องครักษ์เสื้อแพร 846-848

 ตอนที่ 846 อำเภออู๋ริมคลองส่งน้ำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ที่ทำการเมืองซูโจวอยู่ในอำเภออู๋ เป็นพื้นที่สำคัญบนคลองส่งน้ำ รุ่งเรืองที่สุดในใต้หล้า การข่าวที่นี่ย่อมต้องแม่นยำฉับไวมาก


ราชสำนักส่งผู้แทนพระองค์มาตรวจเมืองซงเจียง ผู้แทนพระองค์ก็คือผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทง ข่าวนี้เริ่มแพร่ไปทั่วเมืองซูโจวก่อนหน้านี้แล้ว ข่าวหายไประหว่างทางตอนเปลี่ยนเป็นเรือชาวบ้าน จากนั้นก็เกิดเหตุโจรเหิมเกริมไร้ตาที่เมืองพีโจว จึงได้เปิดเผยเส้นทาง ทุกคนในเมืองซูโจวรู้เรื่องนี้ดี


ผู้แทนพระองค์มาถึงหนานจิง กำลังสนทนากับไห่รุ่ยหรือไห่ชิงเทียน ชื่อที่ชาวบ้านตั้งให้ว่าเสมือนขุนนางมือสะอาดดังเปาชิงเทียนหรือเปาบุ้นจิ้น ใกล้จะถึงเมืองซงเจียงแล้ว ข่าวนี้เริ่มแพร่ไปยังทุกตรอกซอกซอยในเมืองซูโจวแล้ว


หนานจิงถึงเมืองซงเจียงนั่งเรือก็ราวสามวัน หากลมดีก็ยังเร็วกว่านั้นได้ เช่นนี้ หวังทงเข้าเขตเมืองซูโจวไปเมืองซงเจียงก็อีกไม่กี่วันแล้ว


“หวังทงได้พบไห่ชิงเทียนแล้ว ไห่ชิงเทียนยังชี้ด่าหวังทงว่าเป็นขุนนางชั่วช้าแห่งแผ่นดิน วันนี้มาก่อความเดือดร้อนให้แดนใต้  คิดว่าแผ่นดินหมิงไร้ผู้กล้าจัดการเจ้าหรือไร? หวังทงเป็นมารร้ายกลับชาติมาเกิด ก็แสดงนิสัยชั่วร้ายทันที มือก็คว้าดาบ คิดไม่ถึงว่าไห่ชิงเทียนจะเป็นดาวบุ๋นมาเกิด แสงทองส่องประกาย ทำให้ภูติผีเกรงกลัวมาก หวังทงได้แต่รู้สึกว่าพอฟันลงไป ก็ล้มลงกับพื้น ตกใจเรียกหาบิดา ส่งเสียงร้องขอชีวิต!!”


เมืองซูโจวร่ำรวยสุดในใต้หล้า ไม่พูดถึงการเก็บเกี่ยวที่เรียกได้ว่าอันดับต้นๆ ในใต้หล้า กิจการการค้าที่นี่ก็เป็นหนึ่งในแผ่นดินหมิง มีโรงช่างมากมาย แต่ละร้านค้าแต่ละกิจการเต็มแน่นขนัด ไม่เช่นนั้นเมืองมากมายบนแผ่นดินหมิง ภาษีเมืองซูโจวก็คงไม่ใช่อันดับหนึ่งในใต้หล้านี้


ชนชั้นสูงมาก และยังไม่มีงานให้ต้องทำอันใด ย่อมว่างกันอยู่มาก ชนชั้นสูงร่ำรวยส่วนใหญ่ย่อมเดินเล่นหาความสำราญในสวนบ้านตน บางครั้งก็อาจออกไปหาร้านน้ำชานั่งดื่ม


เมืองซูโจวเป็นเมืองมีสายน้ำทะเลสาบมาก ร้านน้ำชาก็มักตั้งติดน้ำเพื่อชมวิวแม่น้ำ  บอกว่าดื่มชา หากด้านในยังมีงิ้วร้องให้ชมอีกด้วย น้ำชาขนมของว่างไม่ต้องพูดถึง แม้จะจัดเลี้ยงก็ยังทำได้ เทียบกับสวนในบ้านตนเองแล้ว ความครึกครื้นนี้ก็เป็นความสำราญหนึ่ง


มีพวกคหบดีชนชั้นสูงมากมายหลายคนที่ไม่อยากดูสวนงดงามของตนเอง ทิ้งสาวงามในเรือนตนเอง ออกไปนั่งเล่นสำราญตามร้านน้ำชา


ร้านน้ำชาเมืองซูโจวอันดับหนึ่งก็อยู่ที่ริมคลองส่งน้ำ ที่นี่ครึกครื้นกว่าที่อื่นๆ ในเมืองซูโจวมาก สามารถเห็นพ่อค้าไปมามากมาย และยังได้เห็นความงามแปลกตา  ยังมีสินค้าแปลกใหม่ที่สุด สภาพการค้ารุ่งเรือง ยังมีนางคณิกาขับร้องร่ายรำมีชื่อจากทางใต้หนานจิงและทางเหนือเมืองซงเจียง ให้ความสำราญกันอยู่ที่นี่


ทุกวันตอนเช้ามา ก็จะชงชามากาหนึ่ง จากนั้นก็มีขนมประณีตหลายอย่าง ล้อมวงนั่งกับสหายสนิท คุยสัพเพเหระไปเรื่อย ชีวิตช่างมีความสุข


เรื่องที่คุยกัน ย่อมเป็นเรื่องใหญ่บ้านเมืองและเรื่องนินทาชาวบ้านทั่วไป ทุกคนคุยกันน้ำลายแตกฟอง เห็นๆ ว่าเป็นแค่บัณฑิตร่ำเรียนตำรามา แต่เรื่องที่คุยกันกลับเหมือนขุนนางทำงานนานปี ไม่มีเรื่องใดไม่รู้ หากเป็นคนที่ไม่รู้อันใดมาได้ยินเข้า ย่อมคิดว่าบ้านเมืองไยไม่ใช้คนพวกนี้เป็นมหาอำมาตย์และเสนาบดี ช่างน่าเสียดายความสามารถโดยแท้


คนแรกที่พูดนั้นเป็นเรื่องน่าแปลก ทุกคนย่อมไม่เชื่อ พากันหัวเราะดังลั่น กลับมีคนกล่าวว่า


“ตระกูลสวีเมืองซงเจียงระดับไหนแล้ว ผู้นำชาวใต้เราเลยนะ อย่างไรบัณฑิตทั้งหลายก็ต้องอาศัยตระกูลสวีจึงจะมีอนาคต มีคนมากมายเท่าไรที่พึ่งพาอาศัยตระกูลสวี ขุนนางเมืองก็มีหลวงหลายคน แต่เพราะวาจาไม่กี่คำของขุนนางนั่นก็ส่งหวังทงขุนนางชั่วมาจัดการคดีนี้ ช่างเหลวไหลจริง!”


