องครักษ์เสื้อแพร 851-852

 ตอนที่ 851 ขณะคุยกันก็ปลดนายกองพัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไฟโหมกระหน่ำบนแม่น้ำฉินไหวเหอ แสงส่องสว่างไปทั่วราวกับกลางวัน หากเป็นตามปกติ แม่น้ำฉินไหวเหอยามนี้จะมีแต่เสียงร้องรำทำเพลงและเสียงดนตรีไพเราะแว่วมา หากตอนนี้กลับเงียบกริบไปหมด ได้ยินแต่เสียงเผาไม้แตกดังเปรี๊ยะ


หวังทงในชุดยาว ยืนไพล่มือมองไปยังแม่น้ำ สีหน้ายิ้มแย้มมองไฟลุกโชน เฉิงหย่งป๋อนามว่าเยว่เจียงหนานสีหน้าดำคล้ำ เรือไป๋หลันคืนนี้ถูกเผา เท่ากับถูกตบหน้ากลางหน้าสาธารณชนไม่ผิดเพี้ยน การลบหลู่เช่นนี้ถึงกับหนักกว่าเสียอีก


แต่จะให้ทำอย่างไรได้ พอได้ยินหวังทงมา เฉิงหย่งป๋อเยว่เจียงหนานยังได้เคยไปสนทนากับหูจื้ออัน ย่อมคุยกันถึงเรื่องสมรสพระราชทานเมืองหลวง หูจื้ออันพูดได้กระจ่าง หากสมรสพระราชทานเสร็จยังอยู่เมืองหลวงต่อ ก็ย่อมต้องระวัง คงต้องมีเรื่องต่อ แต่ให้ออกมาปฏิบัติหน้าที่ ย่อมเห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้เขาครองอำนาจเต็ม แต่ก็เพื่อเก็บหวังทงไว้ใช้งานระยะยาวเช่นกัน


หวังทงอยู่ในตำแหน่งนี้ ฝ่าบาทไม่ต้องพูดถึง แค่ความสัมพันธ์เขากับขันทีในวังฝ่ายใน ก็พอที่จะเหิมเกริมทั่วใต้หล้าได้แล้ว หากเขายังคงเป็นขุนนางคนสนิทอันดับหนึ่งของฮ่องเต้อีกด้วย


คนเช่นนี้เยว่เจียงหนานจะล่วงเกินไหวได้อย่างไร หากมีเรื่องกระทบกระทั่งกันจริง กวาดล้างทั้งตระกูลก็ย่อมมีความเป็นไปได้


เขากำลังคิดไปไกลอยู่นั้นเอง ก็กลับได้ยินหวังทงกล่าวว่า


“เฉิงหย่งป๋อ เมืองหนานจิงกับแดนใต้เป็นพื้นที่แผ่นดินหมิง?”


เยว่เจียงหนานสะดุ้งโหยง ตัวก้มลงไม่รู้ตัว กล่าวเบาๆ ว่า


“ย่อมเป็นพื้นที่แผ่นดินหมิง ท่านโหวไยถามเช่นนี้?”


“ที่แท้เฉิงหย่งป๋อยังรู้ ไม่รู้ว่าตระกูลสูงในเมืองหนานจิงจะรู้เช่นนี้ไหม”


หวังทงยิ้มกล่าว เรือไป๋หลันชั้นหนึ่งเสาพังลงบนแม่น้ำฉินไหวเหอแล้ว ชั้นสองก็พังทลายตามมา หวังทงพยักหน้า หันกลับขึ้นม้า กล่าวว่า


“คืนนี้ไม่เลว กลับไปด้วยความสำราญดี!”


ไม่สนใจเฉิงหย่งป๋อที่คำนับส่ง  ทหารติดตามขี่ม้าตามไป จางเหลียนเซิงเดิมยังคิดยิ้มให้เยว่เจียงหนาน แต่คิดๆ ดู ก็ยืดอกขึ้น ตามหวังทงจากไปด้วยท่าทางยโสไม่น้อย


พอหวังทงไปแล้ว เฉิงหย่งป๋อเยว่เจียงหนานก็ปาดเหงื่อบนหน้าผาก หันไปมองไม่รู้ว่ามีคนมากมายมองอยู่เท่าไร คนที่มามุงดูมากมายริมน้ำคืนนี้ ไฟเรือไป๋หลันยังคงลุกอยู่ เฉิงหย่งป๋อหันไปหรี่ตามองพ่อบ้านที่เริ่มตัวสั่นไม่หยุด คุกเข่าลงทันที เฉิงหย่งป๋อกัดฟันกล่าวเบาๆ ว่า


“เจ้าตัวหาเรื่องเช่นนี้ จับกลับไปตีให้ตายไปเลย!”


