องครักษ์เสื้อแพร 849-850
ตอนที่ 849 สอนด้วยการกระทำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังทงลงมือไปและตรงเป้าที่หน้าพอดี รู้สึกพอใจมาก อันนี้ถานเจียงคอยสอนเขามาเป็นพิเศษ ในสนามรบดาบก็เรื่องหนึ่ง ปืนไฟกับธนูก็อีกเรื่องหนึ่ง ยังมีการขี่ม้า และอะไรอีกมากมาย แต่นอกจากพวกนี้แล้ว การปาเป้าก็เป็นศิลปะแขนงหนึ่ง แต่ไม่ค่อยได้ใช้เท่านั้น
ในห้องรับรองใหญ่เพียงนี้ เป้าก็ใหญ่ ปาไม่โดนนั้นไม่ง่าย หวังทงปาไปสองอย่าง ในใจก็รู้สึกพอใจกับความสำเร็จ เดินไปหน้าชายหนุ่มที่กุมใบหน้ากระโดดร้องเสียงดัง ถามเสียงเย็นขึ้น
บานประตูที่ถูกกระเบื้องแตกโดน ก็เริ่มขาด ชายหนุ่มพอเห็นก็รู้ว่าเป็นผู้ที่ดูแลผิวพรรรณมาดี ไหนเลยจะสนใจตอบ หากเอาแต่กุมใบหน้าส่งเสียงร้อง
ในห้องรับรองเงียบมาก นอกจากเสียงร้องแล้ว ก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นอีก หวังทงถามไปอีก เงียบจนน่าแปลกใจ มองซ้ายมองขวา ก็พบว่าไม่ว่าจางเหลียนเซิงหรือซิ่วเอ๋อร์ ล้วนทำหน้าตะลึงค้างอย่างตกใจ
ส่วนบรรดาทหารติดตามอารักขาหวังทงในห้องรับรอง ใต้เท้าตนลงมือคนอื่นแล้วอย่างไร ผู้ใดจะสนใจ กลับเป็นพวกซาตงหนิงด้านนอกได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านใน ก็ชะโงกหน้าเข้ามาดูจากอีกประตูหนึ่ง
เมื่อครู่กาสุรานั้นแตกกระจาย ใบหน้าซิ่วเอ๋อร์ข้างชายหนุ่มผู้นั้นมีน้ำกระเซ็นโดนไปด้วย สตรีระดับนี้ ย่อมเห็นแก่ใบหน้าตนเองที่สุด ยามนี้ถึงกับอึ้ง และลืมเช็ดใบหน้าตน
หวังทงยิ้ม หันไปบอกสาวใช้ที่อึ้งไปเช่นกันว่า
“ใบหน้าคุณหนูเจ้าเลอะแล้ว ยังไม่รีบเช็ดอีก!”
วาจานี้ทำให้สาวใช้ได้สติทันที รีบควักผ้าเช็ดหน้าเข้าไปเช็ดให้ ยามนี้ชายหนุ่มกับหลายคนที่เริ่มได้สติ สีหน้าเต็มไปด้วยเลือดหันมาตวาดว่า
“เจ้าคนสมควรตาย เจ้ากล้าลงมือกับข้า ข้าจะกวาดล้างเจ้าเก้า…”
กล่าวไม่ทันจบ ก็ถูกหวังทงถีบเข้าที่ท้องน้อยทีหนึ่ง หวังทงถีบไปครานี้แรงไม่น้อย ทำเอาคนทั้งคนกระเด็นออกไปยังระเบียงทางเดินด้านนอก เตะนี้ไม่มีเลือด แต่กลับหนักกว่ากาสุราเมื่อครู่นั้นมาก ชายหนุ่มผู้นั้นกุมท้องดิ้นไปมา ก่อนจะอ้าปากพะงาบๆ แม้แต่เสียงร้องเจ็บปวดก็ไม่อาจส่งเสียงออกมาได้
สาวใช้รีบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดให้ ซิ่วเอ๋อร์กลับผลักสาวใช้ออกรีบกล่าวว่า
“นายท่านหวัง ท่านก่อเรื่องใหญ่แล้ว เพราะอารมณ์ชั่ววูบ นายท่านจางเป็นคนพื้นที่ ก็พลอยเดือดร้อนกับท่านไปด้วย!”
หวังทงหันไปหรี่ตามองจางเหลียนเซิงที่ยืนนิ่งเหมือนหุ่นไก่ไม้ ถามเสียงเย็นขึ้น
“ข้าทำเจ้าเดือดร้อนหรือ?”
