หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 846-851
บทที่ 846 ภายในสุสานหลวง!
ด้วยเหตุนี้ ชีวิตก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สถานการณ์ใดก็ตามที่มีผู้เกี่ยวข้องเกินสองกลุ่มย่อมมีผลลัพธ์หลากหลายรูปแบบจนแทบนับไม่ถ้วน ดังนั้นความสัมพันธ์แบบสามทางจึงคลี่คลายและหาประโยชน์ได้ง่ายกว่า หวังเป่าเล่อเองก็เพิ่งทำเช่นนั้นมา ชายหนุ่มใช้เจตจำนงที่ซ่อนเร้นอยู่ของวิชาดวงเนตรปีศาจให้เป็นประโยชน์ ความหิวโหยและความต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปของมัน ทำให้ชายหนุ่มต่อต้านอารยธรรมครามทองคำได้สำเร็จ
เรียกได้ว่า ทั้งตัวเขาและเจตจำนงภายในวิชาดวงเนตรปีศาจสามารถร่วมมือกันได้ระดับหนึ่ง
ขณะที่เจตจำนงภายในวิชาดวงเนตรปีศาจปลดปล่อยพลังของมันออกมา และผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะอย่างจื่อหลัวต้องหวีดร้องและถูกบีบบังคับให้ล่าถอย หวังเป่าเล่อก็พุ่งตัวออกไปราวสายฟ้าและทะลุผ่านรอยร้าวที่จักรพรรดิชราสร้างเอาไว้โดยการสังเวยชีวิตตนเองได้สำเร็จ!
ชั่วอึดใจต่อมา ชายหนุ่มก็พุ่งตัวออกมาจากอาณาเขตที่ถูกผนึก เขาจ้องมองไปรอบกาย จื่อหลัวผู้ซึ่งดูราวกับว่าอยู่ใต้อิทธิพลของคาถามายากำลังถูกล้อมด้วยคลื่นปราณมืดเข้มข้น เขาหายใจหนักหน่วงสลับกับคำรามกู่ก้องอย่างดุร้าย เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามดิ้นให้หลุดจากคาถา คลื่นปราณมืดกระจายตัวออกไป เผยให้เห็นนัยน์ตาแดงก่ำของจื่อหลัว
จื่อหลัวคำรามก่อนจะพุ่งใส่หวังเป่าเล่อทันทีที่สบตากัน เหออวิ๋นจื่อยืนมองอย่างตกตะลึง ขณะที่ตะเกียงทองแดงในมือของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง รัศมีระดับดาวพระเคราะห์ที่อยู่ภายในตะเกียเกรี้ยวกราดและพร้อมที่จะพุ่งออกมาทุกขณะ
ศัตรูของหวังเป่าเล่อยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าเขา ขณะที่เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจอยู่เบื้องหลัง ไม่มีทางเลยที่จะต่อสู้ฝ่าศัตรูออกไปได้ แต่หากชายหนุ่มเลือกที่จะละทิ้งโอกาสตอนนี้แล้วหนี เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจที่เพิ่งถูกบังคับให้ออกมาช่วยเขาก่อนหน้านี้ คงจะโจมตีเขาทันทีและขัดขวางไม่ให้เขาหนีไปได้เป็นแน่
เซี่ยไห่หยางอาจจะเคยสัญญากับเขาไว้ว่าแผ่นหยกที่เคยมอบให้หวังเป่าเล่อจะช่วยเคลื่อนย้ายชายหนุ่มออกไปได้อย่างปลอดภัย แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่เชื่อคำพูดของคนผู้นั้นอีกแล้ว
ชายหนุ่มขณะนี้มีทางเลือกสองทาง หนึ่งคือลองขอให้เซี่ยไห่หยางเคลื่อนย้ายเขาออกไปหรือ…พุ่งไปหาทางออกเดียว ซึ่งก็คือ…ทางออกในดวงตาของรูปปั้น ประตูสู่สุสานหลวง!
หวังเป่าเล่ออาจชั่งใจอยู่บ้างหากเขาอยู่ในร่างจริง ชายหนุ่มอาจเลือกอีกข้อหนึ่ง แต่เพราะขณะนี้ตัวเขาเป็นเพียงร่างอวตารที่หลอมขึ้นมาจากกระบวนท่าสารัตถะ ดวงตาของเขาหรี่ลง
ในวินาทีนั้น ชายหนุ่มทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาใช้กระบวนท่าสารัตถะสร้างร่างอวตารออกมาและแทรกซึมเข้ามาในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อมั่นใจเพียงเรื่องเดียว คือเจตจำนงที่อยู่ภายในวิชาดวงเนตรปีศาจถูกกดดันและผนึกเอาไว้แทบจะตลอดเวลาที่ผ่านมา
แปลว่า เจตจำนงนั้นก็อาจเข้าใจผิด…มันอาจไม่รู้ว่ากำลังอยู่ในร่างอวตาร!
แน่นอนว่า หวังเป่าเล่ออาจเดาผิด ตัวตนที่อยู่ภายในวิชาดวงเนตรปีศาจอาจรู้แล้วก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องนี้ก็เป็นจุดบอด ร่างอวตารจากกระบวนท่าสารัตถะไม่ใช่ร่างอวตารธรรมดาๆ แต่เป็นสิ่งที่ได้รับสืบทอดมาจากศิษย์พี่ของเขา ซึ่งเจตจำนงภายในวิชาดวงเนตรปีศาจไม่อาจเทียบเทียมได้ คงเป็นการยากยิ่งสำหรับเจตจำนงหากจะพยายามควบคุมร่างอวตารนี้ แม้ว่าเจตจำนงจะอยากได้ร่างอวตารของเขาเพียงใด โอกาสสำเร็จของมันก็…ต่ำยิ่งนัก!
ต่อให้ข้าถอยหลังกลับไปพลางมองดูสถานการณ์นี้อีกครั้ง และคิดว่าเขาทำสำเร็จก็ไม่มีความหมายอะไร อย่างเลวร้ายที่สุด ร่างจริงของข้าก็จะได้รับความเสียหายเล็กน้อยเท่านั้น แต่ข้าก็สามารถขอความช่วยเหลือจากปรมาจารย์แห่งไฟได้หากพบเจออันตราย ประกายเยือกเย็นปรากฏขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่อเมื่อคิดเช่นนั้น ชายหนุ่มแผ่เปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายออกไปขณะที่ครุ่นคิด เพื่อป้องกันไม่ใช่เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจอ่านใจเขาได้
หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่ใช่คนเดียวที่ควรต้องกลัว แต่เจ้าเจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจ เจตจำนงที่เหมือนว่าจะเป็นของจักรพรรดิองค์แรกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ต้องกลัวเช่นกัน…นี่เป็นโอกาสของข้าแล้ว ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือเป็นอันขาด!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่รอช้าอีกต่อไป หลังจากที่พุ่งออกจากอาณาเขตผนึก ชายหนุ่มก็มุ่งตรงไปข้างหน้าและฉวยโอกาสที่เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจได้สร้างไว้ให้ ก่อนที่จื่อหลัวจะถึงตัวเขา และก่อนที่รัศมีระดับดาวพระเคราะห์ในตะเกียงจะทำอะไรได้ทัน พุ่งเข้าไปหาดวงตาบนรูปปั้น
ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นและวิตกกังวลที่แผ่ออกมาจากเจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจขณะที่เขาพุ่งตัวออกไป หวังเป่าเล่อหรี่ตาและลดความเร็วลงเล็กน้อย มีเสียงกัมปนาทดังลั่นราวกับสายฟ้าระเบิดขึ้นขึ้นด้านหลัง และจื่อหลัวก็พุ่งออกมาจากผนึกในวินาทีต่อมา รัศมีระดับดาวพระเคราะห์ภายในตะเกียงปลดปล่อยพลังออกมาเต็มที่ ก่อนจะส่งเสียงคำรามพลางแปลงกายเป็นฝ่ามือโปร่งใส่ขนาดใหญ่หมายจะจับตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้
เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจเริ่มตื่นกลัวเพราะหวังเป่าเล่อชะลอความเร็ว แต่จะโทษมันก็คงไม่ได้ โอกาสที่มันรอคอยมานานแสนนานได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้ว ความปรารถนาของมันแรงกล้ากว่าหวังเป่าเล่อเสียอีก แม้ว่ามันจะรู้ว่าชายหนุ่มจงใจลดความเร็วลง ก็ไม่อาจหยุดตนเองไม่ให้โจมตีได้
เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจคำรามก่อนจะใช้คาถามายาอีกคาถาหนึ่งใส่ฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์และจื่อหลัวที่กำลังพุ่งเข้ามาหาหวังเป่าเล่อ
ท่ามกลางเสียงดังสนั่นและคลื่นพลังวิญญาณที่กระจายไปทั่ว เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจก็โจมตีอีกครั้งเพื่อหยุดการรุกไล่ศัตรูของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มเร่งความเร็วขึ้นทันทีและรีบรุดเข้าไปยังดวงตาของรูปปั้น เขาไปปรากฏอยู่ข้างรูปปั้นในชั่วพริบตา ทั้งผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากอารยธรรมครามทองคำและจื่อหลัวต่างก็ทำได้เพียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดขณะที่เฝ้ามองชายหนุ่มพุ่งชนดวงตาของรูปปั้น ก่อนจะทะลุเข้าไปภายในอย่างง่ายดาย!
จื่อหลัวไล่หวังเป่าเล่อทันพอดีกับที่ชายหนุ่มหายตัวเข้าไปในรูปปั้น เขาปล่อยพลังทั้งหมดก่อนจะโจมตีเข้าไปยังดวงตาของรูปปั้นทันที แต่ไม่ว่าการโจมตีของเขาจะรุนแรงเพียงใด ดวงตาของรูปปั้นก็นิ่งสนิทไม่เปลี่ยนแปลง จื่อหลัวติดอยู่ด้านนอก!
“ต้นกำเนิดของรูปปั้นเป็นเรื่องลึกลับ มันอาจเป็นรูปปั้นจักรพรรดิองค์แรกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…หากไม่ได้มีพลังปราณระดับดารานิรันดร์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝ่าเข้าไปได้ด้วยกำลัง!” ฝ่ามือที่กำเนิดมาจากรัศมีระดับดาวพระเคราะห์ในตะเกียงแปรสภาพเป็นเงาร่างคน ร่างที่พร่าเลือนจ้องมองรูปปั้น ยิ้มเยาะ ก่อนจะเลิกสนใจจื่อหลัว แต่กลับหันหลังเดินกลับเข้าตะเกียงไป
เสียงของเขายังสะท้อนก้องอยู่ภายในสุสานหลวงกระทั่งหลังจากที่เขากลับเข้าไปในตะเกียงแล้ว
“เหออวิ๋นจื่อ โอกาสได้ผ่านไปแล้ว ไม่สำคัญอีกแล้วเจ้าเด็กนั่นจะอยู่หรือตายภายในสุสานหลวงดวงเนตรสวรรค์ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ดีสำหรับเรา บัดนี้…ทางออกเดียวคือต้องบีบให้มีการจุติและกู้เสถียรภาพกลับคืนมา จงรีบตัดสินใจเสีย!”
เหออวิ๋นจื่อฟังสิ่งที่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์พูด จากนั้นจึงหันไปเห็นประกายกล้าในดวงตาแข็งกร้าวของจื่อหลัว องค์ชายอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาก็ดูลำบากใจเช่นกัน พวกเขาพากันหันมามองเหออวิ๋นจื่อ
เหออวิ๋นจื่อรู้สึกชั่งใจ เขาตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจักรพรรดิชราจะลอบทำการเช่นนี้ลับหลังเขา ในเวลาเดียวกัน ชายชราก็รู้ดีว่าผู้บุกรุกที่เข้ามาก่อนหน้านี้มีรัศมีที่เคยเป็นของจักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์
เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิองค์แรกกำลังพยายามชุบชีวิตตนเอง…และเขาก็คงจะทำสำเร็จเสียด้วย สิ่งที่รอข้าอยู่ก็คือ…เส้นเลือดสีแดงปรากฏชัดในดวงตาของเหอหยุนจื่อ รัศมีของความบ้าคลั่งแผ่ออกมาจากกายของชายชราขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นมัวและแน่นหนัก
“บรรดาสำนักหลักที่กระด้างกระเดื่องกำเริบเสิบสานมากเกินไปแล้ว ตอนแรกพวกมันมาล้อมพวกเรา มาบัดนี้ พวกมันก็ส่งนักฆ่ามาแทรกซึมในราชวงศ์ สังหารจักรพรรดิของเขา แล้วยังปล้นพลังโบราณของตระกูลเราไปอีก พวกมันจะต้อง…ชดใช้อย่างสาสม!
“จากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะขึ้นเป็นผู้นำของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ชั่วคราว ข้าสาบานว่าจะนำพลังโบราณของตระกูลหลวงของเรากลับคืนมา กำจัดสามสำนักหลัก และล้างแค้นให้จักรพรรดิของเรา ข้าจะไม่หยุดจนกว่าราชวงศ์จะหวนคืนสู่ความยิ่งใหญ่เช่นที่เคยเป็นมา!
“ข้าจะใช้พลังของราชวงศ์ปลดผนึกดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์และเชิญอารยธรรมครามทองคำมาจุติบนอารยธรรมของเรา ช่วยเราปิดผนึกสุสานหลวง พวกเขาจะช่วยเราส่งสุสานเข้าไปยังดินแดนนพภูมิ จากนั้นจึงช่วยเราถอนรากถอนโคนพวกกระด้างกระเดื่องในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แห่งนี้!”
“ข้าเห็นด้วย!” น้ำเสียงที่ดำมืดและเย็นชาดังออกมาจากในตะเกียง เปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากตะเกียงเข้าท่วมทั่วบริเวณ ล้อมรูปปั้นและแปรสภาพพื้นดินภายใต้รูปปั้น.shเป็นโคลนนิ่มๆ รูปปั้นจมลงไปในดินอย่างรวดเร็ว หายไปจากพื้นโลกและหายไปยังสถานที่ที่เหออวิ๋นจื่อเรียกว่า…ดินแดนแห่งนพภูมิ
นพภูมิเป็นชื่อที่มอบให้พื้นที่ใต้ดินที่ถูกผนึกเอาไว้ใต้พื้นผิวของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ มันอยู่ห่างไกลกับส่วนของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ที่ตามองเห็นหลายโยชน์นัก
ตามความเข้าใจของโลกมนุษย์ ทุกสิ่งในจักรวาลมีสองด้าน ชีวิตและความตาย แสงสว่างและความมืด ในแง่หนึ่ง นพภูมิก็คล้ายคลึงกับยมโลก!
คนมีชีวิตที่ก้าวเข้าไปในโลกนี้ย่อมหาทางออกมาได้ยากยิ่ง!
เหออวิ๋นจื่อไม่ได้หันหลังกลับไปหลังจากที่พูดจบ กลับกันชายชราเดินนำราชวงศ์และคนของจื่อหลัวออกเดินไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือสิ่งที่จะต้องจบให้ได้โดยเร็วที่สุด นั่นคือบางสิ่งที่สำนักหลักทั้งสามไม่ได้เตรียมตัวรับมือและเป็นสิ่งที่พวกเขาเพิ่งจะเริ่มลงมือ…สิ่งนั้นก็คือสงคราม!
ราชวงศ์เองก็ไม่ได้เตรียมตัวเช่นกัน พวกเขาไม่อาจปลดผนึกดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์และปล่อยให้อารยธรรมครามทองคำจุติลงมายังอารยธรรมของเขาได้เต็มที่ แต่เวลาก็กระชั้นชิดนัก แทนที่จะชั่งใจและรีรอ ก็ควรตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เช่นนั้น…พวกเขาก็จะสามารถโจมตีอย่างฉับพลันจนศัตรูไหวตัวไม่ทัน!
สงคราม…กำลังจะเริ่มต้นขึ้น!
ขณะเดียวกัน ภายในดวงตาของรูปปั้นที่ถูกผนึกอยู่ภายในดินแดนนพภูมิ ภายในสุสานหลวงของจริงแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อ…ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง!
ทันทีที่ปรากฏตัวขึ้นและเห็นสิ่งที่อยู่รอบกาย ชายหนุ่มก็ชะงักไปชั่วครู่ด้วยความตื่นตะลึง ประกายแปลกประหลาดสะท้อนวาบอยู่ในดวงตา
ที่นี่มัน…
บทที่ 847 เหยื่อล่อ!
โลกนี้แทบไม่ต่างอะไรกับโลกภายนอก ท้องฟ้าสีคราม ผืนดินปกคลุมไปด้วยพืชพรรณ หญ้าและต้นไม้ใหญ่น้อยสดใสเขียวขจี ห่างออกไปมีทิวเขาที่ทอดยาวทาบทับเส้นขอบฟ้า อากาศก็เต็มเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณเข้มข้น
ที่นี่ดูไม่เหมือนสุสานหลวงแม้แต่น้อย สายลมอ่อนๆ นำพาเสียงนกร้องและกลิ่นหอมของมวลดอกไม้ นกกระสาฝูงใหญ่โผบินผ่านท้องฟ้าอยู่เนืองๆ มีเทพธิดาสะสวยนั่งอยู่บนหลังนกกระสา พวกนางก้มหน้าลงมองหวังเป่าเล่ออย่างฉงนสงสัย
หากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นที่ได้มาเห็นภาพดังกล่าว ก็คงไม่อาจสัมผัสถึงสิ่งผิดปกติได้แม้จะมีระดับปราณสูงกว่าหวังเป่าเล่อและอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์แล้วก็ตาม แต่หวังเป่าเล่อนั้นแตกต่างออกไป ประกายประหลาดฉายวาบอยู่ในดวงตาของชายหนุ่มขณะที่เขาหรี่ตาลง
ในประกายประหลาดนั้นมีร่องรอยของเปลวไฟสีดำอยู่ด้วย มันไหลเข้ามาท่วมดวงตาของชายหนุ่ม ก่อนที่โลกตรงหน้าจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของสถานที่แห่งนี้!
ท้องฟ้าไม่ได้เป็นสีคราม แต่กลับแดงฉาน!
พื้นดินไม่ได้ปกคลุมไปด้วยพืชเขียวชอุ่ม ทุกสิ่งนั้นเหี่ยวเฉาตายไปหมดแล้ว สิ่งที่ดูคล้ายภูเขานั้น…แท้จริงแล้วเป็นกองกระดูกขนาดมโหฬาร นกกระสาที่โบยบินอยู่บนฟ้าจริงๆ แล้วเป็นวิญญาณน่าสะพรึงกลัว และเทพธิดา…ก็คือหนอนน่ารังเกียจ!
ปราณวิญญาณเข้มข้นเมื่อครู่…ไม่ใช่ปราณวิญญาณแต่อย่างใด แต่กลับเป็นรัศมีแห่งความตายอันแรงกล้า ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่นั้นไม่ได้ว่างเปล่า หากแต่เต็มไปด้วยกองทัพผีดิบนับล้าน ดวงตาของบรรดาทหารผีทั้งเย็นเยือกและไร้อารมณ์ขณะที่พวกมันยืนเรียงกันเป็นแถวเรียบร้อย อาจกล่าวได้ว่าเป็นภาพที่งดงามมากทีเดียว
บนท้องฟ้าเหนือภูเขากองกระดูกมีพระราชวังกว้างใหญ่ วังนั้นเป็นสีม่วงและมรกต มองเห็นบังลังก์หรูหราทั้งสิบสามตั้งอยู่ภายใน!
บังลังก์สิบสองจากสิบสามบัลลังก์เรียงกันอยู่เป็นสองแถว บัลลังก์สุดท้ายตั้งอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของวัง มันอยู่เหนือบัลลังก์อื่นๆ อีกทั้งยังใหญ่และอลังการกว่าบังลังก์อื่นๆ มากนัก
มีคนนั่งอยู่บนลังลังก์ทุกบัลลังก์ บัลลังก์ทั้งสิบสองมีชายชรานั่งอยู่ แม้ใบหน้าจะแตกต่างกันแต่ก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันบางประการ นัยน์ตาของทุกคนส่องประกายด้วยอำนาจ ขณะที่ใบหน้าต่างสุขุมและไร้อารมณ์ ทุกคนสวมเสื้อคลุมสีเหลืองและมีมงกุฎบนศีรษะ ต่างก็จับจ้องอย่างเฉยเมยมายังทิศทางที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่
ในส่วนที่ลึกที่สุดของวัง บนบัลลังก์สุดท้าย…มีร่างสูงซึ่งกระจายพลังและอำนาจที่ยิ่งใหญ่ราวกับว่าจะสามารถพลิกแผ่นดินได้ออกมา มีบางอย่างเกี่ยวกับร่างนี้ที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ใบหน้าของเขาว่างเปล่า!
สีหน้าแปลกแปร่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวังเป่าเล่อเมื่อชายหนุ่มรู้ว่าเขากำลังจ้องมองสิ่งใดอยู่ แต่ก่อนที่จะได้ทำสิ่งใด จักรพรรดิไร้หน้าผู้ยิ่งใหญ่ก็เงยหน้าขึ้นมา
แม้จะไม่มีเครื่องหน้า หวังเป่าเล่อก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมาทางตน
สายตาของจักรพรรดิให้ความรู้สึกรุนแรงราวกับถูกโจมตีทางกายภาพ หวังเป่าเล่อตัวสั่นเมื่อดวงตาคู่นั้นหันมาจ้องมองเขา วิชาดวงเนตรปีศาจภายในกายตื่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างสุดจะควบคุม และดวงตาสีดำขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลัง
ดวงตานั้นมีขนาดใหญ่ร่วมสามร้อยเมตร และการปรากฏตัวของมันปลดปล่อยพลังงานมหาศาลที่เข้าไปปะทะกับพลังจากการจ้องมองของจักรพรรดิไร้หน้าทันที มีเสียงหัวเราะอย่างตื่นเต้นปะทุขึ้นมาจากดวงเนตรปีศาจภายในกายของหวังเป่าเล่อ
“หวังเป่าเล่อ ข้าขอขอบใจเจ้าที่พาข้ากลับมาจากสภาพใกล้ตายและให้โอกาสข้าได้มีชีวิตอีกครั้ง!” ขณะที่เสียงหัวเราะนั้นสะท้อนก้องไปในอากาศ เงาร่างของชายชราก็ปรากฏขึ้นในดวงตาสีดำขนาดมหึมา พลางแผ่เอาพลังรุนแรงออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ ชายชราก้าวออกมาจากดวงตาสีดำไปยืนอยู่บนท้องฟ้า
แม้ว่ากายของเขาจะเป็นดูเหมือนเป็นร่างมายา แต่ก็แผ่พลังที่ดูเหมือนจะประสานกับโลกนี้ได้อย่างไร้ที่ติ พลังนั้นรุนแรงราวกับว่าจะสามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน เรียกลม และส่งก้อนเมฆให้เคลื่อนถอยหลังไปได้ คลื่นกดดันน่าสะพรึงไหลบ่าท่วมผืนดิน
“ท่านพูดจบหรือยัง จักรพรรดิองค์แรกแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ข้ารู้ดีว่าคนแก่เช่นท่านชอบพูดเยิ่นเย้อ” หวังเป่าเล่อไม่อาจแสร้งทำเป็นตื่นตกใจกับการปรากฏตัวของจักรพรรดิได้ สีหน้าของชายหนุ่มเรียบเฉยขณะเอียงศีรษะมองชายชรา
“ท่านจะมาสิงร่างข้าตอนนี้เลยหรือไม่เล่า คงจะยากสักหน่อยนะกับสภาพของท่านตอนนี้ หากเป็นเช่นนี้…แล้วไพ่ตายของท่านคืออะไรเล่า อะไรทำให้ท่านมั่นใจนักว่าท่านจะทำสำเร็จ” ขณะที่พูดไป หวังเป่าเล่อก็เข้าใจว่าโอกาสที่เซี่ยไห่หยางพูดถึงคือสิ่งใด
เป็นไปได้มากว่า…โอกาสนั้นจะเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิองค์แรก ในเมื่อเขาสามารถทำการค้ากับสามฝ่ายได้พร้อมๆ กัน เขาต้องรู้แน่ว่าจักรพรรดิองค์แรกต้องการจะสิงร่างข้าเพื่อชุบชีวิตตนเอง โอกาสของข้าต้องเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิองค์แรกอย่างแน่นอน ข้ามั่นใจ!