หันไปมองเห็นซิ่วเอ๋อร์ที่ยืนมองไฟไหม้เรืออยู่  เฉิงหย่งป๋อตวาดด่า จากนั้นก็มีนางผู้หนึ่งเข้ามาดึงซิ่วเอ๋อร์ไป เฉิงหย่งป๋อเดินไปที่ม้า ก่อนจะมีทหารติดตามถามขึ้น


“ท่านป๋อ จากนี้ไปทำอย่างไรดี?”


“รอดูจวนเว่ยกั๋วกงก่อน เรือไป๋หลันเผาไปแล้ว ยังจะมีจากนี้ไปอีกหรือ กลับจวน กลับจวน!!”


**************


“เจ้าลูกชั่ว นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรเลี้ยงนาย ตอนนี้ในเมืองเขาจะเลี้ยงใครได้เล่า เจ้าไม่รู้หรือ ตัวผอมแห้งแบบนี้ ออกไปหาเรื่องอวดเบ่งอันใด!!”


ในโถงกลางจวนเว่ยกั๋วกงตระกูลสวี  สวีจิ่วไปเสียทีบนเรือไป๋หลัน ใบหน้าคราบเลือดยังไม่ทันได้เช็ดออก กลับคุกเข่าอยู่ที่พื้นไม่กล้ากล่าวอันใด ตัวสั่นไม่หยุด เว่ยกั๋วกงสวีจื้อเทาเดินไปมากลางโถงไม่หยุด โมโหจนหน้าแดงก่ำ พอพูดได้ถึงขีดสุดก็จะหันไปเตะทีหนึ่ง


กลับมีคนหนึ่งกอดรั้งเขาไว้ สวีจื้อเทาสะบัดไปมาแต่ก็ไม่หลุด ได้ยินคนด้านหลังกล่าวว่า


“นายท่านโปรดระงับอารมณ์ คุณชายเก้าร่างกายบอบบาง อย่าได้ลงมือจนบาดเจ็บ!”


เว่ยกั๋วกงสวีจื้อเทาถูกคนด้านหลังกล่าวเช่นนี้ ก็ได้แต่ฮึดฮัดหยุดไป สะบัดแขนออกตวาดด่าไปว่า


“เจ้าลูกชั่วเดรัจฉาน ปกติก็เหลวไหล ไม่ใช่เพราะพวกเจ้าเอาใจจนเป็นเช่นนี้หรือ ตอนนี้ก่อเรื่องเช่นนี้  หน้าตาตระกูลสวีเราหมดสิ้นแล้ว!”


ข้างกายคนผู้นั้นก็คือหัวหน้าผู้คุ้มกันจวนเว่ยกั๋วกง หัวหน้าผู้คุ้มกันจวนเว่ยกั๋วกงก็เหมือนหัวหน้านายทหาร  ในกรมทหารอย่างน้อยต้องได้ตำแหน่งขุนพลขุนนางบู๊ระดับสี่ ยามสงครามให้ตำแหน่งก็นำทัพออกรบได้ ดังนั้นสถานะตระกูลสวีจึงสูงส่ง สามารถมีปากมีเสียงได้


เห็นสวีจื้อเทานิ่งไป หัวหน้าผู้คุ้มกันกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า


“ก่อนหน้านี้มีคนโยนจดหมายเข้ามาบอกว่า หวังทงมาเพื่อตรวจสอบชนชั้นสูงแดนใต้ เป็นราชโองการลับ เห็นการกระทำเขาแล้ว ดีไม่ดีอาจเป็นดังนั้นจริง ไหนบอกว่าเฉิงหย่งป๋อยังเผาเรือไป๋หลันทิ้งไม่ใช่หรือ เห็นได้ชัดว่าขันทีหูเองก็ไม่กล้าออกหน้า นี่ยิ่งชัดเลย นายท่าน ต้องรับมืออย่างระวัง อย่าได้ปล่อยให้ตระกูลสวีต้องประสบภัย!”


สวีจื้อเทาลังเลไปลังเลมาก็ถอนหายใจ กล่าวว่า


“หวังทงรังแกกันเกินไปแล้ว ให้พรุ่งนี้ข้าไปหน้าประตูที่พักเขาโบยตีเจ้าลูกชั่ว เช่นนี้ ก็เท่ากับฉีกหน้าตระกูลข้าเองสิ้น ช่าง…”


กล่าวถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจต่อ ทหารเหล่ามองสวีจิ่วคุกเข่านิ่งไม่กล้าเงยหน้า กล่าวว่า


“นายท่าน อย่างไรก็แค่ลงแส้เฆี่ยน 50 แผลภายนอกเท่านั้น หากหวังทงบอกโบยไม้ 50 จึงจะเรียกว่าต้องการสังหาร หวังทงรับราชโองการมาอย่างไรก็ต้องไปเมืองซงเจียง คงไม่อยู่หนานจิงนานนัก นายท่านทำตามเขาว่า ให้เขาจัดการเรื่องทางนี้เสร็จแล้วไปดีกว่า ไม่เช่นนั้นหากเขาไม่ยอมจากหนานจิงไปจริงๆ จับตาดูให้ถึงที่สุด เรื่องก็เกรงว่าจะยุ่งยากแล้ว!”


