ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 85-96
บทที่ 85 หมีน้อยในป่า
โดย
Ink Stone_Fantasy
“บนนั้นมีอะไรน่าดูกัน? ไม่มีสัตว์หรอก แล้วก็ไม่มีผักป่าด้วย นอกจากต้นไม้ไม่กี่ต้นก็เป็นโคลนตะกอน ผมแนะนำว่าอย่าขึ้นไปดีกว่า” ซีมอนสเตอร์พูดอย่างไม่เห็นด้วย
ชาร์คเห็นด้วยอย่างมาก เขาพูดยิ้มๆ “ตอนเด็กๆ เกาะนี้ยังใหญ่กว่านี้อีกหน่อย เราขึ้นไปเล่นบ่อยๆ เหมือนเป็นการสำรวจแล้วเรียกเกาะกลางทะเลสาบเหล่านี้ว่า ‘รังโจรสลัด’ แต่ทุกครั้งนอกจากคลุกจนตัวเปื้อนโคลนหมดก็ไม่เคยได้อะไรกลับมา”
“เราอาจจะหาสมบัติที่ถูกฝังซ่อนไว้ในปีนั้นเจอบนเกาะก็ได้” ฉินสือโอวพูด เขาเทียบเรือเข้าฝั่งแล้วลองเหยียบพื้นดูซึ่งก็แห้งดีจึงกระโดดลงจากเรือขึ้นไปบนเกาะ
ชาร์คกับซีมอนสเตอร์มองหน้ากันเองพร้อมความอยากที่ถูกจุดประกาย นั่นสิ ถ้าหา ‘สมบัติ’ ที่ตอนเด็กเอาไปฝังไว้บนนั้นเจอล่ะ?
ส่วนมากที่มีชีวิตรอดบนเกาะเล็กนั้นก็จะเป็นพวกเรดวู้ด ไซปรัสหนองน้ำ แล้วก็ต้นหลิว รากของต้นไม้ยึดอยู่ใต้โคลน ลำต้นมีทั้งที่ตรงและเอียง บางต้นก็รูปร่างบิดพลิ้วแปลกดูสวยแบบนามธรรม
ที่ฉินสือโอวแปลกใจก็คือ ต้นไม้พวกนี้ใช้ชีวิตใต้น้ำเป็นเวลานานจนมีหลายจุดเปลี่ยนแปลงไป อย่างรากของพวกมันที่กลายเป็นสีชมพูแดงสด!
ที่นี่ไม่ได้ไม่มีอะไรอย่างที่ชาร์คกับซีมอนสเตอร์บอก อย่างน้อยที่ริมน้ำก็มีปลา กุ้ง ปูน้ำจืดซ่อนตัวอยู่ไม่น้อย ใบไม้และรากที่ทับถมเป็นเวลานานเกิดเป็นสารอาหารให้กับสัตว์น้ำตัวเล็ก ดึงดูดให้พวกมันมาพัก
นอกจากนั้นเกาะเล็กๆแห่งนี้ยังเป็นจุดพักของนก พวกมันมาจับปลาในทะเลสาบ เหนื่อยก็สามารถหยุดพักที่นี่ได้ ต้นไม้เป็นร้อยบนบกแทบจะมีรังนกมากกว่าหนึ่งรังทุกต้น
พอนกถ่ายรอบๆเกาะก็สามารถเป็นอาหารที่มีสารอาหารสูงให้พวกปลาได้ ปลารอบเกาะก็จะเยอะขึ้น
ฉินสือโอวหยิบใบไม้เน่าริมเกาะออกก็เจอกับปลาไพค์อเมริกาเหนือสองสามตัว ปลาแฮร์ริ่งแม่น้ำกับปลาซัคเกอร์กำลังว่ายหนีอย่างตื่นตกใจ
จะว่าไปก็น่าสงสาร ปลาพวกนี้เคยเป็นเจ้าของทะเลสาบเฉินเป่า ตอนนี้โดนปลาไนเอเชียบีบจนได้แต่หาที่ริมน้ำอยู่เพื่อเอาชีวิตรอด
“เฮ้อ พืชน้ำในทะเลสาบน้อยลงไปมากเลย ปลาไนเอเชียตะกละมาก ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป คงไม่มีพืชน้ำในทะเลสาบอีก ถึงตอนนั้นก็คงไม่มีปลาแล้ว” ชาร์คมองริมน้ำครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นอย่างเศร้าสร้อย
ฉินสือโอวยักไหล่แล้วพูดขึ้น “ถ้างั้นเราทำกิจกรรมรับบริจาคในเมืองดีไหม แล้วซื้อเมล็ดพืชน้ำ เอามาปลูกที่ทะเลสาบ เหมือนที่เราปลูกสาหร่ายที่พื้นที่ประมงไง”
พวกเมล็ดพืชน้ำกับสาหร่ายที่เขาซื้อมาคราวที่แล้วเยอะมาก แต่นั่นก็เอาไว้สำหรับทะเลเท่านั้น มันโตไม่ได้ในเขตน้ำจืด
ในแถบอเมริกาเหนือ การรักษาสิ่งแวดล้อมกับเพิ่มพื้นที่สีเขียวเป็นหัวข้อที่นิยม ทำอันนี้ค่อนข้างจะเปลืองเงิน พื้นที่ของทะเลสาบเฉินเป่ากว้างถึงแปดเก้าสิบตารางกิโลเมตร ถ้าจะปลูกพืชน้ำอย่างน้อยต้องใช้เมล็ดห้าหมื่นดอลลาร์ถึงจะพอ
สถานะทางการเงินของชาวเมืองแฟร์เวลก็ไม่ค่อยดี แค่ส่วนหนึ่งของห้าหมื่นก็เป็นการกดดันมาก ไอเดียนี้ทำจริงไม่ได้แน่ เพราะคนแคนาดามีอะไรก็จะไปหารัฐบาล ยิ่งโดยเฉพาะทะเลสาบเฉินเป่าที่ถือเป็นที่สาธารณะ
เดินวนไปรอบเกาะเล็ก ดูๆแล้วบนเกาะน่าจะไม่ค่อยมีใครมา นกที่มาพักบนเกาะสร้างรังนกค่อนข้างตามสบาย ฉินสือโอวเดินไปถึงข้างต้นหลิวที่ลำต้นโค้งเอียง มีรังนกอันหนึ่งที่สูงกว่าหัวเขานิดเดียว
พอฉินสือโอวเข้าไปใกล้ก็มีนกตัวหนึ่งบินพึ่บพั่บออกมาจากรัง ขนสีเทาดำ เป็นนกมุดน้ำอเมริกาเหนือที่เจอได้บ่อยในแคนาดา
นกบินหนีไปแล้ว ในรังยังมีไข่นกขนาดประมาณไข่ไก่อีกสี่ฟอง ฉินสือโอวถือขึ้นมาดูในมือก็พบว่าไข่นกยังอุ่นอยู่
พอเห็นลูกตัวเองโดนแตะต้อง นกมุดน้ำอเมริกาเหนือก็บินวนอยู่ด้านบนพลางส่งเสียงร้องไปด้วย คงกำลังด่าฉินสือโอวว่าใช้ไม่ได้อยู่
ฉินสือโอวกลับคิดจริงจังว่าอยากจะทำไข่นกผัดกุยช่าย ทั้งอร่อยและมีประโยชน์ แต่นี่ก็แต่ความคิด เขาดูๆอีกก่อนจะเอาไข่วางกลับไปไว้ที่เดิม
ที่ขึ้นเกาะมาครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรกลับไปเลย เพราะความชื้นโดยเฉพาะในตอนกลางคืน ทะเลสาบเฉินเป่าจึงมีหมอกลง บนเกาะจึงมีพืชตระกูลราขึ้นอยู่มาก ฉินสือโอวเห็นเห็ดที่มีดอกสีเทาและก้านสีเหลืองน้ำตาล เห็ดนี้มีชื่อมากที่บ้านเกิดเขาเรียกว่าเห็ดหอมภูเขา
สำหรับฉินสือโอวแล้วเห็ดชนิดนี้เต็มไปด้วยความทรงจำ ตอนเด็กๆบ้านเขาฐานะไม่ค่อยดี ปกติไม่มีเนื้อกิน หลังฝนตก แม่เขามักจะหาเห็ดหอมภูเขาแบบนี้ตามซอกไม้บริเวณบ้าน หลังจากผัดน้ำมันแล้วจะหอมมาก อร่อยกว่าเนื้อเสียอีก
ในป่ายังมีเห็ดประเภทอื่นอีกซึ่งฉินสือโอวไม่รู้จัก แต่ชาร์คกับซีมอนสเตอร์ต่างรู้จัก และแนะนำให้เขาฟังไม่หยุด “นี่คือเห็ดบราซิล กินได้ อันนี้คือเห็ดฟางนิวฟันด์แลนด์ รสก็ใช้ได้ อ้อ เมื่อก่อนยังเคยเจอเห็ดแดงออนแทริโอด้วย รสดีกว่าอีก…..”
ฉินสือโอวถอดเสื้อ เก็บพวกเห็ดที่มั่นใจว่ากินได้มาส่วนหนึ่งอย่างระมัดระวังโดยเฉพาะเห็ดหอมภูเขาที่หาได้เยอะกว่า รวมๆกันน่าจะมีถึงสามสี่กรัม
“เรากินไม่ได้เยอะขนาดนี้มั้ง?” ชาร์คถาม คนแคนาดาเก็บของจากป่าไม่ว่าจะเป็นเห็ดหรือเบอร์รีก็จะเก็บแค่พอดี เพราะพวกเขาได้รับการสั่งสอนมาแบบนี้ตั้งแต่เด็กๆ
ฉินสือโอวพูด “อันที่สดก็ผัดกิน ส่วนที่เหลือก็ราดน้ำมันแล้วตากแห้ง อร่อยกว่าเยอะ”
พวกเห็ดไม่จำเป็นต้องคุ้มครอง ขอแค่เหลือไฮฟีไว้ก็เหมือนทิ้งเมล็ดไว้ ถ้าความชื้น อุณหภูมิ และแสงเหมาะสมพวกมันก็งอกขึ้นมาได้อีก เห็ดพวกนี้เน่าไว ถ้าฉินสือโอวไม่เก็บอีกไม่กี่วันก็จะเน่าไปเอง
ชาร์คกับซีมอนสเตอร์นับถือในฝีมือทำครัวของฉินสือโอวมาก พอได้ยินว่าเห็ดนี่สามารถทำเป็นอาหารโอชะได้สองคนก็เก็บกันไวกว่าฉินสือโอวเสียอีก แยกกันเป็นสองทางแล้วไล่เก็บเห็ดหอมเท่าที่หาได้
ยิงปลาอีกพักหนึ่ง ทั้งสามคนยิงปลาไนเอเชียได้สี่สิบกว่าตัวจนเริ่มเหนื่อยเตรียมจะกลับ และเจอดอนกับแฮมเล็ตพอดี บนเรือสำหรับสองคนมีอุปกรณ์สำหรับดำน้ำและเครื่องตรวจมากมาย ฉินสือโอวทักทายแล้วเอ่ยถาม “จะไปทำอะไรกันเหรอ?”
ดอนโบกมืออย่างกระตือรือร้นพลางอธิบาย “เราจะไปดูในน้ำหน่อย ดูสิว่าจะหาฟอสซิลเจอบ้างไหม ใช่สิ ฉิน คราวที่แล้วนายเจอฟอสซิลฟันฉลามกินซูที่นั่นใช่ไหม?”
ฉินสือโอวเกาหัวแล้วยิ้มขมขื่น “ทำเอาผมตอบไม่ถูกเลย เพื่อน ตอนนั้นผมมัวแต่วุ่นอยู่กับการยิงปลา ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น”
แฮมเล็ตกับดอนถอนใจอย่างเสียดาย แบบนี้พวกเขาก็ได้แต่งมเข็มในมหาสมุทรแล้ว
ใช่ งมเข็มในมหาสมุทร สำหรับทะเลสาบเฉินเป่าที่มีเนื้อที่ราวแปดเก้าสิบตารางกิโลเมตร เส้นทางแห่งการตามหาฟอสซิลของพวกเขามันเป็นการงมเข็มในมหาสมุทรดีๆนี่เอง
ฉินสือโอวถาม “การหาฟอสซิลพวกนั้นให้เจอสำคัญมากเลยเหรอ?”
ถ้าสำคัญจริง เขาจะได้หาโอกาสใช้จิตสำนึกโพไซดอนหาในทะเลสาบดู
แฮมเล็ตพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ใช่ ถ้าหาฟอสซิลพวกนั้นเจอ รัฐบาลก็จะให้รางวัลกับเรา ถ้าหาเจอเยอะ เราทำได้แม้กระทั่งจัดนิทรรศการในเมือง พอได้เงินมาก็สามารถพัฒนาพื้นฐานของเมือง อย่างการซื้อเมล็ดพืชน้ำมาปลูกในทะเลสาบ”
ได้ยินแฮมเล็ตพูดแบบนั้นฉินสือโอวก็แอบนับถือเขา นายกเทศมนตรีคนนี้ทำหน้าที่เต็มที่จริงๆ เขาพยายามใช้สมองคิดอย่างหนักมาตลอดเพื่อที่จะพัฒนาเมืองนี้ ตอนที่เขาอยู่จีนไม่เคยเห็นนายกเทศมนตรีคนไหนที่จะดำลงไปหาฟอสซิลที่อาจจะมีอยู่ใต้ทะเลสาบเพื่อที่จะพัฒนาชีวิตของชาวเมืองเลย
ฉินสือโอวพยายามนึก เขากระจายจิตสำนึกโพไซดอนลงไปในทะเลสาบ หาบริเวณที่เขาเคยเจอฟันฉลามกินซูครั้งที่แล้ว เขานำทางทั้งสองแล้วค่อยจากไป
ถึงเวลากินข้าวกลางวัน ชาร์คกับซีมอนสเตอร์ก็ย่างขนมปังรอฉินสือโอวทำเห็ดหอมภูเขาผัด
กับข้าวนี้ทำง่ายมาก เน้นที่รสของเห็ด รอน้ำมันเดือดแล้วก็เอาเห็ดที่ฉีกแล้วใส่ลงไป สุดท้ายก็ใส่เกลือกับซีอิ๊วเล็กน้อยก็เสร็จแล้ว
กับข้าวจานนี้ต้องใช้เกลือหยาบไม่ใช่เกลือละเอียด เพราะเกลือหยาบกระจายตัวไม่ดี แบบนี้พอกัดลงไปได้รสอร่อยของเห็ดเคล้ากับความเค็มจากเม็ดเกลือรสชาติดีสุดๆ
ชาร์คกับซีมอนสเตอร์กินกับขนมปัง ส่วนฉินสือโอวต้มเส้นสปาเกตตีแล้วใช้น้ำมันที่ผัดคลุกซึ่งหอมมาก
“น่าเสียดายที่ไม่มีน้ำมันหมูแล้ว ไม่งั้นถ้าใช้น้ำมันหมูผัดจะอร่อยกว่านี้อีก” ฉินสือโอวโซ้ยเส้นพลางพูดไปด้วย
ชาร์คกินขนมปังแจ๊บๆพลางพูดอู้อี้ “บ่ายนี้เราเริ่มขุดแบ่งน้ำสายย่อยมาจากแม่น้ำ แล้วย้ายเป็ดไก่หมูไป ให้พวกมันโตไวๆหน่อยแบบนั้นจะได้กินเร็วๆดีไหม?”
อารมณ์จะทำก็ทำทันที พอกินอิ่มชาร์คก็เข้าเมืองไปหาเครื่องขุดขนาดเล็กเครื่องหนึ่งแล้วขับเข้าพื้นที่ประมงเสียงกระหึ่ม หาจุดโล่งๆท่ามกลางป่าแล้วเริ่มขุดร่องน้ำ
พวกเขาหาทางเป็นเส้นตรง แพลนจะขุดสายน้ำแบ่งกว้างประมาณหนึ่งเมตร ลึกครึ่งเมตร แบบนี้ก็เท่ากับเปลี่ยนเส้นทางน้ำของแม่น้ำเขาสูง
เออร์บักมาเยี่ยมพอดี ฉินสือโอวพูดกับเขาอย่างภูมิใจ “เป็นไงลุง งานที่เราทำเรียกได้ว่าอลังการไหม?”
เออร์บักมองเขาแปลกๆแล้วถาม “พวกนายอยากให้น้ำไหลผ่านโรงเลี้ยงใช่ไหม? ถ้าแบบนั้นทำไมไม่สร้างโรงเลี้ยงที่ต้นน้ำปากอ่าวไปเลยละ? คร่อมกลางสองฝั่งก็ได้แล้วนี่?”
ฉินสือโอวฟังคำพูดเขาแล้วกะพริบตาปริบๆ ซีมอนสเตอร์ที่อยู่ข้างๆก็กะพริบตาเช่นกัน ชาร์คเห็นพวกเขาเงียบเลยกระโดดลงมาจากเครื่องขุดแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ได้ยินคำแนะนำของเออร์บัก ชาร์คก็ได้แต่กะพริบตา ไม่มีใครพูดอะไรอีก
ถึงตอนนั้นฉินสือโอวถึงได้รู้ว่าอยู่กับคนโง่นานๆไอคิวของคนก็ลดลงได้…..
“ตอนนี้ทำไง?” ชาร์คมองรั้วที่ปักเสร็จเรียบร้อยแล้วถาม
ฉินสือโอวมองทางน้ำที่ขุดไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “ช่างเถอะ เพื่อน ขุดต่อเถอะ แต่ขุดตื้นหน่อยนะ ลึกยี่สิบเซนติเมตรก็พอ เราอย่าเปลี่ยนเส้นทางน้ำ แบ่งมาสายหนึ่งก็พอ”
ชาร์คทำงานต่อ ขึ้นไปบนเครื่องขุดกำลังจะจุดไฟ ทันใดนั้นก็ร้องขึ้นมา “เฮ้ย หมี ผมเห็นหมีน้อยสีน้ำตาล!”
ฉินสือโอวรีบวิ่งไป ซีมอนสเตอร์ร้องตะโกนขึ้น “กลับมาก่อนบอส เราต้องเตรียมปืน! เราต้องการปืน!”
ชาร์คยืนอยู่บนรถแล้วชี้ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ฉินสือโอวมองตามก็เห็นหมีสีน้ำตาลเทาหมอบอยู่บนต้นไม้หลังต้นสปรูซต้นใหญ่ต้นหนึ่งกำลังแอบโผล่หัวออกมามองพวกเขา
………………………………………………………
บทที่ 86 เพื่อนตัวน้อย
โดย
Ink Stone_Fantasy
หมีน้อยน้ำตาลตัวนั้นน่าจะยาวราวๆ เจ็ดแปดสิบเซนติเมตร มันแอบหลบอยู่หลังต้นไม้มองเครื่องขุดเงียบๆ สงสัยว่ามันจะตามเสียงกระหึ่มของเครื่องขุดมา
ฉินสือโอวสามารถสัมผัสได้ถึงพลังโพไซดอนอันคุ้นเคยจากตัวของมัน มันคงเป็นเจ้าหมีสีน้ำตาลน้อยจอมซื่อบื้อก่อนหน้านี้ ไม่ได้เจอเกือบเดือน มันโตขึ้นมาก สูงขึ้นยี่สิบกว่าเซนติเมตร จากที่สูงครึ่งเมตรโตจนถึงเจ็ดแปดสิบเซนติเมตร
เพียงแต่มันไม่ได้อ้วนท้วนเหมือนตอนเพิ่งเจอใหม่ๆ ดูผอมลงมามาก ผิวหนังและขนก็แห้งกว่าเดิมไม่น้อย บนตัวเต็มไปด้วยหญ้าและใบต้นสน และดูท่าทางเหนื่อยๆ
พอถูกชาร์คชี้หมีสีน้ำตาลตัวน้อยก็ดูเหมือนจะยังไม่รู้ว่าถูกคนพบแล้ว ยังคงหมอบอยู่หลังต้นไม้แล้วโผล่หัวออกมามองข้างนอก
มีแต่ฉินสือโอวที่รู้ว่าสิ่งที่หมีน้อยตัวนี้กำลังมองก็คือเขาเอง ตาสีดำของมันจ้องมาทางเขาอย่างพินิจพิเคราะห์เหมือนกำลังพยายามดูให้แน่ใจว่าเขาเป็นใคร
หลังจากนั้นจิตสำนึกโพไซดอนก็แผ่ไปยังแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกล ปลาวะคะซะงิตัวหนึ่งกำลังกลืนกินหนอนน้ำ เขาวิ่งไปจับปลาวะคะซะงิชูขึ้นโบกไปมาแล้วพูดขึ้น “ไง ไอ้ตัวน้อย รอนี่อยู่ใช่ไหม?”
ก่อนหน้านั้นฉินสือโอวก็ให้อาหารมันด้วยปลาวะคะซะงิกับปลาบล็อบฟิช
พอหมีน้อยสีน้ำตาลเห็นเงาร่างของฉินสือโอวที่คว้าปลาวะคะซะงิในมือก็ตื่นเต้น มันปีนออกมาจากหลังต้นไม้ ขาทั้งสี่วิ่งไปบนพื้นพลางร้อง ‘อูๆ’ มาหาฉินสือโอว
ชาร์คกับซีมอนสเตอร์ต่างตกใจกันยกใหญ่ คนหนึ่งรีบลนลานกระโดดลงจากเครื่องขุด อีกคนก็ร้องตะโกน ‘ตายซะเถอะเจ้าสัตว์ร้าย’ พลางพุ่งเข้าไปช่วยฉินสือโอว
ฉินสือโอวรู้ดีว่าจริงๆแล้วเจ้าหมีน้อยสีน้ำตาลตัวนี้ขี้กลัวมาก เขานึกว่าชาร์คกับซีมอนสเตอร์จะทำให้มันตกใจหนีไป ที่ไหนได้ เจ้านี่ไม่สนใจอะไร วิ่งมุ่งมาทางฉินสือโอวแย่งเอาปลาวะคะซะงิได้ก็นั่งลงพื้นแล้วก้มหน้าก้มตากินแจ๊บๆ
ฉินสือโอวโบกมือเป็นสัญญาณให้ชาร์คกับซีมอนสเตอร์ถอยไป ทั้งสองเห็นหมีน้อยหมอบอยู่ข้างฉินสือโอวโดยไม่มีท่าทีทำร้ายแต่อย่างใดแล้วเอาแต่ฉีกกินปลาวะคะซะงิก็งงเป็นไก่ตาแตก
เออร์บักค่อยๆจำเจ้าตัวน้อยได้จึงเอ่ยถาม “นี่คือหมีที่เจอคราวที่แล้ว?”
ฉินสือโอวพยักหน้าแล้วพูดยิ้มๆ “ใช่ มันนี่แหละ เมื่อก่อนเวลาผมไปวิ่งตอนเช้าแล้วก็ให้อาหารมันอีกหลายครั้งเลยสนิทกัน”
คราวที่แล้วที่กลับบ้าน ฉินสือโอวกับหมีน้อยขาดการติดต่อกัน หลายครั้งเวลาที่จิตสำนึกโพไซดอนไปถึงบ่อน้ำตกก็ไม่เคยเจอหมีน้อย ตอนหลังเขาก็มาพื้นที่ประมงเพื่อพักร้อนเป็นเพื่อนวินนี่เลยไม่มีเวลามาหาหมีน้อย แบบนี้ไปเรื่อยๆใจก็เลยเลิกคิด นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะมาเจอกัน
ไม่สิ ควรจะบอกว่าหมีน้อยมาหาถึงที่
พอกินปลาวะคะซะงิเสร็จ หมีน้อยก็เลียฝ่ามือแล้วเงยหน้าขึ้นมองฉินสือโอวด้วยท่าทีโก๊ะ จากนั้นก็กอดขาเขาแล้วเขย่าอย่างออดอ้อน
แม้จะสูงแค่เจ็ดแปดสิบเซนติเมตร แต่เรี่ยวแรงของหมีมันขนาดไหนละ? ฉินสือโอวโดนเขย่าอย่างกับต้นหลิวท่ามกลางสายลม ชาร์คกับซีมอนสเตอร์มองดูอย่างหวาดเสียว กลัวว่าจู่ๆเจ้าหมีน้อยจะลุกขึ้นมาฉีกฉินสือโอวเป็นสองท่อน
ดีที่พวกเขากลัวไปเอง ฉินสือโอวพาหมีน้อยไปริมแม่น้ำแล้วจับปลาอีกตัวยื่นให้ มันสงบลงทันทีแล้วนั่งแทะปลากินแจ๊บๆอย่างเรียบร้อยอยู่ข้างๆ
“บอส บอสนี่อัศจรรย์จริงๆ ผมอยู่เกาะแฟร์เวลมาสี่สิบกว่าปี ยังไม่เคยเห็นใครเข้ากับหมีกริซลีย์ได้ดีเลย” ชาร์คพูดด้วยความนับถือ
ฉินสือโอวอึ้งไปแล้วเอ่ยถาม “หมีกริซลีย์เหรอ นี่หมีสีน้ำตาลไม่ใช่เหรอ? ตอนที่ฉันเพิ่งเจอมันขนมันเป็นสีน้ำตาล”
ฟังจบชาร์คและซีมอนสเตอร์ต่างหัวเราะออกมา ชาร์คเดินเข้ามาใกล้แล้วพูดขึ้น “หมีกริซลีย์ก็คือหมีสีน้ำตาล อย่างน้อยที่นี่เราก็เรียกเหมือนกัน ในหนังสือบอกไว้ว่าหมีกริซลีย์ก็คือตระกูลย่อยของหมีสีน้ำตาล พวกมันยังไม่เหมือนกันอีกเหรอ?”
พอชาร์คเข้ามาใกล้ หมีน้อยก็ไม่กินต่อแล้ว มันเอาปลาที่กินเหลือครึ่งหนึ่งยัดไปใต้ก้นแล้วยืนขึ้นเงยหน้าขึ้นสูงก่อนเริ่มแยกเขี้ยวคำราม “โฮกๆ โฮกๆ!”
