อยากกินไหมล่ะ 845-847

 บทที่ 845 กลเม็ดขั้นสูงสุดของหยวนโจว

ซุนหมิงฝึกการวางสายใส่ผู้อื่นมาเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงทำได้รวดเร็วมากเสียจนหยวนโจวตอบสนองไม่ทัน


“เขาจะฉลองวันเกิดปีละกี่ครั้งกันนะ?” หยวนโจวพึมพำพลางจ้องมองไปที่โทรศัพท์ของตนเองอย่างอับเฉา หยวนโจวรู้สึกราวกับมีอะไรบางอย่างตะโกนคำพูดของซุนหมิงออกมา แต่เขากลับไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไรกันแน่


หมู่นี้หยวนโจวแจกอั่งเปาให้หลายๆคนในโอกาสพิเศษที่แตกต่างกันไปอาทิเช่น ในโอกาสพิเศษที่บุตรชายของลูกค้าคนหนึ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้และงานแต่งงานของแฟนเก่าของลูกค้าคนหนึ่งที่เขาได้รับคำเชิญ


หลายคำเชิญค่อนข้างน่าขันเสียจนทำให้หยวนโจวถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว แต่เขาก็คุ้นเคยกับเรื่องทำนองนี้แล้ว อาจจะกล่าวได้ว่าพฤติกรรมของบรรดาลูกค้าของเขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นที่เคารพรักของพวกเขามากเพียงใด ทว่าหยวนโจวไม่สามารถปิดร้านไปเพียงเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงของบรรดาลูกค้าได้หรอก


ดังนั้นเขาจึงได้แต่แจกอั่งเปาออกไปแต่กลับไม่สามารถไปกินเลี้ยงได้เลย เรื่องนี้นับได้ว่าเป็นโศกนาฏกรรมเลยก็ว่าได้ ในความคิดของหยวนโจวนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะมีความรู้สึกขมขื่นก็ตามที แต่เขาตัดสินใจที่จะเก็บมันเอาไว้ข้างใน เขาได้พัฒนาร่างจากเจ้าเข็มทิศจอมตระหนี่ไปเป็นอั่งเปาเดินได้แล้ว


โชคดีที่โอกาสพิเศษพวกนั้นไม่ได้จัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นในร้านหยวนโจวในขณะที่ยังเชิญเขาอยู่นับว่าเป็นการเยียวยาความเจ็บปวดด้วยตนเองที่ต้องมาทนเห็นงานเลี้ยงดำเนินต่อไปขณะที่ไม่สามารถกินอะไรได้เลย


หยวนโจวหาใช่คนที่เอาแต่จมจ่อมอยู่กับความคิดของตนเองให้นานนัก ไม่นานเขาก็พยายามลืมๆไปเสียแล้วเตรียมวัตถุดิบที่ใช้ในการแกะสลักต่อไป


หลังจากเตรียมก้อนน้ำแข็งและชามใส่น้ำแข็งก้อนใหญ่เอาไว้แล้ว หยวนโจวก็หยิบมีดทำครัวขึ้นมาแล้วเริ่มฝึกฝนการแกะสลักน้ำแข็ง แน่นอนว่าผู้คนต่างเริ่มเข้ามารวมตัวกันอยู่รอบตัวเขาขณะที่เขาทำสิ่งนี้อยู่


ถึงอย่างไรการแกะสลักน้ำแข็งก็มีความเกี่ยวข้องกับก้อนน้ำแข็งพอสมควรและยิ่งน่าตื่นตะลึงมากขึ้นไปอีก ท่ามกลางฝูงชน มีเด็กจอมซนบางคนที่รู้สึกตื่นเต้นมากเสียจนเริ่มหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาแล้วถ่ายภาพใบหน้าที่แดงก่ำด้วยความตื่นเต้น วิดีโอก่อนหน้าที่เขาถ่ายหยวนโจวไปค่อนข้างโด่งดังในอินเตอร์เน็ตทำให้เขามีรายได้หลายร้อยหยวนเลยทีเดียว เขาจึงนำเงินไปซื้อเนื้ออบแห้งหลายร้อยชิ้นมาขายต่อให้เพื่อนร่วมชั้นที่โรงเรียนของเขา


