หมอดูยอดอัจฉริยะ 850-853
ตอนที่ 850 ผ่ามิติ(2)
ผละจากอ้อมอกของแม่ สิงห์ขนทองตัวเล็กยังไม่คุ้นเคย ส่งเสียงออกจากปาก ใช้กรงเล็บออกแรงผลักบ่าของเหลยหู่
“โอ๊ย กรงเล็บนี่คมจริงๆ!”
เจ้าตัวเล็กดึงเบาๆ เสื้อผ้าที่ทำมาจากหนังสัตว์ประหลาดของเหลยหู่ฉีกขาดออกจากกัน กรงเล็บแหลมคมของมันกรีดเป็นแผลลึกบนร่างของเขา เลือดสดๆ ไหลออกมาเปรอะเปื้อนร่างเหลยหู่
ปากร้องอย่างเจ็บปวด แต่เหลยหู่ไม่กล้าขยับแม้แต่นิดเดียว เมื่อวานเขาเห็นภาพเจ้าสิงห์ขนทองตัวเล็กนี้กลืนกินสมองเสือด้วยสายตาตัวเอง เลยเกิดความกลัวว่าเจ้าตัวเล็กจะหงุดหงิดอยากเปลี่ยนรสชาติ ลองกินสมองคนดูบ้าง
ดีว่าตอนนี้เหลยหู่อยู่ในระดับเซียนเทียนแล้ว เมื่อรวบรวมลมปราณ บาดแผลบนบ่าก็สมานเข้าหากันเอง ปราณวิเศษฟ้าดินหลั่งไหลเข้าไปภายในนั้น เพียงไม่นานก็เกิดรอยแผลเป็นสีดำขึ้นมาชั้นหนึ่ง
“อย่าดื้อน่า!”
เสียงคำรามเปล่งออกมาจากปากของสิงห์ขนทองตัวเมีย แต่ดวงตาของมันฉายแววเมตตาเปี่ยมล้น ที่พวกมันทุ่มหมดหน้าตักเพื่อหนีออกไปจากที่นี่ ในคราวนี้ หนึ่งก็เพราะใกล้ถึงอายุขัยของตนเองแล้ว หากยังไม่ฝ่าออกไปคงจะตายอย่างไม่ต้องสงสัย สองนั้นเป็นเพราะไม่อยากให้ลูกต้องเดินตามรอยตน สุดท้ายต้องถูกขังอยู่ภายในเกาะ
นับตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น สัตว์ประหลาดต่างโจมตีค่ายกลใหญ่อย่างไม่หยุดหย่อน ทั่วทั้งหาดทรายกลายเป็นทะเลแห่งสายฟ้า นอกจากแสงไฟแปลบปลาบ ก็ไม่เห็นภาพใดอื่นอีกเลย สัตว์ร้ายนับไม่ถ้วนบนชายหาด ล้วนถูกโจมตีด้วยสายฟ้าจนดำเกรียมราวกับถ่าน เต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนก่อนตายของเหล่าสัตว์ร้ายทุกตารางนิ้ว
สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็กเป็นกฎธรรมดาของโลก โลกของอสูรก็เป็นเช่นนั้น การล้มตายของสัตว์ร้ายระดับต่ำเหล่านั้น ไม่ได้อยู่ในสายตาของอสูรทั้งสาม ยังคงใช้เสียงคำรามและเสียงร้องของมังกรออกคำสั่งให้พวกมันเข้าโจมตีต่อไปไม่หยุด
ปราณวิเศษจำนวนมหาศาลบนเกาะถูกค่ายกลสูบออกมา เพื่อควบคุมสัตว์ประหลาดเอาไว้
ดังนั้นถึงแม้สัตว์ร้ายจำนวนมหาศาลจะลดลงไปไม่น้อย แต่ความรุนแรงของค่ายกลก็กลายเป็นอ่อนแอลงไปมากเช่นเดียวกัน เยี่ยเทียนสัมผัสได้ว่า ปราณวิเศษฟ้าดินรอบตัวที่เดิมทีเคยอุดมสมบูรณ์ กลับกลายเป็นเบาบางลงอย่างน่าประหลาด จนถึงระดับที่ปราณวิเศษภายนอกไม่ถูกร่างกายดูดซึมเป็นครั้งแรก
“โฮก!”
สิงห์ขนทองเปล่งเสียงขู่คำรามออกมาจากปากอีกครั้ง สัตว์ร้ายนับหมื่นก็พุ่งออกมาจากภายในป่าเขา ที่แตกต่างจากเหล่าสัตว์ประหลาดก่อนหน้านั้นคือ ร่างของกองกำลังชุดใหม่นี้แผ่ปราณวิเศษอันแข็งแกร่งยิ่งกว่าเคย ราวกับทุกตัวล้วนอยู่ในระดับเซียนเทียนช่วงปลาย ภายในกายของมันบางตัวยังมีพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่าเยี่ยเทียน
เมื่อต้องประจันหน้ากับเหล่าสัตว์ร้ายกลุ่มนี้ สายฟ้าที่อ่อนแอลงเมื่อครู่ก็กลับมาระเบิดลำแสงร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง แสงประกายไฟปกคลุมทั่วทั้งหาดทรายอีกหน ภายในอึงอลไปด้วยเสียงร้องโหยหวนของสัตว์ร้ายใกล้สิ้นใจ กลายเป็นภาพอันน่าอนาถในฉับพลัน
ครึ่งชั่วโมงกว่าหลังจากนั้น แสงประกายไฟก็ค่อยๆ สลายไป สัตว์ร้ายนับหมื่นล้วนสิ้นชีวิตภายใต้การโจมตีของสายฟ้า ไม่มีตัวไหนเลยที่โชคดีหลุดรอดมา แต่ที่สอดคล้องกัน คือการหมุนเวียนปราณวิเศษในค่ายกลเองก็ถูกลดกำลังลงไปมาก เยี่ยเทียนสัมผัสได้ว่า ปราณวิเศษฟ้าดินจากที่ไกลค่อยๆ หลั่งไหลมาทางนี้ เพื่อเพิ่มพลังให้กับค่ายกล
“จวนจะได้เวลาแล้ว พวกเราควรออกไปแล้วล่ะ!”
สิงห์ขนทองเงยหน้าขั้นมองสีของฟ้า ใบหน้ามีแววตัดสินใจอย่างแน่วแน่ พวกมันไม่มีเวลารอคอยให้ปราณวิเศษแปรปรวนขึ้นมาอีกหน จึงยอมตายภายใต้สายฟ้านี้ เพื่อที่จะฝ่าออกไปยังโลกภายนอกให้ได้
พออ้าปาก จินตันที่ส่องประกายสีทองคำสุกสกาวทั้งลูกก็ลอยออกมาต่อหน้าสิงห์ขนทอง ฉับพลันแรงกดดันหนักหน่วงก็แผ่กระจายไปทั่วทุกทิศ จนเหลยหู่ที่เผลอไร้การป้องกันตัว ถูกลมปราณอันน่าพรั่นพรึงปะทะจนขาอ่อน ทรุดลงคุกเข่ากับพื้น
ขนาดเยี่ยเทียนเองยังต้องถอยหลังไปหลายก้าว บนหน้าฉาบด้วยเหงื่อเยียบเย็น คราวนี้เขาอยู่ใกล้จินตันเหลือเกิน จึงสัมผัสถึงพลังอันน่าหวาดหวั่นชนิดทลายฟ้าทลายดินได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
“ข้าลืมไป ระดับของเจ้ายังไม่เพียงพอ จึงต้านทานแรงกดดันของจินตันไว้ไม่อยู่!”
หลังจากเห็นปฏิกิริยาของเยี่ยเทียนแล้ว ก็สูดหายใจเข้าปาก แล้วควันจาง ๆ ก็ลอยออกมาจากกลางจินตัน เกิดเป็นรูปร่างคลับคล้ายสิงห์ขนทองอยู่ในอากาศ ตรงเข้าไปในปากของสิงห์ขนทอง
“ข้าเก็บจิตดั้งเดิมใจกลางจินตันเอาไว้แล้ว เจ้ารับมันไปเถอะ”
หลังจากที่ควันกลุ่มนั้นหายไป แรงกดดันจากบรรยากาศรอบด้านก็สลายไปในพริบตา สิงห์ขนทองมองมาทางเยี่ยเทียน แล้วพูดว่า
“ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายเจ้า สามารถใช้พลังของจินตันได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งเอามันใส่เข้าไปในร่าง รอให้ถึงเวลา แล้วข้าจะบอกเจ้าเอง”
ท่ามกลางสัตว์ดึกดำบรรพ์ สิงห์ขนทองขึ้นชื่อด้านความแข็งแกร่งสง่างาม ยิ่งร่างกายแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ จิตดั้งเดิมที่
บรรจุอยู่ภายในจะเข้มข้นขึ้นเท่านั้น ดังนั้นพลังที่จินตันเม็ดนี้กักเก็บไว้ จึงเหนือชั้นกว่าอสูรทั่วไป เยี่ยเทียนจะสามารถรับไว้ได้ไหม ความจริงนั้นแม้แต่สิงห์ขนทองก็ยังไม่มั่นใจ
“ไปเถอะ!”