จางเหลียนเซิงพอได้ยินก็ตัวสั่น สีหน้าแปรเปลี่ยน แต่ก็ยังงง ส่ายหน้างงๆ ว่า
“เรื่องนี้…”
เมืองหนานจิงนี้เขาถูกรังแกจนชินแล้ว แต่พอมาคิดสถานะหวังทงให้ดี เหมือนว่า…จางเหลียนเซิงขัดแย้งกันในใจอยู่ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าด้านนอกดังมา ชายฉกรรจ์หลายคนบุกเข้ามาในห้อง ในมือมีดาบ ไม่พูดอันใด พอคนหนึ่งก้าวเข้ามา ก็เห็นหวังทงตวัดดาบฟันลงไป
ซาตงหนิงปฏิกิริยาไวสุด พอชายผู้นั้นยกแขน ดาบเขาก็เข้ารับทันที เสียง ‘ฉับ’ ดังขึ้น เลือดอุ่นสาดกระจาย ยามนั้นชายฉกรรจ์ที่เข้ามาส่งเสียงร้องโหยหวนดัง มือที่ถือดาบ ตั้งแต่ต้นแขนถูกฟันเลือดสาดกระจายสี่ทิศ
ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าเข้ามาก็ถึงกับเจอดาบฟันเลือดสาดได้ สาวใช้ในห้องส่งเสียงกรีดร้องดัง ยามนั้นซิ่วเอ๋อร์กลับไม่เหมือนกัน นางไม่เพียงไม่ส่งเสียงร้องดัง ยังกลับดึงแขนสาวใช้ไปหลบอีกมุม
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นกุมแขนส่งเสียงร้องเจ็บปวด คนด้านหลังที่กรูเข้ามาสองสามคน คนหนึ่งแต่งกายเหมือนเป็นหัวหน้า รูปร่างกำยำ ท่าทางดุร้าย พอเข้ามาก็ตวาดดังว่า
“เจ้ากล้าทำร้ายนายน้อยเก้า มีโทษล้างตระกูล สับเป็นหมื่นชิ้น”
ยังพูดไม่ทันจบ กลับเห็นคนด้านหน้าง้างธนูขึ้น ในใจชายฉกรรจ์ตกใจยิ่ง ทว่าสถานที่เช่นนี้ไยมีคนมีธนูติดตัวมาได้กัน แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ อีกฝ่ายอาจไม่กล้ายิง ปากก็ตะโกนขึ้นว่า
“เจ้าคิดก่อการร้ายหรือ?”
ธนูดอกหนึ่งยิงออกมาแล้ว ในห้องรับรองที่ว่างมาก ระยะห่างไม่มาก ไหนเลยจะหลบทัน เร่งรีบเช่นนี้ได้แต่หลบศีรษะ ธนูปักลงที่หัวไหล่ เสียงร้องดังเจ็บปวดย่อมต้องมี ในใจก็ตกใจยิ่ง หากตนไม่หลบ ดอกนี้คงปักเข้ากลางศีรษะแล้ว
เฉินต้าเหอง้างอีกดอก ทหารหลายคนในห้องก็กระชับอาวุธพร้อม พวกที่เข้ามาคิดว่าตนเองกำลังเก่งกล้าแล้ว คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายก็ใช่ย่อย และฝีมือยังโหดกว่าอีกหลายเท่า อยู่ๆ ก็กลับต้องพากันนิ่งอึ้ง หวังทงรับดาบจากอู๋เอ้อร์มา ถามต่อขึ้น
“เมื่อครู่เจ้าหนังเขียวนั่นเป็นผู้ใด ตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดบอกข้าเลย?”
หวังทงหันกลับไปมอง เดินกลับไปนั่งที่ ยามนี้ได้ยินเสียงข้างนอกตะโกนขึ้นว่า
“เข้าไปสังหารพวกมันให้หมดๆ สังหารให้หมดๆ จับมันไปสับเป็นหมื่นๆ ชิ้น ล้างตระกูลมันให้หมด”
ได้ยินเสียงฝีเท้า สื่อชีออกไป กลับเข้ามารายงาน สีหน้าตระหนกหลายส่วน มากระซิบข้างหูหวังทงว่า
“บนเรือนี้เรามีคน 20 พวกเขาอย่างมากก็สิบกว่า ท่านโหวไม่ต้องกังวล”
“สง่าผ่าเผย ข้ากังวลอันใด!”
