ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 850-851

 ตอนที่ 850 เทือกเขาหยกฝัน

 

ค่ายกลตรงจุดนี้เสียหายอย่างมากตอนหัวปีศาจแม่ทัพทำลายผนึกออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสาผนึกแปดต้นที่ฝังอยู่ลึกใต้ดินแทบจะหักเป็นสองท่อน


แม้เป็นเช่นนี้ค่ายกลที่เหลืออยู่ผนวกกับภูมิประเทศรอบด้านก็ยังคงส่งผลบางประการทำให้ดึงดูดหมอกภูตรอบด้านเข้ามา


เขาสำรวจอย่างละเอียดจึงพบว่าเสาศิลาสีเขียวใจกลางค่ายกลผนึกนี่เหมือนจะมีพลังเรียกวิญญาณภูตผี ส่วนเสาศิลาสีแดงเจ็ดต้นรอบนอกถึงจะเป็นสิ่งที่ใช้ผนึกจริงๆ


บางทีผ่านไปอีกร้อยกว่าปี บนเขาสันเขียวที่ปราณหยินรายล้อมแห่งนี้อาจมีภูตผีถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง แต่ภูตผีที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านั้นคงหลุดออกไปไม่ได้ง่ายนัก ในเวลาสั้นๆ คงไม่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ธรรมดาในเขตนี้


นี่ทำให้หลิ่วหมิงนับถือการจัดการอันยอดเยี่ยมของผู้ฝึกตนแซ่เยี่ยในสมัยนั้นอย่างแท้จริง


“เอ๋!”


ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย ร่างกายขยับวูบหนึ่งเหาะเข้าไปในหมอกภูต


ชั่วครู่ให้หลังเขาก็ยืนอยู่ที่ขอบถ้ำดำมืดแห่งหนึ่ง


เมื่อมองลึกเข้าไปในถ้ำ ความมืดแผ่ขยายเข้าไปราวกับลึกไม่เห็นก้น


ถ้ำแห่งนี้ก็คือสถานที่ผนึกหัวปีศาจแม่ทัพตนนั้น จนตอนนี้มันก็ยังมีหมอกภูตสีเทาสายแล้วสายเล่าล่องลอยออกมาจากด้านใน


หลิ่วหมิงมองด้านในถ้ำพักหนึ่งก็หลับตาทั้งสองข้างลงอีกครั้ง


ครู่หนึ่งหลังจากนั้นร่างกายเขาก็ขยับไหว ทะยานร่างลึกเข้าไปในถ้ำ


ในถ้ำมืดสนิทไปหมด กระแสลมเย็นโชยพัดเป็นพักๆ เย็นเยียบเสียดกระดูก เขาเหาะลดเลี้ยวไปราวหนึ่งก้านธูปก็มาถึงถ้ำใหญ่ขนาดหนึ่งหมู่กว่าแห่งหนึ่ง


ลึกเข้าไปในถ้ำยังคงมืดสนิท แต่บนพื้นกลับเป็นทรายสีดำที่มีโครงกระดูกสีขาวโผล่อยู่เลือนราง ส่วนตรงกลางคือเสาศิลาหักพังอนาถแปดต้นนั้น


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เพ่งสายตามองสำรวจเม็ดทรายสีดำใสแวววาวเหล่านี้อย่างละเอียด พวกมันเหมือนมีปราณดำไหลเวียนช้าๆ อยู่ด้านใน


“นี่คือทรายหยินแดง เกิดขึ้นในสถานที่ซึ่งมีปราณหยินเท่านั้น!” หลิ่วหมิงเอ่ยพึมพำกับตนเอง ขณะที่ตั้งจิตแผ่จิตสัมผัสไปด้านหน้า


“เป็นเช่นนี้จริงๆ!”


ห่างไปร้อยกว่าจั้งด้านหน้ายังมีถ้ำศิลาอีกถ้ำหนึ่ง ในถ้ำยังคงเป็นพื้นทรายสีดำที่มีกระดูกสีขาวแทรกอยู่ เสาผนึกแปดต้นสีแดงเจ็ดสีเขียวหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่นสมบูรณ์ไม่เสียหาย


หลิ่วหมิงเพ่งจิต แผ่จิตสัมผัสขยายไปเบื้องหน้าต่อ ทันใดนั้นบนเสาผนึกแปดต้นก็ปรากฏชั้นจำกัดล่องหนชั้นหนึ่งออกมาขวางจิตสัมผัสของหลิ่วหมิง


ในเวลาเดียวกันนี้ปราณแค้นลึกล้ำสายแล้วสายเล่าก็ทะลุผ่านชั้นจำกัดนี่ส่งมาถึงในจิตของหลิ่วหมิง


ดูท่าอีกฝั่งคงเป็นสุสานหมื่นศพอีกแห่งหนึ่ง แต่ในนั้นไม่มีภูตผีที่แข็งแกร่งอย่างหัวปีศาจแม่ทัพดังนั้นผนึกจึงยังสมบูรณ์ดี


หลิ่วหมิงดึงพลังจิตสัมผัสกลับมา สีหน้าบนใบหน้าคล้ายชื่นชมแต่ก็คล้ายทอดถอนใจ


ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงตั้งท่าเคล็ดวิชาด้วยมือเดียว ร่างกายลอยขึ้นแล้วเหาะไปนอกถ้ำ


