อยากกินไหมล่ะ 849-851
บทที่ 849 ขาดผู้นำ
จะว่าไปแล้วก็หามีผู้ใดไปอารามโดยไม่มีสาเหตุหรอก ร้านหยวนโจวก็ไม่มีข้อยกเว้น ดังนั้นเมื่อตอนที่เฒ่ากู่กับเฒ่าเหยียนแอบไปร้านหยวนโจว พวกเขาย่อมมีจุดประสงค์บางอย่าง
“เฒ่าเหยียนแอบมาที่นี่เองโดยไม่บอกซู่ซินจะดีเหรอ? ฉันไม่คิดว่าจะทำกับเพื่อนของเราแบบนี้จะเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรอกนะ” เฒ่ากู่ผู้มีผมหงอกขาวและมีหน้าแดงก่ำดูเหมือนจะมีจิตใจที่ดีงาม
“หุบปาก หุบปากไปเลยนะ นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?” เฒ่าเหยียนแก้ต่างคำพูดของเฒ่ากู่พลางกล่าวว่า “ฉันบอกไปตั้งหลายครั้งแล้วไง พวกเราไม่ได้แอบซู่ซินมาที่นี่สักหน่อย พวกเราก็แค่มาตรวจสอบสถานการณ์ก่อนเขาก็เท่านั้นเอง”
“พวกเราสองคนแก่กว่าซู่ซินย่อมมีประสบการณ์ในการเข้าสังคมมากกว่าเขาอยู่แล้วล่ะ พวกเราจะไม่ช่วยเขาด้วยประสบการณ์อันล้นเหลือของเราสักหน่อยหรือ? พวกเราต้องไปร้านหยวนโจวแล้วก็ต้องดูให้ดีๆ” เฒ่าเหยียนตอบ “ฉันเชื่อว่าซู่ซินต้องเข้าใจความหวังดีของเราอย่างแน่นอน”
เฒ่าเหยียนกล่าวเช่นนั้นอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา แต่ถ้าเขาไม่น้ำลายสอออกมาเมื่อตอนที่เขาเอ่ยถึงร้านหยวนโจว คำพูดของเขาก็คงจะน่าเชื่อถือมากเลยทีเดียว
เฒ่ากู่พยักหน้า มันเป็นเรื่องจริง เขาถูกเฒ่าเหยียนกล่อมเสียอยู่หมัดแล้ว หลังจากนั้นท่าทีละอายใจบนใบหน้าของเขาก็อันตรธานหายไปโดยสิ้นเชิงแล้วค่อยๆแทนที่ด้วยท่าทีคาดหวัง
“เฒ่าเหยียน นายใกล้จะถึงหรือยัง?” เฒ่ากู่กล่าวขึ้น “ฉันแทบอดใจที่จะไปช่วยซู่ซินประเมินไม่ไหวอยู่แล้ว”
“หลานสาวของฉันเรียกตีตีให้ฉัน เธอบอกว่าใช้เวลาเพียงแค่ 40 นาทีเท่านั้นในการขับจากสถานีรถไฟไปยังจุดหมายปลายทาง” เฒ่าเหยียนมองนาฬิกาแล้วกล่าวว่า “ฉันจะไปถึงที่นั่นในอีกประมาณ 15 นาทีนะ”
น้ำลายแทบหกออกมาจากปากของชายชราทั้งสองคนอยู่แล้ว ถูกต้องแล้วล่ะ อันที่จริงแล้วพวกเขามาที่นี่ก่อนเวลาก็เพราะอาหารอร่อยในนามของการตรวจสอบ พวกเขาล่วงรู้ถึงกิตติศัพท์ของร้านหยวนโจวเช่นเดียวกัน
พวกเขาไม่เคยมีโอกาสมาก่อนเลย แต่ตอนนี้คำเชิญจากหยางซู่ซินได้มอบโอกาสให้พวกเขาแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาก็มีจุดประสงค์อื่นเล็กๆน้อยๆนอกเหนือไปจากเรื่องกินด้วย
จะว่าไปแล้วทั้งคนขับตีตีและแท็กซี่ค่อนข้างคุ้นเคยกับร้านหยวนโจวทีเดียว ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ของเจ้าระบบที่ว่า “ร้านอาหารที่โด่งดังไปทั่วทั้งจังหวัด” นับว่าไม่ได้กล่าวเกินจริงไปเลยสักนิด
มีบริษัทแท็กซี่ราวๆสี่สิบแห่งอยู่ในเมืองเฉิงตู อย่าคิดว่าเพียงเพราะดูแล้วเหมือนๆกันไปหมดก็จะเป็นของบริษัทเดียวกันเสียเล่า อันที่จริงแล้วยังมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากทีเดียว
ตีตีมีความแตกต่างไปจากแท็กซี่ ถึงแม้ว่าทั้งสองแบบจะขับรถพาคนจากสถานที่แห่งนี้ไปยังสถานที่แห่งนั้น ทว่าตีตีไม่เหมือนแท็กซี่ส่วนแท็กซี่ก็ยิ่งต่างจากตีตีไปกันใหญ่
ก่อนหน้านี้บริษัทแท็กซี่ก็นึกไอเดียธุรกิจโดยใช้หยวนโจวขึ้นมาได้
พวกเขาเสนอให้มีการร่วมมือกับหยวนโจวเป็นพิเศษซึ่งเป็นงานที่ต้องแนะนำแท็กซี่จากบริษัทของพวกเขาเท่านั้น โดยพวกเขาจะจ่ายเงินค่าแนะนำและประชาสัมพันธ์ให้เขาเป็นประจำ พวกเขาช่างคิดมากเกินไปแล้วจริงๆ
กลับมาเข้าเรื่องของเรากันต่อเถอะ สิบนาทีต่อมา รถก็มาถึงสี่แยกถนน
“ถ้าหากคุณอยากไปร้านของเถ้าแก่หยวนก็เดินไปตามถนนสายนี้แค่ไม่กี่นาทีคุณก็จะเห็นร้านอาหารที่มีผู้คนออกันอยู่ตรงประตูเยอะที่สุด นั่นแหละสิ่งที่คุณทั้งสองคนกำลังมองหาอยู่” คนขับตีตีแสดงเส้นทางให้พวกเขาดูแล้วอธิบาย “ถนนสายนี้แออัดมากผมเลยขับรถพาพวกคุณไปส่งที่นั่นไม่ได้เลย”
เฒ่ากู่กับเฒ่าเหยียนพยักหน้าแล้วลงจากรถ ก่อนที่คนขับตีตีจะออกรถไปในที่สุด เขาก็ให้คำแนะนำเป็นพิเศษว่า “แค่เดินตรงไปแล้วไม่ต้องเลี้ยวนะครับ กรุณาแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ด้วยการให้ห้าดาวแก่ผมด้วยนะครับ”