หวังทงกล่าวไม่ยี่หระ ชายฉกรรจ์หลายคนที่ปิดทางเข้าไว้ยามนี้กลับเปิดทาง มีชายวัยกลางคนหน้าตาดำคล้ำก้าวเข้ามา กวาดตามองรอบๆ มองไปที่จางเหลียนเซิงก่อน เขาเหล่มองจางเหลียนเซิง เสียงเย็นเยียบกล่าวว่า
“นายกองพันจาง วันนี้ช่างกล้าดี ทำร้ายนายน้อยเก้า เจ้ายังคิดมีชีวิตต่อหรือไม่?”
จางเหลียนเซิงร้อนใจ เห็นหวังทงกลับเอาแต่ก้มหน้าไม่พูด หวังทงส่ายหน้ายืนขึ้น ชายวัยกลางคนที่ก้าวเข้ามาในห้องเพิ่งพูด ดาบหวังทงในมือออกจากฝักแล้ว ฟันฉับลงไปทันที
ชายผู้นั้นตกใจ ผู้ใดจะคิดว่าไม่พูดอันใดก็ลงมือ ตกใจหลบไม่ทัน หวังทงบิดข้อมือ ใช้สันดาบตบหน้าชายผู้นั้นอย่างแรง
แรงแขนเขามาก ยังเป็นเหล็กตบใส่หน้า พอตบไป หน้าชายผู้นั้นก็บวมแดง ฟันร่วงหลายซีก พ่นออกมา เลือดกลบปาก หวังทงชักดาบกลับมาตั้งไว้ที่คอต่อ ถามเสียงเย็นเยียบขึ้น
“พวกเจ้าเป็นคนผู้ใดกัน เหตุใดจึงกล้ามากล่าววาจาเหิมเกริมเช่นนี้ได้ ทำไมไม่มีผู้ใดตอบสักคน!”
ชายกลางคนผู้นั้นคิดส่งเสียงสีหน้าเหมือนจะด่าหยาบคาย แต่เพราะดาบจ่ออยู่จึงไม่กล้าพูดเล็ดรอดออกมา ได้แต่กล่าวไม่เต็มเสียงนักว่า
“เจ้าทำร้ายคนจวนเว่ยกั๋วกง เจ้าทำร้ายคุณชายเก้าของจวนเว่ยกั๋วกง เจ้าอย่าคิดว่าเรื่องนี้จะจบง่ายๆ พวกเจาจะไปฟ้องศาลเมืองอิ้งเทียน ศาลต้องส่งคนมา รู้ความแล้วก็ยังไม่วางอาวุธอีก อาจจะยังรักษาศพให้สวยได้อยู่!”
หวังทงอึ้งไป ดาบที่จ่ออยู่ที่คอก็เริ่มบิด ชายวัยกลางคนผู้นั้นคิดว่าหวังทงกลัว กำลังจะพูด หากดาบหวังทงกลับพลิกสะบัด ฟันอย่างแรงลงบนลำคอ ชายผู้นั้นไม่ทันได้ส่งเสียงก็สลบไปทันที
“เห็นท่าทางพวกเจ้าแล้ว คิดว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ใดเสียอีก ไปจับตัวเจ้าหนังเขียวด้านนอกเข้ามา คนที่เขาพามาก็จับตัวมาให้หมด มัดไว้!”
หวังทงออกคำสั่ง บรรดาทหารติดตามอารักขารับคำสั่งพร้อมเพรียง มีคนเปิดหน้าต่างห้องรับรองตะโกนออกไป ทั้งเรือสำราญเริ่มส่งเสียงดังอลหม่านไปหมด
นายน้อยเก้าจวนเว่ยกั๋วกงเดิมยังส่งเสียงตะโกนด่าดังอยู่ตรงระเบียงทางเดิน อยู่ๆ ก็เห็นมีทหารมากมายพร้อมอาวุธวิ่งขึ้นจากชั้นล่าง และคนของตนเองดูแล้วก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบรรดาชายหนุ่มฉกรรจ์เหล่านั้น ถูกจัดการล้มไปทีละคน