ส่วนเพื่อนร่วมชั้นของเขาที่ไม่มีเงินแต่อยากกินเนื้ออบแห้งแล้วล่ะก็พวกเขาก็ต้องทำการบ้านให้เขาเพื่อแลกกับเนื้ออบแห้ง ด้วยการผูกขาดตลาด “จ้างทำการบ้าน” ที่โรงเรียนทำให้เขาได้เงินมากขึ้นตามลำดับ


กล่าวได้ว่ามีคนอยู่สามประเภทที่ไม่ควรสร้างความขุ่นเคืองให้เมื่อเดินอยู่บนโลกอันบิดเบี้ยว คนชรา สตรีและเด็ก บางทีสิ่งนี้อาจจะเป็นสาเหตุก็ได้ อย่าได้ดูถูกสติปัญญาของเด็กจอมซนเป็นอันขาดเลยเชียว


ในตอนนี้มีคนเดินเข้ามาในถนนพร้อมรถเข็นที่เขียนว่าหมี่หวานกับหมี่เผ็ด


ขณะที่คนผู้นี้เดินไป เขาก็ตะโกนเร่ขายของไปด้วย


“หมี่หวานกับหมี่เผ็ดยอดเยี่ยมที่สุดในหนานเฉิง” คนผู้นี้ตะโกนออกมา เขาสวมใส่เสื้อสเว็ตเตอร์สีเทาและไว้ผมสั้น เขาเข็นรถด้วยมือข้างหนึ่งส่วนอีกข้างหนึ่งถือโทรศัพท์มือถือเอาไว้


สายตาของเขาสับเปลี่ยนกันไปมาระหว่างโทรศัพท์และผู้คนรอบตัว แถมเขายังเร่ขายของเป็นบางครั้งบางคราวอีกด้วย


ไม่นานเขาก็มาถึงหน้าผับของหยวนโจว เมื่อเขาเห็นว่านี่คือที่ดินที่ค่อนข้างว่างเปล่าที่มีคนน้อย เขาก็หยุดแล้วหยิบเก้าอี้พับออกมาก่อนที่จะนั่งลง


เมื่อเขาสังเกตเห็นผู้คนเป็นจำนวนมากหน้าร้านหยวนโจว เขาก็ยื่นศีรษะออกไปดูให้ดี


ผู้คนพากันรายล้อมรอบตัวหยวนโจวที่เอาแต่จดจ่ออยู่กับการแกะสลักมังกรคู่ไล่กวดไข่มุกอันเป็นผลงานแกะสลักที่เมื่อคราวก่อนยังทำไม่เสร็จ


ในการพัฒนาฝีมือ การฝึกฝนจึงเป็นเพียงทางเดียวและไม่มีทางลัดใดอีก


มังกรมีรูปแบบพื้นฐานอยู่ห้าแบบคือ มังกรขนด มังกรทะยาน มังกรเหิน มังกรหมอบและมังกรคำราม รูปแบบอื่นๆส่วนใหญ่จะเป็นภาคขยายของทั้งห้ารูปแบบนี้


หยวนโจวเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยใหม่ ผลงานแกะสลักมังกรคู่ไล่กวดไข่มุกมักจะใช้รูปแบบมังกรคำรามอยู่เสมอ แม้ว่ารายละเอียดของผลงานแกะสลักจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนมากเกินไปสักเท่าไหร่นัก


แต่หลังจากหยวนโจวแกะสลักเสร็จแล้ว เขาก็เริ่มแกะสลักเส้นโค้งประหลาด สิ่งนี้สร้างความสับสนให้ผู้คนรอบตัวเขาเป็นอันมาก


ควรรู้ว่านอกเหนือไปจากก้อนน้ำแข็งที่ใช้แกะสลักมังกรคู่ไล่กวดไข่มุกในครั้งนี้แล้ว หยวนโจวก็นำก้อนน้ำแข็งอีกหลายก้อนมาจัดเรียงให้เป็นแถวด้วย


ตอนแรกผู้คนต่างเชื่อว่าหยวนโจวน่าจะแกะสลักมักรน้ำแข็งด้วยก้อนน้ำแข็งทั้งหมด แต่มาตอนนี้เขากำลังแกะสลักเส้นโค้งเส้นแล้วเส้นเล่า เส้นโค้งเดี่ยวๆดูค่อนข้างสวยงามทีเดียวแต่เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วกลับดูไม่เข้ากันและผิดฝาผิดตัวกับมังกรโดยสิ้นเชิง


