ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 848-849
ตอนที่ 848 สู้กับหัวปีศาจ
พริบตาที่หัวปีศาจแม่ทัพที่อยู่ตรงกลางเห็นร่างต้นของหัวบิน สีหน้าก็ตกตะลึงเล็กน้อยจากนั้นสายตาก็จับบนร่างหลิ่วหมิงอีกครั้ง ชั่วครู่ให้หลังถึงเอ่ยปากขึ้นช้าๆ
“เจ้าโจรกบฏคนนี้ถึงกับมีศีรษะเทพศีรษะหนึ่ง แล้วเหมือนจะมีแหล่งกำเนิดไอปีศาจเบาบางอีก! ดียิ่งรอข้าสังหารเจ้าแล้วกลืนกินมัน พลังจะต้องก้าวหน้าอย่างมากแน่นอน!”
ศีรษะแม่ทัพพูดจบก็หัวเราะบ้าคลั่ง ร่างกายหมุนรอบหนึ่ง ชั่วพริบตารอบร่างพลันปรากฏปราณดำเส้นหนากลบร่างของเขาไว้ด้านใน เสียงภูตผีคร่ำครวญดังออกมา
หลังปราณดำปั่นป่วนวูบหนึ่งก็ก่อตัวเป็นมนุษย์โครงกระดูกไร้หัวร่างหนึ่ง โครงกระดูกร่างนี้สีดำสนิททั้งร่าง มือเท้าครบถ้วน ผิวกระดูกเห็นลวดลายจิตวิญญาณอยู่เลือนราง
เมื่อหัวปีศาจแม่ทัพท่องมนตร์ประหลาดออกจากปาก มนุษย์โครงกระดูกก็ลุกขึ้นยืนสั่นๆ ร่างกายส่งเสียงดังแครกๆ ติดต่อกัน
จากนั้นดวงตาดุร้ายของหัวปีศาจแม่ทัพก็ฉายแสงสีแดง โครงกระดูกฉับพลันมีไอปีศาจน่าตะลึงสายหนึ่งทะลักออกมา พลังแข็งแกร่งไม่แพ้ร่างต้นของหัวปีศาจนั้น
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว ดวงตาทอประกายสีน้ำเงิน ครู่หนึ่งให้หลังคิ้วก็คลายออก มุมปากเผยรอยยิ้มหยันจางๆ ออกมา
“โจรกบฏ ตายเสียเถอะ!”
หัวปีศาจแม่ทัพหยุดท่องมนตร์แล้วหัวเราะบ้าคลั่ง อ้าปากพ่นปราณดำสายหนึ่งลงบนโครงกระดูก
การเคลื่อนไหวของโครงกระดูกไร้หัวว่องไวขึ้นในทันใด มือสองข้างปราณดำส่องสว่าง เคียวกระดูกสูงกว่าคนสีดำสนิทเล่มหนึ่งปรากฏออกมา จากนั้นร่างกายก็กระโจนอย่างไม่ลังเลสักนิดโถมเข้ามาหาหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงสีหน้านิ่งสงบประหนึ่งสายน้ำ สองแขนที่ทิ้งอยู่ข้างกายพลันกำหมัดแน่น ปราณดำม้วนออกมา แขนกลายเป็นหยกดำแกะสลักในทันที
เวลานี้โครงกระดูกไร้หัวพลันยกมือขึ้น ง้าวกระดูกกลายเป็นแสงสีดำสนิทสายหนึ่งฟันลงมาหาหลิ่วหมิง
ดวงตาหลิ่วหมิงฉายแสงสีน้ำเงิน แขนข้างหนึ่งเหวี่ยงต่อยหนึ่งหมัดรุนแรงขึ้นด้านบน
เงาหมัดสีดำสนิทใหญ่เท่าโม่พุ่งประจันเข้าใส่ง้าวกระดูก
เงาหมัดนี้ไม่เหมือนกับที่หลิ่วหมิงใช้ก่อนหน้านี้ ขนาดเล็กกว่ามาก แต่ลายมือแต่ละเส้นและข้อกระดูกบนเงาหมัดล้วนชัดเจนอย่างยิ่งประหนึ่งกำปั้นถูกขยายใหญ่
เมื่อทั้งสองสิ่งชนปะทะกัน ง้าวกระดูกก็ส่งเสียงดังปังแตกเป็นชิ้นๆ กลายเป็นเศษกระดูก
แม้บนเงาหมัดสีดำถูกเฉือนเป็นแผลลึกเส้นหนึ่งเช่นกัน แต่แสงสีดำส่องวูบหนึ่งก็ฟื้นคืนสภาพปกติ นอกจากนี้หลังเงาหมัดสั่นเล็กน้อยวูบหนึ่งก็พาเสียงหวีดหวิวต่อยเข้าใส่โครงกระดูกสีดำต่อ
หัวปีศาจแม่ทัพเห็นสถานการณ์ก็ใจสะท้าน รีบอ้าปากพ่นเคล็ดวิชาสีดำสายหนึ่งออกมา มันร่วงลงบนโครงกระดูกสีดำสนิทประหนึ่งบิน ปราณดำไหลวนพักหนึ่ง พริบตาเดียวก็กลายเป็นชุดเกราะสีดำสนิทประหนึ่งหมึกหุ้มโครงกระดูกไร้หัวไว้
ปราณดำก่อตัวขึ้นบนแขนของโครงกระดูกไร้หัวเกิดเป็นง้าวกระดูกเล่มหนึ่งอีกครั้ง ง้าวสะบัดรุนแรงทีหนึ่ง ปราณง้าวดุดันยาวหลายจั้งสายหนึ่งก็พลันปรากฏออกมาปะทะกับเงาหมัดสีดำ
เสียง “ปัง” ดังสนั่น!