หนึ่งเค่อให้หลังเขาก็ยืนอยู่ใกล้ๆ บึงลึกแห่งหนึ่งด้านหลังเขาสันเขียว ก้นบึงมีเสาหยกสีแดงแปดต้นตั้งตระหง่านอยู่เช่นเดียวกัน


ครึ่งชั่วยามให้หลังหลิ่วหมิงก็ค้นหาเสาผนึกจุดที่สี่พบในป่าลึกแห่งหนึ่งทางฝั่งขวาของเทือกเขาสันเขียว


“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ในเทือกเขาสันเขียวแห่งนี้มีสุสานหมื่นศพที่ให้กำเนิดผีร้ายทั้งหมดสี่แห่ง พวกมันล้วนถูกผู้ฝึกฝนแซ่เยี่ยผู้นั้นวางค่ายกลผนึกไว้ทุกแห่ง โชคดีที่มีเพียงแห่งเดียวถูกทลายออกมา หากผนึกทั้งสี่ทลายทั้งหมด วิญญาณร้ายที่หลุดออกมาคงทำให้ทั้งเขตตงเยว่พบภัยพิบัติ” หลิ่วหมิงมองภาพเบื้องหน้าแล้วเอ่ยพึมพำกับตนเอง


แม้ใช้จิตสัมผัสสำรวจเพียงคร่าวๆ แต่เขายังคงสัมผัสได้ชัดเจนว่าปราณชั่วร้ายในสุสานหมื่นศพสามแห่งที่เหลือหนักหน่วงอย่างที่สุดเช่นกัน จำนวนวิญญาณร้ายคงมีนับหมื่น


แต่ยังดีที่ผนึกอีกสามแห่งล้วนไม่เป็นไร ทั้งด้านในก็ไม่มีภูตผีระดับแก่นแท้ถือกำเนิดขึ้นมา หลิ่วหมิงย่อมไม่ก่อเรื่องเพิ่มไปทำลายผนึกเข้า


หลิ่วหมิงลอบถอนหายใจ พร้อมกันนั้นในใจก็รู้สึกเป็นกังวลอยู่เลือนรางอย่างไม่ทราบสาเหตุ คล้ายกับว่าพลาดอะไรบางอย่างไป


ในเวลานี้เองเมฆดำก้อนหนึ่งก็ลอยเร็วรี่มาแต่ไกลแล้วร่อนลงข้างกายหลิ่วหมิง เมื่อเมฆดำสลายไปก็เผยร่างของแมงป่องกระดูกออกมา


“นายท่าน” เซียเอ๋อร์ยืนอยู่หลังร่าง ในมือนางอุ้มเด็กชายที่ยังหลับใหลผู้นั้นไว้


สายตาหลิ่วหมิงกวาดบนร่างเด็กชายทีหนึ่ง เมื่อเห็นว่าตอนนี้ลมหายใจของเด็กชายผู้นี้สงบลงแล้ว ก็คิดว่าคงเบิกเนตรจิตวิญญาณจนเสียพลังวิญญาณมากเกินไปเท่านั้น น่าจะนอนหลับอีกหลายวันถึงจะตื่น


“จัดการธุระที่นี่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ไปจากที่นี่เถอะ” หลิ่วหมิงพูดพลางกวาดตามองเขาสันเขียวอีกครั้ง


หลังจากนั้นลำแสงสีแดงฉานเส้นหนึ่งก็พุ่งเร็วรี่ขึ้นมาจากใต้ยอดเขาหลักของเขาสันเขียวแหวกท้องฟ้ามุ่งไปไกลอย่างรวดเร็วยิ่ง เวลาไม่กี่ลมหายใจก็หายไปบนท้องนภา


……


แคว้นเฉินมีอาณาเขตแคบยาว มองลงมาจากบนท้องฟ้ารูปร่างคล้ายมังกรมหึมาตัวหนึ่งดังนั้นจึงได้ชื่อนี้มา บนแผ่นดินจงเทียนนับไม่ได้ว่าเป็นแคว้นใหญ่อันใด แต่ทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ ประชากรมาก กำลังของแคว้นจึงไม่อ่อนแอ


ในแคว้นเฉินมีเขาสูงชันมากมาย ปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินเปี่ยมล้น หลายหมื่นปีที่ผ่านมาจึงดึงดูดให้นิกายและตระกูลต่างๆ มาตั้งรกรากในเขตแคว้นไม่น้อย


หนึ่งในนั้นก็คือตระกูลโอวหยาง ตระกูลที่โด่งดังที่สุดจนถูกจัดเข้าไปเป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ของแผ่นดินจงเทียน


เทือกเขาหยกฝันที่ตั้งตระกูลโอวหยางคือขุนเขาอันดับหนึ่งของแคว้นเฉิน มันแทบจะพาดผ่านทั้งแคว้นดังนั้นจึงถูกเรียกว่า ‘สันหลังมังกร’ แล้วมันยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ภูเขาจิตวิญญาณที่มีชื่อเสียงของแผ่นดินจงเทียนอีกด้วย


เวลานี้เป็นยามเช้าตรู่ ทอดสายตามองไปเห็นยอดเขามหึมาสูงนับพันจั้งลูกแล้วลูกเล่าปรากฏขึ้นใกล้ไกล หมอกเซียนแผ่คลุมหมื่นลี้ ไอเมฆลอยวนเวียน นกกระเรียนกระพือปีกบินร่อนประหนึ่งแดนเซียนบนโลกมนุษย์