เนื่องจากหยวนโจวเป็นช่างแกะสลักและเขาก็เป็นคนที่มีฝีมืออย่างเห็นได้ชัด ทุกคนจึงเพียงแค่มองด้วยความสงสัยอยู่เงียบๆถึงสิ่งที่หยวนโจวพยายามที่จะทำในวันนี้


ถ้าเป็นช่างแกะสลักคนอื่นๆ ผู้คนก็คงเริ่มโห่ไปแล้ว


เส้นโค้งที่แกะสลักลงบนก้อนน้ำแข็งก้อนแรกและทำเช่นเดียวกันกับก้อนที่สอง สามไปจนถึงก้อนน้ำแข็งก้อนที่ห้า ตอนนี้ก้อนน้ำแข็งทั้งหมดล้วนถูกแกะสลักเอาไว้แล้ว หยวนโจวเหลือบมองไปที่ผลงานของเขาพลางขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาแล้ววางอ่างและน้ำแข็งก้อนใหญ่ก่อนที่จะกลับเข้าร้านไป


เหลือเพียงผู้คนที่ตกตะลึงอยู่เบื้องหลังที่กำลังจ้องมองไปทางผลงานแกะสลักที่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าคืออะไรเช่นกัน


“แล้วเถ้าแก่หยวนแกะสลักอะไรกันเล่า? นี่คือรากฐานของกำแพงเมืองจีนงั้นหรือ?” บางคนที่เคยเรียนการเขียนภาพมาก่อนคาดเดา


“นายคิดมากไปแล้ว เจ้าพวกนี้คือเส้นโค้งของเทือกเขาที่ต่อเนื่องกันชัดๆเลย” ลูกค้าออกความเห็น


“พอแล้วล่ะ ตามความเข้าใจในตัวเถ้าแก่หยวนของฉัน สิ่งที่นายเห็นก็คือสิ่งที่นายจะได้นั่นแหละ เจ้าพวกนี้ไม่นับเป็นอะไรเลยนอกเสียจากเส้นโค้ง” หลิงหงบอกพลางกลอกตา


นั่นเป็นคำอธิบายที่ดีทีเดียว ถึงอย่างไรเถ้าแก่หยวนก็ไม่เคยทำอะไรด้วยวิธีการอันมีลูกเล่นแพรวพราวมากเกินไป สิ่งที่เขาทำหาได้มีความสลับซับซ้อนมากมายนัก


ด้วยเหตุนั้นผู้คนจึงมีคำถามใหม่ๆเกิดขึ้น ลูกค้าที่เคยเรียนรู้การเขียนภาพมาก่อนก็เลยถามขึ้นมาว่า “แล้วทำไมเถ้าแก่หยวนถึงได้แกะสลักเส้นโค้งเล่า?”


พอเป็นที่เข้าใจได้ว่าถ้าเป็นมือใหม่ในการแกะสลักก็ต้องแกะสลักเส้นโค้งเพื่อฝึกพื้นฐานเสียก่อน แต่หยวนโจวยังต้องฝึกพื้นฐานอีกงั้นหรือ?


ดังนั้นคำถามจึงสร้างความสับสนให้แก่หลิงหง


หยวนโจวไม่สนุกกับความพ่ายแพ้เลยสักนิด ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือไม่มีใครสนุกกับความพ่ายแพ้หรอก ด้วยเหตุนั้นหยวนโจวจึงเตรียมอาวุธลับเอาไว้แล้ว


จะว่าไปแล้วหากทำความสะอาดหอกเอานาทีสุดท้ายก่อนสงครามจะเริ่มขึ้น แม้ว่าหอกจะไม่ว่องไวนักแต่อย่างน้อยก็ยังเปล่งประกาย เป็นเรื่องค่อนข้างยากที่หยวนโจวจะมีความเชี่ยวชาญเช่นนี้ได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ก็ดีกว่านั่งเฉยโดยไม่ทำอะไรเลยล่ะน่า


หลังจากเวลาอาหารค่ำ หยวนโจวก็ยกก้อนน้ำแข็งหลายก้อนออกมานอกร้านแล้วเริ่มทำแบบเดียวกันคือ การแกะสลักเส้นโค้ง


บรรดาลูกค้าต่างรู้สึกสงสัย ทว่ากลับไม่มีใครสามารถคาดเดาถึงสิ่งที่หยวนโจวกำลังแกะสลักอยู่ได้เลย


วันถัดมาหลังจากเวลาอาหารเช้า


“พวกนายมาทำอะไรกันอยู่ที่นี่น่ะ? มันเพิ่งจะเก้าโมงเช้าเองนะ แล้วพวกนายมารวมพลอะไรที่นี่กันเล่า?”