ชาร์คได้แต่รีบถอยหลังไปจนสิบกว่าเมตรหมีน้อยถึงสงบลงแล้วนั่งบนพื้นคว้าเอาปลาครึ่งตัวนั้นจากใต้ก้นขึ้นมายัดเข้าปากกินต่อ
หมีก็คือหมี ต่อให้ยังเล็กก็ตาม เมื่อกี้ที่มันคำราม ฉินสือโอวที่อยู่ข้างๆยังแอบตกใจจนกล้ามเนื้อบนน่องเกร็งขึ้นมา นี่เป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติของร่างกายคน ปฏิกิริยาธรรมชาติของการเจอสัตว์ป่าที่ออกอาการแข็งกร้าว
ชาร์คกลับไม่ได้ใส่ใจ เขาพูดต่อพร้อมรอยยิ้มด้วยสีหน้าปกติ “นี่คือหมีโคดิแอคสีน้ำตาล คงจะลงมาจากบนภูเขา ทางที่ดีเราควรจัดการมันตั้งแต่ตอนนี้ เจ้านี่โตไปสูงได้ถึงสามเมตร หนักได้ถึงหกร้อยกิโลกรัม! ถึงตอนนั้นมันจะจัดการยากกว่าพวกหมูป่า กวางมูสอีกเยอะ”
จัดการมัน? ฉินสือโอวรู้สึกว่าแบบนั้นโหดร้ายเกินไป ถึงเขาจะไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับหมีน้อยมากนัก แต่เขาก็เคยเจอแต่ด้านน่ารักเดียงสา เมื่อกี้ต่อให้คำรามใส่ชาร์ค มันก็ไม่ได้ตั้งใจจะโจมตี แค่จะทำให้ชาร์คตกใจเท่านั้นเอง
ตอนที่เพิ่งเจอหมีน้อยขู่คนไม่เป็นด้วยซ้ำ ตอนนี้คำรามใส่คนเป็นก็คงจะเรียนรู้เองมาจากชีวิตในป่าช่วงก่อนหน้า
ปลาวะคะซะงิล้วนขนาดค่อนข้างเล็ก กินไปสองตัวหมีน้อยก็ยังไม่อิ่ม และเจ้านี่หิวจัดอย่างเห็นได้ชัด ฉินสือโอวเห็นปลาไพค์จุดขาวยาวสี่สิบกว่าเซนติเมตรที่ต้นน้ำปากอ่าวจึงวิ่งไปใช้ไม้เคาะให้มันมึนแล้วจับขึ้นมา
หมีน้อยเห็นปลาไพค์จุดขาวตัวโตก็ดีใจ รับปลามากัดแบ่งออกมาคำหนึ่งแล้วใช้อุ้งมือสีดำยื่นให้ฉินสือโอว ส่วนตัวเองก็กินปลาส่วนบนแล้วเคี้ยวแจ๊บๆ
“บอส เทคนิคจับปลายอดเลย!”ซีมอนสเตอร์ร้องตะโกนเสียงดัง “ผมยังคิดว่าอยากจะสอนบอสจับปลาในแม่น้ำเสียหน่อย แต่ดูท่าบอสจะถนัดเรื่องนี้แล้วนะ”
พอได้ยินแบบนั้น ฉินสือโอวถึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองคิดแต่จะรีบจับปลาจนเกือบหลุดเรื่องที่จิตสำนึกโพไซดอนสามารถควบคุมปลาได้ ยังดีที่ครั้งนี้เขารู้สึกว่าปลาไพค์ตัวนั้นค่อนข้างใหญ่เลยกลัวว่าพอขึ้นบกหมีน้อยจะเอาไม่อยู่เขาจึงถือโอกาสเอาไม้ไปเคาะให้มันมึนด้วยเลย
พอกินปลาไพค์จุดขาวตัวนั้นหมีน้อยถึงสงบ ปฏิกิริยาหลังกินอิ่มของมันตลกมาก ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเรอ ‘เอิ้กๆ’ ออกมาเหมือนคน หัวกลมมนพยักหน้าไปมาราวเด็กน้อย
ให้อาหารหมีน้อยจนอิ่มฉินสือโอวก็โบกมือให้มันแล้วพูดยิ้มๆ “บาย ตัวน้อย กลับขึ้นเขาไปเถอะ”
หมีน้อยลุกขึ้นมายืนแอ่นก้นข้างเขา และเงยหน้ามองอย่างเดียงสา ฉินสือโอวโบกไม้โบกมือไม่หยุด แต่มันก็ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลย แต่พอฉินสือโอวเดินจากไปมันก็รีบเดินตามทันที
“เฮ้ บอส เจ้านี่มันติดบอสแล้ว ฮ่ะๆ” ซีมอนสเตอร์หัวเราะออกมา
ชาร์คกลับส่ายหน้าอย่างแปลกใจแล้วพูดขึ้น “แปลกจริงๆเลย หมีสีน้ำตาลจะติดคนได้ไง?”
ฉินสือโอวรู้สาเหตุดี เป็นเพราะจิตสำนึกโพไซดอน สัตว์ที่ได้รับพลังโพไซดอนจะเกิดอาการผูกพันรักใคร่เขา ยิ่งใกล้พลังยังสามารถเพิ่มสูงได้ด้วย อย่างบอลหิมะและหู่จือ เป้าจือ
หมีน้อยเชื่องมากต่อหน้าเขา ขอแค่ฉินสือโอวไม่ขยับมันก็จะนั่งดีๆ พอฉินสือโอวขยับมันก็จะลุกตามต้อยๆไปทันที
ถ้าฉินสือโอวผลักมันหรือยื่นมือบอกให้มันไป หมีน้อยยังส่งเสียงอย่างหงอยๆด้วย
คราวนี้เออร์บักเองก็รู้สึกว่าแปลก เขาขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยปาก “หมีโคดิแอคสีน้ำตาลมีความสันโดษสูง ถ้าหาอาหารกินเองเป็นมันก็จะไปจากพ่อแม่ มีแค่ตอนผสมพันธุ์ถึงจะไปหาพวกเดียวกัน ไอ้เจ้านี่ทำไมถึงติดนายขนาดนี้?”
“เห็นได้ชัดมากว่าบอสเป็นพ่อแม่ที่หาอาหารให้มัน สงสัยมันจะหาอาหารเองลำบากในป่า บอสก็บอกว่าก่อนหน้านี้ป้อนอาหารมันตลอดไม่ใช่เหรอ?” ชาร์คพูดยิ้มๆ
ชาร์คพูดไปงั้นๆ แต่ฉินสือโอวกลับฉุกคิด ซึ่งคิดๆดูแล้วอาจเป็นสาเหตุนั้นจริงๆก็ได้
ก่อนที่จะกลับไปเยี่ยมบ้าน ฉินสือโอวจะไปจับปลาริมบ่อน้ำตกมาป้อนหมีน้อย หลังจากนั้นก็กลับบ้านมาจนวันนี้เขาก็ไม่ได้ไปป้อนมันอีก สงสัยหมีน้อยปกติต้องหาอาหารเอง คงจะลำบากมาไม่น้อย และพบว่าอยู่กับเขาสบายกว่า
พอวันนี้เจอเขาหมีน้อยก็ไม่ยอมปล่อยไป มันพบว่าฉินสือโอวไม่ทำร้ายมันแล้วยังให้อาหารมันด้วย แล้วจะไปทำไมละ?
ฉินสือโอวลูบหัวหมีน้อย มันแลบลิ้นออกมาเลียมือเขาทันใด
แต่ว่าบนลิ้นของหมีมีหนามอยู่ แม้ว่าหมีน้อยจะเก็บหนามแล้ว แต่พอเลียลงบนผิวของฉินสือโอวก็ยังรู้สึกขรุขระอยู่ดี
แต่ฉินสือโอวต้องทำงานเลยให้มันนั่งข้างๆ เขาถือเสียมคอยเก็บกวาดร่องน้ำตามหลังเครื่องขุด
ใครจะคิดว่าพอเขาเพิ่งลุกไปหมีน้อยก็ตามมา เห็นฉินสือโอวถือเสียมขุดร่องน้ำ มันก็ยื่นอุ้งมือออกมาลองหัดขุดดินอย่างฉลาดเฉลียว
“โห ทำไมจู่ๆเจ้านี่ฉลาดขนาดนี้?” ฉินสือโอวเองก็แปลกใจ เขาจำได้ว่าจากที่เจอก่อนหน้าเจ้าหมีน้อยมันโง่และซื่อบื้อมากนี่นา
“ดูท่ามันจะอยากไปอยู่กับคุณด้วยจริงๆ”ชาร์คพูดขึ้น “แต่นี่ไม่ดีเท่าไร นี่คือหมีโคดิแอคสีน้ำตาล โตเต็มวัยสูงได้ถึงสามเมตร มื้อหนึ่งกินปลาได้ห้าสิบกิโลกรัม!”
เรื่องกินฉินสือโอวไม่กังวล เขาเปิดฟาร์มปลา หมีสีน้ำตาลนี่จะกินเยอะได้ถึงขั้นเขาล้มละลายเลยเหรอ? ที่เขากลัวคือเก็บเจ้าหมีน้อยนี่มาเลี้ยงแล้วพอโตขึ้นจะไปทำร้ายใครเข้า!
พอเห็นฉินสือโอวหยุด หมีน้อยก็หยุดตาม คราวนี้มันเดินมาข้างตัวเขาแล้วคล้องแขน จากนั้นก็หงายท้องในร่องน้ำเผยให้เห็นท้องนุ่มนิ่ม
ฉินสือโอวใจอ่อนขึ้นมาทันที เขารู้ว่าสำหรับสัตว์ป่าหมายถึงอะไร หมีน้อยกำลังสื่อว่ามันภักดีต่อเขา
ท้องของสัตว์ป่านั้นสำคัญมาก พวกมันจะเผยท้องออกมาแค่กับเพื่อนที่เชื่อใจที่สุดเท่านั้น เวลาอื่นต่อให้จักจี้ก็จะปกป้องท้องเอาไว้
…………………………………………………
บทที่ 87 ต้องปรองดองกัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอมีเครื่องขุด งานขุดร่องก็กลายเป็นเรื่องง่าย ร่องน้ำลึกแค่ยี่สิบสามสิบเซนติเมตรแถมไม่ต้องสนเรื่องสวยไม่สวยด้วย ฉะนั้นชาร์คทำแค่เดินเครื่องขุดไปเรื่อยๆ ก็เสร็จแล้ว
ร่องน้ำนี้ยาวสองกิโลเมตรกว่าๆ ได้ต้นน้ำมาจากข้างแม่น้ำ แล้วให้ไหลผ่านโรงเลี้ยงสัตว์ยาวไปทางใต้ ก่อนจะไปจบที่ทะเล
เพิ่งจะขุดเสร็จ ในร่องน้ำยังมีดินโคลนมากมาย พอน้ำใสจากแม่น้ำไหลผ่านเข้ามาจึงกลายเป็นโคลนหมดในตอนไหลออก
แม้จะไม่ค่อยสวย แต่พวกฉินสือโอวก็พอใจมากแล้ว หลังทำงานเสร็จ ที่เหลือก็แค่ย้ายพวกสัตว์มา
ฉินสือโอวและคนอื่นๆ ต่างปรบมือฉลอง หมีน้อยเองก็ยืนสองขาพลางร้อง ‘อูๆ ’
ฉินสือโอวมองน้ำที่หลั่งไหลในแม่น้ำก่อนจะชูเสียมขึ้นอย่างดีใจแล้วร้องตะโกน “โอเคเสร็จงานแล้ว กลับบ้านไปกินบาร์บีคิวกระดกเหล้ากันดีกว่า!”
หมีน้อยรีบตามหลังเขามาทันที ฉินสือโอวหันหลังไปยิ้มให้มันแล้วยื่นมือไปให้ หมีน้อยยื่นอุ้งมือออกมาทันที มันยืนสองขาเดินเตาะแตะราวเด็กน้อยหัดเดิน
สุดท้ายฉินสือโอวตัดสินใจรับเลี้ยงเจ้าตัวน้อยนี่ เขาเชื่อว่าต่อไปถ้าถ่ายพลังโพไซดอนให้เรื่อยๆ พอโตไปหมีสีน้ำตาลตัวน้อยจะฉลาดยิ่งกว่านี้ และจะไม่ไปทำร้ายใคร
เออร์บักเดินตามมาข้างหลังพลางมองไปทางหมีน้อยแล้วพูดขึ้น “ฉิน ตั้งชื่อให้มันหน่อยเถอะ”
ฉินสือโอวมองหัวกลมมนของหมีสีน้ำตาลตัวน้อยแล้วก็พลันนึกไปถึงการ์ตูนบูนี แบร์ที่หลานเขาชอบ หมีสองตัวในการ์ตูนก็เป็นหมีสีน้ำตาล ตัวหนึ่งชื่อ ฉงต้า อีกตัวชื่อฉงเอ้อ เขาจึงตบหัวของหมีน้อยเบาๆ แล้วออกปากพูด “ให้ชื่อว่าฉงต้าก็แล้วกัน”
“ฉงต้า? พระเจ้า นี่มันชื่อแปลกประหลาดอะไรกัน?” เออร์บักอดท้วงไม่ได้ “มันจะชื่อเท็ดดี้หรือวินนี่ก็ได้ ชื่อพวกนี้ไม่ดีกว่าเหรอ?”
ฉินสือโอวยิ้มในขณะที่เล่นหัวที่เต็มไปด้วยขนแล้วพูดต่อ “ชื่อนี้ก็ไม่เลว แต่เท็ดดี้เป็นชื่อหมาชนิดหนึ่ง แต่ถ้าเรียกมันว่าวินนี่ แล้ววินนี่ละ คงจะบ้าแน่ๆ”
จริงๆ นะ คิดดูสิ ต่อไปถ้าฉินสือโอวเรียกหมีน้อย “วินนี่ ไปหมอบหน้าประตู” “วินนี่ ไปคาบรองเท้าฉันกลับมา” “วินนี่ อย่าฉี่ในห้องรับแขก” อะไรแบบนี้ วินนี่ไม่ฆ่าเขาทิ้งก็แปลกแล้ว
แล้วถ้าวันหนึ่งเขากับวินนี่ได้คบกัน ตอนเข้าได้เข้าเข็มพูดขึ้นว่า “วินนี่ เรามาจูบกันเถอะ” ปรากฏว่ามีหัวใหญ่ขนดกโผล่มา จะขัดอารมณ์ขนาดไหน
นี่ยังไม่ใช่ที่น่ากลัวที่สุด ถ้าเกิดว่าต่อไปตอนอยู่บนเตียงฉินสือโอวร้องออกมาตอนมีอารมณ์ว่า ‘วินนี่ ฉันจะเอาเธอ’ แล้วมีหมีสีน้ำตาลตัวหนึ่งกระโดดขึ้นเตียงมา…
เขาไม่กล้าจินตนาการต่อแล้ว
หมีน้อยยังไม่รู้ว่าตัวเองได้ชื่อที่ติ๊งต๊องมาก มันรู้สึกว่ายืนเดินไม่ค่อยสบายเท่าไร แต่ก็ไม่อยากปล่อยมือฉินสือโอวเลยคว้ามือเขาเอาไว้ ส่วนอุ้งมืออีกข้างก็ปล่อยลงแล้วคลานเดินแบบแปลกๆ
ฉินสือโอวอธิบายให้เออร์บักฟัง “ฉงต้าไม่ใช่ชื่อที่ตั้งมั่วๆ นะ มันมีที่มา เป็นหนึ่งในตัวละครหลักจากหนึ่งในการ์ตูนสองเรื่องที่ดังมากที่จีนตอนนี้…..”
เขาเล่าเรื่องที่ฉงต้ากับฉงเอ้อต่อต้านคนที่ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างกวงโถวเฉียงอย่างทรงเกียรติ เออร์บักฟังแล้วพูดขึ้น “ตอนนี้คนเราหลอกเด็กไม่เลือกวิธีจริงๆ หมีสีน้ำตาลจะฉลาดขนาดนั้นได้ไง?”
ฉินสือโอวจนใจแล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนแรง “นี่ ประเด็นของเราคือทำไมฉันตั้งชื่อฉงต้าให้ว่าหมีน้อยไม่ใช่เหรอ?”
“แต่หมีสีน้ำตาลไม่ได้มีไอคิวขนาดนั้นเสียหน่อย”
“นั่นมันการ์ตูน ไว้ให้เด็กดู”
“ในการ์ตูนที่ฉันดู หมีสีน้ำตาลก็มีแต่โง่ๆ ทั้งนั้น”
“ช่างเถอะ เรารีบไปกันเถอะ หู่จือกับเป้าจือต้องคิดถึงฉันมากแล้วแน่ๆ ”
เรื่องนี้ฉินสือโอวเดาได้ไม่ผิด พอเงาร่างเขาปรากฏขึ้น หู่จือกับเป้าจือที่นอนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งกระดิกหางเข้ามาหาอย่างตื่นเต้นพลางเห่าเสียงใส “โฮ่งๆ โฮ่งๆ ๆ …..”
พอได้ยินเสียงหมาเห่า ฉงต้าก็ถึงเอาอุ้งมือที่อยู่ในมือฉินสือโอวดึงกลับมา มันหมอบหดตัวกลมบนพื้นแล้วรีบแยกเขี้ยวในท่าป้องกันตัว แล้วยังยักคิ้วคำรามหลายครั้งด้วย ดูน่าเกรงขาม
พอฉงต้าคำราม หู่จือกับเป้าก็สังเกตเห็นมัน ทั้งสองนั้นพุ่งเข้าไปราวนักสู้อย่างเยอรมันเชเพิร์ดกับฟิล่า บราซิเลียโร ไม่กลัวหมีที่คำรามอยู่เลย พวกมันล้อมหมีน้อยไว้ซ้ายขวาแถมเสียงคำรามยังหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
คราวนี้ฉงต้าไม่สนเรื่องป้องกันตัวแล้ว พอหันหลังได้ก็มุดไปใต้หว่างขาของฉินสือโอวอย่างหมดท่า ทำเอาฉินสือโอวทนดูไม่ได้
ฉินสือโอวเข้าใจแล้ว หมีน้อยนี่ก็ยังคงขี้ขลาดเหมือนเดิม เพียงแต่เพิ่งจะรู้จักขู่คนไม่นาน เมื่อกี้ขู่ชาร์คได้ แต่ทีนี้ขู่หมาแลบราดอร์ไม่ได้เลยแสดงตัวตนขี้ขลาดออกมา
ฉินสือโอวดุหู่จือกับเป้าจือ สองตัวเห่าไปอีกพักหนึ่ง ทั้งสองถึงสงบลง แต่ก็ยังคงจ้องมองหมีน้อยอย่างดุร้าย ดูท่าว่าความไม่ลงรอยระหว่างหมาล่าเนื้อกับสัตว์ป่าจะลึกเข้ายีนไปแล้ว
“มานี่ เด็กๆ มานี่มา!” ฉินสือโอวนั่งกอดฉงต้าบนพื้น แล้วกวักมือไปทางหู่จือกับเป้าจือ
หู่จือกับเป้าจือเลียริมฝีปากพลางเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง กล้ามเนื้อบนตัวฉงต้าถูกเบ่งขึ้น มันถลึงตามองหมาทั้งสองโดยไม่มีทีท่าโจมตี แต่เป็นการพร้อมหนีตลอดเวลาหากสถานการณ์ดูแย่มากกว่า
ฉินสือโอวใช้มือหนึ่งกันฉงต้า อีกมือกอดหู่จือกับเป้าจือไว้ในอกเพื่อพยายามเอาทั้งสามมาไว้ด้วยกัน
พอใกล้กัน หู่จือกับเป้าจือแยกเขี้ยวเหมือนพร้อมสู้ แต่ฉงต้ากลับทำท่าจะวิ่งหนีอย่างเดียว
เออร์บักกับชาร์ค และซีมอนสเตอร์ดูอยู่ข้างๆ อย่างขบขัน ซีมอนสเตอร์ตะโกนขึ้น “บอส บอสต้องพยายามแล้วละ หมากับหมีเป็นศัตรูกันในโลกธรรมชาติ ที่นี่เวลาเราล่าหมีก็จะพาหมาไปด้วยฝูงหนึ่ง เพราะฉะนั้นต่อไปบอสมีเรื่องให้วุ่นแล้วละ”
ฉินสือโอวหิ้วหู่จือกับเป้าจือแล้วพาฉงต้าเข้าไปห้องอาบน้ำในคฤหาสน์ เปิดน้ำจนเต็มอ่างแล้วเอาทั้งสามตัวโยนลงไปพร้อมกัน เขาแบ่งพลังโพไซดอนและถ่ายพลังให้ทั้งสาม
พอแบบนั้นทั้งหมาและหมีน้อยก็สงบลงในที่สุด แม้ว่าดูจากท่าทางจะยังเข้ากันได้ไม่ดี แต่ภายใต้พลังโพไซดอนพวกมันก็รู้สึกคุ้นเคยกันมากขึ้นแล้ว อย่างน้อยเอามาไว้ด้วยกันก็ไม่ตีกัน
ฉินสือโอวเอาสบู่เหลวอาบน้ำออกมาอาบน้ำให้ทั้งสามตัว หมาแลบราดอร์ไม่ได้ชอบแต่ก็ไม่เกลียดการอาบน้ำ ดื้อไม่อาบแต่พออาบก็เลยตามเลย อาบเสร็จก็เผ่น
ฉงต้าไม่เหมือนกัน เจ้านี่แช่ในน้ำอุ่นแล้วเอาแขนเท้าขอบอ่างอาบน้ำอย่างกับเสี่ย หยีตาเกยหน้าบนอุ้งมืออย่างสุขสม และหาวเป็นพักๆ ดูท่าเหมือนจะหลับแล้ว
ฉินสือโอวถูสบู่ให้มัน ไม่นานฟองสบู่ก็ก่อตัวบนขนหมี ฉงต้าอาจรู้สึกไม่สบายตัวจึงสะบัดตัว
ทีนี้ล่ะคือหายนะ ฉินสือโอวโดนสะบัดใส่ทั้งตัว หู่จือกับเป้าจือที่เพิ่งจะไดร์ขนจนแห้งก็เลอะฟองอีกรอบ
หู่จือกับเป้าจือที่เพิ่งจะสงบเสงี่ยมได้ไม่เท่าไรโกรธขึ้นมา อ้าปากแยกเขี้ยวเตรียมจะพุ่งเข้าไปกัดฉงต้า ฉินสือโอวได้แต่จับแยกอีกครั้ง เขาใช้ผ้าแห้งเช็ดตัวให้เจ้าสองตัวก่อนปล่อยออกไปแล้วค่อยตั้งใจล้างตัวให้ฉงต้า
บนตัวฉงต้ามีฝุ่นจับเยอะ มาก ฉินสือโอวเปลี่ยนน้ำสี่รอบถึงล้างตัวมันจนสะอาด น้ำแรกมีแมลงลอยอยู่ไม่น้อย เลอะเทอะเป็นที่สุด
แต่ว่าตอนอาบฉินสือโอวก็พบว่าช่วงนี้เจ้าลูกหมีตัวน้อยคงจะลำบาก บนตัวไม่ค่อยมีเนื้อเลย ภายใต้ผิวหนังหนามีแต่กระดูก ไม่อ้วนกลมเนื้อเยอะเหมือนกับตอนที่เขาเจอมันใหม่ๆ เทียบกันไม่ได้เลยสักนิด
อาบสะอาดเป่าขนแห้ง ฉินสือโอวก็พาฉงต้าที่สะอาดเอี่ยมไปที่ห้องรับแขก หู่จือกับเป้าจือนอนหมอบอยู่บนโซฟา พอเห็นฉงต้าทั้งสองก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ฉินสือโอวก็วางใจได้หน่อย
ชาร์ค ซีมอนสเตอร์และคนอื่นๆ อาบน้ำเสร็จกลับมา พอเห็นทั้งสามตัวนอนอยู่บนโซฟาด้วยกันแต่กลับไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งอย่างที่คิดทำให้พวกเขาแปลกใจไม่น้อย
“เฮ้ บอส บอสทำได้ยังไง?”ชาร์คถาม “หมากับหมีต้องเป็นศัตรูทางธรรมชาติกันสิถึงจะถูก”
ฉินสือโอวอธิบาย “ง่ายนิดเดียว อาบน้ำให้พวกมันด้วยกัน แล้วก็พ่นน้ำหอมให้กลิ่นตัวเป็นกลิ่นเดียวกันก็ยอมรับกันไปเอง”
นี่คือเหตุผลที่เขาคิดได้ เมื่อกี้เขายังฉีดน้ำหอมที่วินนี่ทิ้งเอาไว้ให้เจ้าสามตัวด้วย
พอได้ยินแบบนั้น เออร์บักก็ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “อย่า ฉิน จมูกของหมาแพ้กลิ่นน้ำหอม แล้วประสาทการดมกลิ่นของหมีไวยิ่งกว่าหมาอีก แบบนี้ไม่ดีต่อพวกมัน”
ฉินสือโอวพูดอย่างจนใจ “ก็ยังดีกว่าตีกันเองจนบาดเจ็บไม่ใช่หรือไง?”
เขาไม่ได้กลัวเรื่องหมากับหมีน้อยจะแพ้น้ำหอม เพราะอย่างไรก็ได้พลังโพไซดอนเสริมร่างกายไปแล้ว เจ้าสามตัวนี้แข็งแรงออกจะตาย
เมื่อกลางวันยิงปลาได้ตั้งเยอะ แล้วยังมีเห็ดหอมภูเขากับเห็ดอื่นๆ อย่างเห็ดแดง เห็ดบราซิลอีก ฉินสือโอวจึงอยากจะทำบาร์บีคิวเป็นมื้อเย็น
ตกกลางคืนนีลเซ็นก็กลับมาจากการล่องทะเล เขาชูปลาในมือขึ้นก่อนจะพูดยิ้มๆ “วันนี้โชคดี มีปลาเซลฟิชตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาแล้วร่วงลงบนเรือ จะทำอะไรกินดี?”
นั่นคือปลาเซลฟิชแอตแลนติกยาวหกสิบกว่าเซนติเมตร ท่อนบนมีสีฟ้าในขณะที่ท่อนล่างเป็นสีขาว ปากยาวแหลม แล้วยังสดมากด้วย
พอนีลเซ็นถือปลาเซลฟิชออกมาด้วย ฉงต้าที่นอนหลับตาอยู่บนโซฟาก่อนหน้านี้ทำจมูกฟุดฟิด จากนั้นก็ลืมตาโพลง ขาสั้นทั้งสี่ยืนขึ้นก่อนจะกระโดดลงจากโซฟาลงมาบนพื้นแล้วพุ่งไปทางนีลเซ็น
นีลเซ็นตกใจตัวโยน รีบถอยหลังกรูดพลางร้องตะโกน “บอส ทำไมในบ้านถึงมีหมีสีน้ำตาล?”
แต่อย่างไรเขาก็เป็นยอดทหารจากกองกำลังพิเศษแคนาดา พอถอยมาได้ก้าวหนึ่งเขาก็เดินหน้า เพ่งเล็งไปทางฉงต้าแล้วถีบออกไป เสียงร้องครวญครางดังขึ้นพร้อมฉงต้าที่โยนถีบกระเด็นราวกับเป็นลูกบอล…..