รถออกตัวอย่างเร่งรีบในตอนท้ายเนื่องจากคนขับตีตีเพิ่งจะยอมรับอีกคำสั่งหนึ่ง
“โอ คนขับตีตีในเฉิงตูช่างกระตือรือร้นเสียจริง เห็นทีฉันจะต้องแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ด้วยการให้ห้าดาวแก่เขาเสียหน่อยแล้ว” เฒ่ากู่กล่าวขึ้นมา
“เขาช่างกระตือรือร้นจริงๆนั่นแหละแต่ก็ช่างจ้อไปหน่อย เขาถามเรื่องนั้นเรื่องนี้มาตลอดทางเลย ฉันไม่สามารถสงวนเรี่ยวแรงและสำรองพลังงานเอาไว้ได้เลย” เฒ่าเหยียนกล่าวขึ้นบ้าง
ทั้งสองคนคนปฏิบัติตามคำแนะนำของคนขับตีตีแล้วเดินไปที่ร้านหยวนโจวโดยไม่พูดอะไรสักคำ ช่างบังเอิญเหลือเกินที่มีแค่ไม่กี่คนรวมไปถึงอู๋ไห่ที่อยู่ตรงนั้น
พวกเขามาถึงก็สามารถกินอาหารกลางวันได้เลย เฒ่ากู่กับเฒ่าเหยียนบ่งบอกออกมาว่าพวกเขามีความสุขกันมากทีเดียว พวกเขารอต่อแถวอย่างใจจดใจจ่ออีกประมาณ 40 นาทีแล้วเวลาอาหารกลางวันก็เริ่มขึ้นเสียที พวกเขาอยู่ในกลุ่มลูกค้าสิบคนแรก
พวกเขาทราบกฎของร้านหยวนโจวจึงไม่ได้สั่งอาหารให้เยอะเกินไป ถึงแม้ว่าพวกเขาอยากจะลิ้มลองอาหารทุกจาน แต่พวกเขาก็ทราบว่าคำนึงถึงกำลังความสามารถของตนเองด้วย
“เฒ่าเหยียน นายคิดว่าซู่ซินกับเถ้าแก่น้อยหยวนจะสามารถทำได้ไหม?” เฒ่ากู่มองไปทางหยวนโจวที่กำลังทำอาหารในครัวอย่างจริงจัง
“ไม่มีปัญหาแน่นอน นายไม่รู้หรือไงว่าตอนนี้เถ้าแก่น้อยหยวนมีชื่อเสียงขนาดไหนกันน่ะ” เฒ่าเหยียนกล่าวขึ้นมา “ครั้งหนึ่งเคยมีการประกวดทำอาหารระดับจังหวัดที่บ้านเกิดของฉันด้วย แล้วผู้จัดงานก็เตรียมที่จะเชิญเถ้าแก่น้อยหยวนมาเป็นกรรมการตัดสินแต่กลับถูกปฏิเสธ ก็อย่างที่นายรู้นั่นแหละนะ เชฟที่ได้รับเชิญให้มาเป็นกรรมการตัดสินการแข่งขันแบบนั้นส่วนใหญ่ก็ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 40 หรือ 50 ปีเข้าไปแล้ว แต่เถ้าแก่หยวนเป็นเชฟที่อายุน้อยที่สุดที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแก่การเป็นกรรมการตัดสิน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฒ่ากู่พยักหน้าแล้วนึกถึงข้อมูลที่เขาเพิ่งจะได้รับจากผู้คนในวงการนี้ ชายหนุ่มผู้ไร้อารมณ์ผู้นี้เป็นคนที่ไม่อาจดูถูกได้เลย เขาคงมีความสุขกับชื่อเสียงอันโด่งดังในวงการทำอาหารด้วยวัยเพียงเท่านี้
นับเป็นเรื่องค่อนข้างยากทีเดียวที่คนๆหนึ่งจะกลายเป็นสุดยอดผู้เชี่ยวชาญในชีวิตจริง ตามหลักการแล้วเป็นเรื่องยากที่จะกลายเป็นสุดยอดผู้เชี่ยวชาญทั้งสองด้าน แต่อันที่จริงแล้ว ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ก็มีแนวโน้มที่จะกลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในอีกด้านได้อย่างง่ายดาย
ก็น่าจะเป็นแบบนั้น สภาพจิตใจเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากจริงๆหากผู้ใดอยากกลายมาเป็นสุดยอดผู้เชี่ยวชาญ
“ด้วยประสบการณ์และฝีมือด้านการแกะสลักน้ำแข็งของซู่ซิน เขาสามารถแกะสลักมังกรได้ถึงเจ็ดหรือแปดตัว พลาดจากผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น” เฒ่าเหยียนตัดสิน “ดังนั้นฉันก็เลยอยากจะรู้ว่าใครจะเป็นผู้นำในขั้นตอนการทำผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าน่ะสิ”
มักจะมีผู้นำในขั้นตอนของการให้ความร่วมมืออยู่เสมอ ยิ่งไปต้องเอ่ยถึงศิลปวัตถุเลย รูปแบบของคนหนึ่งอาจจะกลบรูปแบบของอีกคนจนมิดเลยก็ได้
พวกเขาพูดคุยกันในร้านเป็นบางครั้งบางคราว เวลาส่วนใหญ่พวกเขาก็จะเอาแต่กินและกิน เฒ่ากู่กับเฒ่าเหยียนยัดเอาๆจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะอาหารของหยวนโจวอร่อยเกินไปก็น่าจะเป็นเพราะพวกเขาหิวมากไป ในที่สุดท้องของพวกเขาก็เลยป่องออกมา หากไม่ใช่เพราะช่วยกันกินก็คงยากที่จะลุกไหว
เวลาบ่ายสามโมง