“ข้าว่านะ คงเป็นเพราะคนทางเหนือเห็นเราคนทางใต้แล้วขัดตา คิดว่าทางใต้เราสมบูรณ์ดี ยังร่ำรวยอีก เลยอิจฉาริษยาเรา เลยชอบมาหาเรื่องไร้สาระกับพวกเรา เสียดายตระกูลสวีที่ต้องมาประสบเรื่องเช่นนี้!”


“ทุกคนก็อย่ามองโลกแง่ร้ายไป ฮ่องเต้ทรงให้หวังทงออกจากเมืองหลวง ก็เท่ากับไล่เขาออกมา ให้คนชั่วไม่อาจทำชั่วต่อที่เมืองหลวง ไห่รุ่ยนั่นอย่างไรปีหนึ่งก็ต้องร้องเรียนตระกูลสวีหลายครั้งอยู่ เหตุใดปีนี้จึงมาเกิดเรื่องเช่นนี้ได้กัน!”


“ไห่รุ่ยก็แก่แล้ว เอาแต่เลอะเลือนกับเรื่องนี้อยู่ได้”


“พวกเจ้าล้วนบอกว่าตระกูลสวีงั้นงี้ ข้าว่านะตระกูลสวีก็ใช่ว่าจะดีอย่างที่พวกเจ้าว่ามา ที่นาพวกเขาได้มาอย่างไร ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ มีที่นาในครอบครองตั้งสี่แสนกว่าหมู่ได้ เสบียงเมืองซงเจียงก็แทบอยู่ในกำมือพวกเขาหมดแล้ว ปีๆ หนึ่งทุกคนลำบากหาเงิน ก็ต้องมาถูกพวกเขากินไปเท่าไร!? พวกเจ้ายังมาพูดถึงพวกเขาดีเช่นนี้ได้อีกหรือ?”


“พี่ชายก็พูดไม่ถูกนะ ที่นาตระกูลเขามาอย่างไร ทุกคนย่อมรู้ดี แต่ทุกคนที่นั่งอยู่นี้ไม่ใช่ว่ามาแบบเดียวกันหรือ หรือว่าท่านมิใช่กัน?”


ร้านน้ำชาทุกคนว่างงาน เจ้าพูดคำ ข้าพูดคำ ใช่ว่าจะปรองดองกันหมด ย่อมต้องมีขัดคอกันบ้าง แต่ร้านน้ำชาเช่นนี้ น้ำชาดีทิวทัศน์งาม ขนมและอาหารพ่อครัวมีชื่อ การค้าดีเช่นนี้ ย่อมไม่อาจทำให้คนอื่นเสียการค้า ก็แค่ครึกครื้นกันไปก็พอ


โรงน้ำชาล้วนมีพ่อค้าเล็กๆ แวะเวียนไปมา มีคนขายเนื้อวัวปรุงสุก ถั่วห้ารส แผ่นรากบัว ผลไม้สดและแห้ง แต่งกายเรียบร้อย ทุกโต๊ะล้วนเข้าไปถามเบาๆ หากมีการค้าก็ทำ หากไม่มีการค้าก็เดินไปอีกโต๊ะอย่างสุภาพ


ทางนั้นคุยกันออกรส จึงไม่ได้ทันได้สังเกตเด็กขายถั่วห้ารสที่ตั้งใจฟัง เด็กชายที่ใกล้โตเต็มวัยรูปร่างผอม ตัวดำเมี่ยม ยามเดินมักก้มหน้า กำลังหยุดยืนฟัง ก็ย่อมขวางทางผู้อื่น จึงถูกคนในร้านผลัก ตวาดว่า


“ไวหน่อย อย่ามาขวางทางผู้อื่น!”


เด็กนั่นก้มตัวลงคว้าตะกร้าเกือบคว่ำ หันกับไปคำนับขอโทษ น้ำเสียงแหบพร่า ไม่น่าฟังเท่าไร


ถั่วห้ารสเป็นกับแกล้มว่าง ขอเพียงทำได้รสชาติไม่เลว ก็มีขายได้ ทางนั้นมีคนตะโกนเรียก เด็กน้อยรีบวิ่งไป กลับมีโต๊ะหนึ่งเย้าแหย่ขึ้นว่า


“เรื่องใต้หล้านี้ไม่มีอันใดเพียบพร้อมไปหมด ไห่ชีเหนียงแห่งเรือนจันทราเสี้ยว รูปร่างหน้าตาดี แต่ขาใหญ่ไปหน่อย เจ้าดูเจ้าเด็กขายถั่วห้ารสนี่ มองจากด้านหลัง ก็ไม่เลว แต่หันหน้ามาดำเมี่ยม น้ำเสียงก็หยาบไม่เพราะ ไม่งั้นพากลับไปบ้านสั่งสอนอบรมให้เป็นเด็กหนุ่มรับใช้คนสนิทก็ไม่เลวนะ”


“เจ้านี่นะ ทางน้ำดีๆ ไม่ไป กลับชอบหาทางแห้งแล้งเดิน ชอบหาเรื่องใส่ตัว”


พวกเขาคุยกันอย่างไม่ระมัดระวังวาจา มีคนขมวดคิ้ว มีคนได้ยินก็ขำขัน ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มนั่นได้ยินหรือไม่ เห็นแต่เด็กหนุ่มร่างกระตุกแล้วก็รีบวิ่งลงไปทันที


หลายคนในโรงน้ำชารู้จักเด็กคนนี้ดี ทุกครั้งหากขายไม่หมดตะกร้าก็จะไม่ไป บางครั้งยังมีสินค้าอื่นๆ เสริมมาขายด้วย วันนี้กลับไม่รู้ทำไม เห็นในตะกร้ายังเหลืออีกไม่น้อย ทำไมจึงจากไปแล้ว


ราคาบ้านเรือนในเมืองซูโจวในเมืองสูงมาก อำเภออู๋แพงกว่าในเมืองหนานจิงสองเท่า นี่ไม่ใช่มุมที่ดีที่สุด แต่หากในเมืองที่แบบนี้ ราคาก็ย่อมไม่รู้ว่าจะสูงเท่าใด


เด็กหนุ่มขายถั่วห้ารสย่อมไม่มีสถานะพอที่จะอยู่ที่นี่ได้ เขาคล้องตะกร้าเร่งเดินออกนอกเมืองไป พอเดินไปถึงที่ลับตารกร้าง ก็เดินเข้าไปในเพิงฟางพังๆ หลังหนึ่ง เข้าไปในห้อง วางตะกร้าสานลงผลักประตู ดีอกดีใจกล่าวว่า


“ท่านแม่ วันนี้ข้าได้ยินคนที่ริมแม่น้ำพูดกันว่า ผู้แทนพระองค์กำลังมาแล้ว ท่านแม่ พวกเราไปฟ้องร้องกัน คืนความเป็นธรรมให้พวกเรา”


หญิงท่าทางอ่อนแอนางหนึ่งกำลังเย็บเสื้อผ้าที่เรียกได้ว่าปะทั้งตัว พอได้ยิน ก็ถอนหายใจ เสียงแหบอ่อนแรงกล่าวว่า