รอบยอดเขาเหล่านี้มีบ้านเรือนน้อยใหญ่ วิหารหอตำหนักนับไม่ถ้วน มองเห็นลำแสงหลากหลายสีเหาะพุ่งผ่านระหว่างยอดเขาอยู่เป็นระยะ ช่างเป็นภาพแห่งความรุ่งเรือง


บนยอดเขาแห่งหนึ่งบริเวณขอบนอกของเขาหยกฝัน หออันประณีตแถวหนึ่งสร้างขึ้นตามแนวเขา บนหอแขวนป้ายสีทองผืนหนึ่ง ด้านบนเขียนอักษรสีทองอ่อนตัวโตไว้ว่า ‘หอต้อนรับแขก’


เสียง “แกรก” ดังขึ้นทีหนึ่ง ประตูห้องแห่งหนึ่งในหอถูกผลักเปิด หลิ่วหมิงผู้สวมชุดสีน้ำเงินเดินออกมาพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเล็กน้อย


เขาเดินไปตามทางเดินในหอจนมาถึงห้องโถงกว้างแห่งหนึ่ง


“สหายหลิ่ว เมื่อคืนพักผ่อนสบายหรือไม่?” ในห้องโถงบุรุษวัยกลางคนชุดสีม่วงคนหนึ่งเห็นหลิ่วหมิงก็รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ


“เทือกเขาหยกฝันเป็นภูเขาจิตวิญญาณแดนเซียนที่หาได้น้อยนักบนแผ่นดินจงเทียน ปราณจิตวิญญาณฟ้าดินเปี่ยมล้น ได้อยู่ที่นี่ ข้าย่อมพักผ่อนสบายยิ่ง”


บนหน้าหลิ่วหมิงเผยรอยยิ้มจางๆ แล้วเปลี่ยนประเด็นเอ่ยถามทันที


“แต่ข้ามาตระกูลโอวหยางครั้งนี้มีธุระสำคัญต้องการเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสโอวหยางอิง ไม่ทราบยามใดจึงจะมีวาสนาได้พบ”


“ธุระของสหายหลิ่ว ข้าได้แจ้งหัวหน้าตระกูลตามจริงแล้ว แต่หมู่นี้ผู้อาวุโสอิงมีธุระสำคัญรัดตัว เกรงว่าคงไม่มีเวลาว่างมาพบสหายหลิ่วได้สักระยะ” บนใบหน้าชายวัยกลางคนชุดม่วงเผยรอยยิ้มน้อยๆ  เป็นเชิงขออภัย


“เช่นนี้เอง ถ้าเช่นนั้นดูท่าข้าคงมาได้จังหวะไม่ดีจริงๆ” หลิ่วหมิงได้ยินก็ยิ้มเจื่อนเอ่ยขึ้น


“แต่ผู้อาวุโสกำชับไว้เป็นพิเศษแล้ว เชิญสหายหลิ่วพักอยู่ที่นี่เพิ่มสักหลายวันเถิด หากสหายหลิ่วเบื่อหน่ายหอต้อนรับแขก ข้าก็จัดคนพาสหายไปเที่ยวชมเขาหยกฝันแห่งนี้ได้ แม้ทิวทัศน์ของตระกูลเราจะเทียบเขาหมื่นวิญญาณของนิกายยอดบริสุทธิ์ไม่ได้ แต่เก้ายอดเขาเก้าหุบเขาบนเขาก็พิเศษอยู่ไม่น้อย” ชายวัยกลางคนชุดม่วงยิ้มนิดๆ เอ่ยขึ้น


“ขอบคุณความหวังดีของท่านอย่างยิ่ง แต่ถ้าข้ายังไม่ได้พบผู้อาวุโสอิงคงไม่มีอารมณ์ชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามนี้จริงๆ” หลิ่วหมิงประสานมือให้เขา ขอตัวลาแล้วหมุนตัวเดินออกไป


ชายวัยกลางคนผู้สวมชุดม่วงมองส่งหลิ่วหมิงเดินออกจากห้องโถงใหญ่ หลังเงียบงันไปครู่หนึ่งจึงพลิกมือเรียกแผ่นค่ายกลส่งสารแผ่นหนึ่งออกมาเอ่ยแผ่วเบาสองสามประโยค บนแผ่นค่ายกลก็ส่องแสงสีขาววูบหนึ่งจากนั้นกลับมานิ่งสงบอีกครั้ง


อีกด้านหนึ่งหลิ่วหมิงเดินเชื่องช้าอยู่กลางทางเดิน ดวงตาฉายแววหม่นหมองเล็กน้อย


เขามาถึงเขาหยกฝันสามวันแล้ว หลังบอกกล่าวจุดประสงค์ที่มาก็ถูกจัดให้อยู่ที่หอต้อนรับแขกแห่งนี้ ตราที่อินจิ่วหลิงมอบให้ เขาก็มอบให้คนระดับสูงของตระกูลโอวหยางไปแล้ว แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้พบคนระดับสูงของตระกูลโอวหยางสักคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้อาวุโสโอวหยางอิงผู้นั้น


แม้ผู้ดูแลวัยกลางคนผู้นั้นที่ต้อนรับเขาดูเหมือนพูดจาปกติ แต่หลิ่วหมิงก็ยังสัมผัสได้ถึงความเฉยเมยเล็กน้อยในน้ำเสียง


นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ลอบครุ่นคิดถึงสาเหตุ


ฝั่งตรงข้ามมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ศิษย์ตระกูลโอวหยางที่สวมชุดสีม่วงผู้หนึ่งเดินเข้ามา หลังเห็นหลิ่วหมิงก็คำนับเขาหนหนึ่งด้วยสีหน้านอบน้อมแล้วยกเท้าเดินต่อ