…………………………………………………
บทที่ 88 ไม่สบายใจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฉินสือโอวรีบเข้าไปอุ้มฉงต้าไว้ ลูกหมีตกใจจนแทบตาย แต่ในความเป็นจริงแล้วเนื้อหนังของมันมีความหยาบและหนา เมื่อถูกนีลเซ็นเตะไปที่บนโซฟา มันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่แค่ยังตื่นตกใจไม่หาย
เมื่อถูกฉินสือโอวอุ้มขึ้นมา ลูกหมีก็จับไปที่เสื้อของเขาไว้แน่นและร้อง ‘ฮือฮือ’ ออกมาอย่างไม่หยุด ซึ่งนั่นคือท่าทางของความเจ็บช้ำเพราะเรื่องเข้าใจผิด
หู่จือและเป้าจือกระตุกมุมปากนอนหมอบอยู่ที่บนโซฟา แววตาของดวงตาเล็กๆเต็มไปด้วยความดูถูก ซึ่งเหมือนกับตอนแรกที่เสี่ยวหมิงดูถูกพวกเขาทั้งสองไม่มีผิด ‘มือใหม่ แม้แต่โดนเตะยังหลบไม่ทันเลย’
นีลเซ็นเห็นฉินสือโอวอุ้มลูกหมีไว้จึงรู้ว่าตัวเองได้เข้าใจผิดแล้ว จึงรู้สึกเก้อเขินขึ้นมาทันทีทันใด จากนั้นจึงลูบที่จมูกและเอ่ยขึ้นว่า “ผมแค่ออกไปข้างนอกทั้งวัน ทำไมในบ้านถึงมีลูกหมีล่ะ? ขอโทษทีนะบอส”
“ไม่เป็นไรนี่เป็นหมีที่ฉันเก็บมาจากในป่า” ฉินสือโอวตบไปที่หลังของฉงต้าราวกับปลอบเด็กน้อยไม่มีผิด ลูกหมีก็ร้องเสียง ‘ฮือฮือ’ เบาๆอย่างต่อเนื่อง ให้ตายอย่างไรก็จะไม่ปล่อยมือออกจากเสื้อของฉินสือโอวอย่างแน่นอน
ฉินสือโอวให้นิวเซ็นไปเอาปลากระโทงสีน้ำเงินมา เมื่อเห็นมือสังหารอย่างนิวเซ็นที่อีกนิดเดียวก็จะฆ่ามันแล้วได้เดินเข้ามาใกล้ๆ ฉงต้าจึงตกใจจนฉี่แทบราด อุ้งเท้าทั้งสี่ข้างก็สั่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอวจึงรีบเอาปลากระโทงสีน้ำเงินส่งไปให้ที่ด้านหน้าของมัน
บนโลกใบนี้อาหารคือสิ่งที่สำคัญที่สุด มันเป็นเหมือนเพื่อนในยามที่โดดเดี่ยว เป็นเหมือนยาที่คอยรักษาในยามได้รับบาดเจ็บ เป็นเหมือนความสุขในยามที่เศร้าโศกเสียใจ ดังนั้นหลังจากที่ปลากระโทงสีน้ำเงินได้มาอยู่ในอุ้งมือ ฉงต้าจึงรีบปีนลงมาจากบนตัวของฉินสือโอวอย่างทันที มันนั่งยองๆอยู่บนพื้นและกินอย่างมีความสุข
หู่จือและเป้าจือก็รู้สึกหิวแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นฉงต้ากิน ‘แจ๊บแจ๊บ’ อย่างมีความสุข จึงกระโดดลงมาและไปยืนดมอยู่ตรงหน้า
ฉินสือโอวกลัวว่าทั้งสองฝ่ายจะแย่งชิงอาหารกันและทำอะไรขึ้นมาอีก แต่สุดท้ายฉงต้าก็ได้ทำในสิ่งที่ดีมาก คิดไม่ถึงว่ามันจะใจกว้างฉีกเนื้อปลาสองชิ้นโยนไปให้กับหู่จือและเป้าจือ
น่าเสียดายที่สุนัขแลบราดอร์ไม่ให้ความสนใจกับเนื้อปลาสด แต่ทว่าความใจกว้างของฉงต้าก็ได้เอาชนะความเป็นมิตรภาพสำหรับพวกเขาไปแล้ว เจ้าสองตัวนั้นจึงได้ขึ้นไปเลียที่ตัวมัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหลังจากนี้พวกมันจะไม่กัดฉงต้าแล้ว
เมื่อเห็นภาพเจ้าหมีน้อยแบ่งเนื้อให้และเจ้าหมาก็เลียที่ตัวหมี นีลเซ็นจึงตะลึงงันและพูดบ่นพึมพำอย่างต่อเนื่อง “พระเจ้า เจ้าสัตว์พวกนี้มันฉลาดและมีความคิดยอดเยี่ยมแบบนี้แล้วเหรอ? ไอคิวของพวกมันสูงกว่าคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอีกนะ”
ฉินสือโอวพูดออกมาอย่างเอือมระอา “เด็กที่มีอายุเดือนเท่านี้ยังไงก็โง่แน่นอน จะเอามาเปรียบเทียบกับสัตว์พวกนี้ได้ยังไง? พอแล้ว รีบไปเตรียมเผาถ่านเถอะ เย็นนี้จะย่างปลา ย่างเนื้อกิน”
เมื่อเข้าฤดูใบไม้ผลิ ลมที่พัดในตอนกลางคืนของเกาะแฟร์เวลก็ไม่หนาวเย็นอีกต่อไปและในตอนนี้ก็เกือบจะถึงหน้าร้อนแล้ว ดังนั้นในเวลาค่ำลมทะเลจึงค่อนข้างอุ่น เป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการกินปิ้งย่างและดื่มเบียร์พอดิบพอดี
นอกจากจะย่างปลาแล้วฉินสือโอวยังเอาพวกเห็ดหอมป่าและเห็ดบราซิลมาย่างด้วย ของที่เจริญเติบโตตามป่าพวกนี้ สามารถถือได้ว่าเป็นอาหารหายากจากภูเขา แค่เอาลงไปย่างที่บนเตาและทาน้ำมันด้านนอก กลิ่นหอมก็ได้โชยออกมาทันทีทันใด
สิ่งที่เห็ดหอมป่ากับเห็ดหอมทั่วไปต่างกันก็คือกลิ่นหอมของมัน รวมทั้งในหัวเห็ดก็ยังแฝงไปด้วยน้ำมัน ดังนั้นเมื่อย่างในอุณหภูมิที่สูง น้ำมันพวกนี้ก็จะถูกย่างและไหลออกมา ทำให้รอบๆเตาย่างตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเห็ด
เมื่อย่างให้มีความสุกประมาณยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เห็ดหอมป่าก็สามารถกินได้แล้ว ฉินสือโอวเอาไม้เสียบเห็ดหอมป่าที่ย่างจนเยิ้มไปด้วยน้ำมัน มีสีเหลืองอร่ามเจิดจ้าและหอมฉุยส่งให้กับคนอื่นๆ และเอ่ยขึ้นว่า “ลองชิมดูนะ เพื่อนทั้งหลาย รสชาติน่าจะไม่เลวเลย”
คนพวกนี้ไม่เคยกินเห็ดหอมป่าย่างมาก่อน จึงยื่นมือมารับไปอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และเมื่อกัดเข้าไป น้ำเห็ดก็ได้พุ่งออกมาจากเนื้อที่หนาๆบริเวณหัวเห็ด ทันใดนั้น ในช่องปากก็ถูกความเอร็ดอร่อยของเห็ดหอมเข้ายึดครอง
“ว้าว้าว เลิศมาก!” ชาร์คยิ้มไปพลางขบเคี้ยวไปพลาง เขายกนิ้วโป้งและเอ่ยออกมาอย่างไม่จริงจังว่า “นึกว่าเห็ดหอมเอาไว้ทำได้แค่ซุป ที่แท้ก็เอามาย่างได้ด้วย บอส คุณช่างมีพรสวรรค์จริงๆ”
ที่บ้านเกิดของฉินสือโอวก็พบเห็นวิธีการกินแบบนี้ได้ไม่บ่อยนัก ถึงแม้ว่าเห็ดหอมป่าย่างจะมีรสชาติที่เอร็ดอร่อยมากจริงๆ แต่การจะเอาเห็ดหอมป่ามาย่างได้นั้น ตัวเห็ดหอมป่าจะต้องมีความสดใหม่และมีขนาดที่อ้วนท้วม ไม่เช่นนั้นถ้าตัวเห็ดหอมไม่สดและมีขนาดที่ไม่อ้วนและนุ่มพอ เมื่อย่างไปแล้วก็จะไหม้เกรียม
นอกจากจะย่างเนื้อ ย่างปลาและย่างเห็ดหอมแล้ว ยังมีหอยนางรมจานใหญ่อีกหนึ่งจาน
หอยนางรมนั้นเป็นของดี สามารถพบได้ในทุก ๆมหาสมุทรใหญ่ แต่ว่าจะมีสายพันธุ์ที่แตกต่างกันไป บริเวณอ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์ของแคนาดาจะมีหอยนางรมตะวันออกอยู่เยอะ ฟาร์มปลาของฉินสือโอวอยู่ใกล้อ่าว จึงมีหอยนางรมชนิดนี้ไปโดยธรรมชาติ
แต่ทว่าหอยนางรมที่กินในเย็นวันนี้คือหอยที่ซื้อมา หอยนางรมที่อยู่ในฟาร์มปลาต่างก็อยู่ในทะเลที่ลึกลงไปหน่อย หอยนางรมที่อยู่ตามชายทะเล เมื่อน้ำลดได้ถูกพวกคนในเมืองควานหาไปหมดแล้ว
“ฉันวางแผนที่จะเพาะเลี้ยงหอยนางรมสักหน่อย เพื่อนทั้งหลาย ยกตัวอย่างเช่นพวกสายพันธุ์เบอลง สายพันธุ์คุมาโมโตะและสายพันธุ์แปซิฟิก ฉันคิดว่าควรจะเปิดตลาดสำหรับหอยพวกนี้” ฉินสือโอวดูดหอยนางรมตัวใหญ่ที่อยู่ในมือและเอ่ยขึ้น
ฉงต้ามานั่งข้างๆฉินสือโอวอย่างคุ้นเคย และเงยหน้าจ้องมองหอยนางรมที่อยู่ในมือของฉินสือโอวอย่างไร้การเคลื่อนไหว หู่จือและเป้าจือต่างดูถูกพฤติกรรมการกินที่ไร้ยางอายของมันจึงหนีออกไปนั่งห่างจากมันที่ด้านหลัง
ฉินสือโอวแคะเนื้อหอยนางรมออกมาและส่งให้กับฉงต้า ฉงต้าดีใจเป็นอย่างมากจึงแลบลิ้นออกมาเลียหอยนางรม
ผลสุดท้าย หู่จือนั้นว่องไวกว่ามันมาก เมื่อฉินสือโอวได้วางมือลงมา มันก็รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว สาวเท้าพุ่งปราดขึ้นไปข้างหน้าและใช้ปากคาบแย่งหอยนางรมไป จากนั้นก็วิ่งกลับไปแบ่งให้กับเป้าจือ
ฉงต้าร้อง ‘ฮือฮือ’ ไม่หยุด ฉินสือโอวจำต้องดึงชิ้นเนื้อป้อนเข้าปากมันไป สำหรับเจ้าหมีแล้วขนาดของหอยนางรมจัดว่าเล็กเกินไปจริง ๆ แม้ว่าจะกินยังไม่จุใจแต่ฉงต้ากลับกินอย่างมีความสุขเสียเหลือเกิน ออกแรงขยับริมฝีปากขมุบขมิบ
ที่พี่กินไม่ใช่อาหารทะเลหรอกน้อง แต่มันคือการแสดงถึงฐานะ! พวกนายสองตัวเป็นlสุนัขที่ฐานะต่ำต้อย ถ้ากล้าก็ค่อยมาแย่งเอาไปนะ!
เจ้ากระรอกแดงกินบลูเบอร์รีอยู่บนไหล่ ข้างกายคือเจ้าหมีสีน้ำตาล ด้านหลังก็เป็นสุนัขแลบราดอร์สองตัว เมื่อชาร์คมองไปยังฉินสือโอวจึงหัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “บอส นายช่างเหมือนนักบวชดรูอิดในเทพนิยายมากเลย”
ดรูอิดปรากฏตัวในตำนานทวีปอเมริกา ยุโรปเหนือและกรีซ รูปร่างลักษณะแตกต่างกันไป แต่ที่เหมือนกันคือเป็นนักบวชที่มีสหายเป็นสัตว์ พวกขาสามารถจัดการสัตว์ต่าง ๆ ให้ทำการต่อสู้ และยังสามารถแปลงกายเป็นสัตว์เพื่อต่อสู้ได้เช่นกัน
ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดกลับไปว่า “ก็ใช่น่ะสิ ฉันคือดรูอิด ฉงต้าเป็นพลทหารหมีของฉัน ส่วนหู่จือกับเป้าจือเป็นกองกำลังหมาป่า แต่ตอนนี้ฉันกำลังอยากจะเลี้ยงหอยนางรม พวกนายมีความคิดเห็นยังไงกันบ้าง?”
“หอยนางรมและกุ้งมังกรนั้นมีความจำเป็นต้องเลี้ยงเอาไว้ ไม่เช่นนั้นทรัพยากรในฟาร์มปลาจะสูญเปล่า นอกจากนี้ยังมีปลิงทะเล ปลิงทะเลแห่งนิวฟันแลนด์นั้นมีชื่อเสียงมากทีเดียว โดยเฉพาะปลิงจากแหล่งน้ำคุณภาพดี ทั้งหมดนี้เป็นสินค้าคุณภาพดีที่ไหลเข้าสู่ตลาดผูกขาด” ซีมอนสเตอร์กล่าว
“ถูกต้อง ยังมีกุ้งมังกรด้วย” ฉินสือโอวเพิ่งนึกออกว่าเขาลืมขั้นตอนแรกของธุรกิจนี้ไป
การจะทำฟาร์มปลาให้ได้กำไรดีนั้น หนทางยังอีกยาวไกลนัก
ถกปัญหาไปพลาง ทานข้าวไปพลาง หาข้อสรุปของธุรกิจนี้กันอย่างสนุกสนาน ฉงต้าเองก็มีความสุขกับการกินจนต้องแบกร่างอันตุ๊ต๊ะกลับมาที่วิลล่า
ฉินสือโอวพาสหายทั้งสามไปยังที่ห้อง ฉงต้าทันทีที่เห็นเตียงขนาดเล็กที่มีทั้งเบาะนุ่มและผ้าห่ม ก็ค่อย ๆ เขยิบร่างตุ๊ต๊ะเพื่อเอนนอนลงไป
หู่จือกับเป้าจือหมดความอดทน เพราะนี่มันคืออาณาเขตของพวกมัน ทันใดนั้นพวกมันก็เริ่มส่งเสียงเห่าคำราม ฉินสือโอวเดาว่าถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ฉงต้าได้แบ่งเนื้อปลาให้และได้กลายมาเป็นมิตรภาพ เจ้าสหายทั้งสองนี้คงจะกระโดดกัดมันไปแล้ว
ฉินสือโอวรีบลากฉงต้าขึ้น แล้วรีบไปหาพรมมาปูไว้ที่พื้น ให้ฉงต้านอนหลับตรงนั้น
ฉงต้าผู้ชื่นชอบในการกิน นอกจากเรื่องกินแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ จะเปลี่ยนที่นอนก็เปลี่ยนไป เพราะแค่มันก่ายขึ้นไปยังพรมก็หลับสนิททันที
หู่จือกับเป้าจือเฝ้าดูฉงต้าอยู่สักพัก เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนหลับแล้วและจะไม่มีใครหน้าไหนมาแย่งที่นอนอีก ถึงจะวางใจหลับตาลงได้
ในที่สุดฉินสือโอวก็หย่อนตัวลงกับเตียง และแล้วก็มีเสียงดัง ‘ปัง’ ฉงต้าที่หลับสนิทและหู่จือกับเป้าจือที่เพิ่งกำลังจะหลับตาลงต้องตื่นตัวลุกขึ้นมาในทันที
เสียงดังทำเอาฉินสือโอวตกใจเช่นกัน เขายังต้องการที่จะนอนต่อ จึงปลอบสหายทั้งสาม”นอนเถอะนะ นอนเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว รีบนอนกันนะ”
สัตว์หน้าขนเมื่อหลับไปแล้วจะยิ่งตกใจเป็นอย่างมาก เพราะจะรู้สึกว่าชีวิตไม่ปลอดภัยมากที่สุดในระหว่างหลับ เมื่อฉินสือโอวเข้าใจจุดนี้ เวลาจะพลิกตัวทีจึงต้องระวัง
เมื่อขึ้นเตียงแล้ว ฉินสือโอวก็เล่นมือถือ เพื่อค้นหาสถานะของฉงต้า เขาได้ยินชาร์คและเออร์บักต่างก็พูดว่ามันคือหมีสีน้ำตาลโคดิแอค ก็เลยค้นหาเจอหมีชนิดนี้
หลังจากค้นหาแล้ว ฉินสือโอวก็พบว่าเจ้าหมีชนิดนี้นั้นมีชื่อเสียงมากทีเดียว หมีสีน้ำตาลโคดิแอคเป็นหมีสายพันธุ์ย่อยที่ใหญ่ที่สุดของหมีสีน้ำตาล เมื่อโตเต็มวัยมันจะมีส่วนสูงที่สองถึงสามเมตร น้ำหนักปกติแล้วก็ราว ๆ หกร้อยกิโลกรัม มากสุดก็อยู่ที่เจ็ดร้อยกว่า ๆ
หมีสีน้ำตาลพันธุ์นี้มีสัมผัสต่อกลิ่นที่ไว ประมาณเจ็ดเท่าของสุนัขแลบราดอร์ พวกมันมีสายตาที่ดี สามารถมองเห็นปลาที่อยู่ในน้ำได้อย่างชัดเจน
แม้เจ้าฉงต้า จะเป็นหมีสีน้ำตาล แต่หลังจากโตเต็มวัยแล้ว ขนของมันก็อาจเปลี่ยนเป็นสีทอง น้ำตาล เทา ดำหรือเงินก็ยังได้ ฉินสือโอวมองภาพหมีที่โตเต็มวัย ดูแล้วองอาจและน่าเกรงขาม โดยเฉพาะหมีที่มีขนสีทอง ช่างเป็นหมีดำเจ้าถิ่นที่ล้ำค่าเสียจริง
ฉินสือโอวตัดสินใจรอให้ฉงต้าเติบโตขึ้น บนเกาะแฟร์เวลจะมีหมีสีน้ำตาลโคดิแอคอยู่ได้อย่างไร? ถ้าอิงตามการบอกกล่าวจากอินเทอร์เน็ตแล้ว หมีชนิดนี้จะอาศัยอยู่ที่เกาะโคดิแอคในอลาสก้าซึ่งอยู่ทางตะวันตกของประเทศแคนาดา เกาะแฟร์เวลอยู่ทางตะวันออก ระยะทางระหว่างสองฟากเป็นหมื่นไมล์เลยทีเดียว
นอกจากนี้แล้วหมีชนิดนี้ไม่ได้ใกล้สูญพันธุ์ เพราะไม่มีใครไปล่าสัตว์เนื่องจากต่างก็ต้องการป้องกันสภาพอากาศที่เลวร้ายลงในอลาสก้า แต่กระนั้นจำนวนประชากรของหมีชนิดนี้ก็ไม่นับว่ามาก เพราะมีอยู่เพียงสามพันกว่าชีวิตบนโลกนี้เท่านั้น
ฉินสือโอวค้นหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเจ้าฉงต้าทั้งเรื่องการดำรงชีวิตและอาหารการกิน จากนั้นจึงค่อยหลับตาลง จิตสำนึกโพไซดอนได้ตามติดปลาทูน่าสีน้ำเงินตัวใหญ่ไป พอรุ่งเช้า เขาก็นำปลาตัวนี้ออกมา ปล่อยมันกลับไปสู่ห้วงท้องทะเลลึกอีกครั้ง แล้วคอยดูว่าจะสามารถหาปลาแบบได้อีกสักสามสี่ตัวหรือไม่
……………………………………………………
บทที่ 89 ซากเรืออับปางแห่งความหวัง
โดย
Ink Stone_Fantasy
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนกำลังควบคุมปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือ เป้าหมายของฉินสือโอวไม่ใช่ปลาทะเลล้ำค่าใดๆทั้งนั้น แต่คือเรือเดินทะเล หรือจะพูดให้ชัดเจนอีกหน่อยก็คือสมบัติล้ำค่าในเรืออับปางใต้มหาสมุทรต่างหาก
ในโลกมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น เป็นโกดังเก็บสมบัติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งในแง่ของผลิตภัณฑ์ทางทะเลและสมบัติต่างๆ
จากการพายเรือแคนูในยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงการล่องเรือเหล็กยักษ์ในปัจจุบัน ในยุคต่างๆนั้นมักจะมีเรือจมลงไปยังก้นมหาสมุทร ในซากเรือเหล่านี้หลายลำมีสมบัติทางศิลปะอันล้ำค่า และเครื่องประดับเงินทองไข่มุกของยุคต่างๆ ตามการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ในมหาสมุทรมีซากเรืออับปางมากกว่าหนึ่งล้านลำ
หลังจากที่ฉินสือโอวได้ครอบครองนิ้วทองของจิตสำนึกแห่งโพไซดอน เขาคาดหวังเสมอว่าเขาจะสามารถค้นพบซากเรืออับปางในมหาสมุทรได้สักลำหนึ่ง แต่ไม่ใช่การค้นพบซากเรือในแม่น้ำที่บ้านเกิดสายเล็กๆ
ซากเรือที่จมในแม่น้ำไป๋หลงก็ไม่เลวเหมือนกัน ทำให้เขาค้นพบตราประทับเถียนหวงซึ่งเป็นสมบัติแห่งชาติ ซึ่งตราประทับนี้ไม่สามารถขายได้ และยังพบว่ามีเงินตำลึงสมัยราชวงศ์หมิงอีกหนึ่งหีบ ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เงินตำลึงเหล่านั้นไม่สามารถดำเนินการบางอย่างได้ชั่วขณะ ……
โลกใต้แม่น้ำนั้นเป็นเรื่องเล็กมากเมื่อเปรียบเทียบกับการค้นหาในมหาสมุทร เป้าหมายอันสูงสุดของเขาคือมหาสมุทรดวงดาวอันกว้างใหญ่ไพศาล เขามักจะใฝ่ฝันว่าต้องหาซากเรืออับปางใต้ท้องมหาสมุทรให้พบ
แต่หลังจากที่เขาได้ลงไปยังก้นมหาสมุทรจึงรู้ทำให้รู้ว่า ใต้มหาสมุทรนั้นกว้างใหญ่มากเพียงใด ซากเรือหนึ่งล้านลำมีจำนวนมหาศาล แต่กระจายอยู่ในท้องมหาสมุทรของทั่วโลก การเสาะหาจึงทำได้ยากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่ยังไม่ได้ควบคุมปลาทูน่าครีบเหลืองและปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือ เขาทำได้เพียงล่องเรือเข้าใกล้มหาสมุทรเท่านั้น
ครั้งนี้เมื่อเขาได้ปล่อยปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือไปเสาะหาซากเรือ เขาต้องการหาซากเรืออับปางให้พบให้ได้ เจ้าปลาทูน่าว่ายน้ำในทะเลลึกนานกว่าครึ่งชั่วโมงมันเริ่มอ่อนล้า แต่ถึงกระนั้นก็ยังหาซากเรืออับปางไม่พบอยู่ดี …
ในช่วงเวลานั้นกลับพบฉลามหลายตัว ฉลามเหล่านี้เต็มไปด้วยความสนใจในปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือขนาดใหญ่ ฉินสือโอวไม่มีเวลาเล่นกับพวกมัน จึงปลดปล่อยพลังโกรธของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกมา เจ้าฉลามเหล่านี้ก็เจียมเนื้อเจียมตัวจากไปในทันที
ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือว่ายวนไปมาในท้องทะเล ฉินสือโอวหาไม่พบแม้แต่ร่องรอยของซากเรือ ท้ายที่สุดเขาเหมือนดั่งผู้แพ้พนันที่ไม่รู้จักการยับยั้งช่างใจ ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็จะต้องหาซากเรืออับปางให้ได้
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือใช้เวลาพักผ่อนนานกว่าสิบนาที จากนั้นไปจึงออกเดินทางอีกครั้ง ว่ายออกไปเป็นระยะทางกว่า 100 ไมล์ทะเล และในที่สุดก็พบเงาของซากเรือขนาดใหญ่!
“ฉันจะเป็นเศรษฐีแล้ว!” ฉินสือโอวเกือบจะตะโกนลั่นออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ เขาลุกขึ้นจากเตียง ทำให้ฉงต้า หู่จือและเป้าจือตกใจ แต่ทั้งสามเพียงแค่พลิกตัวพลางมองไปยังฉินสือโอวอย่างระมัดระวัง
“ออกไป ตอนนี้ฉันกำลังยุ่งอยู่!” ฉินสือโอวตะโกน ทั้งสามมองหน้ากันอย่างเบื่อหน่าย และล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ฉงต้าส่งเสียงร้องอย่างน้อยใจ ที่มันตื่นไม่ใช่เพราะฉินสือโอวทำให้มันตกใจตื่นหรอกเหรอ
ซากเรือที่ปรากฏด้านหน้าของปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือน่าจะเป็นเรือเหล็กยักษ์บรรทุกสินค้า ความยาวมากกว่า 100 เมตร จุดที่กว้างที่สุดคือกาบเรือที่มีความกว้างมากกว่า10 เมตร ดูก็รู้ว่ามันมีขนาดใหญ่มหึมาแค่ไหน
ดาดฟ้าของเรือกว้างมากจนสามารถใช้เป็นสนามบาสเกตบอลได้ และมีห้องโดยสารอย่างน้อยสี่ชั้น มีปล่องไฟใหญ่อยู่ตรงกลางของเรือ ลำเรือทอดยาวเหมือนหอกอันแข็งแกร่งในทะเล
แม้ว่าทุกวันนี้มันจะจมลงอยู่ก้นทะเล แต่ก็ไม่ได้ลดความน่าเกรงขามของเรือลำนี้ไป มันช่างเหมือนกับสัตว์ร้ายตัวใหญ่ที่แฝงตัวอยู่ใต้ทะเล เป็นอะไรที่น่ากลัวเสียจริง!
นี่คือพลังของมนุษยชาติ ถึงแม้ว่ามันจะทรุดโทรมถึงเพียงนี้ ลำเรือถูกปกคลุมด้วยสนิมเหล็ก สนิมทองแดง หน้าต่างทุกบานชำรุดทรุดโทรม แต่มันก็ยังคงเป็นยักษ์ใหญ่มหึมาที่ใหญ่กว่าสิ่งมีชีวิตอื่นใดใต้มหาสมุทร
ในสายตาของฉินสือโอว เรือลำนี้เป็นสมบัติที่สิ่งมีชีวิตทางทะเลไม่สามารถเทียบค่าได้เลย แม้แต่ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือที่มีมูลค่านับล้านก็ยังเทียบค่าไม่ได้เช่นกัน
ฉินสือโอวเลื่อมใสในตัวบรรพบุรุษ เขาให้ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือค่อยๆเคลื่อนเข้าหาซากเรืออับปางยักษ์อย่างช้าๆ กระนั้นไม่สามารถรู้ได้ว่าเรือลำนี้มันอยู่อย่างโดดเดี่ยวในมหาสมุทรนี้มากี่ร้อยปีแล้ว สามารถมองเห็นสนิมปกคลุมได้ในเกือบทุกนิ้วของตัวเรือ
จากด้านข้างของเรือ ยังสามารถเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่ที่ทาด้วยสีน้ำมัน นั่นก็คือ Sir-Wilfrid-Laurier คาดว่าคงเป็นชื่อของเรือลำนี้
ภาษาอังกฤษบรรทัดนี้แปลได้ว่า ‘เซอร์ วิลฟรีด ลอเรล’ น่าจะเป็นชื่อเรียกของเรือลำนี้ ชื่อนี้สำหรับฉินสือโอวแล้วเป็นที่คุ้นเคยดี เพราะเขาเห็นสุภาพบุรุษคนนี้เกือบทุกวัน
เซอร์ วิล ฟรีด ลอเรลนายกรัฐมนตรีคนที่เจ็ดของแคนาดา และเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีเชื้อชาติฝรั่งเศสสัญชาติแคนาดาคนแรก ปัจจุบันนี้รูปครึ่งตัวของเขาถูกพิมพ์ลงบนธนบัตร 5 ดอลลาร์แคนาดา
ฉินสือโอววนรอบตัวเรือไปหนึ่งรอบ เขาทนรอไม่ไหวที่จะเข้าไปในตัวเรือใหญ่ยักษ์ลำนี้ เมื่อเข้าไปใกล้ๆตัวเรือพบว่าเรือนี้เป็นเรือรบ และมันจัดได้ว่าเป็นเรือรบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตรงดาดฟ้าหัวเรือมีปืนใหญ่สี่กระบอกอนุภาครุนแรงหาที่เทียบไม่ได้ ขนาดลำกล้องประมาณ 127มม.
