัวหน้าตระกูลอยู่ในห้องโถงใหญ่ พวกเราเข้าไปเถิด” โอวหยางเชี่ยนมองเงาแผ่นหลังของชายวัยกลางคนชุดม่วงแล้วเอ่ยขึ้น จากนั้นเดินเคียงไหล่โอวหยางฉินเข้าไป


หลิ่วหมิงเอี้ยวศีรษะมองซาฉู่เอ๋อร์ที่จากไปไกลทีหนึ่ง หลังดวงตาฉายแววครุ่นคิดเล็กน้อยก็ก้าวไปข้างหน้าต่อ


เมื่อเข้ามาในห้องโถงใหญ่ก็พบทางเดินไม่ยาวนักอีกเส้นหนึ่ง สองฟากฝั่งมีเด็กรับใช้สวมชุดม่วงแบบเดียวกันหลายคนยืนกุมมืออยู่ เบื้องหน้ามีประตูทางเข้าห้องโถงสูงใหญ่บานหนึ่ง ไม่เห็นชายวัยกลางคนชุดม่วงผู้นั้น เห็นชัดว่าเขาคงเข้าไปด้านในแล้ว ส่วนสองพี่น้องโอวหยางเวลานี้กำลังยืนรออยู่หน้าประตู


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ร่างกายพลันขยับวูบหนึ่งมาถึงเบื้องหน้าสตรีทั้งสองนางแล้วเอ่ยขึ้น


“ให้ทั้งสองท่านรอนานแล้ว”


โอวหยางเชี่ยนไม่พูดอันใด หมุนตัวยกแขนเสื้อขึ้นทีหนึ่งแล้วเปิดประตูใหญ่ออก ทั้งสองคนเดินนำเข้าไป


หลิ่วหมิงเดินตามเข้าไปอย่างไม่ลังเลสักนิด


ปรากฏว่าเหยียบเข้ามาปุบก็พบว่าเบื้องหน้าฉับพลันกว้างขวาง


ภายในห้องโถงใหญ่แห่งนี้กว้างถึงหนึ่งหมู่กว่า สูงสี่ห้าจั้ง บนกำแพงสี่ด้านฝังผลึกสีม่วงไว้ บนเพดานโค้งแขวนโคมวังหลวงดวงหนึ่งไว้สูง ดูมีภาพลักษณ์ของชนชั้นสูงผู้มั่งคั่งของโลกมนุษย์อยู่บ้าง


ฝั่งตรงข้ามของห้องโถง บุรุษผิวขาวสะอาดสวมชุดยาวสีม่วงทองผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้แดงตัวโต


คนผู้นี้อายุประมาณสามสิบปี บนริมฝีปากมีหนวดเคราสั้นๆ แลดูท่าทางสง่างาม เวลานี้กำลังมองสำรวจหลิ่วหมิงอย่างสนใจยิ่งนัก


โอวหยางซินก่อนหน้านี้นั่งสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ด้านข้าง


เมื่อหลิ่วหมิงสบสายตากับเขา ร่างกายก็อดไม่ได้สั่นสะท้านเล็กน้อย


เขาสัมผัสได้ถึงปราณมหาศาลคล้ายปีศาจสายฟ้าจากตัวของบุรุษผู้สง่างามคนนี้ นอกจากนี้ยังดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าอยู่บ้างด้วย


พี่น้องโอวหยางคำนับบุรุษผู้สง่างามอย่างนอบน้อมครั้งหนึ่ง ริมฝีปากของโอวหยางเชี่ยนก็ขยับเล็กน้อยส่งกระแสจิตรายงานสองสามประโยคแล้วถึงเดินไปยืนกุมมืออยู่ด้านข้าง


“ผู้เยาว์หลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ คารวะหัวหน้าตระกูลโอวหยาง” หลิ่วหมิงค้อมกายคำนับครั้งหนึ่ง


ก่อนเดินทางมาเขาหยกฝัน เขาก็สืบข่าวหัวหน้าตระกูลโอวหยางมาบ้างเช่นกัน


หัวหน้าตระกูลผู้นี้เบื้องหน้านามว่าโอวหยางเจี้ยนชิว ได้ยินว่าคนผู้นี้รับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลโอวหยางมาไม่ถึงร้อยปี เก็บตัวจากโลกภายนอกยิ่งนักมาตลอด วันนี้ได้พบ รูปลักษณ์ภายนอกถึงกับยังเยาว์วัยปานนี้