ไม่อาจไม่บอกว่าศิษย์เหล่านี้ในหอต้อนรับแขกของตระกูลโอวหยางล้วนมีมารยาท ทำให้คนหาข้อติไม่พบสักนิด ดูท่าคงผ่านการอบรมมาโดยเฉพาะ


“ช่างเถิด รอดูอีกสักสองวันแล้วกัน ไม่รู้ว่าโอวหยางเชี่ยนอยู่ในเขาหยกฝันนี่หรือไม่ หากอีกสองวันยังไม่ได้พบโอวหยางอิง ไม่สู้ไปเยี่ยมสตรีผู้นี้ดูก่อนสักครั้ง” เขาถอนหายใจยาวแล้วคิดเช่นนี้ในใจ


อย่างไรที่นี่ก็เป็นถิ่นของตระกูลโอวหยาง เขาคนนอกอยู่ที่นี่ตัวคนเดียวชั่วขณะหนึ่งไม่มีวิธีการดีๆ ให้ใช้


หลังผ่านงานประตูสวรรค์เขากับผู้ฝึกฝนหญิงสองคนนี้ก็นับว่าค่อนข้างสนิทกันอยู่


ระหว่างที่ในใจหลิ่วหมิงคิดเช่นนี้ เขาก็กลับมาถึงในห้องพักแขกอย่างรวดเร็ว


ในฐานะแปดตระกูลใหญ่แห่งแผ่นดินจงเทียน สถานที่รองรับแขกของตระกูลโอวหยางย่อมไม่อัตคัด


แม้ที่นี่เป็นห้องพักแขกเพียงห้องเดียว แต่ด้านในด้านนอกก็แยกเป็นสามส่วน ห้องโถง ห้องนอน ห้องนั่งสมาธิ จัดแบ่งเป็นชั้นชัดเจน


“ท่านหลิ่ว”


เวลานี้เด็กชายตระกูลเยี่ยนั่งเรียบร้อยอยู่ในห้องโถง เมื่อเห็นหลิ่วหมิงเข้ามา เขาก็ลุกขึ้นยืนคำนับอย่างนอบน้อมทันที เสียงแหบอยู่บ้างเล็กน้อย


หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วเดินมานั่งบนเก้าอี้ในห้องโถง


เด็กชายคนนี้คือเด็กกำพร้าที่เหลือรอดจากหมู่บ้านตระกูลเยี่ย ยามนั้นเขาไม่ได้ขบคิดมากมายจึงพามาด้วย แต่หลังจากนี้จะจัดการกับเขาอย่างไรกลับไม่ง่ายนัก


“เยี่ยเฮ่า มานั่งเถอะ” หลิ่วหมิงชี้เก้าอี้ด้านข้าง


เด็กชายได้ยินก็นั่งลงอย่างเชื่อฟังยิ่งนัก


“เรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านของพวกเจ้า หลายวันนี้ข้าก็เล่าให้เจ้าฟังไม่น้อยแล้ว ข้าอยากถามเจ้าว่าหลังจากนี้เจ้าวางแผนไว้อย่างไร” หลิ่วหมิงครุ่นคิดถ้อยคำแล้วพยายามพูดให้เข้าใจง่าย


“เฮ่าเอ๋อร์ยินดีเชื่อฟังทุกสิ่งที่ท่านจัดการ!”


เด็กชายได้ยินหลิ่วหมิงเอ่ยถึงหมู่บ้าน สีหน้าพลันหม่นหมองก้มหน้าลงไปอีกครั้ง


“ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นก็ดี! ตอนนี้ข้าจะให้ทางเลือกเจ้าสองทาง ทางแรกข้าจะพาเจ้ากลับไปหาอาจารย์ของข้า ช่วยให้เจ้าก้าวเข้าสู่เส้นทางการฝึกฝน แต่ข้าขอบอกเจ้าให้ชัดเจนเสียก่อนว่าหนทางเส้นนี้ไม่ง่าย แม้จะนำพลังระดับหนึ่งและอายุขัยที่ค่อนข้างยาวนานมาให้เจ้า แต่ในเวลาเดียวกันก็มาพร้อมอันตรายนับไม่ถ้วน อาจทำให้เจ้าจบชีวิตได้ตลอดเวลา” หลิ่วหมิงพยักหน้าพลางเอ่ยเล่า


เด็กชายฟังแล้วก็เงยศีรษะขึ้นมาทันที


“ส่วนทางที่สองคือข้าจะส่งเจ้าไปยังหมู่บ้านมนุษย์ธรรมดาสักแห่งที่ใกล้เคียงกับหมู่บ้านของพวกเจ้า ข้าจะจัดการชีวิตหลังจากนี้ของเจ้าอย่างดีไม่ให้เจ้าลำบาก เจ้ามีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขที่นั่นได้”


หลังหลิ่วหมิงเอ่ยสิ่งเหล่านี้จบก็มองเยี่ยเฮ่าอย่างนิ่งสงบ คล้ายรอคอยคำตอบ


เยี่ยเฮ่าอ้าปากหวอ คล้ายพยายามย่อยคำพูดที่หลิ่วหมิงพูดอยู่


หลิ่วหมิงก็ไม่รีบร้อน เขารินชาจิตวิญญาณถ้วยหนึ่ง ดื่มไปพลางรอคอยไปพลาง


เยี่ยเฮ่าสีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุด ผ่านไปเนิ่นนานในที่สุดสายตาก็แน่วแน่


“ท่านหลิ่ว ข้าคิดดีแล้ว ข้าอยากฝึกฝนกับท่าน!”