แสงง้าวดำสนิทกับเงาหมัดสลายไปทั้งคู่ กลายเป็นปราณดำสายแล้วสายเล่าหายไปกลางอากาศ
โครงกระดูกไร้หัวถูกแรงที่เหลือกระแทกจนถอยหลังสองก้าวติดถึงตั้งร่างมั่นคงได้
“มองไม่ออกเลยว่าผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ที่พลังไม่สูงอย่างเจ้าจะมีวิชาโจมตีที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ถึงกับโจมตีมารประสานใจนภาสังหารของข้าได้!” หัวปีศาจแม่ทัพเอ่ยเสียงเย็นชา
หลิ่วหมิงได้ฟัง แววเยาะหยันก็แล่นผ่านดวงตาไป เงาคนพร่าเลือนวูบหนึ่งหายไปจากที่เดิมอย่างเงียบเชียบ
หัวปีศาจแม่ทัพตกตะลึง ปากท่องมนตร์อย่างรวดเร็วให้โครงกระดูกสีดำพุ่งถอยกลับมา ง้าวกระดูกในมือฟาดขวางบังหน้าร่างเขาไว้
จากนั้นหัวปีศาจตวาดเบาๆ อีกคำหนึ่ง ศีรษะของเขาก็ส่งเสียงระเบิดดังกึกก้อง อสนีบาตสีน้ำเงินนับไม่ถ้วนลอยออกมาก่อตัวเป็นมังกรอสนีบาตหลายตัวล้อมร่างตนไว้ตรงกลางทันที เพิ่งทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ อากาศด้านหลังหัวปีศาจพลันไหวกระเพื่อม เงาคนสีดำร่างหนึ่งปรากฏขึ้นประหนึ่งภูตพราย
หัวมหึมาฉับพลันหันมาอ้าปากพ่นของเหลวสีเขียวใส่ กลิ่นเหม็นคาวชวนให้คนที่ได้กลิ่นอาเจียนลอยโชยมา
ของเหลวสีเขียวเร็วอย่างที่สุด โฉบแวบเดียวก็โจมตีลงบนหน้าอกของเงาคน
หัวปีศาจเห็นภาพนี้มุมปากก็แสยะหัวเราะคลุ้มคลั่ง ผลปรากฏว่าหัวเราะไปได้ครึ่งเดียว เสียงหัวเราะก็ชะงักหายไป
เงาคนที่ถูกของเหลวสีเขียวโจมตีกะพริบวูบหนึ่งก็กลายเป็นปราณดำก้อนหนึ่งกระจายหายไปกลางอากาศช้าๆ
ทันใดนั้นเงาคนเลือนรางก็โผล่มาอีกด้านหนึ่งของร่างหัวปีศาจ หลิ่วหมิงปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ บนร่างเขาสวมชุดเกราะสีเงินชุดหนึ่งตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นสี่ครั้ง!
หนวดสีเงินสี่เส้นดีดออกมาจากแผ่นหลังเขาประหนึ่งสายฟ้าแลบ กระแทกมังกรอสนีบาตสีน้ำเงินที่ขดอยู่รอบศีรษะยักษ์กระจุยอย่างง่ายดาย
หัวปีศาจแม่ทัพพรั่นพรึงจึงตวาดเสียงดังออกมา โครงกระดูกไร้หัวข้างกายเหวี่ยงง้าวกระดูก ประกายแสงสีดำบนง้าวสะท้อนวูบวาบ เคลื่อนไหวหลายกระบวนท่าต่อกันจนพริบตาเดียวกลายเป็นเงาง้าวสีดำสนิทหลายสิบเล่มถักทอเป็นตาข่ายง้าวสีดำสนิทขวางเบื้องหน้าหนวดสีเงิน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาก็ฉายประกายเย็นเยียบ สองมือขยับประหนึ่งวงล้อ
หนวดสี่เส้นบนแผ่นหลังฉายประกายสีเงิน สุดปลายพลันกลายเป็นกรงเล็บอสูร ด้านบนมีหนามแหลมชิ้นแล้วชิ้นเล่างอกออกมาทิ่มเข้าใส่ตาข่ายง้าวสีดำอย่างแรง
เสียง “ชิ้ง” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
หลังเสียงประหลาดคล้ายโลหะดังขึ้น ตาข่ายง้าวสีดำก็ขาดกระจุยตาม!
