ท่านเทพมาแล้ว 85-88
ตอนที่ 85
เทพจากทิศใด!
โดย
Ink Stone_Romance
เขาถึงขนาดไม่มีความเคร่งเครียดมากด้วยซ้ำ
ตอนที่ราชาจิ้งจอกเร่งฝีเท้าเดินไปถึงด้านหน้า เขาก็เหลือบมองอีกฝ่าย จากนั้นโบกพัดในมือ พูดต่อว่า “เจ้าอยู่มาถึงสองแสนปี วันนี้แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น คิดว่าในใจเจ้าคงรู้อย่างชัดแจ้งดี ข้ามาเพื่อถามเจ้าประโยคเดียว หากข้ามีวิธีทำให้ลูกของเจ้าฟื้นขึ้นมา เจ้าจะทำคดีร่วมกันหรือไม่?”
ราชาจิ้งจอกสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไป ที่เขาตกใจไม่ใช่เพราะลู่ยารู้ว่าเขามีชีวิตอยู่มาสองแสนปี หรือเพราะฝ่ายนั้นพูดโอ้อวดว่าทำให้ลูกชายของเขาฟื้นคืนกลับมาได้ สิ่งที่เขาตกใจคือเห็นได้ชัดว่าลู่ยาเป็นแค่ซ่านเซียน แต่เวลาพูดคำพวกนี้ออกมากลับเหมือนอยู่มานานกว่าเขา ชาติตระกูลดีกว่าเขา กล้าหาญกว่าเขา…
“อ้อ?”
ลู่ยาไม่รอให้เขาตอบ ยกเปลือกตาขึ้น
ราชาจิ้งจอกตัวสั่น จะทำความเคารพเขาโดยไม่รู้ตัว ค้อมตัวไปได้ครึ่งทางก็คิดได้ว่าเจ้าเด็กคนนี้อาจจะเป็นหลีกุ่ย[1] จึงรีบยืดตัวตรงขึ้น ทำหน้านิ่งพูด “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมายื่นเงื่อนไขกับข้า?”
ลู่ยาไม่พูด คลี่พัดในมือออกมา นำเม็ดโอสถวิญญาณที่เหมือนก้อนหยกขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองวางลงบนโต๊ะ
“…จิตจิ้งจอก?” ราชาจิ้งจอกเห็นเข้า สีหน้าก็พลันเปลี่ยน “หรือนี่จะเป็นจิตจิ้งจอกของลูกชายข้า?!”
เขารีบหยิบมันไว้ในมือ เรียกพลังหยั่งรู้ขึ้นมา กลับขมวดคิ้ว “นี่ไม่ใช่!”
“ถึงแม้จะไม่ใช่จิตจิ้งจอกแต่เดิมของเขา แต่ก็เกิดขึ้นมาจากการรวมกันของพลังวิญญาณในฟ้าดิน ใช้มันเป็นจิตจิ้งจอกเรียกจิตต้นกำเนิดกลับมาได้ และสามารถยืนยันได้ว่าภายในสามปีเขาจะไม่ต่างจากคนปกติ”
ลู่ยารินชาด้วยตนเอง พูดไปพลางดื่มไปพลาง
ราชาจิ้งจอกตื่นตกใจจนไม่รู้จะพูดอะไรดี รีบคายจิตจิ้งจอกของตนเองออกมา วางไว้กลางอากาศกับจิตจิ้งจอกตรงหน้า
เห็นเพียงจิตจิ้งจอกสองลูก นอกจากขนาดเล็กใหญ่แล้ว ไม่ว่าระดับความแวววาวหรือความสะอาดบริสุทธิ์ของพลังก็ไม่แตกต่างกัน และสิ่งที่ยิ่งทำให้คนยากที่จะเชื่อคือ จิตจิ้งจอกใหญ่เล็กทั้งสองไม่มีวี่แววว่าจะต่อต้านกัน จิตจิ้งจอกใหญ่ลอยเคลื่อนไปทางไหน จิตจิ้งจอกเล็กก็ตามไปทางนั้น เหมือนกับสามารถรวมกันเป็นหนึ่ง!
หลอมรวมจิตจิ้งจอกแบบนี้ขึ้นมาได้ ต้องมีความสามารถไม่น้อยแน่!
“ไม่ทราบว่าที่แท้ท่านเป็นเทพจากทิศใด?”
ตอนนี้ราชาจิ้งจอกไม่อาจไม่ถามคำถามนี้อย่างจริงจังแล้ว
เจ้าเด็กตรงหน้าดูแล้วหน้าอ่อนเยาว์อย่างมาก ทำไมถึงสามารถหนีออกมาจากระฆังของเส่าชิง และยังรวบรวมพลังสร้างจิตจิ้งจอกใหญ่ขนาดนี้ได้? ไม่พูดถึงว่าต้องสูญเสียพลังมหาศาลในการรวมพลังลมปราณสร้างจิตจิ้งจอก ที่สำคัญคือต้องสร้างอย่างถูกต้อง และยังจะต้องมีพลังที่ทั้งสะอาดและบริสุทธิ์ด้วย ช่วงนี้เขาทดลองทำมาหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ
ทว่าคนผู้นี้ไม่พูดไม่จาก็สร้างจิตจิ้งจอกทดแทนให้ลูกชายเขา?
หากพูดว่าเป็นลู่ยาเต้าจู่ แบบนั้นคงไม่มีข้อสงสัยแม้แต่น้อยว่ามีความสามารถนี้อยู่ แต่ที่สำคัญคือลู่ยาไม่อาจวิ่งไปผสมโรงเรื่องนี้ที่สวรรค์ได้!
“หรือเจ้าจะเป็นไท่ซ่างเหล่าจวิน?!” ราชาจิ้งจอกตกใจกับการคาดเดาของตนเองเช่นกัน
ลู่ยานิ่งไปครู่หนึ่ง มองเขาอย่างล้ำลึก “ข้าแก่ขนาดนั้นหรือ?”