“นี่เป็นทางเลือกที่เกี่ยวพันกับทั้งชีวิตของเจ้า ไม่ต้องให้คำตอบกับข้าทันทีก็ได้ ข้ายังต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวัน เจ้าครุ่นคิดเพิ่มสักหน่อยได้” หลิ่วหมิงขยับคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นนิ่งๆ


“ไม่จำเป็น ข้าขบคิดกระจ่างยิ่งนักแล้ว ข้าต้องการกลายเป็นคนเช่นท่านกับบรรพบุรุษ! ยามท่านปู่มีชีวิตเคยบอกข้า เขาบอกว่าข้า…ข้าจะเป็นความหวังของตระกูลเยี่ย!” พูดถึง ‘ความหวัง’ สองคำนี้ บนใบหน้าเล็กๆ ของเยี่ยเฮ่าก็เต็มไปด้วยความเข้มแข็ง

 

 

 


ตอนที่ 851 มาเยี่ยม

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว รอเสร็จธุระที่นี่ข้าจะพาเจ้ากลับนิกาย ช่วงนี้เจ้าก็พักผ่อนอยู่ที่นี่ให้ดี” หลิ่วหมิงสายตาเป็นประกาย เอ่ยขึ้นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า จากนั้นเดินไปนั่งขัดสมาธิในห้องทำสมาธิ เริ่มนั่งสมาธิทันที


เวลาผ่านไปอีกสองวันอย่างรวดเร็วยิ่ง


จนตอนนี้หลิ่วหมิงก็ยังไม่ถูกผู้อาวุโสโอวหยางอิงเรียกพบ ขณะที่เขาเดินกลับไปมาอยู่ในห้องอย่างหมดความอดทน ใบหน้าก็บึ้งตึงอย่างยิ่ง


ก๊อกๆ!


เสียงเคาะแผ่วเบาดังมาจากประตู หลิ่วหมิงขยับคิ้วจากนั้นเดินไปเปิดประตูห้อง


สายลมหอมชื่นใจสายหนึ่งโถมเข้าใส่ใบหน้า ดรุณีหน้าตาสะสวยสวมกระโปรงยาวสีม่วงอ่อนสองคนยืนยิ้มแย้มอยู่นอกประตู โอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวนั่นเอง


“ที่แท้แม่นางโอวหยางทั้งสองมานี่เอง!” หลังหลิ่วหมิงอึ้งไปเล็กน้อยก็รีบเชิญทั้งสองเข้ามาในห้องอย่างยินดี


“สิบกว่าปีไม่พบหน้า พี่หลิ่วยังสง่างามเช่นเดิม” โอวหยางเชี่ยนเม้มปากยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น


โอวหยางฉินยังคงยืนอยู่หลังร่างโอวหยางเชี่ยน ดวงเนตรงามมองสำรวจหลิ่วหมิงพร้อมรอยยิ้ม แต่ไม่ได้เอ่ยวาจา


“เซียนทั้งสองถึงเป็นฝ่ายที่นับวันยิ่งงดงามจับตา” หลิ่วหมิงเอ่ยเช่นนี้ แต่ในใจพึมพำกับตนเอง


เดิมทีเขาคิดจะไปเยี่ยมทั้งสองคนวันนี้ คิดไม่ถึงสตรีทั้งสองจะเป็นฝ่ายมาหาเอง


“ไม่กี่วันก่อนน้องออกไปข้างนอกจึงเพิ่งทราบว่าพี่หลิ่วให้เกียรติมาเยือนตระกูลโอวหยาง มิเช่นนั้นคงมาสนทนาเรื่องเก่ากับพี่หลิ่วตั้งนานแล้ว จะว่าไปพี่หลิ่วใช้เวลาสิบปีฝึกฝนจนมาถึงจุดสูงสุดของระดับผลึกได้ ความเร็วเช่นนี้ทิ้งให้คนมองไม่เห็นฝุ่นจริงๆ” โอวหยางเชี่ยนมองสำรวจหลิ่วหมิงหนสองหน ใบหน้างามก็เผยสีหน้าอิจฉาเล็กน้อยออกมา


“ข้าได้นิกายสนับสนุนจึงฝึกฝนมาถึงขั้นนี้ได้อย่างหวุดหวิด ท่านเซียนชมเกินไปแล้ว” หลิ่วหมิงตอบอย่างถ่อมตัว


โอวหยางเชี่ยนกลอกตาครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ยิ้มแล้วเอ่ยถามเช่นนี้


“ได้ยินว่าพี่หลิ่วมาครั้งนี้ต้องการเยี่ยมเยือนผู้อาวุโสอิง ต้องการยืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์หรือ?”