“ที่แท้ศิษย์หลานหลิ่วจากนิกายยอดบริสุทธิ์นี่เอง รูปลักษณ์เช่นยอดคนจริงๆ” บุรุษผู้สง่างามฟังเสียงกระแสจิตของโอวหยางเชี่ยนจบก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย แต่เมื่อเขามองสำรวจหลิ่วหมิงอีกสองสามครั้ง ในที่สุดก็เผยรอยยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดจะแหบพร่าอยู่บ้าง


“ผู้เยาว์ก็ได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของหัวหน้าตระกูลมานาน วันนี้ได้ยลโฉมตัวจริงนับเป็นวาสนาของผู้เยาว์แล้ว” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างนอบน้อม


“ฮ่ะๆ เจ้าอายุไม่มากแต่ช่างเจรจานัก ฟังจากที่เชี่ยนเอ๋อร์เล่า ศิษย์หลานหลิ่วมาเขาหยกฝันครานี้เพราะอยากขอยืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์หรือ?” โอวหยางเจี้ยนชิวยกถ้วยชาขึ้นจิบ ดูราวกับเอ่ยถามอย่างสบายๆ


“หัวหน้าตระกูลชาญฉลาดยิ่งนัก อินจิ่วหลิงอาจารย์ของข้ากับผู้อาวุโสโอวหยางอิงของตระกูลท่านเคยทำสัญญากัน สัญญาจะให้ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ของเรายืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ได้สามครั้ง ดังนั้นผู้น้อยถึงกล้าบุ่มบ่ามเดินทางมาขอร้อง” หลิ่วหมิงเอ่ยตอบด้วยเสียงนอบน้อม


“เป็นเช่นนี้เอง…” โอวหยางเจี้ยนชิวฟังแล้วก็พยักหน้าครุ่นคิด


“เรียนหัวหน้าตระกูล เรื่องของผู้อาวุโสอิงกับอินจิ่วหลิงนิกายยอดบริสุทธิ์เมื่อตอนนั้นเป็นสัญญาที่ทำกันเอง หาได้แจ้งให้ผู้อาวุโสประจำตระกูลทราบไม่ ดังนั้นสัญญานี้สมควรทำตามหรือไม่ยังต้องหารืออย่างละเอียด” ชายวัยกลางคนชุดม่วงเวลานี้กลับเอ่ยขึ้นนิ่งๆ


หลิ่วหมิงได้ยินคำนี้ สีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นทันที แต่ในฐานะคนนอก เวลานี้ย่อมไม่สะดวกเอ่ยวาจาอันใดมาก มิเช่นนั้นจะได้ผลตรงกันข้ามอย่างง่ายดาย


“เรียนหัวหน้าตระกูล ฉินเอ๋อร์คิดว่าคำพูดนี้ของผู้อาวุโสซินไม่เหมาะสม จากที่ข้าทราบยามนั้นผู้อาวุโสอิงไม่ได้รับปากข้อแลกเปลี่ยนนี้อย่างไร้สาเหตุ แต่เขาทำเพื่อแลกโอกาสเข้าทางปีศาจร้ายมาให้ศิษย์หลายคนในตระกูลที่ระดับพลังนิ่งค้างมานานปี ในเมื่อสัญญามาตั้งแต่แรก ไหนเลยจะกลับคำได้? มิเช่นนั้นไยไม่ใช่ให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะตระกูลโอวหยางเราว่าไม่รักษาสัจจะ” โอวหยางฉินกลับโต้ชายวัยกลางคนชุดม่วงทันทีอย่างไม่เกรงกลัว


“เจ้า…” โอวหยางซินสีหน้าเปลี่ยนไปทันที สายตาที่มองโอวหยางฉินฉับพลันฉายแววเหี้ยมเกรียมนิดๆ…


“คำพูดนี้ของฉินเอ๋อร์มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน…” บุรุษผู้สง่างามกลับพยักหน้า


“หัวหน้าตระกูล กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์เป็นของศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเรา ในหมู่ศิษย์ตระกูลโอวหยางหลายพันคนของเรามีคนมากมายรอคอยจะใช้สมบัติชิ้นนี้ทะลวงระดับพลัง ขอหัวหน้าตระกูลโปรดพิจารณาอีกครั้ง! ถึงจะให้คนผู้นี้ยืมใช้…ก็น่าจะให้ไปต่อท้ายแถว” โอวหยางซินเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองหลิ่วหมิงอย่างถมึงทึง แต่น้ำเสียงเห็นชัดว่าไม่แข็งกร้าวเช่นนั้นอย่างก่อนหน้านี้แล้ว