สามารถฝึกฝนจนถึงระดับต้าเยาช่วงปลาย จิตใจของสิงห์ขนทองและมังกรน้ำจึงละเอียดอ่อนและแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ในระดับเดียวกันหลายเท่า สิงห์ขนทองตัวเมียแม้กระทั่งหันมามองลูกตัวเองยังไม่ทำ อสูรทั้งสามนั้นย้ายร่างครั้งเดียว ก็บุกทะลุทะลวงเข้าไปในค่ายกล ไปปรากฎตัวอยู่บนผืนทรายแล้ว
พวกมันไม่เก็บงำลมปราณของตนเองอีก และไม่สกัดกั้นแรงกดดันอสูรที่แผ่ออกมาเลยแม้แต่น้อย เมฆครึ้มก่อตัวหนาทึบปรากฎขึ้นเหนือหัวของอสูรทั้งสาม พลังลมปราณอันมหาศาลที่พวกมันปลดปล่อยออกมา ดึงดูดให้หมู่เมฆมารวมตัวกัน
แต่ว่าฟ้าผ่าจาเมฆครึ้มประเภทนี้อ่อนแรงกว่าแรงพิโรธแห่งฟ้าที่แท้จริงหลายเท่า อสูรเกือบทุกตัวบนเกาะใบนี้ล้วนสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ ถึงพวกมันจะรอดจากสายฟ้าไปได้ วรยุทธ์ก็ไม่ก้าวหน้าเพิ่มไปมากกว่าเดิม เพียงแค่สิ้นเปลืองพลังงานเท่านั้น
“เปรี้ยง!”
สายฟ้าที่เพิ่งหยุดลงไปไม่นาน ปรากฎโดยไร้สัญญาณเตือนขึ้นอีกครั้ง ประกายไฟสีขาวพลันลุกไหม้กลืนกินอสูรทั้งสามเข้าไป
“อ๊าก!”
เสียงคำรามของสิงห์ขนทองกับเสียงร้องของมังกรน้ำดังขึ้นพร้อมกัน มังกรน้ำตัวนั้นพลังเพิ่มขึ้นเมื่อเจอลม ขยายร่างตนเองยาวออกมาเป็นพันเมตร สะบัดหางใหญ่ยักษ์ครั้งหนึ่ง ก็โจมตีกระแสไฟทั่วท้องฟ้ากระจัดกระจายไปกว่าครึ่ง จำนวนที่เหลือถูกเกล็ดกำบังกายของมันสกัดไว้จนหมดสิ้น ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว
ค่ายกลนี้ไม่รู้ว่าจะคงอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ มันดูเหมือนกับมีสติปัญญา เมื่อรับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเหล่าอสูรไม่ธรรมดา สีของสายฟ้าจึงเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เมฆพายุที่ควบแน่นอยู่เหนือหัวมัน กลับกลายเป็นกลุ่มเมฆสีแดงกลุ่มหนึ่ง ภายในเปล่งสายฟ้าสีแดงฉาน สามารถกระหน่ำลงมาด้านล่างได้ตลอดเวลา
“วิชาเทียมฟ้าดิน!”
สิงห์ขนทองส่งเสียงคำรามออกมาจากปาก ด้านหลังหัวของมัน ปรากฎเงาหนึ่งโผล่พุ่งขึ้น แล้วร่างก็ขยายใหญ่จนเกือบถึงพันเมตร เขี้ยวขนาดมหึมา สองหมัดทุบหน้าอก โตกว่าร่างเดิมของมันเป็นพันเท่า
วิชาเทียมฟ้าดินของสิงห์ขนทอง ทำให้สามารถแตะถึงหมู่เมฆและสายฟ้าสีแดงที่เกิดขึ้น สิงห์ขนทองยื่นกรงเล็บทั้งสองออกไป แหวกกลางกลุ่มเมฆแล้วออกแรงฉีก ประกายไฟฟ้าภายในหมู่เมฆยังไม่ทันจะผ่าลงมา ก็ถูกวิชาของสิงห์ขนทองสลายไปจนสิ้นหมด
หลังจากกรงเล็บคู่นั้นของสิงห์ขนทองผ่าเมฆออกแล้วก็ไม่ได้ชักขากลับ แต่โจมตียังไปที่เขตแดนชั้นบนโดยตรงอีก เสียง “ครืน” ดังกึกก้อง ม่านคลื่นไร้รูปร่างเคลื่อนที่ในอากาศแยกออกจากกัน เกาะทั้งเกาะสั่นสะเทือนไปทั่ว
“ให้ตายสิ สัตว์ประหลาดป่าเถื่อนพวกนี้สืบทอดพรสวรรค์ต่อๆ กันมาหมด ถึงขนาดแสดงพลังวิเศษได้ ร้ายกาจจริงๆ!”
เยี่ยเทียนที่อยู่ห่างพวกอสูรสิงห์ขนทองออกมาพันเมตร มองแล้วยังตื่นตาตื่นใจ เขารู้มาจากในบันทึกของจางซันเฟิง ว่ามีเพียงหลังจากบรรลุมรรคผลจินตันเท่านั้น วรยุทธ์จึงจะสามารถสั่นสะเทือนจิตดั้งเดิมแห่งฟ้าดินได้อย่างแท้จริง การใช้พลังวิเศษ ก่อนหน้านั้นจึงเป็นเพียงเคล็ดวิชาเล็กน้อยเท่านั้น
“หืม? ทำไมถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยล่ะ?”
หลังจากโจมตีกลุ่มเมฆแตกออก เยี่ยเทียนพบว่า ท้องฟ้าก็สงบลง แต่ที่สีหน้าเยี่ยเทียนเปลี่ยนไป เพราะบังเกิดกลุ่มเมฆที่น่าหวาดหวั่นยิ่งขึ้นอีกปรากฎบนหาดทราย กลุ่มสายฟ้านี้กลายเป็นสีม่วงเข้ม ย้อมทาท้องฟ้าโดยรอบจนกลายเป็นสีม่วงไปทั่ว
เมฆกลุ่มนี้ดูดซับจิตดั้งเดิมของฟ้าดินทุกแหล่งเข้าไป ราวกับหลุมดำไร้ก้นบึ้ง ป่าเขาเขียวชอุ่มด้านหลังเยี่ยเทียนกลับกลายเป็นเหี่ยวแห้งไปในทันที ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่มเมฆยังดูดซับพลังงานส่วนหนึ่งจากในเขตแดนนอกค่ายกลมาด้วย
อสูรทั้งสามบนหาดทรายมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาเช่นกัน พวกมันไม่ได้เพิ่งเคยเห็นอัสนีสวรรค์สีนี้ที่สังหารเหล่าอสูรระดับเดียวกันเป็นครั้งแรก หากไม่ใช่เพราะใกล้วาระสุดท้าย พวกมันคงไม่คิดยั่วยุสายฟ้าอันน่าพรั่นพรึงระดับนี้ออกมา
เพื่อต้านทานลมปราณและแรงกดดันมหาศาลอันน่าสะพรึงกลัวเหนือหัว สิงห์ทองคำผัวเมียและมังกรน้ำล้วนปลดปล่อยพลังทั้งหมดของตนเองออกมา ร่างยาวกว่าพันเมตรของมังกรขยายใหญ่ขึ้นอีกเท่าตัว มองไปยังกลุ่มเมฆพายุราวกับเป็นเทพปีศาจ
“เปรี้ยง!” ลำแสงสายฟ้าขนาดเท่าลำแขน สามเส้นแทรกลงมาจากหมู่เมฆ ซึ่งเห็นได้ไม่ชัดนักเมื่อเทียบกับสายฟ้าก่อนหน้า แต่ว่าเมื่อสายฟ้านี้สัมผัสกับวิชาเทียมฟ้าของสิงห์ทองคำแล้ว ก็ผ่าไปที่ร่างของสิงห์ขนทองทั้งสองตัว
มังกรน้ำด้านข้างห่างไปไม่ไกลเองก็ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมาเช่นกัน สายฟ้าสีม่วงเข้มทะลุทะลวงร่าง แทบจะระเบิดร่างหนาหลายสิบเมตรของมันแตกจากกัน เกล็ดขนาดเท่าชามอ่างร่วงหล่นลงพื้น เลือดมังกรสีทองคำจางไหลพุ่งออกจากร่างกายของมังกรน้ำราวกับน้ำพุ
หลังจากสายฟ้าทั้งสามกระหน่ำลงมาแล้ว สีของเมฆก็จางลงไปหลายส่วน หลังจากรับการโจมตีจากเหล่าสัตว์ร้ายนับล้าน เมื่อต้องรับมือกับอสูรสามตนนี้พร้อมกันอีก พลังการทำงานของค่ายกลดูเหมือนจะมาถึงขีดจำกัดเช่นกัน
การดูดซับปราณวิเศษจากเกาะดูเหมือนจะไม่เพียงพอในการเติมเต็มสำหรับการโจมตีด้วยอัสนีสีม่วงอีกแล้ว ในขอบเขตของสายฟ้าเบื้องบน ยังมีพลังงานมากมายไหลหลั่งเข้าสู่ใจกลาง ชั้นเมฆสีม่วงเข้มเองก็พลันเข้มขึ้นหลายส่วน แล้วสายฟ้าขนาดใหญ่อีกสามเส้น ก็ผ่าลงมายังเหล่าอสูรสิงห์ขนทองทั้งสาม
อัสนีสีม่วงดูจะมีความสามารถในการควบคุม ไม่ว่าสิงห์ขนทองและมังกรน้ำจะหลีกหนีอย่างไร ล้วนหลบไม่พ้นเขตแดนที่สายฟ้าสัมผัสถูกตัว สายฟ้าที่ฟาดลงมาทำให้อสูรทั้งสามทุกข์ทรมานยิ่งขึ้น
วิชาขยายร่างของสิงห์ขนทองถูกกระหน่ำจนสูญสิ้น อีกทั้งหางของมังกรน้ำก็ถูกเฉือนออกไปเกือบร้อยเมตร เสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดของมังกรดังไปทั่วทั้งเกาะ
ตอนที่ 851 ผ่ามิติ(3)
สายฟ้าฟาดครั้งนี้เหมือนจะพุ่งตรงลงไปยังกลางแก่นวิญญาณของอสูรทั้งสาม หลังจากแสงหายไปแล้ว สิงห์ขนทองและมังกรน้ำตัวนั้นนอกจากจะได้รับบาดเจ็บทางกาย จิตวิญญาณเองก็อ่อนแรงไปไม่แพ้กัน
เห็นสภาพน่าเวทนาของอสูรทั้งสามแล้ว เยี่ยเทียนก็รั้งตัวเองไว้ไม่อยู่ ส่งเสียงออกไป
“ผู้อาวุโส ให้ผมผ่ามิติเสียตอนนี้เลยไหม?”