เห็นๆ ว่าบอกแล้วว่าเป็นจวนเว่ยกั๋วกง เหตุใดอีกฝ่ายยังไม่รามือ นี่เป็นหนานจิงนะ ระเบียงทางแคบ ไม่ยั้งมือ เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว เลือดอุ่นๆ กระเด็นโดนใบหน้านายน้อยเก้า อยู่ ๆ เขาก็คิดได้ หรือว่ามีคนคิดสังหารตนกัน
คิดถึงตรงนี้ ความห้าวของนายน้อยเก้าก็มลายสิ้นไปทันที ส่งเสียงร้องดังโหยหวนขึ้น ร้องได้ไม่กี่คำ ก็ถูกหมัดอัดเข้าทีหนึ่ง ก่อนจะลากตัวเข้าไปในห้องรับรอง
ในห้องรับรอง ต่อสู้กันรวดเร็วยิ่งกว่า นายน้อยเก้าถูกจับเข้ามาโยนลงที่พื้นตอนนั้น ทุกคนก็ถูกบีบไปรวมอีกมุมหนึ่งแล้ว นายน้อยเก้าถูกโยนไปกองที่เท้าหวังทง หวังทงถือดาบช้อนคางเขาขึ้น ยิ้มกล่าวว่า
“ข้าแม้มีบรรดาศักดิ์ แต่ก็ไม่ถึงขนาดพวกเจ้า เว่ยกั๋วกงยิ่งใหญ่มาก ข้าเป็นแค่โหว ไม่รู้ว่าจะได้สืบทอดไปกี่รุ่น”
ได้ยินเช่นนี้ นายน้อยเก้าแม้ว่าหน้ายังมีโลหิตไหล ก็เห็นได้ว่าสีหน้าซีดเผือด คุณชายเว่ยกั๋วกงกับผู้มีบรรดาศักดิ์มีเรื่องกัน ไม่ได้เปรียบอันใดนัก
หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ทว่าตำแหน่งงานข้าน่าจะดีกว่าเว่ยกั๋วกงสักหน่อย ข้าคือผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร อืม ครั้งนี้ลงใต้มาก็ยังมีสถานะผู้แทนพระองค์ด้วยนะ”
ในห้องคนจากจวนเว่ยกั๋วกงพากันตัวแข็งทื่อ พวกที่มีสติไวก็ได้แต่ก่นด่าตนเอง หวังทงมาถึงหนานจิงแล้ว จางเหลียนเซิงเลี้ยงหัวหน้าตน ทำไมไม่รู้จักคิดบ้าง เว่ยกั๋วกงเป็นผู้นำชนชั้นสูงแดนใต้ แต่ติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทง ยังเป็นหวังทงผู้มีสถานะผู้แทนพระองค์ จะได้เปรียบอันใดกันได้ ผู้ใดล้วนรู้ว่าหวังทงลงใต้มาก็เพื่อสืบเรื่องชนชั้นสูง หากเกิดเป็นจริงล่ะ?
“…ท่านโหว…ใต้เท้าอย่าได้ถือสาข้าน้อย ข้าน้อยสวีจิ่วไม่มีตาดูให้ดี…”
หวังทงเห็นคุณชายเก้าแซ่สวีท่าทางลนลานยิ่ง ก็กลับยิ้ม กล่าวเพียงว่า
“คุณชายสวีสูงส่งนัก ข้าย่อมไม่ทำให้ท่านลำบากใจ ทว่าเรื่องวันนี้ที่ท่านไร้มารยาท ยังให้คนคิดสังหาร ไม่ได้รับการสั่งสอนย่อมไม่ได้ พวกเจ้านำคำข้าไปรายงานนายท่านพวกเจ้า พรุ่งนี้เช้าหน้าที่พักข้าต้องเห็นคุณชายเก้าพวกเจ้ามารออยู่หน้าประตู เลือกคนจวนพวกเจ้าออกมาลงแส้เฆี่ยน 50 เช่นนี้จึงจะจบเรื่อง ข้าอีกสองวันก็จะไปเมืองซงเจียงปฏิบัติหน้าที่ ไม่อาจเสียเวลาปฏิบัติงาน ไสหัวไปได้!”