ราชาจิ้งจอกสำลักจนไร้คำพูด
“รับปากหรือไม่รับปาก ว่ามาประโยคเดียว”
ลู่ยายืนขึ้นมา เขาเกลียดที่สุดก็คือชักช้าร่ำไรแบบนี้
ราชาจิ้งจอกรีบครุ่นคิด เงียบไปครู่หนึ่งจึงพูด “ขอเพียงท่านสามารถเรียกจิตต้นกำเนิดของลูกชายข้ากลับมา คนแก่อย่างข้ารับปากทั้งหมด”
ลู่ยาเหลือบมองเขา “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
พูดจบก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาออกจากประตูหายตัวไปในความมืด
ราชาจิ้งจอกก็ไม่กล้าชักช้า รีบใช้คาถาส่งข้อความไปยังราชินีจิ้งจอกที่วังหลิง จากนั้นเก็บจิตจิ้งจอกแล้วตามไป
ราชินีจิ้งจอกรีบมารออยู่ที่ประตูวัง ไม่พูดมากความ สามคนมุ่งไปยังถ้ำหินที่คุ้นเคยอย่างรวดเร็ว
จิ้งจอกน้อยบนแท่นหยกยังคงหมอบอย่างสงบอยู่ใต้น้ำลายของคางคกทอง และระฆังม่วงอมทองก็ยังอยู่บนผิวน้ำของสระมรกต
ลู่ยามองระฆังทองคราหนึ่ง ก่อนเดินเข้าไปทิ่มแทงปลายนิ้ว หยดเลือดลงบนหว่างคิ้วจิ้งจอกน้อย หยดอีกหยดลงบนจิตจิ้งจอกที่หลอมมา จากนั้นนำจิตจิ้งจอกวางเข้าไปในปากของจิ้งจอกน้อยแล้วกระตุ้นพลัง ทั้งสี่ด้านมีเงาที่เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหายลอยเข้ามาอย่างช้าๆ ราวกับควันลอยอยู่กลางอากาศ สุดท้ายราวกับเจอทิศทาง จึงรวมตัวกันเป็นแสงสีขาวเข้าไปในร่างของจิ้งจอกน้อย
เปลือกตาของจิ้งจอกน้อยขยับ
ราชาจิ้งจอกใจเต้นระส่ำ พุ่งตรงเข้าไปใกล้เขา “รุ่ยเอ๋อร์!”
จิ้งจอกน้อยส่งเสียงแผ่วเบา จากนั้นยื่นอุ้งเท้าออกมา พยุงตัวช่วงบนขึ้นสะบัดขน ปากเอ่ยพึมพำ ก่อนจะนั่งคุกเข่าบนแท่นหยก ขยี้ดวงตาอันพร่าเลือนมองไปรอบด้าน สุดท้ายหยุดที่ร่างของราชาจิ้งจอก ฉับพลันสายตาก็ส่องประกายยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าเสียอีก “ท่านพ่อ! ท่านแม่…”
เสียงนี้เหมือนกับไข่มุกร่วงลงบนจานหยก กระจ่างใสไพเราะเหนือเสียงใดๆ บนโลกใบนี้!
“รุ่ยเอ๋อร์!”
ราชินีจิ้งจอกในที่สุดก็ทนไม่ได้ น้ำตาหลั่งริน ยื่นมือไปกอดเขาไว้แนบอก ราชาจิ้งจอกก็น้ำตาไหลเช่นกัน
ในระฆังทองไม่ขยับแม้แต่นิด เวลาผ่านไปแล้วกว่าครึ่งชั่วยาม
ยังดีที่เขตพลังที่ลู่ยาสร้างไว้ช่วยป้องกันเสียงอสูรถึงหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดได้ แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ ก็ยังสามารถเห็นพลังของระฆังทองร่วงลงบนเขตพลัง สาดแสงออกมาอย่างต่อเนื่อง
มู่จิ่วนั่งขัดสมาธิเช็ดกระบี่บนพื้น
ซ่างกวนสุ่นกลับไม่อารมณ์ดีแบบนี้ ครึ่งชั่วยามนี้เขาใช้วิถีทางนับไม่ถ้วนเพื่อออกไปแต่ก็ไม่สำเร็จ ตอนนี้เขาง้างกงเล็บเกาะบนผนังของระฆังไว้ เกาะไปพลางด่าไปพลาง หากมู่หรงเส่าชิงได้ยิน เดาว่าคืนนี้ต้องนอนไม่หลับอย่างแน่นอน
มู่จิ่วเชื่อมั่นในตัวลู่ยา อย่างน้อยเขาก็สามารถออกไปได้ เรื่องที่จะช่วยพวกเขาออกไปไม่ใช่เพียงคำพูด
ดังนั้นยามว่างขณะที่เช็ดกระบี่ นางจึงมีอารมณ์ดูซ่างกวนสุ่นบันดาลโทสะ
เห็นเขาหยิบลูกตุ้มดาวตกออกมา นางอดคิดถึงเรื่องหนึ่งไม่ได้ “ใช่แล้ว เจ้าเข้าไปที่หอวิหคแดงได้อย่างไร?”
นางยังไม่ลืมว่าตอนแรกที่เข้าไปในหอวิหคแดงนั้นเจอกับด่านตรวจมากมาย ถึงแม้ด่านตรวจเหล่านั้นจะมองไม่เห็น แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มี เจ้านกนี่ไม่อยู่ในทะเบียนเซียนของทัพทหารทว่ากลับเข้ามาได้ นี่ประหลาดเกินไป หากเขาเป็นนกต้าเผิงในตระกูลใหญ่สี่ทิศยังว่าไปอย่าง ประเด็นสำคัญคือพวกเขาโดนลบชื่อออกจากเผ่าพันธุ์ต้าเผิงไปแล้ว
“รอข้าออกไปได้ก่อนเถอะ ไม่ตีเจ้าจนฟันร่วงเต็มพื้นสิถึงจะแปลก!”
ซ่างกวนสุ่นด่าทอมู่หรงเส่าชิงอีกประโยคอย่างโกรธแค้น จึงค่อยหมุนตัวมาถลึงตาใส่มู่จิ่ว “แค่หอวิหคแดงนับเป็นอะไรได้? ข้าคือคนของตระกูลซ่างกวนแห่งเขาเนินอาราม ใครจะกล้าไม่ไว้หน้าข้า? ไม่ต้องพูดถึงหอวิหคแดงเลย แม้แต่วังหลังหลิงเซียวข้าก็ไปมาแล้ว! พวกเศษผงอย่างพวกเจ้าแม้แต่หัวแม่เท้าข้าก็เทียบไม่ได้!”
มู่จิ่วอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะเย้ย “เจ้ามีความสามารถขนาดนี้ ทำไมถึงยังถูกจับขังได้สามเดือน?”
ซ่างกวนสุ่นโกรธจนพูดไม่ออก กระโดดขึ้นมาชี้นาง “ข้าจะบอกเจ้าให้! ปากของเจ้าร้ายขนาดนี้ ต้องได้รับกรรมสนอง!”
มู่จิ่วยิ้มเยาะไม่หยุด
ซ่างกวนสุ่นหมดอารมณ์ นั่งลงพิงผนังระฆัง
ทางนี้เพิ่งจะนั่งลงไป ระฆังทองพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง จนแม้แต่ร่างกายก็ไม่สามารถรักษาความมั่นคงไว้ได้!
“เกิดอะไรขึ้น!”