“ยังไม่ต้อง เมฆสายฟ้านี่ยังดูดซับปราณวิเศษภายในเกาะได้ไม่มากพอ ตอนนี้เจ้ายังผ่ามันแยกออกไปไม่ได้หรอก!”
มังกรน้ำตนนั้นส่ายหัวใหญ่ยักษ์ของมัน ดวงตามีแววบ้าคลั่ง ชูเขามังกรข้างหนึ่งขึ้นสูง คำรามด้วยเสียงอันดังออกมา
“ผ่าข้าเลยสิ!”
ตามหลังเสียงมังกรน้ำ ไข่มุกสีทองคำเปล่งประกายสุกปลั่ง ขนาดเท่ากำปั้นเม็ดหนึ่งก็ถูกคายออกมาจากปากของมัน ลอยขึ้นตรงไปสู่เมฆพายุบนท้องฟ้า
ขณะที่ไข่มุกมังกรเข้าไปยังใจกลางเมฆกลุ่มนั้น ก็กำเนิดเสียงดัง “ครืน!” กึกก้องมาจากบนท้องฟ้า
เกิดคลื่นอากาศไร้รูปที่คมกริบแหวกจากตรงกลาง ผ่าหน้าผาหินที่มีตัวอักษร “เผิงไหล” สองตัวแยกออกจากกัน
ในเวลาที่ทั้งสองต่างโจมตีเมฆอยู่นั้น เยี่ยเทียนก็บอกเหลยหู่แล้วก็หายตัวไปจากตรงนั้น เมื่อปรากฎตัวอีกครั้ง
ก็อยู่ห่างไปหลายพันเมตร มองไปยังภูเขาที่ราบเรียบแล้ว สีหน้าของเยี่ยเทียนก็ตกตะลึงจนไม่อาจสงบใจไปในเนิ่นนาน
ตอนแรกที่อ่านเรื่องที่จางซันเฟิงต่อสู้กับอสูรตนหนึ่งในบันทึกของเขา เรื่องที่ทลายต้นหม่อนโบราณไปต้นหนึ่งนั้น เยี่ยเทียนยังไม่นึกเชื่อ แต่เวลานี้ได้เห็นฝีมือของมังกรน้ำ เขาจึงเชื่อคำพูดของจางซันเฟิง ยอดฝีมือที่เข้าถึงระดับจินตัน ไม่สามารถใช้ตรรกะทั่วไปมาตัดสินได้จริงๆ
แต่ว่าราคาที่มังกรน้ำจ่ายไปนั้นสูงลิ่ว หลังจากอัสนีสวรรค์และกลุ่มเมฆสลายไปแล้ว เยี่ยเทียนจึงพบว่า มังกรน้ำที่ลำตัวยาวถึงพันเมตรได้แปรเปลี่ยนเหลือขนาดเพียงสิบกว่าเมตรเท่านั้น และเน่ยตันที่ล่องลอยอยู่หน้าร่างของมัน ก็ไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆ อีกทั้งบนผิวของจินตันเองก็มีรอยแตกเบาบาง
“ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้ไปได้หรือยังครับ?”
เสียงที่ห่อหุ้มด้วยพลังจิตของเยี่ยเทียนลอยเข้าไปในกลางค่ายกล
ว่ากันตามตรง ได้เห็นภาพอสูรรบรากับสวรรค์แล้ว เยี่ยเทียนเองก็รู้สึกเลือดพุ่งพล่าน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือว่าสัตว์ประหลาด หลังจากเกิดมาล้วนอยู่ท่ามกลางกงล้อลิขิตแห่งสวรรค์ เรื่องที่พวกเขากำลังทำเวลานี้ ก็คือต่อต้านสวรรค์
“ไม่ได้ นี่แค่อัสนีสวรรค์สองเส้น เขตแดนยังไม่เปิดออก!”
อาการบาดเจ็บที่สิงห์ขนทองได้รับนั้นมากกว่ามังกรน้ำหลายเท่า แต่สภาพจิตกลับอ่อนแรงเพียงเล็กน้อย
สิงห์ขนทองตัวผู้เงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าที่ยังคงไม่สงบนิ่ง ยื่นกรงเล็บขวาออกไป ถุงหนังขนาดเท่าคนที่วางอยู่ตรงหน้าเหลยหู่พลันฉีกเปิดออก พลอยวิเศษธาตุไม้แต่ละชิ้นต่างเหาะเหินไปทางพวกมัน
“พลอยวิเศษตั้งมากขนาดนี้ สมกับเป็นพวกเจ้าถิ่น”
อาจเป็นเพราะถุงหนังทำจากผิวสัตว์ร้ายนั่นมีคุณสมบัติป้องกันปราณวิเศษ พอถุงหนังแตกออกพลอยวิเศษร่วงหล่นลงพื้นแล้วนั่นล่ะ เยี่ยเทียนกับเหลยหู่จึงรู้ว่าด้านในใส่อะไรเอาไว้
พลอยวิเศษธาตุไม้ไม่เพียงแต่มีความสามารถฟื้นฟูรักษาอาการบาดเจ็บแก่มนุษย์ สำหรับสัตว์ประหลาดและอสูรก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น สิงห์ขนทองตะปบมือครั้งนี้ พลอยวิเศษธาตุไม้หลายร้อยชิ้นจากในถุงล้วนล่องลอยออกไป แต่ที่ทำให้เยี่ยเทียนตาวาวแทบจะยื่นมือออกไปคว้าไว้ก็คือ ภายในนั้นกลับมีหัวใจต้นไม้อยู่ด้วย
หัวใจต้นไม้นี้มีขนาดใหญ่กว่าที่จางซันเฟิงทิ้งเอาไว้หลายเท่า ตอนที่มันปรากฎออกมา รอบด้านล้วนเต็มไปด้วยปราณวิเศษธาตุไม้เข้มข้น แต่ยังไม่ทันที่เยี่ยเทียนจะคว้าไว้ หัวใจต้นไม้นั้นก็ลอยเข้าไปในค่ายกลพร้อมกับพลอยวิเศษ
“อือๆ!”
สิงห์ขนทองน้อยที่เกาะอยู่บนบ่าเหลยหู่ ทำจมูกฟุดฟิด แล้วกระโดดลงจากบ่าเหลยหู่ คว้าพลอยวิเศษธาตุทองเอาไว้หนึ่งก้อน แล้วเคี้ยวเข้าไปดัง “กร้วมๆ” ใบหน้ามีอารมณ์ยินดีมาก
แม้ตัวจะเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ แต่ก็เพิ่งเกิดออกมาไม่นาน สติปัญญาของสิงห์ขนทองน้อยจึงยังไม่ทำงาน ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจเรื่องการต่อต้านสวรรค์ของพ่อแม่เลยแม้แต่น้อย ค้นหาพลอยวิเศษที่เต็มไปด้วยปราณวิเศษกินอย่างเต็มที่
แตกต่างจากสิงห์ขนทองน้อยผู้สบายอกสบายใจ พ่อแม่ของมันกับมังกรน้ำตัวนั้น กลับฉวยโอกาสที่เมฆสวรรค์ยังไม่ปรากฎบนฟากฟ้า ดูดซับปราณวิเศษธาตุไม้เพื่อฟื้นฟูบาดแผลภายในร่างกายอย่างเอาเป็นเอาตาย พื้นที่โดยรอบที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยพลอยวิเศษจำนวนหลายร้อยเม็ดและหัวใจต้นไม้อีกจึงมีปราณวิเศษธาตุไม้เข้มข้นมาก
แต่ว่าสำหรับอสูรทั้งสาม ปราณวิเศษเหล่านี้กลับเป็นเพียงหยดน้ำก้นแก้ว ระหว่างที่ดูดซึมเข้าไป ปราณวิเศษที่หลั่งไหลเข้าสู่ภานในร่างกายของพวกมัน ทำให้เยี่ยเทียนอดมองตาเป็นมันไม่ได้ พลอยวิเศษจำนวนมากขนาดนี้ เพียงพอจะทำให้เขาฝึกวิชาเจี่ยตันได้อย่างเต็มที่ และสามารถต้อนรับอัสนีสวรรค์จินตันได้
“เจ้าหนุ่ม ตอนที่อัสนีสวรรค์ฟาดลงมา เจ้าสามารถเอาจินตันของข้าใส่เข้าไปในร่างกายได้เลย จำไว้นะ เจ้ามีโอกาสมากที่สุดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!”