หวังทงโบกมือ ทหารติดตามหวังทงเข้าไปตัดเชือกที่มัดตัวคนพวกนั้นไว้ คนพวนนั้นไม่กล้ากล่าวอันใดต่อ รีบเข้าไปประคองคุณชายเก้าพวกเขา ก่อนจะรีบล่าถอยออกไปทันที หวังทงหันไปมองจางเหลียนเซิงที่ยืนตาค้าง ยิ้มกล่าวว่า
“องครักษ์เสื้อแพรเราหากไม่แสดงบารมี ก็ย่อมเสียเกียรติฝ่าบาท ทำลายเกียรติราชสำนัก”
ตอนที่ 850 เผาให้สิ้นซาก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ได้ยินหวังทงกล่าว จางเหลียนเซิงอึ้งไป ได้แต่ปรับสีหน้าครู่หนึ่ง เดิมกำลังตื่นตระหนกก็ค่อยๆ มั่นใจมากขึ้น เอวที่งอก็เริ่มยืดขึ้น
หนานจิงกับเมืองหลวงห่างกันไหกล ตั้งแต่ย้ายเมืองหลวงไป ศูนย์กลางการปกครองก็ไปอยู่ตอนเหนือ แต่แดนใต้ก็ยังเป็นศูนย์กลางภาษีของแผ่นดินหมิง เป็นพื้นที่สำคัญแผ่นดินหมิง ต้องคุมให้อยู่
ดังนั้นพื้นที่สำคัญใจกลางแดนใต้อย่างเมืองหนานจิงจึงมีการจัดระเบียบที่สอดรับกับเมืองหลวง กล่าวคือ เว่ยกั๋วกงตระกูลสวีเป็นดังตัวแทนขุนนางบู๊ชนชั้นสูง เสนาบดีกรมทหารหนานจิงตัวแทนระบบขุนนางบุ๋น ขันทีใหญ่ประจำหนานจิงตัวแทนราชสำนักฝ่ายใน สามฝ่ายร่วมกันควบคุมดูแลหนานจิง ควบคุมบริหารแดนใต้
ในนี้ เสนาบดีกรมทหารหนานจิงบางครั้งปีหนึ่งเปลี่ยนหลายคน ขันทีใหญ่ประจำหนานจิงอย่างมากก็ไม่เกิน 10 ปี เปลี่ยนบ่อยมาก สองตำแหน่งนี้เหมือนว่าเปลี่ยนเร็วราวกับโคมไฟหมุนได้ที่เปลี่ยนรวดเร็ว มีเพียงเว่ยกั๋วกงตระกูลสวีที่อยู่ประจำเมืองหนานจิง แต่ต้นจนบัดนี้ก็รับหน้าที่ดูแลหนานจิง
เว่ยกั๋วกงตระกูลสวีในสายตาชาวหนานจิง ก็เป็นเหมือนผู้นำแดนใต้ เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดและสูงส่งที่สุดอีกด้วย
คุณชายเก้าตระกูลสวีวางอำนาจครองเมืองหนานจิง ย่อมไม่เห็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรในสายตา วันนี้จางเหลียนเซิงรู้ว่านายตนเองเป็นติ้งเป่ยโหว เป็นถึงผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรและยังเป็นถึงผู้แทนพระองค์ แต่กลับไม่กล้าเอาเรื่องคุณชายเก้าผู้นั้น มีท่าทีหวาดกลัวอย่างมาก
จนกระทั่งตอนหวังทงลงมือ ได้เห็นหวังทงจัดการรุนแรงราวกับตีสุนัขตาย คนตระกูลสวีแม้แต่จะเคืองแค้นก็ไม่กล้า ได้แต่มีท่าทีหวาดกลัว จางเหลียนเซิงรู้สึกว่าเบื้องหน้าฟ้าเปิดแล้ว เว่ยกั๋วกงตระกูลสวีคืออะไรกัน ที่แท้องครักษ์เสื้อแพรสามารถเบ่งบารมีได้เช่นกัน
ตนเองได้ปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่เช่นหวังทงได้ วันหน้าในเมืองหนานจิงนี้ ในแดนใต้นี้ ใช่ว่าจะวางอำนาจได้เหมือนกันหรอกหรือ จะไม่ต้องคอยระวังตัวอีก จะไม่ต้องอดกลั้นกับเพื่อนร่วมงานและลูกน้องอีกแล้ว แสงสว่างเบื้องหน้าเห็นรำไรแล้ว
ไม่พูดถึงจางเหลียนเซิงที่เริ่มรู้สึกดี พวกคนตระกูลสวีวางอำนาจเหิมเกริมก็ส่วนวางอำนาจเหิมเกริม แต่ก็รู้ความหนักเบามาก พอได้ยินเบื้องหน้าคือหวังทง ก็ไม่มีใครหาทางเอาคืน ได้แต่ก้มหน้าก้มตาพันแผลให้คนบาดเจ็บไป จนกระทั่งลงเรือเล็กจากเรือสำราญไป
ส่วนพรุ่งนี้ส่งมาให้โบยหรือไม่ ก็ย่อมเป็นเรื่องของเว่ยกั๋วกงแล้ว ผู้น้อยเช่นพวกเขาย่อมไม่อาจตัดสินใจแทนได้