แสงสีเงินสว่างวูบ หนวดสีเงินฉับพลันพุ่งกลับมาดั่งสายฟ้าแลบ หนวดสี่เส้นรัดโครงกระดูกไร้หัวไว้แน่นหนาแล้วหิ้วอยู่หน้าร่างหลิ่วหมิง
หัวปีศาจแม่ทัพหน้าถอดสี ปากท่องมนตร์ไม่หยุด โครงกระดูกสีดำพยายามดิ้นให้หลุด มันส่องแสงสีดำวูบวาบเหวี่ยงแขนขาไม่หยุด เสียงกระดูกดังกึกๆ พักหนึ่ง
“มารประสานใจนภาสังหารอันใด ก็แค่กระดูกชั่วร้ายไม่กี่ชิ้นรวมกันกลายเป็นโครงกระดูกร่างหนึ่งแล้วใช้พลังเวทของตนเซ่นสังเวยจนกลายเป็นสิ่งที่คล้ายกับร่างแยกเท่านั้น! ที่น่าหัวเราะก็คือเจ้ายังสลักลวดลายจิตวิญญาณส่งเดชจำนวนหนึ่งไว้บนนั้นอีก! วันนี้โครงกระดูกนี้จะเป็นอาวุธจิตวิญญาณก็ไม่ใช่ เป็นร่างแยกก็ไม่เชิง ทำจนกลายเป็นของครึ่งๆ กลางๆ ตัวหนึ่งเช่นนี้ เกรงว่าคงสำแดงพลังออกมาไม่ได้สักเท่าไร” หลิ่วหมิงมองโครงกระดูกสีดำที่พยายามดิ้นไม่หยุดเบื้องหน้าแล้วหัวเราะ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นชา
“โจรกบฏเลิกพูดไร้สาระ!”
หัวปีศาจแม่ทัพได้ฟังพลันหน้าถมึงทึงด่าขึ้นเสียงดัง แต่คล้ายละล้าละลังอยู่บ้างไม่กล้าโจมตีอันใดมาอีกทันที
“แต่เรียกได้ว่าเจ้าทุ่มเทจิตใจกับการหลอมร่างแยกร่างนี้ ถึงขั้นไม่เสียดายผนึกพลังวิญญาณส่วนหนึ่งไว้ในตัวมัน คิดจะต่อศีรษะของตนเองไว้ด้านบนสินะ หากข้าทำลายโครงกระดูกร่างนี้เสีย ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น?” หลิ่วหมิงหัวเราะหยันทีหนึ่ง บนหัวไหล่ขวาแสงสีน้ำเงินก็สว่างขึ้นมา
เงาวัวสีน้ำเงินตัวหนึ่งลอยออกมา มันส่งเสียงคำรามแล้วอ้าปากกว้าง สูบไปทางโครงกระดูกไร้หัวเบื้องหน้า
ทันใดนั้นปราณดำมากมายพลันผุดออกมาจากโครงกระดูก โถมเข้าไปในปากของเงาวัวสีน้ำเงินประหนึ่งวาฬดูดน้ำ
โครงกระดูกเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีเทาอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวดิ้นรนก็อ่อนแรงลง
“โจรกบฏเจ้ากล้า!”
หัวปีศาจแม่ทัพเห็นเช่นนี้ก็โกรธจัดในทันใด หลังตวาดดุดันคำหนึ่งมังกรอสนีบาตสีน้ำเงินหลายตัวที่ขดอยู่รอบร่างเขาก็ดีดตัวออกมาท่ามกลางเสียงสายฟ้า พวกมันเกี่ยวกระหวัดกะพริบวูบวาบกลายเป็นตาข่ายสายฟ้าใหญ่หนึ่งหมู่กว่า ครอบปิดผืนฟ้าปิดผืนดินมาหาหลิ่วหมิง
ตาข่ายสายฟ้าพุ่งผ่านที่ใดล้วนดึงแสงสีน้ำเงินแสบตาหลายสายออกมาจากกลางอากาศด้วย
ต่อจากนั้นหัวปีศาจตนนี้ก็อ้าปากกว้างอีกครั้ง เสียง “พรวด” ดังขึ้นทีหนึ่ง มันพ่นศรกระดูกสีทองหนาเท่านิ้วมือเล่มหนึ่งออกมา
เสียงแหวกอากาศดุดันแสบแก้วหู!
ศรกระดูกสีทองส่องสว่างครั้งสองครั้งก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อปรากฏร่องรอยขึ้นอีกครั้งก็โผล่อยู่หน้าร่างหลิ่วหมิงห่างไปสองจั้ง มาถึงก่อนทั้งที่ออกมาทีหลัง ความเร็วน่าเหลือเชื่ออย่างแท้จริง
การโจมตีสองครั้งนี้ของหัวปีศาจแม่ทัพ ในที่สุดก็เผยพลังระดับแก่นแท้ของเขาออกมาหมดสิ้น
หากเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายทั่วไป เผชิญหน้ากับการโจมตีอันรวดเร็วประหลาดเช่นนี้ คงยากจะหลบพ้นง่ายๆ
แต่หลิ่วหมิงกลับพาโครงกระดูกพุ่งสวนเข้าไป พร้อมกันนั้นร่างกายก็พร่าเลือนหายไปประหนึ่งอสรพิษไร้กระดูก
เสียง “พรวด” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
ศรกระดูกสีทองพุ่งทะลุผ่านหัวของเขา แต่ปรากฏว่าร่างกายของ “หลิ่วหมิง” กลับเริ่มสลายไป เห็นชัดว่านี่เป็นเพียงเงาร่างหนึ่ง!