น้ำเสียงอ่อนแรงของสิงห์ขนทองลอยออกมาจากค่ายกล มันมอบไข่มุกในร่างให้แก่เยี่ยเทียน จึงทำให้สูญเสียอาวุธโจมตีอันแข็งแกร่งที่สุด ใช้ร่างเนื้ออันแข็งแกร่งต้านทานอัสนีสวรรค์ไว้ ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะสามารถต้านทานสายฟ้าที่ฟาดลงมาได้ไหม
“เข้าใจแล้วครับ ผู้อาวุโสทุกท่านโปรดวางใจ ผมจะต้องทำสำเร็จให้จงได้!”
แม้ว่ามนุษย์และอสูรจะต่างกัน แต่ต่างก็ปรารถนาจะหลีกหนีจากที่คุมขังและต่อต้านในชะตาชีวิตเช่นเดียวกัน การกระทำที่หวังสู้จนตัวตายของอสูรทั้งสามปลุกเลือดในตัวเยี่ยเทียนให้เดือดพล่าน เขาเองก็รู้ว่า การที่จะสามารถรอดพ้นไปจากกรงขังแห่งฟ้าดินในที่แห่งนี้ไปได้หรือไม่นั้น ล้วนขึ้นอยู่ที่ตนเองแล้ว
“แย่ล่ะ เมฆสวรรค์ปรากฎขึ้นอีกแล้ว!”
ทันทีที่เสียงของเยี่ยเทียนเงียบลง เหนือหัวสิงห์ขนทองและมังกรน้ำ ก็มีเมฆทึบหนาก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เมฆสวรรค์หนนี้ดูแล้วมืดดำสนิท ภายในไร้ซึ่งแสงไฟใดๆ แต่แรงกดดันชนิดฟ้าถล่มดินทลาย กลับแผ่กระจายออกมาจากกลางกลุ่มเมฆ
เวลานี้เอง เยี่ยเทียนที่ยืนห่างออกไป สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ปราณวิเศษบนเกาะแห่งนี้เบาบางลงหลายส่วน ท้องฟ้าเหนือหัวดูราวจะยิ่งเปล่งแสงสว่างขึ้น เขาไม่รู้ว่านี่เกิดจากเขตแดนเบาบางลงหรือเปล่า
“จะให้อัสนีสวรรค์ก่อตัวกันไม่ได้ ในอดีตวานรเทพตนนั้นก็สูญเสียครึ่งชีวิตไปกับสายฟ้านี้!”
มองไปยังหมู่เมฆสีดำบนท้องฟ้า แล้วดวงตาของมังกรน้ำก็เผยแววสับสนขึ้นมา ถึงแม้ระดับจะพอกัน บนเกาะนี้มันเองก็เป็นจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารเช่นกัน แต่มังกรน้ำก็รู้ดีว่า ด้วยวรยุทธ์ของตนนั้น ยังห่างไกลไม่อาจเทียบได้กับผู้ฝึกวิชาระดับสวรรค์ลี้ลับอย่างวานรเทพ
“ข้าเอง!”
สิงห์ขนทองที่ไม่ได้บาดเจ็บจากการโจมตีเมื่อสัก ครู่มากนักยืนขึ้น ด้านหลังปรากฎเงาสิงห์ทองคำขนาดมหึมาออกมา ในขณะเดียวกันก็อ้าปากกว้าง ไข่มุกซึ่งส่งประกายร้อนแรงปรากฎขึ้นเหนือตัวมัน
“โฮก!” ร่างเทียมส่งเสียงคำรามสะเทือนเลื่อนลั่น สองกรงเล็บแยกเมฆสวรรค์แตกออกจากกัน จินตันนั่นเองก็กลายเป็นแสงสว่างสีทองคำ พุ่งโจมตีเมฆสวรรค์อย่างรุนแรง เห็นได้ชัดว่ามันคิดใช้โอกาสที่เมฆยังไม่ก่อตัวกระจายมันออก
“ลงมือพร้อมกันเถอะ!”
สิงห์ขนทองตัวผู้ ส่งเสียงคำรามออกมาจากปาก ร่างกายพลันขยายขึ้นหลายสิบเมตร ยืนขึ้นด้วยสองขา ขณะที่ก่อกวนท้องฟ้า ก็ถลาไปทางเมฆสวรรค์เพื่อใช้ร่างของตนเองต้านทานเอาไว้
เห็นสหายทั้งสองที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายพันปียอมเสี่ยงชีวิต เสียงมังกรก็ดังสนั่นสะท้านฟ้าดิน ร่างของเจ้ามังกรน้ำยืดตัวยืนขึ้น ใช้เขาบนหัวตนเอง พุ่งทะลวงเมฆสวรรค์สีดำทมิฬ อสูรทั้งสามล้วนรู้ว่า ถ้าหากเมฆก่อตัวกันสำเร็จ เกรงว่าพวกมันคงต้องตายภายใต้อัสนีสวรรค์ครั้งนี้
อสูรทั้งสามลงมือพร้อมกัน พลังของมันต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับหยวนอิง น่ากลัวว่ายังต้องถอยให้ถึงสามส่วน เมฆสวรรค์บนท้องฟ้าเองก็ดูเหมือนได้รับแรงกดดันที่แตกต่าง พลันบังเกิดแรงดึงดูดมหาศาล แนวพรมแดนเหนือเมฆสวรรค์กลับกลายเป็นเบาบางลงในทันใด พลังชีวิตฟ้าดินจำนวนมหาศาล ไหลสู่เมฆสวรรค์อย่างเชี่ยวกราก
“ตอนนี้แหละ!” เยี่ยเทียนที่อยู่ด้านนอกค่ายกล สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้าอย่างชัดเจน จึงกลืนจินตันของสิงห์ขนทองลงไปในร่าง
“ร้อน ทำไมถึงร้อนขนาดนี้?”
พอไช่มุกเม็ดนั้นเข้าสู่ร่างกาย เยี่ยเทียนก็สัมผัสได้ถึงความร้อนมหาศาล ราวกับตัวเองถูกมัดไว้บนกองฟืนที่ลุกไหม้ เมื่อก้มลงมองสองมือตัวเอง ก็กลายเป็นสีแดงไปทั่ว ไอระอุแผ่ออกมาจากใจกลางฝ่ามือเช่นกัน
“ไปเลย!”
ไม่ทันรอให้สามอสูรโจมตีถูกเมฆสวรรค์นั่น ร่างของเยี่ยเทียนก็ทะยานขึ้นไปบนฟ้า เหาะไปทางกลุ่มเมฆ เนื่องจากตรงนั้นเป็นจุดที่มีปราณวิเศษเบาบางที่สุดในเขตแดนทั้งเกาะ และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ เยี่ยเทียนพบว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมพลังงานอันน่าหวาดหวั่นราวกับจะระเบิดออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ในจุดตันเถียน
“ให้ตายสิ เมฆยังไม่รวมตัวกันไม่ใช่เรอะ?”
แต่ว่าในเวลาเดียวกันกับที่ร่างของเยี่ยเทียนเหินไป เขาก็พลันพบว่า ใจกลางกลุ่มเมตดำทมิฬนั่น บังเกิดสายฟ้าเล็กละเอียดหลายเส้นพุ่งออกมา ภาพนั้นทำให้เยี่ยเทียนตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ด้วยวิทยายุทธ์ของเขา ต่อให้เป็นอัสนีสวรรค์ที่อ่อนแรงกว่านี้ ก็ยังไม่อาจรับได้
ความเร็วของประกายไฟ ไม่ใช่ระดับที่กำลังของมนุษย์จะเทียบเทียมได้ ขณะที่เยี่ยเทียนเกิดความคิดขึ้นมาในใจนั้นเอง สายฟ้าเล็กละเอียดหลายเส้นก็ฟาดลงมาจากเมฆทะมึนสู่ร่างอสูรทั้งสาม แต่กลับละเว้นเยี่ยเทียนเพียงคนเดียว เฉียดร่างของเขาไปโจมตีร่างขยายของสิงห์ขนทอง
“อ๊าก!”
หลังจากสายฟ้าโจมตีลงไปยังร่างเทียมของสิงขนทอง เสียงร้องโหยหวนก็ดังเข้าสู่หูของเยี่ยเทียน เขาตกตะลึงก่อนพบว่า จุดที่สายฟ้าแล่นผ่าน ผ่าแยกร่างเทียมออก และสายฟ้าเส้นเล็กสีดำก็โจมตีลงตรงกลางกระหม่อมสิงห์ขนทองตัวเมียพอดิบพอดี
“เร็วเข้า ผ่ามิตินั่นออก!”
สิงห์ขนทองตัวผู้ส่งเสียงคำรามดังกึกก้องทั่วเกาะ สองกรงเล็บพุ่งโจมตีตะปบสายฟ้าสีดำที่โจมตีตนเอง แต่ตอนที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน สองแขนของมันราวกับเกล็ดหิมะเจอกับดวงตะวัน ละลายสลายไปโดยปราศจากเสียงเตือน
เช่นเดียวกับสิงห์ขนทองตัวนั้น มังกรน้ำผู้มีพลังอำนาจอันพรั่นพรึง ใช้เขาเดียวของตนเองรับสายฟ้านั่น เสียงร้องมังกรเปล่งออกมาได้ครู่หนึ่งก็พลันเงียบหาย ร่างมหึมาหยุดอยู่กลางอากาศแล้วร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างหนักหน่วง
เยี่ยเทียนที่เวลานี้อยู่บนท้องฟ้าไม่มีเวลาสังเกตสถานการณ์รอบด้าน เมื่อมาถึงกลุ่มเมฆสวรรค์บนนั้น เขากลับพบว่าภายในร่างกายระเบิดพลังที่แข็งแกร่งออกมา จนร่างทั้งร่างขยายใหญ่ขึ้น
“อ๊าก จงเปิดออก!”