ร้านก็แวดล้อมไปด้วยผู้คนมากมายราวกับถูกห่ออยู่ในเกี๊ยวก็ไม่ปาน ถึงแม้ว่าหยวนโจวจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ แต่คนที่รู้เรื่องก็ไปบอกต่ออีกคนหนึ่งทันทีและนี่ก็คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เมื่อหยางซู่ซินกับก้อนน้ำแข็งของเขาก็มาถึง เขาก็ต้องประหลาดใจกับจำนวนของผู้คนที่อยู่ตรงนั้น
“อาจารย์หยวน ผมกำลังนับจำนวนของวันนี้ให้คุณอยู่พอดีเลย” หยางซู่ซินกล่าวขึ้นอย่างจริงจัง
“ไม่ต้องห่วงนะครับอาจารย์หยาง ผมจะทำให้สุดฝีมือเชียวล่ะครับ” หยวนโจวเองก็ตอบอย่างจริงจังเช่นกัน
หยางซู่ซินพยักหน้าแล้วเริ่มจัดเรียงและนับจำนวนมีดแกะสลักของเขา ในขณะเดียวกันหยวนโจวก็ให้หลิงหงกับคณะกรรมการควบคุมระเบียบแถวช่วยออกคำสั่งให้คนกลุ่มใหญ่หลีกทางให้ แล้วรถบรรทุกซึ่งเดิมทีจอดอยู่สุดถนนก็ลำเลียงก้อนน้ำแข็งไปตรงทางเจ้าร้านหยวนโจวด้วยความช่วยเหลือของคนงาน
การเคลื่อนย้ายเช่นนี้สร้างความสับสนให้หยางซู่ซินกับผู้ช่วยของเขาตลอดจนเฒ่ากู่กับเฒ่าเหยียนที่แสร้งทำตัวเป็นผู้ชมอยู่ด้านข้าง
ก้อนน้ำแข็งสองก้อนงั้นรึ? เตรียมก้อนหนึ่งเอาไว้ล่วงหน้าเผื่อการแกะสลักก้อนน้ำแข็งในครั้งแรกผิดพลาดหรืออย่างไรกัน?
คำพูดหลังจากนั้นของหยวนโจวช่วยตอบข้อสงสัยของหยางซู่ซินกับคนอื่นๆได้ในทันที
“ผลงานแกะสลักมังกรนพเก้า ผมหวังว่าพวกเราจะสามารถทำมันทั้งคู่ออกมาได้นะครับ”
พวกเขาจะสามารถทำมันทั้งคู่ออกมาได้งั้นรึ? หยางซู่ซินหาใช่คนโง่จึงทำให้เขาเข้าใจเหตุผลในไม่ช้า ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอีกต่อไปแล้วว่าเขาจะไม่เข้าใจเสียเองหรือว่าหยวนโจวจะเข้าใจผิด สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คือเกาทัณฑ์ที่รั้งสายเอาไว้แล้วไม่อาจเอากลับคืนได้อีก ดังนั้นหยางซู่ซินจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงแค่สูดลมหายใจลึกแล้วพยักหน้าพลางตอบ
“ขอแผนภาพโครงร่างให้ผมที”
หยางซู่ซินกล่าวเช่นนั้นกับผู้ช่วยของเขา จากนั้นเฟิ่งน้อยก็หยิบแผนภาพออกมาปึกหนึ่งอย่างรีบร้อนแล้วยื่นส่งให้เขา เดิมแผนภาพปึกนี้เป็นสำเนาของแต่ละแผนภาพแต่ละแผ่น ถึงอย่างไรพวกเขาก็ต้องอธิบายเกี่ยวกับแผนภาพโครงร่างก่อนที่พวกเขาจะทันได้เริ่มเสียก่อน
เนื่องจากตอนนี้พวกเขากำลังแยกกันทำงานอยู่จึงใช้การไม่ได้ หยางซู่ซินหยิบแผนภาพในมือแล้วเตรียมทำความเข้าใจกับมันอีกครั้ง
——-
ตีตี(滴滴) คือผู้ให้บริการเรียกรถแท็กซี่แบบออนไลน์คล้ายๆกับอูเบอร์
บทที่ 850 มังกรในเมฆากลายเป็นมังกรนพเก้าไปแล้ว
เฒ่าเยี่ยนเป็นตัวแทนของคนทั่วไปที่ชอบชมดูเรื่องสนุก ถ้าหากเฒ่ากู่ยังเป็นห่วงว่าหยางซู่ซินจะเตรียมตัวมาดีหรือไม่ เฒ่าเหยียนก็ยิ่งมีความสุขเมื่อเขารู้ว่าหยางซู่ซินกับหยวนโจวจะแกะสลักมังกรนพเก้าของตนเองด้วยวิธีการแข่งขัน
“น่าจะมีการแสดงดีๆให้ได้เพลิดเพลินเสียแล้วสิ” เฒ่าเหยียนพึมพำเสียงต่ำ
อย่างไรเสียการแกะสลักน้ำแข็งก็เริ่มต้นขึ้น
หยางซู่ซินมีมีดแกะสลักทุกขนาดในรูปแบบต่างๆและแม้แต่บุ้งที่นำมาใช้สำหรับการขัดแต่ง โดยเครื่องมือทุกชิ้นจะถูกวางเอาไว้เป็นแถวซึ่งพาให้ผู้คนรู้สึกถึงความเป็นมืออาชีพได้
ในทางกลับกัน หยวนโจวมีเพียงแค่มีดทำครัวธรรมดาๆเพียงเล่มเดียวในมือ ในแง่ของความเป็นมืออาชีพ เขานับว่าด้อยอยู่นิดหน่อยแต่อันที่จริงแล้วเขากลับไม่แพ้กันเลยสักนิด ท่าทางมั่นใจของเขาราวกับจะบอกว่า “ด้วยมีดทำครัวเพียงเล่มเดียวในมือ ฉันก็สามารถควบคุมโลกทั้งใบได้เลยล่ะ”
มีดแกะสลักส่งเสียงดัง “ครืด ครืด” เมื่อมันเคลื่อนอย่างเร็วผ่านก้อนน้ำแข็ง หยางซู่ซินได้เริ่มแกะสลักแล้ว มันเป็นมีดแกะสลักขนาดค่อนข้างใหญ่ในมือ เขากำลังจะแกะสลักโครงร่างของมังกรออกมาก่อน
เขาเริ่มแกะสลักอย่างรวดเร็วและอาจหาญ ไม่นานหลังจากนั้น ก้อนน้ำแข็งรูปสี่เหลี่ยมก็กลายเป็นรูปทรงหลายมุมแปลกประหลาด
แน่นอนว่ามันย่อมเป็นรูปร่างที่แปลกประหลาดเนื่องจากหยางซู่ซินไม่ได้เริ่มแกะสลักรายละเอียด ด้วยการขยับมือเพียงเล็กน้อยของเขา หยางซู่ซินก็เปลี่ยนมีดแกะสลักขนาดค่อนข้างใหญ่ด้วยมีดขนาดกลางอย่างว่องไว การกระทำทั้งหมดดูเป็นธรรมชาติและลื่นไหลราวกับเมฆาเคลื่อนคล้อยและสายน้ำไหลริน