ครู่หนึ่งให้หลังหลิ่วหมิงก็พาโครงกระดูกปรากฏตัวขึ้นเป็นเงาดำสายหนึ่งอีกครั้งห่างไปหลายจั้งเบื้องหน้า ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนบนร่างดูดปราณดำบนโครงกระดูกไปกว่าครึ่งแล้ว
เสียง “เปรี๊ยะๆ” ดังขึ้นพักหนึ่ง ทันใดนั้นตาข่ายอสนีบาตนั่นก็มาถึง!
หลิ่วหมิงไม่พูดพร่ำยกแขนข้างหนึ่งต่อยออกไปเบื้องหน้า เงาหัวพยัคฆ์มหึมาสีดำสนิทประหนึ่งหมึกหัวหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วคำรามบ้าคลั่งพุ่งเข้าใส่ตาข่ายสายฟ้าสีม่วง!
เสียง “ฉึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
ตาข่ายอสนีบาตถูกหัวพยัคฆ์โจมตีฉีกเป็นรูใหญ่ประหนึ่งผ้าขาดผืนหนึ่ง
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
เงาคนพุ่งออกมาจากรอยขาดของตาข่ายอสนีบาตสีม่วง หลิ่วหมิงที่หลุดพ้นจากการโจมตีนั่นเอง!
เขาปรากฏกายปุบ มือขวาก็พร่าเลือนวูบหนึ่งแทงเข้าใส่โครงกระดูกไร้หัวที่ยังคงถูกหนวดสีเงินจับไว้แน่นหนาเบื้องหน้า
โครงกระดูกถูกเงาเชอฮ่วนดูดปราณหยินไปมากแล้ว ตอนนี้จึงกลายเป็นสีเทาซีดไปหมด อ่อนแรงยิ่งนัก ห้านิ้วมือขวาแทงเข้าที่กระดูกสันหลังของโครงกระดูกในทันใด
แสงสีดำสว่างขึ้นวูบหนึ่ง เมื่อหลิ่วหมิงรั้งแขนขวากลับมาก็เห็นปราณดำบนมือขวาของเขาหุ้มแสงเปลวเพลิงสีเขียวดวงหนึ่งที่กะพริบไม่หยุดไว้
“เจ้า…” หัวปีศาจแม่ทัพหน้าถอดสีอ้าปากคิดจะตะโกน
หลิ่วหมิงหัวเราะหยันทีหนึ่ง มือขวาก็พลันกำเข้าหากันดังปั้บ ขยี้แสงเปลวเพลิงสีเขียวจนแหลก
หัวปีศาจแม่ทัพฉับพลันกลายเป็นสีเทา อ้าปากพ่นเลือดสีเขียวคำหนึ่งออกมา
“แม้วาสนาบังเอิญให้เจ้าฝึกฝนได้ถึงระดับแก่นแท้ แต่เดิมทีเจ้าก็ไม่ควรอยู่ที่นี่ ให้ผู้แซ่หลิ่วส่งเจ้าไปยังที่ซึ่งสมควรอยู่เถิด!”
หลังหลิ่วหมิงเอ่ยแผ่วเบา สองแขนก็ขยับพร้อมกัน มังกรหมอกพยัคฆ์ห้าตัวพุ่งสลับกันออกมาจากปราณดำนับไม่ถ้วนบนร่างแล้วโถมเข้าใส่หัวปีศาจแม่ทัพ
เสียง “บึ๊ม” ดังกึกก้อง!
มังกรพยัคฆ์ยังไม่ทันแตะถูกหัวปีศาจแม่ทัพก็พากันระเบิด แสงสีดำแถบหนึ่งซัดออกมากลบหัวปีศาจแม่ทัพตนนี้ไว้ด้านใน
วิญญาณของหัวปีศาจแม่ทัพเพิ่งถูกทำร้ายสาหัส ยังไม่ทันตอบโต้ก็จมลงไปในมิติของคุกมืด
มิติรอบตัวมันปราณดำพลุ่งพล่าน จากนั้นภูตผีสีดำขนาดเท่าคนสิบกว่าตนก็กระโดดออกมาโถมเข้าใส่หัวปีศาจในทันใด
“รนหาที่ตาย!”
หัวปีศาจแม่ทัพได้สติปุบเห็นเบื้องหน้ามืดสนิทจึงคำรามโกรธเกรี้ยวในทันที
แม้มันได้รับบาดเจ็บ แต่ภูตผีเหล่านี้เบื้องหน้าพลังแค่ระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น
เสียงเปรี้ยงดังสนั่น!
บนศีรษะของหัวปีศาจอสนีบาตสีน้ำเงินมากมายถี่ยิบส่องสว่างขึ้นอีกครั้ง จากนั้นกลายเป็นวงแหวนสายฟ้าสีน้ำเงินวงหนึ่งแผ่ขยายไปสี่ด้านแปดทิศ กระแทกภูตผีเหล่านี้กระจุยอย่างง่ายดาย
ตอนที่ 849 เนตรทองดวงตาหยก
หลังร่างของภูตผีกระจุย พวกมันก็กลายเป็นปราณดำสายหนึ่งผสานเข้ากับมิติรอบด้านใหม่อีกครั้ง
ในเวลาเดียวกันปราณดำสี่ด้านแปดทิศก็ปั่นป่วนขึ้นพร้อมกัน จากนั้นภูตผีตัวแล้วตัวเล่าก็ปีนออกมา แย่งชิงกันโถมเข้าใส่หัวปีศาจแม่ทัพ
“รนหาที่ตาย!”
