ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 85-96

ตอนที่ 85 ทางใต้ดินอันคับแคบ

 

“นี่เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนอกตัญญูถึงขนาดสมบัติร่วมกลบฝังของท่านย่าตัวเองก็ยังจะขุดออกมาหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันแทบจะหันไปค้อนตาขาวใส่มัน นางคิดว่าที่จริงแล้วคนเองเป็นคนที่มีหลักการและรู้จักขอบเขตคนหนึ่งนะ 


 


 


วิญญาณทมิฬพยักหน้าอย่างหนักแน่น “เจ้าเอาแน่! “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……” ที่จริงแล้ว สมบัติร่วมกลบฝังของท่านย่า ไปดูๆ เสียหน่อยก็ได้ ไม่เอามาก็แล้วกัน 


 


 


เพ้ย! เรื่องที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องสมบัติร่วมกลบฝังเสียหน่อย แต่นางมีความรู้สึกอย่างชัดเจนเลยว่า สุสานของเย่วฮูหยินเกี่ยวพันกับหยกสรรพชีวิต 


 


 


เพราะตั้งแต่ตอนที่อยู่ด้านนอกของสุสานเย่วฮูหยิน นางก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของกุญแจทองแดงดอกนี้แล้ว 


 


 


เป็นไปได้ว่าหยกสรรพชีวิตเองก็ถูกส่งมายังโลกนี้เหมือนกับนาง หากสามารถตามหามันกลับมาได้ ไม่แน่ว่านางอาจมีโอกาสกลับไปยังโลกเดิมได้ 


 


 


พอคิดได้ถึงตรงนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ชักจะตื่นเต้นขึ้นมา 


 


 


ที่ด้านข้างตัววุ่นวายทั้งสองยังเถียงกันไม่หยุดหย่อน นางค้อนควักใส่พวกเขาคราหนึ่ง ก็ไม่คิดจะเสียเวลาอีกต่อไป สลัดมือจีเฉวียนออกมุ่งไปด้านหน้า 


 


 


เรี่ยวแรงที่สบัดนั้นไม่น้อย ทำเอาฝ่ามือของจีเฉวียนถึงกับขึ้นสีแดงขึ้นมา 


 


 


เขาชักจะกรุ่นโกรธขึ้นมาบ้าง สตรีผู้นี้ยิ่งทียิ่งขวัญกล้าใหญ่แล้ว หรือคิดว่าอยู่ในสุสานแห่งนี้แล้วเขาจะไม่กล้าสั่งสอนนางหรือไง? 


 


 


แม้จะมีโทสะ แต่ว่าเขากลับไม่ลังเลที่จะก้าวตามไปแม้แต่น้อย ทำให้จีเย่ว์ได้แต่ติดตามอยู่เบื้องหลัง 


 


 


จีเย่ว์เองถึงกับหน้าคว่ำ ไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงไร้สาระกับเขาให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์อีก ใครจะไปรู้ว่าในสุสานของเย่วฮูหยินตกลงแล้วยังมีสิ่งใดอยู่อีกแน่ สมควรรีบออกจากที่นี่ไปก่อนจึงจะดีที่สุด 


 


 


ทางอุโมงค์ที่คับแคบ เป็นดังที่ตู๋กูซิงหลันคาดการณ์ไว้ ได้แต่ให้แต่ละคนบีบตัวเองผ่านเข้าไป 


 


 


ภายในอุโมงค์อับชื้น ยังมีกลิ่นเน่าเหม็นจากสิ่งที่สะสมมานานปีโชยออกมาเป็นระยะ ทำให้ฮ่องเต้ผู้มีประสาทสัมผัสทางกลิ่นที่ว่องไวเป็นพิเศษต้องหายใจอย่างยากลำบากกว่าเดิม 


 


 


ยังดีที่ บนตัวของตู๋กูซิงหลันมีกลิ่นหอมเฉพาะของดอกฮวาย พอลมเบื้องหน้าพัดโชยมา ก็เจือจางกลิ่นเหม็นอับชื้นเหล่านั้นลง ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้างเล็กน้อย 


 


 


แต่ว่าจีเฉวียนยังคงรู้สึกทรมานมากจริงๆ มือซ้ายของเขาบาดเจ็บ แม้แต่ปิ่นปักผมนั่นก็ยังไม่ได้ดึงออก ตอนนี้ต้องปีนขึ้นไป จำเป็นต้องใช้มือพยุง มุมหินตะปุ่มตะป่ำเหล่านี้ช่างทำให้ผู้คนลำบากเหลือเกิน 


 


 


เขาหันไปมองดูจีเย่ว์ ก็เห็นเขากำลังปีนตามตนมาติดๆ ขาข้างที่บาดเจ็บขูดลากไปตามพื้น สร้างความเจ็บปวดจนเขาหน้าตาบูดเบี้ยว พอเห็นเช่นนี้พระทัยของฮ่องเต้ก็พอจะสงบลงได้บ้าง 


 


 


เขาหรี่ตามอง มุมปากยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ “อี้อ๋อง เจ้ามันใช้การไม่ได้แล้ว” 


 


 


อี้อ๋อง “……..” เขาคิดไม่ถึงมาก่อนเลยว่า หัวข้อต้องห้ามของเหล่าบุรุษ จะออกมาจากปากของจีเฉวียน 


 


 


“ฝ่าบาทพะยะค่ะ ขออย่าได้ทรงเป็นกังวลในตัวกระหม่อมเลย รักษาพระกำลัง ประคองชีวิตเอาไว้สำคัญกว่า” จีเย่ว์พูดแล้ว ก็แตะยันต์บนหัวให้แน่นเข้า “ยิ่งไปกว่านั้นกระหม่อมใช้การได้หรือไม่ ไทเฮาทรงทราบแก่พระทัยดี” 


 


 


แค่ประโยคนี้ประโยคเดียว ก็สามารถทำให้จีเฉวียนหน้าดำทะมึนได้สำเร็จ 


 


 


เขาจ้องมองจีเย่ว์ด้วยสายตาเย็นชาวูบหนึ่ง ก็หันกลับไปดูตู๋กูซิงหลันที่เอาแต่ส่ายก้นกระดุ๊กกระดิ๊กมุ่งมั่นไปข้างหน้า 


 


 


หรือว่าเจ้าคนโอหังอวดดีสองคนนี้ จะกล้าทำเรื่อง? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันที่อยู่ด้านหน้าสุดนั้น “??? “ 


 


 


เจ้าลูกสุนัขสองตัวนี้ทำไมพอพูดอะไรขัดกันคำหนึ่งเป็นฮึ่มๆ ฮึดฮัดใส่กันด้วยนะ จะฮึดฮัดใส่กันก็ทำไปเถอะแต่อย่าได้ลากนางไปเอี่ยวด้วยจะได้ไหม? 


 


 


นางตัดขาดกับจีเย่ว์ไปก็ต้องนานแล้ว แถมยังตัดแบบเด็ดขาดไร้เยื่อใยเลยด้วยซ้ำเข้าใจไหม? 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้เจ้าของร่างเดิมจะรักจีเย่ว์จะเป็นจะตายแค่ไหน แต่ก็ยังคงรักษาตัวไว้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะฉะนั้นจีเย่ว์จะใช้การได้หรือไม่ นางจะไปรู้เรื่องได้อย่างไร? 


 


 


อืม แต่ถ้าจะพูดเรื่องใครใช้การได้หรือไม่ละก็….ถ้ายกเฉพาะเรื่องขนหน้าแข้งมาวิเคราะห์กัน นางรู้สึกว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขคงจะนำหน้าอยู่ขั้นหนึ่ง 


 


 


เพราะว่าถ้าขนดกแสดงว่าไตดี ถ้างั้นเรื่องนั้นก็คงจะแข็งแรงดีด้วย 


 


 


ก็ดูรูปร่างของท่านราชครูสิ หากว่าฮ่องเต้ทรงสามารถจับเขามาจัดการได้ เช่นนี้ยังจะต้องไปเสริมกำลังวังชาอะไรกันอีก 


 


 


แล้วเท่าที่ดูก็เห็นฮ่องเต้มีกำลังวังชากระปี้กระเป่าอยู่ทุกวี่ทุกวัน หุๆๆ ……ไม่อยากจะคิดเลย 


 


 


ไปๆ มาๆ ตู๋กูซิงหลันก็ถูกเจ้าสองคนนี้ชักนำจนคิดอะไรออกนอกลู่นอกทางไปแล้ว คิดไปๆ ก็พาลรู้สึกขึ้นมาว่าที่ด้านหลังเย็นวูบวาบอยู่ไม่น้อย นี่ย่อมจะต้องเป็นเพราะสายพระเนตรเย็นวาบทีจับจ้องนางอยู่แน่นอน 


 


 


นางพลันรู้สึกเหน็บหนาวจนทั้งร่างเย็นสะท้านขึ้นมา พอหันหลังกลับไปดู ก็เห็นฮ่องเต้ที่แปะยันต์เอาไว้บนหน้าผาก จ้องมองมาด้วยสายพระเนตรเย็นยะเยือก ในประกายตานั้นยังสะท้อนแววโทสะอยู่ด้วยไม่น้อย 


 


 


“ถ้าทนไม่ไหว ก็ไปคว้าเอาอี้อ๋องไปกอดเถอะ ทำไมเขาจะต้องมาชักหน้าโหดใส่กันด้วย เจ้าเองก็ไม่ใช่สะใภ้ของเขาเสียหน่อย แล้วที่จริงก็ยังไม่เคยนอนด้วยกันด้วยซ้ำ” วิญญาณทมิฬรู้สึกว่าตนเองไม่อาจเข้าใจน้ำพระทัยของฝ่าบาทได้จริงๆ 


 


 


ทำไมมันดูๆ ไปแล้วเหมือนเห็นเขากลัวจะโดนสวมเขากัน 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…….” นี่มันเรื่องหน้าอายจริงๆ 


 


 


นางแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เก็บสายตากลับมาก็มุ่งหน้าต่อไป และอาจจะเป็นเพราะต้องคลานปีนไปตลอดทาง ลมตดที่กลั้นเอาไว้อยู่นานแล้ว พอมัวแต่เจ็บตรงนั้นอายตรงนี้ ไม่ทันระวังก็เผลอปล่อยออกมา 


 


 


เสียงดัง ‘ปูด~’ 


 


 


แล้วลมที่ปล่อยออกไปนั้น ก็พุ่งเข้าใสใบหน้าที่ที่งดงามหาที่ใดเปรียบของฮ่องเต้เข้าไปเต็มๆ กระทั้งยันต์ที่แปะอยู่บนพระพักตร์ของเขายังปลิวขึ้นมา 


 


 


วิญญาณทมิฬ “อ้ายย่าห์ เหม็นฉิบ! “ 


 


 


ฟ้าดินได้โปรดเมตตาด้วย นางแค่ผายลมออกไปทีเดียว แต่ว่าไอ้อุโองค์อุบาทนี้กลับสะท้อนเสียงลมของนางขึ้นมา เสียงนั้นสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบจึงค่อยหายไป 


 


 


คนที่ตดในอุโมงค์กับตดในลิฟท์นั้นมีผลเท่ากัน 


 


 


ว่ากันตามจริงแล้ว ขนาดนางที่อยู่ต้นลมยังรู้สึกว่ารับไม่ค่อยจะได้เลย เช่นนี้แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้และอี้อ๋องที่อยู่ใต้ลมแล้ว 


 


 


ในสมองของตู๋กูซิงหลันยามนี้ปรากฎภาพของตู๋กูเหลียนที่ถูกลากออกไปคราวนั้น 


 


 


กรรมตามสนองในโลกมิตินี้ช่างรวดเร็วราวกับพายุพัดเสียเหลือเกิน โถ่เอ๋ย! 


 


 


ฮ่องเต้ที่อยู่ด้านหลังเดิมทีสีพระพักตร์ก็เย็นชาเกินจะหาใดเปรียบอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งเพิ่มความหนาวเหน็บขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เขาย่นจมูก สายตาก็จ้องไปยังก้นของตู๋กูซิงหลันที่ปล่อยอาวุธออกมา ราวกับว่าอยากจะจับนางมาเสียบไม้เสียนัก 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่มีทางเลือกได้แต่กระดุ๊บกระดิบไปข้างหน้า ใจก็กลัวว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขอาจจะล้วงเอาดาบออกมาเสียบนางเข้าให้ 


 


 


นางผิดไปแล้ว นางควรจะสกัดกั้นปิดประตูเมืองเอาไว้! 


 


 


หัวใจของนางเต้นเสียงดังตึกๆ ตักๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ยินฮ่องเต้ตรัสว่า “ต่อไปเจ้าต้องกินผักให้มาก กินเนื้อให้น้อย” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “??? ” นี่เขาไม่โกรธหรือ? ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจคนที่ปล่อยตดผายลมที่สุดหรอกหรือ? 


 


 


นางยังไม่ทันตั้งสติได้ ก็ได้ยินอี้อ๋องกล่าวรับอย่างเห็นด้วยกับจีเฉวียนว่า “ไทเฮา ท่านต้องกินผลไม้ให้มากด้วย” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…..” คนรักเก่า ขอร้องเจ้าหุบปากเถอะ! 


 


 


นี่มัน……….หน้าอายจนไม่รู้จะอายยังไงแล้ว! 


 


 


“เนื้อสัตว์กินมากเกินไปไม่ดีต่อร่างกาย แถมเจ้ายังกินเสียมากมายอยู่ทุกวัน” จีเย่ว์ยังคงไม่ลืมกล่าวต่อไป 


 


 


พอเขากล่าวออกไป ก็เห็นจีเฉวียนหันมาจ้องเขาดวงสายตาเย็นวาบอีกครั้ง แต่ละวันตู๋กูซิงหลันกินอะไรบ้าง เขาช่างรู้ดีนักนะ? 


 


 


ดูท่า ภายในวังของเขา คงจะมีสายลับของอี้อ๋องอยู่ไม่น้อย 


 


 


พอยิ่งคิดถึงถ้อยคำของเขาเมื่อครู่ จีเฉวียนก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีหนามทิ่มตำพระทัย พาลเปลี่ยนเรื่องหันไปถามตู๋กูซิงหลันว่า “ไทเฮา เราสงสัยยิ่งนัก ตกลงว่าอี้อ๋องใช้การได้หรือไม่ เจ้าว่ามาสิ” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……..” ปัดโถ่เอ๋ย สถานการณ์แบบนี้อย่าได้หาเรื่องทิ่มแทงกันจะได้ไหม? 


 


 


นางในตอนนี้คิดแต่จะออกไปจากอุโมงค์นี้ให้เร็วที่สุด จะได้ดูว่าตกลงแล้วในสุสานของท่านย่ามีหยกสรรพชีวิตอยู่หรือไม่ 


 


 


“หืม ทำไมไม่พูด? ถ้างั้นก็หมายความว่าไม่ได้เรื่องละสิ? ” จีจีเฉวียนไม่ปล่อยโอกาสให้นางได้ทันมีปฎิกิริยา ก็สรุปให้ทันที “ก็ใช่สิ น้องชายของเราคนนี้ ตั้งแต่เล็กมาแล้วก็ผ่ายผอมอ่อนแอ นอกจากสมองที่ดีอยู่สักหน่อยแล้ว สุขภาพนั้นใช้ไม่ได้เลย” 


 


 


“เจ้าเองก็ไม่ต้องไปปิดบังอะไรให้เขา ใช้การไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอับอายอะไร ข้าที่เป็นพี่ชายใช้การได้ก็พอแล้ว”  

 

 


ตอนที่ 86 คู่จิ้นที่ฝืนมา จะอย่างไรก็...

 

ตู๋กูซิงหลันพูดอะไรไม่ออกแล้ว ได้โปรดเถอะ นางยังไม่ได้พูดอะไรสักคำเลยนะ 


 


 


ข้ารู้แล้วว่าท่านเจ๋ง จ้ำจี้กับท่านราชครูอยู่ทุกวันทุกคืนทุกที่ทุกเวลาเลยใช่ไหม?  


 


 


แล้วเรื่องนี้มันจำเป็นจะต้องประกาศออกมาด้วยหรือ?  


 


 


ประเด็นสำคัญคือมาบอกกับนางที่เป็นพระมารดาเลี้ยงมันเหมาะเสียที่ไหน?  


 


 


สีหน้าจีเย่ว์เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ จีเฉวียนทำเช่นนี้ชัดเจนเลยว่ากำลังดูหมิ่นความสามารถเชิงบุรุษของเขา 


 


 


เขามองไปยังตู๋กูซิงหลันที่อยู่ด้านหน้า “ไทเฮา กระหม่อมยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน เพียงแต่ฝ่าบาทไม่ทรงทราบรายละเอียด ขอท่านเชื่อใจกระหม่อม” 


 


 


คำพูดเช่นนี้ หากเป็นแต่ก่อนตีให้ตายเขาก็ไม่กล้าพูดกับหลันเอ๋อร์ เพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมายามเขาอยู่กับหลันเอ๋อร์ ต่างก็รักษามารยาทต่อกัน เรื่องที่จะไปทำอะไรลับๆ ล่อนั้นเป็นไม่มี 


 


 


แต่ตอนนี้เป็นเพราะฮ่องเต้ทรงไร้ยางอายก่อน ถ้าเช่นนั้นเขาไม่ต้องรักษาหน้าก็ไม่เป็นไร!  


 


 


ปากของตู๋กูซิงหลันตอนนี้คว่ำจนถึงที่สุดแล้ว ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าสองคนนี้ทำตัวราวกับ ‘เป็ดทุ่ง’ ก๊าบๆๆ ร่ำร้องว่าตัวเองเก่งเจ๋งโคตรอยู่นั่น จะมาขอให้นางโปรดปรานหรือยังไง?  


 


 


และเพราะเกรงว่าพวกเขาจะยังโอ้อวดแข่งกันอีก นางจึงหันไปยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน “พวกท่านในเมื่อต่างก็เก่งกาจเยี่ยมยอดกันนัก ถ้าเช่นนั้นก็รักใคร่กลมเกลียวดูแลกันและกันให้ดีก็แล้วกัน ข้าไม่รังเกียจที่จะคอยชื่นชมอยู่ด้านข้าง” 


 


 


ไม่เพียงไม่มีรังเกียจ ทั้งยังตื่นเต้นสนใจอยู่บ้างด้วยซ้ำ 


 


 


เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นขนาดท่านราชครูยังรวบหัวรวบหางไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นจะรวบน้องชายตัวเองบ้างจะเป็นไรไป?  


 


 


ไม่แน่ว่ารวบไปรวบมา จีเย่ว์เองก็อาจจะติดใจ ต่อไปก็ยินยอมพร้อมใจเป็นฝ่ายในของเขาก็ได้นี่?  


 


 


แค่นี้ก็คลี่คลายปัญหาระหว่างพี่น้องไปได้ง่ายๆ ไม่ใช่หรือ?  


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่านางช่างฉลาดจริงๆ!  


 


 


วิญญาณทมิฬเองก็กำลังครุ่นคิดอย่างจริงจัง “อั๋วว่านะ ได้มาชมดูเหตุการณ์สดๆ ในที่แบบนี้ก็ไม่เลวเลย” 


 


 


ขณะที่มันพูดไปมันก็ลูบคลำนวดหัวตัวเองไปด้วย ทันใดนั้นมันก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมา ใบหน้าดำๆ กลมๆ นั่นก็ปรากฎแสงสีแดงสองสายขึ้นมาจางๆ  


 


 


พอตู๋กูซิงหลันพูดออกไปอย่างนั้น ทั้งจีเฉวียนและจีเย่ว์ต่างก็หน้าดำทะมึน ถึงแม้จะไม่เข้าใจคำพูดของนางทั้งหมด แต่ว่าจากคำที่ว่ารักใคร่ดูแลกันและกันไม่กี่คำนี้ ก็เพียงพอจะทำให้ทั้งสองรู้สึกบ่าไหล่เย็นวูบ 


 


 


ในอุโมงค์ยังคงมีกลิ่นตดจางๆ ผสมปนเปกับกลิ่นเหม็นอับชื้นบูดเน่า ทำให้ผู้คนยากจะทนทานอยู่แล้ว ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรเห็นหน้าของจีเย่ว์ก็รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมา 


 


 


จีเย่ว์เองก็รู้สึกว่าทะเลในกระเพาะกำลังพลิกตลบ เขาคลานถอยหลังไปจนไกลห่างจากจีเฉวียน 


 


 


ต้องมาคุกเขาคลานอยู่ด้านหลังของจีเฉวียนตลอดเวลาเช่นนี้ พาลให้เขารู้สึกไม่ดีแปลกๆ จริงๆ  


 


 


ตู๋กูซิงหลันหันไปดูสองหนุ่มโฉมงาม ก็ยกมุมปากขึ้นยิ้ม ดูท่าแล้ว คู่จิ้นที่ฝืนบังคับมานี้ คงจะหวานไปกันได้ไม่นานเท่าไหร่ 


 


 


 


 


 


นางพยักหน้าหงึกๆ ไม่ได้พูดอะไรมากอีก หันหน้าป่ายปีนขึ้นไป ปีนขึ้นไปได้ไม่กี่ก้าว ก็รู้สึกว่าบนศีรษะมีอะไรเปียกๆ หยดแหมะๆ ลงมา พอดีหยดลงบนกลางกระหม่อม 


 


 


พอเอามือลูบดู ก็เห็นเป็นเลือดดำๆ! ที่ทั้งคาวทั้งเหม็น!  


 


 


พอเงยหน้ามอง ก็เห็นว่าบนเพดานมีใบหน้าหนึ่งผุดออกมา!  


 


 


ใบหน้านั้นราวกับศีรษะถูกตัดออกมาจากคนที่มีชีวิตเป็นๆ แต่กลับไม่มีแววตา สีหน้าน่าเกลียดน่ากลัว คล้ายกับพยายามที่จะออกมาจากกำแพงหิน 


 


 


เลือดสีดำแดงนั่นก็ออกมาจากปากและดวงตาของใบหน้านั้นนั่นเอง 


 


 


ภาพที่เห็นน่ากลัวเสียจนใครได้เห็นเป็นต้องหายใจไม่ออก 


 


 


หากว่าเป็นคนธรรมดามาเห็นเข้าละก็มีหวังอาจกลัวจนช๊อคตายไปแล้วก็ได้ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันล้วงเอากริชพิเศษของตนเองออกมา นางไม่ได้ลนลาน แต่ว่าเพิ่มความเร็วในการปีนขึ้นไปอีก 


 


 


จีเฉวียนและจีเย่ว์เองก็เลิกก่อความวุ่นวาย ติดตามนางมาอย่างกระชั้นชิด 


 


 


สุสานนี้ มีผีเฮี้ยนแล้ว!  


 


 


ฮ่องเต้ทรงเงยพระพักตร์กวาดพระเนตรดู พลันรู้สึกว่าใบหน้าของคนที่กำลังทะยอยผุดออกมานั้น กำลังยิ้มเยาะให้เขา 


 


 


เขารู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วร่าง ไม่สบายตัวแม้แต่น้อย 


 


 


จิตสำนึกของเขาหวนกลับไปยังความทรงจำไม่ดีในวัยเยาว์ ทำให้เขารีบยื่นมือออกไปคว้าข้อเท้าของตู๋กูซิงหลันไว้ 


 


 


ปฎิกิริยาเดียวที่เกิดขึ้นในทันทีของตู๋กูซิงหลันคือถีบเท้ากลับไป บังเอิญถีบลงไปบนพระพักตร์ของฮ่องเต้กลายเป็นรอยประทับรองเท้าจนหน้าแดงเถือก!  