เขารีบพยุงร่างกับผนังระฆังยืนขึ้น มู่จิ่วก็ยืดตัวขึ้นเช่นกัน แต่นางเพิ่งจะยืน น้ำที่พื้นก็กระเพื่อมเป็นคลื่นใหญ่! แม้ร่างของพวกเขาที่อยู่ในเขตพลังจะไม่ถึงกับตกน้ำ แต่ภายใต้คลื่นนี้ก็อย่าคิดว่าจะรักษาตนไว้ไม่ให้ได้รับผลกระทบ! และตอนที่นางเพิ่งจะยืนได้นิ่ง ลู่ยาที่ห่างจากนางไปสองก้าวกำลังร่วงไปข้างหน้า…
“ลู่หยา!”
มู่จิ่วตกใจอย่างมาก ลอยเข้าไปกอดเขาไว้แน่นโดยไม่ทันคิด ความเป็นความตายอยู่ที่ความนิ่งของร่างกายบนเขตพลัง
ตอนที่ 86
ข้าจะสั่งสอนเขาเอง
โดย
Ink Stone_Romance
แต่ร่างของลู่หยาที่จิตต้นกำเนิดออกจากร่างไปอ่อนแรงมากกว่าปกติ แต่เดิมเขาก็สูงกว่านางมาก ยิ่งกลิ้งไปตามรูปร่างของระฆังทองก็ยิ่งหนักเป็นพิเศษ
ซ่างกวนสุ่นเห็นสถานการณ์แล้วก็พุ่งเข้ามาช่วย ถึงแม้แบบนี้จะดีขึ้นหน่อย แต่ระฆังทองยิ่งพลิกหนักขึ้น สามคนหมุนกลิ้งอยู่ในเขตพลังเหมือนเกาลัดที่อยู่ในกระทะ!
“ลู่หยา! เจ้ารีบตื่น!”
มู่จิ่วออกแรงกอดเขาไว้พลางตะโกนใส่ข้างหู แต่เขากลับยังคงปิดตาแน่น ไม่มีการตอบสนองเลยแม้แต่น้อย นางไม่มีหนทางจะยกมือขึ้นมาใช้กระเรียนกระดาษ ซ่างกวนสุ่นก็กำลังใช้พลังต้านคลื่น ไม่อาจมาช่วยได้ ช่างทำให้คนร้อนรนยิ่งนัก!
“เจ้าปล่อยเขาไป! เขาไม่ตายหรอก!”
ซ่างกวนสุ่นร้อนใจจนตะโกนพูดกับนาง
แต่มู่จิ่วทำไม่ได้! ถึงแม้จะไม่ตาย แต่หากกระทบกระแทกเอาจะทำอย่างไร? รอบด้านต่างก็เป็นพลังของมู่หรงเส่าชิงเจ้าจิ้งจอกชั่วร้ายนั่น รู้ได้อย่างไรว่าเขาจะไม่ตาย? นางกัดฟันแน่น เคลื่อนขึ้นไปข้างบนแล้วจับลู่ยาไว้ ทำได้เพียงเก็บมือเขากอดเอาไว้ตรงกลาง จากนั้นก็เรียกพลังฤทธิ์ไว้รับแรงกระแทก กลิ้งไปตามคลื่นกระเพื่อมอยู่ในเขตพลัง
ใบหน้าของนางแนบติดอยู่กับใบหน้าเขา แขนทั้งสองเหมือนกับคีมโลหะโอบรัดแผ่นหลังเขาไว้แน่น ถึงแม้นางจะกระแทกจนหัวหมุนตาลายก็ไม่ปล่อยเลยแม้แต่น้อย
ฟากลู่ยารอจนจิ้งจอกน้อยฟื้นคืนสติ หลังจากแน่ใจแล้วว่าจิตจิ้งจอกอยู่ในร่างของเขาโดยไม่มีอะไรผิดปกติ กำลังคิดจะให้ราชาจิ้งจอกเรียกมู่หรงเส่าชิงมาเก็บระฆังไป พลันรู้สึกว่าใจมีคลื่นถาโถม ข้างหูมีลมหายใจอุ่นๆ ลอยมาไม่หยุด เขารวบรวมสมาธิ พลันพูดขึ้นว่า “แย่แล้ว” ทันใดนั้นก็เข้าไปยังระฆังทอง
ครั้นถึงในระฆังแล้ว เห็นเพียงคลื่นมรกตม้วนตัวราวกับทะเลคลั่ง เบื้องหน้าสายตาเต็มไปด้วยพลังสะท้อนแสบตาที่ขยับขึ้นลง พลังของซ่างกวนสุ่นค่อยๆ อ่อนลง และมู่จิ่วที่กอดร่างเขาไว้อย่างเอาเป็นเอาตายกลิ้งหลุนๆ ไปตามเขตพลังไม่หยุด
พลังพุ่งเข้าปะทะนางจนแนบกับขอบเขตพลังครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นางกลับไม่สนใจทั้งสิ้น เพียงใช้ร่างกายปกป้องตำแหน่งที่สำคัญของเขา ใบหน้าของนางแนบสนิทอยู่กับใบหน้าเขา หลบหลีกการโจมตีที่พุ่งมาทางเขาทั้งหมด มือสองข้างที่เคยถูกเขาล้อว่าหยาบกร้านป้องศีรษะเขาไว้ ถูกกระแทกจนรอยเลือดเต็มไปหมด กลับไม่เคลื่อนย้ายเลยแม้แต่ครึ่งชุ่น
“อาจิ่ว!”
ในใจของลู่ยาราวกับมีมีดทิ่มแทง รีบกระโดดกลับเข้าร่าง พลิกมือป้องนางไว้ในอก เปิดตาแล้วพูดขึ้น “ข้ากลับมาแล้ว”
มู่จิ่วใช้พลังทั้งหมดในการต้านทานกับมู่หรงเส่าชิง ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงโดยรอบ นางเพียงคิดอยู่อย่างเดียวคือต้องปกป้องลู่ยาจนกว่าเขาจะกลับมา
นางไม่ลืมว่าใครเป็นคนช่วยนางจากเงื้อมมือนักพรตปีศาจสำนักตะวันอำพราง ไม่ลืมว่าใครช่วยนางลงโทษหยางอวิ้นที่ให้ร้ายนางลับหลัง ยิ่งไม่อาจลืมว่าใครดึงนางกลับมาจากเส้นแบ่งความเป็นความตายในบ่อน้ำ และเป็นใครที่พานางมาชิงไหวชิงพริบกับเหล่าจิ้งจอกถึงชิงชิว นางไม่สามารถละทิ้งลู่หยาได้ เกรงว่าแม้จะตายก็ไม่อาจให้เขาบาดเจ็บ!
ตอนลู่ยากลับมานางยังไม่รู้ตัว นางจำได้ว่าเขาพูดว่าไปเพียงแค่หนึ่งชั่วยาม ถึงตอนนี้ใกล้หนึ่งชั่วยามแล้ว อีกเดี๋ยวเขาน่าจะกลับมา เพียงแค่เขากลับมานางก็ไม่กลัวแล้ว!