แม้แต่บรรดาลูกค้าโดยรอบที่ให้การสนับสนุนหยวนโจวก็ยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชมการเปลี่ยนมีดอันว่องไวยิ่งของเขาไม่ได้เลย เทพเซียนเท่านั้นที่รู้ว่าเขาต้องฝึกฝนมานานหลายปีขนาดไหนกว่าจะทำให้ดูไหลลื่นและเป็นธรรมชาติได้มากขนาดนี้
หยางซู่ซินค่อยๆเข้าสู่สมาธิทีละเล็กทีละน้อย และแน่นอนว่าหยวนโจวก็ไม่น่าจะเหม่อมองไปทางเขาหรอก ตัวเขาเองก็เริ่มแกะสลักแล้วเช่นเดียวกัน
ความแตกต่างระหว่างผู้มีประสบการณ์กับผู้ไร้ประสบการณ์ช่างมากมายยิ่งกว่าผู้มีการศึกษากับคนธรรมดาสามัญก็เหมือนกับหยวนโจวและหยางซู่ซินนั่นแหละ
หยางซู่ซินเริ่มต้นด้วยโครงร่างคร่าวๆของผลงานแกะสลักทั้งหมดขณะที่หยวนโจวเพิ่งจะเริ่มแกะสลักมังกรไปทีละตัว
มีดทำครัวในมือของเขาราวกับผีเสื้อสีเงินที่ส่องประกายด้วยแสงเย็น ด้วยการกระพือปีกเพียงไม่กี่ครั้งกลางอากาศ ลำตัวยาวๆของมังกรจีนก็ค่อยๆก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีทั้งสองฝ่ายโดยเฉพาะหยางซู่ซิน นับเป็นการเริ่มต้นที่ดีกว่าที่เคยก็ว่าได้
“คราวนี้อาจารย์ของฉันน่าจะสามารถทำผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าให้สำเร็จเพียงลำพังได้จริงๆแล้ว” เฟิ่งน้อยรอคอยผลลัพธ์เช่นนี้อยู่ทางด้านข้าง
“แต่อาจารย์หยวนกำลังแกะสลักอะไรกันแน่นะ?” เฟิ่งน้อยมองก้อนน้ำแข็งของหยวนโจวแล้วก็รู้สึกว่าไม่เข้าใจเขาเอาเสียเลย ถ้าเป็นโครงร่างของมังกร ลำตัวของมังกรก็จะดูราวกับถูกตัดออก
ถึงแม้ว่าผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าอาจจะเป็นมังกรจีนในรูปแบบต่างๆ แต่การทำให้แตกหักก็ไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลเอาเสียเลยเนื่องจากเป็นวิธีการที่ออกจะไม่ดีเกินไปนัก
เฟิ่งน้อยเป็นผู้ช่วยในนามแต่เขาก็ได้เรียนรู้จากหยางซู่ซินมาหลายปี แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น เขากลับไม่เคยเห็นใครใครแกะสลักด้วยวิธีการเช่นนี้มาก่อนเลย
นั่นช่างเป็นเรื่องลึกลับเสียจริงๆ
เมื่อผ่านไปชั่วขณะหนึ่งผู้ชมก็ยิ่งเงียบเข้าไปกันใหญ่ แต่จำนวนของผู้คนก็หาได้ลดน้อยถอยลงเลย ทว่ากลับมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นเรื่อยๆเสียด้วยซ้ำไป
ผู้ชมบางคนออกไปแต่กลับมีเข้ามาสมทบมากขึ้นเช่นเดียวกับเด็กจอมซนที่ถ่ายอะไรไม่ได้เลยเมื่อคราวที่แล้ว และเนื่องจากกฎระเบียบอันเข้มงวดของสำนักการศึกษา ครูอาจารย์จึงให้การบ้านน้อยลงกว่าเก่าซึ่งเป็นผลทำให้รายได้ในธุรกิจรับทำการบ้านลดลงและกำลังสั่นคลอนตลาดรอง
วันนี้เป็นการแข่งขันทักษะการแกะสลัก เขาก็จะสามารถถ่ายได้นานแล้วค่อยแบ่งออกก่อนที่จะนำไปโพสต์ในสตรีมสดของเขาแบบรายตอน แบบนี้เขาก็จะได้รับการโดเนทจากผู้ชมแถมยังมีรายได้อีกต่างหาก
“คุณครูให้การบ้านน้อยลง ตลาดกำลังหดตัวลงและความต้องการก็ลดลง เพราะฉะนั้นคราวนี้ฉันจะต้องถ่ายวิดีโอให้ดีๆถึงจะได้เงินเยอะๆ พอฉันถอนเงินโดเนทออกจากบัญชีแล้ว ฉันก็จะไปเปิดตลาดในระดับชั้น ม.1-3 ตามหลักการแล้วการบ้านก็ไม่เห็นจำเป็นต้องคิดอะไรนอกจากเขียนกับเขียนเท่านั้นเอง ฉันจะลองเปิดตลาดที่สามดู แบบนี้ก็จะมีแหล่งทรัพยากรที่มีการเคลื่อนไหวแล้วฉันก็จะสามารถจำลองให้หลีกเลี่ยงระบบ NET ได้อย่างสมบูรณ์” เด็กจอมซนพึมพำศัพท์เทคนิคบางคำออกมาด้วยความตื่นเต้น
ไม่นานนักหนึ่งชั่วโมงก็ผ่านไปขณะที่เด็กจอมซนกำลังถ่ายวิดีโอและผู้ชมกำลังชมดูเรื่องสนุกอยู่ ตอนนั้นก้อนน้ำแข็งทั้งสองก้อนก็ถูกนำมาใช้กับงานศิลป์อันทรงคุณค่าแล้ว
เมื่อพูดถึงผลงานแกะสลักของหยางซู่ซิน ลำตัวของมังกรจีนทั้งเก้าตัวต่างปรากฏแก่สายตาของผู้ชมแล้ว และงานแกะสลักเกล็ดมังกรก็เสร็จสิ้นไปสี่ตัวจากเก้าตัวแล้ว ช่างเป็นความคืบหน้าที่น่าพึงพอใจเสียจริงๆ
“วันนี้ซู่ซินลงมือแกะสลักเองจริงๆเสียด้วย” เฒ่ากู่อดที่จะทอดถอนใจออกมาไม่ได้