“ขณะสองมือที่ยื่นไปข้างหน้าของเยี่ยเทียนสัมผัสถูกพลังงานไร้รูป เวลานั้นพลังงานทั้งหมดที่มีอยู่ในกายก็ระเบิดออกมา จึงออกแรงทั้งจากทั้งสองด้าน!
ตอนที่ 852 สละชีพบูชารัก
“จง! เปิด! ออก!!”
เสียงคำรามของเยี่ยเทียนดังกึกก้องทั่วทั้งฟ้า พลังของจินตันระเบิดออกมาจากภายในร่างกายของเขาจนหมดสิ้น เสื้อผ้าที่ทำมาจากหนังสัตว์ถูกพลังงานที่แผ่ออกมาจากร่างฉีกขาดเป็นชิ้นๆ เยี่ยเทียนที่ยืนตระหง่านอยู่ในอากาศ ราวกับดวงตะวันบนฟากฟ้า แผ่ลำแสงสว่างจ้าจนดวงตาพร่าเลือน
เวลานี้เยี่ยเทียนสัมผัสถึงกำลังอันมหาศาลที่ไม่เคยมีมาก่อน ขนาดที่หากต้องเผชิญหน้ากับอสูรทั้งสาม เขาก็กล้าต่อสู้ หลังจากเสียงคำรามของเยี่ยเทียน พลังงานอันน่าสะพรึงกลัวเข้มข้นบนฝ่ามือทั้งสองข้างของเยี่ยเทียน ก็ออกแรงฉีกแนวเขตแดนทั้งสองฝั่งออกจากกัน
“คว่าก…”
เสียงที่ราวกับผิวหนังฉีกขาดดังเข้ามาสู่หูของเยี่ยเทียน เมื่อเงยหน้าขึ้น เยี่ยเทียนยังอดมองอย่างยินดีไม่ได้ เพราะตำแหน่งที่อยู่บนหัวของเขา มีลมปราณที่มีสภาพอากาศที่เจือปนไปด้วยมลพิษจากอุตสาหกรรมเท่านั้นจึงจะมีได้
ซึ่งเขาไม่ได้พบเจอมาเนิ่นนานโชยมา
เยี่ยเทียนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตนเองจะโหยหาสภาพอากาศแบบนี้มากมาย แต่ว่าไม่ทันที่เยี่ยเทียนจะเอ่ยปากออกมา รอยยิ้มที่เต็มบนใบหน้าของเขาก็หายไป
“กะ…เกิดอะไรขึ้น?”
บนตำแหน่งเขตแดนเหนือหัวของเยี่ยเทียน ช่องว่างที่ถูกเขาฉีกออกมีความกว้างเพียงยี่สิบเซนติเมตรเท่านั้น ไม่ว่าเยี่ยเทียนจะออกแรงเท่าไหร่ รูโหว่นั้นก็ไม่ขยายกว้างขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนกับหนังวัวแข็งทึบที่ถูกดึงจนสุด แล้วค่อย ๆ หดตัวเข้าหากันอย่างช้าๆ
“ไม่ได้นะ ฉันจะออกไป! ฉันจะต้องออกไปให้ได้!”
เยี่ยเทียนรู้ว่า ถ้าหากเขายอมแพ้ตอนนี้ เขาและเหลยหู่ก็จะถูกกักขังอยู่ในเกาะที่ราวกับคุกนี่ไปตลอดชีวิต ไม่มีโอกาสได้ไปพบพ่อแม่หรือคนรักอีก เมื่อคิดถึงสายตาอันเศร้าสร้อยที่นึกว่าตนเองตายไปแล้ว ดวงตาสองข้างของเยี่ยเทียนก็กลับกลายแดงก่ำขึ้นมา
“พลัง ฉันต้องการพลัง!”
เยี่ยเทียนคำรามออกมาจากปาก จินตันเม็ดที่อยู่ในจุดตันเถียนก็เริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว เขาลืมคำสั่งของสิงห์ขนทองไปเสียสนิท ดูดซับพลังจากจินตันนั้นจนแทบบ้าคลั่ง
“เปรี้ยง!”
ภายในร่างกายของเยี่ยเทียน ราวกับมีถังน้ำมันถูกจุดชนวน กำลังจากวรยุทธ์หลายพันปีของสิงห์ขนทองที่ถูกกักเก็บไว้ภายในจินตันระเบิดออกมาโดยปราศจากการสกัดกั้น
พลังปราณชีวิตอันแข็งแกร่งเต็มเปี่ยมอยู่ภายในทุกเซลล์ร่างกายของเขา ร่างกายไม่สามารถรองรับกำลังอันมหาศาลเช่นนี้ได้ ทั่วทุกรูขุมขนทั่วร่างจึงมีเลือดผุดออกมา ร่างที่ลอยอยู่กลางอากาศราวกับเป็นมนุษย์โลหิต เลือดในกายกว่าครึ่งในร่างกายเขา ล้วนถูกพลังชีวิตของจินตันผลักดันออกมานอกร่างกาย
แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนไม่นึกสนใจเรื่องพวกนี้อีกแล้ว ต่อให้เขาต้องตาย ก็ต้องตายในมิติของตนเอง เขาไม่สนว่าพลังชีวิตในจินตันจะสร้างบาดแผลให้ตนเองอย่างไรบ้าง จึงบีบเค้นให้พลังปราณชีวิตซึ่งพลุ่งพล่านไปทั่วทุกหนแห่งในร่างผลักดันไปยังฝ่ามือทั้งสอง
ภายใต้การชี้นำด้วยพลังจิตอย่างดุดัน พลังปราณชีวิตซึ่งไม่ได้เป็นของเยี่ยเทียน ปะทุจนผิวหนังทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนแตกออก ทำให้มองเห็นกระดูกแขนที่มีสีเหลืองทองจางลอยอยู่กลางอากาศ
“จงเปิดออก!!”
พลังชีวิตภายในจินตันไม่เพียงโจมตีร่างเนื้อของเขา แต่สติสัมปชัญญะของเยี่ยเทียนก็ไม่กระจ่างชัดอีกต่อไป เวลานี้เยี่ยเทียนยึดถือความคิดเพียงอย่างเดียว นั่นคือแหกมิติออกแล้วหนีไปจากที่นี่ ต่อให้ออกไปแล้วก้าวสู่โลกแห่งความตายทันทีก็ไม่มีความเสียใจแม้แต่น้อย
ภายใต้พลังรุนแรงของจินตัน เยี่ยเทียนลงมืออีกครั้ง ด้วยวิทยายุทธ์เก้าส่วนจากช่วงเวลารุ่งโรจน์ของสิงห์ขนทอง เขตแดนที่ถูกเมฆสวรรค์แย่งชิงพลังชีวิตไปเป็นจำนวนมาก จึงไม่สามารถประคับประคองแนวพรมแดนในสภาพสมบูรณ์ได้อีกหลังจากมีเสียง “แคว่ก” แผ่วเบาดังขึ้น บนเหนือหัวของเยี่ยเทียนก็ปรากฎรอยแยกขนาดสองตารางเมตรขึ้นมา
“ทำได้แล้ว!”
อากาศขุ่นมัวที่ไหลเชี่ยวเข้ามาจากรอยแตกนั้น ทำให้สติสัมปชัญญะของเยี่ยเทียนชัดเจนมากขึ้น ใบหน้ามีแววปลื้มปีติออกมา ช่องว่างมิติขนาดสองเมตร มากพอจะทำให้พวกเขาหลบหนีออกไปจากที่นี่ได้แล้ว
ในเขตแดนที่ถูกปิดกั้นโดยค่ายกลนี้ เท่ากับเป็นมิติอันอิสระโดยสมบูรณ์ แต่หลังจากที่อากาศปนเปื้อนไหลเข้ามาแล้ว ก็บังเกิดลมพายุลูกใหญ่ คลื่นบนทะเลสั่นไหวระลอกมหึมา กระทั่งท้องฟ้ากระจ่างแจ้งยังแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม
“เร็วเข้า หนีไปจากที่นี่!”