คิดดังนี้แล้วนางยิ่งไม่กลัว นางไม่รู้สึกว่าร่างของเขามีไออุ่นแล้ว และไม่ได้ยินประโยคที่เขาพูดอยู่ข้างหู แต่ลู่ยาที่ถูกนางปกป้องไว้แบบนี้กลับรู้สึกได้ทั้งหมด เขาเห็นเพียงในดวงตานางไม่มีความกลัว มีแต่ความดึงดันเท่านั้น นางแนบชิดกับใบหน้าของเขา อบอุ่นจนร้อน
“พลังของเจ้าปั่นป่วนแล้ว หลับเสียก่อน!”
เขาปกป้องนางไว้ในอ้อมแขน จากนั้นรวบรวมพลังกลายเป็นอสุนีบาตสีทอง พุ่งไปบนยอดของระฆังทองสุดแรง!
ยอดของระฆังถูกฟาดจนเป็นหลุมขนาดใหญ่ คลื่นยักษ์สงบลง พลังหายไปแล้ว เสียงอสูรก็ไม่มีแล้ว เพชรในถ้ำมากมายสะท้อนบนสระน้ำมรกต เกิดเป็นแสงดาวนับหมื่นพันผ่านหลุมขนาดยักษ์ เศษผงของระฆังสะท้อนแสงจนสว่างนวลอย่างสงบเงียบ
มู่จิ่วพาดอยู่บนหน้าตักเขา เมื่อครู่ราวกับได้ผ่านการเกิดใหม่อีกรอบหนึ่ง
“ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว” ลู่ยาลูบใบหน้า หน้าผาก และบาดแผลบนใบหน้านาง การเคลื่อนไหวนุ่มนวลและระมัดระวัง แต่ใบหน้าของเขานิ่งทะมึนเสียจนกลั่นน้ำออกมาได้ ความเยียบเย็นในแววตาช่างทำให้คนหวาดกลัว “ไม่ต้องกลัว ข้าจะช่วยเจ้าสั่งสอนเขาเอง”
พูดจบเขาก็อุ้มนางบินออกจากยอดระฆังไป หลังออกจากระฆังทองก็หยุดอยู่บนยอด มือซ้ายที่ยกขึ้นเพียงยื่นออกไป จิ้งจอกน้อยในมือราชินีจิ้งจอกราวกับโดนเชือกลาก ลอยมายังมือเขาโดยตรง
ราชาจิ้งจอกกับราชินีจิ้งจอกต่างตกใจ “เจ้าจะทำอะไร?”
ลู่ยามองพวกเขาด้วยสีหน้าราบเรียบ “มู่หรงเส่าชิง คำพูดเชื่อถือไม่ได้ จิตใจสกปรกโสมม หากต้องการจิ้งจอกน้อยคืน ทำลายพลังบำเพ็ญสามหมื่นปีของเขาก่อนค่อยมาหาข้า!”
พูดจบเขาก็พามู่จิ่วทะยานออกจากหลังคาโค้ง อาศัยความมืดมุ่งไปยังวังจิ้งจอก
ราชาจิ้งจอกกับราชินีจิ้งจอกยินอยู่ริมน้ำ ตัวแข็งราวกับกลายเป็นหิน! หลังจากได้ยิน มู่หรงเส่าชิงกับมู่หรงเสวี่ยจีก็มองดูเศษซากที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ แต่ละคนต่างก็เป็นใบ้ไร้คำพูด…
ทุกคนต่างก็ถูกราชาจิ้งจอกเรียกมาหลังจากจิ้งจอกน้อยตื่นขึ้นแล้ว ซ่านเซียนไม่รู้ที่มาที่ไปคนนี้เป็นผู้ช่วยชีวิตจิ้งจอกน้อย คู่ควรที่จะให้พวกเขาปฏิบัติตามคำมั่นและเปลี่ยนท่าทีให้มีมารยาทมากขึ้น แต่เรื่องที่พวกเขาคาดไม่ถึงอย่างยิ่งคือ แขกผู้สูงส่งของพวกเขากลับใช้อสุนีบาตทำลายระฆัง ระฆังนี้คือของมีค่าที่มู่หรงเส่าชิงรักที่สุด ลู่ยากลับทำลายระฆังของเขาลงเสียแล้ว!
มู่หรงเส่าชิงมองระฆังกลางสระน้ำ หมัดทั้งสองกำจนซีดขาว ลูกตาก็ราวกับจะถลนออกจากเบ้า…
คืนหนึ่งไม่นานก็ผ่านไป
ยามเช้ามาเยือนสำนักแรกพยับ
ไฟบนยอดเขาคุ้มมรกตสำหรับเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรไม่นับว่าเป็นอะไร ไม่นานก็ดับลง คนแต่ละทิศก็ค่อยๆ ทยอยกลับสู่ตำแหน่งเดิม แน่นอนว่าย่อมต้องมีคนถามถึงต้นเหตุของไฟ ลมพัดของจนแห้ง ศิษย์ที่เฝ้าหอก็ไม่แน่ใจว่าลมพัดตะเกียงน้ำมันล้มหรือผ้าม่านพัดไปโดนตะเกียงกันแน่ เป็นธรรมดาที่ต้องมีคนโดนลงโทษ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่หลินเจี้ยนหรู
เพราะเขาไม่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ และไม่มีคนเชื่อว่าสวะอย่างเขาจะมีความสามารถแบบนี้
ถึงแม้เมื่อก่อนเรื่องร้ายๆ จะมาลงที่เขาทุกครั้ง แต่เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่สุดแล้วต้องเอาคนละทิ้งหน้าที่มาลงโทษให้ได้
แต่ตอนสว่าง บรรยากาศที่เพิ่งจะสงบลงได้กลับถูกเสียงร้องตะโกนในยอดเขาคุ้มมรกตทำลายลงอีก!
หลินเซี่ยตายแล้ว!
ข่าวนี้พัดพาไปตามลมภูเขา ชั่วพริบตาก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนักแรกพยับ!
เพียงไม่นาน ผู้อาวุโสทั้งหมดบนเขาและศิษย์ทั้งหลายต่างก็มาถึงห้องของหลินเซี่ย!
หลินเจี้ยนหรูเพิ่งจะเลิกกะ อยู่ในห้องยังไม่ทันเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ต้องกลับมายังลานเรือนหลักอีก
ตอนฟ้าสว่างเขาเพิ่งจะเปลี่ยนกะ หลังจากที่เหลียงชิวฉานมาดูหลินเซี่ยแล้วก็ไม่มีคนเข้ามาอีก และเขาออกจากห้องมา ก็รีบกลับมาเฝ้ายามที่ระเบียง คนที่เหลืออีกสามคนต่างก็กลับมาแล้ว พวกเขากำลังถกกันเรื่องไฟไหม้ ไม่มีคนสงสัยเขา ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีคนรู้ว่าที่จริงหลินเซี่ยตายแล้ว
คนที่พบว่าหลินเซี่ยตายแล้วคือจีเพ่ยฟาง น้องสาวของจีหย่งฟาง!