หลังมีเรื่องกันเสร็จ ในห้องรับรองมีแต่คราบโลหิต งานเลี้ยงฟังเพลงดีๆ ไม่อาจดำเนินต่อได้ดังเดิม ซิ่วเอ๋อร์เรียกได้ว่านิ่งมาก สาวใช้หลายคนพากันขวัญเสียไปหมดแล้ว
พอสวีจิ่วหรือคุณชายเก้าจากไป พวกหวังทงก็ลงจากเรือสำราญ ยามนี้เรือสำราญเทียบท่าแล้ว เรือสำราญมีแขกอื่นอยู่อีก ได้ยินเสียงต่อสู้กันเมื่อครู่ รู้ว่าคนที่สู้กันเป็นผู้ใด ผู้ใดก็ไม่กล้ายุ่งเกี่ยวด้วย แม้ว่าอยากร่วมชมความสนุกก็ต้องดูว่าตนเองนั้นคอแข็งพอรับคมดาบหรือไม่
จางเหลียนเซิงยามนี้สยบให้หวังทงหมดสิ้นแล้ว แม้แต่ซิ่วเอ๋อร์ก็ไม่สนใจ ตามหวังทงติดหนึบลงจากเรือสำราญมา แต่พอตอนจะก้าวขึ้นฝั่ง ก็เห็นพ่อบ้านเรือสำราญตามมารั้งไว้
พ่อบ้านเรือสำราญสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ก็มาขวางด้านหน้าไว้ กล่าวเพียงว่า
“เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ข้าน้อยตัดสินใจเองไม่ได้ รอให้นายข้าน้อยมาก่อน ขอนายท่านรอสักครู่จัดการเรื่องราวให้เรียบร้อยก่อน”
ด้านบนปล่อยนายน้อยตระกูลสวีบุกขึ้นไป ตอนนี้ทางเรือสำราญยังมารั้งตัวไว้อีก หน้าตาจางเหลียนเซิงถูกฉีกหมดสิ้นแล้ว ยามนี้เขาก้าวขึ้นมาด้านหน้า หันไปตบหน้าพ่อบ้านผู้นั้นอย่างแรงสิบกว่าที ตวาดด่าดังว่า
“เจ้าสุนัขตาบอด ไม่รู้หรือว่านี่คือท่านติ้งเป่ยโหว ท่านโหวผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร? ถึงกับกล้ามาขวางทางได้!!”
พ่อบ้านผู้นั้นถูกตบแก้มแดงเป็นปื้น แต่กลับเงยหน้าจ้องจางเหลียนเซิงเขม็ง ลงคุกเข่าบนพื้นเรือ ยังไงก็ยังคงต้องการขวางทุกคนไว้ ได้แต่กล่าวว่า
“นายกองพันจางอย่าทำข้าน้อยลำบากใจ นายท่านให้ข้าน้อยมาดูแลเรือสำราญนี้ วันนี้กลับเละเช่นนี้ นายท่านต้องถามสาเหตุ…”
จางเหลียนเซิงยังจะด่าต่อ แต่หวังทงกลับรั้งไว้ ยิ้มกล่าวว่า
“ไม่อยากเอาเรื่องเจ้าแล้ว ข้าจะรอนายเจ้ามาก็แล้วกัน ส่งคนไปตามมาสิ นายเจ้าคืนนี้ไม่มา ข้าจะสังหารเจ้าทิ้ง จากนั้นก็ส่งกลับไปรายงานแทน”
สีหน้าหวังทงมีรอยยิ้ม น้ำเสียงนุ่มนวล แต่พอกล่าวเช่นนี้ พ่อบ้านที่ท่าทีไม่แข็งไม่อ่อนก็สะดุ้งสุดตัว โขกศีรษะลงกับพื้น รีบสั่งคนจัดการ
เรือไป๋หลันแล่นบนแม่น้ำฉินไหวเหอ มีเรือเล็กไม่น้อยตามมา ก็เพื่อมารอรับฟังบทเพลงของซิ่วเอ๋อร์ คนมากมายเช่นนี้ตามมา เหตุบนเรือก็ย่อมรู้กันทั่ว พวกหวังทงรออยู่บนฝั่ง คนที่รอดูเรื่องสนุกกันรอบๆ ไกลออกไปก็ไม่น้อย บนแม่น้ำฉินไหวเหอ ทิวทัศน์งดงาม ยามนี้มีเรือสำราญไม่น้อยแล่นอยู่ แต่ตอนนี้พากันหยุดลง แขกไม่น้อยกับผู้หญิงก็ออกมามองตามหน้าตาและบนดาดฟ้าเรือ รอดูเรื่องว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
หวังทงในเมื่อรออยู่ที่นี่ คนเรือไป๋หลันไม่กล้ารั้งอันใดอีก แต่เป็นคำสั่งองครักษ์ของหวังทงให้นำโต๊ะเก้าอี้บนเรือลงมาตั้งวางริมฝั่งและจัดเตรียมสุราอาหารอีกครั้ง หวังทงนั่งดื่มสุราอย่างสบายอารมณ์ ดื่มไปก็ชมทิวทัศน์ริมแม่น้ำไป
“เฉิงหย่งป๋อ เยว่เจียงหนาน เป็นตำแหน่งที่ได้แต่งตั้งมาในรุ่นก่อน ว่ากันว่าตอนนี้ไม่เท่าไร เหตุใดตระกูลเว่ยกั๋วกงยังคงไว้หน้าอีก พ่อบ้านนี่ถึงกับยังใจกล้าเช่นนี้อีก?”