เซี่ยไห่หยางอาจจะหลอกข้า แต่ก็คงไม่อยากจะให้ข้าตาย หากเป็นเช่นนั้น เขามั่นใจได้อย่างไรว่าการพยายามสิงร่างจะล้มเหลวและจักรพรรดิพองค์แรกจะกลายมาเป็นพลังงานให้กับการฝึกปราณและส่งให้ข้าบรรลุขั้นได้ บางทีเซี่ยไห่หยางอาจจะวางแผนให้ข้าเข้ามาที่นี่ แล้วจ่ายเงินให้เขาช่วยเหลือก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้น ก็แปลว่าเซี่ยไห่หยางไม่เชื่อว่าข้าจะทำสำเร็จได้ด้วยตนเอง…มีสองทางเท่านั้นที่เขาจะสรุปเช่นนั้นได้ หากเขาไม่รู้ว่าข้ามาจากสำนักแห่งความมืด…ก็ต้องมีบางอย่างผิดปรกติเกี่ยวกับผีแก่ตนนี้!
ขณะที่สมองของหวังเป่าเล่อกำลังทำงานอย่างหนัก จักรพรรดิองค์แรกก็หรี่ตาก่อนจะยิ้มหยัน
“เพื่อเป็นการขอบคุณ ข้าจะสิงร่างเจ้าและใช้ชีวิตแทนเจ้าให้เอง!” เมื่อพูดจบ ผีชราก็ยกมือขวาขึ้นก่อนจะวาดมือผ่านอากาศ
รัศมีของเขาปะทุขึ้นมาในบัดดล และทันใดนั้น กองทัพผีดิบนับล้านที่ยืนนิ่งสนิทอยู่ในทุ่งตรงหน้าของหวังเป่าเล่อก็ตัวสั่น ความเยือกเย็นในแววตาของพวกมันแปรเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่ง พวกมันทรุดตัวลงคุกเข่าทันที
การได้เห็นกองทัพนับล้านทรุดตัวลงคุกเข่าพร้อมกันให้ความรู้สึกคล้ายกับการได้เห็นคลื่นแตกสลายไปอย่างรวดเร็ว ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง เรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือสิ่งที่ตามมาต่อจากนั้น ขณะที่กองทัพผีดิบทรุดตัวลงคุกเข่า พวกมันก็เปิดปากพูดออกมาพร้อมกัน!
“ยินดีต้อนรับกลับสู่วัง ท่านจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่!”
ทันทีที่เสียงนั้นดังออกไป ดวงไฟวิญญาณจำนวนก็ลอยออกมาจากศีรษะของทหารนับล้าน ตรงไปยัง…ชายชราที่กำลังเดินออกจากดวงเนตรปีศาจ จักรพรรดิองค์แรกแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!
ประกายกล้าสะท้อนออกมาจากดวงตาของหวังเป่าเล่อขณะที่เขาจ้องมองฉากตรงหน้า ความรู้สึกชั่งใจผุดขึ้นมาในศีรษะของชายหนุ่ม
เจ้าผีแก่นี่รู้หรือไม่ว่าข้ามาจากสำนักแห่งความมืด
หวังเป่าเล่อเป็นบุตรแห่งความมืดจากสำนักแห่งความมืด หากต้องการ เขาสามารถยึดและกินพลังของวิญญาณเหล่านั้นได้ทั้งหมด แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาชั่งใจ มีประกายเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็นสะท้อนอยู่ในแววตา ชายหนุ่มมีสีหน้าอวดดีขึ้นมาก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ข้าไม่รู้เลยว่าเหตุใดสำนักแห่งความมืดถึงได้ยุ่งกับวิชาดวงเนตรสวรรค์แต่ปล่อยท่านเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าท่านจะไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร…”
“วิชาแห่งศาสตร์มืด เรียกวิญญาณ!” ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ เขาก็ยกมือขวาขึ้น เปลวไฟสีดำปะทุขึ้นมาในดวงตาของชายหนุ่ม รัศมีเก่าแก่ที่มาจากเปลวไฟสีดำเริ่มแผ่ออกมาจากกาย ทำให้โลกสั่นคลอนอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าของจักรพรรดิองค์แรกแสดงอารมณ์อย่างรุนแรง ปราณวิญญาณจากดวงวิญญาณคนตายนับล้านที่พุ่งไปหาชายชราก่อนหน้านี้หักเลี้ยวอย่างรวดเร็วตรงหน้าเขา…และพุ่งใส่หวังเป่าเล่อแทน!
“เป็นไปไม่ได้! ผู้สืบทอดบังลังก์กลับมาแล้ว!” ใบหน้าของจักรพรรดิองค์แรกตอนนี้แสดงความตกตะลึง และมีความตื่นตระหนกอยู่ในแววตา ดูเหมือนว่ากำลังวิตกกังวลอย่างหนัก เขารีบยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังพระราชวังบนท้องฟ้า
จักรพรรดิทั้งสิบสอง เว้นไว้เพียงจักรพรรดิไร้หน้าต่างก็ตัวสั่นก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน พวกเขาหันไปหาหวังเป่าเล่อและจักรพรรดิพระองค์แรกก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่า
“ยินดีต้อนรับกลับสู่วัง ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่!”
ปราณวิญญาณอันแข็งแกร่งปะทุออกมาจากร่างของจักรพรรดิทั้งสิบสองขณะที่เสียงของพวกเขาดังลั่นสะท้อนไปในอากาศ ปราณวิญญาณนั้นแปรสภาพเป็นมังกรวิญญาณทั้งสิบสองตัวและพุ่งออกจากวัง มุ่งหน้าไปหาจักรพรรดิองค์แรกทันที พวกเขาต้องการขัดขวางหวังเป่าเล่อจากการดึงปราณวิญญาณคนตายนับล้านไป!
ปราณจากวิญญาณคนตายและปราณจากวิญญาณจักรพรรดิเต็มแน่นท่วมอากาศ ในฐานะสมาชิกสำนักแห่งความมืด หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าคลื่นพลังในอากาศตอนนี้แข็งแกร่งเพียงใด หากเขารวบรวมปราณเหล่านี้เข้ากับกายตนเอง และย่อยปราณทั้งหมดไปเรื่อยๆ ระดับปราณของเขาจะต้องพุ่งทะยาน บรรลุจากขั้นเชื่อมวิญญาณไปสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะได้แน่นอน อันที่จริงแล้ว การบรรลุขั้นอาจไม่หยุดอยู่เพียงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นเท่านั้น อาจทะลุไปถึงชั้นกลางเลยก็เป็นได้!
ช่างยั่วยวนใจอะไรอย่างนี้…ความชั่งใจและความปรารถนาต่างต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในใจของหวังเป่าเล่อ
บทที่ 848 จุดเริ่มต้นลี้ลับของอารยธรร...
หวังเป่าเล่อชั่งใจเพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้เป็นกับดักหรือไม่!
ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าผีแก่รู้ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่ตัวเขามีต่อสำนักแห่งความมืดหรือไม่ และนี่เป็นเหตุให้เขาลังเล!
แม้จะชั่งใจและมีความรู้สึกหลากหลายปะปน หวังเป่าเล่อก็ยังมองเห็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ในสถานการณ์ปัจจุบัน เพียงแค่ว่า สิ่งยวนใจตรงหน้านั้นช่างยิ่งใหญ่นัก จึงทำให้ช่องโหว่จำนวนมากถูกมองข้ามไปอย่างง่ายดาย
เพราะอย่างไรเสีย…หากหวังเป่าเล่อต้องการ เขาก็สามารถดูดกินวิญญาณทุกดวงได้อย่างง่ายดาย หลังจากใช้เวลาในการย่อยวิญญาณเหล่านั้นสักหน่อย ชายหนุ่มก็สามารถบรรลุขั้นไปสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะหรือกระทั่งไปถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางได้เลยทีเดียว!
ต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่ๆ ไม่มีทางเลยที่เจ้าผีแก่ตนนี้จะไม่รู้ว่าข้ามาจากสำนักแห่งความมืด เพราะถึงอย่างไร สำนักแห่งความมืดก็เป็นผู้ดัดแปลงวิชาดวงเนตรปีศาจ ต่อให้สำนักแห่งความมืดจะล่มสลายไปแล้วและเคล็ดวิชาฝึกปราณทั้งหมดกระจัดกระจายไปทั่วจักรวาล…สถานการณ์นี้ก็มีผลกับการสิงร่างและการคืนชีพของเขา ไม่มีทางเลยที่เขาจะไม่ตรวจตราซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งแน่ใจว่าข้อมูลที่มีนั้นสมเหตุสมผล
นอกจากนั้น…เจ้าผีแก่ยังทั้งเจ้าเล่ห์และแสนกล ไม่มีทางเลยที่จะไม่รู้ความจริง อีกอย่างหนึ่ง…หากข้าดูดกลืนวิญญาณเหล่านี้เข้าไป ข้าก็คงไม่บรรลุขั้นในทันที คงคล้ายการกลืนโอสถ ข้าต้องใช้เวลาย่อยสลายพวกมันสักหน่อย…หรือว่านี่จะเป็นสิ่งที่เจ้าผีแก่ต้องการกัน เขาต้องการซื้อเวลาอย่างนั้นหรือ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อแดงก่ำ ชายหนุ่มกำลังครุ่นคิดอย่างหนักในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจนี้ ในที่สุดมังกรวิญญาณทั้งสิบสองก็เข้ารวมกับปราณของวิญญาณคนตายนับล้านและล่องลอยอยู่ระหว่างตัวเขาและจักรพรรดิชรา ใบหน้าของอีกฝ่ายฉาบเคลือบไปด้วยความกังวล ในขณะที่นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อทอประกายด้วยความแน่วแน่
“ข้าไม่ต้องการวิญญาณเหล่านี้!” หวังเป่าเล่อคำรามก่อนจะล่าถอย ละทิ้งความคิดที่จะใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดในการยึดดวงวิญญาณมาทั้งหมด ขณะที่เขายอมปล่อยวิญญาณเหล่านั้นไปและถอยหลัง ปราณของวิญญาณนับล้านบวกกับมังกรวิญญาณทั้งสิบสองก็กระดอนถอยหลังไปเหมือนถูกเชือกกระตุกก่อนจะพุ่งเข้าไปหาผีแก่!
ดวงวิญญาณรายล้อมผีแก่เอาไว้ท่ามกลางเสียงสนั่นก่อนจะพวยพุ่งเข้าสู่ร่างของเขา ดูเหมือนว่าพวกมันจะมาจากสายโลหิตหรือต้นกำเนิดเดียวกับผีแก่ ส่งผลให้ผีแก่ไม่จำเป็นต้องรอให้วิญญาณเหล่านั้นย่อยไป พลังปราณของเขาพุ่งทะยานขึ้นทันที
เขาบรรลุขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์โดยพลัน ไม่เพียงเท่านั้น ระดับปราณของเขายังไต่ขึ้นไปอีก ก่อนจะบรรลุสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะในพริบตา และเพราะสารอาหารจากวิญญาณเหล่านั้น พลังปราณของเขาจึงยังขึ้นไปไม่สิ้นสุด ทว่า…หวังเป่าเล่อไม่ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสะใจจากผีแก่ขณะกำลังล่าถอย ชายหนุ่มกลับได้ยินเพียงแค่เสียงคำรามที่เปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวังและเสียใจแทน
นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายเพราะเสียงนั้น ชายหนุ่มรู้ทันทีว่าเขาทำถูกแล้ว เจ้าผีแก่…วางกับดักเอาไว้จริงๆ!
ชายหนุ่มสะบัดมือไปมา แผ่นหยกของเซี่ยไห่หยางมาปรากฏอยู่ในมือซ้ายของเขาในพริบตา และแผ่นหยกของปรมาจารย์แห่งไฟก็มาปรากฏในมือขวา เขาไม่ได้ส่งข้อความเสียงออกไป เพียงแต่หยิบออกมาเผื่อไว้ก่อนเท่านั้น
หวังเป่าเล่อเริ่มท่องบทสวดแห่งเต๋าอยู่เงียบๆ มือทั้งสองกำแผ่นหยกสองแผ่นเอาไว้แน่น!
พลังปราณของผีแก่ยังคงพุ่งขึ้นไม่หยุด แม้ว่าเครื่องหน้าของเขาจะบิดเบี้ยวจนกลายเป็นใบหน้าที่น่าเกลียด ความสูญเสียที่ชายชรารู้สึกอยู่นั้นพุ่งกระแทกตัวเองราวกับเป็นคลื่นยักษ์ ความบ้าคลั่งก็ไหลบ่าท่วมจิตใจอย่างยากจะควบคุม
“บัดซบ… หวังเป่าเล่อ ข้าไม่อยากเชื่อว่าเจ้าจะไม่ใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดกลืนกินวิญญาณเข้าไป!”