นางมาเพื่อป้อนยาหลินเซี่ย คิดไม่ถึงว่าผลักเขา เขาก็ไม่ขยับ เรียกเขา เขาก็ไม่ตอบ รอจนตรวจสอบลมหายใจเขา คิดไม่ถึงว่าชีพจรและพลังต่างก็ไม่มีเหลือแล้ว!
“เมื่อคืนใครเฝ้ายาม?!” สีหน้าของหัวชิงเคร่งจนสามารถหยดเป็นน้ำออกมา ตาทั้งคู่ราวกับไฟลามเลียไปรอบด้าน
ตอนที่ 87
หลักฐานความผิดชัดแจ้ง
โดย
Ink Stone_Romance
คำถามครั้งนี้ราวกับเตือนสติเหล่าแม่ลูกตระกูลจีที่กำลังหมอบร้องไห้อย่างเจ็บปวดอยู่ข้างเตียง จีหมิ่นจวินเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่จีหย่งฟางเร็วกว่า สาวเท้าชี้ตรงไปยังหลินเจี้ยนหรูในกลุ่มคน “เป็นเขา! เป็นหลินเจี้ยนหรู! เขาเป็นคนเฝ้ายาม! ให้เขาทำหน้าที่กลับปล่อยให้ท่านพ่ออยู่ในห้องไม่เข้าไปดู! เป็นเขาที่ทำให้ท่านพ่อตาย!”
ดวงตาของจีหย่งฟางแดงก่ำแต่ไม่มีน้ำตา ไม่รู้ว่าเพราะเจ็บปวดหรือขยี้ตาจนแดง
ถึงแม้หลินเซี่ยจะเป็นนายของยอดเขาคุ้มมรกต แต่แท้จริงแล้วยอดเขากลับอยู่ภายใต้การควบคุมของจีหมิ่นจวิน ตั้งแต่เด็กจนโตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มารดาเป็นใหญ่บิดาเป็นรอง จีหย่งฟางและเหล่าพี่น้องชายหญิงเพียงรับฟังคำสั่งของจีหมิ่นจวินเท่านั้น สำหรับพ่ออย่างหลินเซี่ยก็ไม่ต่างกับของประดับ
หลิเจี้ยนหรูยิ้มเยาะเย้ยในใจ
ยังใช้วิธีการเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย ให้เขาเฝ้ายาม เท่ากับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเขาเป็นผู้รับผิดชอบ
แต่เรื่องคราวนี้ให้เขารับผิดแทนกลับไม่ผิดนัก
เขาคุกเข่าลงพูด “เรียนอาจารย์ลุงเจ้าสำนัก เมื่อคืนเป็นศิษย์กับศิษย์พี่หลี่ ศิษย์พี่เฮ่อ ศิษย์พี่ซุน สามท่านเฝ้ายามด้วยกัน แต่เมื่อคืนพวกเราไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวใดจากในห้องเลย บวกกับก่อนหน้านี้อาจารย์แม่มีคำสั่งไม่ให้พวกเราเข้าห้อง ยิ่งไม่อนุญาตให้แตะต้องยาของอาจารย์ ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบเราจึงอยู่ที่ระเบียงทางเดินนี่”
หลี่ เฮ่อ ซุน ทั้งสามคนก็รู้ว่าแบกรับความรับผิดชอบนี้ไม่ไหว ได้ยินคำพูดนี้ไหนเลยจะไม่เห็นด้วย? ต่างรีบคุกเข่าลง ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวในห้อง
หัวชิงเต้าเหรินราวกับรู้สึกว่าจีหย่งฟางบุ่มบ่ามเช่นกัน ดังนั้นจึงขมวดคิ้วจ้องไป
ยามนี้ไม่ใช่เวลาตามหาแพะรับบาประบายความโกรธแค้น! สำนักแรกพยับสูญเสียซ่านเซียนไปถึงสองท่าน นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน! ก่อนหน้านี้ชัดเจนว่าเขารักษาชีพจรของหลินเซี่ยไว้ได้แล้ว และเมื่อคืนวานยังให้มหาโอสถทองไป สภาพมีแต่จะดีขึ้นเท่านั้น ไม่มีทางแย่ลง ยิ่งไม่มีทางตายอย่างกะทันหันได้ แท้จริงแล้วเกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่?
เขาเดินไปหน้าเตียง จับชีพจรของหลินเซี่ย ตรวจสอบจนถึงจุดตันเถียน…แหลกสลายแล้ว?
มือของเขาสั่นเทา พลันลุกกลับขึ้นมา “เมื่อคืนมีใครเข้ามา!”
คนทั้งห้องตกใจเสียงเขาจนสะดุ้ง
จีหมิ่นจวินขมวดคิ้วมองพวกหลินเจี้ยนหรูทั้งสี่
หลินเจี้ยนหรูสั่นเล็กน้อย พลันเงยหน้าขึ้นมา “เมื่อคืนตอนหอเก็บคัมภีร์ไฟไหม้ ศิษย์ขอศิษย์พี่ทั้งสามไปห้องน้ำ ภายหลังตอนกลับมาศิษย์พี่ทั้งสามก็กลับมาจากลานด้านหลังพอดี เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีคนอาศัยช่วงไม่มีคนเข้าไปข้างใน?”
สีหน้าของผู้คนยิ่งตึงเครียดขึ้น
หัวชิงพูด “จิตต้นกำเนิดของศิษย์น้องสี่ถูกทำลายไปแล้ว มหาโอสถก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน! ต้องมีคนแอบลงมือลับหลัง! แท้จริงแล้วเป็นใครทำกันแน่!”
“มหาโอสถหายไปแล้ว?” ตอนนี้เหลียงชิวฉานก็อดยืนขึ้นไม่ได้ “แต่เมื่อคืนวานหลังจากที่ไฟไหม้ศิษย์เข้าไปตรวจสอบดู ในห้องไม่มีอะไรผิดปกติ สามารถทำลายจุดตันเถียนของอาจารย์อาได้พลังจะต้องไม่ต่ำ เขามาเพราะมหาโอสถหรือมาเพราะท่านกัน?”
ดวงตาของหลินเจี้ยนหรูมองพื้น มือทั้งสองที่วางอยู่บนเข่าหลั่งเหงื่อออกมาราวกับน้ำพุ
“ไม่จำเป็นว่าต้องมีฝีมือแก่กล้าถึงจะสังหารเขาได้” หัวชิงพูด “เขาอยู่ในสภาพที่จิตต้นกำเนิดกระจัดกระจาย พลังปราณสลาย บวกกับสูญเสียมหาโอสถ เพียงมีฝีมือสักเจ็ดแปดร้อยปีก็เพียงพอทำให้เขาตายได้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมข้าต้องการคนเฝ้ายาม”
เหลียงชิวฉานเงียบไป
หลินเจี้ยนหรูผ่อนคลายมือลง ตอนนี้กลับไม่มีคนคิดถึงเขา
“นี่คืออะไร!”