มีเรื่องหนึ่งหวังทงยังไม่ทันเอ่ยถึงก็คือ การที่อยู่หนานจิงแล้วสามารถมีเรือไป๋หลัน เรือสำราญหอคณิการะดับนี้ริมน้ำแห่งนี้ ย่อมเป็นการแสดงถึงอำนาจบารมีแล้ว
จางเหลียนเซิงอย่างไรก็คนในพื้นที่ เรื่องนี้ย่อมรู้ อธิบายกล่าวว่า
“ตอนขันทีใหญ่ประจำหนานจิงหูจื้ออันอยู่ในตำแหน่งที่นี่ ตระกูลเยว่เคยให้ความช่วยเหลือ อาศัยบารมีนี้ ตระกูลเยว่ก็นับว่ามีที่พึ่งแล้ว มีขันทีใหญ่ให้การสนับสนุน ก็ย่อมมีหน้ามีตา”
สำหรับจางเหลียนเซิง ขันทีใหญ่ประจำหนานจิงเป็นสายสัมพันธ์ชั้นสูงที่ไม่อาจตะกายไปถึงได้ ขณะเขากล่าวนั้นก็ย่อมใจเต้นไม่น้อย ตามมาด้วยคิดถึงเรื่องวันนี้ที่ตนได้ล่วงเกินเว่ยกั๋วกงตระกูลสวีไป หากจะล่วงเกินตระกูลเยว่อีกก็คงไม่เท่าไรแล้ว ความกล้าเริ่มมาอีกแล้ว
ขันทีใหญ่ประจำหนานจิงหูจื้ออัน ตอนนั้นยังเป็นขันทีธรรมดา เคยไปเทียนจินร่วมตรวจสอบ เขาอยู่ฝ่ายหวังทง กลับเมืองหลวงไปก็ได้รับแต่งตั้งให้มามีหน้ามีตาที่หนานจิงนี่
หูจื้ออันย่อมไม่เล่าเรื่องความลับในวังให้คนอื่นฟัง คนอื่นก็ย่อมรู้สึกว่าบารมีมหาขันทีเช่นเขาในวังนั้นยิ่งใหญ่มาก ซึ่งก็จริงอยู่ แต่หูจื้ออันตำแหน่งนี้ต่อหน้าหวังทงแล้วไม่เท่าไร หวังทงสนิทสนมกับขันทีระดับใดในวัง เขามันระดับใดกัน เรื่องนี้ทุกคนรู้ดีแก่ใจ
ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบมาอย่างเร่งรีบ องครักษ์ของหวังทงมารวมตัวกัน พอได้ยินเช่นนี้ก็เตรียมพร้อมป้องกันแน่นหนา
ทว่าก็คลายความป้องกันลงอย่างรวดเร็ว เห็นชายผู้หนึ่งนำผู้ติดตามรีบควบม้ามา พอเห็นคนผู้นี้มา พ่อบ้านใบหน้าบวมแดงก็รีบวิ่งเข้าไปรายงาน พอไปถึงเบื้องหน้า ไม่ทันได้พูด ก็ถูกชายผู้นั้นถีบหงายลงกับพื้น ผู้ติดตามด้านหลังรีบเข้ามาจับตัวไว้ ชายผู้นั้นเดินตรงมาทางหวังทง
“นี่ก็คือเฉิงหย่งป๋อ…”
จางเหลียนเซิงกระซิบแนะนำ หวังทงยิ้มกำลังจะพูด เฉิงหย่งป๋อ เยว่เจียงหนานกลับคำนับก่อน พอลุกขึ้นก็กล่าวว่า
“ข้าน้อยละอายใจยิ่ง ท่านโหวอย่าได้ตำหนิ คนข้าน้อยสมองพิการเลอะเลือน จึงได้ถึงกับไม่รู้ดีชั่ว ทำให้ท่านโหวเสียเวลาเดินทาง ขอท่านโหวโปรดอภัยด้วย”
เห็นหวังทงนั่งยิ้มนิ่ง เยว่เจียงหนานกัดฟัน หันไปคว้าดาบจากผู้ติดตาม ให้คนกดตัวพ่อบ้านเรือไป๋หลันไว้ กล่าวว่า
“คนผู้นี้ล่วงเกินท่านโหว ช่างสมควรตาย ข้าน้อยจะจัดการเสียเดี๋ยวนี้”
กล่าวจบก็ตวัดดาบฟันลงไป คนรอบๆ สูดลมหายใจเฮือก เว่ยกั๋วกงเป็นตระกูลอันดับหนึ่ง เฉิงหย่งป๋อหลายปีนี้ก็มีเกียรติไม่น้อย เหตุใดต่อหน้าหวังทงจึงต้องระวังเพียงนี้ ถึงกับสังหารคนตัวเอง หน้าตาไม่ต้องการแล้วหรืออย่างไร?