บางทีอาจเป็นเพราะพักนี้เขาเขียนภาพเยอะเกินไป แต่อู๋ไห่กลับไม่รู้สึกชอบการเขียนภาพหลังจากกลับมาจากการเดินทางเอาเสียเลย และเมื่อเข้าได้มาเห็นสภาพร้านหยวนโจวแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกสับสนเข้าไปกันใหญ่


ตลอดเวลาอู๋ไห่ฉวยโอกาสจากการที่เขาอาศัยอยู่ใกล้ร้านแล้วรีบตื่นแต่เช้าเพื่อจะได้เป็นลูกค้าไม่กี่คนแรกที่ได้กินอาหารที่นั่น


แต่มันยังเก้าโมงเช้าอยู่เลยทว่าร้านกลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเสียแล้ว นี่แทบจะทำให้เขาบ้าตายอยู่แล้ว


“ชาติก่อนพวกนายหิวตายหรือไงกัน? ทำไมพวกนายถึงได้มากันไวขนาดนี้เล่า? ความเห็นอกเห็นใจ ความรับผิดชอบ ความเหมาะสมและความซื่อสัตย์ของพวกนายหายไปเสียที่ไหนหมด?” อู๋ไห่เดินไปที่ร้านพลางทำเสียงดังเอะอะ


“หุบปากไปซะ พวกเรากำลังพยายามเดาว่าเถ้าหยวนจะแกะสลักอะไรออกมาอยู่นะ” ลูกค้าคนหนึ่งกล่าว


อู๋ไห่โล่งอกเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น คงจะดีน่าดูหากไม่มีพวกเขามาแย่งตำแหน่งของเขา เขาเบียดตัวเองจนไปอยู่ตรงหน้าฝูงชนแล้วได้แต่เหลือบมองก่อนที่จะตัดสินใจออกไป


“เจ้าหนวด นายเป็นจิตรกรใช่ไหม? นายว่าเถ้าแก่หยวนพยายามที่จะแกะสลักอะไรกันแน่?”


“ถ้านายถามเจ้าคนหน้าไม่อายอู๋เรื่องอาหาร เขาน่าจะรู้นะ แต่เรื่องนี้ถ้าแม้แต่พวกเราตั้งหลายคนยังไม่รู้ แล้วเจ้าคนหน้าไม่อายอู๋จะไปรู้ได้อย่างไรกันเล่า?”


นี่เป็นวิธีการแบบจิตวิทยาย้อนกลับอันแสนโง่เขลาที่มีเพียงแค่คนอย่างอู๋ไห่เท่านั้นแหละที่จะหลงเชื่อ


เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นเข้า อู๋ไห่ก็หยุดเดินแล้วกล่าวว่า “เถ้าแก่หยวนกำลังแกะสลักก้อนเมฆ เมฆบนท้องฟ้า ง่ายๆออกขนาดนั้น ไม่ว่าใครก็รู้กันทั้งนั้นแหละ”


ก้อนเมฆงั้นรึ?


บรรดาลูกค้าต่างจ้องมองไปที่เส้นโค้ง ก้อนเมฆงั้นรึ?


หลายคนอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว แต่กลับไม่มีใครเดาออกว่าหยวนโจวกำลังแกะสลักก้อนเมฆเลยสักคน


“เจ้าคนหน้าไม่อายอู๋ ถ้านายไม่รู้อย่ามาหลอกให้พวกเราเข้าใจผิดเสียให้ยากเลยน่า”


บทที่ 846 มีประโยชน์อะไรงั้นเหรอ?