ขณะนี้เอง เหลียงชิวฉานที่เดินไปข้างหัวชิงพลันหยิบขนสีแดงขึ้นมาจากริมหมอนหลินเซี่ย
ผู้คนรีบล้อมวงเข้าไป หัวชิงหยิบขนนั้นมาพินิจพิเคราะห์ สีหน้าพลันขาวซีด “เป็นขนจิ้งจอก! จิ้งจอกจากที่ไหน?!”
จิ้งจอก!
สองคำนี้ช่างอ่อนไหวนัก!
หลินเซี่ยและจื่อหยางเต้าเหรินพ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือของจิ้งจอกไฟเก้าหาง ตอนนี้หลินเซี่ยไม่เพียงแต่ตายแล้ว ริมหมอนของเขายังมีขนจิ้งจอก และยังเป็นขนของจิ้งจอกแดงด้วย!
“ช่วงนี้ชิงชิวสังหารคนไปทั่ว หรือว่าพวกมันไม่ละเว้นท่านพี่ ยังตั้งใจตามมาที่สำนักแรกพยับโดยเฉพาะ?!” เลือดบนใบหน้าของจีหมิ่นจวินเหือดหายหมด แต่สมแล้วที่นางเป็นหญิงแกร่ง ตอนนี้ยังคงไม่สูญเสียการไตร่ตรองไป “ทว่าท่านพี่กับนางไม่มีความแค้นต่อกัน นางต้องการฆ่าศิษย์ลัทธิฉ่าน ทำไมถึงสังหารเขาคนเดียว? แต่ศิษย์ทั้งหมดของสำนักแรกพยับกลับไร้รอยขีดข่วน?”
ใจของหลินเจี้ยนหรูเต้นเร็วขึ้น
เขาอดพูดไม่ได้ “ช่วงนี้หน่วยลาดตระเวนได้รับคดี เพราะจิ้งจอกตนหนึ่งของชิงชิวถูกสังหาร สงสัยว่าลัทธิฉ่านเป็นผู้กระทำ ดังนั้นจึงไล่ล่าสังหารศิษย์ลัทธิฉ่าน”
“วันก่อนตอนข้ากับสหายออกจากสวรรค์ไปเจอองค์หญิงแห่งชิงชิวเข้า เป็นจิ้งจอกแดงเก้าหางเสียด้วย นางจ้องมองข้าอยู่นาน พูดว่าต้องการสังหารซ่านเซียนที่หลุดรอดมือนางไปได้ นางเอ่ยว่าภายใต้เงื้อมมือนางไม่มีใครเคยหนีรอดไปได้ ดังนั้นต้องสังหารเขา หรือคนที่นางต้องการสังหารจะเป็นอาจารย์?”
เหล่าผู้อาวุโสในห้องรวมถึงจีหมิ่นจวินสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไป
เหตุผลการบาดเจ็บของหลินเซี่ยพวกเขายังไม่เปิดเผยออกไป หลินเจี้ยนหรูไม่มีทางรู้ว่าผู้ลงมือเป็นจิ้งจอกแห่งชิงชิว แสดงว่าเขาไม่สามารถหลอกลวงได้ หรือว่าหลินเซี่ยจะถูกจิ้งจอกแดงตามฆ่าล้างแค้นจริง? ว่ากันตามความโหดเหี้ยมและความยโสโอหังตลอดมาของของจิ้งจอกแห่งชิงชิวก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…
“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ขนจิ้งจอกนี้ก็ไม่ใช่ของปลอม” ผู้อาวุโสด้านข้างเดินเข้ามา “ข้าเคยพูดไว้นานแล้ว ชิงชิวไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตามากไป พวกมันเห็นว่าตนเป็นเผ่าพันธุ์เทพ จึงเปิดฉากการสังหารครั้งใหญ่กับลัทธิฉ่าน คราวนี้พวกเราไม่อาจเก็บกลั้นความโกรธนี้ไว้ได้ เหล่าจวินไม่สน พวกเราก็จะไปจัดการชิงชิวโดยตรงเอง!”
“เหล่าจวินทำไมจะไม่สน?” หัวชิงพูดเสียงหนักแน่น “ศิษย์น้องห้าทำไมเอ่ยไม่มีมารยาท”
จีหมิ่นจวินยืนขึ้นมา “ในเมื่อหลักฐานยืนยันว่าจิ้งจอกเก้าหางเป็นผู้ลงมือ เช่นนั้นทำไมเราจะไปคิดบัญชีกับพวกมันไม่ได้? จิ้งจอกของพวกมันตายก็ไล่สังหารเราไปทั่ว หรือว่าเราต้องอดกลั้นอารมณ์เงียบปากไว้? ก่อนหน้านี้ทำร้ายให้บาดเจ็บข้าก็ทนแล้ว แต่ตอนนี้นางยังมาสังหารคนถึงภูเขา จะอดกลั้นได้อย่างไร!”
จีหมิ่นจวินใกล้จะเปลี่ยนสถานะ ขาดอีกก้าวก็สามารถผ่านด่านเคราะห์ขึ้นเป็นเซียน นางใช้ชีวิตอย่างดีที่สำนักแรกพยับ ตำแหน่งได้รับการยกย่องนับถือ ตระกูลจีในอาณาจักรจื่อจิวก็เป็นอันดับหนึ่ง เมื่อนางที่เต็มไปด้วยความโกรธพูดขึ้นมา ทั้งร่างก็เต็มไปด้วยไอสังหาร!
“ข้าก็คิดว่าศิษย์น้องจีพูดมีเหตุผลอย่างมาก!” ไป๋จิ้งเจินเหรินก็เดินเข้ามาเอ่ย “หากไม่มีหลักฐานข้ายังพออดกลั้นได้ แต่ตอนนี้มีหลักฐานอยู่ในมือแล้ว พวกนั้นยังคิดจะติดค้างบัญชีนี้ไว้หรือ? ถึงแม้จะสูญเสียจิ้งจอกไป คนของสำนักแรกพยับก็ไม่ใช่คนสังหาร พวกชิงชิวเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ส่งเดชแบบนี้ ผิดกฎสวรรค์แล้ว!”
“ถึงแม้พวกเราจะสู้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็นำขนจิ้งจอกนี้ไปให้พวกมันดู หากเป็นขนจิ้งจอกแดงของฝ่ายนั้นจริง บัญชีแค้นนี้เราก็ต้องคิดกับพวกมันให้ดีๆ!”
“ไม่ผิด!” ผู้อาวุโสทั้งสี่ท่านเดินเข้ามาพร้อมกัน “พวกเราต้องไปขอคำอธิบายที่ชิงชิว!”