“ลูกเอ๋ย อยู่บ้านอย่าเอาแต่พูดๆ ไม่หยุดจนเสียงแหบเลย ฟ้องร้องรึ อย่าฟ้องดีกว่า พวกขุนนางใช่ว่าปกป้องกันเองหรือ? ท่านอาอู๋เจ้าตายอย่างไร ยังไม่ใช่เพราะไปฟ้องร้องจึงถูกคนใส่ร้ายกลับหรือไง ตอนนี้แม้แต่ศพก็หาไม่เจอ แม่ว่าเจ้าเป็นเด็กเป็นเล็ก ก็ต้องรู้จักแยกแยะ…”


กล่าวถึงตรงนี้ กลับอดหลั่งน้ำตาไม่ได้ เด็กน้อยรีบเข้ามาปลอบใจว่า


“ท่านแม่ ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ไห่ชิงเทียนได้คืนตำแหน่ง ได้ยื่นฎีกาต่อฮ่องเต้ ฮ่องเต้จึงได้ส่งผู้แทนพระองค์มา และได้ยินมาจากโรงน้ำชาว่า ครั้งนี้ผู้แทนพระองค์กับตระกูลใหญ่พวกนั้นไม่ถูกกัน ท่านแม่ ทุกคนบอกว่าอายุไห่ชิงเทียนมากแล้ว อีกไม่กี่ปี ก็ไม่มีคนเอ่ยเรื่องพวกนี้แล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราจะแก้แค้นได้อย่างไร?”


ได้ยินเด็กน้อยกล่าวอย่างร้อนใจ หญิงผู้นี้ก็หยุดสะอื้นไห้ ร้อนใจกล่าวว่า


“ลูกเอ๋ย คนพวกนั้นป้องกันแน่นหนา ผู้แทนพระองค์เดินทางย่อมมีขบวนใหญ่ เกรงว่าเจ้าแม้แต่เรือก็เข้าใกล้ไม่ได้ ถึงตอนนั้นให้คนพวกนั้นพบเห็นเข้า ก็คงตามมาสังหารพวกเราทิ้ง ถึงตอนนั้นจะหนีอย่างไร!”


“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง เมืองซูโจวไม่ได้ อย่างไรก็ต้องได้สักที่ นี่เป็นโอกาส นี่เป็นโอกาสที่ท่านพ่อและท่านอาบนสวรรค์…”


*****************


สื่อชีกับหลิ่วซานหลังเป็นคนฉลาดหูตากว้างไกล พวกเขาเลือกส่งคนหัวไวไปยังสำนักองครักษ์เสื้อแพร แม้ว่าองครักษ์เสื้อแพรหนานจิงจะระวังตัวมาก แต่ก็ยังสืบหาข่าวมาได้บ้าง


จากเช้าถึงค่ำ ก็มีข่าวมาถึงหวังทงเรื่อยๆ อวี๋ชิงกั๋วกับเมิ่งเซี่ยนฮุยดูแลลูกน้องตัวเองในกองพันได้เหนียวแน่น มีแต่จางเหลียนเซิงที่แม้บิดาและอาเขามีความชอบมีตำแหน่ง แต่เขาแต่เล็กก็ถูกตามใจมา เดิมไม่ได้คิดจะมาเป็นองครักษ์เสื้อแพร


แต่ต่อมา ที่บ้านมีแค่เขาคนเดียวที่เป็นชาย ไม่มีทางเลือก จางเหลียนเซิงที่ถูกเลี้ยงตามใจแต่เล็ก ไม่ค่อยมีฝีมือการต่อสู้เท่าไร ไม่กล้าสู้คน  ตำแหน่งนายกองพันของเขาจึงคุมได้แค่ไม่ถึงร้อยคน ทว่าคนเป็นองครักษ์เสื้อแพรไม่ได้ดี แต่เป็นพ่อค้าไม่เลว  โรงผ้ากับโรงปลูกผักเขาล้วนทำกำไรไม่น้อย สามารถมีให้เขาใช้จ่ายได้อย่างสบาย


มีนายกองพันไม่เอาไหนเช่นนี้ อำนาจในหนานจิงก็สามารถยื่นมือมามาจัดการได้ ลูกน้องสามารถทำอะไรก็ได้ ทุกคนล้วนได้ประโยชน์ ดังนั้นจึงปล่อยเขาอยู่ตำแหน่งนี้ไป


ว่ากันว่าจางเหลียนเซิงไม่คิดอะไรก็ไม่ใช่ ว่ากันว่าคิดจะกุมอำนาจเหมือนกันจะถูกต่อต้านหลายครา สองปีนี้ก็หันไปสนใจแต่การค้าแทน งานองครักษ์เสื้อแพรก็แค่ทำๆ ไปอย่างนั้น


เรื่องวันนี้ เขารักษาคำพูดอยู่ พอพระอาทิตย์ตกดิน จางเหลียนเซิงก็มาหาหวังทง บอกว่าจองเหมาเรือไป๋หลันเรือสำราญใหญ่สุดบนแม่น้ำฉินไหวเหอไว้แล้ว เพื่อเลี้ยงต้อนรับใต้เท้าผู้บัญชาการ



ตอนที่ 847 บนแม่น้ำฉินไหวเหอ

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม่น้ำฉินไหวเหอทิวทัศน์งามอันดับหนึ่งในใต้หล้า เป็นที่ตั้งบ้านเรือนของพวกมีเงิน แม้คนไม่เคยมาหนานจิงก็ย่อมเคยได้ยินกิตติศัพท์แม่น้ำฉินไหวเหอ ย่อมเคยจินตนาการถึงทิวทัศน์แม่น้ำฉินไหวเหอ


หวังทงรับคำเชิญไปงานเลี้ยงจางเหลียนเซิง ขึ้นเรือไป๋หลันล่องแม่น้ำฉินไหวเหอ ทหารติดตามเขาตกใจไม่น้อย ในสายตาพวกเขา หวังทงไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไร เขาสนใจสถานที่พวกนี้ก็แค่เป็นองค์ประกอบทั่วไป ย่อมไม่ไปหาความสำราญ


แม้ว่าจะดึงจางเหลียนเซิงเป็นพวก แต่ตามปกติวิสัยตอนอยู่เมืองหลวง หวังทงก็จะเลือกสถานที่พบเอง คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะตอบรับคำเชิญเช่นนี้


ไม่คิดให้ยุ่งยากซับซ้อน ก็แค่หวังทงได้ยินกิตติศัพท์แม่น้ำฉินไหวเหอ คิดไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย บนแม่น้ำฉินไหวเหอที่มีชื่อที่สุดก็คงเป็นกิจการบันเทิง