เฒ่าเหยียนพยักหน้า “มังกรเหิน มังกรทะยาน มังกรในเมฆา มังกรขนด มังกรม้วนตัว มังกรหมอบ มังกรประจัญบาน มังกรคำรามและสุดท้ายมังกรกวนสมุทร ไม่เหมือนกันเลยสักตัว ผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าช่างมีคุณค่าอย่างแท้จริง”
จากมุมมองของรูปร่างมังกรที่หยางซู่ซิน ผลงานแกะสลักส่องแสงสว่างสุกใสในสายตาของคนส่วนใหญ่ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่ากันตามหลักการแล้วมีรูปร่างของมังกรแบบพื้นฐานเพียงแค่ห้าแบบเท่านั้นส่วนที่เหลือล้วนแล้วแต่ได้มาจากพวกมันแทบทั้งสิ้น
เฉกเช่นเดียวกับมังกรกวนสมุทร ส่วนล่างของผลงานแกะสลักคือแม่น้ำ มังกรซ่อนขนดหางเอาไว้ในแม่น้ำแล้วเหาะขึ้นฟ้าด้วยส่วนหัว อันที่จริงมันเป็นการผสมผสานของทั้งมังกรทะยานและมังกรคำรามเข้าด้วยกัน
เพียงแค่ลองคิดดูคนส่วนใหญ่ก็สามารถเข้าใจถึงความยากได้แล้ว เดิมทีผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าก็ใช่ว่าจะแกะสลักกันได้ง่ายๆเสียที่ไหนกัน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงมังกรทั้งเก้าตัวในรูปแบบที่แตกต่างกันเลย ส่วนผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าของหยางซู่ซินนั้น ส่วนล่างจะเป็นแม่น้ำขณะที่ส่วนบนจะเป็นท้องฟ้าและเขาหลงผาน รายละเอียดเยอะแยะทว่ากลับหาได้ยุ่งยากแต่อย่างใดไม่
“ผลงานแกะสลักของเถ้าแก่น้อยหยวนเข้าใจยากไปหน่อยนะ” เฒ่าเหยียนกล่าวขึ้นมา “แต่ขอบอกเลยว่าส่วนหัวของมังกรจีนช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ต้องมีความสามารถระดับอัจฉริยะจริงๆถึงจะสามารถแกะสลักส่วนหัวอันแสนสลับซับซ้อนและมีชีวิตชีวาของมังกรจีนออกมาได้”
ในฐานที่เป็นช่างแกะสลักผู้อ่อนประสบการณ์ หยวนโจวจึงเริ่มแกะสลักหัวมังกรหลังจากทำตัวมังกรเสร็จไปได้ครึ่งทาง
มีมังกรอยู่มากมายในตำนานจีนเช่น มังกรอิ้ง มังกรหวังหรือมังกรผาน แต่แท้ที่จริงแล้วมังกรในผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าล้วนแล้วแต่เป็นมังกรซิ่งทั้งนั้น อย่างที่เขาว่ากันว่า “งูจะกลายร่างเป็นเจี่ยวหลังจากมีอายุได้หนึ่งพันปี ส่วนเจี่ยวก็จะกลายร่างเป็นมังกรหลังจากมีอายุได้หนึ่งพันปีและมังกรก็จะกลายร่างเป็นมังกรซิ่งหลังจากมีอายุได้อีกหนึ่งพันปี
ทั้งหยางซู่ซินหรือหยวนโจวต่างใช้เวลาและพลังงานไปกับมังกรจีนหลากหลายรูปแบบ ดังนั้นจึงเป็นงานยากที่จะแกะสลักความแตกต่างระหว่างมังกรทั้งเก้าออกมาให้ได้
หยางซู่ซินใช้วิธีการที่ธรรมดามากซึ่งใช้ในผลงานแกะสลักมังกรเกือบทุกตัว มังกรจะจำแนกความแตกต่างออกจากกันด้วยดวงตา เขามังกรและขนาด ยกตัวอย่างเช่นมังกรคู่บนเสาประดับในวังหลวง พวกมันจะมีดวงตาและขนาดที่แตกต่างกันไป
เมื่อหยวนโจวนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เขาก็รู้สึกได้ว่าผู้คนดูเหมือนจะไม่สามารถบอกความแตกต่างได้หากไม่สังเกตให้ดี ดังนั้นหยวนโจวจึงตัดสินใจที่จะเปลี่ยนเป็นอีกวิธีหนึ่ง
เรื่องนั้นต้องอาศัยอารมณ์ต่างๆอันได้แก่ สุขสันต์ โกรธเกรี้ยว ระทมทุกข์ ดีใจ กังวลใจ รอคอย เสียใจ หวาดกลัวและประหลาดใจ
อารมณ์ทั้งเก้านั่นเอง ถูกต้องแล้ว มังกรจีนทั้งเก้าตัวที่หยวนโจวแกะสลักล้วนแล้วแต่มีดวงตา เขามังกรหรือขนาดเท่ากันไปหมด แต่มีความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคืออารมณ์ของมังกร
อารมณ์ที่มังกรจีนถูกปลุกกระตุ้นบ่อยครั้งมากที่สุดก็คือความน่าเกรงขาม นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรเลย แต่หยวนโจวเพียงแค่อยากจะเพิ่มอารมณ์ลงในดวงตาของมังกร
ดังนั้นผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าอาจจะถือได้ว่าเป็นตระกูลมังกรนพเมฆาหรือยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มังกรในเมฆาที่กลายเป็นมังกรนพเก้านั่นเอง