“เหอะ! คำนี้ของผู้อาวุโสซินหมายความว่าคิดจะมอบกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ให้เจ้าเด็กจากนิกายปีศาจลี้ลับนั่นใช้ก่อนล่ะสิ ไม่รู้จริงๆ ว่านิกายปีศาจลี้ลับมอบผลประโยชน์อันใดให้ผู้อาวุโสซินเป็นการส่วนตัว ทำให้ผู้อาวุโสซินขบคิดเพื่อเขาปานนี้ เรียนหัวหน้าตระกูล นิกายปีศาจลี้ลับไม่ลงรอยกับตระกูลโอวหยางมาตลอด จะเชื่อง่ายๆ ไม่ได้เด็ดขาด!” โอวหยางเชี่ยนไม่ลังเลอีกต่อไป สอดปากเอ่ยขึ้นทันที


“เหอะ พวกเจ้าสองคนพูดจาเหลวไหลไร้สาระต่อหน้าหัวหน้าตระกูล! สภาผู้อาวุโสของตระกูลตัดสินใจแล้วว่าจะให้หลงเซวียนผู้นี้ทำงานใหญ่เรื่องนั้นให้ตระกูล ดังนั้นถึงตกลงให้ยืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ครั้งหนึ่งเป็นค่าตอบแทน ในเวลาเดียวกันการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองนิกายก็เป็นการตัดสินใจของสภาผู้อาวุโสของตระกูล ไหนเลยมีที่ให้พวกเจ้าผู้เยาว์สองคนวิพากษ์วิจารณ์” โอวหยางซินกลับฟื้นคืนความสงบ แค่นเสียงหยันเอ่ยขึ้น


“ในเมื่อการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับพวกเราพี่น้อง พวกเรายังพูดไม่ได้อีกหรือ การตัดสินใจของสภาผู้อาวุโสที่ว่านั่นอาศัยยามที่ผู้อาวุโสกว่าครึ่งในตระกูลไม่อยู่ เป็นการตัดสินกันเองของผู้อาวุโสส่วนน้อยเท่านั้น ไหนเลยจะ..” โอวหยางเชี่ยนใช้เหตุผลเข้าสู้


เวลานี้บุรุษผู้สง่างามที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานกลับยกถ้วยชาขึ้นดื่มคำหนึ่งอย่างไม่รีบไม่ช้า ประหนึ่งไม่ได้ยินการโต้เถียงเบื้องล่าง


หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์นี้ก็นับถือความสุขุมของคนผู้นี้


“เรียนหัวหน้าตระกูล หากเพื่อทำงานใหญ่เรื่องนั้นของตระกูลให้บรรลุ ข้าคิดว่าสหายหลิ่วเหมาะสมยิ่งกว่าหลงเซวียน อย่างไรงานประตูสวรรค์เมื่อหลายปีก่อน สหายหลิ่วก็ได้อันดับหนึ่ง พลังแข็งแกร่งเหนือกว่าหลงเซวียนผู้นั้นอยู่มาก” โอวหยางฉินพลันเอ่ยขึ้นเสียงดัง


“อ้อ ข้าก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน” บุรุษผู้สง่างามได้ฟัง สายตาที่มองไปหาหลิ่วหมิงก็ทอประกายขึ้นเล็กน้อยทันที


“ผู้เยาว์เพียงโชคดีเท่านั้น” หลิ่วหมิงได้ยินโอวหยางฉินดึงตนเองมาเป็นโล่บังธนู แม้ลอบขมวดคิ้ว แต่หลังครุ่นคิดเร็วจี๋ในใจสุดท้ายก็ยังไม่ได้เอ่ยปฏิเสธออกมาตรงๆ


“ความจริงแล้วในงานประตูสวรรค์โชควาสนามีส่วนอยู่มากนัก ไม่อาจพิสูจน์ความสูงต่ำของพลังได้ บางทีศิษย์หลานหลิ่วคนนี้ตอนอยู่ด้านในอาจเพียงโชคดีเท่านั้น” โอวหยางซินหัวเราะหยันเอ่ยขึ้น


“ผู้อาวุโสซินพูดเหมือนรู้จริงเช่นนี้ เคยเข้าไปแดนลึกลับประตูสวรรค์หรือ?” โอวหยางเชี่ยนเอ่ยขึ้นเรียบๆ


“เจ้า…” ชายวัยกลางคนชุดม่วงได้ยินก็ฮึดฮัดทันที


งานประตูสวรรค์ครั้งนี้เขาย่อมไม่อาจเข้าร่วมได้ ส่วนงานประตูสวรรค์ครั้งก่อนก็ห่างจากวันนี้แปดร้อยปี เกรงว่าเวลานั้นถึงเขาจะเกิดมาแล้วแต่ก็ยังห่างไกลไปไม่ถึงเงื่อนไขที่จะเข้าร่วมได้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)