เยี่ยเทียนที่พยายามประคองสติ ก้มหน้าลงร้องตะโกนไปทางพื้น เขารู้สึกว่าพละกำลังภายในร่างกายของตนค่อยๆ ลดถอยไปอย่างช้าๆ และรอยแยกนั่นก็ดูราวกับสามารถฟื้นฟูตนเองได้ จนสามารถเห็นความรวดเร็วในการสมานแผลด้วยตาเปล่า
“หืม เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
ขณะที่เยี่ยเทียนก้มลงมองไปยังพื้นดิน ก็ตกตะลึงไปทั้งเนื้อตัว นั่นเพราะเขาพบว่า อสูรทั้งสามตนใกล้หาดทรายนั่น ไม่มีใครเลยที่ตอบรับเสียงเรียกของเขา
แต่ที่ทำให้เยี่ยเทียนประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ มังกรน้ำตัวนั้นและสิงห์ขนทองตัวเมีย ไม่มีพลังชีวิตแผ่ออกมาจากร่างกายแม้แต่นิดเดียว เขาแหลมหนึ่งชิ้นที่อยู่บนหัวของมังกรน้ำก็หายไปไม่มีให้เห็น ตรงตำแหน่งของเขา มีรูกลวงลึกอยู่หนึ่งรู ด้านนอกไหลเลอะไปด้วยของเหลวสีแดงและขาว
สิงห์ขนทองตัวเมียยิ่งน่าเวทนาหนัก ขนทองคำงดงามทั่วตัวของมัน เวลานี้ถูกเผาไหม้จนเป็นสีดำทั้งหมด เช่นเดียวกับตรงกลางกระหม่อม มีรูโบ๋เล็กขนาดประมาณสิบเซนติเมตร เห็นได้ชัดว่าสายฟ้าดำทมิฬเส้นนั้น สลายพลังชีวิตของมันไปจนหมดสิ้น
มีเพียงบนร่างของสิงห์ขนทองตัวผู้ ที่เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงพลังชีวิต แต่สภาพของมันเองก็ย่ำแย่ สองขาด้านหน้าของมันหายไป และทรวงอกก็ถูกทะลวงจนเป็นรูใหญ่
อย่างไรก็ตามด้วยพลังชีวิตอันทรหดของสิงห์ขนทอง ตราบใดที่แก่นวิญญาณของมันยังไม่ถูกทำลาย บาดแผลเช่นนั้นก็ไม่กระทบชีวิตของมัน อีกทั้งเวลานี้มันเองก็สามารถหลุดพ้นจากค่ายกลได้แล้ว เมฆสวรรค์จึงไม่สามารถตามโจมตีมันได้อีกต่อไป
“เหลยหู่ ยืนเซ่อทำอะไรอยู่ รีบมาสิ!”
หลังจากเหลือบมองสถานการณ์ทางกลุ่มอสูรเหล่านั้นแล้ว สายตาของเยี่ยเทียนก็หันมาทางร่างของเหลยหู่ แต่ที่เขาหงุดหงิดก็คือ เหลยหู่ยังคงอุ้มสิงห์ขนทองน้อยล่องลอยอยู่บนฟ้า ไม่เหาะมาทางตนเอง
สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว ตอนนี้ได้ดึงเอาพลังกายทั้งหมดของตัวเองออกมา หากรั้งรออีกวินาทีเดียวความหวังในการมี
ชีวิตอยู่ต่อก็ยิ่งห่างไกลขึ้นอีกก้าว อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไป เขตแดนนั้นก็ยิ่งหดตัวลงเข้าทุกที หากเหลยหู่ยังไม่เหาะขึ้นมาอีก เยี่ยเทียนก็จะหนีออกไปเพียงลำพังแล้ว
“ท่านอาจารย์ ผม…ผมเหาะขึ้นไปไม่ได้ พลังที่ไหลเวียนอยู่ในอากาศรุนแรงเกินไป ผมประคองร่างไว้ไม่อยู่!”
เสียงหวาดหวั่นของเหลยหู่ดังมาสู่หูของเยี่ยเทียน ไม่ใช่ว่าเหลยหู่ไม่พยายาม แต่ด้วยวิทยายุทธ์ระดับเซียนเทียนขั้นต้นอย่างเขา หากเป็นเวลาทั่วไป หากเขาทุ่มเทออกแรงอย่างเต็มที่ ก็อาจจะเหาะเหินได้สูงถึงระดับเยี่ยเทียนตอนนี้
แต่ปัญหาก็คือ เวลานี้สภาพอากาศภายในเขตแดนสั่นคลอนอย่างหนัก อากาศจากภายนอกไหลเข้ามาปนเปื้อนปราณวิเศษภายในจนสับสน ปราณวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนจับกลุ่มกันในอากาศ จนกลายเป็นพายุหมุนไร้รูปร่างหลายต่อหลายลูก ดึงดันเหลยหู่จนอยู่ไม่นิ่ง
แม้แต่เยี่ยเทียนเองก็ไม่อาจทำอะไรได้ในสถานการณ์เช่นนี้ แขนที่เหวอะออกจนเห็นกระดูกทั้งสองข้าง ยังคงใช้พลังงานจากจินตันที่ระเบิดออกมาและต้านทานช่องว่างมิติอยู่ ถ้าหากเขาปล่อยมือ เกรงว่าเพียงไม่กี่วินาที เขตแดนนี้ก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม
“ท่านอาจารย์ ไม่ไหวหรอก ผมขึ้นไปไม่ได้ ท่านไปคนเดียวเถอะ!”
เหลยหู่ที่เพิ่งจะเหาะเหินมายังอากาศสามร้อยกว่าเมตร ก็ถูกปราณวิเศษพัดพาไปรอบหนึ่ง ร่างกายถอยไปอีกร้อยกว่าเมตร ใบหน้ามีแววสิ้นหวังออกมา ร้องตะโกนเสียงดังว่า
“ท่านอาจารย์ เมื่อออกไปได้แล้วบอกพ่อผมด้วย ว่าภายหลังลูกคงไม่อาจทดแทนคุณได้จนถึงวาระสุดท้าย!”
แม้ในอดีตเหลยหู่จะมีจิตใจคดโกง แต่ก็เป็นลูกกตัญญูคนหนึ่ง ในสถานการณ์นี้เขาเพียงคิดถึงพ่อผู้แก่ชราอายุมากกว่าแปดสิบปี ส่วนชื่อเสียงหรืออำนาจใดๆ กลับไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
“ไม่ไหว ฉันจะต้านทานไม่อยู่แล้ว!”
พลังงานภายในจินตันนั้น อย่างไรเสียก็เพียงถูกยืมมา หลังจากเยี่ยเทียนจ่ายราคาสูงลิบเพื่อยืมใช้กำลังอันหนักหน่วงจากภายใน พลังนั้นเองก็ค่อยๆ ลดหายไป เยี่ยเทียนรู้ว่าตนเองสามารถยืนหยัดได้นานที่สุดอีกแค่สามสิบวินาทีเท่านั้น
“ฉันจะส่งพวกเขาไปเอง!”
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังสะท้อนในห้วงอากาศ สิงห์ขนทองตัวผู้ที่ยังคงมีลมหายใจลุกนั่งบนพื้น ขณะที่สายตาของมันหวนไปทางศพของคู่ชีวิตและสหายสนิทที่อยู่ร่วมกันมาเป็นพันปีแล้ว แววตาก็ส่งประกายเด็ดเดี่ยวออกมา
“เจ้าหนุ่ม จะต้องดูแลลูกของข้าให้ดีล่ะ มันอาจจะเป็นสิงห์ขนทองตัวสุดท้ายในโลกนี้แล้วก็ได้!”
ตอนที่อสูรมองมาทางสิงห์ขนทองน้อยบนบ่าของเหลยหู่ที่อยู่บนฟ้า สายตาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เมื่ออ้าปาก พลังปราณชีวิตดั้งเดิมสีทองคำที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าแหวกผ่าอากาศ ห่อหุ้มเหลยหู่กับสิงห์ทองคำน้อยเอาไว้ แล้วลอยขึ้นไปยังท้องฟ้าสูงอย่างว่องไว
“ให้ตายสิ เร็วกว่าฉันอีกเรอะ?”
เยี่ยเทียนเพียงรู้สึกสายตาพร่าเลือน สายลมเบาพัดผ่านหน้าเขาไป แล้วร่างของเหลยหู่ก็หายตัวมาปรากฎในรอยแยก เวลานี้รอยแตกของมิติกว้างเพียงเจ็ดแปดสิบเซ็นติเมตรเท่านั้นแล้ว เยี่ยเทียนร้องตะโกนลงไปด้านล่างอย่างยากลำบาก
“ท่านผู้อาวุโส ท่านรีบขึ้นมาเถอะ ผมจะยันไว้ไม่อยู่แล้ว!”
“ไม่ เจ้าออกไปเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่!”
สิงห์ขนทองส่ายหน้า ปลดปล่อยลมปราณออกมาส่วนหนึ่ง ห่อหุ้มซากศพของคู่ชีวิตและสหายเอาไว้ ให้ล่องลอยต่อหน้าเขา
“ทำไมล่ะครับ? ด้วยวรยุทธ์ของท่าน เพียงไม่นานก็สามารถฟื้นฟูกำลังได้แล้ว!”
เยี่ยเทียนตะโกนออกไปอย่างสงสัย เขายังสามารถสัมผัสได้ว่า พลังชีวิตของสิงห์ขนทองยังไม่หมดสิ้น ขอเพียงมีปราณวิเศษอันอุดมสมบูรณ์ บาดแผลเหล่านั้นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับมัน แต่เมื่อเยี่ยเทียนเห็นสายตาสิงห์ขนทองที่เหมือนกับมนุษย์ไม่มีผิด ก็เข้าใจได้ในที่สุด
ภายในโลกใบนี้ ไม่เพียงมนุษย์เท่านั้นที่มีความรู้สึก สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นต่างก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน เมื่อคู่ชีวิตที่อยู่เคียงข้างกันมาพันปีสิ้นชีวิตลง สิงห์ขนทองก็ตัดสินใจจะสละชีพเพื่อบูชาความรัก มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่มันจะสามารถอยู่กับคู่ของมันได้จนวาระสุดท้าย
“ใครกันที่บอกว่าสัตว์ป่าไร้หัวใจ? ถ้าหากเป็นเรา จะทำได้หรือเปล่านะ?”