“หยุดเขาไว้!”
ทางนั้นยกดาบขึ้น หวังทงก็กล่าวขึ้น อู๋เอ้อร์ข้างกายหวังทงไวพอที่จะยั้งเฉิงหย่งป๋อไว้ ยกดาบกันดาบไว้ทัน หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“พ่อบ้านเจ้าผู้นี้ก็เพราะซื่อสัตย์ภักดี และก็ปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่จำเป็นต้องทำให้เขาลำบากใจ”
นับว่าให้ทางลงแล้ว เฉิงหย่งป๋อย่อมไม่ดึงดัน กำลังจะขอบคุณ หวังทงกลับกล่าวอีกว่า
“รบกวนเฉิงหย่งป๋อนำน้ำมันกับฟืนมาที!”
ได้ยินหวังทงขอเช่นนี้ เยว่เจียงหนานอึ้งไป แต่ก็ยังคงรีบสั่งให้คนไปนำมา หอคณิกาและหอสุราริมแม่น้ำฉินไหวเหอมากมาย น้ำมันกับฟืนก็ย่อมมีพร้อม นำมาได้ไม่ยาก
ไม่นานก็มากองเต็มฝั่ง ยามนี้คนมุงรอบๆ ก็มากขึ้นเรื่อยๆ บนผืนนี้ก็มีเรือจอดนิ่ง ล้วนจอดดูเรือสำราญ สถานการณ์เริ่มครึกครื้นขึ้นเรื่อยๆ
เห็นกองน้ำมันเป็นไห มัดฟืนหลายมัดแล้ว หวังทงก็ยิ้มกล่าวว่า
“เฉิงหย่งป๋อ เรือไป๋หลันวันนี้เกิดเรื่องมากมาย อัปมงคลยิ่ง เผาทิ้งดีกว่า!!”
พอหวังทงถามเช่นนี้ เฉิงหย่งป๋อเยว่เจียงหนานอึ้งไป ตามมาด้วยไร้วาจา ไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไร หวังทงยิ้มมองเขาไม่กล่าวอันใด เยว่เจียงหนานคิดถึงหลายวันก่อนที่ได้คุยกับขันทีใหญ่ประจำหนานจิงหูจื้ออัน ก็เริ่มเหงื่อซึมหน้าผาก กระทืบเท้ากล่าวว่า
“ท่านโหวกล่าวได้ถูกต้อง เรือไป๋หลันอัปมงคลจริง ควรเผาให้สิ้นซาก”
หวังทงยิ้มพยักหน้ากล่าวอีกว่า
“มา ข้าช่วยท่านป๋อเผาเรือสำราญนี่เอง”
กล่าวจบ หวังทงก็สั่งการไปสองสามคำ พวกทหารหวังทงก็เริ่มก้าวขึ้นเรือ ไล่คนบนเรืออย่างเช่นสาวใช้หรือคนงานที่คอยรับใช้บนเรือ รวมทั้งพ่อครัวลงมาให้หมด
เรือไป๋หลันไร้คนแล้ว เริ่มเทน้ำมันสุมฟืนไปทั่วเรือ เตรียมการเสร็จสรรพ หวังทงรับคบไฟมา ตะโกนดังกังวานว่า
“เผาให้สิ้นซาก!”
โยนคบไฟใส่เรือสำราญ ไฟโหมไหม้ รอบๆ และบนแม่น้ำเงียบกริบ เรือสูงค่าอลังการงดงาม เป็นดังเช่นภาพสัญลักษณ์แม่น้ำฉินไหวเหอเช่นเรือไป๋หลัน ถูกเผาไปเช่นนี้หรือนี่?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น