นอกจากนี้ด้านข้างตรงกาบเรือมีปืนลำกล้องขนาดเล็ก ท้ายเรือมีปืนต่อต้านอากาศยานกระบอกเดี่ยวขนาดสามนิ้วสองกระบอก ปีกทั้งสองข้างมีปืนต่อต้านอากาศยานกระบอกเดี่ยวหนึ่งกระบอก บวกกับตอร์ปิโดใต้น้ำอีกแปดกระบอก กล่าวได้ว่าเรือติดอาวุธลำนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ
ฉินสือโอวทอดถอนหายใจไปกับเรือรบติดอาวุธทรงพลังนี้ พลางใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนปกคลุมเรือลำนี้ไว้
หลังจากได้หีบสมบัติมาจากแม่น้ำไป๋หลง จิตสำนึกแห่งโพไซดอนได้รับการวิวัฒนาการมาถึงขั้นที่สอง พื้นที่ภายใต้การควบคุมของมันมากกว่าสิบตารางกิโลเมตร
เมื่อจิตสำนึกแห่งโพไซดอนปกคลุมซากเรืออับปาง ทำให้จิตใจอันร้อนรุ่มของฉินสือโอวเย็นลงอย่างรวดเร็ว
บนซากเรือลำนี้ไม่มีอะไรที่สามารถใช้ประโยชน์ได้เลย!
ในห้องผู้โดยสารมีกระดูกผุอยู่ ห้องเก็บกระสุนปืนมีกระสุนปืนใหญ่ที่มีน้ำเข้าสนิมเกาะ อีกทั้งลูกปืนและตอร์ปิโด ห้องซ่อมบำรุงมีอะไหล่อุปกรณ์เรือรบจำนวนมากที่สามารถนำมาเปลี่ยนได้ นอกนั้น ในเรือลำนี้ไม่มีอะไรเลย …
ทอง? เงิน? งานศิลปะ? เซรามิก? ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง! ไม่มีอะไรทั้งนั้น!
ความหวังของเขาพังทลายลง อารมณ์ตื่นเต้นเมื่อครู่กลับกลายเป็นความสิ้นหวัง เพียงแค่วินาทีเดียว มันลุ้นระทึกมากกว่าการนั่งรถไฟเหาะเสียอีก ฉินสือโอวรู้สึกเกลียดชังจิตสำนึกแห่งโพไซดอนของเขาที่รู้ไปหมดเสียทุกอย่างชั่วขณะ หากเขาไม่รู้อะไรเลย ค่อยๆสำรวจไปทีละส่วนๆ และท้ายที่สุดเมื่อพบกับความผิดหวัง ความรู้สึกนั้นคงดีกว่าความรู้สึกในตอนนี้ของเขามากนัก
“บ้าที่สุด!” ฉินสือโอวอุทานด้วยความขุ่นเคืองใจ หู่จือและเป้าจือเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนเจ้าทึ่มฉงต้านั้นพอฉลาดขึ้นมาบ้าง มันนอนหลับอย่างสบายใจ ไม่สนใจเรื่องใดๆทั้งนั้น
ฉินสือโอวเรียกปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือกลับมา เขาผล็อยหลับไปอย่างอึดอัดใจ บ้าไปแล้ว อย่าไปฝันกลางวันเกี่ยวกับการหาสมบัติในซากเรืออับปางอะไรนั่นอีก กลับไปตั้งอกตั้งใจเลี้ยงปลาเสียดีกว่า
เมื่อเขาตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมา ฉินสือโอวยังคงไม่ยอมแพ้ เขาเข้าไปสืบค้นข้อมูลของเรือรบ ‘เซอร์ วิลฟรีด ลอเรล’ในอินเทอร์เน็ต ผลการค้นหาทำให้หัวใจของเขาสลายอีกครั้ง
เรือรบนี้เป็นเรือรบของแคนาดาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองจริงๆ แต่มันไม่ใช่เรือประจัญบาน มันเป็นเรือพิฆาต เรือลำนี้เปิดตัวในปีค.ศ. 1920 เป็นเรือรบที่รัฐบาลแคนาดาและรัฐบาลฝรั่งเศสร่วมกันสร้างขึ้นในเวลานั้น ประจวบเหมาะกับวันครบรอบปีแรกของการเสียชีวิตของ เซอร์ วิลฟรีด ลอเรล จึงได้ตั้งชื่อเรือลำนี้ตามชื่อของอดีตนายกรัฐมนตรี
ชะตากรรมของเรือลำนี้ช่างน่าอนาถใจนัก เปิดตัวมายี่สิบปีไม่มีโอกาสสู้รบในสงคราม ในเดือนกันยายน ปีค.ศ. 1939 แคนาดาประกาศสงครามกับเยอรมันพร้อมๆกับอังกฤษ เรือรบพิฆาต ‘เซอร์ วิลฟรีด ลอเรล’ ได้โอกาสออกโรงเสียที
วันที่ 3 กันยายน เป็นวันที่แคนาดาประกาศสงครามกับเยอรมัน ในวันเดียวกันนั้นเรือดำน้ำเยอรมันโจมตีเรือโดยสารอะธีนาในมหาสมุทรแอตแลนติก เส้นทางเดินเรือในมหาสมุทรแอตแลนติกถูกคุกคามอย่างหนัก รวมถึงเส้นทางลำเลียงที่สำคัญทางทะเลซึ่งเชื่อมต่ออังกฤษกับแคนาดาตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็นจุดสนใจของทั้งสองฝ่ายในการทำสงครามในทันที
ดังนั้นกองทัพเรือของแคนาดาจึงส่งกองทัพกลุ่มแรกที่มีเรือพิฆาตชั้นแม่น้ำหกลำเป็นกำลังหลักในการต่อสู้ หนึ่งในนั้นมี ‘เซอร์ วิลฟรีด ลอเรล’ เป็นกองหน้า
น่าเสียดายที่เรือรบนี้ช่างโชคร้ายนักยังไม่ได้ออกจากน่านน้ำแคนาดา แต่ถูกกองกำลังเรือดำน้ำของเยอรมันซีวูล์ฟยูซุ่มโจมตี กองทัพเรือฮิตเลอร์ต้องการสำแดงพลานุภาพให้ชาวอเมริกันได้รับรู้ จึงโจมตีเรือลำนี้จนจมน้ำเสียตั้งแต่หน้าประตู ……
“ให้ตายสิ นายทำไมไม่เอาทองคำ เงิน หรือของมีค่าอื่นๆมาด้วยนะ”
ในขณะที่ฉินสือโอวอ่านข้อมูลอยู่นั้นเขาทอดถอนหายใจอย่างแสนเสียดาย ในขณะนั้นเรือลำนี้ไม่ได้นำเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่ทำด้วยทองคำหรือเงินมาด้วย เนื่องจากกัปตันเรือของพวกเขาคือนายพลกาเบรียล ไฮน์ เป็นนายพลกรมฝ่ายพลเรือนที่มีชื่อเสียงของกองทัพเรือแคนาดา
ขณะที่เขายังตรวจสอบข้อมูลอยู่ มีเรือบรรทุกสินค้าหนักหนึ่งพันตันลำหนึ่ง เคลื่อนที่เข้ามายังท่าเรือฟาร์มปลาด้วยเสียงดังก้อง
หู่จือและเป้าจือที่กำลังนอนราบอยู่ที่หน้าประตูส่งเสียงเห่าพร้อมกับวิ่งไปที่ท่าเรือ ส่วนเจ้าฉงต้านั้น คาดว่ามันคงเคยเห็นเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่หนักถึงหนึ่งพันตันเป็นครั้งแรก มันตกใจกลัวจนตาถลน หันตัวกลับได้ก็วิ่งเข้าไปในบ้านทันที
พอดีกับฉินสือโอวที่กำลังจะออกไปทักทายทีมสถาปัตยกรรมเวล พอเห็นเจ้าฉงต้ากลัวจนหัวหดตดหาย เขาตะโกนด่าอย่างเหลืออด “ไอ้ขี้ขลาด!”
หลังจากใช้พลังจิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็เห็นว่าเจ้าพวกนี้ฉลาดอย่างเหลือเชื่อ แม้แต่เจ้าฉงต้าที่ทั้งโง่ทึ่มแต่ก็น่ารัก มันแทบจะเข้าใจการแสดงออกของฉินสือโอวได้เป็นอย่างดี
เมื่อถูกฉินสือโอวมองด้วยสายตาดูแคลน มันก็หันกลับไปหาเรือยักษ์และส่งเสียงร้องคำราม ถึงแม้เสียงคำรามของมันยังอ่อนหัดนัก แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นหมีโคดิแอคแห่งขุนเขาเสี้ยวเอ้าอยู่ดี และยังคงความน่าเกรงขามอยู่บ้าง
หลังจากคำรามไปไม่กี่ครั้ง เจ้าฉงต้าหัวหดตดหายรีบมุดหัวเข้าไปในบ้านอีกครั้ง ฉินสือโอวจนใจไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี…
……………………………………………….
บทที่ 90 เริ่มงานท่าเรือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
มาร์ค วิล คนที่เมื่อก่อนเคยติดต่อกับฉินสือโอวเดินมาทักทายเขาโดยการจับมือแล้วพูดว่า “คุณฉิน ดีใจที่ได้พบคุณอีกครั้ง และยินดีที่ได้รับความไว้วางใจจากคุณ นี่คือแบบงานดีไซน์และสัญญา คุณลองตรวจดูก่อนครับ”
ฉินสือโอวรับกระเป๋าเอกสารมา แล้วโทรเรียกหาเออร์บัก คนหนึ่งดูแบบงานดีไซน์ อีกคนดูสัญญา เพื่อจะได้ปิดดีลนี้ได้อย่างรวดเร็ว
วิลได้ส่งแบบร่างไปทางอีเมลให้เขาเรียบร้อย ฉินสือโอวไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร เขาให้ เรค บิ๊กฟุต ชาร์คและคนอื่นไปเช็กราคามาแล้ว ทีมสถาปัตย์ของวิลมีมโนธรรมที่ดี ราคาจึงจับต้องได้
ท่าเรือสองแห่งมีมูลค่ารวม 5.5 ล้าน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีการขยายของท่าเรือถ่วงน้ำหนักจาก 20 เมตรเป็น 50 เมตรคิดเป็นเงิน 1.8 ล้าน นี่แค่การขยาย ถ้าเป็นการสร้างใหม่ ไม่มีเงินถึง 3 ล้านก็ทำไม่ได้
ราคาของท่าเรือที่มีเสาเข็มสูง 500 เมตรคือราคา 3.7 ล้าน ซึ่งราคานี้ยังสามารถขยับได้จากสองล้านไปจนถึงสี่ล้าน ฉินสือโอวเลือกทำฐานโดยใช้เสาเข็มแบบคอนกรีตอัดแรงทั้งหมด ราคาจึงแพงขึ้นมา
การขยายท่าเรือแบบนี้ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ใช้แค่หิน ทราย คอนกรีตและปูนในการสร้าง ทั้งหมดเป็นเงินดอลลาร์แคนาดากองขึ้นมาทั้งนั้น
วิลเน้นอธิบายไปที่ท่าเรือที่มีเสาเข็มสูง “คอนกรีตอัดแรง เราจะผสานรวมกันระหว่างเสาเข็มกลมและเสาเข็มสี่เหลี่ยม หนึ่งกลุ่มจะมีหกอัน โดยเจาะเรียงจากส่วนที่ตื้นไปหาส่วนที่ลึก”
“เพราะในน้ำทะเลจะมีคลอไรด์และพวกสารกัดกร่อนอยู่ ดังนั้นจึงต้องใช้เสาเข็มที่มีการทาป้องกันสนิม อยู่ในช่วง 15-10 ไปจนถึง 50-35 ที่แตกต่างกัน ราคาที่ด้านหลังมีมาตรฐานซึ่งเป็นราคาต่อหน่วยต่อเมตร คุณลองคำนวณดูได้…”
“ตามที่คุณต้องการนั้น เพื่อความปลอดภัย พื้นผิวท่าเรือจึงควรมีความปลอดภัยสองชั้น นั่นก็คือการผสมผสานระหว่างชั้นคอนกรีตและชั้นไม้ ชั้นแรกเป็นชั้นไม้ สวยงาม ส่วนชั้นล่างเป็นชั้นคอนกรีต แบบนี้ต่อให้ชั้นไม้เกิดแตกขึ้นมา มันก็จะไม่รั่ว…”
ตามการตรวจสอบทางวิศวกรรม ท่าเรือที่มีเสาเข็มสูงห้าร้อยเมตร หลังจากสร้างเสร็จ เรือกลไฟลำใหญ่ขนาดแปดพันตันสามารถเทียบจอดได้ เมื่อเทียบกับฟาร์มปลาของคุณ ผมจึงคิดว่าท่าเรือนี้เพียงพอกับความต้องการแล้ว!”
“เรือกลไฟขนาดหมื่นตันเทียบจอดไม่ได้เหรอ” ฉินสือโอวถามอย่างสงสัย
วิลอธิบายว่า “ถ้าตามทฤษฎีแล้วไม่มีปัญหาอะไร แต่คุณก็น่าจะทราบดีว่า เรือกลไฟโดยเฉพาะเรือบรรทุกสินค้า หนึ่งหมื่นตันคือเส้นสันปันน้ำ ซึ่งด้านนี้ก็จะเป็นท่าเรือของชาวบ้านที่เทียบจอดได้ตามอำเภอใจ ส่วนด้านนั้นคือท่าเรือการค้าที่ต้องได้รับการอนุมัติละตรวจสอบจากรัฐก่อน”
“โอเค ถ้าอย่างนั้นก็ตามนั้น ราคาไม่ใช่ปัญหา ที่สำคัญคือคุณภาพการก่อสร้างจะต้องไม่มีปัญหาอะไร” ฉินสือโอวกล่าว
ต่อให้เป็นท่าเรือเสาเข็มสูงที่มีราคาถูกที่สุด แต่ต่อเติมยื่นออกไปในทะเลหนึ่งเมตรอย่างต่ำราคาก็หนึ่งหมื่น ดอลลาร์แคนาดา ซึ่งเป็นราคาตลาด
แต่ถ้าเป็นท่าเรือถ่วงน้ำหนัก ก็เจ๋งไปเลย ต่อเติมยื่นออกไปในทะเลไม่เกินหนึ่งร้อยเมตร หนึ่งเมตรราคาอย่างต่ำก็ห้าหมื่นดอลลาร์แคนาดา แต่ถ้ายื่นออกไปเกินหนึ่งร้อยเมตร ราคาจะขยับขึ้นเป็นห้าเท่าถึงสิบเท่าทันที เพราะว่าท่าเรือถ่วงน้ำหนักเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมา แค่ใช้ก้อนหินเพียวๆก็ไม่รู้ต้องใช้จำนวนเท่าไรแล้ว
ก่อนหน้านั้นคุยทางโทรศัพท์ ฉินสือโอวได้รับปากทางวาจาเรื่องข้อตกลงนี้ไว้แล้ว ดังนั้นครั้งนี้ตอนที่วิลมาที่เรือบรรทุกสินค้าจึงมีเครื่องมือก่อสร้างเรียบร้อย
เออร์บักตรวจดูสัญญาอย่างละเอียด เขาจริงจังมาก สวมแว่นตา ข้างๆก็มีโทรศัพท์วางอยู่ ตรวจไปพลางโทรหาเพื่อนปรึกษาไปพลาง
หนังสือดีไซน์ที่สำคัญกว่า ฉินสือโอวใช้เวลาดูไปแค่ครึ่งชั่วโมง แต่สัญญาที่ธรรมดาฉบับหนึ่ง เออร์บักกลับใช้เวลาไปสองชั่วโมงครึ่ง!
นี่ถึงเป็นเหตุผลว่าทนายความและนักบัญชีของทางแถบอเมริกาเหนือถึงได้เงินเดือนสูงขนาดนี้ พวกเขาต้องรับผิดชอบให้กับลูกค้าของเขาเอง ตราบใดที่เป็นสัญญาหรือใบค่าใช้จ่ายที่พวกเขาจัดการย่อมไม่มีปัญหาใดใด
รอจนเออร์บักมั่นใจแล้วว่าไม่มีข้อผิดพลาด ฉินสือโอวจ่ายเงินค่ามัดจำ 1.5 ล้านอย่างมีความสุข วิลจึงต้องเตรียมเริ่มงาน
ฉินสือโอวหวังว่าท่าเรือจะสร้างเสร็จได้ไว พอเข้าฤดูใบไม้ร่วง ฟาร์มปลาของเขาก็สามารถออกไปตกปลาด้านนอกได้ แล้วตอนนั้นเขาก็จะได้ใช้ท่าเรือนี้
เขามั่นใจมาก ว่าฟาร์มปลาของเขาจะกลายเป็นฟาร์มปลาที่ใหญ่ที่สุดในน่านน้ำรัฐนิวฟันด์แลนด์ และตลาดอาหารทะเลทั้งหมดในแคนาดาตะวันตกจะถูกปกครองโดยเขา!
ปัจจุบันฟาร์มปลามีขนาดใหญ่แล้ว ปูก้ามดาบ ปูเสฉวนบกเดินเล่นอยู่ท้องทะเล หญ้าปลาไหล สาหร่ายสีน้ำตาลและจำพวกหญ้าทะเลอื่นๆที่ประกอบกันเป็นสายอาหารพื้นฐาน หมึกกระดองและปลาหมึกอาศัยพวกมันเป็นอาหารตอนหลบซ่อน กลุ่มฝูงปลาแฮร์ริ่งในมหาสมุทรแอตแลนติกแหวกว่ายผ่านพวกสาหร่าย เงาของปลาซาบะมักจะเห็นได้บ่อยๆ
สุดท้ายคือปลาค็อดฝูงใหญ่ พลังโพไซดอนที่ทำหน้าที่อยู่ในสาหร่ายทะเล หลังจากนั้นแทรกตัวเข้าไปในร่างกายของปลาเหล่านี้ ทำให้ปลาเจริญเติบโตรวดเร็วขึ้น เขาเชื่อว่าในเวลาหนึ่งปี ในฟาร์มปลาของเขาจะปรากฏปลาค็อดยาวหนึ่งเมตร!
นอกจากนี้ ภายหลังยังจะมีกุ้งมังกร เป๋าฮื้อ หอยต่างๆ ปลาทูน่า ปลาจานจำพวกนี้ เป็นต้น เพิ่มขึ้นมา ปลาสายพันธุ์แพง อย่างปลาทูน่าครีบเหลือง ปลาทูน่าครีบน้ำเงินก็มีเช่นกัน ฟาร์มปลาของเขาช่วงนี้ยังดึงดูดฝูงพวกปลาแซลมอน ปลาเทราต์จำนวนมากมาด้วย ความหลากหลายทางสายพันธุ์ได้เพิ่มขึ้นมาแล้ว
เออร์บักเก็บเอกสารต่างๆ ทันใดนั้นฉินสือโอวพูดขึ้นว่า “ไฮ คุณพ่อ คุณช่วยผมมาตลอด ดูเหมือนว่าผมจะยังไม่เคยให้เงินเดือนคุณเลย ซึ่งผมคิดว่าแบบนี้มันไม่ถูก ดังนั้นแล้ว คุณช่วยบอกค่าตอบแทนหน่อยได้ไหม”
เออร์บักยิ้ม แล้วพูดว่า “ฉันเคยสาบานกับคุณปู่ของนาย ว่าฉันจะช่วยนายอย่างดี ตราบใดที่นายขยันทำงานเพื่อสร้างฟาร์มปลา ฉันก็อยู่เป็นผู้ช่วยข้างกายของนาย”
“แต่ผมก็ควรจะจ่ายอะไรให้คุณหน่อย” ฉินสือโอวยังยืนยัน
เออร์บักถอดเสื้อสูท พับแขนเสื้อขึ้นแล้วพูดว่า ถ้าอย่างนั้นก็ให้จอบฉันมา ให้ฉันไปที่ไร่ผักและสวนผลไม้เล็กๆทำงานสักพัก พระเจ้า ช่วงนี้กระดูกฉันมันขึ้นสนิมหมดแล้ว ต้องทำงานสักหน่อยถึงจะดี”
ฉินสือโอวกางแขนแล้วพูดว่า “คุณคือเทวดาของผมชัดๆ!”
“คือผู้ช่วยของนายไง” เออร์บักพูดพร้อมหัวเราะ
ฉินสือโอวอดกลั้นหัวเราะไม่ไหว แล้วพูดว่า “คุณอยากจะเป็นผู้ช่วยผมจริงๆเหรอ? คุณรู้ไหมว่าผู้ช่วยของผม พอถึงตอนเย็นทำอะไรกัน?”
“สำหรับคนแก่แล้ว นายทำอะไรฉันก็ไม่สนใจหรอก” เออร์บักนิ่งมาก เห็นได้ชัดเลยว่าชายชราไม่ได้ล้าสมัยเหมือนรูปลักษณ์ภายนอก อย่างน้อยเขาก็ยังมีหัวใจเด็กหนุ่มที่ตามทันเหตุการณ์เสมอ
สิ่งมีชีวิตที่เคยได้รับการปรับปรุงจากพลังงานโพไซดอนจะแข็งแกร่ง ปลูกเพียงไม่กี่วัน ต้นอ่อนโตขึ้นมาก ต้นอ่อนเซเลอรี่มีสีขาวและสีเขียวเหมือนหยกเก่า ต้นอ่อนกุยช่ายเขียว ต้นอ่อนกระเทียมกลับเจริญเติบโตได้ดีที่สุด แผ่ใบออกไปโดยไม่คำนึงว่าจะเป็นฤดูกาลไหน
เออร์บักเข้าไปดูแล้วตะโกนเรียก “มานี่ เด็กน้อย แค่ไม่กี่วัน ทำไมแปลงผักถึงมีแมลงได้?”
ฉินสือโอวพอเข้าไปดู จริงด้วย แปลงผักมีปาทังก้าไม่น้อยเลย ตัวเล็กๆพวกนี้มาจากหญ้าทั้งนั้น ท่าทางพวกมันก็รู้ว่าต้นอ่อนนุ่มๆมันอร่อยกว่ามาก
เออร์บักดูแลเอาใจใส่สวนผักนี้มาก รีบยื่นมือไปจับปาทังก้า แต่ปาทังก้าพวกนี้ตัวจะค่อนข้างเล็ก จำนวนไม่น้อยที่ยังเป็นแมลงตัวอ่อน กระโดดขึ้นๆ ลงๆ จับอย่างไรก็ไม่หมด
อย่างไรก็ตาม แมลงเล็กๆพวกนี้หยิ่งยโสที่สุด พวกมันชำนาญในการกัดแทะใบอ่อน ต้นอ่อนของกุยช่ายกับกระเทียมยังดี รสชาติค่อนข้างเผ็ดพวกมันจึงไม่กิน มีแต่ต้นอ่อนเซเลอรี่ที่ลำบากหน่อย แล้วยังมีต้นอ่อนแตงกวา ถั่ว มะเขือ ที่กำลังงอกออกมา เป็นต้น
ฉินสือโอวไร้หนทางไปเล็กน้อย ทันใดนั้นก็นึกถึงไก่เป็นที่อยู่ในเล้า ตอนนี้ในเล้ายังมีเล้าไก่ รังหมู จำพวกนั้น ทนแดดทนฝน ตอนค่ำพวกหมูเป็ดไก่ก็จะมุดเข้าไปในรังของตัวเอง พอสว่างถึงค่อยออกมา
หลังจากที่มีคูน้ำ พวกหมูเป็ดไก่มีความสุขมาก โดยเฉพาะเป็ด ลงเล่นน้ำทุกวัน นานๆครั้งถึงมีพวกปลาเล็กมาตามลำน้ำเข้ามาในเล้า ไก่กับเป็ดก็จะฆ่าพวกมันทิ้งในทันที
ฉินสือโอวจับพวกไก่ตัวเมียขึ้นมา พวกไก่ตัวผู้ที่ขาโดนล่ามโซ่อยู่ก็ร้องเรียก แคว้กๆ ฉินสือโอวมองแล้วยิ่งกระปรี้กระเปร่า เลยลากออกมาด้วย เหมือนจูงหมาเดิน เอาผ้าผูกไก่พวกนี้ไว้ พาเข้าไปในสวนผัก
พอเห็นพวกปาทังก้า ไก่พวกนี้ก็ตื่นเต้นขึ้นมา
ในเล้าถึงจะมีปลา แต่นั่นเป็นของโปรดของเป็ด ไก่ไม่ค่อยสนใจเท่าไร ปาทังก้าและหนอนผีเสื้อถึงจะเป็นอาหารของพวกมัน
เออร์บักกังวลเล็กน้อย แล้วถามขึ้นว่า “พวกมันจะกัดต้นอ่อนเสียหายหมดไหม?”
ฉินสือโอวมั่นใจมากแล้วพูดว่า “ตราบใดที่มีแมลง พวกมันก็จะไม่กล้ากัดต้นอ่อนของผัก ไหนพวกเราสองคนก็ยังสามารถคอยสอดส่องพวกมันได้ วันหนึ่งฆ่าครั้งหนึ่ง ฉันไม่เชื่อหรอกว่าที่นี่จะมีแมลงได้มากมายขนาดนั้น”
ชาร์ค ซีมอนเสตอร์ และนีลเซ็นออกตระเวนทะเลไปหนึ่งรอบ พอกลับมาเห็นข้างหน้าฉินสือโอวมีไก่อยู่ฝูงหนึ่งเดินในสวนผักก็หัวเราะขึ้นมาแล้วพูดว่า “ไฮ บอส คุณจูงไก่เดินเล่นอยู่เหรอ?”
ฉินสือโอวก็หัวเราะเช่นกัน หลังจากนั้นผ่านไปสองนาที ชาร์ค ซีมอนเสตอร์ และนีลเซ็นในมือหนึ่งคนจูงไก่ห้าตัวและเริ่มเดินตามออกตระเวนในสวนผัก
วิลมีปัญหามาปรึกษา เห็นกลุ่มคนกำลังเดินอยู่ในแปลงผักพร้อมลูกไก่ในมือ ทันใดนั้นก็มึนไปชั่วขณะ แล้วถามอย่างสงสัยว่า “พวกคุณ พวกคุณมีกิจกรรมอะไรทำกันเหรอ เพื่อนๆ ผมงงไปหมดแล้ว”
ฉินสือโอวตอบว่า “โอ้ พวกเพื่อนผมชอบเดินจูงไก่ ได้ยินมาว่าเป็นการฝึกฝนทางจิตใจ ผมเลยมาลองดู ผลลัพธ์ก็รู้สึกออกมาดีทีเดียว”
ใบหน้าของวิลเต็มไปด้วยความงุนงง พูดว่า “จริงเหรอ? นี่มันแปลกจริงๆ”
ฉินสือโอวบอกให้เขามาลอง พูดว่า “ดีจริงๆนะ มาสิ ผมให้ยืมเล่นสักพัก”
วิลลังเลเล็กน้อย พยักหน้าแล้วพูดว่า “โอเค ผมจะลองดู ดีเหมือนกันช่วงนี้งานผมก็กดดันมาก”
ฉินสือโอวยัดเชือกผ้าให้กับวิล หลังจากนั้นก็รีบพาหู่จือและเป้าจือตรงไปที่ชายหาดเพื่ออาบแดดเลย
……………………………………….