“ฉันเนี่ยนะ? โกหก? โฮ่โฮ่” อู๋ไห่ทำตัวราวกับเด็กๆ ทันทีที่เขาได้ยินผู้คนกำลังตั้งคำถามในตัวเขาอยู่นั้น เขาก็เริ่มระเบิดอารมณ์ออกมาทันที เสียง “โฮ่โฮ่” ของเขาเจือด้วยความดูหมิ่นเหยียดหยาม


“งั้นก็อธิบายมาสิว่าทำไมถึงเป็นก้อนเมฆเล่า?” ลูกค้าตั้งคำถามขึ้นเมื่อเขาเห็นอู๋ไห่หลงเชื่อเรื่องจิตวิทยาย้อนกลับ


ไม่อาจโทษบรรดาลูกค้าที่กำลังสงสัยในตัวอู๋ไห่ ถึงอย่างไรหยวนโจวก็ใช้มีดทำครัวในการแกะสลักเส้นโค้งอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่าแถมยังดูไม่เหมือนก้อนเมฆเลยสักนิด


บางครั้งหยวนโจวก็จะแกะสลักเส้นโค้งให้เสร็จในรวดเดียว และบางครั้งเขาก็จะหยุดลงกลางคัน


ถ้ามีคนบอกว่าเขากำลังแกะสลักเทือกเขาที่ต่อเนื่องกันก็คงจะเชื่อได้มากทีเดียว ว่าแต่มีก้อนเมฆมากมายอยู่ในเส้นตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?


“ยากงั้นหรือ?” อู๋ไห่กล่าวพลางดูเหมือนพยายามที่จะสุ่มถามบรรดาลูกค้า


“ดูตรงเส้นนั้นสิ ทิศทางจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนกับเมฆก้อนเล็กๆในฤดูใบไม้ผลิเลยใช่ไหมเล่า? เส้นโค้งตรงส่วนกลางของมันจะลื่นไหลมากขึ้นดูราวกับผ้าม่านหนาหนักของก้อนเมฆในฤดูหนาวและเส้นบางๆที่ซ่อนตัวระหว่างเส้นหนาๆ ไม่ใช่ชั้นที่พบได้ทั่วไปเหนือชั้นก้อนเมฆหรอกหรือ?” อู๋ไห่ชี้ไปทางเส้นที่หยวนโจวกำลังแกะสลักแล้วกล่าวขึ้นมา


“ส่วนตัวแล้วฉันชอบก้อนน้ำแข็งก้อนที่สอง หลายๆเส้นดูเหมือนจะคล้ายทว่าก็ไม่คล้ายบางสิ่งบางอย่างในขณะเดียวกันเช่นทั้งสุนัขและแมว แต่น่าเสียดายที่ผลงานชิ้นนี้ยังค่อนข้างขาดความคิดทางศิลปะเนื่องจากรู้สึกเหมือนเขาใช้ความพยายามมากเกินไป” อู๋ไห่พูดต่อไป


เมื่อทุกคนเหลือบมองไปที่ก้อนน้ำแข็งขณะที่กำลังฟังอู๋ไอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ข้อสรุปเช่นเดียวกัน


บางทีสิ่งที่พวกเขาเห็นคงจะแตกต่างไปจากสิ่งที่อู๋ไห่เห็นไปโดยสิ้นเชิงกระมัง? นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน? สุนัขงั้นรึ? แมวงั้นรึ? ถ้าหากสุนัขหรือแมวหดลงจนกลายเป็นเส้นแล้วจะยังคงเป็นสุนัขหรือแมวได้อย่างไรกันเล่า?


“นายกำลังขู่ฉันอยู่เหรอ มันก็แค่เส้นๆเดียวเท่านั้นเอง จะไปสง่างามราวกับก้อนเมฆได้ยังไงกันเล่า?” ลูกค้าตั้งคำถาม


“เจ้าคนหน้าไม่อายอู๋กลายเป็นจอมโกหกไปแล้วหรือนี่?”


หลิงหงไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้ต่อว่าอู๋ไห่ไป “นายเชื่อเขาด้วยรึ? ช่างไร้เดียงสาเสียจริง”


“พวกนายขาดมุมมองของศิลปะมากเกินไป” อู๋ไห่กล่าวด้วยความดูถูกดูแคลน


“ถ้านายจินตนาการให้ดีๆก็จะดูเหมือนก้อนเมฆ” อู๋ไห่กล่าวขึ้นมาตามตรง “การเขียนภาพกับการแกะสลักเหมือนกันก็ตรงที่จินตนาการเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ฉันจำได้ว่านายมาจากโรงเรียนศิลปะใช่ไหม? ในตัวนายไม่มีจินตนาการแม้แต่น้อย แล้วนายไปเข้าโรงเรียนศิลปะทำบ้าอะไรกัน?”