เสียงคำรามของเขาดังก้องไปทั่ว ผีแก่ไม่ได้ต้องการจะกลืนวิญญาณเหล่านี้แม้แต่น้อย แม้ว่าพวกมันจะช่วยให้เขาได้พลังปราณกลับคืนมาระดับหนึ่ง แต่ก็เป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้น หากเทียบกันแล้ว เขาอยากยึดร่างและคืนชีพมากกว่า ซึ่งเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเขานั่นเอง
จักรพรรดิรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อเป็นคนของสำนักแห่งความมืด แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ เพราะจะได้ปลดปล่อยพลังของวิญญาณคนตายเพื่อล่อให้ชายหนุ่มติดกับ หวังจะให้หวังเป่าเล่อสูญเสียการควบคุมตนเองไปเพราะความยั่วยวนอันยิ่งใหญ่นี้ หากหวังเป่าเล่อตัดสินใจพลาด…หากหวังเป่าเล่อตัดสินใจทำตามใจและดูดกลืนวิญญาณเหล่านั้นเข้าไป…
หวังเป่าเล่อก็คงติดกับ วิญญาณเหล่านั้นจะไม่กลายเป็นพลังปราณทันที ต้องใช้เวลาค่อยๆ ย่อยสลายพวกมัน และระหว่างนั้น…เพราะวิญญาณจำนวนมากมีต้นกำเนิดเดียวกับจักรพรรดิชรา ดังนั้นก่อนที่ชายหนุ่มจะย่อยสลายพวกมันจดหมด ร่างกายของเขาก็จะกลายมาเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่เหมาะอย่างยิ่งในการเข้าสิงร่าง!
วิญญาณที่ยังย่อยไม่เสร็จในร่างของหวังเป่าเล่อจะคอยช่วยเหลือจักรพรรดิชรา หากมีพวกมันคอยช่วย เขาก็จะสามารถยึดครองร่างของหวังเป่าเล่อได้อย่างง่ายดายและคืนชีพกลับมาโดยสมบูรณ์!
เพื่อให้มั่นใจว่าแผนนี้จะสำเร็จ เขาต้องแสร้งทำเป็นกังวลอย่างหนัก เมื่อหวังเป่าเล่อร่ำๆ จะกลืนกินวิญญาณเหล่านั้นเข้าไปเต็มแก่ จักรพรรดิชราก็ยิ่งกังวลว่าอีกฝ่ายจะมองการแสดงของเขาออก เป็นเหตุให้ต้องลากมังกรวิญญาณทั้งสิบสองออกมาด้วย ผีแก่ต้องการให้หวังเป่าเล่อเข้าใจว่าเขาได้ใช้ลูกไม้ทั้งหมดไปแล้ว และกำลังพยายามอย่างยากลำบากที่จะแก้ไขสถานการณ์ไม่ให้พ่ายแพ้
แม้จะเตรียมการและคำนวณมาอย่างถี่ถ้วนเพียงใด ผีแก่ก็ยังล้มเหลว ความโศกเศร้าและเคียดแค้นปะทุขึ้นมาในใจก่อนจะแปรสภาพเป็นโทสะอันรุนแรง แหล่งเพาะพันธุ์ของเขาก็สูญสิ้นไปแล้ว เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องบังคับเข้าสิงหวังเป่าเล่อด้วยกำลัง ซึ่งทั้งยากและเสี่ยงกว่าเป็นอย่างมาก
“หวังเป่าเล่อ!” แม้ว่าจะยากและเสี่ยง แต่ผีชราก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด โทสะของเขาเติบโตขึ้นพร้อมระดับปราณที่สูงถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง จักรพรรดิไม่อาจรอได้อีกต่อไป เขาพลันขยับร่างก่อนจะหายตัวไป
แต่เดิมนั้น ผีแก่อยู่ภายในวิชาดวงเนตรปีศาจที่หวังเป่าเล่อได้ฝึกฝนมาหลายปี เป็นเหตุให้ เมื่อชายชรามาปรากฏตัวอีกครั้ง เขาจึงมาปรากฏอยู่ในกายของหวังเป่าเล่อ ภายในวิญญาณของชายหนุ่ม โดยหลบเลี่ยงเปลวเพลิงดารานิรันดร์ที่หลับไหลอยู่ในใจของหวังเป่าเล่อและฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ไปพร้อมกัน!
เขาพยายามใช้กำลังเข้าสิงร่างหวังเป่าเล่อ!
ประกายของความบ้าคลั่งฉายวาบขึ้นในแววตาของหวังเป่าเล่อทันทีที่ผีชรามาปรากฏตัวในวิญญาณของเขา หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังของบทสวดแห่งเต๋าที่เขาแอบท่องอยู่เมื่อครู่นี้ แต่แทนที่จะปล่อยแรงกดดันมหาศาลใส่สิ่งรอบข้าง ชายหนุ่มกลับส่งมันเข้าไปด้านใน…เขาใช้พลังนั้นใส่ตนเอง!
อัสนีคำรามราวกับว่าสายฟ้าฟาดจำนวนมหาศาลถูกปล่อยเข้าไปในวิญญาณของหวังเป่าเล่อ วิญญาณของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรงท่ามกลางคลื่นพลังสายฟ้าเสียงดังสนั่น ผีชแก่เองก็รับแรงกระแทกที่เท่าเทียมกันเพราะเขาพยายามเกาะกินวิญญาณของชายหนุ่มอยู่
เจ้าพยายามจะสิงข้าและข้า…ก็พยายามล่าเจ้าเช่นกัน ข้าจะเปลี่ยนเจ้าเป็นตั๋วทองคำไปสู่การบรรลุขั้นปราณของข้าเสียเลย! วิญญาณของหวังเป่าเล่อปล่อยพลังคลื่นวิญญาณเข้มข้นออกมา ณ จุดนี้ ชายหนุ่มรู้แล้วว่าเหตุใดสุสานหลวงจึงเป็นโอกาสทองในการบรรลุขั้นปราณของเขา หากเขาไล่ล่าและจับผีแก่ที่ภายนอก จักรพรรดิชราคงจะอ่อนแอกว่านี้มา และหวังเป่าเล่อก็คงจะไม่ได้ประโยชน์มากนักหากจับเขาได้
ภายในสุสานนี้ ผีแก่ได้โอกาสในการพัฒนาขั้นปราณอย่างก้าวกระโดดผ่านการกลืนวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน หวังเป่าเล่อต้องเจอความเสี่ยงเพราะต้องเผชิญวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าเดิม แต่หากชายหนุ่มทำสำเร็จ…ผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับก็เรียกได้ว่าไร้ขีดจำกัด!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น การต่อสู้ระหว่างการเข้าสิงกับการไล่ล่าในวิญญาณของหวังเป่าเล่อก็เริ่มต้นขึ้น!
หวังเป่าเล่อยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ขณะที่ร่างกายของเขาค่อยๆ แปรสภาพเป็นหมอกก่อนจะมารวมตัวกันเป็นกายเนื้ออีกครั้ง ทุกๆ อย่างดูปกติดี หากไม่นับการต่อสู้อันดุเดือดและอันตรายที่กำลังเกิดขึ้นภายในวิญญาณของเขา!
วิญญาณผีดิบนับล้านยังคงคุกเข่าอยู่ รวมไปถึงจักรพรรดิผู้เงียบงันทั้งสิบสองในวังที่ห่างไกล จักรพรรดิบนบัลลังก์ที่อยู่สูงสุด ผู้ไร้ใบหน้าและมีเงาที่พร่าเลือนก็ยังคงนั่งนิ่งสนิทอยู่เช่นเดิม
แต่หากมองดูใกล้ๆ ก็จะเห็นได้ว่าสิ่งหนึ่งที่จักรพรรดิองค์แรกต่างจากวิญญาณดวงอื่นๆ คือ เขาไม่ได้เป็นศพเช่นเดียวกันคนพวกนั้น แต่เป็น…เกราะรูปร่างมนุษย์…ที่เฝ้ารอกลับคืนสู่เจ้าของ!
ในจักรวาลที่ห่างไกลออกไป ห่างจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ในตลาดที่ครั้งหนึ่งหวังเป่าเล่อเคยไปเยือน มีร้านตระกูลเซี่ยอยู่ร้านหนึ่ง เซี่ยไห่หยางยืนอยู่ในตำหนักของเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและเกรี้ยวกราดขณะที่จ้องมองไปยังภาพดำมืดซึ่งถูกฉายออกมาจากแผ่นหยกบนโต๊ะอย่างเงียบงัน
ชายหนุ่มไม่ได้รับภาพอีกเลยตั้งแต่หวังเป่าเล่อเข้าไปยังห้องภายในสุสานหลวง แม้ว่าตระกูลเซี่ยจะมีอิทธิพลเพียงใด แต่ก็ยังมีหลายที่ในจักรวาลที่พวกเขาไม่อาจย่างกรายเข้าไปได้
และในรูปปั้นของจักรพรรดิองค์แรกแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็เป็นหนึ่งในนั้น!
อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อันลี้ลับสามารถร่วมมือกับอารยธรรมครามทองคำและเรียกความสนใจของเซี่ยไห่หยางได้ เห็นได้ชัดว่ารูปปั้นนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้งสองฝ่าย
หรือว่าความลับของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…จะมี…ส่วนเกี่ยวข้องกับสถานที่ในตำนานนั้นจริงๆ หวังเป่าเล่อ ทำไมเจ้าถึงดื้ออย่างนี้นะ ทำไมเจ้าไม่ขอความช่วยเหลือจากข้า ข้าจะได้เห็นข้างในชัดๆ… เซี่ยไห่หยางขณะนี้ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกอันยากจะเข้าใจ ชายชราที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาทอดถอนใจ ก่อนจะหยิบแผ่นหยกขึ้นมา แล้วมองไปทางเซี่ยไห่หยาง
“นายน้อยขอรับ อารยธรรมครามทองคำเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ราชวงศ์อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์กำลังเริ่มพิธีกรรมสังเวย ข้าคาดการณ์ว่าผู้ฝึกตนกลุ่มแรกจากอารยธรรมครามทองคำจะถูกเคลื่อนย้ายผ่านดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ภายในครึ่งชั่วโมง จากนั้นสงครามในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็จะเริ่มขึ้นทันที มีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สามคนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย!”
บทที่ 849 จุดเริ่มต้นของสงคราม
ระหว่างที่เซี่ยไห่หยางฟังรายงานจากชายชรา เหออวิ๋นจื่อก็กำลังนำพิธีสังเวยของเหล่าราชสกุลที่ถูกผนึกอยู่บนดาวหลักอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์
มีจื่อหลัวผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์จากอารายธรรมครามทองคำคอยช่วยสนับสนุน ส่วนผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่อยู่ใต้ตะเกียงทำหน้าที่เป็นชนวนจุดไฟ เหออวิ๋นจื่อพาราชวงศ์เกือบทุกคนไปรวมกันอยู่ ณ จุดๆ หนึ่ง
แม้แต่เหล่าราชวงศ์ที่สายเลือดห่างที่สุดก็มารวมตัวด้วย ราชวงศ์กว่าหมื่นคนมารวมกันอยู่ที่นครราชวงศ์ พิธีเริ่มต้นผ่านสายโลหิตของตะเกียงทองแดง ทันใดนั้น สายโลหิตของทุกคนก็เริ่มตื่นขึ้น
ลำแสงจากสายโลหิตพวยพุ่งไปทั่วนครราชวงศ์ ปกคลุมทั่วจนกลายเป็นทะเลสีแดง ภาพเหตุการณ์นี้ควรจะเรียกความสนใจจากสามสำนักหลักและเหล่าผู้สอดแนมจากแต่ละสำนักได้ แต่เห็นได้ชัดว่าอารยธรรมครามทองคำมีวิธีซ่อนภาพเหตุการณ์นี้ให้พ้นสายตาของคนเหล่านั้น ทำให้ทั้งสามสำนักหลักไม่ทราบว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น
พิธีดำเนินไปครึ่งชั่วโมง ระหว่างช่วงเวลานั้น ราชวงศ์หลายคนไม่สามารถทนรับการตื่นของสายเลือดได้ ร่างพวกเขาสั่นเทิ้มและสิ้นลมลงไปในทันที เหออวิ๋นจื่อประกาศนามพวกเขาในฐานะราชวงศ์และความรุ่งโรจน์ของราชสกุล เหล่าราชวงศ์ที่ยังเหลือรอดไม่คิดยอมแพ้ พวกเขาร้องคำรามลั่นด้วยความกราดเกรี้ยวเพื่อให้สายโลหิตลุกโชนและถูกใช้ไป
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง ฟากฟ้าเหนือนครราชวงศ์ก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ลมพัดกรรโชก เมฆาบิดปั่นป่วน เหออวิ๋นจื่อไม่สนใจว่าจะกระอักเลือดไปมากเท่าใด เขาจับจ้องไปยังดารานิรันดร์มายาขนาดมหึมาที่กำลังก่อตัวขึ้นเหนือนครราชวงศ์อย่างช้าๆ
ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์มีลักษณะเหมือนดวงตา เป็นภาพฉายของดวงเนตรดารานิรันดร์ที่ราชวงศ์สละสายโลหิตและเคล็ดวิชาในการอัญเชิญมา
ความตื่นเต้นและความหวังฉายชัดในดวงตาของเหออวิ๋นจื่อขณะมองไปยังภาพฉายดารานิรันดร์ที่ปรากฎอยู่ด้านบน เขาอ้าแขนออกกว้างพร้อมร้องตะโกน
“จงเปิดออก…ประตูดารานิรันดร์!”