ในหมู่ชาวบ้านมีเรื่องเล่ากันว่า หอสุราและหอคณิกาแม่น้ำฉินไหวเหอนี้ไม่ใช่ทิวทัศน์ที่ดีที่สุดของเมืองหนานจิง ยังมีที่ลับอีกสองสามแห่ง มีเพียงระดับอ๋อง ระดับบรรดาศักดิ์ใหญ่เท่านั้นจึงจะไปชมได้


แต่ข่าวลือก็คือข่าวลือ ที่ที่มีชื่อเสียงที่สุด ทุกคนก็รู้ดี นางคณิกาที่มีชื่อที่สุด ทุกคนก็รู้ว่าอยู่ที่นี่ ไม่มีชื่อ ไหนเลยจะอยู่ที่นี่ได้


เรือไป๋หลันเป็นเรือสำราญสองชั้น กลางวันจอดอยู่ที่หอไป๋หลัน แขกมีระดับมากมายมานั่งฟังเพลงกันอยู่บนเรือไป๋หลัน จากนั้นก็จะกลับไปหาความสำราญต่อที่หอหลันฮวา


ตอนฟ้าใกล้มืดจางเหลียนเซิงก็มารับหวังทง เช้ามาโขกศีรษะรับผิด ตอนกลางวันมีคนร้านสามธาราไปติดต่อถึงที่ ทำการค้ากันสองสามอย่าง พอคุยการค้าเสร็จ ก็คิดแล้วว่าได้กำไรก้อนโต  การค้าตนย่อมไต่ระดับขึ้นไปอีกขั้น จางเหลียนเซิงดีใจหยุดไม่อยู่ เดิมคิดว่าเป็นภัยหายนะตกจากฟ้า ไหนเลยจะเป็นมงคลใหญ่เช่นนี้ได้ ตอนมารับหวังทง ท่าทางจึงยิ่งนอบน้อมยิ่งกว่าตอนเช้ามาก


ทหารติดตามหวังทงมุ่งไปยังแม่น้ำฉินไหวเหอ ทุกคนตลอดทางก็เป็นจุดสนใจของผู้คนรอบๆ  แม้ว่ารู้สึกภาคภูมิใจ แต่ทหารติดตามหวังทงก็ไม่กล้าชะล่าใจ ขบวนหวังทงถูกคนมากมายจับตา ก็รู้สึกเป็นลางไม่ดีแล้ว


“ท่านโหว คืนนี้ด้านหลังมีอย่างมากสองกลุ่มตามมา ไกลอยู่สักหน่อย รู้จักระยะห่างไม่เลว!”


ระหว่างทาง สื่อชีก็ควบม้าเข้ามารายงาน หวังทงพยักหน้าไม่ตอบอันใด


**************


“ครั้งนี้จ่ายไปเท่าไร?”


“ข้าน้อยเลี้ยงรับรองท่านผู้บัญชาการเป็นเรื่องสมควร คุยเรื่องเงินทองอันใดกัน ขอผู้บัญชาการวางใจ”


ตอนหวังทงถาม สีหน้าจางเหลียนเซิงยิ้มร่ากล่าวตอบ หวังทงส่ายหน้ายิ้มถามขึ้น


“ไม่ใช่มารยาท แค่อยากรู้ว่าที่นี่ต้องใช้เงินเท่าไร?”


จางเหลียนเซิงกระแอมไอ ท่าทางอึกอักกล่าวว่า


“สามารถมานั่งชั้นสองเรือไป๋หลันกินอาหารได้ ก็ 88 ตำลึง ข้าน้อยยังเชิญแม่นางมีชื่ออันดับต้นๆ ของหอหลันฮวามาขับกล่อมบรรเลงด้วย ก็ต้องราว 120 ตำลึง หากยังต้องการพักค้างคืนด้วย ค่าใช้จ่ายก็ต้องไปหารือกับแม่เล้าหอหลันฮวาก่อน”


“นายกองพันจางสถานะนี้แล้ว หรือว่าหอหลันฮวาไม่ให้ราคาพิเศษ ?”


“ผู้บัญชาการใต้เท้าล้อเล่นแล้ว เพราะสถานะข้าน้อยนี่แหละ เกรงว่าชั้นสองเรือไป๋หลันนี้สถานะข้าน้อยคงจองไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเบอร์หนึ่งอย่างแม่นางซิ่วเอ๋อร์”


หวังทงส่ายหน้ายิ้มไม่กล่าวอันใด จางเหลียนเซิงเป็นหนึ่งในสามนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหนานจิง กลับไร้เกียรติต่อหน้าหอคณิกาเช่นนี้ เห็นได้ว่าปกติสถานะเขานั้นก็คงเป็นเช่นนี้ ยิ่งเป็นคนเช่นนี้ก็ยิ่งอยากจะดึงมาเป็นพวก ก็ย่อมอยากจะเปลี่ยนแปลงความเป็นเขาเช่นนี้ทิ้ง


หลังจากหวังทงมาถึงโลกนี้ แม้ว่าสถานะจะเลื่อนเร็ว มีภูเขาทองทะเลเงินในมือ แต่ความหรูหราฟุ่มเฟือยกลับไม่เคยสัมผัสจริงๆ


พูดไปแล้ว แม้ว่าเคยเข้าออกวังหลวง แต่ก็มีแต่จวนแม่ทัพหม่าฟางที่เมืองเซวียนฝู่เท่านั้นที่เขาเคยได้สัมผัสความหรูหรามา พระราชวังนั้นไม่ต้องพูดถึง ฮ่องเต้ว่านลี่ชอบกินเนื้อน้ำแดงหม้อใหญ่ ตอนนี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ตอนนี้ให้ห้องเครื่องตุ๋นเนื้อน้ำแดงหม้อเล็ก เรื่องอื่นๆ แค่คิดก็รู้แล้ว


แต่พอมาถึงเรือไป๋หลัน หวังทงยังต้องตกตะลึง จึงได้ถามถึงราคาเท่าไรกัน


เรือสำราญเทียบกับเรือสินค้าใหญ่สุดบนคลองส่งน้ำแล้วยังใหญ่กว่าอีก  ชั้นหนึ่งมีโต๊ะเลี้ยง ชั้นสองแบ่งเป็นสี่ห้อง แต่ละห้องไม่ติดกัน ใช้ระเบียงกั้นไว้ แม้อยู่บนเรือ ก็ยังมีธรรมเนียมเช่นนี้ ในห้องเดี่ยวก็ยิ่งกว้างขวางกว่ามาก


ในห้องตกแต่งได้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าจวนหม่าฟางในตอนนั้นอีก ดูไม่ออกว่าฟุ่มเฟือยหรูหรา แต่มันแสดงถึงความมีระดับ ตอนนี้หวังทงนับว่าได้เปิดโลกทัศน์แล้ว รู้ว่าในห้องไม่ได้ดูฟุ่มเฟือยหรูหรา แต่ดูมีระดับขนาดนี้ เดิมคิดว่าการตกแต่งในหอฉินก่วนสุดยอดแล้ว เทียบกับเรือไป๋หลันนี้ยังด้อยกว่ามาก


“ถึงกับเป็นไม้สักฝังหยก…”