ถูกต้องแล้วล่ะ อู๋ไห่กำลังพูดถึงลูกค้าที่เคยเรียนการเขียนภาพมาก่อน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกขาดความมั่นใจเมื่อได้ยินคำพูดของอู๋ไห่ขึ้นมาในทันที


“โอ้ ตอนนั้นนายบอกว่าพวกมันดูเหมือนก้อนเมฆ ดูอย่างเส้นที่สับสนและยุ่งเหยิงนี้สิดูเหมือนก้อนเมฆที่กำลังล่องลอยอย่างอิสระเสรีในท้องฟ้าเลย”


“อืม ดูเหมือนว่าจะใช่นะ ถ้าหากนี่คือภูเขาก็น่าจะมีความสอดคล้องกันบางอย่าง แต่หากพวกมันเป็นก้อนเมฆก็สมควรที่จะยุ่งเหยิงเช่นนั้น พวกมันให้ความรู้สึกของก้อนเมฆออกมาเลยเชียวล่ะ” ลูกค้าอีกคนที่เคยเรียนการเขียนภาพมาก่อนเช่นเดียวกันกล่าวขึ้น


และเมื่อมีคนเห็นด้วยกับเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ลูกค้าคนอื่นๆก็ชักจะเห็นด้วยขึ้นมาเช่นเดียวกัน ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คืออู๋ไห่เป็นผู้รอบรู้ด้านการเขียนภาพอย่างเห็นได้ชัด และมันเป็นนิสัยของมนุษย์ทุกหนทุกแห่งที่จะเชื่อในตัวผู้รอบรู้


“เจ้าคนหน้าไม่อายอู๋คู่ควรแก่การเป็นจิตรกรจริงๆ ฝีมือของเขาได้พิสูจน์ออกมาให้เห็นแล้ว” บรรดาลูกค้าเริ่มชื่นชมอู๋ไห่


“ก็นั่นมันเป็นเรื่องธรรมดานี่” อู๋ไห่ยอมรับคำชม


ไม่สำคัญหรอกว่าตอนนั้นอู๋ไห่จะรู้สึกลำพองใจมากแค่ไหน หยวนโจวที่อยู่ด้านข้างเพิ่งจะแกะสลักก้อนน้ำแข็งเสร็จ การฝึกในคราวนี้ก็ยังไม่อาจทำให้เขาพอใจได้เลยเช่นกัน ดูเหมือนว่าเขาจะคับแค้นใจราวกับว่าเขากำลังเก็บความผิดหวังเอาไว้ เขาคงไม่สามารถใช้ไพ่ตายใบนี้ได้ระหว่างการแข่งขันเป็นแน่


บรรดาลูกค้าที่ยังคงสงสัยในตัวอู๋ไห่เริ่มถามหยวนโจวทันทีที่พวกเขาเห็นเขาหยุดพูด


“เถ้าแก่หยวน นายกำลังแกะสลักก้อนเมฆที่ดูไปแล้วคล้ายแมวและสุนัขอยู่งั้นรึ?” ลูกค้าคนหนึ่งถามขึ้นมา


“นายเห็นว่าฉันกำลังแกะสลักก้อนเมฆอยู่จริงๆหรือ?” หยวนโจวมองไปที่มีดของเขาด้วยความสงสัยก่อนที่จะมองไปที่ก้อนน้ำแข็งตรงหน้าเขา


บนก้อนน้ำแข็งรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีเส้นนับไม่ถ้วนแกะสลักเอาไว้ บางเส้นบางส่วนบางเส้นหนา บางเส้นโค้งในขณะที่บางเส้นตรง หากมองเผินๆก็จะดูเหมือนรอยขีดเขียนของเด็กๆ แต่เมื่อวิเคราะห์รายละเอียดให้ดีแล้วก็จะดูเหมือนจะเป็นไปตามกฎบางประการที่แสดงความงามในแบบที่ผิดระเบียบแบบแผนออกมา