แม้หัวปีศาจแม่ทัพพลังสูงกว่าภูตผีเหล่านี้มาก แต่เมื่อมันบาดเจ็บหนักและเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ในที่สุดบนใบหน้าก็เผยความหวาดกลัวจางๆ ออกมา มันคำรามเสียงดังคิดจะปล่อยอสนีบาตสีน้ำเงินออกมาอีกครั้ง
ในเวลานี้เองไม่ไกลหลังร่างของมัน แสงสีทองจุดหนึ่งฉับพลันก็ปรากฏออกมาจากความมืด หลังโฉบวูบหนึ่งแสงสีทองแสบตาอย่างที่สุดสายหนึ่งก็พุ่งมาถึงตรงหน้า เร็วจนลากเส้นสีทองเรียวเล็กเส้นหนึ่งขึ้นกลางอากาศ
หัวปีศาจแม่ทัพหวาดผวาหันกลับไปมองทันที ทว่าจิตกระบี่แหลมคมมาถึงกลางหว่างคิ้วของเขาแล้ว
เสียง “พรวด” ดังขึ้นทีหนึ่ง
หัวปีศาจแม่ทัพไม่ทันแม้แต่จะคิดหลบ แสงกระบี่สีทองก็ทะลวงผ่านหน้าผากของมันแล้วแล่นออกมาจากด้านหลังกะโหลก
กลางท้องฟ้าแสงสีดำสว่างวูบวาบไม่กี่ครั้ง มิติคุกมืดก็ค่อยๆ สลายไป
หัวปีศาจแม่ทัพมหึมาร่วงดิ่งลงจากกลางท้องฟ้า สองตาของมันไร้ประกายอย่างสิ้นเชิง เห็นชัดว่าวิญญาณถูกกระบี่ว่างเปล่าสังหารสิ้นแล้ว
หลิ่วหมิงสะบัดมือส่งปราณดำแถบหนึ่งออกมายกศพของหัวปีศาจไว้ จากนั้นยกมือข้างหนึ่งขึ้นกวัก แสงสีทองส่องสว่างวูบหนึ่ง พริบตาเดียวกระบี่ว่างเปล่าก็ปรากฏขึ้นในมือเขา
ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา มืออีกข้างลูบฝักกระบี่สีเงินอ่อนข้างเอวแผ่วเบา
หลังบำรุงมาสิบกว่าปี พริบตาที่กระบี่ว่างเปล่าออกจากฝัก พลังแตกต่างจากวันวานอย่างแท้จริง
มิเช่นนั้นต่อให้หัวปีศาจแม่ทัพตนนี้จะสภาพร่อแร่อีกเท่าใด พลังก็ยังระดับแก่นแท้ของจริง จะโจมตีสังหารมันคงต้องใช้เวลาไม่น้อย
แต่หากอยากให้กระบี่ว่างเปล่ามีพลังเท่ากับการโจมตีก่อนหน้านี้อีกครั้ง เกรงว่าคงต้องให้มันอยู่บำรุงในฝักกระบี่ใหม่อีกสักหลายปีถึงจะได้
“นายท่าน!”
ในเวลาเดียวกันนี้เสียงกังวานใสของเด็กน้อยก็ดังขึ้น
หลิ่วหมิงได้ยินพลันเอี้ยวศีรษะไปมอง
แสงสีเขียวสว่างวูบเบื้องหน้า หัวบินกลายร่างเป็นเด็กน้อยอีกครั้งก่อนจะทะยานร่างร่อนลงตรงหน้าหลิ่วหมิง มันมองศพของหัวปีศาจแม่ทัพพลางทำหน้ากระหายอยาก
“สังหารวิญญาณร้ายเหล่านั้นหมดแล้วหรือ?”