“ดูท่าในตระกูลโหวหยางเป้าหมายการเดินทางครานี้ของข้าคงไม่นับเป็นความลับเท่าใดนัก ผู้แซ่หลิ่วก็กำลังปวดหัวกับเรื่องนี้อยู่ อินจิ่วหลิงอาจารย์ของข้ากับผู้อาวุโสโอวหยางอิงของตระกูลท่านรู้จักกันมาแต่เก่าก่อน เคยได้คำมั่นจากเขาว่าให้ยืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ได้สามหน ดังนั้นข้าถึงบุ่มบ่ามมาเยือน แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดผู้อาวุโสโอวหยางอิงจึงหลบเลี่ยงไม่ยอมพบข้ามาตลอด” หลิ่วหมิงได้ยินก็หัวเราะฝืดเฝื่อนเอ่ยขึ้นไม่ปิดบัง


พี่น้องโอวหยางสบตากันทีหนึ่ง ในดวงตาฉายประกายประหลาดใจจางๆ


“หากสหายมาเพราะกำแพงหลิงหลง เกรงว่าคงมีเรื่องให้ผิดคาดอยู่บ้างแล้วจริงๆ พี่หลิ่วคงไม่รู้ หาใช่ตระกูลโอวหยางของเรากลับคำ แต่กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์เป็นสิ่งศักดิสิทธิ์ของตระกูลเราจำนวนครั้งที่ใช้ได้มีจำกัด ทุกห้าปีใช้ได้เพียงหนึ่งครั้ง นอกจากนี้แต่ละครั้งใช้ได้เพียงหนึ่งคน ผู้อาวุโสอิงยามนี้ก็คงกำลังลำบากใจอยู่” ทันใดนั้นโอวหยางฉินก็เอ่ยปากเล่าช้าๆ


“กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์เพิ่งถูกใช้ไปหรือ” หลิ่วหมิงได้ฟังคำนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย


“นี่ก็ไม่ใช่ แต่…” ดวงเนตรงามของโอวหยางฉินวูบไหว จะเอ่ยต่อแต่ก็หยุดไป


“ท่านเซียนฉินมีสิ่งใดชี้แนะก็เชิญบอกมาเถิด” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วแล้วเอ่ยเช่นนี้


แต่โอวหยางฉินกลับยิ้มน้อยๆ แล้วไม่เอ่ยต่อ


“ไม่ปิดบังความจริง ครั้งนี้ที่พวกเราพี่น้องมาพบพี่หลิ่วที่จริงก็เกี่ยวกับเรื่องกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์” โอวหยางเชี่ยนที่อยู่ด้านข้างจัดเส้นผมดำขลับข้างหูเล็กน้อยแล้วถอนหายใจแผ่วเบาเอ่ยขึ้นต่อ


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่เอ่ยวาจา เพียงมองโอวหยางเชี่ยนนิ่งๆ รอสตรีนางนี้เอ่ยต่อไป


“ไม่ทราบพี่หลิ่วยังจำหลงเซวียนแห่งนิกายปีศาจลี้ลับได้ไหม?” ทันใดนั้นโอวหยางเชี่ยนก็เปลี่ยนเรื่องถามขึ้นมา


หลิ่วหมิงนิ่งไปนิดหนึ่งจากนั้นพยักหน้าตอบ


“ย่อมจำได้ คนผู้นี้คือศิษย์ของนิกายปีศาจลี้ลับ ร้ายกาจอย่างยิ่ง เหตุใดแม่นางโอวหยางเอ่ยถึงคนผู้นี้ขึ้นมากะทันหัน?”


“สิบกว่าวันก่อนหน้านี้หลงเซวียนมาเยือนเขาหยกฝันแห่งนี้ จะว่าไปแล้วก็บังเอิญ เป้าหมายที่เขาเดินทางมาครั้งนี้ก็เหมือนกับพี่หลิ่ว มาขอยืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์เช่นกัน ได้ยินว่าหลังจบงานประตูสวรรค์เขาก็กลับนิกายไปตรากตรำฝึกฝนทันที พลังก้าวหน้าอย่างมาก ฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุดของระดับผลึกแล้วเช่นกัน นอกจากนี้ยังฝึกฝนวิชาลับที่ร้ายกาจที่สุดวิชาหนึ่งของนิกายปีศาจลี้ลับสำเร็จอีกด้วย ไม่ทราบเขาสืบรู้มาจากไหนว่าช่วงนี้ตระกูลโอวหยางเรามีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งต้องการยืมกำลังคนนอก จึงเสนอขึ้นว่าต้องการยืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์แล้วต้องการแต่งงานกับคนหนึ่งในพวกเราพี่น้อง” โอวหยางเชี่ยนพูดถึงตรงนี้ บนใบหน้าก็ปรากฏสีหน้ารังเกียจอย่างที่สุด


โอวหยางฉินอีกด้านหนึ่งเวลานี้ใบหน้าก็เย็นชาประหนึ่งน้ำแข็ง เห็นชัดว่าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างยิ่งเช่นกัน


หลิ่วหมิงความคิดแล่นเร็วจี๋ นึกย้อนไปถึงท่าทีที่พี่น้องโอวหยางมีต่อหลงเซวียนในแดนลึกลับประตูสวรรค์ ในใจเดาเหตุผลที่โอวหยางเชี่ยนและน้องสาวมาหาได้เกินครึ่ง


ครู่หนึ่งให้หลังเขาถึงเอ่ยปากขึ้นช้าๆ


“หากข้าจำไม่ผิด ตระกูลโอวหยางกับนิกายปีศาจลี้ลับมีความสัมพันธ์เป็นอริกันมิใช่หรือ คุณหนูทั้งสองล้วนเป็นศิษย์ผู้โดดเด่นแห่งตระกูลโวหยาง หัวหน้าตระกูลของพวกท่านถึงกับไม่เสียดายยอมสละทั้งสองท่านเพื่อผูกสัมพันธ์กับหลงเซวียนเชียวหรือ?”