 


 


จีเฉวียนโดนนางถีบเข้าไปเท้าหนึ่งเต็มแรงถึงกับมึนงง เดิมทีเขาคิดว่า ชาตินี้เขาคงโดนคนเอารองเท้าตบหน้าแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น!  


 


 


แต่ว่าสตรีที่ไม่รู้จักรักชีวิตผู้นี้กลับกระทำซ้ำอีกหน!  


 


 


“เอ่อ…….” ตู๋กูซิงหลันพูดไม่ออก นางนึกว่ามีอะไรมาคว้าขาของตนเองเอาไว้ เจ้าสุนัขจีเฉวียนนี่ อยู่ดีๆ มาคว้านางทำไม?  


 


 


นางหันหน้ากลับไปมองเขาครั้งหนึ่ง เห็นเขากำลังจ้องมาที่ตนเอง มือข้างนั้นเกาะกอดตัวเองเอาไว้แน่น 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน……..เจ้าหนุ่มนี่ คงจะไม่ได้กลัวผีใช่ไหม?  


 


 


ก็มีความเป็นไปได้อยู่ การที่เขาสามารถปีนป่ายขึ้นมาบนบัลลังก์ได้ มือต้องเปื้อนเลือดมาไม่รู้ว่าเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ การที่จะกลัวเรื่องพวกนี้อยู่บ้างก็สมควรอยู่ 


 


 


” ลูกเอ๋ย ไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่แล้ว! ” ตู๋กูซิงหลันหันไปสบตาให้เขาอย่างเชื่อมั่น “ข้างหน้ามีแสงสว่างอยู่ คิดว่าคงใกล้จะถึงปลายทางแล้ว พวกเจ้าสองคนอย่ามัวกังวล มีข้าอยู่รับรองว่าไม่ตายไปได้หรอก” 


 


 


จีเฉวียน “…….” 


 


 


จีเย่ว์ “……..” 


 


 


พวกเขาคนหนึ่งเป็นฮ่องเต้ อีกคนหนึ่งเป็นท่านอ๋อง แต่ว่าพอเกิดเรื่องก็ต้องมาให้สาวน้องยนางหนึ่งปกป้องหรือ?  


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่มาสนใจอะไรให้มากความ ใช้ความว่องไวรวดเร็วมุ่งออกไปทางแสงสว่างนอกอุโมงค์ 


 


 


พอถึงปลายทาง ถึงได้เห็นว่าแสงสว่างที่สะท้อนออกมานั้นมาจากประตูทองแดงบานหนึ่ง 


 


 


ประตูทองแดงบานนั้นเป็นเพียงประตูสี่เหลี่ยมบานหนึ่ง ขนาดเพียงหนึ่งในสามของหน้าต่างปกติ ด้านบนมีลวดลายยันต์ที่สลับซับซ้อน ตรงกลางมีภาพหยินหยางขนาดเท่าไข่ไก่ใบหนึ่ง 


 


 


แสงสว่างสะท้อนมาจากดวงตาขอปลาบนรูปหยินหยางนี้เอง 


 


 


“กึกๆๆๆ ~” ขณะนั้นเอง ที่ด้านหลังของพวกเขาพลันเกิดความเคลื่อนไหว ใบหน้าที่ผุดออกมาจากกำแหงหินเหล่านั้นเริ่มร่วงลงมา มันส่งเสียงที่พาลให้คนฟังแล้วเกิดขนลุกชัน แต่ละใบหน้าราวกับเศษผ้าขี้ริ้วแต่ละชิ้นที่ผสานรวมตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหน้ามนุษย์ที่อัปลักษณ์น่าเกลียดไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว 


 


 


จีเย่ว์ที่อยู่ด้านหลังสุด กำลังจะถูกใบหน้ามนุษย์นั้นพุ่งเข้ามากัดขาข้างที่บาดเจ็บอยู่ 


 


 


“มาแล้วๆ! อาหารเรียกน้ำย่อย! กำลังเสียดายอยู่เลยว่าไม่มีวิธีดึงพวกมันออกมาจากก้อนหินได้! ” วิญญาณทมิฬนั่งรอต่อไปไม่ไหวแล้ว กระโดผลุบจากบ่าของตู๋กูซิงหลันไปบนตัวของจีเย่ว์ 


 


 


เพียงวูบเดียวก็ขวางอยู่เบื้องหน้าของใบหน้านั้น อ้าปากแดงฉาดของมันเตรียมเขมือบเข้าไปอย่างเต็มที่ 


 


 


ใบหน้าอัปลักษณ์นั่นไม่เห็นมันอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย กลับอ้าปากขยายขึ้นใหญ่กว่ามันเสียอีก เ เพียงครั้งเดียวก็เขมือบกลืนถวนจื่อเข้าไปทั้งหมด 


 


 


ถึงจะบอกว่าเขมือบกลืน แต่ที่จริงแล้วน่าจะพูดว่าใช้ผิวหน้านั้นครอบทับเจ้าวิญญาณทมิฬลงไปเสียมากกว่า จากนั้นก็คิดจะบดขยี้มันอย่างโหดร้าย เรียกว่าคิดจะบดเบียดมันให้แตกละเอียด 


 


 


จีเย่ว์หันหลังกลับไปดู เมื่อครู่เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างวูบผ่านตัวเขาไปยังด้านหลัง จัดการหยุดยั้งใบหน้าประหลาดนั่นไว้ 


 


 


เขาพลันตื่นตระหนกขึ้นมาจริงๆ เพราะยามปกติมีแต่พบเจอกับคนธรรมดาทั่วไป มือสีขาวที่ผุดออกมาจากกำแพงเมื่อครู่ถือว่าเกินคาดไปมากแล้ว ตอนนี้ยังมีใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวนี่อีก ถึงแม้ว่าจะเคยมีจิตใจเข้มแข็งสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้ได้ 


 


 


อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันที่ติดอยู่ด้านหน้าประตูทองแดงนั้น ก็รีบศึกษาดูอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็สามารถทำให้รูปปลาคู่ในภาพหยินหยางหมุนขยับได้ 


 


 


จากนั้นก็ขยับจนดวงตาของปลาทั้งสองกลายเป็นจุดเดียวกัน ทันใดนั้นกุญแจทองแดงในอ้อมอกของนางก็พลันเกิดความเคลื่อนไหว  

 

 


ตอนที่ 87 ไก่ป่าจากที่ใดกัน

 

ตู๋กูซิงหลันไม่ครุ่นคิดให้มากความ หยิบกุญแจออกมาได้ก็เสียบเข้าไปทันที 


 


 


พอกุญแจทองแดงลอดเข้าไปในรู ก็ราวกับว่ามันถูกบางสิ่งดูดกลืนเข้าไปทั้งดอก ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่มีปฎิกิริยาใดๆ 


 


 


คราวนี้ตู๋กูซิงหลันเริ่มขมวดคิ้วบ้างแล้ว นางจดจ้องไปยังรูกุญแจนั่น จนผ่านไปอีกสักพัก นางถึงได้มองเห็นว่าที่ด้านหลังรูกุญแจนั่นมีดวงตาข้างหนึ่งปรากฎขึ้น สีเขียวเรืองๆ 


 


 


นางไม่พูดอะไรก็ใช้กริชของตนเองแทงเข้าไปในสัญลักษณ์หยินหยาง บนกริชนี้มีอักขระยันต์ที่นางสลักด้วยตนเอง ทั้งยังเป็นอักขระที่ใช้ทองคำดำราคาสูงเทียมฟ้าที่นางได้มาจากการให้เชียนเชียนเอาหยกประจำตัวของจีเย่ว์ไปขายมาหลอมเหลวจนสำเร็จขึ้นมา 


 


 


แน่นอนว่าต้องร้ายกาจอย่างยิ่ง 


 


 


ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่ด้านหลังของนาง เห็นนางที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าส่ายสะโพกโยกก้นไปมาไม่มีหยุด คนก็อดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ 


 


 


เอวของนางเล็กคอด แทบจะใช้สองมือโอบได้มิด ถึงแม้จะมีกระโปรงคลุมไว้ แต่เส้นสายที่บอบบางนั้นก็งดงามมากจริงๆ 


 


 


เขาพลันเกิดความคิดขึ้นมาว่า สะโพกที่งดงามเช่นนี้ต่อให้ผายลมออกมา ก็ไม่นับว่าเลวร้ายเท่าไหร่ 


 


 


เส้นผมที่ยาวสลวยของนางสยายลงมาถึงข้างลำตัว แทบจะบดบังเงาร่างทั้งหมดไว้ เกิดเป็นเสน่ห์ที่ใครก็ยากจะอธิบายออกมาได้ 


 


 


นับตั้งแต่อายุได้สิบสองปีเป็นต้นมา ตู๋กูซิงหลันก็ได้ชื่อว่าเป็นกุลสตรีที่งดงามที่สุดในแคว้นต้าโจว แต่ว่าก่อนหน้านี้จีเฉวียนกลับไม่ทรงเห็นว่านางจะงดงามในที่ใด 


 


 


ก็แค่ดวงตากลมโตกว่าคนอื่น ขนตายาวกว่าคนทั่วไป ผิวขาวกว่าใครๆ อยู่อีกหน่อย อะไรทำนองนั้น 


 


 


แต่ว่าในตอนนี้ได้ทอดพระเนตรเห็นเงาหลังของนาง ฮ่องเต้กลับทรงรู้สึกขึ้นมาว่า….ก็น่ามองอยู่มากทีเดียว 


 


 


นี่จะต้องเป็นเพราะว่าในสุสานมีสิ่งประหลาดลี้ลับมากเกินไป แล้วยังมีสายตาน่ารำคาญของจีเย่ว์นั่นอีก ฉะนั้นยามที่ได้มองนาง ถึงได้รู้สึกว่าสบายตากว่ายามปกติมากทีเดียว 


 


 


เขามัวแต่จิตใจจดจ่ออยู่ที่สตรีน้อยตรงหน้า จนกระทั่งลำคอรู้สึกแห้งกระหายขึ้นมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แทบจะไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าจีเย่ว์ที่อยู่ด้านหลังกำลังจะถูกใบหน้าประหลาดอัปลักษณ์นั่นคุกคามเอาชีวิต 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็ยิ่งไม่ได้สนใจหันไปมองสถานการณ์ที่ด้านหลัง พอกริชของนางเสียบเข้าไปได้ ขยับได้นิด ก็ได้ยินเสียงกริ๊กดังจากประตูทองแดงบานนั้น เมื่อใช้รูกุญแจเป็นจุดกึ่งกลางก็สามารถพลักเปิดออกไปได้ทั้งสองด้านซ้ายขวา 


 


 


ครู่หนึ่งก็รู้สึกได้ถึงกระแสของความเย็นพัดผ่านออกมา ทันใดนั้นก็ปรากฎ……หัวไก่ตัวหนึ่ง? 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……..” 


 


 


นางถูตาอยู่หลายรอบถึงได้แน่ใจว่า ที่เบื้องหน้าคือไก่ตัวหนึ่งจริงๆ! 


 


 


เส้นขนเป็นสีดำหงอนไก่เป็นสีแดงสด ดวงตาที่สดใสนั้น ข้างหนึ่งเป็นสีเขียว ข้างหนึ่งเป็นสีเหลืองทอง 


 


 


ไก่ตัวนั่นมีขนาดครึ่งตัวคน ทำท่าเหมือนแม่ไก่นั่งยองๆ อยู่ที่เบื้องหน้านาง ในปากของมันมีกุญแจทองแดงที่นางเสียบเข้ามาเมื่อครู่อยู่ มันกำลังใช้ดวงตาที่แปลกประหลาดคู่นั้นและศีรษะที่กระดุ๊กกระดิ๊กไปมาจดจ้องดูนาง 


 


 


หากไม่ใช่เพราะว่าบนร่างของมันมีกระแสเย็นๆ ของธาตุหยินอยู่เต็มเปี่ยม ตู๋กูซิงหลันคิดว่ามันก็ดูจะน่ารักดี 


 


 


ขณะนั้นเอง ที่ด้านหลังของนางเกิดเสียงโหยหวนดังขึ้น ตู๋กูวิงหลันเหลียวหลังไปดู ก็เห็นว่าใบหน้ามนุษย์ที่พึ่งกลืนกินวิญญาณทมิฬลงไปนั้น กำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจน 


 


 


ครู่เดียวก็เห็นว่าในดวงตาบนใบหน้ามนุษย์มีมือสั้นๆ อยู่คู่หนึ่ง ผุดออกมาจากดวงตาโดยตรง คล้ายกับว่ากำลังฉีกกระชากออกมาจากตรงจุดที่มันคลุมทับอยู่ 


 


 


ใบหน้ามนุษย์ในอุโมงค์นั้นได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจนเกิดความคิดหลบหนี แต่น่าเสียดายที่เจ้าถวนจื่อตัวดำๆ นั้น ถึงแม้ติดจะอวบอ้วน แต่ก็คล่องแคล่ว พละกำลังก็มาก ด้านหนึ่งฉีกทึ้ง ด้านหนึ่งก็กัดกิน จนในเวลาสั้นๆ มันกลายเป็นเพียงเศษหนังแผ่นหนึ่ง 


 


 


เศษเสี้ยวแผ่นหนังนั่นยังคิดที่จะหลบหนี แต่ว่าเจ้าถวนจื่อตัวดำกระโดดเพียงครั้งเดียวก็ทับร่างของมันเอาไว้อยู่หมัด อ้าปากกลืนกินมันลงไปอย่างไร้ความปราณี 


 


 


คราวนี้ วิญญาณทมิฬถึงได้นอนแผ่อยู่ในอุโมงค์ ใช้มือป้อมๆ ลูบไล้พุงกลมๆ จนเรอออกมาเล็กน้อย 


 


 


วิญญาณทมิฬเป็นร่างจิต ฮ่องเต้และอี้อ๋องย่อมมองไม่เห็น พวกเขามองเห็นแต่ว่า ใบหน้ามนุษย์ที่น่ากลัวนั่นกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย 


 


 


มาถึงโลกมิตินี้ต้องนานแล้ว วิญญาณทมิฬพึ่งจะรู้สึกว่าได้กินอาหารเรียกน้ำย่อยที่เป็นเรื่องเป็นราวเสียบ้าง 


 


 


พอมันเรอเสร็จเรียบร้อย ถึงได้กระโดดดึ๋งดั๋งมาที่ด้านหน้าของตู๋กูซิงหลัน จ้องมองไก่โง่ๆ พลางแยกเขี้ยวจนปวดฟัน 


 


 


“ไรเนี่ย ทำไมถึงเป็นไก่ล่ะ? แล้วปีศาจของอั๋วล่ะ? ผีร้ายละ? ตัวอันตรายทั้งหลายล่ะ? “ 


 


 


ไก่ที่มีแต่ตัวกับขนปุกปุยนั่นมองไปที่มัน ก็สะบัดหน้าหันไปอีกทางหนึ่ง กุญแจทองแดงที่อยู่ในปากก็ถูกเขวี้ยงออกไปดังตุ๊บอยู่บนพื้น 


 


 


ตู๋กูซิงหลันค่อยๆ เก็บกุญแจทองแดงขึ้นมาจากบนพื้น ใช้แขนเสื้อเช็ดถูจนสะอาด คนก็ค่อยๆ ลอดผ่านประตูทองแดงบานนั้นเข้าไป 


 


 


ไก่ตัวนั้นไม่ได้ส่งเสียงร้องใส่นาง เพียงแต่เฝ้ามองดูนางอย่างเงียบๆ 


 


 


พอนางเดินไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง มันก็ติดตามมาก้าวหนึ่ง ขยับคอผงกหัวไปมา ดมกลิ่นอยู่ที่บั้นท้ายของนาง 


 


 


พอตู๋กูซิงหลันหันไปมองดูมัน มันก็นั่งลงที่ด้านหน้าของนางอย่างสงบเสงี่ยม หงอนบนหัวขยับไปมา 


 


 


ดวงตาที่แปลกประหลาดคู่นั้นส่องประกายออกมา มันตีปีกอย่างตื่นเต้นยินดี ทั้งยังส่ายก้นผายลมออกมาครั้งหนึ่ง ค่อยทำท่าขนลุกไปทั้งตัว ก็พุ่งเข้ามาหานางอย่างต้องการจะผูกมิตร 


 


 


แต่ว่ามันยังไม่ทันจะกระทบถูกตู๋กูซิงหลัน ก็เห็นว่าฮ่องเต้ที่เสด็จตามมาอย่างกระชั้นชิด ยื่นพระบาทออกมาข้างหนึ่งกวาดใส่ก้นน้อยๆ ของเจ้าไก่ตัวนั้น ไก่ขนปุกปุยจึงลอยกระเด็นไปไกลอยู่หลายเมตร กรงเล็บบนเท้าของมันจิกกรีดลงไปบนแผ่นทองที่เรืองรองระยิบระยับอยู่บนพื้นจนเกิดริ้วรอยอยู่หลายเส้น 


 


 


เสียงขูดขีดนั่นราวกับกรีดไปบนแผ่นกระจก บาดหูอย่างที่สุด 


 


 


“ไก่ป่านี่มาจากที่ใด ถึงกลับบังอาจนัก กล้าวางท่าต่อหน้าเรา! ” จีเฉวียนประทับยืนอยู่ด้านข้างของตู๋กูซิงหลัน พอครุ่นคิดว่าเมื่อครู่บั้นท้ายของนางถูกเจ้าไก่นั่นมาทำดูๆ ดมๆ ก็รู้สึกว่าไอ้ไก่นี่สนควรตายยิ่งนัก 


 


 


อี้อ๋องจีเย่ว์เองก็พึ่งจะผ่านเข้ามาได้ ไก่ตัวนั่นก็ถูกเขวี้ยวมาตรงเบื้องหน้าของเขา 


 


 


ก่อนหน้านี้พึ่งจะได้เห็นภาพสยดสยองไปอยู่หลัดๆ คราวนี้กลับเป็นไก่เป็นๆ ตัวหนึ่ง ทำให้เขาออกจะไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง 


 


 


หรือใครจะกลัวว่าคนที่ผ่านเข้ามาจะหิวโหย ถึงได้ตระเตรียมอาหารเอาไว้กัน? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเห็นแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี จีเฉวียนถึงกับเป็นฮ่องเต้ที่จัดการคนกันเอง ข่มเหงผู้อ่อนแอแต่หวาดกลัวผู้แข็งแกร่งไปแล้ว ก็แค่ไก่ตัวหนึ่ง ไยต้องไปเตะมัน? 


 


 


นางกวาดตามองไปรอบๆ ถึงได้พบว่าทุกสิ่งในนี้ล้วนเป็นประกายแวววาว บนพื้นล้วนปูด้วยแผ่นทองคำ มีไข่มุกอัญมณีมากมายนับไม่ถ้วนกองรวมอยู่ แม้แต่กำแพงยังใช้หยกดำก่อขึ้นมา! 


 


 


หยกดำชนิดนี้ ยังสูงค่ากว่าทองคำมากมายนัก! 


 


 


บนกำแพงหยก ยังมีแสงจากตะเกียงโบราณที่ติดไฟลุกอยู่ แสงไฟเป็นสีฟ้า ทั้งหมดถูกติดตั้งไว้บนมุมทั้งแปด 


 


 


หินคริสตัลถูกนำมาสกัดจัดเรียงเป็นแท่นสูงขนาดใหญ่ บนแท่นปลูกเอาไว้ด้วนต้นไฮ่ถางขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง 


 


 


บนต้นไม้ไร้ดอก มีเพียงใบที่เ**่ยวแห้งไม่กี่ใบ ลำต้นขนาดใหญ่เอนลงมาจนเกือบจะคว่ำ แทบจะพิงไปกับกำแพง 


 


 


แสงสว่างสีฟ้าย้อมต้นไฮ่ถางจนหม่อหมอง ทั้งสุสานเป็นประกายสีฟ้าจางๆ 


 


 


“ที่นี่คือที่พักพิงสุดท้ายของเย่วฮูหยินหรือ? ” แม้แต่จีเย่ว์ยังถอนใจอย่างยากจะเชื่อได้ 


 


 


ผู้คนต่างทราบว่า ผู้เฒ่าตู๋กูทุ่มเทมากมายเพื่อสร้างสุสานให้กับเย่วฮูหยิน แต่กลับไม่มีใครรู้ว่า สุสานแห่งนี้จะวิจิตรพิศดารถึงเพียงนี้ 


 


 


จีเฉวียนเองก็หรี่ตามองอย่างพิจารณา เจ้าผู้เฒ่าตู๋กูถิงนั่นที่ผ่านมารักษาภาพลักษณ์ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีสมบัติใดติดตัว แต่สุสานแห่งนี้ยังวิจิตรงดงามเสียยิ่งกว่าของราชวงค์เสียอีก 


 


 


พระหัตถ์ข้างที่ได้รับบาดเจ็บ ยามนี้ปิ่นที่แทงทะลุฝ่ามือยังไม่ได้ถูกเอาออก พระหัตถ์ข้างนี้ปวดบวมจนแทบจะกลายเป็นกีบเท้าหมูแล้ว 


 


 


เขายกพระหัตถ์อีกข้างขึ้นมา คิดจะวางลงไปบนหัวไหล่ของตู๋กูซิงหลัน 


 


 


ก็เห็นเจ้าไก่ขนปุยที่เขาพึ่งเตะกระเด็นไปไกลหลายเมตรนั้นกำลังตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา ดวงตาวาววับด้วยความโกรธพุ่งตรงมายังเขา  

 

 


ตอนที่ 88 ปักดอกไฮ่ถางในสวนกระดูกขาว

 

ตู๋กูซิงหลันเห็นแล้ว ก็ดึงตัวฮ่องเต้มาไว้ที่ด้านหลังของตนเอง มืออีกข้างยื่นออกไปลูบไล้หงอนไก่ตัวนั้นไว้ 


 


 


เจ้าไก่ขนดำตัวฟูก็เปลี่ยนมาเป็นรีบพุ่งเข้ามาหยุดอยู่ข้างหน้านาง ซุกไซร้อยู่ตรงหน้าขา ราวกับจะออดอ้อนแม่ไก่ ดวงตาที่แปลกประหลาดนั้นสะท้อนแววตาน่าสงสารและได้รับความอยุติธรรม 


 


 


ยามที่มันหันไปมองจีเฉวียน สายตาก็เปี่ยมไปด้วยความแค้น มันยกกรงเล็บขึ้นมาตะกุย เล็บยาวๆ นั่นกรีดขูดลงไปบนแผ่นทองบนพื้นอยู่หลายครั้ง จนพื้นถูกมันขูดกลายเป็นร่องขึ้นมา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูอย่างปวดใจ อย่าขูดอีกเลย ขูดลงไปแต่ละทีมันแพงมากเลยนะ! 