บทที่ 91 อาหารรสเลิศใต้ท่าเรือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
วิลตามมาจนเจอฉินสือโอว ยักไหล่แล้วพูดว่า “ไม่ ฉิน อารมณ์ผมยังไม่ได้ดีขึ้นเลย”
ฉินสือโอวแอบขำอยู่ในใจ ไม่คิดว่าชายผิวดำคนนี้จะจริงจังกับคำพูดของเขา แต่เขาก็ไม่ควรแสดงความรู้สึกนี้ออกมาทางสีหน้า จึงพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “คุณวิล งั้นคงไม่พูดไม่ได้แล้วว่า คุณคงกดดันมาก ให้ตัวเองหยุดพักน่าจะดีที่สุด”
วิลถอนหายใจ พูดว่า “ก็จริงนะ เศรษฐกิจของแคนาดาตอนนี้ไม่ค่อยดี บริษัทก่อสร้างของพวกผมไม่ได้รับงานใหญ่แบบงานของคุณอย่างนี้นานมากแล้ว”
พูดคุยกันสักพัก วิลก็พูดถึงเหตุผลจริงๆที่เขาไล่ตามฉินสือโอว แผนการก่อสร้างของพวกเขาคือจะเริ่มสร้างจากท่าเทียบเรือมา แบบนี้แล้วก็ต้องมีการรื้อถอนท่าเทียบเรือเก่าบางส่วน เพื่อสะดวกในการหยิบใช้อุปกรณ์ก่อสร้าง
ฉินสือโอวบอกเขาว่าไม่มีปัญหา ทำอย่างไรก็ได้ วิลกล่าวขอบคุณ เดินไปที่ท่าเทียบเรือสั่งการคนงานให้เริ่มงานที่ใช้รถขุด เครื่องตอกเสาเข็ม
ฉงต้าแอบหลบอยู่ในบ้านครู่หนึ่ง ไม่มีคนเล่นด้วย และไม่มีอาหารกิน มันรู้สึกเบื่อจึงเดินโซซัดโซเซออกมา หยุดอยู่ตรงประตูมองไปทางท่าเรือ หลังเห็นเรือใหญ่เหล่านั้นไม่ขยับเขยื้อน จึงย้ายก้นอ้วนๆนั้นเดินไปหาฉินสือโอว
ฉินสือโอวกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้เอนข้างต้นเมเปิลเล่นมือถือ ตอนนี้ต้นเมเปิลแตกใบอ่อนแล้ว ใบไม้สีเขียวขจีนั้นปลิวไสวไปตามลมทะเล เปลือกไม้ก็ดูเหมือนมีชีวิตชีวา
ฉงต้าคลานมาถึงก็หมอบลงที่ตรงส่วนหัวด้านบนของเก้าอี้เอน นอนเอาหัวพิงอยู่ข้างหัวของฉินสือโอว ปรายตามองไปที่โทรศัพท์มือถือ เมื่อมองไม่เข้าใจก็ร้องงืดงืดด้วยความเบื่อ
ฉินสือโอวคุยแชทกับเพื่อนสมัยมหาลัยทางQQ เขาอยากจะเปิดกล้องโชว์ให้รู้ว่าที่บ้านเขาเลี้ยงหมีด้วย แต่พลันคิดได้ว่าเพื่อนทุกคนต่างเป็นเพื่อนเก่าสมัยเรียนทั้งนั้น การทำแบบนี้ก็ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร จึงแชทพิมพ์คุยกันต่อไป
สายลมแรงพัดมาจากทะเล เสียงใบต้นเมเปิลดังซ่าซ่าขึ้นมา น้ำเชื่อมต้นเมเปิลที่ไหลจากรอยแตกบนต้นไม้ถูกพัดไหลลงมาโดนตัว ฉินสือโอวรู้สึกเหนียวไม่สบายตัว จึงรีบเช็ดออก
ฉงต้านึกว่าฉินสือโอวแกล้งมันเล่น จึงอ้าปากไปงับมือฝ่ามือของฉินสือโอวเบาๆ แต่ลิ้นไปเลียโดนน้ำเชื่อมจากต้นเมเปิลเข้า ตาของมันเบิกกว้างทันที พร้อมร้องฮือฮือขึ้นมา
ฉินสือโอวพลันนึกขึ้นได้ ว่าหมีสีน้ำตาลนั้นชอบกินของหวานประเภทน้ำผึ้ง กับน้ำเชื่อมมาก จึงลุกขึ้นมาควักเข้าไปในรอยแตกบนต้นไม้ สุดท้ายควักได้น้ำเชื่อมจากต้นเมเปิลมาจำนวนหนึ่ง
น้ำเชื่อมต้นเมเปิลเหล่านี้ทั้งโดนแดดเผาโดนลมพัด ปริมาณน้ำได้ระเหยไปมากแล้ว เหลือไว้ก็เพียงแต่น้ำเชื่อมที่ข้นหนืด ฉินสือโอวหาช้อนอันใหญ่ที่ใช้สำหรับตักซุปปลา ควักเข้าไปทั้งช้อน ก็จะได้น้ำเชื่อมสีน้ำตาลอ่อนออกมา
ประสาทรับรสของหมีสีน้ำตาลโคดิแอคถือว่าเป็นหนึ่งในบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ดีกว่าสุนัทล่าสัตว์พันธุ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ถึงเจ็ดเท่า เมื่อควักน้ำเชื่อมช้อนเบ้อเร่อออกมา ฉงต้าตื่นเต้นสุดขีดไปชั่วขณะ อุ้งมือใหญ่คู่นั้นตบ’ป้าบป้าบ’ที่เก้าอี้เอน ตบไปเพียงทีสองทีก็ตบจนเก้าอี้พัง
“เฮ้ย ไอ้หมีจอมซน!” ฉินสือโอวรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก นี่เป็นเก้าอี้ตัวใหม่นะ โดนไอ้ตัวทำลายตัวนี้ทำเสียจนได้
เขารีบยื่นช้อนออกไป ฉงต้ายื่นมือประคองช้อนอย่างด้วยท่าทีเงอะงะ ลิ้นอันน้อยของมันเลียไปที่ช้อนอย่างสุดชีวิต ‘แผล่บ’ เพียงอึดใจเดียวก็เลียจนหมดเกลี้ยง!
เมื่อได้กินน้ำเชื่อมเข้าไปเต็มปาก อวัยวะที่น่ารักทั้งห้า(หู ตา คอ จมูก ปาก)ของฉงต้าเบียดรวมกันที่หน้าไปครู่หนึ่ง ปลายจมูกเล็กๆนั้นขยับไปมาไม่หยุด แสดงออกถึงท่าทีที่มีความสุข
การที่สัตว์แสดงอารมณ์ออกมานั้นเป็นอะไรที่หาดูได้ยากมาก ภาพลักษณ์ของหมีที่คนคุ้นเคยล้วนมีแต่อารมณ์โกรธทั้งนั้น ฉินสือโอวรีบยกโทรศัพท์’แชะแชะแชะ’ รัวถ่ายรูปฉงต้าที่อุ้มช้อนเอาไว้
หลังจากควักต่อไปอีกสี่ห้าช้อน จุดที่มีน้ำเชื่อมบนต้นนั้นก็ถูกฉินสือโอวควักจนหมดเกลี้ยง น้ำเชื่อมพวกนี้ต้องใช้เวลาในการสะสมนานถึงจะได้มา เมื่อควักจนหมดก็ไม่มีเหลือแล้ว
ฉงต้ากินไม่อิ่ม ใช้เล็บชี้ไปยังรูที่อยู่สูงขึ้นไปบนต้นไม้ ร้อง‘อู้อู้’ไม่หยุด ฉินสือโอวที่รู้สึกฉุนขึ้นมา ใช้มือตบไปที่หัวที่เต็มไปด้วยขนหนาๆ แล้วพูดว่า “พอเป็นเรื่องกินแกนี่ดูหัวไวเชียวนะ ทำไมทีเวลาปกตินี่โง่จัง?”
เสี่ยวหมิงที่นั่งแทะลูกสนอยู่บนกิ่งไม้อยู่นั้น เมื่อเห็นฉงต้าชี้ไปที่รูบนต้นไม้ หางพวงโตรีบลุกชันขึ้นมา วิ่งไปไม่กี่ก้าว ก็หยุดนั่งอยู่หน้ารูบนต้นไม้นั้นแล้วมองฉงต้าด้วยท่าทีตื่นตัว
ฉินสือโอวเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมา จึงหาบันไดมาปีนขึ้นไปดู ในรูนั้นมีน้ำเชื่อมอยู่ แต่สิ่งที่มีมากกว่าน้ำเชื่อมก็คือลูกสน ที่แท้ที่นี่คือที่เก็บอาหารของเสี่ยวหมิงนี่เอง
ถึงว่าต้นสนที่กินก่อนหน้านี้มีรสหวานจากน้ำเชื่อมอยู่ด้วย ที่แท้ก็ด้วยเหตุผลนี้นี่เอง ฉินสือโอวเข้าใจแล้ว
ฉงต้าเห็นเสี่ยวหมิงขวางอยู่หน้ารูต้นไม้ เกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ความขี้กลัวของมันจะมีก็แต่กับสัตว์ตัวใหญ่อย่างหลุนฮั่วเท่านั้น กับกระรอกตัวเล็กๆอย่างนี้มันไม่กลัวหรอก ถึงยังไงมันก็เคยเป็นพี่ใหญ่บนภูเขามาก่อน
ต่อหน้าเสี่ยวหมิง มันลุกยืนขึ้นมา กรงเล็บจากขาหน้าตบไปที่ต้นไม้ ร้อง‘อุ้อุ้’ไปด้วยพลางออกแรงผลักต้นไม้ไปด้วย
ก่อนหน้านี้ตอนค้นหาข้อมูลของหมีโคดิแอคนั้นฉินสือโอวได้รู้ว่า หมีสีน้ำตาลพันธุ์นี้ชอบใช้การผลักต้นไม้ในการแสดงอำนาจของตัวเอง ท่าทางของฉงต้าที่พิงอยู่ที่ต้นไม้ในตอนนี้ ก็คือการแสดงว่าตัวเองเก่งกาจ
แต่น่าเสียดายที่ฉงต้ายังเล็ก แล้วขนาดของต้นเมเปิลนี้ก็ใหญ่มากขนาดสามคนโอบก็ยังไม่รอบเลย อย่าว่าแต่เป็นมันเลย ถึงแม้หมีรุ่นใหญ่มาเองก็คงทำอะไรไม่ได้
ฉงต้าผลักต้นไม้พลางร้องคำรามสักพัก เสี่ยวหมิงใจกล้าตัวนี้ไม่กลัวสักนิด กลับคิดว่าเจ้านี่คือหมีโง่ตัวหนึ่ง หยิบลูกสนมาลูกหนึ่งยื่นให้ฉินสือโอว แล้วปีนกลับไปแทะลูกสนต่ออย่างสบายใจ
ฉินสือโอวมองดูอย่างสนุกสนาน ผ่านไปสักพัก วิลกวักมือเรียกให้เขาไปหาอยู่ที่ท่าเรือ ฉินสือโอวคิดว่าอาจเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงรีบวิ่งไปหา
ฉงต้าที่โกรธอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นหูจือกับเป้าจือวิ่งตามฉินสือโอวไป ก็ลืมเรื่องน้ำเชื่อม สะบัดแขนแล้วตามไปอยู่ข้างหลัง
ความเร็วในการวิ่งของหมีสีน้ำตาลที่โตเต็มตัวนั้นน่าประทับใจมาก เมื่อถึงตอนที่ต้องวิ่งจริงๆ จะบอกว่าวิ่งเร็วเท่ากับความเร็วม้าวิ่งก็ไม่ถือว่าพูดเกินจริง แต่ว่าพวกมันไม่เหมาะกับการวิ่งบนหาดทราย ฉงต้าที่น่าสงสารวิ่งไปได้เพียงไม่กี่ก้าว อุ้งเท้าก็จมลงไปในทราย ทำให้มันหกล้มจ้ำเบ้าลงไป
“อาววู้!” ฉงต้าที่หัวเต็มไปด้วยเม็ดทราย ลุกขึ้นมาแล้วร้องตะโกนออกมาอย่างน้อยใจ หูจือที่วิ่งนำหน้าอยู่หยุดหันมามอง ลังเลไปสักพัก แล้วก็วิ่งลิ้นห้อยย้อนกลับมา เลียฉงต้าเหมือนกำลังปลอบใจมัน
ฉินสือโอวหัวเราะขึ้นมา หู่จือนี่มีความเป็นพี่ใหญ่จริงๆ ไม่เลวเลย
เขาเดินไปที่ท่าเรือ ถามวิลว่า “ว่าอย่างไร เพื่อนฝูง?”
วิลพูดพร้อมหัวเราะ “ข่าวดีครับ ดูท่ามื้อกลางวันนี้เราจะได้กินอาหารทะเลชุดใหญ่แล้ว ดูสิ ฉิน ใต้ท่าเรือของคุณเต็มไปด้วยของดีทั้งนั้น!”
ทั้งสองข้างของท่าเรือเก่าถูกรื้อถอนไปบ้างแล้ว ทำให้ที่ว่างของพื้นที่ใต้ท่าเรือโผล่ออกมา
ท่าเรือนี้สร้างมาน่าจะครึ่งศตวรรษแล้ว โดนคลื่นทะเลซัดเซาะ ข้างใต้ท่าเรือมีแต่หลุมบ่อ ระหว่างหลุมพวกนั้นรถขุดใช้หัวขุดกั้นตรงส่วนบนของท่าเรือปิดทางออกไว้ ฉินสือโอวมองไปด้านล่าง มองเห็นเจ้าตัวสีดำตัวหนึ่ง
“ตะพาบ? เต่าทะเล?” ฉินสือโอวพูดด้วยเสียงตกใจ
วิลพูดพร้อมหัวเราะ “ไม่ เพื่อนฝูง ปลาตัวแบน นี่คือปลาลิ้นหมาล่ะ เป็นอาหารทะเลที่มีค่ามากเลย”
เขาพลางพูดพลางหัวเราะชอบใจขึ้นมา ไม่ใช่เพราะดีใจที่จะได้กินอาหารทะเล แต่หัวเราะชอบใจฉินสือโอวที่เป็นถึงเจ้าของฟาร์มปลาแต่กลับไม่รู้จักปลาตัวแบนในฟาร์มปลาของตัวเอง
ฉินสือโอวพูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง ให้ตายเถอะ นี่โทษเขาได้หรือ? ชายหาดใต้ท่าเรือถูกทำให้น้ำขุ่นไปหมดแล้ว แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นรูปร่างอะไรได้อย่างชัดเจน เห็นเพียงแต่หลังสีดำผลุบโผล่ไปมา จึงทำให้ฉุกคิดถึงตะพาบตัวใหญ่ที่เคยเจอที่บ้านเกิดขึ้นมา
ปลาลิ้นหมาถูกยกให้เป็นหนึ่งในปลาตัวแบนที่มีค่าที่สุดในโลก มีต้นกำเนิดมาจากมหาสมุทรแปซิฟิก จากนั้นก็ถูกนำเข้าโดยประเทศต่างๆ หลังจากทรัพยากรปลาค็อตฟาร์มปลาในนิวฟันแลนด์เริ่มน้อยลง แน่นอนก็ได้มีการนำเข้าปลาเศรษฐกิจมูลค่าสูงชนิดนี้เช่นกัน แต่ผลสุดท้ายไม่ค่อยดีนัก เพราะกลายเป็นว่าปลาลิ้นหมาไม่สามารถอาศัยอยู่ในฟาร์มปลานิวฟันแลนด์ได้
นึกไม่ถึงว่า ข้างใต้ท่าเรือฟาร์มปลาของฉินสือโอวกลับมีเจ้าพวกนี้ซ่อนตัวอยู่ ใช่ ไม่ใช่เพียงตัวเดียว แต่เป็นฝูง
เมื่อความขุ่นของน้ำทะเลตกตะกอนแล้ว ก็เผยให้เห็นถึงหน้าตาที่แท้จริงของเหล่าปลาลิ้นหมา พวกมันมีรูปร่างที่แบนมาก ลำตัวเป็นทรงกลมรูปไข่ ตาทั้งสองข้างอยู่รวมกันที่ด้านซ้ายของส่วนหัว ผิวหนังเปลือยเปล่าไร้เกล็ด ปากใหญ่ ทั้งครีมหลังและครีมก้นต่างก็แตกแบ่งย่อยเป็นซี่ๆ
ปลาฝูงนี้มีจำนวนประมาณสามถึงสี่สิบตัว ตัวใหญ่ที่สุดมีขนาดยาวถึงครึ่งเมตร แม้ขนาดของปลาตัวเล็กก็มีประมาณหนึ่งฝ่ามือเลย มีแต่ฟ้าถึงรู้ว่าทำไมพวกมันถึงมารวมกลุ่มกันอยู่ใต้ท่าเรือนี้ เป็นที่รู้กันว่าปลาพวกนี้มักอาศัยอยู่ใต้ทะเลลึก จึงไม่น่าจะเจอพวกนั้นที่ทะเลใกล้ฝั่งแบบนี้
แต่ทว่า ต่างกับปลาแฮลิบัตแอตแลนติกที่เป็นปลาตระกูลเดียวกับปลาลิ้นหมาที่จะชอบอาศัยอยู่ตามแนวน้ำตื้นมากกว่า เป็นไปได้ว่าหลังจากที่ถูกนำเข้ามาที่ฟาร์มปลานิวฟันแลนด์แล้ว เจ้าพวกนี้อาจถูกปลาตระกูลเดียวกันอย่างปลาแฮลิบัตเปลี่ยนลักษณะการดำรงชีวิตไป
อีกอย่าง สำหรับปลาลิ้นหมาแล้ว น้ำทะเลตรงหาดทรายใต้ท่าเรือก็ปลอดภัยกว่าทะเลน้ำลึกมาก
ปลาจากมหาสมุทรแปซิฟิกและแอตแลนติกมีความแตกต่างกันอยู่คือ ถึงแม้มหาสมุทรแอตแลนติกจะมีพื้นที่ใหญ่กว่า แต่ปลาที่โตที่นั่นขนาดตัวใหญ่เทียบกับมหาสมุทรแปซิฟิกไม่ได้เลย ในมหาสมุทรแอตแลนติกนั้นปลาลิ้นหมาที่มีขนาดหนึ่งเมตรถือเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่แล้ว แต่ในมหาสมุทรแปซิฟิกขนาดเพียงเท่านี้นั้นถือว่าเป็นแค่ปลาเล็กขนาดน่ารักเท่านั้น
หากไม่นับพวกฉลามกับวาฬแล้ว พูดได้ว่าปลาทูน่าครีบเหลืองขนาดเพียงสองเมตรครึ่งและปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือขนาดสามเมตรครึ่งก็สามารถฆ่าพวกมันได้แล้ว
ต้องรู้ว่าในมหาสมุทรแปซิฟิก ญาติห่างๆของปลาลิ้นหมาอย่างปลาแฮลิบัตมหาสมุทรแปซิฟิกที่ตัวขนาดสองเมตรครึ่งนั้นสามารถเจอได้ง่ายมาก ขนาดใหญ่สุดมีความยาวถึงสี่เมตร น้ำหนักมากกว่าสี่ร้อยกิโลกรัม
ปลาลิ้นหมาพวกนี้น่าจะอาศัยอยู่รอบๆใต้ท่าเรือมาสิบกว่ารุ่นได้ พวกมันคงคุ้นเคยกับที่ตรงนี้มาก ถึงแม้จะถูกรบกวนแต่ก็ไม่ว่ายหนี แต่กลับมุดไปในหลุมที่ลึกขึ้นใต้ท่าเรือแทน
ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกโพไซดอนสำรวจดูรอบๆ ข้างใต้ท่าเรือนี้มีปลาลิ้นหมาอาศัยอยู่อย่างน้อยสองร้อยตัว ตัวที่ใหญ่ที่สุดก็คือเจ้าตัวขนาดครึ่งเมตรที่โผล่มาให้เห็นตัวนี้ และยังมีอีกสิบกว่าตัวที่ตัวค่อนข้างเล็กประมาณสี่สิบกว่ามิลลิเมตร
เขาใช้จิตสำนึกโพไซดอนบังคับให้ปลาลิ้นหมาพวกนี้หนีออกจากท่าเรือ ว่ายตรงไปยังจุดพืดหินปะการังในทะเล หากดูแลปลาพวกนี้ดีๆ ต่อไปจะสามารถทำกำไรให้กับฟาร์มปลาได้ และบางทีอาจไม่น้อยไปกว่าปลาทูน่าครีบเหลืองด้วยซ้ำ
ฉินสือโอวให้คนขับรถขุดเคลื่อนย้ายหัวขุดออกไป เพื่อปล่อยปลานำฝูงที่ยาวขนาดครึ่งเมตรตัวนั้นไป ยังมีปลาลิ้นหมาอีกสองตัวที่ก่อนหน้านี้ถูกก้อนหินทำให้บาดเจ็บขณะก่อสร้าง ทั้งคู่ขนาดตัวไม่เล็กเสียด้วย รวมกันน่าจะมีสิบกว่าถึงยี่สิบชั่ง(สามสิบกว่าถึงสี่สิบกิโลกรัม) ฉินสือโอวเก็บสองตัวนี้ไว้กินก็พอแล้ว
เมื่อปลาลิ้นหมาว่ายออกไป ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกโพไซดอนสำรวจดูแล้วก็ดีใจขึ้นมา ที่แท้ใต้ท่าเรือนี้ก็คือโลกใต้ทะเลขนาดย่อมนี่เอง ไม่เพียงแต่จะมีปลาลิ้นหมา ยังมีปูหิมะแคนาดากับปูแดง ตัวเล็กตัวใหญ่อาศัยอยู่ จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
ปูหิมะคือชื่อทางวิทยาศาสตร์ ชื่อที่เรียกกันทั่วไปมีสองชื่อ ในแคนาดาเรียกว่าปูราชินี แต่ในอเมริกาเรียกปูช่างทำหนัง นี่ถือเป็นประเภทย่อยของมัน รสชาติดีมาก
……………………………………………………..
บทที่ 92 NO ทำ NO DIE
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปูราชินีและปูแดงต่างก็อาศัยอยู่ที่นี่อย่างสุขสันต์ เพราะใต้ท่าเรือเต็มไปด้วยซากของหมึกกระดองและหมึกกล้วย ชัดเจนว่าเป็นฝีมือของพวกมัน ฉินสือโอวล่อสัตว์ลำตัวนิ่มพวกนี้มา คงทำให้พวกมันมีความสุขไม่น้อย
แต่ทว่า ดั่งคำโบราณกล่าวไว้ว่า ทำกรรมใครไว้ ก็ได้อย่างนั้น ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องรับกรรมที่ตัวเองก่อไว้แล้ว
ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกโพไซดอนพาพวกปูออกมา ท่าเรือต้องสร้างใหม่ อีกหน่อยหลุมพวกนี้ก็ต้องถูกปิด หากปูพวกนี้ถูกขังไว้ข้างในคงน่าเสียดายน่าดู
หลายปีแล้วที่ไม่มีคนมาจับปลาใต้ท่าเรือ ปูแต่ละตัวต่างก็อ้วนท้วมสมบูรณ์ เฉพาะปูที่หนักสิบกว่าชั่ง(ห้ากิโลกรัม)ก็มีกว่าสิบตัว เสียดายที่ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูจับปูที่ดีที่สุด เดือนเมษาพวกมันต้องวางไข่แล้ว ตอนนี้พวกมันจึงไม่ได้มีเนื้อแน่นอย่างที่ควร
แต่แค่มีให้กินก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ฉินสือโอวนำปลาลิ้นหมาสองตัวไปล้างน้ำแล้วเก็บใส่ถังเก็บความเย็น ส่วนปูราชินีก็จับตัวใหญ่สุดมาสิบกว่าตัว ใช้เชือกมัดไว้แล้วทิ้งไว้บนชายหาด
จอมตระกูลฉงต้า ที่เห็นอะไรก็คิดว่าสามารถกินได้หมด ปลาลิ้นหมามีกลิ่นหอม ถึงแม้จะตัวเป็นๆก็สามารถดึงดูดมันได้ แต่ฉินสือโอวไม่ให้มันกิน เมื่อฉงต้าเห็นด้านหลังยังมีปูราชินีด้วยจึงรีบวิ่งไปดู วิเคราะห์ว่าของสิ่งนี้ต้องกินอย่างไร
ปูราชินีเหล่านี้แต่ละตัวต่างก็มีน้ำหนักมากกว่าสิบกว่าชั่ง(ห้ากิโลกรัมกว่า)ทั้งนั้น หนึ่งในนั้นยังมีปูรุ่นคุณปู่สองตัวที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางลำตัวถึงสี่สิบเซนติเมตรอยู่ด้วย ปูคุณปู่สองตัวนี้น้ำหนักตัวอย่างน้อยต้องมียี่สิบชั่ง(สิบกิโลกรัม) ก้ามปูหน้ามีความยาวถึงหกสิบเซนติเมตรได้ แลดูเหมือนกับพวกมันถือกรรไกรยักษ์ไว้สองอันอย่างไรอย่างนั้น
ฉงต้ากะพริบตาวิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง มันไม่เคยเห็นปูมาก่อนจึงไม่รู้ว่าต้องกินอย่างไร เลยใช้กรงเล็บแหย่ไปมาไม่หยุด
ฉินสือโอวไม่ได้มัดเชือกไว้แน่นมาก พอฉงต้าแหย่ซ้ายทีขวาที ไม่นานก็แหย่จนเชือกที่มัดตัวปูไว้หลุดออก
เมื่อกลับเป็นอิสรภาพแล้ว ปูตัวใหญ่นั้นก็ไม่ได้รู้สึกขอบคุณผู้มีพระคุณตัวนี้ ก้ามที่ใหญ่ยักษ์นั้นเล็งไปที่อุ้งเท้าของฉงต้า แล้วหนีบลงไปอย่างสุดแรง
ฉินสือโอวไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เขาเพิ่งเดินไปถึงหน้าประตูบ้านพัก ก็ได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดทรมานของหมี อย่างกับโดนใครมาตัดอวัยวะในร่างกาย!