“ไม่มีศัตรูถาวร มีเพียงผลประโยชน์ที่อยู่ชั่วนิรันดร์ คนระดับสูงในตระกูลกับนิกายปีศาจลี้ลับคงแลกเปลี่ยนบางอย่างกันกระมัง ในตระกูลมีผู้อาวุโสที่มีอำนาจมากหลายคนทุ่มกำลังผลักดันเรื่องนี้อยู่ ผู้เสียสละย่อมต้องเป็นศิษย์ระดับต่ำเช่นนี้อย่างพวกเราแล้ว” โอวหยางเชี่ยนแค่นเสียงเหอะพลางเอ่ยขึ้น


หลิ่วหมิงทำหน้าครุ่นคิด ชั่วครู่ให้หลังถึงเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังอยู่บ้าง


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เซียนทั้งสองต้องการให้ข้าทำสิ่งใดก็บอกมาเถิด”


“ด้วยความฉลาดของพี่หลิ่ว คิดว่าคงเดาได้แล้วว่าพวกเราพี่น้องรังเกียจหลงเซวียนผู้นี้อย่างยิ่ง แต่ในฐานะคนรุ่นหลังของตระกูลย่อมไม่สะดวกปฏิเสธเรื่องนี้ตรงๆ สหายหลิ่วพลังแข็งแกร่ง นิกายที่อยู่เบื้องหลังยังเป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ จึงหวังว่าท่านจะทำข้อแลกเปลี่ยนนั้นกับตระกูลโอวหยางแทนหลงเซวียน เช่นนี้พวกเราพี่น้องก็ไม่ต้องแต่งให้หลงเซวียนผู้นั้น ส่วนสหายหลิ่วก็ถือโอกาสหยิบยืมกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ได้ นี่เป็นวิธีที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝั่ง” โอวหยางฉินเอ่ยขึ้นช้าๆ


หลิ่วหมิงได้ฟังก็ไม่ได้เอ่ยตอบทันที นิ้วมือเคาะบนโต๊ะครุ่นคิด


พี่น้องโอวหยางเห็นหลิ่วหมิงทำหน้าเช่นนี้ก็สบตากันทีหนึ่ง รอคอยอย่างเงียบๆ ด้วย


หลังผ่านไปเนิ่นนาน ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็เอ่ยปากขึ้นมา


“ไม่ทราบว่าตระกูลของท่านมีเรื่องใดต้องยืมกำลังภายนอก ด้วยพลังของตระกูลท่านน่าจะไม่จำเป็นต้องเรียกใช้คนนอกนะ?”


“เรื่องนี้พวกเราก็ไม่รู้ชัดนัก แต่หลงเซวียนผู้นั้นรับปากในทันที ด้วยพลังของพี่หลิ่วคิดว่าคงไม่ใช่ปัญหาแน่นอน” โอวหยางเชี่ยนสีหน้าชะงักไป เอ่ยอย่างไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง


“ฮ่ะๆ เซียนเชี่ยนมองข้าสูงเกินไปแล้วจริงๆ ข้ามีความสามารถเท่าใดตนเองรู้ดีแก่ใจ หากกระทั่งต้องทำสิ่งใดก็ยังไม่รู้ เกรงว่าข้าคงไม่อาจรับปากสิ่งใดกับพวกท่านได้” หลิ่วหมิงยิ้มแย้มสบายๆ แล้วเอ่ยขึ้นมา


เรื่องที่ตระกูลโอวหยางผู้ยิ่งใหญ่ยังต้องยืมแรงคนนอกถึงจะทำสำเร็จ ใช้นิ้วเท้าคิดก็คิดได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายดายแน่ ในสิบมีแปดเก้าส่วนคงต้องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เขาจะตกปากรับคำทันทีได้อย่างไร


“พี่หลิ่ว ไม่ใช่พวกเราพี่น้องมีเจตนาปิดบัง แต่พวกเราไม่ทราบจริงๆ ทว่าหากท่านต้องการยืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ทะลวงสู่ระดับแก่นเสมือน กระทั่งอันตรายเท่านี้ก็ไม่กล้าเสี่ยงหรือ ไม่ขอปิดบัง ตอนนี้ผู้ที่ดูแลกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ร่วมกับผู้อาวุโสอิงก็คือท่านลุงของพวกเราพี่น้อง หากพี่หลิ่วหมายจะรอโอกาสใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ครั้งหน้า ข้าขอบอกว่าท่านเลิกคิดเสียเถอะ ขอเพียงพวกเราบอกกับท่านลุงคำเดียว เกรงว่าพี่หลิ่วคงไม่อาจยืมใช้สมบัติชิ้นนี้ของตระกูลเราได้ตลอดไป ต่อให้ท่านถือตราของผู้อาวุโสอิงมาก็เท่านั้น!” โอวหยางฉินเริ่มสีหน้าบึ้งตึง


“เซียนฉินกำลังข่มขู่ผู้แซ่หลิ่วหรือ?”