ตอนทหารติดตามหวังทงเข้ามาสำรวจพื้นที่ ซาตงหนิงนับว่าเคยเห็นโลกมามาก แต่ก็ยังต้องอุทานตกใจ พูดตามจริง หวังทงเองก็ไม่รู้ว่าอะไรคือไม้สัก ยิ่งไม่รู้ว่าฝังหยกคืออะไร


โต๊ะมีอาหารกับแกล้มวางอยู่ เป็นอาหารประณีต รสชาติไม่ต้องพูดถึง ชามเล็กๆ ที่ใช้กับจอกชาพวกนั้นที่วางอยู่ในห้องอาหาร หวังทงกลับพอรู้จัก


เพราะจางฉุนเต๋อร้านสามธาราเคยส่งมาให้ชุดหนึ่ง บอกว่าเป็นเครื่องกระเบื้องเคลือบจากเจียงซีที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในบรรดากระเบื้องเคลือบ เช่นกัน ราคาเครื่องกระเบื้องเคลือบก็มากกว่าเงินเดือนขุนนางผู้น้อยมาก


“นายกองพันจางมาที่นี่บ่อยหรือ?”


“ผู้บัญชาการใต้เท้าล้อเล่นแล้ว ที่นี้จะกล้ามาบ่อยได้อย่างไร เมื่อก่อนตอนเพิ่งเป็นนายกองพัน เพื่อนร่วมงานหลอกพามาให้เลี้ยงที่นี่ครั้งหนึ่ง เจ็บตัวไปครึ่งปีได้ ครั้งนี้มากับผู้บัญชาการ ข้าน้อยอย่างไรก็ต้องจัดให้สักครา ไม่ได้คิดว่าเงินทองเท่าไร”


หากชีวิตจางเหลียนเซิงฟุ่มเฟือยเช่นนี้ก็ไม่อาจใช้การได้แล้ว จางเหลียนเซิงกลับไม่ทันรู้สึกถึงความนัยที่หวังทงถามเมื่อครู่ เพียงยิ้มกล่าวว่า


“ ใต้เท้า แม่นางซิ่วเอ๋อร์แต่งตัวนานอยู่ พวกเราดื่มสุรากินกันไปก่อน ฟังเพลงด้านนอกไปก่อนก็ได้”


ได้ยินเช่นนี้ หวังทงกลับยืนขึ้นเดินไปที่ริมหน้าต่างกล่าวว่า


“เมื่อครู่ตอนเดินขึ้นมาได้ยินเสียงเพลงคลอแว่วมาจากด้านนอกเรือสำราญ ตอนนี้เรือแล่นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เสียงยังมีอยู่ หรือว่าเป็นเพลงที่เจ้าว่า”


จางเหลียนเซิงเดินตามมา ผลักหน้าต่างเปิดออก อาศัยแสงไฟบนเรือสำราญมองไปบนแม่น้ำเห็นเรือลำเล็กลอยตามมา บนเรื่อมีหญิงขับร้องเพลง เสียงเพลงแว่วมาจากเรือเล็กลำน้ำ จางเหลียนเซิงเห็นหวังทงแปลกใจก็ยิ้มอธิบายว่า


“นี่เป็นความใส่ใจของเรือไป๋หลัน หญิงขับร้องเพลงคลอด้านข้างเรือ ไม่รบกวนการคุยธุระของแขก และยังทำให้รู้สึกบทเพลงไพเราะอัศจรรย์”


นี่ย่อมเป็นเพราะเป็นผู้รู้เรื่องเพลงมาก่อน หวังทงยิ้มหันกลับไปนั่งลงถามขึ้น


“นายกองพันจางรู้ไหมว่านายกองพันองครักษ์เสื้อแพรตอนเหนือเป็นอย่างไร?”


จางเหลียนเซิงรู้สึกแปลกใจกับคำถามหวังทง ได้แต่ส่ายหน้า หวังทงยิ้มกล่าวว่า


“แต่ละเมืองล้วนมีนายกองพันประจำการ นายกองพันพวกนี้ระดับห้า แต่ผู้ว่าเมืองระดับสี่ หรืออาจมีขุนพลระดับสาม เจ้ากรมปกครอง ผู้ตรวจการและบรรดาขุนพลอื่นๆ ไม่มีผู้ใดไม่ให้ความเกรงใจ ทุกคนล้วนให้เกียรติสามส่วน พลทหารองครักษ์เสื้อแพรไปทำคดีในพื้นที่ ก็มีนายอำเภอมาต้อนรับอย่างนอบน้อม กล่าววาจาให้เกียรติ ราษฎรก็ย่อมเกรงกลัวอย่างมาก”


สีหน้าจางเหลียนเซิงแปลกใจ หวังทงกล่าวอีกว่า


“เรือไป๋หลันแม้ว่าสูงค่า แต่หากเป็นนายกองพันที่อื่นแล้ว จะมาเพียงสองครั้งได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงว่าต้องเป็นลูกน้องคนมีอิทธิพล เพราะแค่เงินทองตนเองก็พอจะจ่ายไหว ที่ซานตงนายกองพันต่งช่วงสี่เปิดร้านขายยาสมุนไพรเอง มีเรือและม้าไว้ขนส่งเอง การค้าทั้งมณฑลผู้ใดไม่ไว้หน้าเขา ทุกวันมีเงินก้อนโตเข้ากระเป๋า จะมาที่เช่นนี้ไม่ไหวได้อย่างไร”


กล่าวถึงตรงนี้ จางเหลียนเซิงก็มีสีหน้าอิจฉา หวังทงยิ้มกล่าวว่า


“ตอนข้ายังไม่ได้เป็นผู้บัญชาการ ก็เป็นนายกองพันเทียนจิน ข้าอยู่เทียนจินมีกิจการมากมาย เช่นนี้ นายกองพันจางก็ควรรู้ว่า เจ้าตอนนี้มีแค่โรงผ้าและโรงปลูกผัก แม้แต่นายกองร้อยและนายกองธงใหญ่ก็ไม่ฟังคำสั่ง หรือว่าเจ้าไม่อยากจะมีบารมีบ้าง หรือว่าเจ้าไม่อยากรวยบ้างกัน?”


พอหวังทงถามเช่นนี้ จางเหลียนเซิงก็สะดุ้งไปทั้งตัว สีหน้ายิ้มค้าง ลังเลกล่าวว่า


“ข้าน้อยย่อมคิดเช่นนี้ แต่ที่นี่เหมือนเมืองหลวง ชนชั้นสูงและขุนนางใหญ่มากมาย ไหนเลยจะมีที่ให้นายกองพันเช่นข้าอวดอ้างบารมี หากินอันใดได้เล่า?”