หู่จือกับเป้าจือหายใจหอบๆวิ่งเข้าไป แต่เบื้องหน้าคือปูใหญ่ที่เหมือนมีเกราะป้องกันทั่วตัวอย่างนี้ พวกมันสองตัวก็จนปัญญา อยู่ต่อหน้าเจ้าตัวใหญ่สองตัวนี้พวกมันก็เปรียบเหมือนตุ๊กตาหมาน้อย หากว่าโดนก้ามของปูราชินีพวกนี้หนีบคอ คาดว่าก็คงคอขาดคาที่
ดังนั้น หู่จือและเป้าจือจึงทำได้เพียงเห่า ‘โฮ่งโฮ่ง’แล้ววิ่งไปมาอยู่รอบๆ ส่วนฉงต้านั้นก็ยังร้องครางดังขึ้นเรื่อยๆ ทั้งวิลและพวกคนงานต่างก็ตกใจ รีบวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อเผชิญหน้ากับปูราชินีที่ยังคงเหลือก้ามอยู่อีกข้างหนึ่ง ทำให้ใครก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร มีเพียงฉินสือโอวที่ตั้งสติได้ วิ่งเข้ามาดึงฉงต้าเข้าไปในน้ำ จากนั้นใช้จิตสำนึกโพไซดอนบังคับปูใหญ่ให้คลายก้ามออก ทำให้ช่วยฉงต้าไว้ได้
“ใครให้ทำตัวเอง NO ทำ NO DIEไม่รู้หรือไง?” ฉินสือโอวลากฉงต้าขึ้นมาต่อว่าอย่างรุนแรง
ฉงต้าชูอุ้งเท้าอ้วนๆนั้นแล้วได้แต่ร้องคราง’อาว อาว’ ฉินสือโอวเห็นตามองมันที่ตกใจจนแทบจะถลนออกมาแล้ว ก็รู้ว่ามันคงเจ็บมาก เขาทนเห็นมันเจ็บไม่ได้ จึงอุ้มมัน แล้วกดอุ้งมือมันไว้ในน้ำทะเลถ่ายเทจิตสำนึกโพไซดอนเพื่อรักษาแผลให้
ปูราชินีที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางลำตัวหกสิบเซนติเมตร แรงของก้ามที่ใหญ่ขนาดนั้นก็คงไม่ด้อยกว่ามีดบนแทนตัดกระดาษ ขนาดว่าฉงต้าที่ว่ามีหนังหนาเนื้อแน่นแล้ว แต่ก็ยังทำให้มีเลือดออกตรงอุ้งเท้ายังได้ เลือดที่เมื่อกี้ยังไหลออกมาเป็นทาง ดีที่ได้พลังโพไซดอนช่วยไว้ ทำให้เลือดหยุดไหลและแผลปิดได้อย่างรวดเร็ว
คราวนี้ ฉงต้าที่คลายความเจ็บลงบ้างแล้ว ก็คลานขึ้นชายหาดอย่างทุลักทุเล ทรุดนั่งลงตรงนั้น อุ้มเท้าที่เจ็บแล้วร้องไห้ออกมา
หมีร้องไห้ ฉินสือโอวเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก น้ำตาของมันใสมาก และไหลลงมาราวกับน้ำตาวัว
“เด็กน้อยผู้น่าสงสาร ดูเงาหลังมันสิ ดูโดดเดี่ยวเสียจริง” วิลพูดพลางถอนหายใจ
ฉินสือโอวทั้งรู้สึกโกรธตลกและเจ็บปวดไปพร้อมกัน จึงกลับไปที่บ้านพักหยิบน้ำเชื่อมจากต้นสนที่เก็บไว้ก่อนหน้านี้ นำไปทำสลัดแอปเปิ้ลกับสาลี่ แล้วเอาไปที่ชายหาดป้อนให้ฉงต้า
ฉงต้าก้มหน้าก้มตาหลั่งน้ำตา ฉินสือโอวเดินมามันก็ไม่หันไปมอง คงจะอายกับการกระทำตัวเอง
ฉินสือโอวใช้มือส่ายหัวของมันไปมา ยัดแอปเปิ้ลที่ราดไปด้วยน้ำเชื่อมเข้าไปในปากฉงต้า ฉงต้าถุยออกมา อารมณ์ไม่ดีจึงทำให้มันไม่อยากอาหาร แต่เมื่อขยับปากดู ก็รู้สึกถึงน้ำเชื่อมแสนอร่อยที่ราดอยู่บนแอปเปิ้ล จึงเก็บแอปเปิ้ลที่ตกลงบนพื้นยัดเข้าปากอีกครั้ง
คราวนี้ ฉินสือโอวพลางป้อนพลางปลอบใจมันอยู่ข้างๆ ฉงต้ากินอย่างดีใจ จนในที่สุดก็ลืมเรื่องที่อุ้งเท้าบาดเจ็บ สุดท้ายก็มุดหน้าเข้าไปในชามแล้วเริ่มกินอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา
หู่จือและเป้าจือที่อยู่ข้างๆใช้ลิ้นที่อ่อนนุ่มนั้นเลียริมฝีปากไม่หยุด คราวนี้พวกมันสองตัวก็ทำตัวดีๆเสียที คิดว่าคงเป็นเพราะเสียงกรีดร้องของฉงต้าทำให้พวกมันตกใจไม่น้อย
ช่วงบ่าย ฉินสือโอวซื้อพิซซ่าและแฮมเบอร์เกอร์จากในเมืองมาให้คนงานกิน จากนั้นพูดกับวิลว่า “ค่ำนี้บอกกับพวกคนงานนะ ว่าอยู่กินอาหารทะเลด้วยกัน มาลิ้มรสปลาลิ้นหมาและปูหิมะจากฟาร์มปลาผมกัน นอกจากนั้นยังมีอาหารอื่นอีกนะ อาหารดีรสเลิศเช่นกัน”
ตอนเย็นชิ้นปลาเฉาฮื้อและปลาคาร์ฟที่เขาหมักไว้ได้ที่แล้ว จึงเตรียมเครื่องปรุงและเตาย่าง จากนั้นนำอุปกรณ์ตกปลาขึ้นเรือไปด้วย ออกไปหาปลากับชาร์ค
พลังโพไซดอนนั้นมีพลังมหาศาล ถึงแม้คุณภาพน้ำและอุณหภูมิน้ำของฟาร์มปลานิวฟันแลนด์ไม่เหมาะให้ปะการังเติบโต แต่พืดหินปะการังของฉินสือโอว บัดนี้กลับเติบโตและขยายพื้นที่ไปใหญ่ถึงสิบเอเคอร์แล้ว
ภายใต้การกระตุ้นของพลังโพไซดอน โพลิปแตกหน่อเติบโตอย่างรวดเร็วอย่างกับได้รับปุ๋ยเร่งการเติบโต พวกมันไม่หยุดที่จะขยายขอบเขตของแนวปะการังออกไปเรื่อยๆ คิดถึงครั้งแรกที่ฉินสือโอวมาพบที่แห่งนี้มีขนาดเพียงไม่กี่ตารางเมตรเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับมีขนาดใหญ่ถึงยี่สิบกว่าเอเคอร์แล้ว นี่ถือว่าเป็นความสำเร็จในครั้งประวัติศาสตร์ทีเดียว
การเติบโตของปลาที่อาศัยตามปะการังก็เร็วกว่าปลาในฟาร์มปลามาก ทั้งฝูงปลาค็อด ปลาในหินปะการังล้วนเป็นปลาขนาดใหญ่กว่าครึ่งเมตรทั้งนั้น แต่ลูกปลาค็อดในฟาร์มปลานั้น ตัวใหญ่สุดกลับมีขนาดเพียงสิบกว่าเซนติเมตรเท่านั้น
ฉินสือโอวไม่อยากให้คนรู้ว่าเขามีพลังวิเศษ ดังนั้นเมื่อเขาหย่อนเบ็ดลงไป จึงไม่ได้ใช้พลังบังคับให้ปลามาติดกับ
กลับเป็นนักตกปลามือฉบังอย่างชาร์ค ที่หย่อยเบ็ดลงไปเพียงไม่นาน ทุ่นลอยก็เริ่มมีปฏิกิริยา เขาปล่อยเชือกตกปลาออกไปไกลตัว ประมาณสี่สิบกว่าเมตรจึงเริ่มเก็บเชือกเข้ามา สุดท้ายเมื่อดึงเบ็ดขึ้นมา ก็มีปลาเทราต์สายรุ้งขนาดสี่สิบเซนติเมตรติดขึ้นมาด้วย
ปลาเทราต์สีรุ้งเต็มไปพลัง ถึงแม้จะตอนดึงเบ็ดขึ้นมาทำให้หมดแรงแล้ว แต่ก็ยังไม่หยุดสะบัดหางไปมาเพื่อหาทางหนี
ชาร์คเมื่อมองเห็นปลาเทราต์สีรุ้งก็ชะงักไปทันที จากนั้นขณะที่ฉินสือโอวไม่ทันสังเกตุ เขาก็รีบเอาตะขอออกแล้วโยนปลากลับลงไปในทะเล
“เฮ้ย ชาร์ค ทำอะไรน่ะ?” ฉินสือโอวถาม “คืนนี้ถ้ามีเมนูปลาเทราต์สายรุ้งเพิ่มมาด้วยก็ยิ่งดีขึ้นไปอีกไม่ใช่เหรอ?”
ชาร์คพูดด้วยท่าทีร้อนรน “บอส คุณรู้ไหมว่านั่นคืออะไร? นั่นน่ะคือปลาเทราต์สายรุ้ง! นั่นน่ะคือปลาชั้นเลิศ ฟาร์มปลาบนเกาะแฟร์เวลของเรา ไม่ได้เห็นปลาเทราต์สายรุ้งที่ตัวใหญ่ขนาดนี้มาหลายปีแล้ว! กินพวกมันไม่ได้ ต้องให้พวกมันขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์ในฟาร์มปลาแห่งนี้!”
วิกฤตขาดแคลนปลาค็อดของฟาร์มปลานิวฟันแลนด์ได้มอบบทเรียนล้ำค่าให้กับพวกชาวประมง ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้ว่าต้องระมัดระวังเรื่องการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนของมหาสมุทรและการคุ้มครองธุรกิจหาปลานี้ด้วย
แต่ว่า บทเรียนครั้งนี้ค่อนข้างสาหัส เนื่องจากในปี 1992 รัฐบาลแคนาดาประกาศปิดฟาร์มปลาสาธาราณะนิวฟันแลนด์ ทำให้บริษัทที่ทำธุรกิจปลาล้มละลายไปกว่าสี่พันกว่าเจ้า และทำให้ชาวประมงกว่าสี่แสนกว่าคนต้องเสียอาชีพในการทำมาหากิน! แถมรัฐบาลยังต้องจ่ายเงินกว่าสี่ร้อยล้านดอลลาร์แคนาดาเป็นค่าชดเชยให้กับชาวประมงด้วย!
ฉินสือโอวยักไหล่ เขาไม่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกที่ชาวประมงเก่าแก่มีให้กับฟาร์มปลาได้ ชาร์คคิดมาตลอดว่าฟาร์มปลาแห่งนี้หมดหวังไปนานแล้ว มาวันนี้เมื่อได้เห็นปลาเทราต์สีรุ้งกลับมาที่ฟาร์มปลาแห่งนี้ ในใจก็ดีใจเหมือนกับหมาวัดที่ชนะใจดอกฟ้าได้แล้ว นี่หมายความว่าอะไรล่ะ? หมายความว่าฟาร์มปลามีความหวังแล้ว!
จากนั้น ชาร์คก็ตกได้ปลากะพงลายจุดตัวใหญ่อีกหนึ่งตัว ปลาประเภทนี้ตะกละมาก แต่ก็นะ มีปลากะพงตัวไหนบ้างที่ไม่ตะกละ?
ปลากะพงลายจุดตัวใหญ่ตัวนี้หนักถึงห้าชั่ง(สองกิโลกรัมครึ่ง) ชาร์คหัวเราะพูดว่า “ได้อาหารเพิ่มมาอีกจาน”
ฉินสือโอวพยักหน้าพร้อมหัวเราะ เขาเริ่มเอาจริงแล้ว เมื่อทุ่นลอยน้ำกระตุกไปพักหนึ่ง สงครามอันยืดเยื้อได้เริ่มขึ้นแล้ว!
เพราะเป็นปลาค็อดความยาวขนาดครึ่งเมตร ฉินสือโอวไม่สามารถดึงมันขึ้นมาได้ทันที ทั้งต้องหย่อนสายรอกเบ็ดกับดึงเชือกไปมา ต้องใช้เวลาห้าถึงหกนาที ถึงจะสามารถดึงปลาค็อดที่ยาวครึ่งเมตรขึ้นมาได้
ปลาค็อดส่ายหางอย่างไม่พอใจที่โดนตกขึ้นมา ลำตัวเรียวยาวส่องแสงสีเงินเป็นประกายภายใต้แสงอาทิตย์ เหงือกกระพือไปมา ดวงตาเป็นสีดำเงาแวววาว ชาร์คมองปลาตัวใหญ่ตัวนี้ มุมปากค่อยๆเปิดกว้าง
“ปลาค็อดที่โตเต็มที่แล้ว! เยี่ยมไปเลย เป็นปลาค็อดที่ตัวโตเต็มที่!” ชาร์คพูดอย่างดีอกดีใจ “ฟาร์มปลาของเรายังมีปลาค็อดที่โตเต็มที่แบบนี้ด้วย เยี่ยมไปเลยจริงๆ ไม่เสียแรงที่ฟาร์มปลาต้าฉินของเราเป็นฟาร์มปลาที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งบนเกาะแฟร์เวล ที่นี่เต็มไปด้วยทรัพยากรทางทะเลเลย!”
ตีให้ตายเขาก็ไม่กล้าเชื่อ ว่าปลาที่ใหญ่ครึ่งเมตรตัวนี้เป็นลูกปลาที่เลี้ยงไว้เมื่อสองเดือนก่อน เขาคิดว่าปลาตัวนี้คงเป็นปลาที่หลงเหลือมาจากฟาร์มปลาในสมัยก่อน
ถึงแม้ว่าฟาร์มปลานิวฟันแลนด์จะเสียหายไปหมดแล้ว แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าในฟาร์มปลาจะไม่มีปลาเลย ความจริงแล้ว ปลาค็อดที่ผลิตจากฟาร์มปลานิวฟันแลนด์แห่งนี้ถือว่ามีจำนวนมากจนน่าพอใจทีเดียว เพียงแค่หากเทียบกับยุคที่เศรษฐกิจรุ่งเรืองแล้ว ยังคงห่างชั้นกันอีกไกล
อยู่บนทะเลกันมาชั่วโมงกว่าแล้ว ฉินสือโอวยังตกปลาค็อดตัวใหญ่ขึ้นมาได้อีกตัว จากนั้นยังมีปลากะพง ปลาแฮร์ริ่ง ปลาซาบะ ส่วนชาร์คนั้นใช้ปล้องไม้ไผ่จับได้ปลาไหลทะเลได้ห้าตัว เท่านี้ก็ได้เวลากลับไปฟาร์มปลา เตรียมทำอาหารเย็น
………………………………………………
บทที่ 93 เจ้าของฟาร์มปลาที่ใจกว้าง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปลาลิ้นหมาและปูราชินีคือเมนูหลักของวันนี้
ปลาลิ้นหมาสองตัว ฉินสือโอวนำไปทำปลาราดน้ำมันตัวหนึ่ง หลังจากทำความสะอาดปลาแล้วเขาผ่าหลังปลาเป็นบั้งๆแล้วใส่ต้นหอมกับขิงแผ่นเพื่อกำจัดกลิ่นคาว แน่นอน ต้องใส่เหล้าปรุงอาหารและพริกไทยป่นด้วย
ทางนี้หมักปลาไว้ อีกทางก็ใช้หม้อนึ่งต้มน้ำให้เดือด จากนั้นก็วางปลาไว้ในหม้อนึ่ง ใช้ไฟแรงนึ่งไว้สิบนาที จากนั้นก็นำปลาออกมาเทน้ำออกให้หมด แล้วเอาหอมขิงและกระเทียมที่ยัดไว้ก่อนหน้าออกมา นำปลาวางไว้บนจานใหญ่
ขณะที่ปลายังร้อนอยู่ ฉินสือโอวก็นำต้นหอมซอยและผักชีโรยไว้บนตัวปลา จากนั้นก็ใช้ซอสที่ทำจากซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู น้ำมันหอยและซอสถั่วเหลืองสำหรับนึ่งปลาเทลงบนตัวปลา เท่านี้อาหารจานนี้ก็พร้อมเสิร์ฟแล้ว
ปลาลิ้นหมาราดน้ำมันจานนี้ เรียกได้อีกอย่างว่าปลาลิ้นหมานึ่ง เพราะเป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุด เนื่องจากเนื้อปลาของปลาประเภทนี้สดใหม่เป็นพิเศษ การนึ่งเป็นวิธีที่จะรักษารสชาติที่สดใหม่ของเนื้อปลาได้ดีที่สุด การราดน้ำมันจะเป็นการเพิ่มความหอม เพียงแค่นี้ก็จะได้เมนูปลาที่รสชาติยอดเยี่ยมออกมาแล้ว
อีกตัวหนึ่งนำไปทำปลาเผา ก่อนหน้าที่จะนำมาเผานั้น ต้องทาน้ำมันมะกอกบนตัวปลาก่อน ทำแบบนี้จะสามารถล็อกน้ำในเนื้อปลาไว้ได้ ระหว่างเผาก็ต้องทางน้ำมันบนตัวปลาเรื่อยๆ แบบนี้สุดท้ายเมื่อเผาออกมาเนื้อปลาก็จะมีสีขาวเหมือนหิมะอีกด้วย
ชาร์คคือนักเผาปลามือฉมัง ปลาลิ้นหมาในมือเขาถูกพลิกไปมาอย่างรวดเร็ว สุดท้ายเมื่อวางอยู่บนโต๊ะ ใช้มีดผ่าออกเนื้อปลาที่ได้นั้นทั้งขาวทั้งนุ่มเหมือนเต้าหู้ตั้งแต่ข้างในไปข้างนอกเลย
“ฝีมือดีมาก เพื่อนฝูง!” วิลและชาร์คปรบมือชื่นชม
การก่อสร้างท่าเรือถือเป็นงานใหญ่ วิลพาคนงานมาด้วย รวมๆแล้วมีถึงหกสิบคน ฉินสือโอวให้พวกเขาอยู่ต่อทั้งหมด แต่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะให้มีอาหารเหมือนโต๊ะของเขาทุกโต๊ะ
เขาจึงสั่งอาหารจากร้านคุณลุงฮิคสัน ตาแก่คนนั้นช่วยงานเขาจนยุ่งตลอดช่วงค่ำ บนชายหาดตั้งโต๊ะทั้งหมดหกโต๊ะ มีเนื้อย่างชิ้นโต เบียร์ขวดใหญ่ พวกคนงานดื่มด่ำกับเบียร์เย็นชื่นใจและอาหารทะเลรสเลิศพร้อมกับลมทะเลที่พัดโชยมา สุขกายสบายใจจนหาที่เปรียบมิได้
ถึงแม้จะมีปลาลิ้นหมาเพียงสองตัว แต่ว่าปูราชินีนั้นมีจำนวนเพียงพอ ปูตัวละสิบกว่าชั่ง(ห้ากิโลกรัมกว่า)วางอยู่โต๊ะละตัวทุกโต๊ะ พอปูนึ่งสีแดงฉานเสิร์ฟขึ้นโต๊ะเท่านั้น ก็มีเสียงโห่ร้องดีใจขึ้นมาทันที
ปูราชินีไม่ใช่ของที่มีขายกันตามข้างทาง เพียงฟังชื่อก็รู้แล้วว่าราคาไม่ถูกแน่นอน ปูราชินีขนาดตัวละสิบกว่าชั่ง(ห้ากิโลกรัม)นั้นราคาอย่างน้อยก็ต้องร้อยกว่าถึงร้อยห้าสิบเหรียญ
สำหรับปลาลิ้นหมา ราคาจะยิ่งสูงกว่า ปลาตัวใหญ่แบบนี้แม้แต่ในตลาดขายอาหารทะเลก็ขายกันอยู่ที่ชั่ง(ห้าร้อยกรัม)ละสามสิบดอลลาร์แคนาดา
โต๊ะของฉินสือโอวมีเขา สามผู้ช่วยมือดีของเขา และเออร์บักร่วมด้วย จากนั้นก็มีวิลและหัวหน้างานก่อสร้างอีกห้าคน แน่นอน ฉงต้า หู่จือ เป้าจือต่างก็นั่งอยู่ข้างฉินสือโอว ท่าทางเรียบร้อย อย่างกับเด็กสามคน
นอกจากฉินสือโอวกับเออร์บักแล้ว ที่เหลือต่างก็มีแก้วเบียร์เย็นกันคนละแก้ว ฮิวจ์ส่งถังเบียร์มาให้อีกสิบถัง นี่เท่ากับว่ามีเบียร์ถึงห้าร้อยชั่ง(สองร้อยห้าสิบกิโลกรัม)เลยทีเดียว
ใกล้จะได้เวลาอาหารแล้ว วิลยืนขึ้นมาตะโกนพูดว่า “พี่น้องทั้งหลาย เงียบกันหน่อย ให้ฉินกล่าวอะไรกับเราสักสองสามคำ! พวกเราต้องขอบคุณเขา เขาให้งานชิ้นใหญ่กับเรา แล้วยังเลี้ยงอาหารทะเลมื้อใหญ่ให้เราได้ลิ้มรสอีก!”
“ฉิน ขอบคุณครับ!” เหล่าคนงานพูดออกมาอย่างจริงใจ การก่อสร้างท่าเรือต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน เท่ากับว่าเดือนนี้พวกเขาสามารถรับเงินเดือนเต็มเดือนกับโบนัสแล้ว ในช่วงที่เศรษฐกิจแคนาดาตกต่ำ นี่ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ฉินสือโอวยกแก้วเหล้าลุกขึ้นยืน ทำท่าคารวะเหล้าไปรอบด้าน จากนั้นพูดเสียงดังว่า “สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็คือ เพื่อนฝูง เริ่มกินได้! เพื่อนฝูงทั้งหลาย เริ่มกิน เริ่มดื่ม! กินอย่างมีความสุข ดื่มอย่างมีความสุข!”
เหล่าคนงานหัวเราะขึ้นมา พูดพร้อมกันว่า “ใช่ กินอย่างมีความสุข ดื่มอย่างมีความสุข!”
หลังจากนั่งลง ฉินสือโอวลองฉีกเนื้อปลาลิ้นหมาย่างมาชิมก่อนชิ้นหนึ่ง เขาเคยได้ยินกิตติศัพท์ของปลาชนิดนี้ตั้งแต่อยู่ในจีนแล้ว ในจีนต่างเรียกมันว่าปลาขุมทรัพย์ เพราะราคาแพงหูฉี่ เขาเพียงแค่เคยได้ยินแต่ไม่เคยได้ลอง ในที่สุดตอนนี้ก็ได้ลองแล้ว
ไม่เสียแรงที่ได้ชื่อว่า’ปลาตัวแบนที่อร่อยที่สุด’ ปลาลิ้นหมาเผาตัวนี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เพียงได้กัดชิมเนื้อปลา ก็มีรสชาติที่หอมหวานของน้ำจากเนื้อปลาทะลักออกมา รสชาติที่หอมหวานเฉพาะตัวของอาหารทะเลระเบิดออกในปาก เพิ่มความอยากอาหารของคนขึ้นมาได้ในพริบตา
“ผมจะลองชิมปลาค็อดของฟาร์มปลาเราดู” ชาร์คพูดพร้อมหัวเราะ เขาใช้ช้อนส้อมผ่าออก จากนั้นนำเขาปากเคี้ยวสองสามที สักพักก็เบิกตาโต ยังไม่ทันได้กลืนเนื้อปลาลงไป เขาก็พูดกับฉินสือโอวว่า “บอส รีบชิมเร็ว พระเจ้า ผมยังไม่เคยกินปลาค็อดที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน!”
ฉินสือโอวนึกว่าเขาหมายถึงว่าปลาจากฟาร์มปลาของตัวเองยังไงก็อร่อย จึงตัดมาชิ้นหนึ่งนำเข้าปาก พยักหน้าแล้วพูดว่า “อร่อยจริงๆด้วย….”
ขณะพูดอยู่ไปด้วยเคี้ยวเนื้อปลาไปด้วย ทันใดนั้นฉินสือโอวรุ้สึกถึงความแตกต่าง ตั้งแต่มาถึงเกาะแฟร์เวลเขากินปลาค็อดไปก็ไม่น้อย เนื้อปลาของปลาค็อดความจริงจะค่อนข้างฝาด นี่คือจุดด้อยของปลาตัวใหญ่ทั้งหลาย
ถ้าหากว่าปลาตัวใหญ่ก็สามารถเนื้อนุ่มเหมือนเต้าหู้แล้วล่ะก็ งั้นคงขายราคานี้ไม่ได้แล้ว ทำไมปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือถึงขายได้ราคากิโลกรัมละหนึ่งพันดอลลาร์สหรัฐ? ก็เพราะว่าเนื้อของมันนุ่มที่สุดไม่ใช่เหรอ?
แต่ตอนนี้ฉินสือโอวที่กำลังกินเนื้อปลาค็อด เขารู้สึกว่าเนื้อปลานี้ทั้งอร่อยทั้งนุ่มจริงๆ เพียงเคี้ยวเบาๆไม่กี่ทีเนื้อปลาก็เหนียวแล้ว ทั้งยังรสชาติหอม ไม่มีกลิ่นคาวปลา
อีกอย่าง เนื้อปลานี้ยังเก็บรสชาติได้ง่ายอีก เมนูนี้คือปลาค็อดทอด หลังทอดได้บีบน้ำมะนาวลงไปนิดหน่อย กลายเป็นน้ำมะนาวนั้นได้เข้าไปถึงชั้นในของเนื้อปลาได้ ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้?” ฉินสือโอวถามพลางขมวดคิ้ว เขาเดาสาเหตุได้แล้ว ก็คือหลังปลาค็อดพวกนี้ได้รับพลังโพไซดอน พลังได้เปลี่ยนให้เนื้อปลาเนียนนุ่มขึ้น เท่ากับว่าปลาตัวนี้ได้กลายพันธุ์ไปแล้ว
ซีมอนสเตอร์ เออร์บักและนีลเซ็นเห็นว่าท่าทางของทั้งสองคนไม่เหมือนแกล้งทำ ต่างก็ทยอยยื่นช้อนส้อมไปที่เมนูที่มีปลาค็อดอยู่ตรงหน้าตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นปลาค็อดย่าง นึ่งหรือตุ๋น หลังทั้งสามคนได้ลองแล้วต่างก็มีสีหน้าแสดงออกถึงความแปลกใจอย่างคาดไม่ถึง
“ผมไม่เคยกินปลาค็อดที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย เพื่อนฝูง ไม่เคยเลย!” นีลเซ็นพูดด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ
ซีมอนสเตอร์พยักหน้ารัวๆ เออร์บักกลับเหมือนกำลังตกอยู่ในช่วงหวนนึกความทรงจำเก่าๆ จากนั้นเขาปรายตามองไปยังฉินสือโอวด้วยสายตาที่มีความหมายลึกซึ้ง “นี่อาจจะเกี่ยวกับฝีมือของคนทำอาหาร เมื่อก่อนผมเคยกินปลาค็อดฝีมือคุณฉินหงเต๋อ ก็อร่อยเลิศรสแบบนี้!”
เขากำลังบอกฉินสือโอว ว่าเมื่อก่อนตอนคุณปู่ของเขาดูแลฟาร์มปลา ปลาค็อดก็มีรสชาติแบบนี้เหมือนกัน
แต่ว่า เห็นได้ชัดว่าตาแก่คงไม่ได้นำปลากลายพันธุ์นี้ออกวางตลาด นี่คือลักษณะนิสัยของคนจีนรุ่นก่อน มีของดีต้องเก็บไว้กับตัว ห้ามให้คนอื่นรู้เด็ดขาด
วิลที่หลังจากไปลิ้มรสแล้วก็ยกนิ้วโป้งรัวๆ ชื่นชมฉินสือโอวว่า “ฉิน ผมกล้าพนันเลยว่า ถ้าคุณไม่ใช่เจ้าของฟาร์มปลาแต่ไปเปิดร้านอาหารแทน งั้นร้านอาหารของคุณต้องเป็นร้านที่ดีที่สุดในนิวฟันแลนด์แน่นอน! ลุกค้าคุณคงแน่นทะลักจนร้านคุณพังแน่นอน!”
ฉินสือโอวหัวเราะอย่างเจียมตัว แล้วเก็บความลับไว้กับตัวเลียนแบบคุณปู่ของเขา จากนั้นก็ดูแลทุกคนต่อ “กินๆๆ ดื่มๆๆ ไม่ต้องสนว่าอร่อยหรือไม่อร่อย ขอแค่ทุกคนชอบก็พอ กินให้เต็มที่เลย!”