เห็นสีหน้าสวีจื้อเทาหนักใจ เขาจึงกล่าวอีกว่า


“หวังทงไปแล้ว ตระกูลสวีก็ยังเป็นตระกูลสวี หากเกิดเป็นเรื่องใหญ่ ตระกูลสวีต้องเป็นเหมือนกับชนชั้นสูงเมืองหลวงพวกนั้น ก็ช่าง…”


สวีจื้อเทาพยักหน้าเห็นด้วย


***************


รอบๆ โรงเตี๊ยมหวังทงเดิมที่เคยจับสายสืบมาแล้วก็เงียบไปมาก ยามนี้หลังลงมือกับคุณชายเก้า เผาเรือไป๋หลันทิ้ง วันต่อมาพอฟ้าเริ่มสาง ก็มีคนมากหน้าหลายตามมารวมตัวกันที่นี่


ครั้งนี้ทุกคนไม่ได้ปลอมตัวมา แต่มากันอย่างเปิดเผย มีทหารองครักษ์เสื้อแพร เจ้าหน้าที่ศาลเมืองอิ้งเทียน ยังมีขุนนางหนานจิงหกกรมกอง ยังมีคนรับใช้ตระกูลใหญ่ ล้วนมารอชมพวกเขาอย่างไม่มีพิธีรีตองอันใด


เมื่อคืนบนแม่น้ำฉินไหวเหอก็มีข่าวแพร่ไปว่า หวังทงให้เว่ยกั๋วกงเช้านี้นำตัวคุณชายเก้ามาโบยที่หน้าที่พัก ทุกคนล้วนอยากเห็น ตระกูลเว่ยกั๋วกงจะมีปฏิกิริยาเช่นไร ตระกูลเว่ยกั๋วกงเป็นผู้นำชนชั้นสูง ท่าทีเขานั้น จะทำให้ทุกคนวิเคราะห์เรื่องราวได้


คนด้านนอกมารวมตัวกันมาก ทหารติดตามหวังทงเปิดประตูใหญ่โรงเตี๊ยม ยังให้คนย้ายเก้าอี้นอนตัวใหญ่ออกมาวางตรงข้ามประตู ดูท่าแล้วให้หวังทงนั่งดูการโบยด้านนอก


มีคนส่งเสียงวิจารณ์ หวังทงเตรียมการเช่นนี้ หากเว่ยกั๋วกงไม่มา ใช่ว่าเป็นการตบหน้าตัวเองหรือนี่ หลายคนรอดูเรื่องตลก


พระอาทิตย์เพิ่งจะพ้นกำแพงเมือง ขบวนตระกูลสวีก็มาถึงจริงๆ คนมากันไม่มาก  ทหารสิบกว่านายคุ้มกันเว่ยกั๋วกงมา ยังมีรถม้ามาอีกคันหนึ่ง


เดิมที่เสียงดังเอะอะก็เงียบกริบ ทุกคนมองดูเห็นเว่ยกั๋วกงหน้าดำคล้ำลงจากม้าหน้าที่พักหวังทง จากนั้นก็ลากตัวสวีจิ่วลงจากรถ


“หวังทงคำนับเว่ยกั๋วกง!”


ตำแหน่งต่างกัน หวังทงหน้าประตูย่อมทักทายอย่างสุภาพ สวีจื้อเทาพยักหน้ากล่าวว่า


“เมื่อวานบุตรชายข้าทำผิดไป ช่างขายหน้าข้าเสียจริง วันนี้นำมาให้ท่านสั่งสอน ให้เขาวันหน้ารู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียบ้าง ตามคำสั่งใต้เท้าหวัง โบยเจ้าเดรัจฉาน 50 !”