“พวกเขาเห็นแบบนั้นเหรอ? ช่างมีความสามารถอย่างน่าประหลาดนัก” หยวนโจวพึมพำ


อันที่จริงแล้วก้อนน้ำแข็งก้อนนี้และก้อนน้ำแข็งก้อนเมื่อวานนี้ถูกนำมาใช้เพื่อสลักก้อนเมฆ นี่ก็คือไพ่ตายที่หยวนโจวเตรียมเอาไว้ต่อกรกับหยางซู่ซินนั่นเอง


ไพ่ตายของหยวนโจวก็คือมังกรเมฆา ถ้าหากผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งช่างแกะสลักน้ำแข็งแล้วล่ะก็ตระกูลมังกรนพเมฆาก็เป็นผลงานแกะสลักระดับตำนานเช่นเดียวกัน


ในผลงานแกะสลักชิ้นนี้ ก้อนเมฆจะมีความสำคัญยิ่ง อันที่จริงแล้วก้อนเมฆจะเป็นตัวตัดสินว่าผลงานแกะสลักล้มเหลวหรือสำเร็จ


ถ้าหากหยางซู่ซินล่วงรู้ถึงสิ่งที่หยวนโจวพยายามที่จะทำเข้าล่ะก็เขาคงได้ช็อกแน่ ด้วยวัยขนาดนี้ช่างแกะสลักน้ำแข็งส่วนใหญ่สามารถไปถึงระดับของการแกะสลักมังกรคำรามหรือมังกรทะยานได้เพียงเท่านั้น


มังกรเมฆาเป็นส่วนผสมของทั้งสองรูปแบบที่ดูเหมือนกำลังคำรามทว่ากลับพุ่งทะยานไปพร้อมๆกันด้วย แน่นอนว่ายังมีคนที่กำลังแกะสลักก้อนเมฆและมังกรอยู่ทุกวี่ทุกวัน แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่มังกรบนก้อนเมฆแทนที่จะเป็นมังกรเมฆาที่เป็นการผสมผสานของทั้งสองรูปแบบ


ในตำราแห่งการเปลี่ยนแปลงได้กล่าวเอาไว้ว่าก้อนเมฆจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับมังกรในขณะที่สายลมจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับเสือ จากสิ่งนี้ก็จะสามารถเข้าใจความสัมพันธ์อันลึกลับซับซ้อนระหว่างก้อนเมฆและมังกรได้


และเพื่อให้เข้าใจถึงความรู้สึกของก้อนเมฆ ลายเส้นเหล่านี้จึงมีความสำคัญมากทีเดียว นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หยวนโจวต้องแกะสลักลายเส้นอย่างไม่รู้จักหยุดจักหย่อน


น่าเสียดายที่หยวนโจวก็ยังไม่พอใจกับลายเส้นเหล่านี้อยู่มาก ตามความเห็นของเขาแล้ว ลายเส้นเหล่านี้ใส่ความพยายามมากเกินไปจนไม่เป็นธรรมชาติและสง่างามอย่างก้อนเมฆในท้องฟ้า


“นายรู้ได้ยังไงกัน?” หยวนโจวถามขึ้น


“พวกมันเป็นก้อนเมฆจริงๆงั้นรึ?” บุรุษผู้นั้นจ้องมองไปทางอู๋ไห่ก่อนที่จะมองหยวนโจวอีกครั้ง “งั้นก้อนเมฆที่ดูไปแล้วเหมือนทั้งแมวและสุนัขก็มีอยู่จริงๆหรือนี่?”


หยวนโจวไม่ตอบแต่กลับมองด้วยสายตาที่เพียงพอจะแสดงคำตอบออกมา


ด้วยความประหลาดใจอย่างถึงที่สุด บุรุษผู้นั้นตอบว่า “เจ้าคนหน้าไม่อายอู๋เป็นคนบอกฉันเองแหละ เขามองแค่แวบเดียวก็เข้าใจได้ทะลุปรุโปร่งเลยเชียวล่ะ”


การจดจำก้อนเมฆเป็นเรื่องธรรมดามากเลยนะ ถึงยังไงฉันก็เป็นจิตรกรเชียวนะ” อู๋ไห่ขัดจังหวะพลางยิ้มเยาะ


“ภาพเขียนงั้นรึ? ใช่แล้ว! ภาพเขียนนี่เอง!” หยวนโจวดูเหมือนจะนึกอะไรออกแล้ว ในด้านของศิลปะเสมือนจริง อู๋ไห่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง คงจะเป็นเรื่องเสียเปล่าหากเขาไม่ใช้อู๋ไห่ให้เป็นประโยชน์