สายโลหิตของทั้งราชสกุลปั่นป่วนหนักขึ้นอีกครั้งหลังจากถ้อยคำดังกล่าวสะท้อนก้องในอากาศ หนึ่งส่วนสามของราชวงศ์ที่ยังเหลือรอดอยู่ร่างสั่นเทิ้มและสิ้นลมหายใจไป ลำแสงสีแดงทุกเส้นพุ่งตรงไปยังตะเกียงทองแดงในทันที แสงในตระเกียงกลายเป็นสีแดงชาดพวยพุ่งขึ้นฟ้าปรากฏเป็นเสาแสงเจิดจ้ามุ่งหน้าไปยังภาพฉายดารานิรันดร์
ภาพฉายสั่นไหว ก่อนวังวนจะค่อยๆ ก่อตัวและขยายขนาดใหญ่ขึ้น จนกระทั่ง…กลายเป็นหลุมดำ
ทันใดนั้น ภาพอันคุ้นเคยก็ฉายขึ้นบนดารานิรันดร์ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ของจริง ดารานิรันดร์สั่นไหว วังวนก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นหลุมดำ…
ขณะที่หลุมดำปรากฏขึ้น…เส้นทางเคลื่อนย้ายก็เปิดออก ร่างเงาเลือนรางนับไม่ถ้วนปรากฏกาย เหล่าร่างเงาดูอยู่ไม่สุข เหมือนว่าพร้อมจะพุ่งออกจากหลุมดำได้ทุกเมื่อ ไม่นานคลื่นพลังวิญญาณดารานิรันดร์ก็พัดกระจายไปทั่ว เสียงหัวเราะดังก้องทั่วอวกาศก่อนจะทันได้เยียบย่างเข้ามาในอารยธรรมเสียอีก จากนั้นตัวตนสามร่างก็พุ่งออกมาจากหลุมดำ!
พวกเขาแต่งกายด้วยชุดคลุมสีรุ้ง แม้จะมีหน้ากากสีดำปิดบังใบหน้าเอาไว้ก็สามารถบอกได้อย่างง่ายดายว่าสองในสามอยู่ในวัยกลางคน ส่วนอีกคนเป็นชายชรา จริงๆ แล้ว…ถ้าหวังเป่าเล่ออยู่ที่นี่ เขาคงจะจำพลังรัศมีของชายชราได้…ว่าเป็นคนเดียวกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ในตะเกียงทองแดง!
พวกเขาปลดปล่อยพลังยุทธ์และพุ่งทะยานออกไปเสียงดังสนั่น ทั้งสามล้วน…อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ พวกเขาไม่ได้รีบไปไหนหลังออกจากหลุมดำมา ทั้งสามไปหยุดอยู่มุมหนึ่ง จากนั้นก็ตั้งผนึกฝ่ามือ จับพื้นที่บริเวณขอบหลุมดำและกระชากออก ดารานิรันดร์สั่นไหวอีกครั้ง ก่อนที่หลุมดำจะขยายตัวใหญ่ขึ้น เรือบินรบและผู้ฝึกตนมากมายพุ่งออกมาจากหลุมดำในทันใด!
มีเรือบินรบทั้งหมดเกือบแสนลำและผู้ฝึกตนที่มากกว่านั้นถึงห้าเท่า เรือบินรบทุกลำและชุดคลุมที่เหล่าผู้ฝึกตนใส่ล้วนมีสีรุ้ง เห็นได้ชัดว่า…ผู้ฝึกตนทุกคนในอารยธรรมครามทองคำนั้นแต่งกายเช่นนี้กันหมด หากไม่เป็นเช่นนั้น…ก็แปลว่าผู้ฝึกตนกลุ่มแรกที่มาที่นี่เป็นเพียงกลุ่มการเมืองหนึ่งในอารยธรรมครามทองคำ!
ดวงตาของเหล่าผู้ฝึกตนที่มาถึงคุกรุ่นไปด้วยความตื่นเต้นและหิวกระหาย พวกเขาก้าวผ่านหลุมดำไปพร้อมเรือบินรบ ก่อนจะหันมองรอบกายและทำความเคารพผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทั้งสามคน ถึงจุดนี้คงไม่ต้องอธิบายแล้วว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทั้งสามคนนั้นเป็นใคร
“คารวะท่านประมุข คารวะท่านผู้อาวุโส!”
ผู้มาถึงไม่ใช่กำลังทั้งหมดของอารยธรรมครามทองคำ เป็นเพียงหนึ่งในสำนักภายในอารยธรรมเท่านั้น ชายชราผู้มีพลังยุทธ์ระดับดาวพระเคราะห์หัวเราะเสียงดังหลังจากได้ยินคำทักทายจากคนในสำนัก
“อารยธรรมนี้ช่างแปลกเสียจริง ถึงจะดูล้าหลัง แต่พลังเคลื่อนย้ายของดวงเนตรสวรรค์ก็บ่งบอกชัดถึงความล้ำค่า…สามารถเคลื่อนย้ายพวกเราสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ข้ามระยะทางหลายร้อยปีแสงได้ในพริบตา…
“เราจะล่าช้าไปกว่านี้ไม่ได้ ตามแผนการของเรา…กองกำลังหนึ่งในสิบนำโดยหกผู้นำของเราจะมุ่งหน้าไปยังดาวหลักดวงเนตรสวรรค์เพื่อช่วยเหลือพันธมิตรของเราจากการคุมขัง กองกำลังที่เหลือจะตามสองผู้อาวุโสของสำนักและข้าไป…เราจะไปจัดการสำนักหลักที่อ่อนแอที่สุดก่อน ซึ่งก็คือสำนักผนึกผังดาวหกแฉก!
“เราจะขยี้สำนักนั้นให้เร็วที่สุดและทำลายสมดุลระหว่างสามสำนักหลัก จากนั้นจะกระจายกองกำลังออกไป ผู้อาวุโสหนึ่งคนจะตามข้าไปเปิดศึกกับสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ส่วนอีกคนจะนำกองกำลังไปบุกสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ หากเราทำสำเร็จ…ก็จะไม่ต้องขอกองกำลังเสริมจากสำนักอื่นในอารยธรรมครามทองคำ พวกเราสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะบดขยี้อารยธรรมนี้เอง!”
“เปิดฉากสงครามได้!” ประมุขสำนักระดับดาวพระเคราะห์หัวเราะร่วนและพุ่งไปทางสำนักผนึกผังดาวหกแฉกทันที ผู้อาวุโสประจำสำนัก เรือบินรบเก้าหมื่นลำ และผู้ฝึกตนกว่าสี่แสนคนทะยานตามเขาไป พวกเขาปลดปล่อยความเร็วเต็มพิกัดพุ่งทะยานไปด้านหน้า
เรือบินรบหนึ่งหมื่นลำและผู้ฝึกตนสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กว่าห้าหมื่นคนที่เหลือภายใต้การบังคับบัญชาของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะหกคนก็กำลังมุ่งหน้าไปยัง…ดาวเอกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!
ขณะที่ทุกสิ่งกำลังดำเนินไปนั้น ณ ที่ใดสักแห่งในดินแดนนพภูมิ รูปปั้นก็กำลังจมลึกลงไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ดินแดนนพภูมิเป็นเหมือนโลกอีกด้านของกระจก ยากมากที่คนธรรมดาจะสามารถเปิดประตูเชื่อมมายังดินแดนแห่งนี้ได้ มีเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่สามารถเปิดประตูได้ได้ชั่วคราว ดินแดนนพภูมิแห่งนี้จะถูกปิดไว้เกือบตลอดเวลา
ดินแดนแห่งนี้มีกฎธรรมชาติเป็นของตัวเองและไม่ได้รับผลกระทบจากโลกภายนอก ขณะเดียวกันก็ปรากฏอยู่ทุกแห่งหน ไม่ต่างจากความตายที่ปรากฏอยู่ในทุกที่ที่มีชีวิต สวรรค์และผืนดินในโลกนี้ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ที่นี่มีเพียงหมอกหนาเกินจะวัดได้ ขณะที่หมอกเคลื่อนเอื่อยเฉื่อยไปในอากาศ ใบหน้าไร้อารมณ์มากมายก็ปรากฏขึ้นจากในหมอก ใบหน้าเหล่านั้นเป็นเหมือนผู้รับรู้ความตายในดินแดนแห่งนี้
วิญญาณผู้ล่วงลับของผู้ที่เคยมีชีวิตอยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มารวมกันอยู่ที่นี่ ผู้มีชีวิตอยู่ไม่ค่อยย่างกรายเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ เพราะมีเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้นที่จะสามารถเอาชีวิตรอดในที่แห่งนี้ได้สักชั่วประเดี๋ยว แต่ก็ไม่สามารถคงอยู่ในดินแดนแห่งนี้ได้นาน รัศมีแห่งความตายแปดเปื้อนทุกสิ่ง ไม่มีใครรู้ว่ามีวิญญาณผู้ล่วงลับมากมายเท่าใดถูกขังไว้ที่นี่
รู้เพียงว่านพภูมิคือส่วนหนึ่งของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ตำนานได้กล่าวถึงต้นกำเนิดของดินแดนแห่งนี้ไว้ใน…เต๋าสวรรค์ที่เคยมีอยู่เมื่อนานแสนนาน ในช่วงเวลานั้นนพภูมิไม่ได้ถูกปิดไว้ พอมีผู้ล่วงลับ วิญญาณก็จะกลับสู่นรกภูมิ ทั้งวิญญาณของคนทั่วไปและวิญญาณของเหล่าผู้แข็งแกร่ง ไม่มีข้อยกเว้นให้ผู้ใด
ตระกูลไม่รู้สิ้นที่เรืองอำนาจขึ้นมาทำให้กฎธรรมชาตินั้นหายไปพร้อมเต๋าสวรรค์ นพภูมิยังคงมีอยู่ แต่ก็ถูกปิดผนึกไป ตระกูลไม่รู้สิ้นตั้งกฎขึ้นมาใหม่ เมื่อผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ขึ้นไปตาย วิญญาณของพวกเขาจะไม่ได้เข้าไปสู่นพภูมิหรือเกิดใหม่ แต่จะล่องลอยไปในอวกาศแทน หากหาวิธีได้ ก็จะสามารถกลับคืนมามีชีวิตได้ใหม่!
นี่คือตำนานที่กล่าวขานกันมาทั่วจักรวาลและภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น น้อยคนนักที่จะรู้ว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังอยู่ในตำนานนี้หรือแผนการลับอะไรซ่อนอยู่
ในสายตาของรูปปั้นที่กำลังจมดิ่งลงไป ภายในสุสานหลวงของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เบื้องหน้าของวิญญาณผู้ล่วงลับนับล้านที่กำลังคุกเข่าและจักรพรรดิทั้งสิบสองที่กำลังก้มหัวคือหวังเป่าเล่อ ภายในร่างของเขา การต่อสู้ระหว่างผู้ล่าและผู้ครอบครองได้พุ่งทะยานไปถึงขีดสุด!