หลิ่วหมิงได้ยินคำนี้สองตาพลันหรี่ลง มองสำรวจสตรีผู้นี้จากหัวจรดเท้าประหนึ่งเพิ่งได้รู้จักโอวหยางฉินเป็นครั้งแรก


“แม้คำพูดของน้องฉินเมื่อครู่จะไม่น่าฟังนัก แต่พวกเราพี่น้องพูดจากใจจริง ขอเพียงสหายหลิ่วช่วยเหลือพวกเราพี่น้องให้ไม่ต้องแต่งกับหลงเซวียนผู้นั้น พวกเราสองคนไม่เพียงรับประกันว่าจะทุ่มสุดกำลังเกลี้ยกล่อมท่านลุงแย่งสิทธิการใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์มาให้สหาย ยังจะมอบของตอบแทนล้ำค่านอกเหนือจากนั้นให้สหายหลิ่วเป็นของขวัญขอบคุณด้วย หนึ่งในนั้นจะมีโอสถชำระวิญญาณของตระกูลโอวหยาง โอสถนี้ใช้กลั่นวิญญาณของมนุษย์ มีประโยชน์กับการเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนยิ่งนัก” โอวหยางเชี่ยนกระแอมเบาๆ ทีหนึ่งแล้วเอ่ยต่อทันที


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วแน่น ยังคงไม่ตอบอันใดในทันที


“เอาเช่นนี้เถิด ไม่ว่าพี่หลิ่วจะตัดสินใจทำเรื่องนี้แทนตระกูลโอวหยางของพวกเราหรือไม่ก็ไปพบหัวหน้าตระกูลกับพวกเราสองคนสักนิดก่อนเถิด มิเช่นนั้นพี่หลิ่วรออยู่ที่นี่อีกสามเดือนห้าเดือนก็ไม่มีประโยชน์อันใด” โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินสบตากันทีหนึ่งก็เอ่ยออกมาเช่นนี้


“ก็ดี ถ้าเช่นนั้นรบกวนเซียนทั้งสองท่านแล้ว” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่ง เขามองสองพี่น้องโอวหยางอย่างครุ่นคิดแล้วจึงพยักหน้าเอ่ยตอบรับ


หัวหน้าตระกูลโอวหยางฐานะเท่าเทียมกับเทียนเกอเจินเหรินประมุขของนิกายยอดบริสุทธิ์ พี่น้องโอวหยางถึงกับพบหน้าได้ตลอดเวลา เพียงพอให้เห็นว่าฐานะของสตรีทั้งสองคนนี้ไม่ต่ำต้อยเลย


ต้องรู้ว่าในนิกายยอดบริสุทธิ์ตำแหน่งของเทียนเกอเจินเหรินสูงส่งยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงหลิ่วหมิง แม้เป็นอินจิ่วหลิงที่มีฐานะเป็นผู้ควบคุมยอดเขาลั่วโยวก็ไม่อาจเข้าพบได้ตลอดเวลา


“ธุระไม่ควรชักช้า ไปตอนนี้เลยเถิด หลายวันนี้หัวหน้าตระกูลอยู่ในที่พักพอดี…” ได้ยินหลิ่วหมิงเอ่ยคำนี้ บนใบหน้าสตรีทั้งสองล้วนเผยสีหน้ายินดี


ก่อนหลิ่วหมิงออกจากห้องอีกครั้งก็กำชับเด็กชายในห้องนอนประโยคหนึ่งแล้วจึงตามสตรีทั้งสองออกจากที่พักไป


ครู่หนึ่งหลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็ตามพี่น้องโอวหยางออกจากหอต้อนรับแขก กลายเป็นลำแสงสามสายมุ่งลึกเข้าไปในเทือกเขาหยกฝัน


ยอดเขาหลักของเขาหยกฝันตั้งตระหง่านยิ่งใหญ่สูงเทียมเมฆ ตัวภูเขามีศิลาสีม่วงกระจายอยู่ทั่ว กระทั่งต้นไม้ใบหญ้าบนภูเขาก็มีกลิ่นอายมายาสีม่วงอ่อนอยู่ด้วย


เวลาหนึ่งก้านธูปให้หลัง พี่น้องโอวหยางก็นำทางทั้งสามคนมาถึงหน้าตำหนักหลังใหญ่ที่สร้างจากศิลายักษ์สีม่วงทั้งหลังบนยอดของยอดเขาหลัก


เมื่อเข้าใกล้บริเวณร้อยจั้งของสิ่งก่อสร้างสีม่วง หลิ่วหมิงพลันรู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง แรงดึงมหาศาลสายหนึ่งกระชากร่างเขาลงไปเบื้องล่าง


หลิ่วหมิงตกใจ แสงสีดำฉายเลือนรางออกมาจากร่าง โคจรวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬทันที แต่ไม่ว่าเขากระตุ้นพลังเวทอย่างไรก็ไม่อาจขัดขืนแรงดึงสายนี้ได้


ครู่หนึ่งให้หลังคนก็คล้ายถูกดึงร่วงลงบนลานกว้างหน้าตำหนักใหญ่ดื้อๆ


หลังร่วงลงบนลานกว้าง แรงดึงสายนั้นก็หายไปทันที มาอย่างรวดเร็ว จากไปก็กะทันหันยิ่งนัก


เวลานี้โอวหยางเชี่ยนและน้องสาวร่อนลงมานานแล้ว พวกนางเห็นหลิ่วหมิงฝืนอยู่กลางอากาศได้นานเช่นนี้ บนใบหน้าก็เหมือนจะฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย


“พี่หลิ่วไม่ต้องตระหนก ที่แห่งนี้คือตำหนักประชุมของตระกูลโอวหยางเรา บริเวณใกล้ๆ วางค่ายกลชั้นจำกัดปิดกั้นมิติไว้จำนวนหนึ่ง” โอวหยางเชี่ยนอธิบาย


“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ข้าตื่นตูมไปแล้ว” ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงเข้าใจขึ้นบ้าง กวาดตามองรอบด้านทันที

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)