สายตาของหลิ่วหมิงมองไปรอบด้าน บริเวณเขาสันเขียวหมอกภูตสีเขียวอ่อนลอยกระจายออกไปแล้ว ท่ามกลางความมืดสลัวไม่เห็นภูตผีวิญญาณร้ายสักตัว แต่ไกลออกไปยังได้ยินเสียงภูตผีโหยหวนอยู่บ้างเลือนราง
“พลังเวทของวิญญาณกองทัพเหล่านั้นไม่แข็งแกร่ง แต่พวกมันกล้าหาญไม่น้อย แล้วยังตั้งกระบวนทัพสารพัดแบบได้ด้วย ทว่าหลังถูกข้าโจมตีทลายไปส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็ฉวยโอกาสหนีไปแล้ว” เฟยเอ๋อร์ดูดนิ้วพลางเอ่ยบอก ตั้งแต่ต้นจนจบสายตาไม่ละไปจากศพของหัวปีศาจแม่ทัพเลย
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็พยักหน้า แม้พลังของหัวบินจะใกล้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบของระดับผลึกขั้นปลายแล้ว แต่เผชิญหน้ากับวิญญาณร้ายที่พลังใกล้ถึงระดับของเหลวจิตวิญญาณหลายร้อยตนพร้อมกัน ทำได้เท่านี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
ตอนหลิ่วหมิงออกมาจากนิกายยอดบริสุทธิ์ แมงป่องกระดูกกินโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์เม็ดหนึ่งลงไป มันจึงหลอมกลืนพลังของโอสถอยู่ในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณมาตลอด มิเช่นนั้นถ้าอสูรเลี้ยงทั้งสองตัวลงมือด้วยกันก็คงไม่ปล่อยให้ภูตผีวิญญาณร้ายเหล่านี้หนีไปได้
แต่ในเมื่อหัวหน้าถูกกำจัดแล้ว คิดว่าทหารแตกทัพเหล่านี้ก็คงก่อเรื่องอันใดไม่ได้แล้ว
เห็นหน้าที่น้ำลายไหลสามฉื่อของหัวบิน หลิ่วหมิงก็ยิ้มสบายๆ แล้วสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง โยนศพหัวปีศาจแม่ทัพตนนั้นไปให้
หัวบินร้องตะโกนยินดี ส่ายร่างวูบหนึ่งกลับเป็นร่างเดิมอีกครั้ง
จากนั้นโถมมาหาศพหัวปีศาจแม่ทัพ เริ่มอ้าปากกัดคำโต
หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดกระบี่ กระบี่บินในมือหลุดออกจากมือบินกลับไปในถุงกระบี่ข้างเอว
ผิวของฝักกระบี่สีเงินอ่อนมีประกายสีเงินไหลเคลื่อนพักหนึ่งจากนั้นก็หายวับไป
ไม่นานนักศพมหึมาของหัวปีศาจแม่ทัพก็ถูกเฟยเอ๋อร์กลืนลงท้องจนหมด แสงสีเขียวในดวงตามันหม่นแสงลง เริ่มทำท่าเกียจคร้าน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ดวงตาพลันเป็นประกาย
เดิมทีหัวบินติดขัดเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนไม่ได้เสียที ตอนนี้ได้กินพวกเดียวกันระดับแก่นแท้ตนหนึ่งลงไปจึงเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจมีโอกาสเลื่อนระดับ
คิดถึงตรงนี้ในใจหลิ่วหมิงก็ลอบยินดี มือข้างหนึ่งตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวเก็บหัวบินเข้าไป
“แย่แล้ว เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย!”
ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ กระทืบเท้าทีหนึ่งคนก็กลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่ง เหาะไปยังหุบเขาตระกูลเยี่ยประหนึ่งลมกรด
เขากับหัวปีศาจแม่ทัพสู้ศึกใหญ่กัน ผนึกที่เหลืออยู่คงพังทลายไปหมดสิ้นแล้ว
ภูตผีทั้งหมดของเขาสันเขียวถูกคลื่นพลังเวทอันแข็งแกร่งของทั้งสองทำให้ตกใจหนีไปหมดวิญญาณร้ายส่วนหนึ่งหนีรอดจากมือหัวบินไปได้ หากภูตผีเหล่านี้โจมตีหุบเขาตระกูลเยี่ย ค่ายกลชั้นจำกัดอ่อนแออันนั้นของหุบเขาตระกูลเยี่ยคงต้านทานไม่อยู่อย่างแน่นอน
ระหว่างที่หลิ่วหมิงบินเร็วรี่อยู่เขาก็แผ่จิตสัมผัสออกไปทันที จิตสัมผัสครอบคลุมบริเวณหลายสิบกิโลเมตรรอบด้านอย่างรวดเร็ว
ครู่ต่อมาสีหน้าเขาพลันเคร่งขรึม จิตของเขาสัมผัสได้ว่าภายในหุบเขาตระกูลเยี่ยพังระเนระนาด ด้านในแทบสัมผัสกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตไม่ได้เลย!
บนท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านมีค้างคาวผีสิบกว่าตัวบินวนอยู่
“รนหาที่ตาย!”