ผีแก่ผู้มีพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางปลดปล่อยพลังเต็มขั้นเพื่อแย่งชิงร่างกายหวังเป่าเล่อมาครอง เขาสามารถหลบเปลวเพลิงดารานิรันดร์และฝ่ามือดาวพระเคราะห์มาได้โดยมุ่งโจมตีเพียงดวงวิญญาณของหวังเป่าเล่อพร้อมพยายามกลืนกินมันเข้าไป
แต่ก็ต้องเผชิญกับความลำบากจากพลังแปลกประหลาดมากมายที่เคยอยู่ในร่างของหวังเป่าเล่อ ทำให้ต้องเปลี่ยนพลังส่วนหนึ่งเป็นผนึกิเพื่อป้องกันการแทรกแซงการครอบงำของเขา และกันไม่ให้เรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
ความคิดประหลาดผุดขึ้นในของหัวหวังเป่าเล่อเมื่อเขาตระหนักได้ว่าผีแก่ได้ทำอะไรลงไป เป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยปกปิดไม่ให้ผีแก่รู้
การกระทำของผีแก่คงจะดูมีเหตุผลมากกว่านี้ถ้าเขาสู้กับร่างจริงของข้า แต่ร่างนี้เป็นเพียงร่างอวตาร ฝักกระบี่และเมล็ดดูดกลืนล้วนอยู่ในร่างจริง ร่างอวตารเป็นแค่ภาพมายา แล้วทำไมผีแก่ต้องทำเช่นนี้ หรือว่า…แม้จะวางแผนมาแล้วอย่างดีแต่เขากลับพลาดอะไรไป เขารู้หรือเปล่าว่านี่เป็นแค่ร่างอวตาร หรือจะคิดว่าร่างนี้คือร่างจริงกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็ตัวสั่นเทิ้มเล็กน้อยขณะเรียกภาพมายาเมล็ดดูดกลืนและฝักกระบี่ออกมา ผีแก่อยู่ไม่สุขในทันใดเมื่อเห็นการปรากฏตัวของทั้งสองสิ่ง ราวกับว่าชายหนุ่มได้เรียกศัตรูคู่อาฆาตของเขาออกมากระนั้น!
น่าสนใจ! หวังเป่าเล่อคิด เขามั่นใจในโอกาสของตนเองมากขึ้น ชายหนุ่มใช้โอกาสนี้กัดดวงวิญญาณของผีแก่เข้าไปเต็มแรง
บทที่ 850 ผีแก่ผู้รอบรู้!
แรงกัดนั้นกระชากเอาพลังวิญญาณก้อนใหญ่ออกจากร่างของผีแก่ โทสะและความเจ็บปวดแล่นแปลบไปทั่วร่าง เขารีบสะกดความเจ็บปวดนั้นเอาไว้ ก่อนพยายามกลืนกินดวงวิญญาณของหวังเป่าเล่ออีกครั้ง
ในตอนนั้นเอง ฝักกระบี่และเมล็ดดูดกลืนที่หวังเป่าเล่อเรียกออกมาก็สั่นอย่างรุนแรงจนดูราวกับจะระเบิด ภาพนั้นทำให้ผีแก่ตกใจกลัวเป็นอย่างมาก เขารีบส่งพลังงานส่วนหนึ่งของตนออกไปเพื่อสะกดอาวุธทั้งสองไว้ ขณะที่ผีแก่วอกแวกไปชั่วขณะนั้นเอง เปลวไฟสีดำก็จุดประกายสว่างจ้าขึ้นในดวงวิญญาณของหวังเป่าเล่อ และพวยพุ่งออกสู่บรรยากาศภายนอก
เจ้าคิดว่าจะสิงร่างบิดาของเจ้าคนนี้ได้เช่นนั้นหรือ ตาแก่ ฝันไปเถิด! เปลวไฟสีดำระเบิดออกจากตัวหวังเป่าเล่อ ส่งแรงกดดันเข้าครอบงำวิญญาณทุกดวง ทำให้ผีแก่รู้สึกราวกลับไปเป็นปุถุชนคนเดินดินที่ถูกสาดด้วยน้ำมันร้อน เขากรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด โทสละและความบ้าคลั่งทวีความรุนแรงขึ้นอีก
เขาสืบเสาะทุกช่องทางเท่าที่จะทำได้ และทำการวิเคราะห์มาแล้ว จนมั่นใจว่าหวังเป่าเล่อเป็นศิษย์จากสำนักแห่งความมืด ด้วยเหตุนี้ผีแก่จึงคิดแผนการหนึ่งขึ้นมาได้ เขาตั้งใจจะยัดดวงวิญญาณมากมายใส่ร่างหวังเป่าเล่อ เพื่อส่งสายเลือดและพื้นเพดั้งเดิมของตนเข้าไปในกายชายหนุ่ม หลังจากนั้น ต่อให้หวังเป่าเล่อปล่อยเปลวไฟสีดำออกมากำราบ เขาก็ยังมั่นใจว่าจะตอบโต้กลับได้สำเร็จ
แต่แผนการนั้นก็ถึงคราวเป็นหม้ายไปเสียแล้ว จึงเหลืออยู่ทางเดียวคือการกลืนกินดวงวิญญาณของหวังเป่าเล่อ ความบ้าคลั่งเข้าครอบงำผีแก่ ขณะที่เขาร้องคำรามและพยายามต่อสู้กับความเจ็บปวดจากการถูกเผาไหม้วิญญาณโดยการใช้พลังปราณของตนเข้าช่วย การต่อสู้ระหว่างวิญญาณของผีแก่และวิญญาณของหวังเป่าเล่อยังคงดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น ท่ามกลางความเจ็บปวดและเสียงกรีดร้อง
ผีแก่เปลี่ยนรูปร่างเป็นดวงตาดวงหนึ่ง เขาพุ่งเข้าใส่วิญญาณของหวังเป่าเล่ออีกครั้ง แต่แทนที่จะโจมตีดวงวิญญาณโดยตรง เขากลับล้อมมันเอาไว้แทน
“เคล็ดเวทผสานดวงเนตรสวรรค์!”
ผีแก่คำรามก้อง เคล็ดเวทผสานดวงเนตรสวรรค์คือวิชาที่เขาเตรียมมาเพื่อใช้ในกรณีที่แผนการหลักของเขาพังครืน และต้องใช้กำลังเข้าสิงร่างหวังเป่าเล่อแทน ดังนั้นแทนที่จะกลืนกินวิญญาณของชายหนุ่มเข้าไป ผีแก่กลับห่อหุ้มดวงวิญญาณของเขาเอาไว้ เพื่อกักขังมันและผสานเข้ากับตัวเขาเอง
พลังเทพนี้ทำให้เขาใช้กำลังและพลังปราณของตนได้อย่างเต็มที่ แม้อาการบาดเจ็บจากเปลวไฟสีดำจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พลังเทพจะทำให้เขาเข้าสิงร่างของหวังเป่าเล่อได้อย่างรวดเร็วภายในครั้งเดียว ผีแก่รู้ดีว่าการปล่อยให้หวังเป่าเล่อปล่อยเปลวไฟสีดำออกมาเรื่อยๆ ในขณะที่เขากำลังค่อยๆ กลืนกินวิญญาณของชายหนุ่มคงไม่ใช่สิ่งที่ทำได้นาน ยิ่งยืดระยะเวลาออกไปมากเท่าไหร่ ชะตากรรมของเขาก็จะยิ่งยุ่งยากขึ้นเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นแล้ว ผีแก่จึงตัดสินใจว่าจะต้องจบการต่อสู้นี้ให้เร็วที่สุด!
การกลืนกินนั้นคือการทำลายดวงวิญญาณและเปลี่ยนสภาพของมันให้กลายเป็นพลังบำรุง จัดเป็นวิธีการที่ดีในการเข้าสิงร่าง แต่วิญญาณที่ถูกทำลายไปนั้นก็จะกลายเป็นเพียงพลังหล่อเลี้ยงเช่นเดียวกับการกินโอสถ แน่นอนว่าการผสานวิญญาณเข้าด้วยกันเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หากทำสำเร็จ ไอ้เจ้าหวังเป่าเล่อนี่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของข้า เหมือนเป็นร่างอวตารร่างหนึ่งที่ข้าครอบครอง แล้วไอ้พวกตัวประหลาดในกายมันก็จะเป็นของข้าด้วย!
ผีแก่พยายามปลอบใจตนเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่มีทางเลือกอื่นมากกว่านอกจากต้องใช้วิชาผสานวิญญาณ ดวงจิตของเขายังคงกระจายออกสู่บรรยากาศภายนอกขณะปล่อยพลังของเคล็ดเวทผสานดวงเนตรออกมาเรื่อยๆ วิญญาณของเขาเปลี่ยนสภาพไปเป็นดวงตาที่เข้าคลุมร่างของหวังเป่าเล่อ… ในตอนนั้นเองที่สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นในศีรษะของชายหนุ่ม เขาคิดขยับร่างกายส่วนที่ยังพอควบคุมอยู่ทันทีโดยสัญชาตญาณ หมายทำลายแผ่นหยกแผ่นใดแผ่นหนึ่งที่ถืออยู่ในมือ
แผ่นหยกที่ได้มาจากเซี่ยไห่หยางมีราคาพอตัว และหากเขาทำลายแผ่นหยกจากปรมาจารย์แห่งไฟละก็ เขาจะต้องเปลี่ยนสำนักที่ตนเองสังกัด ซึ่งตัวเขาเองในฐานะบุตรแห่งความมืดจากสำนักแห่งความมืด ย่อมไม่ต้องการให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
แต่นี่มันแค่ร่างอวตารของข้ามิใช่รึ จะกลัวบ้าบออะไรกัน ด้นสดเอาก็แล้วกัน พนันได้เลยว่าไอ้ผีแก่ต้องไม่รู้แน่นอนว่านี่เป็นเพียงร่างอวตารของข้า ข้าเดาว่าถึงอย่างไรมันก็สิงร่างอวตารไม่ได้แน่ๆ ! หวังเป่าเล่อตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด เขาโยนความคิดที่จะทำลายแผ่นหยกทิ้ง และใช้พละกำลังทั้งหมดไปกับการปล่อยเปลวไฟสีดำแทน จนทำให้เพลิงพัดโหมขึ้นอีก ทว่า…ผีแก่ยังคงใช้พลังปราณของตนเองสะกดเขาเอาไว้ได้อยู่ อำนาจของเคล็ดเวทผสานดวงเนตรสวรรค์สำแดงออกมาอย่างเต็มที่
แม้ร่างของผีแก่จะกำลังทุกข์ทรมานด้วยเปลวไฟสีดำที่เผาไหม้และกำลังสั่นเทาอย่างรุนแรง แต่ก็ยังเข้าล้อมดวงวิญญาณของหวังเป่าเล่อเอาไว้ได้ พร้อมทั้งปล่อยพลังปราณและพลังเทพเต็มรูปแบบ
วิญญาณของชายหนุ่มมลายหายไปพร้อมเสียงระเบิดกึกก้อง โดยมีผีแก่ในคราบดวงตายักษ์เข้ามาแทนที่ ดวงตานั้นเข้าครอบงำวิญญาณของหวังเป่าเล่อได้เป็นที่เรียบร้อย ภาพนั้นทำให้ผีแก่ถึงกับตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น เขากำลังจะผสานรวมกับหวังเป่าเล่ออย่างสมบูรณ์ในอีกเพียงอึดใจเดียว แต่ตอนนั้นเอง…บางสิ่งที่เหนือจินตนาการก็บังเกิดขึ้น!
ดวงวิญญาณของหวังเป่าเล่อที่ถูกห่อหุ้มด้วยดวงเนตรสวรรค์กลับผ่านทะลุดวงตานั้นไป… ราวกับวิญญาณของผีแก่หมดสิ้นหนทางจะรั้งดวงจิตของหวังเป่าเล่อเอาไว้ได้ และต้องปล่อยให้หลุดมือไปอย่างช่วยไม่ได้
เกิดบ้าอะไรขึ้น ผีแก่ตกใจแทบสิ้นสติ นี่ไม่อยู่ในแผนการของเขาแม้แต่น้อย จนทำให้ถึงกับเสียศูนย์ ส่วนวิญญาณของหวังเป่าเล่อก็ลื่นไหลออกจากการเกาะกุมของผีแก่ และมาปรากฏตัวอีกครั้งด้วยดวงตาวาวโรจน์
ไอ้แก่นี่ไม่รู้จริงๆ เสียด้วยว่านี่มันร่างอวตารของข้า ทุกอย่างในร่างกายนี้เกิดขึ้นจากการสร้างด้วยสารัตถะของร่างจริงข้า แม้ว่าร่างอวตารเช่นนี้จะถูกสิงและผสานรวมได้… แต่ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ไอ้ผีแก่จะทำได้ด้วยระดับพลังปราณเพียงเท่านี้!