หวังทงยิ้ม กล่าวว่า


“เมืองหลวงใกล้พระเนตรพระกรรณฮ่องเต้ ทุกคนย่อมสงบเสงี่ยม ผู้ใดก็ยังมิกล้าล่วงเกินองครักษ์เสื้อแพร หนานจิงที่ใดกัน ที่นี่มีทหารองครักษ์เสื้อแพรในพระองค์ถึงสามนายกองพันเพื่ออะไร ก็เพื่อให้พวกเจาจับตาดูให้ดี ป้องกันพวกเขาคิดการไม่ซื่อ เจ้าไยต้องกลัวพวกเขาด้วย พวกเขากลัวเจ้าถึงจะถูก!?”


“…ใต้เท้า ข้าน้อยโดดเดี่ยวตัวคนเดียว เกรงว่า…”


“กลัวอะไร ข้าจะคอยออกหน้าให้เจ้าเอง!”


หวังทงยกจอกสุราขึ้น กล่าวอย่างไม่ยี่หระ จางเหลียนเซิงยังคงทำหน้ายุ่งยาก พอเห็นสีหน้าหวังทง ก็รีบยืนขึ้นทันทีทำเอาม้านั่งเกือบคว่ำ จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะดังโป๊กๆ เพราะแรงมากไป ซาตงหนิงด้านนอกจึงต้องชะโงกหน้าเข้ามาดู


 “ใต้เท้าให้การสนับสนุน ข้าน้อย ข้าน้อย ไม่ ข้าน้อยแม้แหลกสลาย ก็ต้อง ก็ต้อง…เป็นวัวควายให้ผู้บัญชาการใช้งาน…”


คนโง่ขนาดไหนก็ยังรู้ว่าเมื่อครู่หวังทงกล่าวเช่นนั้นหมายถึงอันใด และหวังทงไม่ได้รับปากเปล่า เพราะเขามีทั้งอำนาจและเงินทอง  ทุกอย่างหวังทงล้วนให้ได้หมด จางเหลียนเซิงปกติเงียบสงบเพียงใด แต่ในฐานะนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร ยังมีกิจการโรงผ้าและโรงผัก จะไม่อยากเลื่อนตำแหน่งได้อย่างไร


“ลุกขึ้นพูดๆ วันหน้าอีกยาวไกล ข้าจะดูการทำตัวของเจ้าก่อน”


“ขอใต้เท้าวางใจ ข้าน้อย..ข้าน้อยจะต้องรับคำสั่งใต้เท้าราวกับรับราชโองการ”


“ข้าเข้าใจเจ้า แต่วาจาไม่เคารพเบื้องสูงไปสักหน่อยนะ!”


จางเหลียนเซิงโขกศีรษะราวกับโขกกระเทียม หวังทงยิ้มรับ กำลังคุยกันอยู่นั้นก็มีคนรายงานเบาๆ มาจากด้านนอกว่า


“นายท่าน แม่นางซิ่วเอ๋อร์มาถึงแล้ว!”



ตอนที่ 848 เจ้าเป็นใคร

โดย

Ink Stone_Fantasy

เดิมจางเหลียนเซิงกำลังซาบซึ้งน้ำตาร่วงซึมอยู่ กำลังโขกศีรษะแสดงความจงรักภักดี พอได้ยินรายงานด้านนอก ก็เหมือนว่ากระต่ายดีใจกระโดดตัวลอย ควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าไปมา ก่อนจะจัดแต่งเสื้อผ้าให้ดี กระแอมไอในลำคอ


พอเห็นหวังทงมองอย่างตกใจ จางเหลียนเซิงก็ยิ้มแหะ ท่าทางเฝื่อนๆ อธิบายเบาๆ ว่า


“ใต้เท้า ใต้เท้า ต่อหน้าแม่นางซิ่วเอ๋อร์ต้องรักษาภาพหน่อย ไม่งั้นเสียเกียรติทหารองครักษ์เสื้อแพรในพระองค์หมด…”


คำอธิบายนี้ก็อยากจะหัวเราะไปพร้อมกับร้องไห้เสียจริง เป็นถึงนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร จะมีรักษาภาพอันใดต่อหน้านางคณิกาบนเรือสำราญ หวังทงอึ้งไป ทว่าก็ได้สติเร็ว ในยุคนี้ ก็คงเหมือนกับดาราแฟนคลับ


อย่าว่าแต่จางเหลียนเซิง แม้แต่หวังทงยังอยากรู้จักแม่นางซิ่วเอ๋อร์ สถานที่สูงส่งสูงค่ามีระดับ มีเกียรติเช่นนี้ ทำให้คนต้องวางท่าทางเช่นนี้ แล้วแม่นางจะเป็นเช่นไร อยากเห็นเสียแล้ว


พอได้ยินเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง สาวใช้ท่าทางดีสองคนก็เปิดม่านในห้องรับรองออก มีสตรีนางหนึ่งในชุดกระโปรงยาวเดินเข้ามา


เป็นสาวงามจริง นี่ไร้คำถามสงสัย แต่หวังทงยังต้องกระพริบตา และมองอีกรอบให้ละเอียด บอกเป็นสตรี แต่หญิงที่เข้าร่างสูงมาก เกือบเท่าหวังทง ห่างกันแค่ช่วงศีรษะ รูปร่างไม่ต้องพูดถึง ทำให้หวังทงรู้สึกมึนวูบก็คือหน้าตาของซิ่วเอ๋อร์


ดูแวบแรกก็รู้สึกเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ แต่พอดูให้ดีก็รู้สึกว่าใบหน้ามีความงามเย้ายวน เป็นหญิงงามโดยแท้ ความงามบริสุทธิ์กับเย้ายวนดูเหมือนร่างบอบบาง แต่ที่จริงแล้วกลับมีส่วนเว้าโค้งงดงาม ท่าทางเย็นชามีมารยาท แต่ก็เหมือนความร้อนแรงซ่อนอยู่ หลายอย่างผสมกัน ทำให้ซิ่วเอ๋อร์ยิ่งงดงามหาใดเทียม


หวังทงอึ้งไป ส่ายหน้าอึ้งๆ หน้าตาใบหน้างดงามเช่นนี้ไม่ว่ายามใดก็ย่อมเป็นสิ่งน่าทะนุถนอมของทุกคน มิน่าจางเหลียนเซิงจึงมีท่าทีเช่นนั้น


“ข้าน้อย ซิ่วเอ๋อร์คำนับนายท่านจาง คำนับนายท่านหวัง!”


หวังทงไม่ค่อยได้ออกงานเช่นนี้ แต่ก็รู้ว่าคณิกาอันดับหนึ่งล้วนมีท่าทีเย็นชาราวน้ำแข็ง คิดว่าสูงส่ง เห็นซิ่วเอ๋อร์นี่กลับกระตือรือร้นมาก น้ำเสียงไพเราะ ท่าทางอ่อนโยน แฝงไว้ด้วยความงามหนึ่ง ทำให้ดูแตกต่าง


หวังทงไม่กล่าวอันใด กลับเป็นจางเหลียนเซิงรีบยืนขึ้นยิ้มกล่าวว่า


“ซิ่วเอ๋อร์ออกมาต้อนรับ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง ท่านนี้คือนายท่านหวัง เป็นนายข้าเอง ได้ยินกิตติศัพท์แม่นางซิ่วเอ๋อร์มานาน วันนี้ได้มาฟังบทเพลงของแม่นางซิ่วเอ๋อร์โดยเฉพาะ ขอแม่นางซิ่วเอ๋อร์แสดงฝีมือด้วย!”