แค่เพราะว่าพวกเขาอยู่ห่างจากผลงานแกะสลักจึงไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนนัก เฒ่ากู่ เฒ่าเหยียนและผู้ชมคนอื่นๆพบว่ายากที่จะเข้าใจได้จริงๆ ถ้าหากพวกเขาอยู่ใกล้กว่านี้ก็คงสามารถมองเห็นอารมณ์ต่างๆในดวงตาของมังกรทั้งสามตัวที่กำลังแกะสลักอยู่ได้
ยกตัวอย่างเช่นมังกรตัวใดตัวหนึ่งที่มีเขายื่นออกมาเป็นพิเศษ ดวงตาอันใหญ่โตและทรงพลัง แยกเขี้ยวเล็กน้อยและหนวดมังกรที่ขยับไหวไปมาเอง นั่นคืออารมณ์โกรธเกรี้ยวนั่นเอง
ถัดมาก็คือปากที่โค้งขึ้นเล็กน้อย นั่นก็คืออารมณ์สุขสันต์
ต้องยอมรับว่าอารมณ์ทั้งเก้าของมังกรยากยิ่งที่จะบอกได้ว่าจริงหรือเท็จ มังกรจีนเองเป็นแค่เรื่องเล่า ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนแต่อย่างใด พวกเขาจึงจินตนาการไม่ออกถึงท่าทางเมื่อยามที่มันยิ้มออกมา
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือเขาจะต้องจินตนาการอย่างเดียวโดยปราศจากการอ้างอิงแต่อย่างใด แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมีสองด้าน
ถ้าหากไม่มีใครเคยจินตนาการเช่นนั้นมาก่อน หยวนโจวก็คงจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามแต่ที่เขาอยากจะรังสรรค์ขึ้นมา
มังกรทั้งเก้ารูปแบบ อย่างไรก็ตามหยวนโจวอดตาหลับขับตานอนมาตลอดคืนวานนี้และไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากมองสัตว์โลก
พูดก็พูดเถอะนะ หยวนโจวทำพยายามสุดความสามารถในวันนี้ก็เพื่อเอาชนะหยางซู่ซินนั่นเอง
——–
เจี่ยว(蛟) เป็นมังกรน้ำตามตำนานจีน
บทที่ 851 สำเร็จแล้ว!
แม้แต่คำกล่าวที่ว่า “แปดเซียนข้ามทะเลแต่ละคนต่างก็แสดงความสามารถพิเศษของตนเองออกมา” ก็ยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายสิ่งที่หยวนโจวกับหยางซู่ซินกำลังทำได้เลย
พวกเขาทั้งคู่ต่างจดจ่อและพยายามทำออกมาให้ดีที่สุด เวลาสองชั่วโมงของการแกะสลักทำให้หยางซู่ซินรู้สึกท้อใจเป็นอันมาก หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ การที่เขาเหงื่อชุ่มโชกในสภาพอากาศเช่นนี้ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเอาต้องจดจ่อมากขนาดไหน
หยวนโจวก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่เลย เขาเองก็เหงื่อชุ่มโชกเช่นกัน ในที่สุดเขาก็เข้าใจคำพูดที่ก่อนหน้านี้ช่างทำผมเคยบอกกับเขาในร้านอาหารมาก่อนเสียที
ช่างทำผมบอกเขาว่าเมื่อตอนที่เขาถามลูกค้าว่าอยากได้ทรงผมแบบไหนแล้วตอบมาแบบกล้าๆกลัวๆว่า “อะไรก็ได้”
ลูกค้าอาจจะบอกว่า “อะไรก็ได้” แต่จริงๆแล้วสิ่งนี้กลับทำให้ช่างทำผมต้องพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติม ตอนนี้หยวนโจวก็ตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นเดียวกัน
เมื่อตอนที่กำลังแกะสลักก้อนเมฆอยู่นั้นจะต้องรู้สึกอิสระเสรี แต่แน่นอนว่าความอิสระเสรีเช่นนี้ย่อมต้องให้ความสนใจกับรายละเอียดเพิ่มเติม ไม่อาจแกะสลักตามแต่ใจต้องการและไม่อาจทำให้เกินไปนักในแง่มุมใดก็ตามของขั้นตอนการแกะสลัก
ถ้าหากใช้แรงมากเกินไป ผลงานแกะสลักก็จะให้ความรู้สึกหนักหน่วง แต่หากเขาใช้แรงน้อยเกินไปก็จะไม่บรรลุผลสำเร็จ ดังนั้นเขาจึงต้องรักษาสมดุลที่แท้จริงเอาไว้อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเจ็บข้อมืออย่างรุนแรง
โชคดีที่เขาออกกำลังกายทุกวันอยู่ไม่ขาด มิฉะนั้นการแกะสลักอย่างหนักในช่วงเวลาสั้นๆเช่นนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ร่างกายของเขาไม่อาจทานทนได้เป็นแน่แท้
ต่อจากก้อนเมฆอันกว้างใหญ่ไพศาลและล้ำลึก หยวนโจวก็เอาแต่จดจ่ออยู่กับการแกะสลักต้นไม้
ในผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าของหยวนโจว ไม่มีทั้งโลกและสวรรค์ซ้ำยังไม่มีแม่น้ำหรือมหาสมุทรเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นก้อนเมฆที่เขาแกะสลักจึงดูไม่เหมือนก้อนเมฆเอาเสียเลย
ต้องยอมรับในภูมิปัญญาของคนสมัยโบราณจริงๆ คนสมัยโบราณคิดหาหนทางจัดการกับเรื่องนี้ด้วยสองวิธี ดังเช่นที่เห็นได้ชัดเจนจากภาพเขียนสมัยโบราณทั้งหลายเมื่อใดก็ตามที่มีก้อนเมฆก็จะต้องมีต้นไม้ด้วย