ชายหนุ่มท่วมท้นไปด้วยความตื่นเต้น เขามั่นใจว่าตนเองจะต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน แต่ก็ยังมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลอยู่ดี ผีแก่นี่ซ่อนตัวอยู่นานหลายปี จนรู้หลายเรื่องเกี่ยวกับหวังเป่าเล่อ รวมถึงเรื่องที่เขามาจากสำนักแห่งความมืดด้วย เป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้านั่นจะไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่ร่างจริงของหวังเป่าเล่อ นอกเสียจากว่า…
มีผู้ฝึกตนผู้ทรงพลังแก่กล้าช่วยข้าอยู่ โดยการทำให้จิตสัมผัสของผีแก่นี่อ่อนกำลังลง ทำให้มันมีความเชื่อแบบผิดๆ !
ลูกไม้นี้… ดูคุ้นๆ ชอบกล ปรมาจารย์แห่งไฟไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องเช่นนี้ ไม่จำเป็นสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย มันดูเหมือนเป็นสิ่งที่… ศิษย์พี่น่าจะทำต่างหาก!
หวังเป่าเล่อนึกย้อนไปถึงตอนที่ศิษย์พี่ของตนพาตนออกมาโดยให้นอนหลับในโลงศพ หากนี่เป็นฝีมือของศิษย์พี่จริงๆ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่เขาหลับอยู่แน่ๆ
นั่นเพราะร่างอวตารหลักของเขาที่สร้างโดยกระบวนท่าสารัตถะเกิดขึ้นหลังจากนั้น
ความคิดเหล่านี้ผ่านเข้ามาในสมองของหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว แม้จะดูเหมือนเป็นการวิเคราะห์ที่ต้องใช้เวลานาน แต่ชายหนุ่มก็ได้ข้อสรุปนี้มาภายในพริบตาเดียว นอกจากนี้เขายังสังเกตได้อีกด้วยว่าวิญญาณเสี้ยวเล็กๆ ของผีแก่ที่เขากลืนกินเข้าไปนั้นไม่ได้หายไปไหน แต่รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเขาต่างหาก
หวังเป่าเล่อระเบิดเสียงหัวเราะ ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโลภ เขาจ้องผีแก่ตาเป็นมันราวกับกำลังมองโอสถล้ำค่าหายาก วิญญาณของชายหนุ่มทะยานไปข้างหน้าหาผีแก่ เปลวไฟสีดำพวยพุ่ง สะกดผีแก่เอาไว้ด้วยอำนาจแห่งไฟที่เผาไหม้ กัดกินร่างกายของอีกฝ่ายอย่างดุเดือด
ในเวลาเดียวกันนั้น…หวังเป่าเล่อก็ไม่ลืมที่จะโบกบังคับให้เมล็ดดูดกลืนและฝักกระบี่ลอยวนรอบกาย เพื่อหันเหความสนใจและสร้างความหวาดกลัวให้คู่ต่อสู้อีกด้วย
ผีแก่กำลังจะเป็นบ้าตาย เขาคิดคำนวณความเป็นไปได้ทั้งหมดของสิ่งที่จะเกิดขึ้นเอาไว้แล้ว แต่ไม่ได้คิดเลยว่าผลสุดท้ายจะมาลงเอยเช่นนี้ ทั้งที่ดูเหมือนตนทำสำเร็จไปแล้วแท้ๆ เขาคำรามกู่ก้อง สิ่งแรกที่คิดได้คือตนเองต้องทำอะไรพลาดไปก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน
ต้องใช่แน่ๆ ! ผีแก่ยังคงกู่ร้องต่อไป พยายามต่อต้านความเจ็บปวดจากเปลวไฟสีดำที่เผาไหม้ และหาช่องโหว่จากการโจมตีของหวังเป่าเล่อเพื่อปล่อยพลังเทพของตนเองออกมาอีกครั้ง สิ่งที่เขาต้องเสียไปคือเศษของวิญญาณที่ถูกหวังเป่าเล่อกลืนกินเข้าไป เพื่อที่จะไม่เกิดความผิดพลาดเช่นนั้นขึ้นอีก ผีแก่จึงปล่อยเคล็ดเวทผสานดวงเนตรสวรรค์ออกมาถึงสามครั้งด้วยกัน
เคล็ดเวทผสานดวงเนตรสวรรค์ระเบิดออกมาพร้อมเสียงดังกึกก้อง วิญญาณของหวังเป่าเล่อถูกผีแก่กักขังเอาไว้อีกครั้ง เขากำลังจะผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของหวังเป่าเล่อ ทว่า…ชายหนุ่มก็หลุดมือเขาไปได้อีกครา
เป็นไปไม่ได้! ดวงตาของจักรพรรดิโบราณแทบถลนออกจากเบ้า ความมุ่งมั่นเริ่มสั่นคลอน ภาพประหลาดตรงหน้าทำให้ขนลุกชันขึ้นอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็ยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ
เหตุใดข้าจึงพลาดอีกครั้งกัน มันไม่มีทางที่จะสิงร่างไอ้หวังเป่าเล่อนี่ได้เลยหรือ ข้าต้องใช้กระบวนเวทผิดเป็นแน่ ลองใช้อีกอันดูก็แล้วกัน! ผีแก่บันดาลโทสะจนแทบพ่นไฟ วิญญาณของเขายังคงสั่นสะท้านขณะที่หวังเป่าเล่อพยายามกลืนกินเขาเข้าไป ผีแก่รีบปล่อยเคล็ดเวทผสานวิญญาณอื่นๆ ออกมาทันที
“กระบวนเวทปันกายาคุ่นหลุน!”
“บัดซบ ทำไมไม่ได้ผลกัน กระบวนเวทรวมร่างมหาปีศาจ!”
“เกิดบ้าอะไรขึ้นกัน เคล็ดเวทพิภพเชื่อมสวรรค์!”
ผีแก่เป็นบ้าไปแล้วเรียบร้อย เขาปล่อยกระบวนเวทสิงกายาออกมาห้าถึงหกวิชาด้วยกัน แต่ก็ไม่มีวิชาใดใช้ได้ผล ราวกับว่าวิญญาณของหวังเป่าเล่อไม่มีอยู่จริงอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าจะพยายามสิงร่างของชายหนุ่มมากเท่าใดก็ไม่สำเร็จเสียที
เปลวไฟสีดำของหวังเป่าเล่อยังคงเผาไหม้อย่างต่อเนื่องขณะที่ผีแก่ก็ยังพยายามไม่หยุด ความเจ็บปวดมหาศาลทำให้ร่างของเขาเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อเองก็ยังไม่ผ่อนกำลังการกลืนกินลงแม้แต่น้อย แม้จะดึงวิญญาณของผีแก่ออกมาได้ครั้งละเสี้ยวเล็กๆ แต่มันก็ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จนวิญญาณของผีแก่หายไปแล้วกว่าร้อยละสามสิบ
จิตและวิญญาณที่ถูกทำลายทำให้ผีแก่ใกล้คลั่ง แต่เขาเคยมีศักดิ์เป็นถึงจักรพรรดิผู้บุกเบิกอาณาจักร จึงย่อมมีนิสัยพากเพียรและมุ่งมั่นเป็นอย่างมากโดยธรรมชาติ แม้จะทำพลาดหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้แต่อย่างใด ผีแก่คำรามก้องด้วยโทสะ ก่อนพยายามสิงร่างหวังเป่าเล่ออีกครั้ง
“กระบวนเวทกลืนกินเก้าเมฆาสวรรค์!”
“เคล็ดเวทปัดเป่าวิญญาณไร้จิต!”
บทที่ 851 วิชาต้มสวรรค์!
เวลาเดินหน้าผ่านไปอย่างช้าๆ … ความพยายามสิงร่างดำเนินมาอย่างเนิ่นนาน แม้กระทั่งหวังเป่าเล่อยังเริ่มรู้สึกเหนื่อยอ่อน นั่นเพราะชายหนุ่มปล่อยเปลวไฟสีดำออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังต้องทำให้เมล็ดดูดกลืนและฝักกระบี่ก่อตัวเป็นรูปร่าง และยังต้องทำให้พวกมันสั่นเหมือนกำลังต่อสู้กับอะไรอยู่ตลอดเวลาเพื่อข่มขวัญศัตรู ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้การที่เขาต้องดูดกลืนวิญญาณของผีแก่ และกัดมันทุกครั้งก็เหนื่อยมากเช่นกัน
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ แม้หวังเป่าเล่อจะเลิกต้านทานวิชาของผีแก่ และหันมาสนใจเรื่องการดูดพลังแทน การต้องทำทั้งหมดในคราวเดียวกันก็ยังหนักหนามากอยู่ดี นั่นเพราะเจ้าผีแก่นี่ปล่อยเคล็ดวิชาสิงร่างมากมายอย่างไม่หยุดหย่อน
จะทำอย่างไรได้เล่า ก็ข้าเป็นคนใจดีนี่นะ เพื่อเป็นการเคารพผู้สูงอายุ ข้าจะปล่อยให้หมอนี่พยายามต่อไปก็แล้วกัน หวังเป่าเล่อถอนใจ ไม่ได้พยายามปกปิดความพอใจในผลงานตนเองแม้แต่น้อย แต่ก็ยังคงมีสีหน้าสิ้นหวังด้วยเช่นกัน ขณะที่ยังคงเดินหน้ากลืนกินวิญญาณของผีแก่ต่อไป
ตอนนี้เศษส่วนวิญญาณกว่าร้อยละ 70 ของผีแก่เข้าไปอยู่ในกายของหวังเป่าเล่อเรียบร้อย ชายหนุ่มเองเริ่มรู้สึกได้ว่าตนเองเปลี่ยนไป เขามั่นใจว่าเมื่อกระบวนการสิงสู่เสร็จสิ้นลงและเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พลังปราณของเขาจะก้าวผ่านขั้นเชื่อมวิญญาณไปอยู่ที่ขั้นจิตวิญญาณอมตะอย่างแน่นอน
แล้วก็ไม่ใช่ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นเสียด้วย มีความเป็นไปได้มากว่า…เขาจะกลายเป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางในทันที หรืออาจเป็นไปได้ด้วยซ้ำ…ที่เขาจะได้พลังปราณขั้นปลายมาครอบครอง
ก็ได้ ข้าจะยอมเหนื่อยเพื่อพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะก็แล้วกัน หวังเป่าเล่อถอนใจและกระโจนตัวไปข้างหน้าอีกครั้งเพื่อกินวิญญาณด้วยท่าทีดุร้าย แต่คราวนี้ผีแก่ที่ยังคงมุ่งมั่นปล่อยวิชาใส่เขากลับระเบิดเสียงคำราม ส่วนที่เหลืออยู่ของวิญญาณผีแก่กระจายออกมา เขาไม่ได้มุ่งมั่นพยายามต่อ หากแต่…เปลี่ยนใจหลบหนีแทน!
เห็นได้ชัดว่าผีแก่ตกใจเป็นอย่างมากกับความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ จนตัดสินใจได้ว่าจะล้มเลิกความพยายามและจากไปเสีย ทว่า…นี่เป็นร่างสารัตถะของหวังเป่าเล่อ จึงทำให้ผีแก่ไม่สามารถเข้าๆ ออกๆ ได้ตามใจชอบ
ตัวผีแก่เองใช้ประโยชน์จากหวังเป่าเล่อในการฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจ และได้สร้างสายสัมพันธ์บางอย่างกับตัวตนของชายหนุ่มเอาไว้จนทำให้มีโอกาสสิงสู่เจ้าของร่าง แต่สายสัมพันธ์ที่เขาสร้างขึ้นมานั้นก็เป็นประโยชน์แก่ตัวหวังเป่าเล่อเองเช่นกัน ชายหนุ่มรั้งผีแก่ที่กำลังพยายามหลบหนีเอาไว้ไม่ให้ออกไปจากร่างของเขาได้!
วิชาดวงเนตรปีศาจ! วิญญาณของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน กลายสภาพไปเป็นดวงตาสีดำยักษ์ และพลันสร้างผนึกขึ้นมาทันทีเพื่อสกัดผีแก่เอาไว้ไม่ให้จากสภาพการสิงร่างไปไหนได้ ผีแก่พลันกรีดร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด
“สหายเต๋าหวัง ข้าผิดไปแล้ว ได้โปรดเถิด ข้ายินดีทำให้เจ้าทุกอย่าง ข้าผิดเอง…”
“เรียกข้าว่าบิดาสิ แล้วข้าจะลองคิดดูใหม่!”