สายตาของสิงห์ขนทองทำให้ความนึกคิดของเยี่ยเทียนล่องลอยไปชั่วขณะ เขาไม่รู้ว่าหากตนเองกับอวี๋ชิงหย่าถึงเวลาที่ต้องจากกัน จะเลือกหนทางแบบไหน?
แต่ด้วยสิ่งแวดล้อมในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เวลาครุ่นคิด เมื่อรู้ซึ้งถึงการตัดสินใจของสิงห์ขนทองแล้ว มือสองข้างของเยี่ยเทียนที่ยันรอยแยกไว้ก็ออกแรงฉีกอย่างดุดัน ร่างพุ่งเข้าไปในรอยแยกนั้น
เมื่อหันหลังกลับมามอง ภาพสุดท้ายของมิตินี้ที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของเยี่ยเทียน ก็คือสิงห์ขนทองประคองซากของคู่รักและสหายสนิทของตนเอง จมดิ่งลงไปในทะเลอัสนีบาตที่แผ่ทั่วท้องฟ้า
……………………………………………
ตอนที่ 853 เพิ่มระดับทั้งคู่
เยี่ยเทียนที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตอนที่เขาเพิ่งถูกดูดเข้ารอยแยก มีเสียงโห่ร้องของสัตว์ร้ายต่าง ๆ ในเกาะ ดังก้องไปทั่ว ลมปราณจากทั่วทุกสารทิศพุ่งไปรวมกันอยู่ที่เดียวกัน
ร่างของสิงห์ขนทองกับมังกรน้ำ จมไปอยู่ในทรายแล้ว สัตว์อสูรเกือบทั้งหมดที่อยู่บนเกาะสัมผัสได้ถึงลมปราณของพวกมันที่สลายไป
สัตว์อสูรที่มีพลังสู้กับสัตว์อสูรใหญ่ทั้งสามตัวนี้ไม่ได้ ต่างก็เร่งฝีเท้าเพื่อมาอยู่ตรงนี้ หนึ่งในนั้น ตัวที่มาถึงเร็วที่สุดคือนกยักษ์ปีกทอง พอมันเห็นรอยแยกบนท้องฟ้า มันส่งเสียงร้องเหมือนเหยี่ยว กางปีกออกและพุ่งไปที่รอยแยกนั่นราวกับลูกศร
ในขณะที่ระยะห่างระหว่างนกยักษ์ปีกทองกับรอยแยกเหลืออีกแค่ไม่กี่ร้อยเมตร จู่ๆ ฟ้าก็ผ่าตรงหัวของมัน มันที่ไม่ทันตั้งตัวถูกฟ้าผ่าจนขนหลุดและร่วงลงไปที่พื้นอย่างรุนแรง
“ร่วมมือกันต้านสายฟ้า พวกเรา ไป! ”
สัตว์อสูรอีกสองตัวตามนกยักษ์ไป สองตัวนี้มีรูปร่างใหญ่มาก ตัวหนึ่งเหมือนเป็นช้างคู่กายของเจ้าแม่กวนอิม เหวินจูในตำนาน มีจมูกยาวกับงาที่ใหญ่ อีกตัวหนึ่งตัวยาวเกือบห้าสิบเมตร มีขนหนาเต็มตัว คล้ายคลึงกับอสูรกายมายาในยุคก่อนประวัติศาสตร์
แต่ดูเหมือนพวกมันจะมาช้าไป สัตว์อสูรทั้งสามยังไม่ทันได้ร่วมมือกัน รอยแยกก็ปิดลงแล้ว ขณะเดียวกันบริเวณนอกเขตแดน มีพลังปราณชีวิตฟ้าดินมากมายพุ่งเข้าหาเขตแดน ทำให้เขตแดนเดิมที่ถูกดูดปราณวิเศษไปมหาศาล หนาแน่นไปด้วยปราณชีวิตในทันที
สัตว์อสูรทั้งสามส่งเสียงโห่ร้องออกมาพร้อมกัน เมื่อเห็นว่าฟ้ารวมกันเป็นหนึ่งเดียว พวกมันรู้แล้วว่าพลาดโอกาศในครั้งนี้แล้ว หรือบางทีโอกาสออกจากเกาะนี้คงไม่มีอีกแล้วตลอดชีวิต
เมื่อการฟื้นฟูของเขตแดนสิ้นสุดลง ปราณวิเศษที่เปลี่ยนแปลงตลอดในระยะเวลาหนึ่งปีก็จบลง พลังปราณชีวิตฟ้าดินมากมายก็เข้าไปรวมอยู่ในค่ายกลของเกาะ สัตว์อสูรที่กระหน่ำพุ่งชนใส่ค่ายกลก็หายไปทั้งหมด ในที่สุดเกาะเซียน “เผิงไหล” ก็กลับสู่ความเงียบสงบเหมือนเดิมอีกครั้ง มีเพียงไม่กี่แห่งที่ยังคงมีเสียงโห่ร้องแบบไม่พอใจดังก้องอยู่บ้าง
……………………-
“กลับมาแล้ว ในที่สุดก็กลับมาแล้ว ?! ”
ในวินาทีสุดท้ายที่เขตแดนกำลังจะปิด เยี่ยเทียนพุ่งออกไปเกือบไม่ทัน แต่หลังจากที่ออกมาแล้ว แล้วเห็นว่ามหาสมุทรและท้องฟ้าไม่มีปราณวิเศษสีขาวอีกต่อไป เยี่ยเทียนถึงกับส่งเสียงโห่ร้องจนดังกึกก้องไปทั่วทุกสารทิศ
บริเวณที่เยี่ยเทียนปรากฏตัวอีกครั้ง ก็คือตรงกลางอากาศที่เกิดรอยแยกจนเขาร่วงตกลงไป ด้านล่างที่ห่างจากเขาไปไม่กี่ร้อยเมตร ก็คือมหาสมุทรที่มีคลื่นใหญ่ ส่วนเหลยหู่ที่กระโดดออกมาก่อน อยู่ด้านล่างของเยี่ยเทียนห่างออกไปสองร้อยเมตร
“อืม ทำ…ทำไมเจ็บขนาดนี้? ”
ตอนที่เยี่ยเทียนจะใช้ปราณแท้ควบคุมร่างกายที่อยู่กลางอากาศ เขาก็พบว่า รอบๆ ตัวเขาตอนนี้ไม่มีปราณวิเศษเหลือแล้ว เจี่ยตันใต้ท้องกลายเป็นมืดมัวไร้แสง เหมือนจะหยุดการหมุนของปราณแท้แล้ว
ที่ยิ่งไปกว่านั้น สองแขนที่แทบจะกลายเป็นกระดูกขาวของเยี่ยเทียน รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างรุนแรง ราวกับถูกมดหมื่นตัวกัดเนื้ออยู่อย่างนั้น ความเจ็บปวดแบบนี้ ถ้าเป็นคนทั่วไปคงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดไปตั้งนานแล้ว
“บัดซบ! ”
เยี่ยเทียนรู้สึกว่าภายในร่างกายอ่อนกำลัง ภาพตรงหน้ามืดลงราวกับจิตดั้งเดิมถูกบางอย่างโจมตีกะทันหันจนเยี่ยเทียนไม่สามารถควบคุมตัวที่อยู่กลางอากาศได้อีก ร่างของเขาร่วงลงสู่พื้นมหาสมุทรอย่างรุนแรง จากนั้นเขาก็สลบไป
“ปัง! ” เสียงดังก้อง น้ำกระเพื่อม ร่างของเยี่ยเทียนฟาดลงบนผิวน้ำราวกับระเบิดที่ฟาดลงไป
“อาจารย์ อาจารย์เป็นอะไร?! ”
เหลยหู่ที่เพิ่งจะเห็นเยี่ยเทียน ตะโกนออกมาด้วยเสียงตกใจ รีบพุ่งไปยังจุดที่เยี่ยเทียนตกลงมาอย่างรวดเร็ว
……………………
“นี่…ที่นี่ที่ไหน? ”
การหมดสติของเยี่ยเทียนในครั้งนี้ ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ที่สติหลุดเข้าไปยังส่วนลึกของความคิด ผ่านไปสามวัน เยี่ยเทียนก็ฟื้น
เยี่ยเทียนขยับหัวด้วยความยากลำบาก เขาพบว่ารอบตัวเขาคือโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นศิษย์พี่ทั้งสองที่ยืนอยู่ นอกจากนี้ยังมีลูกศิษย์คนโตโจวเซี่ยวเทียน
“เซี่ยวเทียน ที่นี่ที่ไหน? พวกนายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ”
“อาจารย์ ฟื้นแล้วเหรอ? ”
“พรึบ”
โจวเซี่ยวเทียนคุกเข่าข้างเตียง น้ำตาเอ่อล้นออกมา และพูดตะกุกตะกักว่า
“อาจารย์ ศิษย์นึกว่าจะไม่ได้เจออาจารย์อีกแล้ว ศิษย์…หาอาจารย์ที่มหาสมุทร และเชื่อว่าอาจารย์ต้องไม่ตาย! ”
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนฟื้นแล้ว ความอัดอั้นในใจก็ถูกระบายออกมาหมด โจวเซี่ยวเทียนร้องไห้เหมือนเด็กที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม จนโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็น้ำตาคลอตามกันไปด้วย
เป็นเวลาหนึ่งปีเต็มที่เครื่องบินประสบอุบัติเหตุและเยี่ยเทียนหายตัวไป แม้ว่าโจวเซี่ยวเทียนจะเชื่อมั่นว่าอาจารย์จะไม่เป็นอะไร แต่ความมั่นใจก็น้อยลงพร้อมกับกาลเวลาที่ผ่านไปทุกวัน ตอนที่ความอัดอั้นถึงขีดสุด เมื่อเห็นเยี่ยเทียนฟื้นขึ้นมา เลยทำให้โจวเซี่ยวเทียนหาที่ระบายเจอปล่อยโฮออกมาอย่างนั้น