 


 


แต่เจ้าไก่ขนดำตัวฟูตัวนั้นยังส่งเสียงกุ๊กๆ กิ๊กๆ ไม่ยอมหยุด เสียงนั่นกลับไม่คล้ายไก่ร้อง แต่กลับเหมือนสาปแช่งมากกว่า 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเคยได้เห็นอะไรมาก็มากมาย แต่ว่าเจ้าไก่นี่คือตัวอะไรกันแน่ ตอนนี้นางเองก็อธิบายไม่ถูก 


 


 


สามารถพิทักษ์เฝ้าสุสาน ทั้งยังมีชีวิตอยู่ได้เช่นนี้ จะต้องไม่ใช่สิ่งธรรมดา 


 


 


นายท่านผู้ยิ่งใหญ่อย่างจีเฉวียนถูกสาวน้อยคนหนึ่งเอาตัวเข้าปกป้องไว้ ตอนแรกเขาก็ชะงักไป เหม่อมองดูกระหม่อมด้านหลังของตู๋กูซิงหลัน ในพระทัยก็เกิดความอิ่มเอมขึ้นอย่างไร้ที่มา 


 


 


สตรีผู้นี้ยังนับว่ามีน้ำใจอันดีอยู่บ้าง รู้จักปกป้องเขา ถึงแม้ว่าที่จริงแล้วเขาจะไม่ต้องการให้นางมาปกป้องก็ตาม 


 


 


เขาหันไปมองไอ้ไก่ขนดำตัวฟูนั่นด้วนแววตาสะใจ อีกเดี๋ยวเถอะจะจับมันกลับไปตุ๋นน้ำแกง! 


 


 


เจ้าไก่ขนดำตัวฟู “…….” 


 


 


ครู่ต่อมา เขาก็ไม่ลืมที่จะหันไปกล่าวกับจีเย่ว์ที่ยืนงงอยู่อีกด้าน “ไทเฮารักถนอมเราจริงๆ ไม่อยากให้เราได้รับบาดเจ็ยใดๆ แม้แต่น้อยเชียว” 


 


 


น้ำเสียงของเขาดังไม่น้อย ราวกับเกรงว่าจีเย่ว์จะไม่ได้ยิน 


 


 


จีเย่ว์ไม่โต้ตอบ เขาเดินเข้าไปหยุดที่ด้านข้างของตู๋กูซิงหลัน หันไปมองที่ด้านหน้าของนางกล่าวว่า “ไทเฮาพะยะค่ะ บนต้นไม้นี้มีสายลมโชยออกมา คิดว่าด้านบนคงจะต้องมีทางออกเป็นแน่ ขอเพียงพวกเราปีนต้นไม้นี้ขึ้นไป ไม่แน่ว่าจะสามารถหาทางออกไปได้” 


 


 


เขานะไม่ใช่คนไร้ประโยชน์เหมือนฮ่องเต้บางองค์หรอกนะ ที่จะต้องการให้สตรีตัวเล็กๆ มาปกป้อง 


 


 


“นั่นไม่จำเป็นหรอก สุสานนี้เตรียมการจัดสร้างอย่างละเอียดละออ ไม่แน่ว่าทางออกจะอยู่ที่อื่น” จีเฉวียนยื่นมือไปเกาะกุมฝ่ามือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ “ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังมีสมบัติล้ำค่ามากมาย ไทเฮาจะอดใจรีบร้อนจากไปได้หรือ? “ 


 


 


หากว่าตามนิสัยเสียของนางแล้ว คิดว่าแม้แต่แผ่นปูพื้นยังต้องงัดเอาไปด้วยสักหลายๆ ชิ้น 


 


 


คนก็ตายไปแล้ว จะทิ้งสิ่งของนอกกายเหล่านี้เอาไว้ทำไมกัน? ไม่สู้เอาไปทำนุบ้านบำรุงเมืองต้าโจวดีกว่า 


 


 


ฮ่องเต้ทรงหรี่พระเนตรมอง ลอบคิดคำนวนดูสักหน่อย เฉพาะแค่ทองคำที่ปูอยู่บนพื้นก็มีอยู่หลายหมื่นชิ้นแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงกำแพงหยกดำที่มีมูลค่ามหาศาลเหล่านั้น รวมถึงสมบัติที่วางอยู่อย่างมากมายพวกนี้อีก จิ๊ส์……รับรองว่ามูลค่าไม่มีทางน้อยไปกว่าสมบัติในบ้านของโยวหยู่ไปได้หรอก 


 


 


เขายิ่งรู้สึกว่า การที่ฮ่องเต้แห่งต้าโจวเช่นเขาตกลงมาครั้งนี้นับว่าพอจะคุ้มค่าแล้ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันกรอกตาขาว เห็นชัดอยู่ว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่คิดจะขนสมบัติเหล่านี้กลับไปเป็นของตนเอง แต่กลับนับรวมนางเข้าไปด้วย 


 


 


สิ่งของในสุสานแห่งนี้ เขาอย่างได้คิดแตะต้องสักขุมขนหนึ่ง! มองมาไปยังถือว่าเป็นบาปด้วยซ้ำ! 


 


 


นางคร้านจะสนใจเขาอีกต่อไป จึงเดินขึ้นไปบนแท่นที่อยู่ตรงกลางนั้น เจ้าไก่ขนดำตัวฟูนั่นก็รีบติดตามไปด้วย มันเดินไปก็กางปีกเต้นไปด้วย ตัวกลมๆ ขนฟูๆ ของมันเดินก้าว กระโดดก้าว ก็ค่อยหันกลับมามองดูจีเฉวียนกับจีเย่ว์สักรอบหนึ่ง 


 


 


หากว่าเจ้าสองคนนี้ไม่ได้มากับพี่สาวตัวน้อยละก็ ป่านนี้ก็ตายเรียบไปนานแล้ว! 


 


 


แต่ละก้าวเดินที่ตู๋กูซิงหลันเหยียบย่างขึ้นไปบนแท่นนั้น นางรู้สึกได้ว่าความเย็นใต้ฝ่าเท้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อนางขึ้นไปยืนที่ด้านบนสุด ทั่วทั้งร่างก็หนาวสั่นเข้าไปจนถึงกระดูก 


 


 


เมื่อขึ้นไปจนถึงบนแท่น จึงพบว่าบนนี้มีโลงทองแดงหลังหนึ่งวางอยู่ บนโลงสลักไว้ด้วยลวยลายที่สลับซับซ้อน มุมทั้งสีตอกตรึงด้วยเหล็กดำ 


 


 


ผู้ที่นอนอยู่ด้านใน ก็คือท่านย่าของนาง เย่วฮูหยินหรือ? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยืนดูอยู่ที่ด้านข้างครู่หนึ่ง ก็เห็นเจ้าไก่ขนดำตัวฟูเอาหัวมาซุกไซร้ก้นของนางอีก คล้ายจะให้นางขยับไปทางโลงใบนั้น 


 


 


จากนั้นยังใช้ปีกมากระพือใส่กุญแจทองแดงในมือของนาง 


 


 


กุญแจทองแดงดอกนั้นราวกับได้รับสัญญาณเรียกอันใดสักอย่าง มันขยับเคลื่อนไหวอย่างเร่งร้อน เพียงแค่ตู๋กูซิงหลันยื่นกุญแจมาใกล้ๆ กับฝาโลง ตะปูเหล็กดำทั้งสี่มุมก็หลุดลอยออกมา 


 


 


ฝาโลงค่อยๆ เลื่อนออกมาเอง ชั่วขณะนั้นกระแสความเย็นไหลบ่าพวงพุ่งออกมา ทั้งที่ไม่มีสายลมพัด แต่กลับสร้างความรุนแรงจนเปลวไฟบนตะเกียงทั้งสี่ทิศแทบจะหรี่ดับลง 


 


 


อาศัยแสงตะเกียงที่ส่องสว่างอย่างไม่ยอมดับ ตู๋กูซิงหลันถึงได้พอจะมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในโลง โครงกระดูกขาวร่างหนึ่งนอนทอดตัวอยู่ในชุดกระโปรงปักลายดอกไฮ่ถาง 


 


 


เพียงมองดูจากใบหน้าของโครงกระดูกก็สามารถบอกได้ว่า ยามที่ยังมีชีวิตอยู่จะต้องเป็นสตรีที่งดงามเลื่องลือทั่วบ้านทั่วเมืองเป็นแน่ 


 


 


แต่ว่าเมื่อตายแล้วจะอย่างไรก็เป็นเพียงแค่กระดูกขาวโพลนกองหนึ่ง ฝังอยู่ใต้พิภพตลอดไปเท่านั้น 


 


 


ที่มือขวาของโครงกระดูก กำกล่องทองแดงขนาดเท่าฝ่ามือเอาไว้อย่างแนบแน่น 


 


 


ทันทีที่ได้เห็นกล่องทองแดงใบนั้น สายตาของตู๋กูซิงหลัยก็เปลี่ยนไป แม้แต่วิญญาณทมิฬเองก็พลอยตื่นเต้นอย่างระงับไม่อยู่ 


 


 


มันไม่รอช้ากระโจนลงไปในโลงทันที กระโดดตุ๊บตับอยู่บนโครงกระดูก มืออวบสั้นของมันยื่นไปดึงกล่องทองแดงใบนั้น 


 


 


ต่อให้ตายไปเป็นพันเป็นหมื่นรอบ มันก็ยังสามารถจดจำสิ่งที่ทำให้ทุกผู้คนต่างแย่งชิงกันอยู่ทุกลมหายได้เป็นอย่างดี! 


 


 


หยกสรรพชีวิต! 


 


 


กลิ่นอายมืดมิดที่กำจายออกมาราวกับแดนอนธการที่เหน็บหนาว กลับเป็นที่ยั่วยวนประหนึ่งน้ำผึ้งหวาน ราวกับดอกฝิ่นที่สามารถคร่าชีวิต ทำให้มันลุ่มหลงอย่างบ้าคลั่ง 


 


 


แต่พอมันพึ่งจะกระโดดลงไป ก็พบว่าโครงกระดูกนั้นขยับขึ้นมาทันที! 


 


 


ทันใดนั้นวิญญาณทมิฬก็ถูกแทงจนร่างพรุนประหนึ่งกระชอน เลือดสีดำมากมายไหลรินออกจากร่างของมัน ย้อมกระดูกนั้นจนเปลี่ยนสีไป 


 


 


วิญญาณทมิฬกรีดร้อนออกมาอย่างโหยหวน นับตั้งแต่มันมายังโลกนี้บาดเจ็บหนักอย่างมากที่สุดก็คือ ตอนที่ไปกัดเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นจนฟันแทบหมดปาก 


 


 


คิดไม่ถึงว่า เมื่อวานถึงที่นี่ จะถูกกระดูกขาวกองหนึ่งแทงละลุร่าง! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรีบผลุนผลันเข้ามา ลวงเอายันต์เหลืองผนึกลงไปบนโครงกระดูกจนทั่วทั้งร่าง 


 


 


โครงกระดูกนั่นเพียงชะงักไปชั่วครู่ แต่กลับไม่ยอมคลายปล่อยวิญญาณทมิฬ ทั้งยังลุกขึ้นมานั่ง หันศีรษะมาช้าๆ ประหนึ่งหุ่นยนต์กลไก ใช้ดวงตาสีดำที่ลึกกลวงโบ๋จ้องมองมาที่นาง 


 


 


ความมืดมิดในดวงตาคู่นั้นราวกับหุบเหวลึกที่ดูดกลืนนางลงไป 


 


 


ขณะเดียวกันความเย็นยะเยือกอย่างสุดขั้วที่กำจายออกมาก็แทรกซึมเข้าไปในร่างของนาง ตู๋กูซิงหลันชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่ทันทีนางจะได้ขยับตัว โครงกระดูกขาวนั่นก็ยกมือซ้ายขึ้นมา ส่งกล่องทองแดงใบนั้นมาตรงหน้าของนาง บนกล่องมีแม่กุญแจอยู่ดอกหนึ่ง แม่กุญแจอยู่ต่อหน้านางแล้ว 


 


 


โครงกระดูกขาวนั้นก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนอีก รางกับว่ากำลังรอให้นางเปิดกล่องอยู่เช่นกัน 


 


 


นางหรี่ตามอง ครู่ต่อมาค่อยใช้ลูกกุญแจทองแดงเปิดกล่องออกมา 


 


 


ลูกกุญแจสอดเข้าไปในรู ล๊อคที่ปิดไว้ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย 


 


 


ที่แท้แล้ว……ลูกกุญแจดอกนี้ไม่ใช่สำหรับเปิดประตูทองแดงบานนั้น แต่เอาไว้สำหรับเปิดกล่อง 


 


 


เมื่อครู่ที่ช่วยเปิดประตูให้นางนั้น คงจะเป็นเจ้าไก่ขนดำตัวฟูที่อยู่ข้างตัวนี่เอง 


 


 


เมื่อเปิดออกไอดำภายในก็ฟุ่งกระจายออกมา พร้อมกับเสียงทูตผีนับพันนับหมื่นร่ำร้องอย่างโหยหวน ท่ามกลายไอสีดำนั้น ตรงกลางมีเศษหยกสีดำที่ดำยิ่งกว่าน้ำหมึกชิ้นหนึ่งวางอยู่ เศษหยกชิ้นนั้นมีขนาดเพียงแค่เหรียญเล็กๆ เหรียญหนึ่ง บนเนื้อหยกมีลวดลายสลับซับซ้อนที่ไม่สมบูรณ์อยู่ 


 


 


เพียงแค่ตู๋กูซิงหลันยื่นมืออกไป เศษหยกดำชิ้นนั้นก็ลอยลงมายังใจกลางฝ่ามือของนาง 


 


 


ราวกับว่ามันมีความผูกพันกับนางอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ทันทีที่สัมผัสกับฝ่ามือของนาง ไอสีดำทมึนนั้นก็สลายตัวเป็นหมอกควันหายไปในทันที แม้แต่ควานเย็นสุดขั้วและเสียงกรีดร้องเหล่านั้นก็พลอยเงียบหายไปด้วย เหลือบเพียงเศษหยกสีดำที่ดูธรรมดาๆ วางอยู่บนฝ่ามือเท่านั้น  

 

 


ตอนที่ 89 ฝ่าบาทกลายเป็นไก่กุ๊กไปแล้ว!

 

แม้แต่ลวดลายซับซ้อนบนเนื้อหยกเองก็จางลงไปมาก หากว่าไม่ได้มองดูอย่างละเอียดก็แทบจะสังเกตไม่ออก 


 


 


 


 


 


นี่คือ หยกสรรพชีวิตอย่างแน่นอน 


 


 


แต่ว่าไม่ใช่ชิ้นที่สมบูรณ์ เพียงสามารถบอกได้ว่านี่คือส่วนหนึ่งของหยกสรรพชีวิต และเป็นเพียงชิ้นส่วนเล็กๆ เท่านั้น 


 


 


หยกสรรพชีวิตที่สมบูรณ์นั้น น่าจะมีขนาดใหญ่ว่านี้สักสิบเท่า และร้ายกาจน่ากลัวกว่านี้ร้อยเท่า 


 


 


ถึงตอนนี้ โครงกระดูกขาวนั้นค่อยขยับปากเล็กน้อย เปล่งเสียงที่อ่อนโยนของสตรีผู้หนึ่งออกมา “….ส่งต่อให้เจ้าแล้ว…” 


 


 


สิ้นเสียง โครงกระดูกก็เอนกลับลงไปในโลงใบนั้น มือที่บีบวิญญาณทมิฬไว้แน่นค่อยๆ คลายออก ตู๋กูซิงหลันเข้าไปรับตัวเจ้าวิญญาณทมิฬไว้ พามันกลับมาไว้บนบ่าของตนเอง 


 


 


อาการของวิญญาณทมิฬ ถือว่าสาหัส! 


 


 


” ท่านย่าของเจ้าคนนี้……….ร้ายกาจยิ่ง! วิญญาณทมิฬครางออกมาไม่กี่คำก็ตาเหลือก สลบหมดสติไป 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูโครงกระดูกขาวที่นอนอยู่ในโลง ดูท่าเย่วฮูหยินก่อนตายคงมีความในใจหนักหนาที่ไม่อาจสมประสงค์ ถึงได้ผนึกความคาดหวังสุดท้ายเอาไว้บนร่าง อาศัยความสามารถขอหยกสรรพชีวิตหล่อเลี้ยงไว้ ถึงผ่านมาหลายปีแล้วก็ยังไม่สลายไป 


 


 


ถึงตอนนี้ความประสงค์สำเร็จลงแล้ว จึงปลดปล่อยทุกสิ่งเหลือเพียงกระดูกกองหนึ่ง 


 


 


แท้ที่จริงแล้วนางคือผู้ใดกันแน่? ทำไมจึงสามารถครอบครองหยกสรรพชีวิต และรอคอยที่จะส่งมอบต่อให้กับเจ้าของร่างเดิมในเวลานี้? 


 


 


ถึงแม้ว่าในหัวของนางจะมีแต่คำถามมากมาย แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยับหยิบเอาเส้นผมปอยนั้นของจีเฉวียนออกมาจากในอกเสื้อ ผูกเป็นเงื่อนแล้วจึงวางลงในโลงของนาง 


 


 


หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ล้วงเอายันต์สีเหลืองที่ว่างเปล่าออกมาใบหนึ่ง สะกิดปลายนิ้วออก ใช้โลหิตของตนเองวาดยันต์เสริมวาสนาภพหน้าออกมาชุดหนึ่ง ค่อยเผามันต่อหน้าโครงกระดูกด้วยตนเอง 


 


 


“ท่านย่า ขอให้ภพหน้ามีแต่ความสงบสุขเจ้าค่ะ” 


 


 


ยามที่นางกล่าวประโยคนี้ออกไป แม้แต่เจ้าไก่ขนดำตัวฟูที่อยู่ด้านข้างยังน้ำตาร่วงไปด้วย มันใช้ปีกของตนเองมาโอบกอดขาของนางไว้ น้ำมูกน้ำตาอาบป้ายอยู่บนมุมกระโปรงของนาง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูโฉมงามกระดูกขาว กล่าวลาคำหนึ่ง ค่อยเลื่อนปิดฝาโลงด้วยตนเอง 


 


 


ทันทีที่ฝาโลงเลื่อนปิดลง ทั่วทั้งสุสานก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นมา แท่นที่ประกอบขึ้นจากหินคริสตัลเลื่อนออกไปทั้งสองด้าน ที่ใต้เท้านางปรากฎทางเดินเล็กๆ สายหนึ่ง มีสายลมเย็นสบายพัดโชยออกมา 


 


 


“กุ๊กๆ กู๊ก~” ไก่ขนดำตัวฟูค่อยยอมปล่อยขาของนาง ใช้ปีกของมันชี้ไปทางทางน้อย สื่อความหมายว่าต้องการให้ตู๋กูซิงหลันเข้าไป 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพาเจ้าวิญญาณทมิฬที่สลบเหมือบไปแล้ว ก้าวเท้าลงไปก้าวหนึ่ง ค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าเจ้าลูกชายสุนัขและคนรักเก่ายังอยู่ในสุสาน 


 


 


พอหันกลับไปมองดู ไม่รู้ว่าเจ้าตัววุ่นวายทั้งสองนี้สลบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ 


 


 


แต่ก็ใช่อยู่นะ ………หยกสรรพชีวิตไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทนทานรับได้ 


 


 


ความเย็นที่กำจายออกมาเมื่อครู่ มากเกินพอที่จะทำให้พวกเขาสลบไสลไป 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาทั้งสองได้รับบาดเจ็บตั้งแรกแรก ตลอดทางมานี้ต้องเผชิญทั้งไอเย็นและผีปีศาจต่างๆ นาๆ ……. 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคิดๆ ดูแล้ว ต่อให้ตบหน้าลงไปสักรอบสองรอบก็คงไม่ใช่ให้ทั้งสองฟื้นขึ้นมาได้ มีแต่ต้องแบบพวกเขาไปด้วยเท่านั้น 


 


 


เจ้าไก่ขนดำตัวฟูติดตามนางมาดู สายตาของมันจดจ้องอยู่บนพระพักตร์ของจีเฉวียน จากนั้นก็จิกลงไปสองทีอย่างเคียดแค้น สุดท้ายยังไม่ลืมที่จะจิดเอารัดเกล้าประดับอัญมณีของเขาออกมา กรงเล็บของมันตะครุบลงแล้วสะบัดขึ้นไปทีหนึ่ง รัดเกล้านั้นก็คล้องอยู่บนลำคอของมันอย่างพอดิบพอดี 


 


 


จากนั้นก็หันไปเร่งตู๋กูซิงหลันให้รีบออกไปจากที่นี่ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันก็ใช้ไหวพริบออกมา ตัดเอากิ่งไฮ่ถางที่ทั้งอ่อนและเหนียวออกมาหลายเส้น ใช้กิ่งของมันมัดจีเฉวียนเอาไว้บนหลังของตนเอง แล้วก็อุ้มจีเย่ว์ขึ้นมา บนศีรษะของนางก็มีวิญญาณทมิฬที่ยังสลบเหมือกอยู่ จากนั้นก็เริ่มออกเดินไป 


 


 


แต่เดินออกไปได้แค่สองก้าว ใจของนางก็รู้สึกไม่ยินยอม ต้องหันกลับไปแงะแผ่นทองออกมาสองแผ่นและงัดหยกดำบนกำแพงออกมาอีกชิ้นหนึ่งถึงจะจากไปได้ 


 


 


ท่านย่ามั่งมีถึงขนาดนั้น นางเอามาแค่นิดๆ หน่อยๆ ท่านผู้เฒ่าคงไม่ถือโทษโกรธเคืองหรอกมั้ง? 


 


 


หากไม่ใช่เพราะว่าเจ้าสองตัวนนี้สลบไปแล้วละก็ นางยังคิดจะเอามามากกว่านี้อีกสักหน่อย 


 


 


นางเหลือบมองดูกองมหาสมบัติพวกนั้น……..โอ้ สวยงามแวววาวเหลือเกิน อยากด๊ายอยากได้ง่ะ 


 


 


เอาวะ! นางจะต้องขูดรีดออกมาจากเจ้าสองตัวนี้แทนทั้งหมด! 


 


 


……………………………. 