พอสั่งการลงไป ขุนพลเว่ยกั๋วกงก็นำตัวสวีจิ่วกดไว้ ถอดเสื้อออก จากนั้นก็ผลัดกันโบย เนื้อหนังที่ดูแลอย่างดีอ่อนนุ่ม พอโบยไปก็เกิดปื้นแดง 5-6 ผ่านไป ก็เริ่มมีรอยเลือด สวีจิ่วไม่อาจทนได้ ส่งเสียงร้องราวกับสุกรถูกเชือดนานแล้ว พอ 50 ทีผ่านไป เสียงร้องก็อ่อนระโหยโรยแรง


ทหารมองสวีจื้อเทา สวีจื้อเทามองหวังทง หวังทงยิ้มพยักหน้า สวีจื้อเทาจึงได้โบกมือ มีหมอสองคนจากบนรถม้ารีบลงมาเข้าใส่ยารักษา


เว่ยกั๋วกงสวีจื้อเทาประสานมือ กล่าวเสียงเย็นว่า


“ได้ยินว่าใต้เท้าหวังคืนนี้หรือพรุ่งนี้คงออกเดินทางไปเมืองซงเจียง ข้าไม่ส่งแล้ว!”


“ไม่บังอาจให้ท่านมาส่ง”


กล่าวกันถึงขั้นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวอันใดอีกแล้ว สวีจื้อเทาแค่นเสียงฮึ ก่อนจะหันหน้าจากไปทันที ทุกคนรีบประคองสวีจิ่วขึ้นรถใส่ยา จากไปทันที


แม้ว่าได้จากไปในทันที แต่อย่างไรก็โบยบุตรชายตนไปด้วยความต้องการของหวังทง เรื่องนี้มันหมายถึงอะไร ไม่ต้องพูดอีกแล้ว คนตระกูลเว่ยกั๋วกงยังไม่ทันจากไป คนที่มามุงดูก็สลายตัวกันไปแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ต้องรีบกลับไปรายงาน


ต่างกับคนอื่น อวี๋ชิงกั๋ว จางเหลียนเซิง เมิ่งเซี่ยนฮุย สามนายกองพันเมื่อวานถูกตามตัวมา พวกเขาพอเห็นสวีจิ่วถูกโบยฉากนั้น จางเหลียนเซิงก็เหมือนหน้าเชิดหลายส่วน อวี๋ชิงกั๋วสีหน้าหม่น  เหมือนว่าแก่ลงไปสิบกว่าปีได้ ส่วนเมิ่งเซี่ยนฮุยยังคงนิ่งดังเดิม


“ท่านโหวต้องทานอาหารเช้าก่อนจึงรับแขก!”


ผู้คุ้มกันหวังทงตอบง่ายๆ นายกองพันสามคนกลับไม่กล้าบ่น  แม้แต่สีหน้าก็ยังไม่กล้าแสดงออก ได้แต่คำนับรอ


“อวี๋ชิงกั๋ว เจ้าเป็นคนมาจากเว่ยกั๋วกง ทว่านายเจ้ารู้งานควรไม่ควร แม้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า แต่ก็ไม่ได้เกิดเหตุผิดพลาดอันใด วันหน้าให้คิดให้ดี เป็นฝ่าบาทพระราชทานเบี้ยหวัดเจ้า มิใช่เว่ยกั๋วกง วันหน้าต้องตั้งใจทำงานให้ดี!!”


หวังทงกินอาหารเช้าเสร็จ ก็มานั่งอบรมสามคนอยู่ตรงหน้า อวี๋ชิงกั๋วพอได้ยินเช่นนี้ กลับไม่กล้าพูด คุกเข่าโขกศีรษะ กล่าวว่า


“ข้าน้อยรับทราบ วันหน้าจะปฏิบัติตามนี้ ไม่ทำให้ผู้บัญชาการสอนสั่งเสียเปล่า!”


“จางเหลียนเซิง เจ้าเป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร บิดาและอาเจ้าก็เป็นผู้ซื่อสัตย์ภักดี เจ้าอย่าได้ทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูล งานที่รับผิดชอบก็ต้องจัดการให้ดี ตั้งใจทำหน้าที่ให้ดี!!”


จางเหลียนเซิงคุกเข่าโขกศีรษะดัง รับคำเสียงดัง สุดท้ายก็คือเมิ่งเซี่ยนฮุย คนผู้นี้ยังคงสีหน้านิ่งเฉย ท่าทางกลางๆ หวังทงมองเขายิ้มกล่าวว่า


“เจ้านี่ข้ายังไม่กระจ่างในตอนนี้ องครักษ์เสื้อแพรเราไม่ต้องการคนที่มีที่มาไม่กระจ่าง จากนี้ไป เจ้าจะถูกพักงานองครักษ์เสื้อแพร กองพันเจ้าให้จางเหลียนเซิงดูแลแทน!”


ตอนที่ 852 ก่อนจากไปได้ของขวัญใหญ่

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ผู้บัญชาการ ข้าน้อยผิดอันใด?”