เดิมทีหัวชิงยังคงไม่ออกความเห็น แต่ในเมื่อเหล่าผู้อาวุโสต่างมีท่าทีเช่นนี้ คงไม่เหมาะที่เขาจะขวางทางไว้ คิดแล้วก็โบกมือพูด “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นทุกคนก็กลับไปเก็บของ พรุ่งนี้เช้าไปขอคำอธิบายที่ชิงชิว!”
หลังจากพูดจบเขามองหลินเซี่ยบนเตียง จากนั้นก็หมุนตัวออกจากประตูไป
“อาจารย์ลุงเจ้าสำนัก…”
หลินเจี้ยนหรูตามเขาไปที่ประตู คิดจะพูดอะไรเสียหน่อย แต่เห็นเหลียงชิวฉานที่เดินตามไป ก็เก็บคำพูดกลืนกลับลงคอ
ตอนที่ 88
เจ้ามันคนหลอกลวง!
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วนอนหลับเต็มอิ่ม
ตอนตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจ ก็รู้สึกเหมือนเตะโดนของบางอย่างที่เป็นขนฟูๆ นางเปิดตาขึ้น เห็นก้อนขนเล็กๆ สีทองสว่างไสวปีนอยู่บนแขน
“จิ้งจอกน้อย?” นางอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนผุดลุกขึ้นนั่ง เบิกตากว้างมองดูมันอย่างละเอียด เห็นเพียงลำตัวยาวสองฉื่อปกคลุมไปด้วยขนอ่อนนุ่ม และดวงตาสีดำขลับมีชีวิตชีวากระจ่างใส นี่ไม่ใช่จิ้งจอกน้อยที่นอนราบอยู่บนแท่นหยกแล้วจะเป็นใครไปได้? แต่เขาสูญเสียจิตต้นกำเนิดไปแล้วไม่ใช่หรือ? หรือจะเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน? ไม่เคยได้ยินว่าเขามีฝาแฝดนี่!
“ข้าคือองค์ชายสี่แห่งชิงชิว” จิ้งจอกน้อยก้มศีรษะมองนาง แววตาอ่อนโยนราวกับปุยขาวของเม็ดหลิวในเดือนสาม “พี่สาวนอนหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ”
“เจ้ายังพูดเป็นด้วย?” มู่จิ่วประหลาดใจ เห็นอาฝูตัวโตขนาดนั้นยังพูดไม่เป็น นางจึงเข้าใจไปว่าสัตว์เทพเล็กๆ จะพูดไม่เป็นทั้งหมด นางดึงเขาเข้ามากอดอย่างยินดี ประคองศีรษะเขาดูซ้ายดูขวา “เจ้าคือจิ้งจอกน้อยบนแท่นหอมหมื่นลี้? เจ้าตื่นขึ้นมาได้อย่างไร? หากหาจิตจิ้งจอกไม่พบเจ้าจะตื่นขึ้นมาไม่ได้ไม่ใช่หรือ?”
“ข้าก็ไม่รู้” มู่หรงรุ่ยเจี๋ยเงยหน้าขึ้น “ข้าเหมือนกับพี่สาว อยู่ที่นี่มาหนึ่งวันแล้ว จะมีเทพเซียนหน้าตางดงามอย่างมากคนหนึ่งเข้ามาดูท่านทุกหนึ่งชั่วยาม จากนั้นมีพี่ชายหน้าตาดีผู้หนึ่งแต่เสียงไม่น่าฟังเข้ามาคุยกับท่านบ่อยครั้ง แต่ท่านก็ไม่ตื่น”
เทพเซียนหน้าตางดงามอย่างมากเป็นลู่ยาแน่นอน ส่วนหน้าตาดีแต่เสียงไม่น่าฟังนอกจากซ่างกวนสุ่นแล้วจะเป็นใครไปได้?
มู่จิ่วกำลังจะถามว่าพวกลู่ยาไปไหน ประตูห้องที่มีภาพสลักซับซ้อนหาดูยากพลันเปิดออก ลู่ยาเดินเข้ามา ยามที่สายตามองนางมีแสงพาดผ่าน จากนั้นก้าวอย่างมั่นคงเข้ามา พูดขึ้นว่า “ในที่สุดก็ตื่นแล้ว” พูดจบก็ไม่มองมู่หรงรุ่ยเจี๋ยสักนิด ยื่นมือจับหลังคอจิ้งจอกน้อยแล้ววางเขาลงบนพื้น
มู่จิ่วอึ้งมองมู่หรงรุ่ยเจี๋ยสะบัดขนเดินเชื่องๆ ไปหมอบอยู่ใต้โต๊ะ ก่อนมองไปรอบม่านที่ทำจากหินโมราร้อยเข้าด้วยกัน มุ้งที่ทักทอจากไหมน้ำแข็ง ก่อนถามลู่ยา “ที่นี่ที่ไหน? ข้าออกมาจากระฆังได้อย่างไร?”
ลู่ยาลูบหน้าผากนาง ใช้มือจับผมยาวอันยุ่งเหยิงของนาง ไม่ตอบคำถาม แต่หันไปพูดกับซ่างกวนสุ่นที่เดินเข้ามา “ตักน้ำมา! แล้วชงชา!”
“ขอรับ!” ซ่างกวนสุ่นเดินออกไปโดยไม่ต่อรองแม้แต่น้อย
มู่จิ่วเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เจ้าเด็กนั่นทระนงตน ทุกครั้งต้องใช้ฐานะองค์ชายเจ็ดแห่งตระกูลซ่างกวนผู้สูงศักดิ์อวดเบ่ง นางเพิ่งนอนไปตื่นหนึ่ง เขากลับปฏิบัติต่อลู่ยาอย่างอ่อนน้อมเชื่อฟัง! คิดไม่ถึงอีกว่าจะยอมให้ใช้ตักน้ำรินชาให้นางด้วย?
มิใช่ว่านางยังไม่ตื่นหรอกนะ?
นางลองหยิกแขน เจ็บ!
ลู่ยามองนางนิ่งๆ ไม่พูดจา ตอนนี้ได้น้ำมาแล้ว เขาบิดผ้าเช็ดหน้าให้นาง จากนั้นป้อนน้ำ เพิ่มพลังลมปราณให้บางส่วน เห็นใบหน้านางค่อยๆ มีเลือดฝาด จึงค่อยเก็บมือกลับมา “นี่คือห้องบรรทมของราชาจิ้งจอก แต่เจ้าวางใจได้ ข้าเปลี่ยนเตียงกับผ้าห่มเป็นของใหม่หมดแล้ว สะอาดมาก”
มู่จิ่วถึงกับสำลัก!
ห้องบรรทมของราชาจิ้งจอก?!
ตอนที่นางนอนอยู่พวกเขาทั้งสองทำอะไรไว้กันแน่?!
ยึดครองสถานที่สำคัญขนาดนี้ พวกเขาบ้าไปแล้ว!