 


 


ที่เชิงเขาใต้สุสาน หลี่กงกงสลบแล้วฟี้นอยู่หลายรอบแล้ว 


 


 


นับตั้งแต่ฟ้ายังสว่างจนกระทั้งฟ้ามืดค่ำ เขาเอาแต่เหม่อมองออกไป มองออกไปจนตัวเองแทบจะแข็งกลายเป็นหินไปแล้วด้วยซ้ำ 


 


 


ฝ่าบาททรงถูกฝังลงไปทั้งเป็น ท่านแม่ทัพผู้พิชิตไม่ยินยอมให้ขุดพลิกสุสาน แต่กลับเชื่อคำของนักพรตอู๋เจิน ที่ให้ย้ายลงมาขุดอุโมงค์อยู่ที่ตีนเขา เพราะบอกว่าสุสานเช่นนี้ เมื่อตกลงไปจากด้านบนย่อมต้องออกมาจากด้านล่าง 


 


 


ของเพียงแค่ขุดอุโมงค์ลงไปจากตำแหน่งที่เขาเลือกไว้ให้ลึกได้สามจั้งก็พอแล้ว 


 


 


แต่ว่าอุโมงค์นี้ขุดกันมาตั้งนานแล้ว กลับยังไม่มีทีท่าจะเจอะเจออะไรบ้างเลย 


 


 


แถมเรื่องที่ฝ่าบาททรงถูกฝังทั้งเป็นนี้ พวกเขาเองก็ไม่กล้ากระพือข่าวออกไป ได้แต่รีบแจ้งไปยังท่านราชครูและกองราชองครักษ์ให้นำจอบและเสียมมาขุดอุโมงค์ช่วยเหลือฝ่าบาท 


 


 


พอมองออกไปเช่นนี้ท้องฟ้ายิ่งทียิ่งมืดลงแล้ว แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะเจออะไรเลย 


 


 


สุดท้ายแล้วจะสามารถทำให้สุสานแห่งนี้ทลายราบลงได้หรือไม่ ได้แต่ต้องพึ่งพาพวกท่านแล้ว! 


 


 


ยามนี้แม้แต่ตู๋กูจุนเองก็รุ่มร้อนขึ้นมาแล้ว น้องเล็กยังติดอยู่ข้างในนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่านางจะถูกเจ้าสุนัขสองตัวนั่นรังแก? 


 


 


นางเกิดมาก็มีรูปร่างหน้าตางดงาม ถ้าเกิดว่าเจ้าสุนัขแซ่จีสองตัวนั้นก็เกิดคึกคักอยากจะจ้ำจี้ขึ้นมา กระทำเรื่องอย่างว่ากับน้องเล็กเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? 


 


 


ยิ่งคิดๆ ไปตู๋กูจุนก็ยิ่งหวาดกลัว! 


 


 


เจ้าจีเย่ว์นั้นคงไม่มีความกล้าจะทำสักเท่าไหร่ 


 


 


กลัวก็แต่เจ้าฮ่องเต้สุนัขจีเฉวียนนั่น …..พอคิดย้อนไปถึงสายตาของจีเฉวียนยามมองมาที่น้องเล็ก เห็นอยู่ชัดๆ เลยว่าเป็นหมาป่าที่จ้องจะจัดการลูกแกะน้อย แทบอยากจะจับนางกลืนลงไปทั้งเป็น! 


 


 


แล้วหากมีโอกาสดีงามถึงขนาดนี้ เขามีหรือจะยอมพลาดไปได้? 


 


 


ตู๋กูจุนคิดไปไกลจนถึงขนาดเห็นภาพน้องเล็กตั้งครรภ์ จากนั้นทนทรมานคลอดลูกของเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นออกมาอย่างยากลำบาก! 


 


 


โอ้ น้องน้อยที่น่าสงสารของพี่! พี่ใหญ่ผิดต่อเจ้าแล้ว! พี่ใหญ่จะไปตัดหัวเจ้าสุนัขนั่นเดี๋ยวนี้! 


 


 


ตู๋กูจุนกำดาบใหญ่ของเขาเอาไว้แน่นตลอดเวลา จนข้อนิ้วทั้วหมดซีดขาว! 


 


 


เสียนไท่เฟยหุบร่มลงแล้ว บนพระพักตร์ของนางมีแต่ความกังวลใจ 


 


 


ท่านราชครูยืนอยู่ที่ปากอุโมงค์ กำชับเหล่าทหาราชองค์รักษ์ให้ขุดลึกลงไปอีกเรื่อยๆ 


 


 


เจียงเหม่ยหยู่และผู้คนทั้งหลายที่่มากราบไหว้ที่สุสานทั้งหมดต่างถูกกักตัวไว้ ต่างก็รอคอยอยู่ที่ด้านข้างมาทั้งวัน จนตัวสั่นสะท้านไปหมดแล้ว 


 


 


ตอนแรกนางยังกล้าจีบปากจีบคอพูดอยู่ปาก แต่ว่าตอนนี้แม้แต่ลมก็ยังไม่กล้าผาย ขุนนางใหญ่มากมายต่างมารวมกันอยู่ที่นี่ นางนับเป็นอะไรได้? 


 


 


หากว่าวันนี้ฝ่าบาททรงเป็นอะไรไป เพื่อปิดบังข่าวนี้เอาไว้กององครักษ์ประจำพระองค์อาจจะส่งพวกนางขึ้นสวรรค์่พื่อปิดปากตลอดไป 


 


 


สีหน้าของท่านนักพรตอู๋เจินสงบนิ่ง เขากำลังสวดประคำในมืออยู่ ริมฝีปากสวดมนต์ขมุบขมิบ ด้วยความสามารถของไทเฮาน้อยผู้นั้น ตอนให้ในสุสานมีผีมากมายแค่ไหน ยังจะทำอะไรนางได้? 


 


 


ที่จริงแล้วไม่จำเป็นจะต้องกังวลเลยด้วยซ้ำ 


 


 


แต่ว่าเขาไม่อาจแพร่งพรายความสามารถอันล้ำเลิศของไทเฮาน้อยออกไปได้ 


 


 


บรรดาเหล่านักพรตรูปงามทั้งหลายต่างก็รวมสวดพระไตรปิฎกไปกับเขาด้วย 


 


 


อาจบางทีเพราะมนต์ศักดิ์สิทธ์ในพระไตรปิฎกสำแดงเดช เมื่อพระจันทร์ขึ้นถึงกลางฟ้า ภายในอุโมงค์ก็เกิดความเคลื่อนไหว 


 


 


ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างพากัดกลั้นลมหายใจไว้ ยืดคอยาวมองเข้าไปในอุโมงค์ 


 


 


อุโมงค์ที่ขุดเอาไว้ค่อนข้างกว้าง สามารถได้ยินเสียงฝีเท้าสะท้อนออกมาจากภายใน 


 


 


“ฝ่าบาท! จะต้องเป็นพวกฝ่าบาทเสด็จออกมาแล้วแน่ๆ! หลี่กงกงตื่นเต้นจนน้ำตาแห่งความยินดีรินไหล ส่งเสียงราวเป็ดตัวผู้ด้วยความยินดี 


 


 


แววตาของท่านราชครูก็ส่องประกาย 


 


 


“น้องเล็ก! “ 


 


 


“เย่เอ๋อร์! “ 


 


 


ทุกคนต่างพลอยถูกเขากระตุ้นไปด้วย แต่ละคนมุ่งไปทางปากอุโมงค์ 


 


 


เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ หัวใจของทุกคนต่างก็ลิงโลดขึ้นมา หลังจากลำบากมาทั้งวัน ในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึงแล้ว! 


 


 


“ฝ่าบาทททท ฝ่าบาท~” หลี่กงกงรีบสั่งให้ขันทีน้อยยกเกี้ยวมาเตรียมไว้นำเสด็จกลับวังหลวง 


 


 


พอเขาเรียกออกไปเช่นนี้ เสียงฝีเท้าด้านในกลับหยุดลง 


 


 


หัวใจของผู้คนทั้งหมดต่างรอคอยด้วยความระทึก ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงตอบรับกลับมาจากด้านใน “กุ๊กๆ กรู้~” 


 


 


ผู้คนทั้งหลาย “!!! “ 


 


 


ไม่ทันรอให้พวกเขาได้มีปฎิกิริยาใดๆ พวกเขาก็เห็นไก่ขนดำตัวฟูตัวหนึ่งขนาดใหญ่เท่าครึ่งตัวคนตัวหนึ่งขนกระโดดตุ๊บตับออกมา บนลำคอของมันมีรัดเกล้าของฮ่องเต้สวมอยู่ มันยืนเด่นเป็นสง่าท่วงท่าประหนึ่งผู้นำของใต้หล้ามองดูผู้คนทั่งหลาย 


 


 


หลี่กงกงเกือบจะเป็นลมล้มลงไปอีกครั้ง “ฝ่า…..ฝ่าบาท….ฝ่าบาทกลายเป็นไก่ไปแล้วววว! “  

 

 


ตอนที่ 90 ยอดฝีมือในการขัด (ขวาง)

 

ผู้คนทั้งหลายต่างก็ตื่นตระหนก แต่ละคนจดจ้องไปยังเจ้าไก่ขนดำตัวฟูตัวนั้น เมื่อมองดูแววตาของมัน ก็รู้สึกว่ามีความหยิ่งผยองอยู่หลายส่วน 


 


 


เจ้าไก่ขนดำตัวฟูไม่ได้พบผู้คนมากว่าสิบปีแล้ว พอออกมาก็ได้เห็นผู้คนมากมายรายล้อมต้อนรับ ย่อมภาคภูมิใจอย่างที่สุด 


 


 


สายตาของมันเป็นประกาย มันขยับปีกครั้งหนึ่ง ท่วงท่าราวเจ้าแผ่นดินรับการคำนับจากขุนนางทั้งหลายว่าไม่ต้องมากมารยาท 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นรัดเกล้าของฝ่าบาทบนลำคอก็โดดเด่นสะดุดตาอย่างที่สุด 


 


 


หลี่กงกงเปล่งเสียงไม่ออกแล้ว เขาย่อตัวลงแทบจะกลายเป็นคุกเข่าลงไปที่ตรงหน้าไก่ขนดำตัวฟู พลางยื่นมือออกไปคิดจะลูบไล้ไก่ตัวนั้นแต่ก็ไม่กล้า ได้แต่น้ำตารินไหลสะอื้นเบาๆ “เวรกำเอ๋ย ฝ่าบาท พระองค์ทรงถูกสิ่งลึกลับในสุสานสาปเข้าหรือ ฝ่าบาทที่น่าสงสารของกระหม่อม……….” 


 


 


ไก่ตัวนั้นเหลือบตาค้อนเขาทีหนึ่ง ค่อยเชิดคอเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ไยดี 


 


 


มันเกลียดชายผู้ที่เตะมันนัก รวมไปถึงเหล่าพวกที่ทำดีต่อชายผู้นั้นด้วย 


 


 


มันเริ่มกรีดกรงเล็บกางออกตะกุยพื้นอีกครั้ง 


 


 


“ท่านราชครู นี่สมควรจะทำเช่นไรดี? ” หลี่กงกงเงยหน้าขึ้นมองท่านราชครูที่ยังคงรักษาสีหน้าสงบนิ่งอยู่ 


 


 


พูดไปแล้ว เขาก็หันไปมองทางนักพรตอู๋เจินรอบหนึ่ง เรื่องแบบนี้สมควรจะถามเหล่านักพรตอารามเทียนเก๋อกวนดีกว่าละมั้ง 


 


 


นักพรตอู๋เจินลูบคลำประคำในมือ สิบนิ้วประนมเข้าหากัน กล่าวออกมาคำหนึ่ง “โอ้ เง็กเซียนบนสวรรค์…..” 


 


 


ไก่ขนดำตัวฟูตัวนี้ออกมาจากสุสานที่ยิ่งใหญ่ จะพิจารณาอย่างไรก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดนัก บนตัวมันยังมีกลิ่นอายธาตุหยินอยู่เต็มเปี่ยม แต่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่พวกปีศาจ 


 


 


นี่ช่างเป็นเรื่องประหลาด 


 


 


ผู้คนทั้งหลายเห็นแล้วก็ทำสิ่งใดไม่ถูก จะให้พวกเขาเชื่อว่าฮ่องเต้ของต้าโจวกลายเป็นไก่ตัวหนึ่งหรือ นี่มันเหลื่อเชื่อเกินไปหรือเปล่า? 


 


 


ยังไม่ทันให้พวกเขาได้พูดอะไร ไก่ตัวนั้นกลับทำแววตาคล้ายคลึงกับฮ่องเต้อยู่หลายส่วน 


 


 


ดังนั้นจึงมีพวกไม่ได้เรื่องที่สมองมึนงงหลายคนที่ถูกหลี่กงกงพาหลงจนคุกเข่าตามกันไปด้วย พากันกล่าวตามออกมาว่า “ฝ่าบาท ท่านนักพรตอู๋เจินและท่านราชครูจะต้องหาหนทางคืนร่างให้กับพระองค์ได้แน่” 


 


 


พวกเขาต่างเคยได้ยินมาว่าท่านราชครูยามเยาว์วัยเคยไปฝึกวิชาบำเพ็ญตนบนเขาฮัวชิงซาน ทั้งยังเป็นผู้มีวิชาพยากรณ์ด้วย เรื่องของฝ่าบาท…..ท่านราชครูย่อมต้องมีหนทางเป็นแน่ใช่หรือไม่? 


 


 


ไก่ตัวนั้นต้องใจฟังอย่างจริงจัง มันขยับปีกที่เอวข้างหนึ่ง ทั้งยังไม่ลืมกวาดตามองพวกเขาครั้งหนึ่ง ค่อยส่งเสียงตอบคำหนึ่ง “กุ๊กๆ กรู้~” 


 


 


ผู้คนทั้งหลาย “……..” 


 


 


หลี่กงกง “ฝ่าบาท? “ 


 


 


ไก่ขนดำตัวฟู “กุ๊กกรู้~” 


 


 


ในที่สุดตู๋กุจุนดูแล้วก็ทนไม่ไหว ควงดาบใหญ่ในมือชี้ไปทางเจ้าไก่ขนดำตัวฟูนั้น “น้องสาวข้าละ? เจ้าเอานางไปไว้ที่ไหน” 


 


 


หากว่าไอ้ไก่นี่คือฮ่องเต้ละก็ดีเลย จะได้เชือดเสียในดาบเดียวโยนลงหม้อตุ๋นไปเลย ไม่ต้องหาเหตุอะไรมาก่อกบฎมันแล้ว 


 


 


ฮ่องเต้ที่กลายเป็นไก่ไปแล้ว จะยังเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้อย่างไร? 


 


 


ไก่ขนดำตัวฟูค่อยหันมามองเขา ทำหัวกระดุ๊กกระดิ๊กอยู่ครู่ใหญ่ หากว่ามันจำได้ไม่ผิดละก็ เมื่อสิบปีก่อนไอ้หนุ่มนี้ยังเป็นแค่หนุ่มน้อยคนหนึ่ง แค่พริบตาเดียวก็เติบใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว 


 


 


มันขยับปีกน้อยๆ เป็นการทักทายเขา 


 


 


แต่ในสายตาของตู๋กูจุนนี่เท่ากับเป็นการท้าทาย ดาบใหญ่ของเขาปาดลงมาบนตัวมัน 


 


 


หลี่กงกงตกใจจนตาตั้ง นั่นคือฝ่าบาทนะ……ต่อให้กลายเป็นเพียงไก่จะอย่างไรก็คือฝ่าบาท …….ทำไมท่านแม่ทัพถึงได้หุนหันพลันแล่นเช่นนี้? 


 


 


ท่านราชครูเพียงแต่ยืนอย่างสงบนิ่ง ไม่ส่งเสียงใด ภายใต้ชุดคลุมสีม่วง ดวงตาของเขาราวกับละลอกคลื่น เพียงหันไปมองลึกลงไปในอุโมงค์นั้น 


 


 


ครู่ต่อมา ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังสะท้อนมาจากในอุโมงค์ 


 


 


ตู๋กูจุนสบัดดาบอีกครั้งไล้ผ่านปีกของไก่ขนดำตัวฟูตัวนั้น จนขนบางส่วนปลิวออกมา 


 


 


เจ้าไก่ขนดำตัวฟูผวาจนตัวสั่น รีบแอบไปหลบที่ด้านข้าง เกือบไปแล้วๆ ……..อีกนิดเดียวมันก็จะกลายเป็นไก่ปีกด้วนแล้ว 


 


 


ขณะเดียวกัน ตู๋กูซิงหลันก็อุ้มจีเย่ว์ แบกจีเฉวียนเดินออกออกมาจากอุโมงค์ในภูเขา 


 


 


ถึงนางมีพละกำลังมาก แต่เจ้าสุนัขไม่ได้เรื่องสองตัวนี้รวมกันก็หนักสามร้อยกว่าจิน (เกิน 150 กิโล) การจะพาพวกเขาออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย 


 


 


ด้วยรูปร่างที่เล็กบอบบางของเจ้าของร่างนี้ทำเอาเอวแทบจะหักแล้ว นางต้องเหงื่อท่วมหายใจหอบมาตลอดทางเลย 


 


 


เส้นผมของนางเปียกเหงื่อจนชุ่ม ลีบติดใบหน้า 


 


 


แต่ยามที่เดินออกมาถึงปากอุโมงค์กลับได้เห็นภาพที่ไม่คาดคิดมาก่อน…….หลี่กงกงกับขุนนางทั้งหลายกำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเจ้าไก่ขนดำตัวฟู พี่ใหญ่ ท่านราชครู ไท่เสียนเฟย นักพรตอู๋เจินและเหล่าศิษย์ทั้งหลาย ยังมีกองทหารตระกูลตู๋กูและเหล่าองครักษ์ของฮ่องเต้ กระทั่งเจียงเหม่ยหยู่และคนของนางทั้งหมดต่างรอคอยอยู่ด้านนอก 


 


 


ภายใต้แสงจันทร์สว่างและสายลมหวีดหวิว ตู๋กูซิงหลันที่เหงื่อท่วมตัวถูกลมพัดโชยจนรู้สึกเย็นสบายขึ้นมาไม่น้อย 


 


 


“น้องเล็ก! ” ตู๋กูจุนมองดูนางอย่าไม่อาจเชื่อสายตาตนเอง หากไม่ได้เห็นว่าใบหน้าเล็กๆ นั่นคือน้องเล็กแล้วละก็ เขาจะต้องคิดว่าเป็นสัตว์ประหลาดอะไรสักอย่างลากเจ้าคนแซ่จีทั้งสองออกมาแน่ 


 


 


เพราะว่าแม้แต่ตัวเขาเอง หากต้องทั้งอุ้มทั้งแบกบุรุษตัวใหญ่ทั้งสองออกมาก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยกยิ้มมุมปาก ภายใต้สายตาตื่นตระหนกของผู้คนทั้งหลายย นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นเสยผม “โอ้ ความรักของมารดาช่างเป็นสิ่งแปลกประหลาดที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน! เราช่างเป็นมารดาผู้ประเสริฐ ทุ่มเทชีวิตชรานี้ช่วยเหลือราชโอรสทั้งสองออกมา” 


 


 


ผู้คนทั้งหลาย “……….” 


 


 


ทำไมพวกเราถึงได้รู้สึกว่าเจ้าเป็นตัวประหลาดไปแล้ว? กลายเป็นพวกมีกำลังมหาศาลอะไรแบบนั้น 


 


 


“เรามึนศีรษะมาก เราไม่มีแรงแล้ว” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพูดแล้วก็โซเซอย่างหมดเรี่ยวแรงขึ้นทันใด เอวอ่อนจนแทบล้มลงไปกับพื้น 


 


 


ตู๋กูจุนมือเท้าว่องไวรีบเข้ามาพยุงนางไว้ มือก็รีบกระชากกิ่งไม้ที่รัดรึงจีเฉวียนบนหลังนางขาดออกไป 


 


 


เมื่อเห็นว่าจีเฉวียนกำลังจะหล่นลงไปบนพื้น ท่านราชครูก็รีบเคลื่อนร่างหมูสามชั้นของเขาเข้ามารองรับตัวจีเฉวียนไว้ โอบอุ้มพระองค์เข้าไปในอ้อมอก เส้นผมยาวสลวยของเขาสัมผัสพระพักตร์ของฝ่าบาท สายตาเปี่ยมไปด้วยความกังวลใจ 


 


 


น้ำเสียงของเขาอบอุ่นอย่างอยากหาที่ใดเปรียบได้ “ฝ่าบาท~” 


 


 


ภายใต้แสงจันทร์สาดส่องสว่าง ภาพของท่านราชครูที่รูปร่างอวบอ้วน และฝ่าบาทที่พระพักตร์มีแต่โคลนเลอะเทอะช่างบาดสายตาของทุกผู้คนอย่างชัดเจน 


 


 


ทุกคนต่างทราบดีว่า ฮ่องเต้และท่านราชครูต่างมีความผูกพันทางจิตใจอย่างลึกซึ้ง………. 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูพวกเขาคราหนึ่ง ก็อดจะรู้สึกขนลุกขึ้นมาทั้งตัวไม่ได้ ฉากรักที่ดื่มด่ำหวานซึ่งตรงหน้าเช่นนี้ ………ใช่คิดถึงใจนางที่เป็นแม่ม่ายตัวคนเดียวเปล่าเปลี่ยวเอกาบ้างหรือไม่เล่า? 


 


 


เสียแต่ว่าหลี่กงกงยอดฝีมือในการขัดขวางผู้ไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไรหรือสนใจอะไรผู้นั้น ก็รีบร้อนเข้ามาขั้นกลางช่วงเวลาดีๆ ระหว่างคนทั้งสองเอาไว้ “อ้ายย่าห์ ฝ่าบาท ที่แท้พระองค์ไม่ได้กลายเป็นไก่ ทำเอาบ่าวเฒ่าตกใจแทบตายแล้ว! “ 


 


 


ผู้คนทั้งหลาย “………” คนที่โง่เง่าเช่นนี้ทำไม่ถึงยังสามารถรั้งอยู่รับใช้ข้างกายฝ่าบาทโดยไม่ตายได้นานขนาดนี้? 


 


 


เหล่าขุนนางที่พากันคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเจ้าไก่ขนดำตัวฟูก็พากันยืนขึ้นอย่างอับอาย แต่ละคนต่างก็หน้าแดงไปตามๆ กัน 


 


 


พวกเขาโง่งมถึงขนาดไหนกัน ไยจึงไปเชื่อว่าฝ่าบาทจะกลายร่างกายเป็นไก่ไปได้? 