เมิ่งเซี่ยนฮุยที่สงบนิ่งมาตลอด คิดไม่ถึงว่าจะมีคำสั่งเช่นนี้ เดิมคิดว่ามารับคำสั่งสอนตำหนิไม่กี่คำ ผู้ใดจะคิดว่ามาถูกปลดเสียได้ วาจาหวังทงกระจ่างมาก แม้แต่สถานะองครักษ์เสื้อแพรก็ไม่เหลือให้


เมิ่งเซี่ยนฮุยร้อนใจยิ่ง เงยหน้าคิดโต้ตอบ สีหน้าหวังทงนิ่งเรียบกล่าวว่า


“ข้าเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร มีอำนาจนี้ เจ้ามีที่มาไม่ชัดเจน  จากตำแหน่งพลทหารเจ้าเลื่อนมาถึงตอนนี้ หลายอย่างน่าสงสัย คนเช่นนี้ไหนเลยจะสามารถอยู่ในตำแหน่งสำคัญเช่นนี้ได้ ปลดเจ้าก็สมควร”


“ผู้บัญชาการใต้เท้า ข้าน้อยทำตามหน้าที่ เหตุใด!”


“จับตัวไว้ ขังคุก!”


หวังทงสั่งเสียงเยียบเย็น ทหารข้างกายหวังทงรีบเข้ามาจับตัว เมิ่งเซี่ยนฮุยที่ลนลานถูกจับกุมตัวมัดไว้ได้ จางเหลียนเซิงกับอวี๋ชิงกั๋วคิดไม่ถึงว่าจะจัดการเช่นนี้ พากันคุกเข่าอย่างหวาดกลัว หวังทงลุกขึ้นเดินไปยังหน้าเมิ่งเซี่ยนฮุย กล่าวอ่อนโยนว่า


“บอกมาว่าใครส่งเสริมเจ้าสู่ตำแหน่งนี้ เรื่องนี้อาจยังยั้งได้?”


เมิ่งเซี่ยนฮุยลังเลครู่หนึ่ง  ก็ส่ายหน้า เงียบไปพัก ไม่กล่าวอันใดต่อ หวังทงโบกมือให้คนนำตัวออกไป เดินไปยังหน้าอวี๋ชิงกั๋วกับจางเหลียนเซิง ยิ้มกล่าวว่า


“องครักษ์เสื้อแพรเป็นทหารในพระองค์ ไม่ใช่บ่าวรับใช้ตระกูลใหญ่ เมิ่งเซี่ยนฮุยกับตระกูลใหญ่ในพื้นที่มีสัมพันธ์ใด ก็ย่อมสืบได้ในไม่ช้า พวกเจ้าดูไว้เป็นตัวอย่าง เมิ่งเซี่ยนฮุยผู้นี้มอบให้จางเหลียนเซิงจัดการคุมตัวไว้”


กล่าวจบ ก็โยนเอกสารลงพื้นกล่าวอีกว่า


“นี่คือเอกสารมอบให้จางเหลียนเซิงดูแลกองพันเจ้าแทน เก็บให้ดี  บ่ายนี้ข้าจะไปเมืองซงเจียงแล้ว ขากลับ หวังว่าเจ้าจะจัดการที่นี่ให้ดีได้!”


จางเหลียนเซิงโขกศีรษะแรง ตะโกนตอบดังว่า


“ขอผู้บัญชาการวางใจ ข้าน้อยจะต้องจัดการให้เข้มงวด แสดงให้ผู้บัญชาการได้เห็น”


เช้ามาเว่ยกั๋วกงก็มาโบยบุตรชายที่หน้าที่พักหวังทง จากนั้นขณะคุยกันดีๆ หวังทงก็ปลดนายกองพันไปคนหนึ่ง ข่าวแพร่ไปอย่างรวดเร็ว กอปรกับการเผาเรือไป๋หลันคืนวาน ทำเอาเมืองหนานจิงอึ้งไปทั้งเมือง


เมืองหนานจิงมีข่าวแพร่ได้เร็วไม่แพ้เมืองหลวง โรงเตี๊ยมหนึ่งห่างจากที่พักหวังทงไปเพียงสองช่วงถนน มีสองคนกำลังอึ้งมองหน้ากัน ในห้องเงียบไปนาน คนหนึ่งกล่าวน้ำเสียงแหบพร่าว่า


“นายท่านไม่ได้บอกหรือว่า หากจดหมายนี้หย่อนเข้าไปในจวนชนชั้นสูง ทุกคนก็จะมองหวังทงเป็นศัตรู เหตุใดตอนนี้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ได้…..”