ท่าทางจางเหลียนเซิงอยู่ในสายตาหวังทง หวังทงอดไม่ได้ส่ายหน้า ก็แค่สตรีนางหนึ่ง ไยต้องเกรงใจเช่นนี้ ถึงกับต้องอวดอ้างใหญ่โตไปได้ ยังลากตนเองไปอ้างด้วย


ซิ่วเอ๋อร์ก็รู้ความ ตอบอ่อนโยนว่า


“นายท่านจางชมเช่นนี้ ซิ่วเอ๋อร์ก็รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งแล้ว ให้นายท่านทั้งสองรอนานแล้ว จะรับฟังบทเพลงซิ่วเอ๋อร์ก่อน หรือร่ำสุราก่อน?”


“เอา…”


จางเหลียนเซิงกำลังจะพูด ก็นึกได้ว่านายอยู่ข้างๆ เมื่อครู่เพิ่งแสดงความภักดี ลืมได้อย่างไร ไร้มารยาทจริง นายกองพันจางจึงได้คำนับถามขึ้น


“ใต้เท้าท่านว่าอย่างไรดี?”


“อาหารและสุรามาแล้ว แม่นางซิ่วเอ๋อร์นั่งลงฟังเพลงด้วยกันก็พอ!”


มาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ หวังทงก็มิได้มากพิธีอันใด จางเหลียนเซิงเองก็ดูเป็นพวกนิสัยคุณชายทั่วไป นิสัยเช่นนี้วันหน้าควบคุมง่าย ในสถานที่เช่นนี้ ก็ปล่อยไปตามสบายก็แล้วกัน


ได้ยินหวังทงสั่ง มีคนรับคำสั่งต่อ ด้านนอกก็นำอาหารเข้ามา ซิ่วเอ๋อร์นั่งเงียบๆ อยู่ในห้องรับรอง พออาหารมาครบ จางเหลียนเซิงก็คำนับสุราก่อน จากนั้นซิ่วเอ๋อร์หันไปพยักหน้าให้สาวใช้ สาวใช้ก็ออกไปตามคนอื่นๆ ให้จัดการโต๊ะบรรเลงพิณ โบราณให้เสร็จ จากนั้นค่อยออกไป


สุราดี อาหารรสเลิศ ซิ่วเอ๋อร์บรรเลงเพลงและขับร้องเอง แต่หวังทงก็มิได้รู้สึกหลงใหลอันใด ใช่ว่านางร้องไม่ดี แต่เพราะเพลงท่องทำนองโบราณเช่นนี้เก่าไปสำหรับหวังทง ฟังแล้วไม่คุ้นหูสักเท่าไร


ทว่าเสียงพิณกับเสียงเพลงก็เสนาะหูอยู่ เสียงบทเพลงนอกเรือสำราญหยุดแล้ว ห้องอื่นๆ ที่คุยกันส่งเสียงหัวเราะดังก็เงียบลงแล้ว จางเหลียนเซิงข้างๆ หวังทงฟังจนเคลิบเคลิ้มราวกับเมาสุรา หวังทงหันไปมอง เห็นอู๋เอ้อร์กับซาตงหนิงอีกมุมหนึ่งก็เคลิบเคลิ้มเช่นกัน ดูท่าแล้วบทเพลงนี้ไม่เลวจริงๆ


หน้าตางดงาม ศิลปะโดดเด่น ทุกอย่างล้วนเหนือกว่าสตรีอื่นนี้ได้มาอย่างไรกัน หวังทงรู้จากซ่งฉานฉานถึงความนัยที่มาแห่งฝีมือศิลปะพวกนี้ไม่น้อย รับเด็กหญิงสี่ห้าขวบจากตระกูลดีที่ล่มสลายหรือจากตระกูลที่มีความผิดมาเลี้ยงดูอย่างดี อบรมแต่เด็ก หน้าตาไม่ได้ ก็จะขายให้เป็นสาวใช้ตระกูลใหญ่ หรือไม่ก็ทำงานรับใช้ตนเองทั่วไป ฝีมือไม่ดี ก็จะขายไปยังหอคณิกาชั้นหนึ่ง พวกที่มีตำหนิมากหน่อย ก็จะขายให้ตระกูลใหญ่เป็นภรรยาน้อย สุดท้ายคัดเลือกไปมา ก็จะมีสองสามคนเป็นตัวเลือก สตรีเหล่านี้อาจเป็นนางคณิกาคนดังหอคณิกา หรือไม่ก็ถูกซื้อไปอยู่ตระกูลใหญ่ด้วยราคาสูง ตอนนี้ซิ่วเอ๋อร์ควรจะอยู่ระดับนี้


ที่เรียกว่า ผู้ที่สามารถโดดเด่นเหนือผู้ใดเกิดท่ามกลางความไม่สงบ สตรีงดงามเช่นนี้เกิดมาจากการถูกคัดออกไปหลายนาง โลกนี้ช่างไม่ง่ายเลย…


“นี่คือแม่นางซิ่วเอ๋อร์หรือ? ไยต้องมาขับร้องบทเพลงให้คนอื่นด้วย!”


หวังทงกำลังนั่งคิดเพลินอยู่ บรรยากาศราวภาพฝันบนเรือสำราญก็ถูกคนข้างห้องเข้ามาตวาดทำลายสิ้น


เสียงดนตรีกับเสียงร้องถูกขัดจังหวะ ซิ่วเอ๋อร์กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า ‘เสียมารยาทน่าละอาย’ หากยังร้องต่อ หวังทงไม่สนใจ หรี่ตา มองไปยังจางเหลียนเซิง นายกองพันจางเผยสีหน้าดูไม่เป็นตัวของตัวเอง


พอฟังเพลงจบ หวังทงพยักหน้าปรบมือขึ้น ยิ้มกล่าวว่า


“แม่นางซิ่วเอ๋อร์ร้องได้ไม่เลว ร้องอีกเพลงละกัน!”