 


 


ถึงตอนนี้ตู๋กูจุนคุกเข่าลงข้างหนึ่งประคองน้องสาวของตนเองเอาไว้ จีเย่ว์ที่หมดสติอยู่ในอ้อมแขนของนางถูกเขาสั่งให้ลูกน้องเอาไปโยนไว้ใกล้ๆ เสียนไท่เฟยแล้ว 


 


 


เสียนไท่เฟยสั่งให้นางกำนัลประจำตัวชิงผิงประคองจีเย่ว์เอาไว้ ส่วนตัวนางเองกลับเดินเข้ามา ย่อตัวลงอยู่ข้างๆ ตู๋กูซิงหลัน กุมมือของนางเอาไว้ด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจอย่างที่สุด “หม่อมฉันขอบพระทัยในพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของไทเฮา ที่ยังคิดถึงความผูกพันเก่าก่อน ถึงได้ทรงช่วยชีวิตเย่เอ๋อร์ไว้”  

 

 


ตอนที่ 91 อย่าได้ลืมความตั้งใจเดิม

 

ทันทีที่มือของทั้งสองสัมผัสกัน ความเยือกเย็นที่แหลมคนส่งผ่านมาทางหลังมือ แววตาของตู๋กูซิงหลันที่มองออกไปก็พลันวูบวาบขึ้น ภายใต้คิ้วโก่งดั่งไต้หยู่ สีหน้าของนางยังสงบราบเรียบ ดวงตาดอกท้อก็เพิ่มประกายเย็นชา 


 


 


“ไท่เฟยกล่าวหนักไปแล้ว อี้อ๋องเองก็นับว่าเป็นโอรสของเรา เราย่อมต้องช่วยเหลือเขา” 


 


 


เสียนไท่เฟยชะงักไปชั่วขณะ “ไทเฮาทรงมีน้ำพระทัยเช่นนี้ หม่อมฉันย่อมจดจำเอาไว้แล้ว” 


 


 


ว่าแล้ว นางก็มองดูตู๋กูซิงหลันอย่างจดจ้อง “ไม่ทราบว่าตลอดทางที่อยู่ในสุสาน ไทเฮาทรงพบเจออะไรบ้างหรือไม่? ถึงได้ทำให้มีสภาพที่ยากลำบากเเช่นนี้” 


 


 


“เราชักจะไม่รู้แล้วว่า ที่แท้ไท่เฟยทรงกังวลใจในสุสานของท่านย่ายิ่งกว่าตัวอี้อ๋องเสียอีก…….” ตู๋กูซิงหลันขยับริมฝีปากแดงฉ่ำ “หากว่าเสียนไท่เฟยมีความสนใจ ลองเข้าไปสำรวจดูด้านในด้วยตัวเองก็จะได้รู้แล้วมิใช่หรือ? “ 


 


 


เสียนไท่เฟยชะงักไปครู่หนึ่ง นางคิดจะกล่าวอะไร กลับเห็นตู๋กูซิงหลันกระตุกชายแขนเสื้อตู๋กูจุนถี่ๆ “พี่ใหญ่เจ้าค่ะ ข้าเหนื่อยจัง” 


 


 


เสียนไท่เฟยคิดจะสอบถามอะไรเพิ่มเติม ก็เห็นตู๋กูจุนมองมาที่นางด้วยสายตาอาฆาต พลันรีบโอ้อุ้มนางขึ้นมา “พี่ใหญ่จะพาเจ้ากลับบ้านเดี๋ยวนี้” 


 


 


“พาเจ้าไก่นั่นกลับไปด้วย มันดูน่ากินดี” ตู๋กูซิงหลันไม่ลืมเจ้าไก่ขนดำตัวฟูตัวนั้น 


 


 


เจ้าไก่ขนดำตัวฟูรีบใช้ปีกมาห่อหุ้มตัวมันเอาไว้ ที่จริง มันอยู่ในสุสานมานานมากเลย กระทั่งขนยังขึ้นราหมดแล้ว ไม่น่ากินเลยสักนิด 


 


 


ตู๋กูจุนเหลือบมองมันคราหนึ่ง ก็รู้สึกว่าเจ้าไก่ตัวนี้อวบอ้วนดีไม่น้อย หากว่านำไปนึ่งสักครึ่งตัว ตุ๋นน้ำแดงอีกครึ่งตัวก็คงจะกำลังดี 


 


 


ว่าแล้วเขาก็สั่งให้คนจับมันกลับไปด้วย 


 


 


จากนั้นก็สั่งให้ทหารตระกูลตู๋กูส่วนหนึ่งกลบปิดอุโมงค์ใต้ภูเขานั่นให้เรียบร้อย 


 


 


ก่อนที่ตู๋กูซิงหลันจะจากไป นางยังไม่ลืมกล่าวกับท่านนักพรตอู๋เจินที่ถูกเหล่านักพรตรูปงามทั้งหลายรายล้อมเอาไว้ “ที่เราสามารถออกจากสุสานมาได้อย่างปลอดภัยในวันนี้ เป็นเพราะยันต์ที่ท่านอุส่าห์มอบให้ไว้ เราจะต้องหาเวลาไปขอบคุณที่อารามเทียนเก๋อกวนด้วยตนเอง” 


 


 


ท่านนักพรตอู๋เจินฟังแล้วก็หนาวใจขึ้นมาวาบหนึ่ง พ่อแก้วแม่แก้ว! ขอท่านได้โปรดอย่าได้มาที่อารามเทียนเก๋อกวนอีกเถอะ อารามหลังน้อยของเราไม่อาจรองรับผู้ยิ่งใหญ่เช่นท่านได้หรอก! 


 


 


ยังมีอีกเรื่องเขาเคยมอบยันต์ให้แก่นางที่ไหนกัน? นี่มันชัดเจนเลยว่าไทเฮาน้อยทรงเอาเขาไปเป็นหนังหน้าไฟแท้ๆ …… 


 


 


ยามนี้ตู๋กูจุนกลับรู้สึกได้ถึงเรื่องแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไม พอน้องเล็กออกจากสุสานของท่านย่าได้ ถึงได้เปลี่ยนเป็นตัวหนักขึ้นมาไม่น้อย 


 


 


เขาลองกะๆ น้ำหนักในอ้อมแขนดู ไม่ทันไรก็ได้ยิ่งเสียงตุ๊บๆ ทองแผ่นหนึ่งหล่นลงมาจากตัวตู๋กูซิงหลัน ทองคำแผ่นนั้นเกือบจะหล่นทับเท้าของเขาอยุ่แล้ว ครู่ต่อมา เขายังไม่ทันจะอุ้มให้ดี ก็ตกลงมาอีกแผ่น 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “อุ้ยๆๆๆ เงินของเรา! ” อย่าแตกหักนะ มันปวดใจเหลือเกิน! 


 


 


ผู้คนทั้งหลาย “……..” ไทเฮาน้อยผู้นี้ แม้แต่สมบัติร่วมกลบฝังของท่านย่าตัวเองก็ยังจะลักเอามาหรือ? 


 


 


ดูสิว่าช่างเป็นลูกหลานที่อกตัญญูขนาดไหน! ที่เย่วฮูหยินไม่ได้โกรธจนลุกขึ้นมจากโลงอีกครั้งก็นับว่าแปลกแล้ว! 


 


 


ตู๋กูจุนปวดใจเพราะเห็นแก่น้องเล็กอย่างที่สุด เขาก้มลงไปเก็บของสองแผ่นนั้นขึ้นมาให้นางกอดเอาไว้ แอบสาบานอยู่ในใจเงียบๆ เขาจะต้องขนเอาภูเขาเงินภูเขาทองมากองไว้ที่ตรงหน้าน้องเล็กให้จงได้ 


 


 


ยามที่เขากำลังอุ้มตู๋กูซิงหลันหายลับไปจากสายตาผู้คนนั้น ท่านราชครูจึงค่อยหันมามองทางนี้ ดวงตาที่แสนงดงามน่าดูคู่นั้น หรี่ลงน้อยๆ ค่อยสาดประกายที่เย็นยะเยือกออกมา 


 


 


……………………………………. 


 


 


กว่าที่ฝ่าบาทจะทรงรู้สึกพระองค์ขึ้นมานั้น เวลาก็ผ่านไปสามวันแล้ว หากท่านหมอหลวงซุนมิได้ทุ่มเทฝีมือวิชาแพทย์ทั้งหมดลงไปคาดว่าฝ่าบาทคงเสด็จขึ้นสวรรค์ไปนานแล้ว 


 


 


เพราะยามที่ท่านราชครูนำเสด็จฝ่าบาทกลับไปนั้น ตลอดพระวรกายเยือกเย็นไปหมด…….แทบจะเหมือนศพไปแล้ว แม้แต่ชีพจรก็อ่อนบางจนแทบจะขาดช่วง 


 


 


พระหัตถ์ข้างซ้ายที่ถูกปิ่นแทงทะลุนั้น บวมฉลุราวกับอุ้งมือหมี ถึงพวกเขาจะถอนออกมาด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุดแล้ว แต่ฝ่าบาทก็ยังทรงเสียพระโลหิตมากเกินไปอยู่ดี 


 


 


อีกทังยังมีกระดูกเคลื่อนและบาดแผลภายนอกมากมาย ใครไม่รู้เข้าคงคิดไปว่าฝ่าบาททรงออกรบที่ใดมา 


 


 


บาดแผลต่างๆ เหล่านี้ หากว่าเป็นผู้อื่นคาดว่าคงขาดใจตายไปก่อนแล้ว ยังดีที่พระวรกายของฝ่าบาทแข็งแรงมาโดยตลอด ถึงได้พอฝืนทนมาได้ 


 


 


ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่าฝ่าบาททรงไปพบเจออะไรในสุสานเย่ฮูหยินถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ 


 


 


ฮ่องเต้ทรงฉลองพระองค์ตัวในสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ดุจหิมะ เอนพระองค์อิงกับเบาะอ่อน พระเกศาดำยาวสยาย พระพักตร์ยังคงงามล้ำเกินกว่าใครเทียบได้ เพียงแต่ออกจะซีดเซียวไปบ้าง บนพระปรางค์ขวายังมีรอยแผลอยู่สองรอย 


 


 


บรรดาผู้รับใช้ในพระตำหนักตี้หัวกงต่างถูกไล่ออกไป เหลือเพียงหลี่กงกงน้อมเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู 


 


 


ตอนนี้ ท่านราชครูนั่งอยู่บนเบาะอ่อนด้านข้าง ในมือของเขากำลังถือตลับยาทาผิวสีขาวราวหิมะอยู่ ใช้ขนนกทายาลงไปเบาๆ ให้ฝ่าบาท 


 


 


บาดแผลบนพระพักตร์ของฝ่าบาทสมานตัวแล้ว บาดแผลที่มือติดเชื้อ ยังคงเป็นหนอง 


 


 


“ฝ่าบาท พระองค์ได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้ เรื่องของตระกูลตู๋กูนั้น จะปล่อยไปโดยไม่เอาความจริงหรือพะยะค่ะ? ” ฉางซุนซิ่วใส่ยาอย่างระมัดระวังพลางสอบถามไปด้วย 


 


 


ถึงแม้ว่าตัวเขาจะอวบอ้วนเป็นหมูสามชั้น แต่ว่าใบหน้าและมือไม่ได้อ้วนไปด้วย มือที่ใช่ใส่ยาถวายนั้นสวยงามหน้าดู ทั้งเรียวยาว ขาวสะอาดและได้รูปกระดูกสวยงามชัดเจน แม้แต่เล็บยังเงางามเสมือนแท่งหยก 


 


 


ดูแล้วแตกต่างกับพระหัตถ์ที่ได้รับบาดเจ็บของฝ่าบาทเป็นอย่างมาก 


 


 


จีเฉวียนทรงพิงพระองค์อยู่บนหมอนนุ่ม ในดวงพระเนตรหงส์มีแววเย็นชาที่เคยอยู่เสมออีกครั้ง “เรื่องนี้เป็นอุบัติเหตุ” 


 


 


“ทั้งๆ ที่ฝ่าบาททรงสามารถอาศัยเรื่องนี้จัดการตระกูลตู๋กูได้แท้ๆ ” ฉางซุนซิ่วมาดูพระหัตถ์ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็มีแววกังวลอยู่ไม่น้อย “กระหม่อมจำได้ว่ายามเมื่อฝ่าบาทพึ่งจะขึ้นครองราชย์นั้น เคยตรัสไว้ว่าหากมิได้พิฆาตตระกูลตู๋กูจะไม่ขอเลิกรา” 


 


 


จีเฉวียนขมวดพระขนง สายพระเนตรทอประกายเย็นชากว่าเดิม 


 


 


“เป็นเพราะไทเฮาหรือพะยะค่ะ? ฝ่าบาททรงมีพระทัยต่อไทเฮา หรือว่า…..” 


 


 


พูดถึงตรงนี้ ฉางซุนซิ่วก็ชะงักไปชั่วครู่ เขาหยิบเอาผ้าโปรงออกมา ค่อยๆ พันรอบพระหัตถ์ “ถึงแม้ว่าอาจทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย แต่อย่างไรกระหม่อมยังขอทูลเตือนสักประโยค ขอพระองค์อย่าได้ทรงลืมว่าฉางซุนฮองเฮาทรงสิ้นพระชนม์ไปได้อย่างไร อย่าได้ทรงลืมว่าญาติผู้พี่ของกระหม่อมฉางซุนซูตายเพราะอะไร ยิ่งอย่าได้ลืมว่า…….” 


 


 


“เรารู้ดี ” จีเฉวียนสบพระเนตรเขาครั้งหนึ่ง ก็ยื่นพระหัตถ์ไปฉวยผ้าโปร่งผืนนั้นมาถือพันเอง พระกระแสรับสั่งของขาเย็นชาราวกับสายธารน้ำแข็งในคิมหันต์ 


 


 


และเพราะทรงใช้พละกำลังมาก ผ้าโปร่งจึงทับบาดแผลจนพระโลหิตซึมออกมาอีก แต่คล้ายกับว่าไม่ได้ทรงรู้สึกเจ็บอันใด 


 


 


ฉางซุนซิ่วมองดูเลือดที่ปากแผล ก็ยื่นมือออกมาอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงพันแผลไม่เป็น ให้กระหม่อมช่วยเถอะ” 


 


 


สายพระเนตรของจีเฉวียนเข้มข้นขึ้น ยังคงฝืนผูกผ้าด้วยตนเองต่อไป 


 


 


พระองค์เสด็จลงจากเบาะอ่อนไปยังพระบัญชร ทอดพระเนตรมองดอกกุ้ยฮวาที่กำลังผลิบาน “ราชครู สิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ เราย่อมรู้กระจ่างดี เจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวมากความ กังวลให้มากไป” 


 


 


ฉางซุนซิ่วชะงักงันไปครู่หนึ่ง มองดูแผ่นหลังที่องอาจสง่างามของฮ่องเต้ เขาก็ได้แต่กลืนคำพูดในปากลงไป สุดท้ายจึงเปลี่ยนเป็นสอบถามว่า “ฝ่าบาททรงประสบพบเจอสิ่งใดในสุสานของเย่วฮูหยินกันแน่? นับแต่เมื่อทรงรู้สึกพระองค์ขึ้นมา กระหม่อมรู้สึกกว่าพระองค์ทรงไม่เหมือนเดิม” 


 


 


เปลี่ยนไปแล้ว …….เปลี่ยนเป็นมีน้ำพระทัยเมตตาแล้ว 


 


 


น้ำพระทัยเมตตานี้ ทรงมีต่อตระกูลตู๋กู หรือพูดให้ถูกคือมีต่อตู๋กูซิงหลัน นับตั้งแต่ที่พระองค์ทรงช่วยตู๋กูซิงหลันจากน้ำมือของเต๋อเฟยนั้น พระองค์ก็มิใช่ฝ่าบาทคนเดิมอีก 


 


 


“พอเราตกลงไปก็สลบหมดสติ เป็นไทเฮาที่ช่วยเราไว้ เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือ? ” จีเฉวียนทรงหันพระขนองให้เขา ทอดพระเนตรมองออกไปยังทิศทางของพระตำหนักเฟิ่งหมิง 


 


 


“อ๋อ……..แบบนี้เอง” ฉางซุนซิ่วปิดตาลง ก็ถวายบังคมลง “ในเมื่อฝ่าบาทไม่โปรดจะรับสั่ง เช่นนั้นกระหม่อมก็จะไม่ถามอีก เพียงหวังว่า…….ฝ่าบาทจะไม่ทรงลืมความตั้งพระทัยแต่เดิม”  

 

 


ตอนที่ 92 ฝ่าบาททรงวางแผนด้วยพระองค์เอง?

 

เขาลุกขึ้นยืน เดินไปจนถึงประตูหลักในพระตำหนัก มองดูกระถางดอกกุ้ยฮวาที่วางอยู่ด้านนอก สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่แทรกซึมสู่จิตใจคน พานให้ผู้คนรู้สึกทรมานใจขึ้นมา 


 


 


“ดอกไม้นี้ช่างผลิบานได้งดงามยิ่งนัก หากว่าท่านป้าได้เห็นละก็ จะต้องชื่นชอบเป็นแน่ ” เขาไพล่มือไว้ด้านหน้า สายลมที่โชยมาพัดเส้นผมของเขาจนพลิ้วลมไป ใบหน้าที่ดูไปคล้ายกับมารผู้บริสุทธ์นั้น ยามนี้ยิ่งเพิ่มความมืดหม่นขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง 


 


 


ท่านป้าของเขา ย่อมต้องเป็นฉางซุนฮองเฮา พระมารดาแท้ๆ ของฝ่าบาทที่สิ้นพระชนม์ไปเมื่อสิบแปดปีก่อน ในคืนฤดูหนาวที่หิมะโปรยปรายทั่วฟ้า และกระทั่งดอกกุ้ยฮวาเป็นน้ำแข็ง 


 


 


หลังจากค่ำคืนนั้น ก็มีแต่องค์ชายสี่ที่มีพระชนม์เพียงห้าชันษา ผู้เป็นราชโอรสที่ไม่ได้รับความโปรดปรานใดๆ ในวังหลวง 


 


 


ตระกูลฉางซุนเองก็ตกต่ำลงนับแต่บัดนั้น 


 


 


ส่วนตัวเขา ก็ถูกส่งไปยังเขาหัวชิง นับตั้งแต่นั้นมา ก็มีชีวิตอยู่เพื่อฝ่าบาทมาโดยตลอด 


 


 


เขาหันหน้ากลับไปดูพระพักตร์ที่เย็นชาของจีเฉวียน “ฝ่าบาท บาดแผลบนร่างกายอาจรักษาจนหายได้ แต่ว่าบาดแผลในใจกลับไม่อาจลบเลือน ความเจ็บปวดที่พระองค์และกระหม่อมได้รับมานั้นไม่อาจลบล้างไปโดยง่าย” 


 


 


จีเฉวียนพระพักตร์เย็นชา เขาเพียงทอดพระเนตรออกไปด้านนอกโดยไม่ตรัสสิ่งใด 


 


 


“ขอพระองค์โปรดทรงจำไว้ ไม่ว่าจะอย่างไร ในโลกนี้ คนที่จริงใจและยืนอยู่เคียงข้างพระองค์เสมอ ก็คือกระหม่อม” 


 


 


“กระหม่อมยังมีเรื่องทูลขออีกเรื่อง ถึงแม้เต๋อเฟยจะมีโทษมหันต์ แต่ว่าอำนาจของท่านรองมหาเสนาฯ ยังมิได้หมดสิ้นไป ขอพระองค์ทรงไว้ชีวิตนาง เพราะหากว่ากำจัดรองมหาเสนาผู้นี้เร็วเกินไป สุดท้ายแล้วผู้ที่ได้รับผลกระทบอาจเป็นแคว้นต้าโจวเรา” 


 


 


สายพระเนตรของจีเฉวียนส่องประกายขึ้นมา สายลมพัดแรงขึ้น พาให้ดอกกุ้ยฮวาปลิวหล่น บุปผาหลุดร่วงเสมือนหนึ่งหิมะโปรยปราย 


 


 


……………………………………………. 


 


 


เมื่อฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันก็ได้รับพระบัญชาให้กลับวังหลวง 


 


 


เป็นหลี่กงกงนำพระบัญชามาด้วยตนเอง ตลอดทางที่มายังจวนตระกูลตู๋กูนั้น หลี่กงกงตัวสั่นสะท้านอยู่ตลอด 


 


 


ก็ดูสายตาของท่านแม่ทัพผู้พิชิตสิ แทบจะจับเขากินเข้าไปด้วยซ้ำ เขม้นมองเสียจนเขาแทบจะตัวแข็งไปแล้ว 


 


 


ยังดีที่ไทเฮาน้อยทรงเป็นผู้ที่รู้กาละเทศะเป็นอย่างดี นางไม่ได้กล่าวมากอันใด ก็ติดตามเขากลับมาอย่างเรียบร้อย 


 


 


หลี่กงกงทราบซึ้งใจยิ่งนัก แทบจะยินดีไปเป็นสารถีให้นางด้วยตนเอง 


 


 


ที่จริงตู๋กูซิงหลันก็อยากจะอยู่บ้านให้นานกว่านี้อีกสักหน่อย แต่ว่าเจ้าวิญญาณทมิฬได้รับบาดเจ็บหนักจากในสุสาน จำเป็นต้องได้รับไอบริสุทธิ์จึงจะรักษาได้ พระราชวังจึงเป็นที่ที่เหมาะสมที่สุด 


 


 


เชียนเชียนติดตามเจ้านายของตนเองขึ้นรถม้าไป มองดูจวนตระกูลตู๋กูที่ยิ่งทียิ่งไกลออกไป ก็อดจะเสียใจไม่ได้ 


 


 


ออกมาตั้งไกลขนาดนี้แล้ว ยังสามารถมองเห็นคุณชายใหญ่ยืนถือดาบทลายภูผาน้ำตาไหลส่งนายหญิงอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ คิดดูแล้วหากว่านายหญิงไม่ต้องการกลับวังละก็ คุณชายใหญ่จะต้องมีหนทางจัดการเรื่องนี้เป็นแน่ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหลับตาลงพิงเข้ากับหน้าต่างบนรถม้า เรื่องที่สมควรมอบหมายให้พี่ใหญ่นางก็ได้มอบหมายไปหมดแล้ว สมุดบัญชีในบ้านและกุญแจคลังสมบัติในเมืองหลวงทั้งหมดก็ทิ้งเอาไว้ให้เขา ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง………แต่ใครใช้ให้นั่นคือพี่ชายแท้ๆ ของตนเองละ 


 


 


นางเพียงแต่นำกระเบื้องทองสองแผ่นและชิ้นหยกที่ได้จากสุสานท่านย่าติดตัวมาเท่านั้น อ้อ มีไม้เสียบผลไม้ทองคำอีกหลายอันด้วย 


 


 


ที่ด้านข้างของนางยังมีเจ้าไก่ขนดำตัวฟูหมอบอยู่ด้วย จะว่าไปเจ้าไก่กุ๊กตัวนี้ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรของมัน หลายวันมานี้เฝ้าแต่ติดตามนางไม่ยอมห่างประหนึ่งสุนัขตัวหนึ่ง แม้แต่ยามจะนอนยังต้องหมอบอยู่ข้างเตียงของนาง 


 


 


ที่จริงตู๋กูซิงหลันอยากจะจับมันมาตุ๋นใส่หม้ออยู่มากเหมือนกัน แต่พอเห็นท่าทางเฟอะฟะของมันแล้ว ก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป เจ้าตัวเฟอะฟะขนาดนี้หากว่ากินเข้าไปแล้วจะพลอยทำให้นางเฟอะฟะไปกับมันด้วยหรือเปล่า….. 