“ท่านบิดา ข้าผิดเองขอรับ ข้าทำเรื่องชั่วร้ายเอามากๆ โปรดปล่อยข้าไปเถิด!”
“เอาละ ข้าคิดได้แล้ว ต่อให้เจ้าเรียกข้าว่าบิดาก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี ไอ้ลูกชายเอ๋ย ไม่มีวันเสียละ!”
“ไอ้หวังเป่าเล่อ เจ้าหลอกบังคับให้ข้าทำรึ!”
“ใช่ ข้าหลอกเจ้า แล้วมันจะทำไม!” หวังเป่าเล่อฮึดฮัดก่อนกระโจนเข้าไปกัดผีแก่อีกครั้ง
“อ๊ากกกกกก!” วิญญาณชายชราเริ่มคลั่งขึ้นมาทันที ก่อนปล่อยวิชาของตนเองออกมาอย่างบ้าดีเดือด
“ทักษะรากฐานเก้าเป็นหนึ่ง…”
“เคล็ดเวทดวงเนตรปีศาจสวรรค์…”
“กระบวนเวทหนึ่งจิต…”
เขาปล่อยกระบวนเวทออกมาถึงสิบประบวนเวทในคราวเดียว แต่ท้ายที่สุดแล้ว…ก็ยังไม่เป็นผล เขาเสียชิ้นส่วนวิญญาณไปแล้วกว่าร้อยละ 80 จากการดูดกลืนของหวังเป่าเล่อ จนตอนนี้เหลือเพียงศีรษะที่ลอยเท้งเต้งเท่านั้น ดวงตาของผีแก่หม่นหมองด้วยความสิ้นหวังและความสับสน
วิญญาณชายชราดูเหมือนจะยอมแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว แต่แม้ร่างกายจะเหน็ดเหนื่อยเกินทานทน ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่กลายมาเป็นความหมกมุ่นที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจของเขา… เหตุผลที่ว่าทำไมเหตุการณ์มันถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ และเหตุใดเขาจึงทำไม่สำเร็จ…
“หวังเป่าเล่อ ข้าจะบอกความลับแก่เจ้าแลกกับคำตอบ บอกข้าที ทำไมข้าถึงสิงร่างเจ้าไม่ได้…” ท้ายที่สุดผีแก่ก็มองหน้าหวังเป่าเล่อด้วยสายตาว่างเปล่าและพึมพำออกมา
“ความลับอะไร เจ้าจะบอกข้าเช่นนั้นรึ” หวังเป่าเล่อที่กำลังเตรียมตัวกินวิญญาณชายชราเข้าไปทั้งตัวในคราวเดียวถามขึ้นมา
“วิชาดวงเนตรสวรรค์ไม่ใช่กระบวนเวทดั้งเดิมของข้า แต่แท้จริงแล้วมีต้นกำเนิดมาจากสถานที่ลึกลับเช่นเดียวกันกับรูปปั้นข้างนอก สถานที่นั้นมีนามว่า…สุสานดวงดารา เป็นสถานที่ในตำนานแห่งจักรภพเต๋าไม่รู้สิ้น มิติลึกลับที่ตระกูลผู้ทรงอำนาจและสำนักยิ่งใหญ่มากมายยอมพลีกายถวายชีวิตเพื่อให้ได้เข้าไป ข้ารู้วิธีแทรกซึมเข้าไปในที่แห่งนั้นอย่างลับๆ ในช่วงเวลาที่ผู้อื่นกำลังทำพิธีเพื่อเข้าไปในสุสานดวงดารา!”
“อย่าเสียเวลาตรวจจิตข้าเลย ข้าได้จัดการผนึกความลับนี้เอาไว้เรียบร้อยด้วยอุปสรรคมากมาย ทันทีที่มีคนพยายามตรวจจิตข้า ที่ที่เก็บความลับนั้นไว้จะพังทลายลงมาทันที เอาละ ทีนี้บอกข้ามาเสียว่าเหตุใดข้าจึงสิงร่างเจ้าไม่ได้” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ วิญญาณชายชราก็มองหน้าหวังเป่าเล่อด้วยความคาดหวัง
แม้เขาจะบอกว่าตนเองยอมแลกความลับกับคำตอบ แต่ความจริงแล้วผีแก่เพียงแต่ต้องการใช้ข้อมูลนั้นเป็นเหยื่อล่อเพื่อรักษาชีวิตตนเองเท่านั้น เขามีแผนการอื่นอยู่ลึกๆ ในใจ แม้ครั้งนี้จะพังไม่เป็นท่า ก็ไม่ได้แปลว่าครั้งหน้าที่ลองจะไม่สำเร็จผล ตราบใดที่หวังเป่าเล่อยังลังเลโอนอ่อน เขาก็มีช่องทางเสมอ
วิญญาณผีแก่เชื่อว่าตราบใดที่หวังเป่าเล่อลังเล เขาก็ยังมีโอกาสรอดตายได้ ส่วนความลับที่เพิ่งบอกไปนั้น… ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะบอกหวังเป่าเล่อไม่ได้แต่อย่างใด เนื่องจากการเข้าดินแดนลึกลับนั้นมีสองวิธีด้วยกัน คือวิธีที่ถูกต้องและวิธีพิเศษ วิญญาณชายชราได้ถ่ายทอดวิธีการเข้าดินแดนลึกลับแบบถูกต้องให้ทายาทในตระกูลไปเรียบร้อยแล้วก่อนที่ตนเองจะตายเมื่อหลายปีก่อน ส่วนวิธีพิเศษในการเข้าสุสานดวงดารานั้น เขาตั้งใจจะเก็บเอาไว้ใช้สร้างความลำบากให้ผู้คน แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ กลับมาชิงเสียชีวิตไปเสียก่อน
ตอนนี้วิญญาณผีแก่ต้องการจะทำให้ชีวิตหวังเป่าเล่อตกอยู่ในความทุกข์ยาก ตราบใดที่หวังเป่าเล่อยังคงมีจิตใจไม่มั่นคงและอุตริไปทำตามที่เขาบอก ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะยึดร่างชายหนุ่มได้เสมอ!
“น่าสนใจดี” หวังเป่าเล่อหรี่ตามองจักรพรรดิแก่ตรงหน้าก่อนหัวเราะออกมา
“เหตุผลที่เจ้าล้มเหลวน่ะรึ ข้าบอกเจ้าได้อยู่แล้ว เจ้าโง่ ร่างของข้าที่เจ้าเห็นอยู่ในตอนนี้เป็นเพียงร่างอวตารเท่านั้น เจ้าพยายามสุดตัวที่จะสิงร่างอวตารของข้า ไม่คิดว่ามันตลกรึ ก่อนหน้านี้ข้ายังแอบหวังให้เจ้าทำสำเร็จด้วยซ้ำ หากเจ้าทำได้เจ้าก็จะได้กลายเป็นร่างอวตารอีกตัวของข้าอย่างไรเล่า” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนบอกความจริง
คำตอบของเขาเปรียบเสมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมายังใจกลางดวงจิตของผีแก่ ก่อนหน้านี้เขาเดาคำตอบเอาไว้มากมายแต่ไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ ดวงวิญญาณของชายชราสั่นสะท้านจนแทบจะระเบิดอย่างควบคุมไม่อยู่
“เป็นไปไม่ได้!” ผีแก่คำรามก้อง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นเพียงเรื่องปาหี่ เขาเตรียมการมาอย่างยาวนาน คิดทุกอย่างมาเป็นอย่างดี ทั้งยังใช้เคล็ดวิชาและกลเม็ดสกปรกมากมายเพื่อทำให้แผนสำเร็จ แต่สุดท้ายแล้วตนเองกลับกำลังพยายามจะสิงร่างอวตารไปได้เสียนี่
เขารับรู้ได้ทันทีโดยสัญชาตญาณว่ามีบางสิ่งผิดปกติ นั่นเพราะหากหวังเป่าเล่อเป็นร่างอวตารจริง ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะไม่สังเกตเห็น นอกเสียจากว่า…
มีคนใช้เคล็ดวิชาต้มสวรรค์มาบดบังสัมผัสสวรรค์ของข้า ทั้งยังปลูกภาพมายาเอาไว้ในหัวข้า! ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในศีรษะของผีแก่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นี่คือคำอธิบายเดียวที่เขาคิดได้ วิญญาณชายชรารู้สึกขมขื่น บ้าคลั่ง และขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก เขากำลังจะอ้าปากพูดอีกครั้ง แต่ในวินาทีต่อมา… วิญญาณของหวังเป่าเล่อก็กระโจนเข้ามาหา
หมอนี่มันไม่ได้อยากรู้… อันตรายใหญ่หลวงเบื้องหน้าทำให้ชายชรากรีดร้องออกมา แต่ดวงวิญญาณส่วนที่เหลืออยู่ก็ถูกหวังเป่าเล่อกลืนกินเข้าไปเสียหมดสิ้นโดยไม่เหลือแม้แต่ซาก ชายหนุ่มไม่ได้รอให้ผีแก่พูดให้จบแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านี้เขาตายมาครั้งหนึ่งแล้ว มีเพียงร่างวิญญาณเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่ หากเขาถูกคนอื่นฆ่าตายอีกครั้ง ก็อาจจะกลับมามีชีวิตในฐานะวิญญาณได้อีกด้วยอำนาจของผนึก เนื่องจากพาตนเองมาอยู่ในมิตินพภูมิเรียบร้อย ทว่า… ผู้ที่ตายด้วยน้ำมือของศิษย์จากสำนักแห่งความมืดจะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีก ตอนที่หวังเป่าเล่อกลืนกินวิญญาณชายชราเข้าไป ชายหนุ่มก็พูดประโยคนี้ออกมา!
“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง!”
ทันทีที่สิ้นคำ เสียงเหมือนมีบางสิ่งถูกทำลายก็ดังออกจากวิญญาณของหวังเป่าเล่อ
กายาวิญญาณของจักรพรรดิองค์แรกแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ถูกทำลายหมดสิ้นไปในวินาทีนั้น!
แน่นอนอยู่แล้วว่าข้าอยากรู้ แต่ถึงอย่างไรการจะทิ้งศัตรูให้มีชีวิตรอดต่อไปก็ไม่เป็นประโยชน์กับตัวข้า ยิ่งไปกว่านั้น…อารยธรรมครามทองคำมันไม่ได้โง่ เจ้าไม่ใช่คนเดียวที่รู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน! หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขาอนุมานได้จากคำพูดของผีแก่และพอเดาได้ว่า เหตุใดอารยธรรมครามทองคำถึงต้องร่วมมือกับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ที่อ่อนแอกว่า หากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไม่ได้มีความลับเกี่ยวกับสุสานดวงดาราปิดบังไว้ ชายหนุ่มก็คิดว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น
ส่วนเซี่ยไห่หยางนั้น…หมอนั่นอาจจะกินเข้าไปสักสาม แล้วก็ยอมให้ข้าไปท้าคนที่หมอนั่นลงทุนเอาไว้นานแล้ว เพราะว่ามีแผนการบางอย่างเกี่ยวกับสุสานดวงดาราอยู่ในหัว!
ขณะที่ความคิดมากมายผ่านเข้ามาในศีรษะ หวังเป่าเล่อก็รู้สึกได้ถึงพลังของกายาวิญญาณและความปั่นป่วนภายในกายที่ใกล้จะระเบิดอยู่รอมร่อ จึงพลันจำเรื่องการสิงร่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นได้ ชายหนุ่มมั่นใจเกือบเต็มร้อยว่าศิษย์พี่เฉินชิงของเขา…เป็นผู้ที่ช่วยเหลือเขาไว้ในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้และทิ้งโอกาสงามเช่นนี้ไว้ให้
ศิษย์พี่ ท่านอยู่ที่ไหนกันนะ… หวังเป่าเล่อถอนหายใจ ชายหนุ่มปล่อยวิญญาณของตนเองให้กระจายคลุมร่างด้วยความรู้สึกขอบคุณและคิดถึงที่อยู่ในใจ ทันทีที่เขากลับมาควบคุมร่างตนเองได้อีกครั้ง พลังปราณก็พุ่งสูงเสียดฟ้า!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น