แม้ปากจะพูดไปอย่างนั้น แต่ฉินสือโอวเริ่มคิด ถ้าปลาค็อดนี้กลายพันธุ์แล้ว รสชาติจะอร่อยขนาดนี้ งั้นคงไม่สามารถเอามาขายเหมือนปลาทั่วไปได้
อีกอย่าง ปลาในฟาร์มปลาส่วนมากต่างก็ได้รับพลังจากโพไซดอนทั้งนั้น ต่างกันที่ได้รับมากน้อยแค่นั้น ดูท่าว่าปลาค็อดที่มาจากฟาร์มปลาของเขาคงจะเนื้อนุ่มอร่อยกว่าตัวที่มาจากฟาร์มปลาอื่น อย่างนั้นเขาน่าจะทำการเสนอสินค้า ติดต่อไปยังภัตตาคารชื่อดังของทั้งยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีและจีนเพื่อเสนอสินค้าของเขา
ฉินสือโอวแบ่งหัวปลาค็อดสองตัวนั้นให้ฉงต้าหนึ่งหัว อีกหัวแบ่งครึ่งให้หู่จือกับเป้าจือ
ฉงต้าที่หยิบหัวปลามาอ้าปากกว้างและเริ่มแทะ ‘งั่มงั่ม’ มันไม่กลัวก้างปลาทิ่มปากด้วยซ้ำ แน่นอน ผนังปากของหมีนั้นหนามาก แม้จะกินดิบๆ ก็ไม่ต้องกลัวก้างปลาจะทิ่มโดน
หู่จือกับเป้าจือกินอย่างระมัดระวัง ถึงแม้ว่าหัวปลาค็อดนั้นจะอร่อยมากจนหาที่เปรียบไม่ได้ แต่เจ้าสองตัวนี้ก็ยังค่อยๆแทะทีละคำ เมื่อก่อนพวกมันเคยก้างติดคอมาแล้ว เมื่อได้รับบทเรียนแล้วจึงทำให้พวกมันมีประสบการณ์
พระอาทิตย์กำลังตกดินแล้ว ผืนน้ำของฟาร์มปลาถูกเปลี่ยนให้เป็นสีแดงอมส้ม ฉินสือโอวเริ่มเมามองไปยังน่านน้ำที่เงียบสงบ ในใจสงบเป็นพิเศษ เหมือนว่าจิตวิญญาณได้รับการชำระล้างแล้ว
วิลนั่งอยู่ข้างๆพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอิจฉาว่า “ฉิน ที่ที่คุณอยู่เหมือนกับสวนเอเดนอย่างไงอย่างงั้น คุณและเพื่อนๆของคุณต่างก็ไม่สนใจเรื่องวุ่นวายภายนอก ไม่ต้องกังวลเรื่องราคาขึ้นลงของค่าที่ ไม่ต้องกังวลว่าพรุ่งนี้ราคาสินค้าจะเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า ชีวิตแบบนี้ช่างน่าอิจฉาจริงๆ”
ฉินสือโอวพูดพร้อมหัวเราะว่า “ใช่ ผมรู้สึกพอใจมากกับชีวิตในตอนนี้ เมื่อก่อนตอนผมอยู่ที่จีน เพื่อที่จะมีชีวิตรอดต้องไปเบียดกันบนรถประจำทาง ต้องรีบไปหมดแม้กระทั่งตอนกินข้าวกับตอนนอน ตอนนั้นชีวิตก็เหมือนสู้รบ ใช้ชีวิตก็เพียงเพื่อให้มีชีวิตรอด ไม่มีความสุขเลยสักนิด”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นมาใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงหน้าไทม์ไลน์QQ จากนั้นเขียนคำพูดกำกับไว้ประโยคหนึ่งว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เมื่อหันหน้าเข้าทะเล จะมีความสุขดั่งดอกไม้บานในฤดูใบไม้ผลิ!
…………………………………
บทที่ 94 หอยทากทะเล
โดย
Ink Stone_Fantasy
เข้าตรู่ตอนหกโมง ฉินสือโอวที่หลับสนิทลืมตาตื่นขึ้นมา เขาเอามือลูบหน้า หาวแล้วลุกขึ้นมาจากเตียง ยื่นมือผลักหน้าต่างบนหัวเตียงออก เพียงครู่เดียว ก็มีลมทะเลบริสุทธิ์พัดเข้ามา
ลมทะเลในหน้าร้อนทั้งอบอุ่นและชุ่มชื่น โดนพัดเพียงทีเดียว ฉินสือโอวก็ตื่นทันที
ใต้ลำตัวคือฟูกที่อ่อนนุ่ม ผ้าห่มคือผ้าห่มผ้าไนลอนบางเบา ใต้ขามีสุนัขอยู่สองตัว ด้านข้างยังมีหมีสีน้ำตาลเงอะงะนอนอยู่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าจะมีชีวิตแบบนี้
แต่ว่า ฉินสือโอวถอนหายใจ บนเตียงของเขายังขาดคนอีกคนข้างกาย ทั้งเตียงมีมนุษย์เพียงคนเดียวคือตัวเขาเองช่างไม่สบอารมณ์จริงๆ
เขาอยากลิ้มรสความรู้สึกที่โอบกอดภรรยาแล้วนอน นั่นต้องเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมแน่นอน น่าเสียดายตอนนี้สิ่งเดียวที่กอดได้คือหมอนข้างเท่านั้น
หมีสีน้ำตาลตัวน้อยหูดีมาก ฉินสือโอวเพิ่งลุกออกจากเตียง มันก็สะลึมสะลือลืมตาขึ้นมา ‘ฮึบ’ พลิกตัวลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เดินโซเซไปที่หัวเตียง ยื่นอุ้งมือไปหาฉินสือโอวขอให้อุ้ม
ฉินสือโอวเกี่ยวหนังต้นคอของมัน ออกแรงดึงมันขึ้นมา
เมื่อนั่งอยู่บนเตียง ฉงต้าที่ได้ลองสัมผัสความนุ่มสบายของฟูก พอออกแรงขยับตูดไปมา เตียงก็ขยับไปมาตาม มันเหมือนกับได้ค้นพบเกมใหม่ ดวงตาคู่เล็กนั้นเบิกโพลงจนกลมโต ต่อด้วยขยับก้นและเขย่าอย่างแรง
ขณะเขย่าเตียงอย่างสนุกสนาน ฉงต้าหันหน้าไปทางฉินสือโอวแล้วร้อง ‘อูอู’ขึ้นมา เวลานี้เสี่ยวหมิงที่กระโดดเข้ามาจากทางหน้าต่าง เมื่อเห็นฉงต้าราชาในป่าใหญ่แล้ว ก็ตกใจ จนชูหางขึ้นมาในฉับพลัน จ้องมองมันอย่างระมัดระวัง
แต่ทว่าฉงต้ากลับไม่ไยดีเจ้าตัวเล็กนี้ ตอนที่เสี่ยวหมิงกระโดดเข้ามามันปรายตามองครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลับมาตั้งหน้าตั้งตาเขย่าเตียงต่อไป
ฉินสือโอวใส่เสื้อเสร็จก็กระโดดลงจากเตียง เขากวักมือเรียกฉงต้า แต่มันกำลังเล่นอย่างเมาส์มัน ดูท่าความนุ่มเด้งของเตียงคงจะถูกใจมันเข้าแล้ว มันไม่ได้ตามฉินสือโอวลงไปข้างล่าง ตัวมันเหมือนกำลังเล่นแทรมโพลีนก็ไม่ปานเขย่าไปมาไม่หยุด
ฉินสือโอวแบกเสี่ยวหมิงไว้บนไหล่ ตามหลังด้วยหู่จือและเป้าจือ แล้วออกไปวิ่งรอบฟาร์มปลา
บนท่าเรือมีรถยก เครื่องขุดเจาะและเครื่องตอกเสาเข็มจอดอยู่ หินทรายบล็อกจำนวนมากเพิ่งถูกเทลงมาจากเรือขนส่งเมื่อวานนี้ เพราะวางกองกันไว้ที่ชายหาดทำให้ดูเกะกะไม่เป็นระเบียบ แต่ว่าหากไม่ทำลายของเก่า จะสร้างของใหม่ขึ้นมาได้อย่างไร ครั้งหน้าหลังทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ฟาร์มปลาก็จะมีท่าเรือที่ใหญ่โตถึงสองท่าแล้ว
ฉินสือโอววิ่งอยู่ข้างหน้า ข้างหลังมีแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์สองตัววิ่งตามอยู่ ตอนนี้พวกมันสามารถวิ่งตามทันฉินสือโอวแล้ว หูใบใหญ่สะบัดไปมา วิ่งไปไม่หยุด บางทียังสามารถวิ่งนำหน้าฉินสือโอวด้วยซ้ำ
เวลานี้ แสงสีทองของพระอาทิตย์ยามเช้าได้สาดส่องไปที่พื้นดิน และส่องไปยังขนสีทองของแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ แลดูเหมือนมีแสงกำลังไหลผ่านไป ภาพที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างอากาศยามเช้าและพลังชีวิตนั้น ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกได้ถึงความมั่นใจในการใช้ชีวิต
ต่อจากวิ่งเสร็จก็คือเตรียมอาหารเช้า ฉงต้าที่เล่นจนหนำใจแล้ว นั่งรออยู่หน้าประตู เมื่อเห็นฉินสือโอวกลับมาก็ดีใจจนโผเข้าไปหา กอดขาของเขาไว้วิ่งไปมา จากนั้นก็ขบฟันแน่น เป็นการขอของกินนั่นเอง
ฉินสือโอวเห็นว่า ปลาทอดและปลาเผาที่เหลือจากเมื่อคืนยังไม่ได้โยนทิ้ง เขานำเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟจากนั้นก็ป้อนให้ฉงต้ากิน ต่อด้วยปิ้งขนมปัง คู่กับนมและน้ำผลไม้ เท่านี้อาหารเช้าก็เสร็จแล้ว
เสี่ยวหมิงยังคงดื่มด่ำกับการกินผลไม้เป็นอาหารเช้าเหมือนอย่างเคย หู่จือและเป้าจือกินขนมปังในซุปปลา หนึ่งคนหนึ่งกระรอกหนึ่งหมีและสองสุนัข ต่างกินอาหารเช้าอย่างสงบ
เก้าโมงเช้า งานก่อสร้างท่าเรือเริ่มงานแล้ว ฉินสือโอวที่ไม่ได้ขี่เจ็ทสกีออกทะเลหลายวันแล้ว จึงขึ้นขี่เจ็ทสกีขับออกทะเลไป
นกนางนวลบินโฉบผิวน้ำเพื่อหาอาหาร หากจับได้ปลาเล็กสักตัว พวกมันก็จะสยายปีกทั้งสองข้างบินขึ้นฟ้าทันที ส่วนนกนางนวลที่หาอาหารไม่ได้นั้นจะส่งเสียงร้องเสียงแหลมแล้วบินอยู่บนผิวน้ำต่อ
สิ่งที่ฉินสือโอวต้องทำคือสำรวจฟาร์มปลา นี่คือหน้าที่ของเจ้าของฟาร์มปลาทุกคนที่ต้องทำทุกวัน เพราะตอนนี้ฟาร์มปลาสาธารณะนั้นขาดแคลนทรัพยากรอย่างมาก บางคนจึงมีความคิดที่จะมุ่งเป้าไปที่ฟาร์มปลาส่วนบุคคลแทน
คนแคนาดาไม่ใช่ทุกคนที่จะนิสัยดี เรื่องขโมยปลาที่เลี้ยงไว้ในฟาร์มปลาส่วนบุคคล ก็มีให้พบเห็นบ่อยครั้ง นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฉินสือโอวไปซื้อปืนมาเก็บไว้
ตอนนี้ฉินสือโอวคุ้นเคยกับการขับเทพเจ้าสายฟ้ามืดแล้ว จึงเร่งความเร็วตามอำเภอใจ จนความเร็วทะลุถึงหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง ลมทะเลพัดโชกมากระทบหน้า แต่เขาสวมแว่นกันลมไว้จึงไม่กลัวลม แล้วเร่งความเร็วขึ้นไปอีก
เมื่อได้ยินเสียงอันอึกทึกของเจ็ทสกี บอลหิมะที่ประสาทสัมผัสไวก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำ มันในตอนนี้มีขนาดยาวถึงสองเมตรแล้ว สามารถเรียกได้เต็มปากว่าเป็นวาฬขาวขนาดใหญ่ปานกลาง โดดเด่นทั้งความเร็วและความแรง ถึงขนาดว่ายตามฉินสือโอวทันไปครู่หนึ่ง
เมื่อฉินสือโอวเห็นเจ้าบอลหิมะก็หยุดเจ็ทสกี เขาลูบไปที่หัวอันกลมมนและลื่นของมันอย่างอ่อนโยน ปล่อยพลังโพไซดอนออกไปจับปลาค็อดขนาดสามสิบกว่าเซนติเมตรได้ตัวหนึ่ง จึงนำขึ้นมาป้อนให้เจ้าบอลหิมะ
“เด็กดี มาเถอะ พวกเราออกไปสำรวจมหาสมุทรนี้ด้วยกัน” ฉินสือโอวค่อยๆเพิ่มความเร็ว บอลหิมะที่เมื่อได้กินปลาค็อดแล้วก็ร้องส่งเสียงด้วยความดีใจ ดำหัวลงน้ำแล้วว่ายตามไปอยู่ข้างหลัง
เจ็ทสกีโต้ลมโต้คลื่นอยู่บนผิวน้ำทะเล มีปลาวาฬขาวตัวน้อยตัวหนึ่งว่ายอยู่ข้างๆอารักขาอยู่ ในใจฉินสือโอวก็เกิดความคิดพิเรนขึ้นมา เขาอยากใช้พลังโพไซดอนเรียกทั้งปลาทูน่าครีบเหลืองและปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือออกมา แล้วออกผจญภัยในมหาสมุทรพร้อมปลาใหญ่ทั้งสามตัว
แต่ว่าพลังโพไซดอนกลับหาเจอเพียงปลาทูน่าครีบเหลืองเท่านั้น เจ้าตัวนี้กำลังแหวกว่ายไปมาอย่างรวดเร็ว พูดถึงปลาประเภทนี้พวกมันก็สุดยอดจริงๆ นอกจากมีพลังที่เหลือล้นแล้วยังชอบดำน้ำลึกด้วยความเร็วสูงอีก ไม่แปลกที่ราคาจะแพง มันจับยากนี่นา
เมื่อเจอปลาทูน่าครีบเหลืองแล้วก็ไปหาปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือต่อ ปลาชนิดนี้ก็ชอบลงสู่ทะเลลึก แต่ถ้าเทียบกับปลาทูน่าครีบเหลืองแล้วปลาชนิดนี้จะขี้เกียจกว่ามาก มันหมอบอยู่ในเหวในทะเลลึก มีสะบัดตัวไปมาบ้างบางครั้ง เหมือนกับกำลังนอนหลับอยู่
ฉินสือโอวเจอตัวมันแล้วก็ใช้พลังโพไซดอนบังคับให้มันว่ายมาหา แต่พอพลังโพไซดอนแผ่คลุมไปตัวมันเท่านั้น เขาถึงรู้ว่าเจ้าปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือตัวนี้กำลังล่าเหยื่ออยู่
สถานที่ที่ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนืออยู่นั้นคือร่องน้ำเล็กๆแห่งหนึ่ง ที่มีความยาวเพียงแค่พันกว่าเมตร ความกว้างและความลึกประมาณสองเมตรเท่านั้น ข้างในมีหอยกาบอาศัยอยู่ไม่น้อย ซึ่งหอยชนิดนี้ก็คือหนึ่งในอาหารของปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือเช่นกัน
ในบรรดาหอยกาบพวกนี้ ฉินสือโอวเห็นหอยทากทะเลตัวใหญ่ตัวหนึ่ง มีเส้นผ่านศูนย์กลางลำตัวยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกเซนติเมตร และมีความสูงถึงสี่สิบเซนติเมตร มองไปเหมือนกับเจดีย์ทรงยอดปรางค์
เป็นสิ่งที่หายากจริงๆ ปากของเปลือกหอยทากทะเลประเภทนี้มีรอยแตกเล็กๆอยู่ เปลือกนอกมีสีเหลืองอ่อนคั่นไว้ด้วยลายสีแดงเข้ม ดูเหมือนลูกไฟที่กำลังลุกโชน พอมองออกไป หอยทากทะเลตัวนี้แลดูเหมือนโมเดลลูกภูเขาไฟ
เมื่อเห็นหอยทากทะเลตัวนี้ ในใจฉินสือโอวเต้นรัวไปครู่หนึ่ง พับผ่าสิ เจ้าตัวนี้ก็คือEntemnotrochus rumphiiในตำนานไม่ใช่หรือ?
Entemnotrochus rumphii หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Slit-shell หมายความว่าทากที่มีรอยแยก และปากเปลือกของหอยตัวนี้ก็มีรอยแยกเป็นทรงกลม นอกนั้นเมื่อดูจากรูปลักษณ์ภายนอกและสีสันอันฉูดฉาดของเปลือกแล้ว ช่างเหมือนกับทากEntemnotrochus rumphii ที่ฉินสือโอวรู้จักนัก
ฉินสือโอวยังไม่เคยเห็นทาก Entemnotrochus rumphii ของจริงมาก่อน ความจริงแล้วตลอดชีวิตของคน กว่าร้อยละเก้าสิบเก้าก็ยังไม่เคยเห็นรูปร่างที่แท้จริงของหอยทากทะเลมาก่อน พวกมันมีค่ามากมาย มีจำนวนน้อย ยิ่งกว่านั้นแม้จะถูกพบก็พบเพียงแค่เปลือกของมันเท่านั้น จากนั้นก็ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา
นี่คือหอยทากทะเลที่มีค่ามาก คุณค่าของมันไม่เพียงอยู่ที่ความสวยงามและความหายาก แต่อยู่ที่คุณค่าทางวิชาการสำหรับการวิเคราะห์วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเก่าแก่มากกว่า
เหล่านักชีววิทยานำหอยทาก Entemnotrochus rumphii สต๊าฟและฟอสซิลที่ถูกค้นพบที่เก็บไว้ในพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยาในเมืองร็อตเตอร์ดัมประเทศเนเธอร์แลนด์มาเปรียบเทียบกัน พบว่าพวกมันยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะผ่านมาแล้ว5. 7ร้อยล้านปีแล้ว ถึงขั้นถูกเรียกให้เป็น’ฟอสซิลที่มีชีวิต’ในบรรดาสัตว์ประเภทมีเปลือกทั้งหมด
ในปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ต่อมหาสมุทรก็มากขึ้นตาม แต่ว่าร่องรอยของหอยทาก Entemnotrochus rumphii ก็ยังหายากตลอดมา
จนถึงปัจจุบัน ทั่วทั้งโลกกลับพบเห็นหอยชนิดนี้เพียงแค่สามร้อยกว่าตัวเท่านั้น แถมยังพบเพียงแค่เปลือกหอย หอยตัวเป็นๆที่โชคดีพบเจอ สุดท้ายก็ตายไปอย่างน่าเสียดาย
ตอนนี้ ฉินสือโอวกลับไปพบกับหอยEntemnotrochus rumphiiตัวเป็นๆ แถมเจ้าตัวนี้ยังเป็นตัวที่มีขนาดใหญ่มหึมาด้วย
หอยทาก Entemnotrochus rumphii อาศัยอยู่ใต้ท้องทะเลลึก กินฟองน้ำและสาหร่ายทะเลเป็นอาหาร เหตุผลที่มนุษย์มักพบแต่เปลือกของหอยทากทะเลชนิดนี้ก็เพราะเนื้อของมันหอมหวานอร่อยเป็นพิเศษ อย่างปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือตัวนี้ก็จ้องจะกินเนื้อมันอยู่เหมือนกัน
ฉินสือโอวใช้พลังบังคับให้ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนืออ้าปากกว้างแล้วอมหอยตัวนี้ไว้ในปาก จากนั้นก็สะบัดหางว่ายกลับพืดหินปะการังไปฝากหอยไว้ที่นั่น ส่วนเขานั้นไม่สำรวจฟาร์มปลาแล้ว เร่งความเร็วของเจ็ทสกีแล้วขับกลับไปบ้านทันที
ปลาทูน่าครีบเหลืองที่เพิ่งว่ายกลับมา ครีบหลังของมันโผล่ขึ้นบนผิวน้ำแล้วว่ายมาด้วยความเร็วสูง สงสัยจะอยากว่ายเลียนแบบฉลาม แต่อย่าว่างั้นงี้ มองผิวเผินแล้วก็เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามเหมือนกัน
มันว่ายไปข้างๆฉินสือโอวเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ฉินสือโอวในตอนนี้จะสนใจมันเหรอ? ถีบขาออกไปให้มันกลับลงไปใต้ท้องทะเล จากนั้นก็ขับเจ็ทสกีต่ออย่างเร่งรีบ
บอลหิมะนั้นค่อนข้างฉลาด เมื่อเห็นฉินสือโอวรีบกลับ ก็ไปหาที่เล่นใหม่เอง มันเห็นว่าปลาทูน่าครีบเหลืองน่าจะเป็นเพื่อนเล่นที่ดี จึงว่ายตามไปอยู่ข้างหลัง ปลาทูน่าครีบเหลืองที่ไม่รู้อะไรก็ได้แต่ว่ายหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
……………………………………………….
บทที่ 95 เพียงแค่โตแล้วเท่านั้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
กลับถึงบ้านพัก ฉินสือโอวรีบเปิดอินเทอร์เน็ตค้นหาข้อมูลของหอยทาก Entemnotrochus rumphii ดูจากรูปภาพของหอยทาก Entemnotrochus rumphii ที่มีการค้นพบก่อนหน้านี้ หอยตัวใหญ่ที่เขาให้ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือส่งไปที่พืดหินปะการังก็คือหอยชนิดนี้ไม่ผิดแน่นอน
อีกอย่าง จากข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ถึงปัจจุบันหอยทาก Entemnotrochus rumphii ขนาดใหญ่ที่สุดที่ถูกค้นพบนั้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางคือ22มิลลิเมตร แต่ตัวที่เขาเห็นมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึงยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกมิลลิเมตร ถือเป็นบันทึกใหม่ในประวัติศาสตร์ แน่นอนว่าต้องมีค่ามาก
สิ่งที่มีค่ามากถึงมากที่สุดก็คือ หอย Entemnotrochus rumphii ที่เขาค้นพบนั้นยังมีชีวิตอยู่ มันอาจจะมีตกใจสุดขีดบ้างที่ถูกปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนืออมไว้ในปาก นอกเหนือจากนี้ก็ถือว่าไม่มีปัญหาถึงชีวิตอันใด
ฉินสือโอวรีบแผ่พลังโพไซดอนให้กับหอยตัวนั้น เมื่อมันได้รับพลังแล้ว ก็สงบลงทันที พอมันโผล่หัวออกจากเปลือกมามองไปรอบๆ ก็พบว่าพืดหินปะการังรอบตัวนั้นกลับเต็มไปด้วยสาหร่ายทะเล มันดีใจขึ้นมากะทันหัน แล้วเริ่มคลานไปกินใบอ่อนสาหร่ายทะเลอย่างกับหอยทาก
เท่านี้ ฉินสือโอวก็วางใจได้ จากการค้นคว้าของเขา หอยทากทะเลชนิดนี้มีค่ามหาศาล คนไต้หวันเรียกพวกมันว่า ‘ทากเศรษฐีเงินล้าน’ หมายความว่าหากชาวประมงคนไหนสามารถหาหอยทากชนิดนี้พบ ก็สามารถกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านได้ในพริบตานั่นเอง
ในท้องตลาดไม่มีการตั้งราคาของหอยทาก Entemnotrochus rumphii ชนิดนี้ เพราะหาซื้อไม่ได้ ประวัติการซื้อขายล่าสุดของหอยชนิดนี้คือปี 2006 เป็นการซื้อขายของพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติในไมอามีสหรัฐอเมริกาที่ซื้อหอยชนิดนี้มาจากนักสะสมของคนหนึ่ง เป็นเปลือกหอยทากที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางสิบหกมิลลิเมตร ซื้อมาในราคา 8 หมื่นเหรียญดอลลาห์สหรัฐ!
เห็นได้ชัดเจนว่า หอยทาก Entemnotrochus rumphii ตัวเป็นๆที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง25มิลลิเมตรนั้น จะมีราคาเท่าไร? ถ้าบอกว่าเป็นราคาสูงเท่าฟ้า ก็ไม่ถือว่าเกินไป
“ตัวนำโชคจริงๆ” ฉินสือโอวพูดถึงปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือด้วยเสียงทอดถอนใจ หากไม่ใช่ความตระกละของเจ้าตัวนี้ ตัวเขาก็ไม่คงไม่มีวันได้เจอหอยทากตัวนี้ ว่าแล้วก็แผ่พลังโพไซดอนไปให้กับปลาทูน่าน้อยใหญ่ทั้งหลาย เพื่อเป็นรางวัลด้วย
นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ฉินสือโอวไม่มีอะไรทำจึงเข้าอินเทอร์เน็ต เปิดQQ รูปโปรไฟล์ของเพื่อนสมัยเรียนหลายคนก็เริ่มสั่นดุ๊กดิ๊กไปมา ของเหมาเหว่ยหลงสั่นถี่กว่าใครเพื่อน
“ฉินโซ่ว วันหยุดของฉันออกแล้วนะ วันเด็กจะบินไปหานายที่นั่น ถึงตอนนั้นจะไปฉลองวันเด็กกับนายแล้วกัน”
วันเด็กตรงกับวันที่หนึ่งเดือนมิถุนายน มีเวลาเหลือเพียงอาทิตย์เดียวแล้ว
นอกนั้นก็ยังมีเพื่อนสมัยมัธยมปลายอีกคน ชื่อหลีเหล่ย หมอนี่ทักมาทีไรก็สักแต่ยืมเงิน ถึงแม้จะไม่ได้ขอยืมตรงๆ แต่อ่านจากที่เขาพูดว่าตอนนี้ชีวิตของเขาไม่ค่อยราบรื่น ก่อนหน้านี้ได้ลาออกจากงาน ทำให้ไม่มีเงินใช้แล้ว เมื่อได้ยินว่าฉินสือโอวมีฐานะแล้ว จึงอยากขอเงินมาประทังชีวิตก่อน
เมื่อเห็นข้อความนี้แล้ว ฉินสือโอวส่ายหัวทันที เขาไม่ให้ยืมเงินหรอก ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนตระหนี่ ความจริงสำหรับเขาในตอนนี้เงินก็เป็นเพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น แถมมีพลังโพไซดอนติดตัวอยู่แบบนี้ เขาจะเงินขาดมือได้อย่างไร?
ทั่วทั้งมหาสมุทรก็คือโกดังของเขา ปลาทูน่าครีบเหลือง ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือ ยังมีหอยทาก Entemnotrochus rumphii ที่เขาเพิ่งค้นพบอีก ปลาพวกนี้ต่างก็มีค่าทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นในห้องนอนของเขายังมีตราประทับที่เรียกได้ว่าเป็นสมบัติแห่งชาติอยู่ด้วยอีก
แต่ว่าเขาในตอนนี้ไม่ควรให้ใครยืมเงิน ขอแค่ให้คนหนึ่งยืม หลังจากข่าวกระจายออกไปแล้ว ทางเขาต้องลำบากอย่างแน่นอน เพราะชีวิตเพื่อนนักเรียนของเขาต่างก็ไม่ได้ราบรื่นนัก ประเทศจีนตอนนี้ค่าที่แพง ค่าของก็แพง ใครบ้างที่จะเงินไม่ขาดมือ? ถึงตอนนั้นทุกคนต่างก็มายืมเงินกับเขา เขาจะทำอย่างไร?