 


 


ทุกครั้งที่เจ้าไก่กุ๊กขนฟูมองเห็นสายตาของตู๋กูซิงหลันที่ทอดมองมัน มันเป็นต้องรู้สึกว่า พี่สาวตัวน้อยผู้มีดวงตางดงามผู้นี้จะต้องรู้สึกกับมันอย่างไม่ธรรมดาเป็นแน่ 


 


 


นางจะต้องหลงใหลในความพิเศษของมันเข้าแล้ว 


 


 


พอคิดถึงตรงนี้มันก็อดที่จะภาคภูมิใจขึ้นมาไม่ได้ ก็ใช่อยู่นะ ในใต้หล้านี้จะหาไก่ที่งดงามโดดเด่นเช่นมันได้ที่ไหน 


 


 


ว่าแล้วมันก็เอนหัวไก่น้อยๆ ของมันลงมาบนหลังเท้าของตู๋กูซิงหลันด้วยสีหน้าพึงพอใจ 


 


 


ราชรถตรงเข้าสู่พระราชวังจึงค่อยหยุดลงที่หน้าประตูพระตำหนักเฟิ่งหมิง ดอกไฮ่ถางเริ่มทยอยร่วงจากต้นแล้ว กลีบดอกสีแดงหล่นกระจายอยู่ทั่วพื้น 


 


 


และไม่รู้ทำไม ตู๋กูซิงหลันก็หวนนึงถึงต้นไฮ่ถางในสุสานของท่านย่าขึ้นมา 


 


 


“หลี่กงกง ตำหนักเย็นซ่อมแซมมาก็หลายวันแล้ว ถึงตอนนี้ยังซ่อมไม่เสร็จอีกหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันยังไม่ลงจากรถม้า เพียงแต่แง้มม่านออกไปไต่ถาม 


 


 


หลี่กงกงหันมาถวายคำนับนางอย่างนอบน้อม “ทูลไทเฮา ไยพระองค์ยังทรงระลึกถึงตำหนักเย็นหลังนั้นอีกเล่าพะยะค่ะ? ทั้งท่านแม่ทัพผู้พิชิตและพระองค์ต่างก็เป็นผู้มีผลงานโดดเด่น ฝ่าบาททรงมีพระบัญชา นับแต่นี้ไปให้พระองค์ประทับอยู่ที่พระตำหนักเฟิ่งหมิงได้พะยะค่ะ” 


 


 


เขากราบทูลแล้ว ก็ล้วงเอากล่องไม้ใบน้อยที่วิจิตรงดงามมาทูลถวายอย่างนอบน้อม “นี้คือกุญแจประจำตำหนัก ฝ่าบาทรับสั่งให้บ่าวนำมาถวายพระองค์” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกประหลาดใจอยู่นิดหน่อย ที่ผ่านมาเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นไม่เคยมีประสงค์ดีมาก่อน เขาคิดจะทำดีกับนางจริงหรือ? 


 


 


ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าบรรยากาศมันทะมึนๆ มีกลิ่นอายทะแม่งๆ อยู่ 


 


 


นางหันไปส่งสายตากับเชียนเชียน เชียนเชียนก็รับกล่องไม้นั่นไว้ 


 


 


นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ทรงให้นายหญิงมาอาศัยอยู่ในเรือนน้อยหลังเล็กในพระตำหนักเฟิ่งหมิง สาวใช้ตัวน้อยก็กังวลใจมาตลอด อีกทั้งยังโทษตนเองที่เป็นตัวตั้งตัวตีลากนางมาที่นี่ ถึงได้ทำให้นายหญิงถูกผู้อื่นเห็นเป็นที่น่าขบขันกล่ารังแก 


 


 


ยังดีที่นายหญิงเก่งกล้าสามารถ ไม่ได้เพลี่ยงพล้ำ ไม่เช่นนั้นจิตใจของนางคงยิ่งละอายมากกว่าเดิม 


 


 


เมื่อเห็นนางรับกุญแจไป หลี่กงกงก็วางใจไปได้มาก เขารีบกล่าวอีกว่า “เต๋อเฟยทำผิดมหันต์ จึงถูกฝ่าบาทถอดถอนยศศักดิ์ ส่งไปยังตำหนักเย็น ขอไทเฮาอย่าได้ทรงกังวลว่านางจะออกฤทธิ์ออกเดชอะไรได้อีก ต่อไปอนาคตของท่านในวังนี้จะต้องยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยกมุมปากขึ้น เต๋อเฟยรึ….นางมีบางเรื่องอยากจะถามอยู่บ้างเหมือนกัน 


 


 


…………………………….. 


 


 


พอถึงยามพลบค่ำ ตู๋กูซิงหลันก็ไปยังตำหนักเย็นด้วยตนเอง 


 


 


ก่อนหน้านี้เพราะสาเหตุจากเรื่องของนาง ทำให้ตำหนักเย็นได้รับการซ่อมแซมขึ้นมารอบหนึ่ง ดูไปแล้วดีกว่าช่วงที่นางเคยอยู่มากทีเดียว 


 


 


ไม่ได้พบหน้ากันหลายวัน เต๋อเฟยซูบผอมลงไปไม่น้อย นางยังคงสวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อนจาง ดูราวกับบุตรสาวของตระกูลใหญ่ 


 


 


เต๋อเฟยนั่งอยู่ข้างโต๊ะไม้ตัวหนึ่ง ยามนี่นางพบเห็นตู๋กูซิงหลันก็ไม่ได้แสดงท่าประหลาดใจ และไม่ได้ลุกขึ้นถวายคำนับ 


 


 


“ตู๋กูซิงหลัน เจ้าดูเอาสิ ฝ่าบาทยังทรงไม่อาจลืมน้ำพระทัยที่มีให้เราได้ ” นางยังคงว่าท่าต่อไป ใช้สายตาเย็นชามองนาง 


 


 


“ตำหนักเย็นนี้ถูกบูรณะใหม่เพื่อข้าโดยเฉพาะ ข้าอยู่นี่ก็สุขสบายดี” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “งั้นสิ……” 


 


 


เต๋อเฟยเห็นนางอ้ำๆ อึ้งๆ พูดอะไรไม่ออก จิตใจของนางก็พออกพอใจขึ้นมาอยู่หลายส่วน “ดูเอาสิ นี่ผิดหวังเสียแล้วหรือ? เจ้าคิดหรือว่าฝ่าบาทจะทรงประหารข้าได้จริงๆ? “ 


 


 


พูดแล้ว นางก็ลุกขึ้นยืน เดินมาที่ข้างตัวตู๋กูซิงหลัน กล่าวเสียงเย็นที่ข้างหูนางว่า “บิดาของข้าคือท่านรองมหาเสนาฯ ถึงแม้ว่าสมบัติในบ้านจะถูกแผนร้ายของเจ้าทำให้โดนยึดไป แต่ต้นไม้ใหญ่จะอย่างไรมีกิ่งก้านสาขาไม่สิ้นสุด หากว่าบ้านของบิดามารดาข้ายังคงอยู่ ตัวข้าก็ยังไม่นับว่าพ่ายแพ้ 


 


 


“ยิ่งไปกว่านั้น….. ในเมื่อเจ้ายังสามารถออกจากตำหนักเย็นไปได้ แล้วเจ้าคิดหรือว่า ตัวข้าจะทำไม่ได้? “ 


 


 


พูดถึงตอนนี้ สายตาของนางก็ยิ่งทวีความโหดเ**้ยมขึ้นมา “เจ้าคิดหรือว่า แค่เกิดมาหน้าตาดีก็จะสามาถครอบงำฝ่าบาทเอาไว้ได้? ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟัง เรื่องที่เจ้าปีนเตียงมังกรนั้น เป็นแผนที่ฝ่าบาททรงวางเอาไว้เอง” 


 


 


“คิดไม่ถึงล่ะสิ? ฮาฮ่าๆๆๆ ….. ” เต๋อเฟยหัวเราะอย่างเย็นชา “ฝ่าบาททรงเกลียดชังตระกูลตู๋กูของเจ้านัก ยิ่งทรงรังเกียจเจ้าเป็นที่สุด! เพราะฉะนั้นจึงได้แสดงละครนี้ด้วยพระองค์เอง จุดประสงค์ก็เพื่อให้เจ้าสูญสิ้นชื่อเสียง ให้ตระกูลตู๋กูต้องโทษ ทำให้เจ้ากลายเป็นหมากที่ใช้ควบคุมตระกูลตู๋กู! “ 


 


 


“ยาที่ทำให้เจ้าไปปีนเตียงมังกรด้วยตนเองนั้น ก็เป็นข้ารับพระบัญชา…. นำไปให้เจ้าด้วยตนเองไงละ”  

 

 


ตอนที่ 93 ตัวร้ายในตำหนักเย็น

 

ลองคิดๆ ดู ตู๋กูซิงหลันทุ่มเทจิตใจไปมากมายเพื่อล่อลวงฝ่าบาท หากได้รู้ว่า คนที่อยากให้นางต้องตายชนิดไร้ที่กลบฝังกลับเป็นฝ่าบาทเอง ใจของนางจะรู้สึกเช่นไร 


 


 


นังคนเลวนี้ทำร้ายนางถึงเพียงไหน ตัวนางโหยวหนิงมีหรือจะปล่อยมันให้อยู่ดีมีสุขได้? 


 


 


จิตใจของตู๋กูซิงหลันกลับเรียบเรื่อยไร้ระรอกใดๆ ที่จริงนางยังอยากได้เม็ดแตงมาแทะเล่นจะได้ฟังเพลินๆ ด้วยซ้ำ 


 


 


ด้วยนิสัยชั่วๆ ของฮ่องเต้สุนัขนั้น จะทำเรื่องเช่นนี้ก็ไม่ถือว่านอกเหนือความคาดหมาย นางย่อมไม่ประหลาดใจ แต่ว่าการที่เต๋อเฟยสารภาพออกมาว่ามีส่วนร่วมด้วยตนเอง นำให้นางรู้สึกว่าน่าสนใจไม่น้อย 


 


 


คำพูดของเต๋อเฟย เชื่อได้อย่างมากก็แค่ครึ่งเดียว 


 


 


เต๋อเฟยมองดูตู๋กูซิงหลันอย่างเย็นชา พอนางกำลังจะพูดอะไรอีก ก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นเฉียบของบุรุษผู้หนึ่งดังมาจากภายนอก “เราไม่เคยรู้ว่า เคยใช้ให้เจ้าทำเรื่องเช่นนี้มาก่อนด้วย? “ 


 


 


นางหน้าถอดสี รีบหันไปทางประตูทันที ก็ได้เห็นฮ่องเต้ในฉลองพระองค์มังกรสีทองกำลังจดจ้องมองนางด้วยพระพักตร์เย็นชาอย่างที่สุด 


 


 


สายพระเนตรนั้นราวกลับจะสามารถสาปสิ่งใดก็ตามให้เป็นน้ำแข็งไป ทำให้นางหนาวสะท้านแทบจะตัวแข็งทั้งเป็น ได้แต่อาศัยกิริยาที่เคยชินคุกเข่าลงไป “หม่อมฉันไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จมา จึงไม่ได้ไปต้อนรับแต่เนิ่นๆ “ 


 


 


นางพึ่งจะย้ายมาอยู่ตำหนักเย็น ฝ่าบาทก็เสด็จมาเยี่ยมนางแล้ว นี่ชัดเจนเลยว่าในพระทัยของฝ่าบาท ยังคงคำนึงถึงนางอยู่ใช่ไหม? 


 


 


จีเฉวียนไพล่พระหัตถ์ข้างหนึ่งไว้ด้านหลัง เสด็จเข้ามาใกล้ ประทับอยู่ข้างๆ ตู๋กูซิงหลัน สายพระเนตรที่เหลือบมองเต๋อเฟยนั้นเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง “หม่อมฉัน? เจ้าถูกถอดยศกลายเป็นบ่าว จองจำในตำหนักเย็น ต่อหน่าเรายังจะมีสิทธ์ใดพูดจาแทนตัวเองอีก? “ 


 


 


เต๋อเฟย “……..” ฝ่าบาทมายังตำหนักเย็น ไม่ใช่เพราะจะมาหานางหรอกหรือ? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหันไปเหลือบมองฮ่องเต้ที่อยู่ข้างตัว สามวันก่อนยังพึ่งกระดูกหักจะเป็นจะตายอยู่แท้ๆ ทำไมถึงได้ออกมากระโดดโลดเต้นได้ไวปานนี้? 


 


 


แถมยังทำตัวราวกับผีสาง เดินมาก็ไม่ให้สุ่มให้เสียง 


 


 


หากรู้ตั้งแต่แรกว่าร่างกายของเขาทนทานได้เช่นนี้ ตอนที่อยู่ในสุสาน นางสมควรจะหักกระดูกเขาอีกสักหลายๆ ท่อน 


 


 


โดยเฉพาะหักขาเสีย! 


 


 


“ฝ่าบาท ข้ารู้ว่าครั้งนี้พระองค์ทรงพิโรธจริงๆ แต่ว่าพระองค์ยังทรงคิดถึงข้าใช่หรือไม่? ไม่เช่นนั้นทำไมถึงได้ซ่อมแซมตำหนักเย็นให้ข้าละ….” เต๋อเฟยไม่ยอมแพ้ นางกุมมือไว้ที่อก กล่าวเสียงเบาๆ ต่อให้ตีนางตายก็จะไม่ยอมเรียกตนเองเป็นบ่าวเด็ดขาด 


 


 


จีเฉวียนขมวดคิ้วเย็นชา “เจ้ากลับคิดไปเองถึงเพียงนี้” 


 


 


“โหยวหนิงเอ๋ย ที่ตำหนักเย็นนี้ได้รับการบูรณะ ทั้งหมดล้วนเพื่อไทเฮา เดิมที่ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะให้ไทเฮาได้ทรงประทับอย่างสุขสบายขึ้นบ้างต่างหาก~” หลี่กงกงที่พึ่งไล่ตามมาถึง กลับบอกกล่าวอย่างชัดเจน “แต่ว่าตอนนี้ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว ไทเฮาทรงประทับอยู่ในพระตำหนักเฟิ่งหมิง ไหนเลยจะต้องกลับมายังสถานที่แบบนี้อีก” 


 


 


เขาไม่สนใจนางหรอก ตอนนี้เขากลายเป็นสาวกรุ่นที่หนึ่งของไทเฮาแล้ว! คนเยี่ยงเต๋อเฟยไหนจะเอามาเปรียบเทียบกับไทเฮาของพวกเขาได้กัน? 


 


 


เต๋อเฟยตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง นางรู้สึกราวกับว่า ถูกคนตบหน้าอย่างแรง เจ็บแสบไปทั้งใบหน้า 


 


 


ตำหนักเย็นนี้….ถูกซ่อมแซมใหม่เพื่อนังสารเลวตู๋กูซิงหลันหรอกหรือ? นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? 


 


 


แถมฝ่าบาทยังทรงประทานพระตำหนักเฟิ่งหมิงนั่นให้มันครอบครองด้วย? 


 


 


นางยังไม่ทันได้สติกลับมา ก็เห็นฮ่องเต้สีพระพักตร์เย็นชาเป็นน้ำแข็ง พระพิโรธของโอรสสวรรค์รุนแรงประหนึ่งพายุหิมะ กดทับนางจนแทบจะหายใจไม่ออก 


 


 


“เจ้าลองว่ามาสิ เราสั่งให้เจ้าชักนำไทเฮาไปปีนเตียงมังกรยังไง? “ 


 


 


เต๋อเฟยคุกเข่าอยู่บนพื้น นางรู้สึกว่าตนเองกำลังสั่นไปทั้งร่าง 


 


 


นางเงยหน้าขึ้นมองตู๋กูซิงหลันอย่างเคียดแค้น จะต้องเป็นนางสารเลวนี้ชักนำฝ่าบาทมาแน่ ถึงได้มาลวงให้นางพูดถ้อยคำเหล่านั้นออกมาให้ฝ่าบาทได้ยิน ทำไมนางถึงได้โง่เขลาเช่นนี้ หลงกลนังสารเลวเอาง่ายๆ 


 


 


“เราถามเจ้า เจ้าทำอะไรกับนาง? ” พระสุระเสียงของจีเฉวียนยิ่งทียิ่งเย็นเฉียบ ” ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ในพระราชวังต้าโจวของเรา ถึงกับมีบ่าวไพร่ตำหนักเย็นที่กล้าล่วงเกินไทเฮาแล้ว? “ 


 


 


บ่าวไพร่ตำหนักเย็น! 


 


 


สี่คำนี้ แหลมคมดุจดาบที่แทงทะลุหัวใจนางเล่มหนึ่ง นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ฝ่าบาทจะทรงกลายเป็นผู้ที่ไร้น้ำใจเช่นนี้ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเคยชินกับสันดานแบบนี้ของฮ่องเต้สุนัขแล้ว ใครหนอที่เคยเรียกขานผู้อื่นว่าสนมรัก ช่างเรียกได้คล่องปากนัก พริบตาเดียวก็กลายเป็นบ่าวไพร่ตำหนักเย็นไปเสียแล้ว 


 


 


ตอนนั้นที่นางยังอยู่ในตำหนักเย็น ลับหลังนาง เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่คงจะเรียกนางเป็นตัวร้ายในตำหนักเย็นอยู่เหมือนกัน 


 


 


คิดถึงตรงนี้ นางก็ค่อยๆ ถอยห่างจากจีเฉวียนออกมาเงียบๆ ก้าวหนึ่ง แต่ก้าวเดียวนี้กลับถูกจีชวนขยับเข้าไปหาจนเหมือนเดิม 


 


 


คนทั้งสองแทบจะตัวแนบติดกัน จนตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจของจีเฉวียนที่เป่าผ่านศีรษะของนาง จนนางรู้สึกจักกะจี้ 


 


 


พอนางเงยหน้ามองก็เห็นพระเนตรหงส์ที่งดงามคู่นั้นกำลังจับจ้องนางอยู่ ที่จริงแล้วแววตาของเขาแบบนี้นางก็ไม่ค่อยได้เห็นอยู่บ่อยนัก “ไทเฮามิใช่บอกอยู่เสมอว่าต้องการให้เราคืนความบริสุทธิ์ให้หรอกหรือ? วันนี้เราจะสอบสวนบ่าวโหยวหนิงด้วยตนเอง จะต้องให้ความยุติธรรมแก่เจ้าแน่นอน” 


 


 


พระองค์มิได้ทรงรอคอนให้นางกล่าววาจาตอบ ก็กวาดพระเนตรเย็นชาไปยังเต๋อเฟย “ความอดทนของเรามีจำกัด หากเจ้าไม่คิดจะเป็นศพไม่สมบูรณ์ ทั้งตระกูลดับสูญ ก็รีบๆ สารภาพออกมา” 


 


 


เพียงแค่รับสั่งประโยคเดียวก็ทำให้เต๋อเฟยตัวอ่อนปวกเปียกไปหมด นางรู้ดีกว่าฮ่องเต้ไม่ได้ทรงตรัสเพื่อข่มขู่นาง 


 


 


หากทรงรับสั่งว่าจะประหารพวกนางทั้งตระกูล นั่นก็หมายความเช่นนั้นจริง 


 


 


ดวงตาของนางที่งดงามประหนึ่งลูกแก้วทั้งสองนั้นเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา และเมื่อเหลือบเห็นพระหัตถ์ข้างที่พันผ้าพันแผลไว้ หัวใจของนางก็เหมือนถูกแช่แข็งไปครึ่งหนึ่ง…….. 


 


 


นางลืมไปได้อย่างไร ว่าเขาก็คือฮ่องเต้ที่ไร้หัวใจที่สุดในต้าโจว แต่ว่าฮ่องเต้ที่เป็นเช่นนี้กลับยินยอมรับบาดเจ็บแทนสตรีผู้หนึ่ง…….. 


 


 


เพื่อสตรีผู้นั้น พระองค์จะประหารพวกนางทั้งตระกูล! 


 


 


นางปิดตาลง ปล่อยให้น้ำตาไหลรินร่วงหล่น “อี้อ๋อง! เป็นอี้อ๋องรับสั่งให้ข้าทำ! “ 


 


 


สิ้นประโยคนี้ออกไป พระขนงของฮ่องเต้ก็ขมวดแน่นขึ้น แม้แต่สายพระเนตรที่มองดูตู๋กูซิงหลันก็เปลี่ยนไป 


 


 


หลี่กงกงนั้นตกกระใจจนขวัญบินออกจากร่างไปแล้ว 


 


 


“ฝ่าบาท พระองค์ก็ไม่ใช่จะไม่ทรงทราบ ไทเฮาที่อยู่ข้างพระวรกายนั้น ก่อนจะเข้าวังมาเคยเป็นคู่รักแต่เยาว์วัยกับอี้อ๋องที่แม้แต่เทพเซียนยังต้องอิจฉา ใช่ไหม? ” เต๋อเฟยหัวเราะเสียงเย็น “แต่ว่าน่าเสียดายนัก โชคชะตาทำร้ายผู้คน นางกลับกลายเป็นไทเฮาไปซะ” 


 


 


“ความงดงามเลิศล้ำเช่นนี้ ย่อมมีไว้เพื่อยั่วยวนบุรุษผู้นำทั้งหลาย สร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองอยู่แล้ว” 


 


 


เต๋อเฟยยังตอกย้ำต่อไป “ยาถ้วยนั้น ก็เพื่อกระตุ้นให้นางไปปีนเตียงมังกรของพระองค์ หากว่าเรื่องสำเร็จ อาศัยความรักต่ออี้อ๋องที่ชั่วชีวิตก็ไม่มีเสื่อมคลายนี้ มีหรือนางจะไม่กลายเป็นตัวหมากที่ดีที่สุดของอี้อ๋องในการจะล่อลวงควบคุมพระองค์” 


 


 


“หากว่าเรื่องราวล้มเหลว สถานการณ์เบื้องหน้าก็ทำให้ฝ่าบาทและตระกูลตู๋กูต้องฉีกหน้าเป็นคู่แค้นกัน ยิ่งฝ่าบาทและตระกูลตู๋กูห่างกันเท่าไร เช่นนั้นอี้อ๋องและตระกูลตู๋กูก็จะยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้นเท่านั้น เขาก็จะยิ่งเข้าใกล้การก่อกบฎชิงบัลลังก์ได้อีกก้าวหนึ่ง ไม่ว่าสำเร็จหรือว่าล้มเหลว ผู้ที่ได้รับผลลัพธ์มากที่สุดก็คือตัวเขาอี้อ๋อง” 


 


 


เต๋อเฟยพูดทั้งหมดออกมาในอึดใจเดียว ทั้งยังไม่ลืมกล่าวอีกว่า “หากว่าฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อ ก็สามารถเรียกตัวอี้อ๋องมาโต้แย้งกับข้าได้! “ 


 


 


ท่าทางที่เชื่อมั่นขึงขังของนาง ดูไปไม่คล้ายว่าหลอกลวง 


 


 


อี้อ๋อง บุรุษที่งดงามดุจเทพเซียนผู้นั้น บุรุษที่ทำให้นางหลงใหลตั้งแต่แรกเห็น เพื่อเขาแล้ว นางปฎิเสธการสู่ขอทั้งหมด 


 


 


เพื่อเขาแล้ว นางยินยอมเข้าวังมา คิดจะสนับสนุนเขาอีกแรงหนึ่ง 


 


 


แต่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบนี้ กลับมีแต่นางที่ยินยอมทุ่มเทจิตใจอยู่เพียงข้างเดียว 


 


 


อีกทั้งเข้าวังมาได้ไม่เท่าไหร่นางก็พบว่า ฮ่องเต้เองก็ทรงโดดเด่นงดงามเกินใครเปรียบ 


 


 


นางคิดจะลืมเลือนอี้อ๋อง กลายเป็นสตรีของฝ่าบาทอย่างเต็มตัว 


 


 


แต่ว่าเพราะอะไร…..แม้แต่ฝ่าบาทเองก็ทรงมองแต่ตู๋กูซิงหลัน? 