หลิ่วหมิงลอบด่าในใจคำหนึ่ง ดวงตาฉายแววดุดัน พลังจิตในทะเลจิตรับรู้ฉับพลันกระแทกรุนแรง คลื่นพลังจิตลูกมหึมาแผ่รอยกระเพื่อมที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าวงหนึ่งออกไป ซัดลงบนร่างค้างคาวผีสิบกว่าตัวนั้นที่อยู่ห่างออกไปเหนือหุบเขาตระกูลเยี่ย
ค้างคาวผีสิบกว่าตัวนั้นที่บินวนเวียนอยู่บนฟ้าเหนือหมู่บ้านตระกูลเยี่ยหัวสมองหนักอึ้งไปวูบหนึ่ง สติพร่าเลือนในทันใด แต่ผ่านไปครู่หนึ่งก็ฟื้นกลับมาเป็นเหมือนเดิม
ตอนนี้เองคลื่นพลังจิตอีกระลอกหนึ่งก็เล่นงานสติของพวกมันอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่รอพวกมันหายดี แสงสีดำสายหนึ่งกลางท้องนภาก็มาถึงประหนึ่งสายฟ้า แสงสีดำรูปพัดสายหนึ่งโถมเข้าขยี้ค้างคาวผีสิบกว่าตัวเป็นชิ้นๆ
แสงสีดำกะพริบวูบหนึ่ง ร่างกายของหลิ่วหมิงก็ร่อนลงกลางหมู่บ้าน
เวลานี้หน้าของเขาซีดอยู่เล็กน้อย
การฝืนโจมตีด้วยคลื่นพลังจิตจากระยะไกลเช่นนี้กินพลังจิตหนักหน่วงอย่างที่สุด เขาไม่เคยฝึกวิชาลับจำพวกนี้มา คลื่นพลังจิตสองครั้งนี้จึงทำให้เขาเสียพลังจิตไปไม่น้อย
เขาตั้งจิต ทันใดนั้นหนอนพลังจิตในอกเสื้อก็ส่งพลังจิตบริสุทธิ์สายแล้วสายเล่ามา ทำให้สีหน้าเขาฟื้นเป็นปกติขึ้นบ้าง
เขาทอดสายตามองไป หมู่บ้านตระกูลเยี่ยในเวลานี้ล้วนเห็นแต่ความพังพินาศ ศาลบรรพชนกลางหมู่บ้านพังถล่ม คลื่นพลังค่ายกลแผ่วจางสายนั้นก็หายไปแล้ว บ้านเกินกว่าครึ่งยังถล่มอยู่กับพื้น มองเห็นศพของชาวบ้านเป็นระยะ เลือดไหลนองพื้น
“ดูท่าจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง!”
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว!
ค้างคาวผีภูตชนิดนี้ชอบกินเนื้อแต่พลังระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น ไม่อาจทำลายชั้นจำกัดของที่แห่งนี้ได้แน่นอน เกรงว่าผู้ร้ายตัวจริงเหล่านั้นคงจากไปนานแล้ว
จิตของเขาแผ่สัมผัสออกไปครอบคลุมทั้งหมู่บ้านอีกครั้ง
“เอ๋!”
ผลปรากฏว่ากวาดไปครานี้กลับทำให้หลิ่วหมิงร้องเอ๋อย่างอดไม่ได้อีกครั้ง
เขาโฉบวูบ เหาะไปถึงหน้าศาลบรรพชนที่พังถล่ม จากนั้นมือข้างหนึ่งยกขึ้นกวัก ดินหินกระเบื้องแตกที่อยู่บนพื้นพลันถูกพลังสายหนึ่งกวาดออกไป เผยทางเข้าห้องใต้ดินรูปสี่เหลี่ยมอันหนึ่งอยู่บนพื้น
บนประตูห้องใต้ดินนี้สลักยันต์ที่ดูลี้ลับจำนวนหนึ่งไว้ แม้ไม่มีพลังป้องกันอันใด แต่กั้นพลังจิตส่วนใหญ่ด้านนอกได้
หากไม่ใช่เพราะพลังจิตของเขาแข็งแกร่งเกินไป เกรงว่าคงหาความผิดแปลกตรงนี้ไม่พบ มิน่าภูตผีพวกนั้นจึงค้นไม่พบว่าข้างใต้นี้มีสถานที่อีกแห่งหนึ่งอยู่!
เขายกมือข้างหนึ่งขึ้น ปราณสีดำสายหนึ่งม้วนออกมาเปิดประตูห้องใต้ดินทันที
ในห้องใต้ดินที่มีขนาดเพียงครึ่งจั้ง เด็กชายอายุหกเจ็ดขวบคนหนึ่งกำลังขดกายที่เต็มไปด้วยฝุ่นดินอยู่บนพื้น ใบหน้ายังคงมีสีหน้าหวาดกลัว แต่ดวงตาทั้งสองของเขาส่องแสงสีทองออกมา ขณะที่ในลูกนัยน์ตากลับปรากฏสีเขียวหยกจุดหนึ่ง
“เนตรทองดวงตาหยกของจริง!” หลังหลิ่วหมิงพิจารณาอย่างละเอียดก็เอ่ยพึมพำขึ้นมา
เขาเคยได้ยินอินจิ่วหลิงเอ่ยถึงเรื่องร่างจิตวิญญาณเนตรทองดวงตาหยก ร่างจิตวิญญาณชนิดนี้ค่อนข้างหายาก ในหมู่ร่างจิตวิญญาณจำพวกดวงเนตร นับว่าค่อนไปทางระดับสูง
เนตรทองดวงตาหยกมีพลังมองทะลุเป็นเลิศ ไม่แพ้ดวงตาแห่งความว่างเปล่าของศิษย์หญิงดวงตาสีเขียวผู้นั้นของสำนักเฮ่าหรานที่หลิ่วหมิงเคยพบ
นอกจากนี้แสงสีทองที่ส่องออกมาจากเนตรทองดวงตาหยกยังมีพลังข่มภูตผีโดยธรรมชาติ เมื่อฝึกฝนจนบรรลุ เพียงพอทำให้ภูตผีส่วนใหญ่ในใต้หล้าได้ยินชื่อก็เสียขวัญ