“ฟู่… ฉันยังต้องฝึกฝนการแกะสลักน้ำแข็งให้มากขึ้นเสียแล้ว ฉันยังไม่อยู่ในระดับที่จะสามารถทำงานหนักให้เหมือนกับเป็นงานเบาๆได้เลย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการทำงานเบาๆให้เหมือนกับเป็นงานหนักๆเลย” หยวนโจวถอนหายใจ
อันที่จริงแล้วหยวนโจวรู้สึกมั่นใจอยู่ลึกๆโดยไม่ต้องสงสัยเลย ไม่ถึงสองเดือนนับตั้งแต่เขาเริ่มฝึกฝนการแกะสลักน้ำแข็ง เขาก็สามารถมาถึงระดับนี้ได้ในสองเดือนทว่าเขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจเอาเสียเลย ถ้าหากผู้อื่นได้ยินเช่นนี้เข้าก็คงแทบอยากตีเขาให้ตายแล้ว
พูดง่ายๆก็คือต้นไม้ส่วนใหญ่ที่นำมาใช้ประกอบกับก้อนเมฆในงานศิลป์จะเป็นต้นสนเสียมาก แต่ในทางปฏิบัติจริงน่าจะมีความแตกต่างระหว่างการเขียนภาพและการแกะสลักอยู่บ้างแหละน่า
เมื่อตอนที่กำลังเขียนภาพจะใช้แปรงเพื่อลงเส้นขอบใบไม้และกิ่งก้านเขียวชอุ่ม แต่หากพยายามที่จะทำเช่นเดียวกันเมื่อตอนที่กำลังแกะสลักน้ำแข็งก็อาจจะทำให้ผลงานแกะสลักทั้งชิ้นละลายเอาได้ง่ายๆแทน พูดง่ายๆก็คือกิ่งก้านและใบบางเกินไปและชิ้นน้ำแข็งบางๆก็ละลายได้ง่ายมากๆเลยด้วย
ดังนั้นเมื่อวันก่อนหยวนโจวจึงตัดสินใจที่จะใช้ต้นท้อแทน ที่จริงแล้วต้นท้ออยู่ในช่วงฤดูหนาว ทำไมถึงต้องเป็นต้นท้อด้วยเล่า? เพราะมีเพียงในฤดูหนาวเท่านั้นที่ต้นท้อจะมีกิ่งก้านมากมาย ด้วยเหตุนี้เขาจึงจะสามารถหลีกเลี่ยงการแกะสลักส่วนใบเล็กๆน้อยๆพวกนั้นและเข้าถึงสมดุลที่แท้จริงได้
อันที่จริงช่างฝีมือเป็นจำนวนมากไม่ทราบว่าพวกเขาจะรังสรรค์ชิ้นงานศิลปะที่พวกเขาทำออกมาเช่นไรดี พวกเขาจึงได้แต่ให้ความสนใจและใส่ใจในทุกๆรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เมื่อมาถึงขึ้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว ผลงานชิ้นเอกก็จะถูกรังสรรค์ขึ้นมา
ขวับ! ขวับ! ขวับ!
หยวนโจวโบกสะบัดมีดสามครั้งอย่างฉับไวเพื่อไสเอาเศษน้ำแข็งออกไป ทันใดนั้นกิ่งก้านอันแสนละเอียดประณีตก็ถูกสลักเสลาขึ้นมา
ถึงแม้ว่าหยวนโจวจะแกะสลักด้วยเทคนิคที่ออกจะแหกคอกไปสักหน่อยที่เขาเรียนรู้ด้วยตนเอง แต่ก็ยังถือว่ามีเทคนิคลับเป็นของตนเองแหละน่า สิ่งที่เขาสาธิตให้เห็นเมื่อก่อนหน้านี้เป็นเทคนิคที่แม่นยำที่เขาคิดค้นขึ้นมาหลังจากได้รับแรงบันดาลใจมาจากการผ่าแตงโม ด้วยความหลงตัวเองเข้าเส้น หยวนโจวจึงตั้งชื่อเทคนิคนี้ว่าหงสาพยักหน้าสามครั้ง
ทำไมถึงเลือกชื่อนี่น่ะเหรอ? ก็เพราะหยวนโจวคิดว่ามันเท่ห์น่ะสิ
อันที่จริงแล้วผู้คนรอบตัวพวกเขานั้นหาได้รู้เรื่องรู้ราวในการแกะสลักน้ำแข็งแต่อย่างใดไม่ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็รู้สึกประทับใจในเทคนิคลับที่หยวนโจวสาธิตออกมาอยู่ไม่เสื่อมคลาย
“มีแต่เถ้าแก่หยวนเท่านั้นแหละที่สามารถใช้มีดได้ยอดเยี่ยมเช่นนั้น”
“ดูเหมือนกับว่าเขากำลังถ่ายหนังอยู่เลย เทคนิคของเขาเหนือกว่าขั้นสุดยอดไปแล้วล่ะ การแกะสลักก้อนน้ำแข็งไม่ต่างอะไรกับการแกะสลักแครอทเลย ต้องใช้ทั้งเรี่ยวแรงและความแม่นยำ นั่นช่างเป็นวิธีการที่ยากเกินไปแล้ว”
“เถ้าแก่หยวนสามารถทำได้ทุกอย่างเลยตอนที่ถือมีดทำครัวอยู่ในมือ”
ผู้คนต่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการสาธิตฝีมือของหยวนโจวโดยสิ้นเชิง ในความคิดของพวกเขาคงจะเป็นเรื่องแปลกหากเถ้าแก่หยวนจะไม่ยอดเยี่ยมเสียขนาดนั้น
แน่นอนว่าผู้คนส่วนหนึ่งย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัยแทน
“อืม นั่นดูเหมือนจะน่าประทับใจ แต่มองไปที่หยางซู่ซิน เขาก็แค่ต้องการหัวมังกรเก้าหัวเพื่อให้ผลงานแกะสลักของเขาเสร็จสมบูรณ์ ทำไมผลงานแกะสลักของเถ้าแก่หยวนถึงยังรู้สึกคลุมเครือมากอยู่เลยนะ? ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเขาจะแพ้หรือเปล่า?”
“พูดเหลวไหลอะไรกัน? เถ้าแก่หยวนจะแพ้ได้ยังไง? นายเคยเห็นเถ้าแก่หยวนแพ้ด้วยรึ?”