ซิ่วเอ๋อร์กับจางเหลียนเซิงล้วนพากันอึ้ง ซิ่วเอ๋อร์มีชื่อเสียงทั่วแดนใต้ งานเลี้ยงล้วนเชิญนางไปขับกล่อม เป็นเกียรติใหญ่ ร้องจบหนึ่งเพลงแล้ว เจาของงานกับแขกก็จะดื่มให้สองสามจอก จากนั้นนางก็จะจากไป แต่หวังทงกลับกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า ‘ร้องอีกเพลง’ ช่างไม่รู้จักธรรมเนียม


ซิ่วเอ๋อร์ไม่รู้ว่าหวังทงคือผู้ใด ทว่าจางเหลียนเซิงอยู่หนานจิงก็นับว่าเป็นใต้เท้าใหญ่ เขาเชิญแขกที่อายุน้อยกว่ามากมา ก็เห็นได้ว่ามีเกียรติยิ่ง จางเหลียนเซิงนั้นตั้งแต่ซิ่วเอ๋อร์เข้ามาก็เรียกขานเพียงว่าใต้เท้า ไม่เรียกผู้บัญชาการ สตรีนางนี้จึงไม่รู้สถานะหวังทง


จางเหลียนเซิงอึ้งไป ก่อนจะได้สติ รีบคำนับกล่าวว่า


“ขอแม่นางซิ่วเอ๋อร์ขับร้องอีกสักเพลง…”


เขามีท่าทีเกรงใจ หวังทงขมวดคิ้ว ซิ่วเอ๋อร์ไม่ทันได้ตอบ ก็ได้ยินเสียงเอะอะด้านนอก สตรีนางหนึ่งขอร้องเสียงเบายิ่งว่า


“ท่านเก้า แม่นางซิ่วเอ๋อร์กำลังรับแขกอยู่ นายกองพันจางจ่ายเงินก้อนหนึ่งมาแล้ว รอซิ่วเอ๋อร์ออกมา ค่อยให้นางเป็นเพื่อนท่านเก้า…”


ด้านนอกมีเสียง เพี๊ยะ ดัง ราวกับถูกตบหน้า ได้ยินเสียง ‘ท่านเก้า’ หัวเราะกล่าวว่า


“แค่นายกองพัน มันตัวอะไรกัน?”


“…นายกองพันจางแห่งองครักษ์เสื้อแพร…”


“นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรนี่มันตัวอะไร นางเฒ่าอย่ามาทำเป็นไม่รู้ดีชั่ว หอหลันฮวานี้หากไม่ใช่กิจการเฉิงหย่งป๋อ ก็จะจับเจ้าโยนลงไปเลี้ยงปลาแล้ว!”


พอเสียงดังจบม่านก็เลิกออกทันที มีชายหนึ่งในชุดผ้าต่วนสีเขียวอ่อนก้าวเข้ามา ชายผู้นี้หน้าตาพอใช้ได้ แต่หว่างคิ้วเหมือนดำคล้ำ เห็นก็รู้ว่าเป็นพวกหลงใหลสุราหนัก เขากวาดตามองคนในห้องอย่างไม่พอใจ ตามมาด้วยยิ้มเดินไปหน้าซิ่วเอ๋อร์กล่าวว่า


“แม่นางซิ่วเอ๋อร์ ต้องมาเป็นเพื่อนแขกธรรมดาเช่นนี้ ลำบากเจ้าแล้วนะ ไปทางข้าดีกว่า บัณฑิตหลายคนกำลังรออยู่!”


จางเหลียนเซิงสีหน้าอึกอัก มีคนเข้ามาจับคนของตน เขากลับไม่กล้าแสดงปฏิกิริยา หน้าผากชุ่มเหงื่อหยด ยิ้มแย้มหันกลับไปมองหวังทง


หวังทงสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน เขาสังเกตเห็นผิวขาวมากของชายหนุ่ม ผิวเช่นนี้มีแต่ตระกูลสูงในยุคนี้เท่านั้นที่จะดูแลเป็นเช่นนี้ได้  ยังสังเกตหยกห้อยที่เอวว่าเป็นหยกเนื้อดีและฝีมือแกะชั้นดี หวังทงกำลังคิดว่าเป็นคุณชายตระกูลใดกัน


เขาสีหน้านิ่ง แต่จางเหลียนเซิงกลับคิดไปถึงเรื่องอื่น กัดฟัน กล่าวว่า


“แม่นางซิ่วเอ๋อร์เป็นพวกเราเชิญมาก่อน มาก่อนย่อมได้ก่อน เจ้าต้องทำตามธรรมเนียม…”


วาจาไม่ทันจบ ชายหนุ่มก็หันกลับมา ตอนเข้ามาเขาไม่ทันสังเกตเห็นหวังทงกับจางเหลียนเซิง เอาแต่เดินไปเชิญตัวซิ่วเอ๋อร์ ซิ่วเอ๋อร์ได้แต่ปฏิเสธ สีหน้าลำบากใจ ชายหนุ่มที่หันไปมองไร้รอยยิ้มบนใบหน้าแล้ว แค่นเสียงเย็นจ้องมองจางเหลียนเซิงกล่าวว่า


“เจ้าจำไม่ได้หรือว่าข้าเป็นใคร?”


“…จำได้…”


จางเหลียนเซิงตอบอึ้งๆ ติดอ่าง  ชายหนุ่มจึงไม่สนใจหันกลับไปทันที ไปพยายามดึงตัวซิ่วเอ๋อร์ พอถูกถามกลับเช่นนั้น จางเหลียนเซิงกลับไร้วาจาโต้ ยิ้มแห้งๆ หันไปจะกล่าวอันใดสักอย่างกับหวังทง


ท่าทางตอนนี้เหมือนว่าอีกฝ่ายจะข่มอยู่แล้ว ถึงกับไม่เอาไหนเช่นนี้ได้ หวังทงส่ายหน้ามองเขาอย่างเสียไม่ได้ สื่อชีกลับเข้ามารายงานเบาๆ ว่า


“ท่านโหว คนผู้นี้ไม่มีอาวุธ ไม่ใช่พวกฝึกยุทธ์ เมื่อครู่เอะอะแล้วก็พุ่งเข้ามา ทหารติดตามด้านนอกไม่ทันตั้งตัว ไม่ได้รั้งไว้”


คนเช่นนี้บุกเข้ามา ทหารไม่ทันตั้งตัว เสียหน้าที่มาก อย่างไรสื่อชีก็ต้องให้คำอธิบาย เสร็จเรื่องนี้ย่อมถูกตำหนิ หวังทงพยักหน้า ลุกขึ้นไปคว้ากาสุรา เล็งให้แม่นแล้วก็ขว้างไป


ชายหนุ่มได้ยินเสียงลมวืด ได้สติคิดหลบ หากกานั้นปาเข้าที่ต้นแขนพอดี หวังทงแรงไม่น้อย กาสุราก็ย่อมชนแขนชายหนุ่มแตกกระจาย สุราหกรดเสื้อผ้า เศษกระเบื้องบาดใบหน้าชายหนุ่มเป็นสองแผล


ชายหนุ่มถูกของเขวี้ยงใส่ผงะไปสองก้าว ลูบใบหน้ารู้สึกเจ็บ ยังมีเลือดติดมา ก็อึ้งไป ก่อนจะโมโหหนัก ชี้หน้าจะด่าหวังทง ยังไม่ทันด่า ก็มีลมดังมาอีกวืด จอกหนึ่งปากเข้ากลางหน้าผาก ใบหน้าเลือดอาบทันที กุมหน้าส่งเสียงร้องดัง


หวังทงปัดมือไปมา อ้อมโต๊ะเดินไปยังหน้าชายหนุ่มผู้นั้น ถามขึ้นเบาๆ ว่า


“เจ้าเป็นใคร!?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)