 


 


นังแพศยานี่ยึดครองอี้อ๋องไว้แล้วยังไม่พอ แม้แต่ฝ่าบาทก็ไม่ปล่อย! กินอยู่ในชามแท้ๆ ตายังมองไปที่ในหม้ออีก ยื้อเอาไว้ทั้งสองด้านไม่ยอมปล่อย 


 


 


ทั้งๆ ที่นางยอมยกอี้อ๋องให้มันไปแล้วแท้ๆ ………..  

 

 


ตอนที่ 94 เจ้างดงามมาก เราไม่ได้ตาบอด

 

ชั่วขณะนั้น พระวรกายของจีเฉวียนเย็นจัดเสมือนน้ำแข็งไปทั้งพระองค์ แม้แต่ตัวตู๋กูซิงหลันยังรู้สึกได้ถึงกระแสความเย็นที่ไหลออกมาจากร่างของเขา 


 


 


พระองค์สาดพระเนตรเย็นราวเกล็ดน้ำแข็งไปยังเต๋อเฟย แล้วก็หันพระพักตร์กลับมามองตู๋กูซิงหลัน 


 


 


เรื่องชอบพอผูกพันกันแต่เยาว์วัยนั้นเขารู้ 


 


 


แต่ว่าเรื่องความรักที่ยังคงอยู่ไม่มีจางหายของพวกเขา?  


 


 


แม้จะรู้อยู่แต่แรกว่านางกับอี้อ๋องเคยมีความผูกพันกันมาก่อน แต่เมื่อถูกผู้อื่นชักนำเรื่องนี้ออกมากล่าว หัวใจของเขาก็พลันโหวงเหวงอย่างไร้ที่มา ทั้งยังรู้สึกเหมือนมีหินก้อนหนึ่งกำลังกดทับอยู่ จนรู้สึกอึดอัดไปทั้งร่าง 


 


 


สตรีที่น่าตายผู้นี้ นางได้ทำอะไรกับเขากันแน่?  


 


 


“ฝ่าบาท……นี่จะต้องเรียกอี้อ๋องเข้าวังมาหรือไม่พะยะค่ะ? ” หลี่กงกงเสี่ยงอันตรายที่หัวจะหลุดจากบ่าถามออกไปอย่างระมัดระวัง 


 


 


เรื่องนี้จะเป็นเช่นไร ก็ไม่เกี่ยวกับไทเฮาสักหน่อย 


 


 


หากว่าไทเฮาทรงมีสิ่งใดอยู่ในพระทัยละก็ มีหรือจะยอมแบกฝ่าบาทออกมาจากสุสานของเย่วฮูหยิน?  


 


 


มีหวังต้องฝังพระองค์ทั้งเป็นไปตั้งแต่แรกแล้ว! ไหนเลยจะต้องเก็บไว้ให้มากความอีก 


 


 


จีเฉวียนทรงนิ่งไปอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้หันไปถามสตรีตัวน้อยที่อยู่ด้านข้าง “ไทเฮา ท่านว่า สมควรเรียกมาหรือไม่ต้องเรียกมา? “ 


 


 


ยามนี้สีหน้าของตู๋กูซิงหลันกลับขาวซีด ตอนที่เต๋อเฟยกล่าววาจาเหล่านั้น หัวใจของนางพลันเกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง 


 


 


หลอกลวง ทรยศ ไม่อาจเชื่อถือ ทุกอารมณ์และความรู้สึกที่ระเบิดขึ้นพร้อมกันตรงหน้า กดทับจนนางแทบจะหายใจไม่ออกแล้ว 


 


 


นี่คือความรู้สึกทั้งหมดของเจ้าของร่างเดิม 


 


 


ช่างน่าตายนัก…..ไทเฮาน้อยกลับมีรักที่ลึกล้ำให้กับจีเย่ว์ถึงเพียงนี้?  


 


 


นางกดลงไปที่บริเวณหัวใจของตน แม้จะใช้พละกำลังทั้งหมดแล้ว ยังไม่อาจสงบอารมณ์นั้นลงได้ 


 


 


รับสั่งของเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั้นนางไม่ทันได้ฟังให้ชัดเจน ได้แต่ยกนิ้วโป้งขึ้นมากดลงไปที่จุดเหรินจงใต้จมูก 


 


 


จีเฉวียน “………” 


 


 


“ฮ่อง…..ลูก เจ้ารอเดี๋ยว ขอข้าพักสักครู่” นางไม่ลืมที่จะกล่าวกับเขา 


 


 


ตอนนี้นางรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่าง หากไม่กดจุดเหรินจงเอาไว้นางคงจะต้องหมดสติไปเสียเดี๋ยวนี้แน่ๆ  


 


 


ผ่านไปชั่วครู่ ลมหายใจหนักๆ เหล่านั้นค่อยๆ ถูกนางคลายออกไปช้าๆ  


 


 


“หากว่าเจ้าปวดใจจนยากจะทนไหว เราจะเรียกหมอหลวงซุนมาฝังเข็มให้สักหน่อย ” เห็นนางพยายามควบคุมตัวเองอยู่นาน ฮ่องเต้ก็ทรวรู้สึกยากจะทนทานขึ้นมา สตรีนางนี้เล่นละครอยู่ชัดๆ  


 


 


“ไม่ต้องๆๆ อย่าได้สิ้นเปลืองทรัพยากรของชาติบ้านเมืองเลย” ตู๋กูซิงหลันกดจุดเหรินจงใต้จมูกจนผิวแดงเป็นปื้นขึ้นมา ในที่สุดก็สามารถหายใจได้สะดวกขึ้น 


 


 


นางแกล้งทำเป็นไม่เห็นสายพระเนตรเหยี่ยวของเจ้าลูกชาย แต่มองตรงไปยังร่างของเต๋อเฟยแทน “ย่าห์ เราคงจะดูถูกความงามของตนเองเกินไปเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าในสายตาของพวกเจ้าเราจะงดงามจนน่าตื่นตะลึงถึงเพียงนี้…..” 


 


 


คนพวกนี้ช่างยุ่งยากเสียจริงๆ ทำอะไรสักอย่างเป็นต้องอ้อมค้อมวุ่นวาย มาบอกว่าเจ้าของร่างเดิมนี้ยอมแต่งกับอดีตฮ่องเต้เพื่อจีเย่ว์ หากว่ามีความรักความผูกพันลึกซึ้งถึงเพียงนั้น ขอเพียงจีเย่ว์ออกปาก มีหรือที่นางจะไม่ช่วยเขาล่องลวงจีเฉวียน ควบคุมจีเฉวียนเอาไว้ในมือ 


 


 


ไม่เห็นจำเป็นจะต้องใส่ยาให้กินเพื่อปีนเตียงอะไรให้มากความ 


 


 


เต๋อเฟย “? ” นางคิดไม่ถึงเลย ว่าทำไมนังแพศยานี้ถึงได้มีท่าทีตอบสนองเช่นนี้?  


 


 


ไม่คิดจะรักษาหน้าตาก็แล้วไปเถอะ แต่ว่านางยังสามารถไร้ยางอายได้ถึงระดับนี้เลยหรือ?  


 


 


นางรักอี้อ๋องลึกซึ้งเสียขนาดนั้น เมื่อรู้ว่าตนเองถูกคนรักวางแผนหลอกลวง ไม่ใช่ว่าสมควรที่จะโกรธเกลียดด้วยความชอกช้ำหรอกหรือ?  


 


 


แต่พอเห็นว่าใบหน้าของนางซีดขาว เต๋อเฟยก็คาดเดาได้ว่านางคงจะกำลังเสแสร้งอยู่เป็นแน่ 


 


 


” งดงามจนน่าตื่นตะลึงแล้วมีประโยชน์เช่นไร? ในเมื่อลูกชายข้า เขาตาบอด! ” ตู๋กูซิงหลันพูดอย่างจริงจัง “เจ้าดูให้ดีสิ ฮ่องเต้แห่งต้าโจวของพวกเรา ใช่ว่าเป็นคนที่ถูกความงามล่อลวงเอาง่ายๆ หรอกหรือ? ทำไมพวกเจ้าถึงได้ประเมินฝ่าบาทต่ำไปถึงเพียงนี้? “ 


 


 


เจ้าหนุ่มนี่ไม่เพียงตาบอด แต่ยังเป็นบุรุษเหนือบุรุษ เป็นเพชฆาตที่ทำร้ายเหล่าสตรีเยาว์วัยโดยเฉพาะ 


 


 


“เจ้าไม่รู้หรือว่า ในสายตาของฝ่าบาทแล้ว เราอัปลักษณ์ถึงขนาดไม่ควรชายตาแลด้วยซ้ำ? “ 


 


 


ว่าแล้ว นางก็ไม่ลืมหันไปดึงชายฉลองพระองค์ของจีเฉวียน ทูลถามอย่างจริงจังว่า “ลูก ….ฮ่องเต้ เจ้าว่าจริงหรือไม่? “ 


 


 


สตรีผู้นี้ ความสามารถในการพูดจาเหลวไหลจนคล้ายเป็นจริงเป็นจัง ยิ่งทียิ่งทำได้ลื่นไหลหมดจด นางใช้ดวงตาข้างไหนมามองดูว่าเขาตาบอดกัน?  


 


 


ดูดวงตาของเขาให้ดีๆ ใต้หล้านี้จะมีบุรุษสักกี่คนที่มีดวงตาสุกใส เป็นประกายงดงามกว่าเขาได้อีก?  


 


 


คนที่กล้าพูดว่า เขาซึ่งเปี่ยมล้นด้วยพระอัจฉริยภาพแห่งกษัตริย์นี้ตาบอด ก็พึ่งจะมีนางเป็นคนแรก 


 


 


ผ่านไปนานพักใหญ่ ถึงได้เห็นว่าฮ่องเต้ทรงกลืนความโกรธกริ้วนั้นลงไป หันมายิ้มให้นางอย่างน่าสะพรึง “เจ้างดงามมาก เราไม่ได้ตาบอด” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……..” เชี่ยย เจ้าหนุ่มนี่ทำไมไม่ทำตามทฤษฎีเล่า!  


 


 


ก่อนหน้านี้ไม่ใช้เอาแต่ตั้งแง่รังเกียจนางหรอกหรือ?  


 


 


ทำไมจะต้องมาขัดขากันต่อหน้าเต๋อเฟยด้วย จะสร้างความเกลียจชังไปถึงไหน?  


 


 


เต๋อเฟยรู้สึกหน้าชาไปอย่างบอกไม่ถูก ประเด็นสำคัญในตอนนี้ไม่ใช่ว่าพวกเขาควรจะรีบเรียกตัวอี้อ๋องมาสอบถามหรอกหรือ?  


 


 


“ไทเฮา ขออย่างได้คิดเบี่ยงเบนหัวข้อ คำถามของเราเมื่อครู่ เจ้ายังไม่ได้ตอบตามตรง ” จีเฉวียนปล่อยให้นางกุมชายแขนฉลองพระองค์ไว้ สองเนตรเพ่งมองนาง “อี้อ๋อง จะเรียกมาหรือไม่? “ 


 


 


สตรีผู้นี้ คิดจะเสแสร้งแกล้งทำเป็นโง่เขลาให้ผ่านด่านไป 


 


 


“แล้วแต่พระองค์รับสั่งเถอะเพคะ พระองค์ทรงเป็นผู้ครองแคว้น เรียกหรือไม่เรียกมาก็ตามแต่พระประสงค์ สำหรับหม่อมฉันแล้วเรื่องนี้ไม่สำคัญอีกต่อไป ขอเพียงฝ่าบาททรงเห็นว่าหม่อมฉันบริสุทธิ์ หม่อมฉันก็พอใจแล้ว 


 


 


จีเฉวียนยกยิ้มมุมปาก มองดูจุดเหรินจงที่นางกดจนแดง สตรีผู้นี้ทั้งที่ตนเองต้องเจ็บปวดทรมานอย่างหนัก แต่ยังจะคิดปกป้องจีเย่ว์อยู่อีก 


 


 


นางกล่าวแล้วก็ ถวายบังคมต่อเขาครั้งหนึ่ง “หากว่าไม่มีเรื่องอื่นอีก หม่อมฉันขอทูลลาแล้ว” 


 


 


อาการเจ็บหัวใจจากเจ้าของร่างเดิมยังไม่ดีขึ้นสักเท่าไหร่ หากรีรอต่อไปคงไม่ดี นางควรรีบกลับไปจัดการดูแลตนเองเสียหน่อย 


 


 


บางทีนี่อาจเป็นเพราะว่าในร่างยังมีดวงจิตของร่างเดิมหลงเหลืออยู่ ถึงได้ทำให้นางรู้สึกทรมานถึงเพียงนี้ 


 


 


อย่างไรวันนี้ก็ได้พิสูจน์ความบริสุทธฺ์ต่อหน้าฮ่องเต้แล้ว ก็ถือว่าที่มาวันนี้ไม่ได้เสียเปล่า 


 


 


ส่วนเรื่องที่เหลือ เจ้าฮ่องเต้สุนัขคงจะไปไล่สืบให้ชัดเจน ในเมื่อนางไม่ได้ชอบจีเย่ว์ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวล 


 


 


พอนางพึ่งจะหมุนตัว ยังไม่ทันจะได้ก้าวเท้าออกจากประตูใหญ่ตำหนักเย็น ก็เห็นจีเย่ว์ที่งดงามดุจจันทร์กระจ่างซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ๆ มาจากที่ใดกันยืนอยู่ที่นั่น 


 


 


ใต้แสงจันทร์สกาว สายลมโชยโบกโบยชายเสื้อ เส้นผมยาวสลวยของเขาก็พลิ้วอยู่ในสายลม ภาพลักษณ์ประดุจเทพเซียน งดงามจนทำให้ผู้คนวิญญาณหลุดลอย 


 


 


ดูท่าทางของเขาคงจะรีบรุดมาดุจลมหอบหนึ่ง ตามไรผมชื้นไปด้วยเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ทันทีที่ได้เห็นตู๋กูซิงหลัน ในทันใดนั้น ใบหน้าหมดจดดุจดวงจันทร์ก็คลี่ยิ้มออกมา 


 


 


แต่รอยยิ้มนั้น ทันทีที่เห็นดวงหน้าซีดขาวของตู๋กูซิงหลันก็พลันแข็งค้างเสียแล้ว 


 


 


เดิมที่ตู๋กูซิงหลันพยายามกดอาการเจ็บหัวใจของเจ้าของร่างเดิมไว้ แต่พอได้เห็นหน้าอี้อ๋องเข้าเท่านั้น ความเจ็บปวดที่พยายามข่มไว้ก็ปะทุออกมา 


 


 


ในทรวงอกของนางเจ็บปวดทรมาน ลำคอหวานวูบ นางก็กระอักโลหิตออกมาคำโตโดยทันที 


 


 


เสียงกระอักอวกด้วยความเจ็บปวดมากมายดังยาวนาน 


 


 


ดวงหน้าที่ซีดขาว แดงฉานไปด้วยรอยเลือด 


 


 


ย่าห์ เจ้าของร่างเดิมหัวใจสลายจริงๆ ด้วย! เรื่องอื่นใดก็ไม่กระทบกระเทือนนางได้ มีแต่เรื่องของจีเย่ว์ที่พอแตะถูกก็แตกสลาย 


 


 


ช่างเป็นพวกไม่ใช้สมองจริงๆ เต๋อเฟยพูดอะไรออกมาก็เชื่อถือหมดเลยหรือไง?  


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…..” หมอหลวงซุนละ ข้ายังพอจะไหวอยู่ใช่ไหม รีบๆ มาฝังเข็มให้ข้าสักสองจึกด่วน!  


 


 


” หลัน…..ไทเฮา! ” สีหน้าจีเย่ว์เปลี่ยนเป็นซีดขาว ใช้ขาข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บ รีบวิ่งเข้ามาพยุงนาง 


 


 


ฝ่ามือใหญ่นั้นกอบกุมข้อมือของนางเอาไว้แน่น สีหน้าทั้งกังวลและเจ็บปวด เลือดของนางไหลอาบบนหลังมือของเขา สีแดงที่อุ่นร้อนนั่นทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้าน 


 


 


“ท่านเป็นอะไรไป? อย่ากลัวนะ……ข้าอยู่นี่” จีเย่ว์กอดนางไว้ เตรียมจะพานางไปสำนักแพทย์หลวง  

 

 


ตอนที่ 95 ความรักพรากชีวิต

 

จีเย่ว์เองก็พึ่งจะฟื้นขึ้นมาในตำหนักของพระสนมมารดา พอได้ยินว่าหลันเอ๋อร์กลับวังมาแล้ว ก็รีบรุดจะมาหานาง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันจดจ้องเขาเขม็ง นางอยากจะเตะไอ้คนรักเก่าผู้นี้ให้สุดแรง เอาให้ขึ้นสวรรค์ไปเลย 


 


 


นางปัดมือของเขาทิ้งไป ใช้นิ้วโป่งกดลงบนจุดเหรินจง 


 


 


ตายแน่ๆ! จะช้าเร็วมีหวังโดนเจ้าคนรักเก่าผู้นี้ทรมานจนตาย 


 


 


นางพึ่งจะยกมือขึ้น ก็เห็นจีเฉวียนเสด็จออกมาจากในตำหนัก สาวพระบาทเพียงไม่กี่ก้าวก็เข้ามาคว้าตัวนางจากอ้อมอกของจีเย่ว์ไป ใช้ชุดคลุมมังกรทองของตนเองห่อตัวนางไว้ 


 


 


เขารู้อยู่แล้ว ว่าตู๋กูซิงหลันเดิมทีก็รักจีเย่ว์มาก แต่คิดไม่ถึงว่า เข้าวังมานานถึงเพียงนี้ ความรักของนางยังลึกซึ้งไม่เสื่อมคลาย 


 


 


เพียงแค่ได้ยินว่าจีเย่ว์หลอกใช้นาง ก็เจ็บปวดใจจนกระอักเลือด! 


 


 


เขาเอาตัวตู๋กูซิงหลันที่คลุมชุดมังกรมาอุ้มไว้ในอก ทอดพระเนตรดูดวงหน้าที่ซีดขาวอย่างไร้ที่เปรียบของนาง ริมฝีปากราวกลีบดอกไม้นั้นอาบไปด้วยเลือด ก็ทรงกริ้วจัดแทบอยากจะประทานพระหัตถ์ตบนางให้ตายไปเสีย 


 


 


กฎระเบียบในพระราชสำนักต้าโจวถูกนางทำเสียเละเทะป่นปี้หมดแล้ว เป็นถึงไทเฮากลับยังเฝ้าคิดถึงแต่ลูกเลี้ยงของตนเอง! 


 


 


สมควรประหารสักพันหมื่นดาบตั้งแต่แรก! ให้ลงนรกไปขอสำนึกโทษกับอดีตฮ่องเต้เสียพร้อมๆ กับจีเย่ว์! 


 


 


แต่พอเห็นดวงตาของนางที่น้ำรินไหลทั้งสองข้าง เขาก็ตัดใจทำไม่ลง 


 


 


“ฝ่าบาท~ หม่อมฉันเดิมทีก็มีโรคหัวใจอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่ว่าถูกโยซื่อ (尤氏= สตรีแซ่โยที่แต่งงานแล้ว ฐานะเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดา) ยั่วโทสะเสียจนกำเริบหรอกหรือ? พระองค์ทรงพระทัยดีเรียกหมอหลวงซุนมารักษาสักหน่อยได้หรือไม่? ” ตู๋กูซิงหลันอยู่ในอ้อมแขนของเขาไม่กล้าขยับตัววุ่นวาย ดวงตาดอกท้อทั้งสองข้างเปียกน้ำตาจนชุ่ม แม้แต่ขนตายาวหนาก็มีหยดน้ำตาเกาะรางเม็ดไข่มุก 


 


 


น้ำเสียงของนางทั้งเบาทั้งอ่อนล้า ดูไปแล้วน่าสงสารจับใจ 


 


 


โหยวหนิง “……..” นังสาระเลวนี้ช่างรู้จัดปัดสวะนัก 


 


 


“ในเมื่อยังมีแรงพูดจา ดูท่ายังไม่ตายไปได้” จีเฉวียนอุ้มตู๋กูซิงหลันเอาไว้ หากเชื่อคำพูดผีสางของนาง เขาก็คงจะโง่เต็มที สตรีที่สามารถพาสองบุรุษตัวโตสองคนออกมาจากสุสานได้ มีโรคหัวใจกับผีนะสิ 


 


 


นางไม่ทำให้โหยวหนิงโกรธจนบ้าตายก็ถือว่าดีมากแล้ว โหยวหนิงหรือจะทำให้นางมีโทษะจนกระอักเลือดได้? 


 


 


โกหกได้โดยไม่ต้องมีบทร่างเลยนะ! 


 


 


” หากยังไม่รีบรักษาคงต้องตายจริงแน่” ตู่กูซิงหลันดึงแขนฉลองพระองค์ไว้ นางพยายามข่มลมหายใจของตนเองให้สงบ วันนี้เดิมที่นางคิดจะจัดการเรื่องนี้ให้จบเรียบร้อย แต่คิดไม่ถึงกลับถูกความรู้สึกของเจ้าของร่างที่มีต่อจีเย่ว์สกัดหนทางเสียแล้ว 


 


 


เพียงแค่กระอักเลือดครั้งเดียวก็มึนงงไปหมด หัวใจเจ็บปวดราวถูกเข็มแทงเข้าไป 


 


 


อ้อมแขนของจีเย่ว์ว่างเปล่า หัตถ์ของเขายังเปื้อนคราบโลหิตของตู๋กูซิงหลันอยู่เลย หัวใจของเขากำลังสั่นสะท้าน ยิ่งพอได้ยินว่า ‘จะตายแล้ว’จากนาง ก็ยิ่งทำให้เลือดในกายทั้งหมดของเขาเย็นวูบ 


 


 


แต่ขณะนั้นเอง โหยวหนิงก็ติดตามออกมา พอเห็นจีเย่ว์ที่ดูเหมือนวิญญาณหลุดลอยไปแล้ว ก็ยกยิ้มขึ้น “อี้อ๋องเพคะ ช่างพอดิบพอดีเชียว ตอนนี้นางได้รู้แล้ว ว่าเรื่องที่นางปีนเตียงมังกรนั้น เป็นพระองค์รับสั่งให้หม่อมฉันไปทำ แล้วพระองค์จะยังต้องเสแสร้งไปทำไมอีกละเพคะ? “ 


 


 


“เจ้าพูดอะไร? ” จีเย่ว์สาดสายตาเป็นประกายไปที่นาง 


 


 


“อุ้ย~ อย่าทรงทำเช่นนี้สิเพคะ ข้ากลัวนะ” โหยวหนิงทำน้ำเสียงอ่อนแอพลางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ฝ่าบาททรงพระปรีชา ต่อให้ข้าไม่สารภาพออกไป จะช้าหรือเร็วก็ต้องทรงสืบทราบจนได้ กระดาษไม่อาจห่อไฟฉันใดก็ฉันนั้น” 


 


 


“ไทเฮาทรงกระอักพระโลหิต ก็เพราะถูกพระองค์ทำร้ายจิตใจนะสิ พระองค์นะ จะอย่างไรก็ไม่สมควรจะไปหลอกใช้จิตใจของสตรีที่มีใจผูกพันพระองค์เช่นนี้ 


 


 


“เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใดกัน! ” จีเย่ว์ทรงกริ้วดุจไฟลุกท่วมฟ้า เขาเสด็จไม่กี่ก้าวก็เข้ามาใกล้โหยวหนิงอย่างรวดเร็ว ยื่นหัตถ์ไปคว้าสาบเสื้อของนาง “เป็นผู้ใดใช้ให้เจ้ามาให้ร้ายข้าผู้เป็นอ๋องกันแน่? “ 


 


 


“อ๋อ ให้ร้ายหรือ? ” โหยวหนิงหัวเราะเสียงเย็น ใช้ปลายนิ้วลูบไล้แหวนหยกขาวในนิ้วโป้งช้าๆ “หากไม่ใช่ท่านยังจะเป็นใครไปได้อีก? แม้แต่ไทเฮายังทรงเชื่อเลย ดูเลือดที่กระอักออกมาสิ ฮิๆๆ …….ช่างบาดตาบาดใจนัก” 


 


 


วันนี้ช่างสมใจนางนัก กระอักเลือดมากมายเช่นนี้ ดูท่านังแพศยาตู๋กูซิงหลันนั่น มีหวังได้รับบาดเจ็บภายในอย่างหนักแน่? 