“ชนชั้นสูงเมืองหนานจิงมีอำนาจในมืออยู่บ้าง แต่กลับหัวหดเหมือนพวกไร้สามารถในเมืองหลวง!!”


“จดหมายพวกนั้นเผาแล้วใช่ไหม ตอนนี้ไม่มีทางได้โยนเข้าไปอีกแล้ว ระวังภัยมาถึงตัว…”


“ไม่อาจเผาที่โรงเตี๊ยมนี่ ไปหาที่เผาก่อน จะได้ไม่มีคนเห็น”


ไม่พูดถึงคำวิพากษ์วิจารณ์ในโรงเตี๊ยมนี้แล้ว หันไปดูทางพวกหวังทงที่เริ่มเก็บของเตรียมออกเดินทาง แดนใต้เส้นทางน้ำและเส้นทางบกขนานกัน จากหนานจิงไปเมืองซงเจียง เดินทางเส้นทางน้ำก็ได้ เรือก็ไปได้มาจากหลินชิงที่ซานตง พวกเขาจอดไว้นอกเมืองหนานจิง


ไม่มีผู้ใดมาส่ง แต่ทุกคนในเมืองหนานจิงล้วนพากันหวาดกลัวหวังทงพอแล้ว มีคนจูงม้ามา หวังทงโดดขึ้นม้า ยิ้มกล่าวว่า


“ว่ากันว่าพื้นที่ห่างไกลไม่เกรงกลัวอาญาฮ่องเต้ เมืองหนานจิงเป็นดังศูนย์กลางแผ่นดินหมิง มีคนมากมายไม่รู้จักสถานะตนเอง ยังคิดไปเองจริงๆ ว่าสามารถไร้ขื่อไร้แปได้”


************


พูดถึงเรือทางการจากไปทงโจว นั่งเรือจากหนานจิงง่ายมาก หลังออกจากเมืองไม่ไกลก็จะมีท่าเรือ ไปขึ้นเรือที่นั่นได้


พอพวกหวังทงออกจากเมืองไปก็จะไปพักกินอาหารง่ายๆ ที่ร้านอาหารท่าเรือ เตรียมขึ้นเรืออกเดินทาง แต่พอไปถึง กลับเห็นขบวนคนและม้ากลุ่มใหญ่รออยู่


เมืองหนานจิงแม้สงบสุข ทว่าพวกหวังทงก็ไม่อาจชะล่าใจ บรรดาทหารติดตามอารักขาล้อมรอบหวังทงไว้ มีคนก้าวขึ้นหน้าไปตรวจสอบ ไม่นานก็กลับมารายงาน


“เป็นคนเฉิงหย่งป๋อ บอกว่ามาส่งท่านโหว”


หลังเว่ยกั๋วกงโบยบุตรชายไปน่อมไม่คิดมาต้อนรับอันใด เว่ยกั๋วกงตระกูลสวีสืบทอดกันมาเกือบ 200 ปี ย่อมต้องมีเกียรติของตน


แต่เฉิงหย่งป๋อรุ่นก่อนได้บรรดาศักดิ์มาเพราะออกรบ รุ่นนี้ลดลงไปหน่อย ก่อนจะหาเส้นสายได้จึงได้ก้าวขึ้นมามีหน้ามีตาได้ พวกเขาไม่กล้าทำตัวเหมือนเว่ยกั๋วกง เส้นสายที่พึ่งพาของพวกเขานั้นก็ไม่กล้าล่วงเกินหวังทง แล้วพวกเขาจะไปกล้าได้อย่างไร เมื่อคืนวานเรือไป๋หลันถูกเผา พวกเฉิงหย่งป๋อแม้จะไม่โต้แย้ง แต่ในใจนั้นแสนเคียดแค้น


แต่เช้านี้ได้ยินเว่ยกั๋วกงโบยบุตรชาย จึงได้พบว่า หวังทงใหญ่กว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก ไม่อาจล่วงเกิน จึงได้รีบเตรียมตัวมาให้ทัน


พอเห็นหวังทงขี่ม้ามา เฉิงหย่งป๋อเยว่เจียงหนานรีบคำนับ ยิ้มกล่าวว่า


“ข้าน้อยขอให้ท่านโหวไปเมืองซงเจียงราบรื่นสวัสดิภาพ”


หวังทงเพียงแค่ยิ้มพยักหน้าตอบ เห็นบรรดาทหารติดตามอารักขาขนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ขึ้นเรือกันคล่องแคล่ว คนที่เฉิงหย่งป๋อพามาด้วยเห็นธนูและดาบทวนของหวังทงแล้วไม่ต้องพูดถึง  ปืนไฟกับเกราะแต่ละชุดขนย้ายขึ้นไป นี่มันผู้แทนพระองค์ลงใต้มาปฏิบัติภารกิจหรือมาสังหารคนกันแน่


อาวุธพวกนี้ดูแล้วกลิ่นอายสังหารรุนแรง ทำเอาหนังตากระตุกไม่หยุด ยามนี้เฉิงหย่งป๋อรู้สึกดีใจ ในใจแอบคิดว่าเมื่อคืนดีนะที่ตนไม่ได้ล่วงเกินมากเกินไป วันนี้มาแก้ตัวให้ดี แต่ก็ดูเหมือนไม่ดีนัก


“ขอบคุณเฉิงหย่งป๋อ ทว่าครั้งนี้มาส่งยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?”


หวังทงไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เฉิงหย่งป๋อถูกถามตรงจนอึ้งไป ทว่ายังคงยิ้มตอบว่า


“ท่านโหวตรากตรำมาสิบกว่าปี ตรากตรำมาโดยตลอด ลงใต้มาปฏิบัติหน้าที่ก็มีแต่ทหารติดตาม ไม่มีคนคอยปรนนิบัติจะได้อย่างไร”


กล่าวถึงตรงนี้ ก็เอียงตัวไปอีกทาง หวังทงไม่ทันสังเกตว่าท่าเรือมีศาลาที่มีสาวใช้หลายคนอยู่ คนที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลางนั้นย่อมเป็นซิ่วเอ๋อร์


“ท่านโหว ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ผู้นี้หน้าตาไม่เลว ชำนาญดนตรี อักษร หมาก และภาพวาดครบทุกด้าน ทำอาหารยังไม่เลว ขอมอบให้ท่านโหวไว้ปรนนิบัติข้างกาย เป็นน้ำใจจากข้าน้อย”


“หืม?”


หวังทงลากเสียงยาว สีหน้ายิ้มไม่ได้หัวเราะไม่ออก  เฉิงหย่งป๋อเยว่เจียงหนานกลับรู้สึกงง เข้าไปใกล้กระซิบว่า


“บอกท่านโหวไว้ก่อน ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ผู้นี้เป็นหญิงบริสุทธิ์ของแท้  ตอนแรกเลี้ยงดูไว้ก็เพื่อมอบให้จางจวีเจิ้ง จางจวีเจิ้งล้มลง เดิมคิดจะมอบให้คุณชายรองหรือคุณชายสามจวนเว่ยกั๋วกงเป็นภรรยาน้อย ทว่าหญิงงามเช่นนี้ ก็มีแต่ท่านโหวผู้เป็นดังวีรบุรุษจึงเหมาะสม”


“เห็บหมัดมากไม่กลัวคันเสียจริง เรื่องเยอะแล้วก็เยอะไป ไม่กลัว”


หวังทงยิ้มสัพยอก มองเยว่เจียงหนานพยักหน้ากล่าวว่า


“ในเมื่อท่านมีความตั้งใจเช่นนี้ ตระกูลเยว่ก็มีกิจการอยู่บ้างกระมัง ก็สามารถแลกเปลี่ยนสินค้ากันได้ วันหน้าอีกยาวไกล วันหน้าวันเวลาคบหากันยังมีอีกมาก มาส่งของถึงเรือ เช่นนั้นเรื่องต่างๆ ท่านก็วางใจได้ ผ่านแล้วก็ผ่านไป”


ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ เยว่เจียงหนานอึ้งไป ตามด้วยรอยยิ้มกว้าง สถานะเช่นเขาย่อมรู้ว่าหากได้ร่วมมือกับร้านสามธารา ร่วมเป็นหนึ่งกับหวังทงก็ย่อมมีผลประโยชน์มากมายเพียงใด ครั้งนี้เรือไป๋หลันถูกเผา สมบัติล้ำค่าหายไป แม้จะเจ็บเนื้อ แต่การค้าทำขึ้นมาได้ ก็นับว่าคืนกำไรแล้ว และอาจมากกว่าอีกด้วย


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้ซิ่วเอ๋อร์ขึ้นเรือได้!”


ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์พร้อมสาวใช้กำลังลงเรือ เดินไปด้านข้าง คุกเข่าให้หวังทงพร้อมโขกศีรษะ จากนั้นก็โขกศีรษะให้เยว่เจียงหนาน ก่อนจะเดินลงเรือไปเงียบๆ สาวใช้สามคนกับหญิงมีอายุอีกคน มีหีบของไม่น้อย ทหารติดตามหวังทงรีบจัดการเรือใหม่


เห็นเช่นนี้ เกรงว่าคงมอบให้ทั้งคนและข้าวของเครื่องใช้


***************


อำเภออู๋เมืองซูโจวมีคนมาก  มีทั้งคนหาเช้ากินค่ำที่ริมคลองส่งน้ำ มีคนเป็นช่างทำมาหาเลี้ยงชีพในเมือง ยังมีพวกต้มตุ๋น อีกทั้งพวกนางคณิกาที่ไม่อาจเปิดเผยตัวตน หรือไม่ก็อาชีพที่ไม่สุจริตต่างๆ เกือบทั้งหมดอยู่ใต้การควบคุมของห้าเสือตระกูลเจ้า  ห้าเสือตระกูลเจ้าก็คือคุณชายจากห้าตระกูลที่ล่มจมจากหมู่บ้านนอกอำเภออู๋


มีวันหนึ่งได้ร่วมสาบานกันที่ศาลเทพเจ้าเงินทอง จึงได้ร่วมใช้แซ่เจ้าตามเทพเจ้าเงินทอง เจ้ากงหมิง ก็นับว่ามีวาสนาต่อกัน ในนั้นสองคนถึงกับได้เข้าไปเป็นมือปราบได้ ที่เหลือก็เป็นพวกห้าวหาญ ค่อยๆ มีชื่อเสียงในอำเภออู๋เมืองซูโจวแถบนี้.


คลองส่งน้ำคึกคัก หลายโรงเตี๊ยมใหญ่ ยังมีร้านน้ำชา ล้วนเป็นกิจการของห้าเสือตระกูลเจ้า ล้วนอยู่ใต้ชื่อของห้าเสือตระกูลเจ้า ตอนนี้แต่ละแห่งมีข่าวลือว่าผู้แทนพระองค์จะมาที่นี่ แต่ร้านของห้าเสือกลับไม่คุยกันเรื่องนี้ ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ก็คือ วันนี้ห้าเสือมารวมตัวกัน เหตุใดยังเชิญพระมาด้วยสองรูป ห้าเสือไม่ได้กินเจเสียหน่อย


ในเรือนเดี่ยวของร้านอาหารห้าเสือ พี่ใหญ่ห้าเสือสีหน้ายิ้มแย้มเปิดประตูออก บนโต๊ะมีสุราอาหารจัดวางไว้พร้อม ยังมีสาวงามหน้าตาไม่เลวหลายนางยิ้มลุกขึ้นคำนับ


“ไต้ซือทั้งสองโปรดอภัย ที่นี่ไม่ได้เตรียมการอันใดนัก ไม่ทราบว่าไต้ซือทั้งสองไม่กินเนื้อสัตว์”


“อมิตาภพุทธ อาตมาไม่ฉันเจ ดื่มสุราได้นิดหน่อย”


พระรูปหนึ่งกล่าวขึ้น หากไม่ใช่ว่าสวมจีวรและหัวโล้น พระสองรูปนี้ไม่ได้ต่างอันใดกับพวกชายฉกรรจ์มีฝีมือ พอนั่งลงก็โอบกอดหญิงสาวอย่างไม่เกรงใจ  มือไม้ลูบคลำตามอำเภอใจยามร่ำสุรา ทำเอาหญิงสาวหัวเราะคิกคักไม่หยุด


“ไต้ซือผู่หยวนได้ยินข่าวพวกท่าน ก็ส่งเราพี่น้องมาที่นี่ ที่อยู่คนผู้นั้นสืบมาได้ความแล้วหรือยัง?”


พี่ใหญ่ตระกูลเจ้ายิ้มตอบกล่าวว่า


“ไต้ซือเจี้ยงหลง ที่พักคนผู้นั้นอยู่ที่ตรอกปลาแห้งนอกอำเภออู๋  หญิงหม้ายกับเด็กยังไม่โตดีเท่าไรใช้ชีวิตด้วยกัน เด็กนั่นมักไปขายถั่วห้ารสที่ริมน้ำ หญิงนั่นก็รับปะเสื้อผ้าให้คนข้างบ้าน หกปีก่อนเพิ่งย้ายมา สำเนียงพูดถิ่นไหนไม่รู้ แต่เด็กนั่นเคยไปสืบข่าวผู้แทนพระองค์ที่คลองส่งน้ำ หากว่าว่างไปก็เข้าใจได้ แต่ถามมากไป คนงานข้ารายงานว่า พอดีรู้ว่าทางท่านกำลังสืบข่าวเรื่องนี้จึงได้ส่งคนไปแจ้งข่าว”


พระหนึ่งในนั้นกำลังป้อนสุราให้หญิงในอ้อมกอด พอได้ยินเช่นนี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ผลักหญิงสาวออก ยืนขึ้นกล่าวว่า


“เราพี่น้องไปสะสางเรื่องราวก่อน กลับมาค่อยมาดื่มกับพี่เจ้าละกัน”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)