ให้ยืมเหรอ? หากให้ยืมทุกคน ตัวเขาก็ไม่ใช่มูลนิธิการกุศล แต่หากไม่ให้ยืม อย่างงั้นคงต้องบาดหมางกันแน่!
ฉินสือโอวจำใจตัดใจไม่ช่วยเหลือหลีเหล่ย สมัยมัธยมปลายความสัมพันธ์พวกเขาค่อนข้างดี หลีเหล่ยโตมาโดยในครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว และเพราะอยู่บ้านนอกด้วยสถานะทางบ้านจึงไม่ค่อยดี
แต่ว่าเขาเป็นคนฉลาด สมัยอยู่มัธยมปลายผลการเรียนของเขาสูงพอๆกับฉินสือโอว เพราะทั้งสองมีอะไรหลายๆอย่างคล้ายกัน ทำให้ได้มาเป็นเพื่อนกัน
หวนนึกถึงเรื่องเก่าในสมัยเรียนมัธยมแล้ว ฉินสือโอวเริ่มใจอ่อนขึ้นมา จากมัธยมปลายจนถึงตอนนี้ เพื่อนที่ติดต่อกันได้ก็มีมากอยู่ แต่เพื่อนที่ยังคุยติดต่อกันบ้างนั้นกลับมีน้อยนัก
ในเวลานี้เอง ขณะที่เขากำลังเลื่อนดูไทม์ไลน์ของเพื่อนๆ อยู่นั้น ก็เห็นมีคนเขียนคำพูดหนึ่งลงไว้ในไทม์ไลน์ว่า
“ตอนเขาเก็บกวาดบ้านอยู่นั้นได้เจอกับทหารของเล่นมากมาย ทหารจิ๋วเหล่านั้นมีชีวิตขึ้นมา เอะอะโวยวายว่าจะไปทำสงครามเพื่อจะเอาเครื่องบิน เขาจึงพับกระดาษเครื่องบินให้หลายลำ พวกเขาดีใจมาก แล้วยื่นรูปมาอีกใบบอกว่าผู้บังคับบัญชาของเขาหายตัวไป คุณเก่งขนาดนี้ ช่วยพวกเขาด้วยเถอะ เขาชะงักไปครู่หนึ่ง บอกพวกเขาว่าผู้บังคับบัญชาของพวกเธอไม่กลับมาแล้ว ทหารจิ๋วทั้งหลายร้องไห้ ถามเขาว่า ผู้บังคับบัญชาสละชีพแล้วเหรอ? เขาตอบไปเสียงเบาว่า ไม่ใช่ เขาแค่โตแล้ว”
เขาแค่โตแล้ว ฉินสือโอวจ้องมองหน้าจอด้วยท่าทีจังงัง เสมือนมองเห็นใบหน้าของคนที่เป็นผู้ใหญ่ ใจเย็น เคร่งขรึมบนหน้าจอ ใบหน้านี้ไม่ได้น่ารังเกียจ แต่ว่าไม่หลงเหลือซึ่งความไร้เดียงสาและความไม่ยั้งคิด ทำให้เขารู้สึกไม่อยากยอมรับตัวเองขึ้นมา
ทันใดนั้น ฉินสือโอวรู้สึกเศร้าโศกในใจ เขาเอามือกุมหัวนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้ หู่จือเป้าจือที่เล่นกันอยู่ข้างๆเมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็รีบวิ่งเข้ามา เกาะเข่าเขาแล้วยืนขึ้น แล้วแลบลิ้นเลียไปที่ฝ่ามือเขาไปมา
“เด็กดี! เด็กดี! เด็กดี!” ฉินสือโอวกอดหัวเจ้าสองตัวนี้แล้วลูบไปที่ขนบนคอของพวกมัน หู่จือกับเป้าจือก็ใช้ลิ้นเลียไปที่หน้าของเขา ร้องเสียง ’หงิงๆ’อยู่ในลำคอ เสมือนกำลังปลอบใจเขาอยู่
ฉินสือโอวรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว เขาเห็นรูปโปรไฟล์เพื่อนสมัยมัธยมปลายคนหนึ่งขื่อสวีเจ๋อเหวินออนไลน์อยู่ จึงกดคลิกไปเพื่อทักทาย “พี่เหวิน ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
สวีเจ๋อเหวินตอบกลับมาอย่างรวดเร็วว่า “ฉินโซ่วนี่เอง เฮ้อ จะเป็นอย่างไรได้อีก แรงกดดันจากที่ทำงานเยอะ แรงกดดันจากชีวิตก็เยอะ จะไม่ไหวแล้ว! ได้ข่าวว่านายไปอยู่ที่แคนาดาเหรอ? ดูจากไทม์ไลน์นายกลายเป็นเศรษฐีแล้วนี่ เรื่องเป็นมาอย่างไร?”
“เศรษฐีอะไรกัน ก็แค่มาเรียนรู้วิธีเลี้ยงปลาจากคนที่นี่ ชีวิตฝรั่งก็อย่างนี้ ชอบสังสรรค์ จัดปาร์ตี้อะไรพวกนี้ ทำให้ดูเหมือนมีชีวิตที่ดี เอ้อ พี่กับหลีเหล่ยยังติดต่อกันอยู่ไหม?”
“หลีเหล่ยเหรอ? ไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว ปีที่แล้วไอ้หมอนี่มายืมเงินฉันห้าร้อยหยวนบอกว่าไม่มีเงินฉลองปีใหม่ จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ทำไมเหรอ? เขามายืมเงินกับนายใช่ไหม? ให้ตายสิ อย่าให้เขายืมเชียวนะ ไอ้หมอนี่ไม่สู้งาน หัวสูง คิดแต่อยากรวยทางลัด ได้ข่าวว่าตอนนี้ติดลอตเตอรี่หรืออะไรนี่แหละ ไว้ใจไม่ได้”
ฉินสือโอวฟังแล้ว รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ในสายตาของเขาหลีเหล่ยถือเป็นคนที่น่าจะประสบความสำเร็จที่สุดในบรรดาเพื่อนสมัยมัธยม เพราะบ้านฐานะยากจน เขาจึงเด็กที่วุฒิภาวะโตเกินวัย อีกอย่างหลีเหล่ยเป็นคนฉลาดมาก ฉลาดบวกกับลำบากก็ควรจะเท่ากับประสบความสำเร็จ
เสียดายที่เขามองคนผิดไป หลีเหล่ยกลับเป็นคนที่หนักไม่เอาเบาไม่สู้ไปเสียได้
จากที่สวีเจ๋อเหวินเล่า ฉินสือโอวเพิ่งได้รู้ว่าหลังจากหลีเหล่ยเรียนจบปริญญาตรีแล้วได้เปลี่ยนงานมากกว่าสิบบริษัทในเวลาสั้นๆเพียงสี่ปีเท่านั้น และไม่มีงานไหนที่เขาทำงานเกินครึ่งปีด้วย ส่วนมากก็จะลาออกหรือไม่ก็ถูกเชิญออกในช่วงทดลองงานหนึ่งถึงสองเดือน
หลังจากได้รู้เรื่องเหล่านี้แล้ว ฉินสือโอวลังเลอยู่พักหนึ่ง แล้วติดต่อไปหาเหมาเหว่ยหลง บอกวิธีการติดต่อหลีเหล่ยให้เขาแล้วบอกว่า “นี่คือเพื่อนสมัยมัธยมปลายของฉันคนหนึ่ง มาขอยืมเงินฉัน ฉันไม่สะดวกออกหน้า แกคิดหาวิธีส่งเงินให้เขาสักพันสองพันหยวนนะ”
เหมาเหว่ยหลงเข้าใจถึงสถานะของฉินสือโอวในตอนนี้ จึงพูดอย่างทันทีว่า “ได้ รอดูนะ พอฟ้าสางฉันตื่นนอนแล้วจะจัดการให้แกทันที”
“ที่นั่นยังเป็นตอนกลางคืนอยู่เหรอ?” ฉินสือโอวเพิ่งนึกขึ้นได้
“พับผ่าสิไอ้ฉินโซ่ว นี่แกเพิ่งรู้ว่าเวลาของพวกเรานั้นสลับกันอยู่หรือว่ายังไง? ให้ตายเถอะ ทางนี้กำลังหลับฝันดีฝันว่าได้แต่งหญิงอยู่เชียว แล้วแกก็มาทำให้โทรศัพท์ดังกริ๊งกร๊างขึ้นมา”
“กู้ดไนท์ ขอให้หลับฝันดี” ฉินสือโอวรู้สึกผิดรีบวางสาย ปฏิกิริยาเหมาเหว่ยหลงตอนแรกกับตอนหลังต่างกันมากไป จากประสบการณ์ของเขาหากยังฟังต่อไปเจ้าหมอนี่ต้องเปิดฉากด่าว่าไม่หยุดแน่
จัดการเรื่องนี้เสร็จ ในใจฉินสือโอวรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ก็เล่นเน็ตต่ออีก ผ่านไปสักพัก หู่จือและเป้าจือที่เล่นหยอกล้อกันอยู่ก็หูผึ่งแล้ววิ่งออกไปพร้อมกัน ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอันน่าตกใจของฉงต้าที่ดัง ‘อู้อู้’
ขณะที่ฉินสือโอวกำลังแปลกใจว่าใครมาหา ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กคนหนึ่งดังมาเข้าหูเขา
……………………………………………
บทที่ 96 เด็กเร่ร่อน
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอได้ยินทั้งเสียงหมีร้องกับเสียงกรีดร้องของเด็ก ฉินสือโอวใจหล่นตุ้บทีหนึ่ง เขารีบวิ่งพรวดออกไปนอกบ้านพัก ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องความทรงจำวัยเด็กแล้ว
มองออกไปนอกประตู ตรงประตูหน้าฟาร์มปลา ฉงต้าที่คลานอยู่บนพื้นยื่นคอออกไปร้องไม่หยุด หู่จือกับเป้าจือก็ร่วมวงเห่าอยู่ข้างๆ ก็เห็นเด็กกลุ่มหนึ่งขดอยู่ตรงมุมหลังประตูใหญ่
ฉินสือโอววิ่งออกไป พลางวิ่งพลางตะโกนออกไปว่า “ฉงต้า หู่จือ เป้าจือ มานี่ รีบมา!”
หู่จือกับเป้าจือเชื่อฟังมาก เมื่อได้ยินเขาตะโกนก็รีบหุบปากลงเปลี่ยนไปเลียปากแทน แล้วกระดิกหางไปมาเดินมาหาเขา แต่ฉงต้ากลับไม่สนใจคำพูดของเขา ยังคงส่งเสียงโฮกโฮกไปทางเด็กเหล่านั้นไม่หยุด
ช่วงนี้สงสัยฉงต้าคงจะเบื่อสุดขีด เพราะตั้งแต่มันมาอยู่ที่ฟาร์มปลาก็โดนรังแกตลอด โดนทั้งสุนัขแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์รังแก โดนวีลเซ็นกับพวกแหย่ และยังโดนปูหนีบจนร้องไห้ชุดใหญ่อีก ในที่สุดตอนนี้มันก็เจอกับเด็กๆที่กลัวมันแล้ว จึงถือโอกาสระบายอารมณ์อย่างสะใจ
ฉินสือโอววิ่งเข้าไป รีบลากฉงต้าออกมา ยังดีที่เขาแรงเยอะ หมีสีน้ำตาลน้ำหนักสี่ถึงห้าสิบชั่งสำหรับเขาแล้วก็เหมือนกระสอบข้าวหนึ่งกระสอบเท่านั้น แป๊บเดียวก็ลากมันออกมาได้
เมื่อจับฉงต้าได้แล้ว ฉินสือโอวก็ฟาดฝ่ามือไปที่ก้นของมัน ด่าว่า “เด็กดื้อ! แกมันเป็นเด็กดื้อ! ฉันเรียกแกอยู่แกไม่ได้ยินเหรอ?! ต่อไปจะกล้าขู่คนอีกไหม? ต่อไปจะไม่เชื่อฟังฉันอีกไหม? เชื่อหรือไม่เชื่อฟัง?!”
ยังไงฉงต้าก็เป็นคนกันเอง เขาเพียงอยากขู่มันเท่านั้น ไม่ได้ออกแรงตีมันมาก
แต่ว่าฉงต้าก็เหมือนเด็ก ขี้แยมากมาย โดนฉินสือโอวตีไม่กี่ทีก็กรีดเสียงร้องอู้อู้ขึ้นมา หากคนไม่รู้คงคิดว่าฉินสือโอวใช้มีดแทงไปที่ก้นมันเสียอีก
เมื่อสั่งสอนฉงต้าแล้ว ฉินสือโอวให้มันมาอยู่ข้างหลังแล้วมองไปที่หลังประตู มุมตรงหลังประตูนั้น มีเด็กอายุราวสิบขวบสี่คนกำลังยืนขดอยู่แล้วมองมาที่เขาอย่างตื่นกลัว เด็กผู้ชายสามคน เด็กผู้หญิงหนึ่งคน เสียงกรีดร้องที่ได้ยินก่อนหน้านี้ก็คือเสียงของเด็กผู้หญิงคนนี้
ในเด็กสี่คนนั้นมีสามคนเป็นเด็กผิวขาว คนโตที่สุดเป็นเด็กคนดำ พวกเขาขดตัวติดกันแล้วจ้องมาที่ฉินสือโอวอย่างตื่นตระหนก ทำให้ฉินสือโอวนึกถึงครั้งแรกที่ได้เจอหู่จือกับเป้าจือขึ้นมา
ฉินสือโอวรู้สึกไม่คุ้นหน้าเด็กสี่คนนี้มาก่อน เขาคงจะไม่เคยเห็นเด็กพวกนี้ในเมืองมาก่อนแน่ และก็คงไม่ใช่เพื่อนเล่นของชาร์คน้อย ไม่อย่างนั้นเขาคงรู้สึกคุ้นหน้าอยู่บ้าง
ขณะกำลังสงสัยอยู่นั้น เขาก็ถามว่า “ดี ทุกคน พวกเธอมาบ้านฉันมีอะไรหรือเปล่า? พวกเธอเป็นเด็กจากบ้านไหน?”
เด็กทั้งสี่คนไม่มีใครตอบ ยังคงขดตัวติดกันมองมาที่เขาอย่างตื่นตระหนก ฉินสือโอวตบไปที่ก้นของฉงต้า หันไปพยักหน้ากับหู่จือและเป้าจือ สุนัขแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์สองตัวจึงพาฉงต้าเดินกลับไปที่บ้านพัก
เห็นทีฉงต้าคงยังขู่พวกเด็กๆไม่หนำใจ ตอนเดินกลับไปก็ยังไม่วายหันมามองเป็นระยะ กะว่าจะอ้าปากร้องขู่ต่ออีก ฉินสือโอวจ้องตาเขม็งไปที่มัน มันถึงยอมเดินคอตกกลับไป
เมื่อหมีสีน้ำตาลและแลบราดอร์รีทรีฟเวอร์จากไปแล้ว ท่าทางของเด็กทั้งสี่คนก็เริ่มผ่อนคลาย ฉินสือโอวเดินยิ้มแล้วเดินเข้าไปหา ตาเหลือบไปเห็นที่ฝ่ามือของพวกเขาต่างก็ถูกย้อมไปด้วยน้ำสีดำและสีน้ำเงิน ครุ่นคิดในใจ เด็กสี่คนนี้น่าจะมาเด็ดบลูเบอร์รีและแบล็กเบอร์รีของเขากินแน่นอน
สองข้างทางของประตูใหญ่หน้าฟาร์มปลาเป็นสวนผัก ในนั้นมีปลูกไม้พุ่มเบอร์รีต่างๆและต้นผลไม้ ถึงแม้บนต้นผลไม้จะยังไม่ออกผล แต่ไม้พุ่มเบอร์รีนั้นเป็นต้นที่ชาร์คและซีมอนสเตอร์ตอนกิ่งมาจากไม้พุ่มที่โตแล้ว ทำให้เต็มไปด้วยผลบลูเบอร์รี แบล็กเบอร์รี โลแกนเบอร์รี ราสเบอร์รี และเชอร์รี
เด็กสี่คนนี้คงจะเข้ามาเด็ดผลเบอร์รีกิน แต่ดันมาเจอเข้ากับฉงต้าที่กำลังเล่นอยู่ข้างนอก ฉงต้าคงคิดว่าพวกเขาคือขโมย จึงต้อนเด็กสี่คนนี้ไว้ตรงหลังประตู
“พวกเธออยากกินสตรอว์เบอร์รีเหรอ? หรือว่าลูกเชอร์รี?” ฉินสือโอวเด็ดราสเบอร์รีออกมาจำนวนหนึ่งยื่นออกไป พูดว่า “ไม่เป็นไร ชอบก็เด็ดกินเถอะ อ้อ แล้วพวกเธอเป็นเด็กบ้านไหนกัน?”
เด็กทั้งสี่คนก้มหน้าไม่พูดไม่จา ฉินสือโอวเดินเข้าไปใกล้จึงพบว่า เด็กสี่คนนี้ต่างก็ใส่เสื้อเก่าขาดรุ่ย เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นประหลาด ก่อนหน้าเพราะยืนอยู่ไกล เขายังนึกว่าเด็กพวกนี้จงใจแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าๆเพราะแฟชั่นเสียอีก แต่มองจากที่เสื้อผ้าเต็มไปด้วยฝุ่นและคราบเปื้อนนั้น คงจะไม่ใช่หรอก
ชาร์คที่เก็บแหจับปลาอยู่ในโกดังก่อนหน้านี้ก็เดินออกมา เมื่อได้เห็นรูปร่างสูงใหญ่กำยำ หน้าตาดุดันของชาร์ค เด็กผู้หญิงที่กำลังยื่นมือไปหยิบผลเชอร์รีบนมือฉินสือโอวก็หดมือกลับไป เด็กคนดำที่โตหน่อยคิดจะพาพวกเขากลับไปอย่างเงียบๆ
ฉินสือโอวถามว่า “พวกเธอไม่กินผลไม้แล้วเหรอ?”
ชาร์คกวักมือให้ฉินสือโอว อธิบายว่า “ไม่ต้องสนใจพวกเขาหรอกครับ บอส พวกเขาไม่ใช่เด็กจากในเมือง น่าจะเป็นเด็กเร่ร่อน”
ฉินสือโอวรู้สึกงงกับคำพูดของเขา จึงถามอย่างแปลกใจว่า “เด็กเร่ร่อน นายหมายถึงว่า พวกเขาเป็นเด็กกำพร้าเหรอ? สวัสดิการของแคนาดาถือว่าดีไม่ใช่หรือไง? ทำไมสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่เข้ามาช่วยเหลือล่ะ?”
ชาร์คพูดอย่างห่อเหี่ยวใจว่า “สวัสดิการของรัฐก็มีการแบ่งแยกเหมือนกัน คนแก่และเด็กในหลายๆที่ต่างก็ไม่ได้รับการดูแลที่ดี โดยเฉพาะย่านคนยากจน ผู้คนที่นั่นไม่เสียภาษี ไม่จ่ายค่าประกัน ทางรัฐจึงไม่ดูแลครับ”
“เราไปเชื่อตามข่าวไม่ได้หรอกครับ ข่าวที่พวกเขาปล่อยออกมามีแต่คนโง่เท่านั้นครับที่ดู รัฐบาลก็เหมือนแก๊งนักเลงแหละครับ พวกเขาจะคุ้มครองก็แต่คนที่จ่ายค่าคุ้มครองเท่านั้น อีกอย่างคนหนุ่มสาวสมัยนี้ก็ใช้ชีวิตกันตามแต่ใจ ตอนอยู่ด้วยกันไม่รู้จักประหยัด พอมีลูกแล้วพวกเขาก็เลิกกัน เลยต้องทิ้งลูกๆไป ในแคนาดามีสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากี่ที่กันเชียว? ดูแลไม่หมดหรอกครับ”
คำพูดของชาร์คค่อนข้างเย็นชา ฉินสือโอวพูดว่า “รัฐบาลแคนาดาไม่ใช่สนับสนุนให้มีลูกหรอกเหรอ? เท่าที่ฉันรู้มา คลอดลูกที่นี่มีรางวัลให้ด้วยใช่ไหม?”
ชาร์คหัวเราะแล้วพูดว่า “คุณไปฟังใครพูดมั่วมาครับ? ไม่ครับ ไม่มีรางวัล แต่ว่าหากคนที่เสียภาษีอยู่แล้วคลอดลูกจะได้รับเงินประกันนิดหน่อย นั่นไม่ใช่รางวัลครับ เป็นสวัสดิการที่คนเสียภาษีควรจะได้อยู่แล้ว อีกอย่างได้สวัสดิการแค่นี้ก็ถือว่าดีแล้ว”
ฉินสือโอวส่ายมือ พูดว่า “แคนาดาเป็นถึงประเทศที่เจริญแล้ว แต่แค่เด็กกำพร้ากับคนแก่ยังดูแลไม่ได้ รัฐบาลยังจะมีหน้ากล้าพูดว่าตัวเองคือรัฐบาลที่ดีที่สุดในโลกได้อย่างไร?”
“สำหรับคนที่เสียภาษีแล้ว สวัสดิการที่รัฐให้ถือว่าดีใช้ได้แหละครับ แต่ว่าบอส คุณก็น่าจะรู้ ที่ที่มีแสงอาทิตย์ย่อมมีจุดที่แสงส่องไม่ถึงเสมอ รัฐบาลของแคนาดาและนิวฟันแลนด์ไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึงหรอกครับ” ชาร์คพูดแก้ต่างให้
บทสนทนาของเขาทั้งสอง ใช้สรรพนามว่า’รัฐบาลแคนาดา’ไม่ใช่’รัฐบาลของเรา’ เหตุผลก็เพราะฉินสือโอวไม่มีความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่เลย ส่วนทางด้านชาร์ค เขายิ่งไม่มีความรู้สึกนี้!
เรื่องนี้คงต้องโยงถึงปัญหาใหญ่ที่เกิดจากการรวมประเทศ นิวฟันแลนด์เป็นมณฑลสุดท้ายที่เข้าร่วมกับแคนาดา นอกจากนี้เหตุผลที่เข้าร่วมยังเป็นเพราะผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำหลังสงครามโลกครั้งที่สองทำให้จำต้องยอมเข้าร่วมในระบบสหพันธรัฐอย่างเลี่ยงไม่ได้อีก
เมื่อก่อนนั้น นิวฟันแลนด์ก็เหมือนกับแคนาดา ต่างก็เป็นสหพันธรัฐทั้งคู่ ในประวัติศาสตร์ยังมีบอกไว้ว่าทั้งสองประเทศยังเคยทำสงครามกันในเรื่องการล่าอาณานิคมกันอีกด้วย
ดังนั้น คนนิวฟันแลนด์จึงไม่ยอมรับรัฐบาลแคนาดามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่ฟาร์มปลานิวฟันแลนด์โดนรัฐบาลแคนาดาบังคับให้ปิดตัวลง ในปี1992ตอนที่รัฐบาลประกาศให้มีการปิดฟาร์มปลานั้น นิวฟันแลนด์เกือบจะก่อจลาจล ถ้าหากมีกองกำลังทหารอยู่ ไม่แน่ว่าตอนนั้นแคนาดาคงจะเกิดสงครามกลางเมืองแน่
เหมือนกับเท็กซัสในอเมริกา ประชากรชาวเท็กซัสก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนอเมริกาเช่นกัน
ฉินสือโอวและชาร์คคุยกันต่ออีกสักพัก หลักๆก็บ่นกันเรื่องความไร้ความสามารถของรัฐบาล ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ ว่ารัฐบาลทั่วโลกก็เหมือนกันหมด ทำเป็นหัวเราะเยาะคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน เหมือนดั่งทหารที่เดินถอยทัพไปห้าสิบก้าวแต่กลับหัวเราะเยาะเย้ยทหารที่ถอยทัพไปร้อยก้าว
เมื่อคุยกันจบฉินสือโอวกำลังจะเดินออกไป แต่พอหันหน้าไป ก็เห็นเด็กสี่คนนั้นยังอยู่กันหน้าประตู มองเขาอย่างตื่นกลัว
ชาร์คเดินจากไป ฉินสือโอวจึงเดินเข้าไปหาพวกเขา เด็กชายผิวดำที่ตัวโตหน่อยก้าวออกมา พูดกับเขาว่า “คุณครับ คุณดูเป็นคนดีคนหนึ่ง พระเจ้าคุ้มครองคนดีเสมอ! ขอถามหน่อยครับ บ้านคุณมีของกินไหมครับ? ขนมปัง เค้กหรืออะไรก็ได้ ขอให้พวกเราได้กินอะไรบ้างได้ไหมครับ?”
เด็กผมทองอีกคนพูดเสริมว่า “ให้พวกเราทำงานให้คุณแลกกับอาหารก็ได้ครับ”
ฉินสือโอวนำราสเบอร์รีแบ่งให้พวกเขา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องช่วยฉันทำงานก็ได้ การใช้แรงงานเด็กน่ะผิดกฎหมาย ฉันไม่อยากทำผิดกฎหมาย แต่ว่า ถ้าพวกเธอหิวก็เข้ามากินอะไรก่อนเถอะ มีขนมปัง และยังมีไส้กรอกปิ้งและปลาเผาด้วย”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้แล้ว เด็กทุกคนต่างหน้าแดงด้วยความดีใจ เด็กผมทองพูดว่า “ไม่กี่วันก่อนพวกผมไปทำงานให้กับโรงงานเคมีชุนเทียน เจ้าของโรงงานที่นู่นไม่กลัวเรื่องใช้แรงงานเด็ก อีกอย่างพวกผมทำงานพาร์ทไทม์เท่านั้น ไม่ผิดกฎหมายหรอกครับ”
ฉินสือโอวเลิกคิ้ว พับผ่าสิ โรงงานเคมีชุนเทียนกล้าแม้กระทั่งใช้แรงงานเด็กเลยเหรอ? ดีที่พวกเขายังรู้กาลเทศะยอมออกไปจากเมือง ไม่อย่างนั้นเขาต้องให้เออร์บักฟ้องจนต้องวิ่งหางจุกตูดออกไปเลยเชียว
ในทวีปอเมริกาเหนือ การใช้แรงงานผู้เยาว์ถือเป็นเรื่องที่หนักหนา สำหรับผู้ประกอบธุรกิจแล้วค่าปรับสูงกว่าห้าแสนเหรียญเลยทีเดียว!
แน่นอน ในเมืองปิดอย่างเกาะแฟร์เวลอย่างนี้ การใช้แรงงานผู้เยาว์นั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ขนาดนั้น เพราะว่าที่นี่อยู่ไกลจากผืนดินดังนั้นกฎหมายก็พัฒนาช้าตามไปด้วย ขอเพียงไม่มีคนฟ้องร้องก็ไม่ต้องเจอกับปัญหาทางกฎหมายอะไร
อย่างเช่นฉินสือโอว ตอนนี้เขาเองก็ยังไม่มีใบขับขี่ แต่ยังคงขับรถคาลดิลแลควันโฉบไปมาในเมืองได้อย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ ในเกาะแฟร์เวลไม่มีตำรวจจราจร ดังนั้นจึงไม่มีใครมาขอตรวจใบขับขี่กับเขา
หากเป็นเซนต์จอห์นหรือเมืองพื้นดินอื่นๆ อย่างฉินสือโอวที่ไม่มีใบขับขี่แล้วยังกล้าขับรถไปมาบนถนนแล้วล่ะก็ คงได้เข้าโรงพักกินข้าวแดงไปแล้ว
เมืองเล็กก็มีประโยชน์ของเมืองเล็กเช่นกัน ทั้งอิสระ จริงใจ เรียบง่าย แสงแดด สบาย…
……………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น