 


 


เฮอะๆ ……ทำชั่วก็ตายๆ ไปเสีย ช่างสมควรแล้ว 


 


 


จีเย่ว์มองดูแหวนหยกขาวในนิ้วมือของนาง สายตาของเขามีแต่โทสะคุกรุ่นขึ้นมา ราวกับมีไอเย็นของน้ำแข็งกำจายออกมา เขากำหมัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ เครียดขึงอยู่เป็นนานยังไม่อาจปล่อยวางได้ 


 


 


จีเฉวียนโอบอุ้มตู๋กูซิงหลันไว้ สายพระเนตรหงส์นั้นเหลือบมองไปทางเขาอย่างเย็นชา “อี้อ๋อง โยซื่อใส่ความเจ้าจริงหรือไม่? “ 


 


 


ในเมื่อเขารีบรุดมาเช่นนี้ เรื่องนี้ก็จะได้ตัดจบไปเสีย 


 


 


จีเย่ว์มองมาที่พระองค์ และมองดูตู๋กูซิงหลันในอ้อมพระหัตถ์ ในหน้าของนางซีดขาวราวแผ่นกระดาษ ดูอ่อนแอเปราะบางราวกับบุปผาหยก หากใช้กำลังเพียงเล็กน้อยก็อาจแตกสลายไปทันที 


 


 


“กระหม่อมขอร้องฝ่าบาท โปรดรับสั่งให้หมอหลวงรีบมาตรวจรักษานางก่อน” เขาปล่อยมือจากโหยวหนิง คุกเข่าลงข้างหนึ่งเบื้องพระพักตร์จีเฉวียน 


 


 


จีเฉวียนสายพระเนตรเย็นชาขึ้นยิ่งกว่าเดิม “เราคิดว่า ไทเฮาจะต้องอยากทราบคำตอบแน่ หากว่าเจ้าไม่พูดให้ชัดเจน บาดแผลของนางคงไม่อาจรักษาหาย” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “………” ช่างสมกับเป็นฮ่องเต้ที่พระทัยดำนัก! 


 


 


จีเย่ว์กำหัตถ์ซ่อนเอาไว้ในแขนฉลองพระองค์ เขาคิดจะชิงเอาตู๋กูซิงหลันในอ้อมพระหัตถ์กลับมา พานางไปให้ไกลจากที่นี่ ตามหาหมอที่ดีที่สุดมารักษานาง 


 


 


แต่เมื่อสบตากับดวงตาดอกท้อที่เย็นชาดุจน้ำแข็งคู่นั้น หัวใจของเขาก็ราวกับจับตัวเป็นก้อนน้ำแข็งขึ้นมา 


 


 


นางแค้นเขา เกลียดเขา แม้แต่…….จะมองเขาอีกนิดก็ยังไม่ยินดีแล้ว 


 


 


เขากัดฟันกรอด หัวใจราวกับถูกคนแทงทะลุเป็นพันเป็นร้อยแผล 


 


 


เขารู้ดี หลันเอ๋อร์ยังคงห่วงใยอาวรตัวเขา ไม่เช่นนั้นคงไม่พาเขาออกจากสุสานเย่ฮูหยินมาด้วย 


 


 


ทั้งยังอุ้มเขาออกมาอีกตังหาก! 


 


 


และเพราะเขาคิดว่านางยังคงเหลือโอกาสให้เขา เขาคิดว่าพวกเขายังสามารถกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้ ขอเพียงนางยินนอม เขาก็ไม่สนใจสิ่งใดอีก 


 


 


เพราะฉะนั้น ทันทีที่เขาได้สติขึ้นมา ก็มาหานางเป็นอันดับแรก มาหานางด้วยความยินดีปรีดาอย่างที่สุด 


 


 


แต่ว่าตอนนี้ ……… 


 


 


“อี้อ๋อง เราจะถามเป็นครั้งสุดท้าย เรื่องนี้เป็นฝีมือเจ้าหรือไม่? ” จีเฉวียนจดจ้องเขาอย่างไร้ความปราณี โอบอุ้มตู๋กูซิงหลันเอาไว้แน่นโดยไม่ยอมผ่อนคลายแม้แต่น้อย 


 


 


พระหัตถ์ที่พันผ้าโปร่งเอาไว้แน่น เพราะต้องรับน้ำหนักมากเกินไป บาดแผลจึงปริแตก พระโลหิตก็ซึมออกมาจนแดงฉาน 


 


 


จีเย่ว์คุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น รู้สึกว่าเลือดทั้งตัวจับแข็งจนหนาวสั่น พอมองดูใบหน้าของตู๋กูซิงหลันที่ยิ่งทียิ่งซีดขาว เขาก็ต้องปิดตาลง ตอบออกมาเบาๆ คำหนึ่งว่า “ใช่” 


 


 


“ไทเฮา เจ้าได้ยินชัดเจนแล้วไหม? ” จีเฉวียนหันมาสอบถามสตรีในอ้อมแขนทันที 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเบื้อนหน้าหนีไป นางไม่คิดจะเหลือบมองจีเย่ว์แม้สักนิดเดียว คำตอบว่า “ใช่” คำนั้น แทบจะทำให้นางต้องกระอักโลหิตสดๆ ออกมาอีกครั้ง 


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณของเจ้าของร่างเดิมที่หลงเหลืออยู่ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับร่างกายราวกับคำสาปหลอกหลอนที่เกือบจะพรากชีวิตนาง 


 


 


ความรักครั้งนี้มาเพื่อพรากชีวิต! 


 


 


พวกเขาริอาจจะมีความรักก็แล้วไปเถอะ แต่ไยต้องพาเอานางตกที่นั่งลำบากไปด้วย 


 


 


จีเฉวียนทอดพระเนตรดูท่าทางของนางที่อ่อนแอลงกระทั่งไม่คิดแม้แต่จะพูดจา ก็ไม่คิดจะทำให้นางต้องลำบากใจต่อไป โอบอุ้มนางไปทางพระตำหนักตี้หัว 


 


 


แต่ก่อนที่จะจากไป เขาไม่ลืมจะออกคำสั่งว่า “กักบริเวณอี้อ๋องในปีกตะวันตกของตำหนักเย็น หากไม่มีคำสั่งจากเราไม่อาจออกไปได้” 


 


 


จีเย่ว์กุมอกไว้ กัดริมโอษฐ์จนโลหิตไหล “กระหม่อม …….รับพระบัญชา” 


 


 


รอจนกระทั้งจีเฉวียนทรงนำตู๋กูซิงหลันเสด็จจากไปไกลแล้ว โหยวหนิงถึงได้หันมายิ้มเย็นให้กับจีเย่ว์ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “อี้อ๋อง ต้องเลือกระหว่างความกตัญญูและความรัก ช่างทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดต่างเสียจริงๆ …..น่าเสียดายนะ นางไม่มีวันให้อภัยท่านแล้ว แถมท่าน ยังต้องอยู่ในตำหนักเย็นแห่งนี้เป็นเพื่อนข้า ฮ่าๆๆๆๆๆ 


 


 


โหยวหนิงหัวเราะแล้ว นางหัวเราะจนน้ำตาไหลออกมาเป็นทาง  

 

 


ตอนที่ 96 เพราะฉะนั้นแล้วประเด็นก็คือ?

 

ก่อนจะเข้าวังมา นางเคยคิดหาหนทางที่จะได้ใกล้ชิดอี้อ๋องมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่า จะกลายเป็นวิธีนี้ ให้เขากลายเป็นนักโทษในตำหนักเย็น 


 


 


ตำหนักเย็นหลังนี้ช่างยอดเยี่ยมนัก ก่อนนี้สามารถคุมขังไทเฮา ตอนนี้สามารถจองจำท่านอ๋อง แม้ตัวนางจะต้องอาศัยอยู่ในนี้ก็นับว่าไม่เสียเปรียบแล้ว 


 


 


นี้เป็นครั้งแรกที่สายพระเนตรของจีเย่ว์สาดไปสังหารออกไป ไอสังสารนี้ทำให้หัวใจของโหยวหนิงกระตุกไปเลยทีเดียว 


 


 


เขาลุกขึ้นมา เก็บซ่อนสีหน้าที่เจ็บปวดไว้ เหลือเพียงความเย็นชาไร้ที่เปรียบ “กรรมใดใครก่อ โหยวหนิง เจ้าต้องไม่ตายดี ข้าผู้เป็นอ๋องจะคอยดู” 


 


 


โหยวหนิงชงักไปครู่หนึ่ง คำเรียก ‘โหยวหนิง’ นี่ออกจากปากของเขาช่างน่าฟังเหลือเกิน 


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเขาเรียกชื่อตนเอง ฟังแล้วช่างเสียดสียิ่งนัก 


 


 


นางหัวเราฮิๆ ฮะๆ “ไม่ตายดีหรือ? เช่นนั้นก่อนตายข้าจะต้องลากใครไปด้วยดีล่ะ” 


 


 


นางพูดแล้วก็ยกแหวนหยกขาวบนนิ้วขึ้นมา “ท่านยินยอมให้ตนเองต้องรับโทษมหันต์ แต่ก็ต้องปกป้องคนผู้นั้นไว้ให้ได้นิ” 


 


 


จีเย่ว์หรี่เนตรมอง ยิ่งมองนางไอสังหารก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น 


 


 


“อี้อ๋องเพคะ ทางที่ดีท่านสวดภาวนาให้ข้าอยู่รอดปลอดภัยจะดีกว่า มิเช่นนั้นหากว่าวันใดข้าเกิดเรื่องขึ้น ผู้ที่ท่านคิดจะปกป้องคงไม่อาจอยู่อย่างสบายได้อีกแล้ว” 


 


 


โหยวหนิงเดินมาถึงข้างกายเขา พิจารณาดูพักตร์ที่งดงามดุจเทพเซียนนั้น เห็นบนใบหน้ายังมีรอยแผลที่ไม่จางหายไป ก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา นางยกมือขึ้น คิดจะลูบไล้รอยแผลนั้น 


 


 


“ท่านอ๋อง จากนี้ไป ขอเพียงท่านยินยอมอยู่กับข้าในตำหนักเย็นนี้ ข้ารับรอง ชั่วชีวิตนี้จะไม่มีทางให้ใครได้รู้ความจริง ผู้ที่ท่านคิดจะปกป้อง ก็จะปลอดภัยไปชั่วชีวิตเช่นกัน” 


 


 


จีเย่ว์ปัดมือที่ยื่นมานั้นทิ้งไป ยกหัตถ์ตบหน้านางฉาดหนึ่ง ตบนี้รุนแรงถึงขนาดทำให้โหยวหนิงล้มลงไปบนพื้น 


 


 


สิ่งที่ทิ้งไว้ให้นางมีเพียงแววเนตรที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหารเท่านั้น 


 


 


 


 


 


…………………………………………………. 


 


 


 


 


 


ในตำหนักตี้หัว ท่านหมอหลวงซุนที่มีแต่เหงื่อท่วมศีรษะกำลังจับชีพจรให้ไทเฮา การจับชีพจรนี้นี้ยังไม่เท่าไหร่ แต่เขากลับพบว่าชีพจรหัวใจของนางบาดเจ็ยสาหัส 


 


 


“ฝ่าบาท ไทเฮาทรงไปประมือกับยอดยุทธ์ผู้ใดเข้า ไยจึงได้รับบาดเจ็ยถึงเพียงนี้? ” ท่านหมอหวงซุนชักจะอดกลั้นไม่ไหวแล้ว ถึงแม้ไทเฮาอยู่ในวังนี้อย่างไม่ราบรื่นนัก แต่อย่างไรนางเป็นเพียงสตรีเยาว์วัยผู้หนึ่ง ผู้ใดกันที่ลงมือหนักเช่นนี้ 


 


 


“อารมณ์ไม่ได้ ถูกยั่วโทสะมา ” จีเฉวียนทรงประทับนั่งอยู่ด้านข้างของตู๋กูซิงหลัน “อย่าได้พูดให้มากความ ไม่ว่าจะต้องใช้โอสถเช่นไร ก็จงรักษานางให้เรา” 


 


 


หมอหลวงซุน “………” ในวังนี้ผู้ที่สามารถทำให้ไทเฮาน้อยมีโทสะได้ ก็น่าจะมีแต่ฝ่าบาทละมั้ง? 


 


 


เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองดูฝ่าบาทนิดหนึ่ง 


 


 


เรื่องผึ้งพิษในครั้งก่อน เขาได้เห็นแล้วว่าฝ่าบาททรงรังแกสาวน้อยนางนี้เช่นไร ครั้งนี้ดูท่าจะเกินไปแล้ว! 


 


 


เป็นบุรุษตัวโตจะยอมสตรีตัวน้อยเสียหน่อยไม่ได้หรือ? 


 


 


แม้ในใจจะขุ่นข้องอยู่บ้าง แต่ความเคลื่อนไหวของเขากลับคล่องแคล่วว่องไว ทางหนึ่งเขียนใบยาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กล่าววาจาอย่างระมัดระวังว่า 


 


 


“ฝ่าบาท ไทเฮาทรงได้รับบาดเจ็บภายใน พระอาการค่อนข้างหนักหนา แม้จะมีโอสถช่วยเหลือยังคงต้องใช้เวลาสิบวันครึ่งเดือนถึงจะดีขึ้นได้ ในช่วงเวลาเช่นนี้พระนางไม่อาจได้รับความตระหนกตกใจใดๆ ได้อีก” 


 


 


ครั้งที่แล้วตอนที่อยู่ในตี้หัวนี้ ไทเฮาทรงปักเข็มใส่พระองค์เองเป็นการช่วยเหลือเขาคราหนึ่ง ครั้งนี้ก็ถือว่าเขาได้คืนหนี้น้ำใจนี้ให้แก่นางแล้วกัน 


 


 


จีเฉวียนไม่ตรัสอันใด พระพักตร์ดำคร่ำเครียดประหนึ่งก้นหม้อ 


 


 


“ฝ่าบาท….พระอาการบาดเจ็บของพระองค์ยังไม่หายดี ไม่สมควรมีโทสะหรือขยับพระองค์…” หมอหลวงซุนเปลี่ยนผ้าโปรงที่พันแผลบนพระหัตถ์พลางไม่ลืมกำชับอย่างละเอียดอีกครั้ง 


 


 


“ไม่มีเรื่องใดเจ้าก็ถอยไปได้แล้วไ ระหว่างที่เปลี่ยนผ้าพันแผล พระขนงของฝ่าบาทไม่คลายออกแม้แต่น้อย แน่นอนว่าทรงเห็นว่าเขาพูดพร่ำเพรื่อไปแล้ว 


 


 


หมอหลวงซุนปาดเหงื่อบนใบหน้าอยู่สองสามครั้ง ก็ได้แต่ขยับก้นถอยออกไป 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเหลือบมองดูเงาของหมอหลวงซุนคราหนึ่ง นางก็จดจำไว้ว่าตนเองยังมีเรื่องต้องไปสอบถามเขาอีกภายหลัง 


 


 


นางนอนอยู่บนเบาะนุ่มเฉพาะองค์ของจีเฉวียน จากมุมของนางนี้สามารถมองเห็นพระพักตร์ด้านข้างของจีเฉวียนที่โดดเด่นเกินใครเทียบ ดวงตาหงส์เปล่งประกาย พระเกศายาวดูนุ่มนวล แต่เมื่อทรงหันกลับมามองนางสายพระเนตรก็เปี่ยมไปด้วยประกายเหน็บหนาว 


 


 


หลี่กงกงยังคงรีรออยู่ครู่หนึ่ง เขากำลังคิดจะออกปากขอพระกรุณาแทนไทเฮาน้อย แต่กลับถูกสายพระเนตรราวคมดาบของฮ่องเต้สกัดไว้จนไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียว 


 


 


“ออกไปเสีย” ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็นคำหนึ่ง ทำให้หลี่กงกงแทบจะต้องป่ายปีนออกไปโดยไว 


 


 


ก่อนที่จะออกไปเขายังไม่วายหันมาดูไทเฮาน้อยอีกสักครั้งสองครั้ง ไทเฮาพะยะคะ ขอทรงโปรดรักษาพระองค์ด้วย~ 


 


 


แต่เมื่อเขาคิดดูให้ละเอียด นี่นับเป็นครั้งแรกที่ฝ่าบาททรงยินยอมให้สตรีผู้หนึ่งนอนลงบนเตียงมังกรของพระองค์ 


 


 


ฝ่าบาท…..คงจะไม่ทรงทำให้ไทเฮาต้องทรงลำบากพระทัยมากเกินไปละมั้ง? 


 


 


เมื่อเขาออกไปแล้ว ทั่วทั้งพระตำหนักตี้หัวก็เงียบสงัดลง เงียบเสียจนตู๋กูซิงหลันแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของจีเฉวียนเอง 


 


 


เขาประทับอยู่ด้านข้างของเบาะอ่อน ทอดพระเนตรมองดูใบหน้าน้อยๆ ที่งดงามของนางซึ่งปราศจากสีเลือดใดๆ พระขนงก็ขึงเป็นเส้นตรง แววพระเนตรคุกรุ่นขึ้นมารำไร 


 


 


ตู๋กูซิงหลันงงงันไปชั่วขณะ ไอ้หนุ่มนี่ ตกลงกำลังโกรธเรื่องอะไรอยู่? 


 


 


นางในตอนนี้ไม่มีกำลังจะไปงัดข้อกับเขา แต่ว่าเมื่อถอยห่างจากจีเย่ว์มาได้ ความรู้สึกที่คงเหลืออยู่ของร่างเดิมก็สงบลงไม่น้อย แต่ผลจากการกระอักโลหิตก็ยังทำให้นางรู้สึกทรมานมากอยู่ดี 


 


 


แต่ว่าจีเฉวียนกลับเอาแต่จดจ้องนางไม่วางตา สายพระเนตรที่ราวกับจะแผดเผานางทำเอานางไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย 


 


 


ยิ่งนางเขยิบเข้าไปด้านในของเบาะอ่อนเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเขยิบตามมาเท่านั้น จนกระทั้งวรองค์กำยำของเขาต้อนนางเข้ามุมแล้ว ทั้งยังใช้สายพระเนตรหงส์นั้นไล่ติดตามนางมาอีก 


 


 


ลมหายใจของเขาเป่ารดใบหน้านาง จนร้อนระอุขึ้นมาทั้งยังสร้างความกระอักกระอ่วนแก่นางอีกด้วย 


 


 


เดิมทีตู๋กูซิงหลันคิดจะเบนหน้าหนีไป แต่ว่าใบหน้าของเขาน่าดูเกินไปแล้ว 


 


 


นางไม่เคยได้มองเขาแบบใกล้ๆ เช่นนี้มาก่อน 


 


 


จีเฉวียนงดงามยิ่งนัก เป็นดั่งเทพเซียนชั้นสูงบนภูผา คิ้ว ดวงตา ริมฝีปาก จมูก งามไร้ที่เปรียบราวกับเทพเจ้าวาดให้ แม้แต่เส้นคิ้วของเขายาวงามเป็นระเบียบ ทั้งคมชัด จอนผมก็งดงาม อีกทั้งยังมีกลิ่นองอาจหยิ่งผยองของกษัตริย์ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองอยู่เนิ่นนาน ที่สุดค่อยกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง น่าเสียดาย….ในโลกก่อนนางไม่เคยเรียนวิชาจำพวกดึงธาตุหยางบำรุงหยิน ไม่เช่นนั้นละก็หากว่าสามารถตักตวงธาตุหยางจากเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี้มาบำรุงร่างกายตนเองได้ก็คงจะดี 


 


 


ท่าทางของนางที่ใช้ท่อนแขนเช็ดน้ำลายอยู่นั้น มีแต่จะทำให้จีเฉวียนเข้าใจว่านางกำลังหวาดกลัว เมื่อทอดประเนตรมองดูดวงตาดอกท้อที่วิบวับของนาง ความกรุ่นโกรธก็มอดดับลงช้าๆ ผ่านไปอีกครู่ใหญ่จึงได้ยินเขาตรัสออกมาว่า 


 


 


“เจ้าเองก็ได้ยินชัดแล้ว อี้อ๋องยอมรับด้วยตนเอง นับจากวันนี้เป็นต้นไป ไม่อนุญาตให้ครุ่นคิดถึงเขาอีก” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “หา? “ 


 


 


“ยังจะแสร้งโง่อีก? ” โทสะของจีเฉวียนที่พึ่งจะมอดดับไป ก็ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง เขายื่นปลายพระหัตถ์ออกมาสองนิ้วเชยคางของนางขึ้นมา “ตอนที่อยู่ในสุสานของเย่วฮูหยิน เจ้าอุ้มเขา และแบกเราไว้ ก็เท่ากับแสดงออกชัดเจนเลยว่า ในใจของเจ้าวางเขาเอาไว้ในตำแหน่งแรก” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “หือ? “ 


 


 


ไม่ใช่นะพี่ชาย….แบกท่านเพราะท่านตัวหนักกว่าจีเย่ว์ต่างหาก! 


 


 


คนย่อมต้องอุ้มของเบา แบกของหนักอยู่แล้ว! 


 


 


เพราะฉะนั้น…..ท่านไยต้องมาตั้งประเด็นเรื่องนี้ด้วย? ประเด็นสำคัญไม่ใช่ว่า ‘จีเย่ว์บงการโหยวหนิง’ หรอกหรือ? นี่ต่างหากที่เป็นปัญหา 


 


 


“ข้ารู้แล้ว ครั้งหน้าจะต้องอุ้มท่าน และแบกเขาแทน” นานๆ ทีตู๋กูซิงหลันจะยอมเชื่อฟังสักครั้ง 


 


 


นางในตอนนี้ก็เหมือนปลาบนเขียง แล้วแต่ว่าจีเฉวียนจะเชือดจะเฉือน ไม่อาจต่อกรได้แม้สักน้อย 


 


 


“ยังจะมีครั้งหน้าอีกหรือ? ” พระหัตถ์ของจีเฉวียนใช้กำลังขึ้นมาบ้าง สตรีผู้นี้ไม่ได้รู้เลยว่า ประเด็นสำคัญนั้นอยู่ที่ใด! 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)