ทันใดนั้นแสงสีทองในดวงตาทั้งสองข้างของเด็กชายก็หม่นแสง คนโงนเงนล้มลงกับพื้น
หลิ่วหมิงรีบยื่นมือส่งปราณดำสายหนึ่งไปยกร่างเด็กชายมาวางไว้ข้างกาย
หลังสำรวจอย่างละเอียดรอบหนึ่งจึงพบว่านอกจากเด็กชายคนนี้ฝืนใช้พลังเนตรจิตวิญญาณจนเลือดและปราณในร่างเบาบางไปบ้าง อย่างอื่นก็ไม่มีปัญหาอันใด
เขาขยับนิ้วมือกดลงบนร่างเด็กชายติดกันไม่กี่หน สีหน้าซีดเผือดของเด็กชายก็บรรเทาลง ศีรษะเอียงพับหลับใหลไป
เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จหลิ่วหมิงก็หันไปมองรอบด้านอีกครั้งแล้วส่ายหน้า ทั้งหมู่บ้านนอกจากเด็กชาย ไม่มีผู้รอดชีวิตสักคน
สายเลือดที่ผู้ฝึกฝนแซ่เยี่ยเหลือไว้เมื่อพันปีก่อน ท้ายที่สุดกลับพบหายนะตระกูลล่มสลาย ยังดีที่สุดท้ายรักษาสายเลือดน้อยนิดไว้ได้
หลิ่วหมิงขับไล่อารมณ์ด้านลบเล็กๆ นี้ออกไปแล้วสะบัดมือข้างหนึ่ง ปราณดำสายหนึ่งคลุมทั้งหมู่บ้านไว้
พื้นดินสั่นไหวอย่างรุนแรงพักหนึ่ง ก้อนดินนับไม่ถ้วนก็ลอยขึ้นมา ชั่วครู่ให้หลังในหมู่บ้านก็มีสุสานแห่งแล้วแห่งเล่าผุดขึ้น
หลิ่วหมิงอุ้มเด็กชายด้วยมือข้างเดียวแล้วหมุนตัวเตรียมจะจากไป ทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียงหญิงสาวรื่นหูดังขึ้น
“นายท่าน!”
“เซียเอ๋อร์ เจ้าตื่นแล้วหรือ? หลอมกลืนพลังโอสถของโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์หมดแล้วสินะ” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วพลางส่งกระแสจิตถาม
“เซียเอ๋อร์ทำให้นายท่านผิดหวัง ยังไม่อาจทะลวงเข้าระดับแก่นเสมือนได้” เซียเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ
“ไม่เป็นไร ระดับแก่นเสมือนเป็นอุปสรรคก้าวใหญ่บนหนทางการฝึกฝน ข้าก็กำลังตามหาโอกาสในการเลื่อนระดับเช่นเดียวกัน ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นนิ่งๆ พร้อมกันนั้นมือก็ตบข้างเอวเบาๆ
ปราณดำก้อนหนึ่งบินออกมา หลังรวมตัวกันก็กลายเป็นหญิงสาวสวมชุดตาข่ายดำผู้หนึ่ง
“เซียเอ๋อร์ เจ้าดูแลเด็กคนนี้ให้ดี” หลิ่วหมิงส่งเด็กชายในมือให้เซียเอ๋อร์
เซียเอ๋อร์ยื่นมือมารับไป นางมองหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“นายท่าน ท่านคิดจะ…”
“ตอนนี้ภูตผีของเขาสันเขียวหนีกระเจิงไปแล้ว ข้าจะไปสังหารพวกมันให้สิ้น ไม่ให้หมู่บ้านมนุษย์ธรรมดาแห่งอื่นใกล้ๆ ประสบเคราะห์ร้ายอีก”
ไม่รอเซียเอ๋อร์พูดจบ ร่างกายของหลิ่วหมิงก็พร่าเลือนกลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งแหวกท้องนภาจากไป
คืนหนึ่งผันผ่าน
เมื่อฟ้าสางเงาร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวใต้ยอดเขาหลักของเขาสันเขียวอีกครั้ง สีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย
ไล่ล่าเข่นฆ่ามาหนึ่งคืน ในที่สุดภูตผีส่วนใหญ่ก็ถูกกำจัดไปแล้ว อาจมีตัวสองตัวหลุดลอดแหไปได้ แต่คงทำให้เกิดคลื่นลมอันใดไม่ได้แล้ว
ตัวเขาเองก็มีงานสำคัญของตน ไม่อาจชักช้าเสียเวลาอยู่ที่นี่นานเกินไปได้
หลังการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงครั้งนี้ เขาสันเขียวในเวลานี้หมอกภูตที่เดิมหนาทึบสลายหายไปมากนัก แต่ยังคงมีไอหมอกไม่น้อยหลงเหลืออยู่ ราวกับว่ามีบางสิ่งชักนำให้มารวมตัวกันอีกครั้ง
หลิ่วหมิงยืนอยู่เหนือศิลายักษ์ก้อนหนึ่ง สองตาหรี่ลงเล็กน้อยแล้วแผ่จิตสัมผัสออกไปอีกครั้ง
เนิ่นนานหลังจากนั้นเขาจึงลืมตาขึ้น บนใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจจางๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น