“ทำไม?” นางรีบโดดลงจากเตียง มองดูรอบด้านที่ตกแต่งงดงามพลางพูด “แล้วราชาจิ้งจอกล่ะ?”
“ไม่รู้” ลู่ยาผายมือ พูดอย่างซื่อๆ
เมื่อคืนวานเขาอุ้มนางมุ่งตรงมายังวังซ่าน ส่วนเรื่องที่เหลือจากนั้นเขาก็ไม่สนใจแล้ว
มีจิ้งจอกน้อยอยู่ในมือ แม้แต่เขตพลังเขาก็ไม่จำเป็นต้องเรียกใช้ ถึงแม้นอกวังออกไปสามชั้นจะมีผู้คนจำนวนไม่น้อยรวมตัวกัน แต่กลับไม่มีใครกล้าบุกเข้ามา
ส่วนซ่างกวนสุ่น หลังจากเห็นด้วยตาตนเองว่าลู่ยาลงมือทลายระฆังนั่นได้ก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร!
มู่จิ่วยืนครุ่นคิดอยู่ที่เดิม พลันพูดขึ้นว่า “ทำไมเจ้าถึงได้เก่งขนาดนี้?”
เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนางหลับถึงแม้นางจะไม่รู้ทั้งหมด แต่เรื่องก่อนจะหมดสติไปนางกลับจำได้หลายส่วน
นางจำได้ว่าตอนที่นางกับซ่างกวนสุ่นโดนผัดเป็นเกาลัดในระฆัง เหมือนกับลู่ยาจะกลับมาตอนนั้น จากนั้นเขาก็ทำลายระฆังนั่นได้ ก่อนที่นางจะผ่อนคลายลง…
นางกับซ่างกวนสุ่นต่างทำอะไรกับระฆังไม่ได้ ลู่ยากลับใช้พลังสายหนึ่งทำลายลงได้อย่างสบายๆ? แน่นอนว่าพลังฤทธิ์ของเขาเทียบกับทั้งสองแล้วสูงกว่า แต่นั่นก็เกินจริงไปแล้วกระมัง? ยังมีจิ้งจอกน้อยที่โดนเขาชิงมา พวกราชาจิ้งจอกจะไม่คิดหาวิธีชิงกลับไปหรือ?
ไหนจะจิ้งจอกโหดเหี้ยมที่ใจแคบยิ่งกว่าปลายจมูกนั่น ลู่ยาทำลายระฆังของเขา เขากลับไม่มาหาเรื่อง?
“พูดมาตามตรง แท้จริงแล้วเจ้าเป็นใคร?” นางก้าวเท้ายาวๆ ไปตรงหน้าลู่ยา สายตามองเขาขึ้นๆ ลงๆ
ตัวเขามีเรื่องน่าสงสัยมากเกินไป หากพูดถึงเรื่องเมื่อก่อนนั้นยังอาจไม่สนใจ แต่ตอนนี้นางไม่สามารถกล่อมตัวเองให้ยอมเชื่อได้
ลู่ยาพูด “ข้าก็คือลู่ยา”
“เหลวไหล!” มู่จิ่วจ้องเขา “ยังพูดมั่วซั่วอีก เจ้าเห็นข้าโง่หรืออย่างไร?” เข้าใจว่านางยังเชื่อคำพูดพิเรนทร์ของเขา เห็นเขาเป็นซ่านเซียนของสำนักใดสำนักหนึ่ง นางยังไม่โง่ขนาดนั้น
ลู่ยาไม่พูดแล้ว
คนเราก็แบบนี้ บางครั้งพูดความจริงกลับไม่มีคนเชื่อ
เขาพูดกับซ่างกวนสุ่นที่เดินมองพวกเขาอยู่รอบๆ “เจ้าพาจิ้งจอกน้อยไปเดินเล่นหน่อย”
ซ่างกวนสุ่นเพียงได้ยิน ก็รีบอุ้มเจ้าจิ้งจอกน้อยที่งีบหลับอยู่ใต้โต๊ะออกไปทันที
ลู่ยาเปลี่ยนท่านั่งให้สบายขึ้น ก่อนเอ่ย “หากข้าบอกเจ้าว่าข้าคือลู่ยาที่จิ้งจอกเฒ่าพูดถึง เจ้าจะว่าอย่างไร?”
ตกใจ? เคารพบูชา? เป็นลม? ไม่เป็นไร เขารับได้ทั้งหมด
“จะฆ่าเจ้าน่ะสิ!”
มู่จิ่วพลันหยิบกระบี่จากหัวเตียงขึ้นมา เป่าคมกระบี่ทีหนึ่ง
ลู่ยาเงียบไปนานกว่าจะเอ่ย “เพราะเหตุใด?”
“เพราะเจ้ามันคนหลอกลวง! เจ้าจะเป็นลู่ยาเต้าจู่ได้อย่างไร?” มู่จิ่วพูดอย่างมั่นใจ “ลู่ยาเต้าจู่เป็นศิษย์ของปฐมวิญญาณ อยู่เหนือหกภพภูมิ เป็นเซียนสูงส่งผู้ปกปักษ์รักษากฎสวรรค์ จะเป็นเจ้าที่ไม่ปกติไปได้อย่างไร? คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าปลอมเป็นลู่ยาเต้าจู่ แน่นอนว่าข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
ลู่ยาลูบคาง อึ้งเสียจนพูดไม่ออก
“เช่นนั้นก็ช่างเถอะ” เขายืนขึ้น “เจ้าถือว่าข้าเป็นมหาเทพเซียนที่ซ่อนพลังแท้จริงไว้สักคนแล้วกัน”
มู่จิ่วจ้องจนเขาหมุนตัวกลับไปจึงละสายตามา
บอกว่าเป็นเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีความสามารถยังเชื่อได้หน่อย
ทว่าถึงแม้เขาไม่ใช่ซ่านเซียนแต่เป็นมหาเทพเซียน ทำไมเขาต้องพูดโกหกด้วย? มหาเทพเซียนก็ไม่ขายหน้าเสียหน่อย
คงไม่ใช่ว่าฐานะของเขามีความลับอะไรที่พูดออกมาไม่ได้หรอกนะ?
แต่เขาบอกว่าตนคือลู่ยาเต้าจู่…เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าไร้สาระ เหมือนกับใส่รองเท้าแตะกินปิ้งย่างอยู่ข้างถนน แล้วเพื่อนที่ร่วมเดินทางพลันพูดว่าเขาคือซุนหงอคง เจ้าต้องรู้สึกว่าเขาประสาทอยู่แล้ว! คงไม่ใช่เพราะราชาจิ้งจอกบอกว่าเขาเหมือนลู่ยาแล้วเขาจะเป็นลู่ยาหรอกกระมัง?
ในใจมู่จิ่วเกิดความสับสนขึ้นมาเล็กน้อย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น