“จำไว้นะ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันบอกว่าฉันจะตายแล้ว ถ้าไม่เห็นศพของฉัน ห้ามสงสัยเด็ดขาด! ”
เยี่ยเทียนส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น เมื่อคิดถึงฟ้าดินที่เล่นงานเขาแบบนี้ เขาสบถคำหยาบออกมาว่า
“บัดซบเอ้ย สำนักเสื้อป่านของเรามักจะเผยความลับของสวรรค์ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่สวรรค์ไม่อนุญาต แล้วสวรรค์เองก็ไม่ได้เล่นงานฉันเป็นครั้งแรก ทำตัวให้ชินก็พอ! ”
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เยี่ยเทียนชักจะสงสัยแล้วว่ามีคนผลักดันเรื่องทั้งหมดอยู่เบื้องหลัง เหมือนดั่งคำโบราณที่เคยกล่าวไว้ว่า “เมื่อยู่ในยุทธภพ ประสบการณ์ยิ่งมากความกล้ายิ่งลดลง” จากเดิมที่ไม่แม้แต่จะชายตามองกฏแห่งธรรมชาติ แต่วันนี้เยี่ยเทียนหวาดกลัวมากผิดปกติ
“ศิษย์น้อง เธอเองอย่าเอะอะก็หายตัวไปสิ เซี่ยวเทียนเป็นคนหนุ่มยังพอรับได้ แต่ฉันกับพี่รองของเธออายุมากแล้ว ใจของพวกเรารับความตื่นเต้นแบบนี้ไม่ไหวหรอกนะ! ”
โก่วซินเจียไม่เห็นชอบคำพูดของเยี่ยเทียน เพราะเขาสองคนอายุมากแล้ว ต้องอยู่บนทะเลกับโจวเซี่ยวเทียนนานถึงหนึ่งปีเต็ม ถ้าไม่ใช่เพราะมีอุบัติเหตุ พวกเขาคงจะไม่อยู่นานขนาดนั้น
“ศิษย์พี่ใหญ่ คิดว่าผมอยากเหรอครับ ผมก็ถูกบีบบังคับเหมือนกัน! ”
เวลาผ่านไปหนึ่งปี เยี่ยเทียนได้พบหน้าพี่น้องสำนักเดียวกันอีกครั้ง เขารู้สึกดีใจมากถึงที่สุด เยี่ยเทียนไม่ไปตรวจ สภาพด้านในของร่างกายทันที แต่เลือกที่จะคุยเล่นกับคนเหล่านี้ก่อน เวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นอายุวัฒนะ บรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรค ล้วนแต่ถูกลืมจนหมดสิ้น
“หืม ศิษย์พี่รอง พี่…พี่ถึงระดับระดับเซียนเทียนตั้งแต่เมื่อไหร่? ”
หลังจากคุยกับศิษย์พี่ทั้งสองไปไม่กี่คำ เยี่ยเทียนก็ตาลุกวาว ตอนนี้ปราณแท้ภายในร่างกายของเขาแม้จะหายไป ปราณแท้ในตันเถียนเกาะตัวช้ากว่าหอยทาก แต่เขาเป็นคนมีจินตันครึ่งหนึ่งแล้ว มองแค่แว๊บเดียว ก็รู้แล้วว่าจั่วเจียจวิ้นเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว
“ไม่สิ พี่ใหญ่ก็เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้วเหมือนกัน ”
จั่วเจียจวิ้นยังไม่ทันตอบคำถาม สายตาของเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนไปอยู่ที่โก่วซินเจีย แล้วเยี่ยเทียนก็ทำหน้าแปลกกว่าเดิม เพราะเขารู้สึกว่า พลังปราณเดิมที่อยู่ในร่างกายของศิษย์พี่ใหญ่กลายเป็นปราณแท้หมดแล้ว แสดงว่าศิษย์พี่ใหญ่ก็ก้าวก็เข้าไปถึงระดับเซียนเทียนแล้วเหมือนกัน
พี่รองอยู่ระดับเซียนเทียน เยี่ยเทียนยังพอรับได้ เพราะเขาเคยให้หินวิเศษธาตุน้ำกับจั่วเจียจวิ้น หินจะช่วยเปลี่ยนพลังเดิมแท้ในร่างกาย ส่วนโก่วซินเจีย ไม่มีหินวิเศษที่เหมาะสมต่อร่างกาย เขาจึงหยุดอยู่แค่ปากทางของระดับเซียนเทียน
หลังจากตรวจสอบบันทึกการฝึกฝนของจางซันเฟิงแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้ว่า นอกจากพลอยวิเศษที่เปลี่ยนพลังปราณเดิมแท้ได้ ยังมีอีกหนึ่งวิธี นั่นก็คือฝึกพลังบริเวณที่มีปราณวิเศษห้าธาตุรวมกันอยู่ ให้ปราณวิเศษห้าธาตุไปถึงระดับสมดุล จากนั้นก็จะสามารถบรรลุไปถึงระดับเซียนเทียนได้เหมือนกัน
แต่โลกในปัจจุบัน แทบจะไม่มีปราณวิเศษแล้ว แม้แต่เมืองโบราณในอาณาเขตแห่งเทพกสิกร เสินหนงเจี้ย กับเทือกเขาฉางไป๋ซานที่เป็นบ่อพลังแห่งหยินและยาง ก็ยังไม่สามารถทำได้ เยี่ยเทียนไม่เข้าใจเลยว่าพวกเขาข้ามจากระดับ โฮ่วเทียนไปสู่เซียนเทียนได้อย่างไร
“อย่าเพิ่งพูดถึงพวกเราเลย ถ้าไม่ใช่เพราะปราณวิเศษฟ้าดินของที่นี่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน แม้แต่เซี่ยวเทียนเองก็คงจะบรรลุเข้าถึงระดับเซียนเทียนแล้วเหมือนกัน! ”
หลังจากฟังเยี่ยเทียนพูดจบ โก่วซินเจียก็แสดงความรู้สึกภาคภูมิใจผ่านสีหน้าออกมา เพราะในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเสื้อป่าน พลังวิชาของเขาด้อยกว่าศิษย์น้องมาโดยตลอด แม้จะไม่พูดออกมา แต่ก็กดดันอยู่ไม่น้อย
ตอนที่เยี่ยเทียนหายไป พลังวิชาของเยี่ยเทียนก็อยู่แค่ช่วงต้นเซียนเทียน ตอนนี้โก่วซินเจียก็ทะลุถึงระดับเดียวกันแล้ว ในที่สุดเขาก็รู้สึกได้ว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของน้องเล็กจริงๆ สักที
“ศิษย์พี่เล่าให้ฟังหน่อย ว่าเกิดอะไรขึ้น? ”
เยี่ยเทียนกำลังพูดอยู่ สองแขนเจ็บจี๊ดขึ้นมากะทะหัน เขาส่งตันเถียนที่มีอยู่ไม่มากไปที่มือทั้งสองข้างอย่างไม่รีรอพร้อมกับมองไปที่แขนและพบว่ามันถูกห่อเอาไว้แล้ว
เยี่ยเทียนมองทะลุผ้าขาวหลายชั้นลงไปพบว่ามีเนื้องอกขึ้นมาตรงแขนแล้ว เขารู้สึกโล่งใจมาก ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ถึงแม้จะบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคแล้ว แต่ว่าสองแขนไร้ประโยชน์ เขาก็รับไม่ได้เหมือนกัน
“เมื่อหนึ่งปีก่อน พวกเรารู้สึกว่าปราณวิเศษฟ้าดินของที่นี่มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป ปราณวิเศษในมหาสมุทรพุ่งพรวดเข้ามาแต่ฝั่งนี้ แล้วปราณวิเศษต่างๆ ก็ปะปนกันหมด นอกจากจะค้นหาพวกเธอแล้ว พวกเราก็เลยฝึกพลังวิชาที่นี่ต่อ…”
ที่แท้ ตอนที่เยี่ยเทียนหายไปไม่นาน ส่วนที่ลึกที่สุดของมหาสมุทรอินเดียแห่งนี้ ถูกล้อมรอบไปด้วยปราณวิเศษที่มาจากทั่วทุกสารทิศ แล้วตอนที่ปราณวิเศษรวมกันถึงระดับหนึ่ง น่านน้ำแห่งนี้ราวกับหายไปจากมหาสมุทร และโลกภายนอกไม่สามารถรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงอีกเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะรู้สึกถึงความไม่ปกติและจำพิกัดตรงนี้ได้ตั้งแต่แรก โก่วซินเจียและคนอื่นๆก็คงพลาดโอกาศนี้เป็นแน่
ผ่านไปหนึ่งปี เขากับจั่วเจียจวิ้นก็ฝึกพลังจนเข้าสู่ระดับเซียนเทียนทั้งคู่
……………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น