มีคนอยู่สี่กลุ่มคือ ลูกค้าของร้าน ผู้พักอาศัยละแวกข้างเคียง ผู้มาเยือนถนนเถ่าซืออยู่บ่อยๆและคนเดินเท้าที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนเอาไว้ได้
นอกเหนือไปจากกลุ่มสุดท้ายแล้ว สามกลุ่มแรกก็ถือว่าหยวนโจวเป็นคนในครอบครัว สำหรับพวกเขาแล้วหยางซู่ซินก็เป็นแค่คนนอก ดังนั้นพวกเขาจึงคอยสนับสนุนหยวนโจว
อย่างที่กล่าวมาแล้ว ผลงานแกะสลักของหยวนโจวก็ดูค่อนข้างคลุมเครือทีเดียว ดังนั้นหลังจากที่เขาทำต้นท้อเสร็จแล้วก็เริ่มจัดผลงานแกะสลักทั้งหมด
“ด้วยต้นไม้พวกนี้ ก้อนเมฆก็จะดูเด่นชัดมากขึ้น”
“และมังกรที่ติดตามอยู่หลังก้อนเมฆ”
“สุดท้ายมังกรและก้อนเมฆก็จะมาบรรจบเข้าด้วยกัน”
หยางซู่ซินที่อยู่ด้านข้างเองก็อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของผลงานแกะสลักของเขาแล้ว เขาทำมังกรเสร็จไปแปดตัวแล้ว มังกรตัวสุดท้ายก็คือมังกรขนดที่ยังขาดหัวมังกรไป มังกรขนดตัวนี้จะต้องอยู่ตรงกึ่งกลางของมังกรทั้งเก้าตัวทั้งยังมีขนาดใหญ่มากที่สุดอีกด้วย ชั่วเวลาสั้นๆมันเป็นมังกรที่แกะสลักได้ยากที่สุดเลยทีเดียว
อาจดูเหมือนว่าหยางซู่ซินห่างจากความสำเร็จเพียงก้าวเดียวเท่านั้นแล้ว หากเขาแกะสลักมังกรตัวสุดท้ายไม่สำเร็จแล้วล่ะก็ผลงานทุกชิ้นคงได้พังพินาศเป็นแน่ ในขณะนี้แรงกดดันของเขากำลังเพิ่มขึ้นผสานเข้ากับความเหนื่อยล้าของเขา
ผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าเป็นที่ยอมรับจากช่างแกะสลักน้ำแข็งมากมายมาตั้งแต่สมัยโบราณว่าเป็นผลงานที่ยากจะทำให้เสร็จสมบูรณ์ได้มากที่สุด พวกเขาได้ใช้เวลาไปแล้วถึงสามชั่วโมง
ลืมเรื่องอื่นไปก่อน แม้ว่าจะยืนถือมีดโบกสะบัดไปมากลางอากาศอยู่ 180 นาทีเป็นใครก็คงต้องรู้สึกเหนื่อยล้ามากอยู่แล้ว สามารถจินตนาการได้เลยว่าการแกะสลักน้ำแข็งจะต้องเหนื่อยล้ามากเพียงใดเมื่อต้องมุ่งความสนใจทั้งหมดไปกับมัน
ดังนั้นนี่ก็คือการทดสอบครั้งยิ่งใหญ่ของทั้งหยวนโจวกับหยางซู่ซิน พูดตามตรงก็คือหากไม่ใช่เพราะหยางซู่ซินไม่อยากแพ้หยวนโจวแล้วล่ะก็เขาคงได้ยอมแพ้ไปแล้วล่ะ ส่วนหยวนโจวนั้น เขามักจะเป็นคนดื้อรั้นอยู่เสมอ เขารู้สึกว่าไม่อาจยอมแพ้เช่นนั้นได้ จิตใจของเขาหาเคยเกรงกลัวการปะทะกันซึ่งๆหน้า หากฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมแพ้เขาเองก็ไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้เช่นกัน
และเวลาก็ผ่านไปสามชั่วโมงครึ่งทั้งแบบนั้น
โลกถูกแบ่งออกเป็นเก้าส่วน และทั้งเก้าส่วนก็ได้กลายเป็นมังกรนพเก้าที่เหลือบแลไปยังโลก นี่คือสาระสำคัญของผลงานของหยางซู่ซิน มังกรที่เขามีก็คือ มังกรเหิน มังกรทะยาน มังกรในเมฆา มังกรขนด มังกรม้วนตัว มังกรหมอบ มังกรประจัญบาน มังกรคำรามและมังกรกวนสมุทร ตัวที่พุ่งขึ้นฟ้าคือมังกรเหิน มังกรในเมฆาและมังกรคำรามส่วนตัวที่พุ่งลงพื้นดินคือมังกรม้วนตัว มังกรหมอบและมังกรขนด
ในแม่น้ำคือมังกรประจัญบาน มังกรทะยานและมังกรกวนสมุทร โดยที่มังกรประจัญบานแลดูดุร้ายด้วยกรงเล็บที่กวัดแกว่งไปมาตรงหน้าราวกับทุกเศษเสี้ยวของท้องฟ้าจะถูกกวาดล้างด้วยกรงเล็บในครั้งเดียว ส่วนมังกรหมอบจะนอนอยู่กับพื้นเงียบๆดูเหมือนจะผสานเข้ากับขุนเขาราวกับขุนเขาเป็นส่วนหนึ่งของมังกรเองทั้งยังดูเหมือนมังกรที่เกิดขึ้นท่ามกลางขุนเขาอีกด้วย
สุดท้ายยังมีมังกรขนดที่ดูเหมือนจะกำลังขนดตัวราวกับงูเป็นบางครั้งบางคราว เนื่องจากมังกรมีส่วนหนึ่งที่คล้ายกับลำตัวงูที่มีการเพิ่มกรงเล็บเข้ามา วิธีแก้ปัญหาของหยางซู่ซินสำหรับความคล้ายคลึงกับงูก็คือการเผยส่วนหางของมังกรขนดออกมา ถึงแม้จะบอกว่าเมื่อสามารถมองเห็นหัวมังกรได้แต่ส่วนหางก็จะถูกซ่อนเอาไว้ ทว่ามังกรขนดกลับมีทั้งส่วนหัวและหางที่เผยออกมาซึ่งดูไปแล้วช่างทรงพลังอย่างหาใดเปรียบมิได้
มังกรนพเก้าที่โอบล้อมท้องฟ้า พื้นดินและมหาสมุทรให้ความรู้สึกว่าจะไม่มีมังกรตัวที่สิบอีกเนื่องจากเก้าตัวก็เป็นจำนวนที่ครบสมบูรณ์แล้ว
ในที่สุดหยางซู่ซินก็แกะสลักดวงตาของมังกรขนดอันบ่งบอกถึงความสำเร็จของผลงานของเขาออกมา
ในขณะเดียวกัน หยวนโจวก็ประกอบมังกรและก้อนเมฆที่บ่งบอกถึงความสำเร็จของผลงานของเขาออกมาเช่นกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น