หยวนโจวเริ่มเก็บข้าวของออกไป เห็นได้ชัดเลยว่าไม่คิดจะทำต่อแล้ว


“ฮะ? ได้เวลาเตรียมอาหารกลางวันแล้วงั้นรึ?” บรรดาลูกค้าต่างให้ความสนใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่หยวนโจวกำลังทำอยู่


“ฉันก็ว่างั้นแหละมั้ง? แต่มันเพิ่งจะสิบโมงเช้าเองนะ” มีคนกล่าวหลังจากมองนาฬิกาของเขาแล้ว


“อืม วันนี้ฉันยังไม่ได้ถ่ายอะไรเลย” เด็กจอมซนกล่าวตาขุ่นเขียว ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาคงไม่มีเงินทุนพอที่จะยึดครองตลาด “จ้างทำการบ้าน” ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่สอง


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันคิดว่าเขาคงจะแกะสลักวันนี้แล้วค่อยมาทำต่ออีกทีวันพรุ่งนี้แหละนะ” ลูกค้าที่กำลังจะกลับกล่าวขึ้นมา


“ฉันไม่เคยเห็นคนที่แกะสลักก้อนเมฆแบบนี้ได้มาก่อนเลย ฉันล่ะสงสัยเสียจริงๆเลยว่าพรุ่งนี้จะได้เห็นก้อนเมฆที่เสร็จสมบูรณ์ไหมนะ” ลูกค้าที่ตั้งคำถามในตัวอู๋ไห่เมื่อก่อนหน้านี้กล่าวขึ้นมาบ้าง


ลูกค้าบางคนเตรียมตัวจะกลับแล้วขณะที่บางคนก็ยังรอต่อไปเพราะเกรงว่าหยวนโจวจะแกะสลักต่อไปอีก เด็กคนนั้นก็อยู่ในพวกนั้นด้วย


แต่หยวนโจวกลับขยับตัวอย่างว่องไวในเวลาเพียงไม่นานพื้นที่ก็ว่างโล่ง แล้วทุกคนก็กลับไป


ผู้ชมทั้งหลายกลับไปแล้ว แต่อู๋ไห่ยังอยู่ เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยความเกียจคร้าน บางครั้งยังสุขสำราญบานใจไปกับความรู้สึกของการได้รับคำชมเมื่อก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำไป


ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่อู๋ไห่ได้รับคำชมเรื่องสติปัญญาของเขา สิ่งนี้นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากมากจริงๆ


บทที่ 847 ขายหมี่หวานกับหมี่เผ็ด

เพื่อกันมิให้อู๋ไห่เดินผ่านเลยไป หยวนโจวจึงเรียกอู๋ไห่เอาไว้เสียก่อน


“อู๋ไห่ รอเดี๋ยว” หยวนโจวกล่าวขึ้นมา


“โอเค” อู๋ไห่พยักหน้าพลางลูบหนวดเครา


หยวนโจวกลับเข้าไปในร้านแล้วเก็บอุปกรณ์เข้าที่และล้างมือให้สะอาดก่อนที่จะออกไปข้างนอกอีกครั้ง


“นายรู้ว่าฉันกำลังแกะสลักก้อนเมฆได้ยังไงกัน?” หยวนโจวถามหลังจากที่เขาเดินออกมา


“ก็มันเห็นกันโต้งๆอยู่แล้วนี่” อู๋ไห่กล่าวพลางยิ้มเยาะขณะที่กำลังลูบหนวดเครา “ไม่มีอะไรสามารถหลุดรอดสายตาอันเฉียบคมของฉันไปได้หรอกน่า”


หยวนโจวเอาแต่จ้องมองอู๋ไห่เงียบๆโดยไม่พูดอะไร เขาไม่เชื่อคำพูดที่อู๋ไห่เพิ่งจะเอ่ยออกมาเรื่องสายตาอันเฉียบคมเลยสักนิดเดียว เพียงแค่มองด้วยสายตาห่อเหี่ยวที่เขามีอยู่


“ก็ได้!” จู่ๆอู๋ไห่ก็กล่าวขึ้นมาพลางชี้ไปที่หยวนโจว


“อะไรเหรอ?” หยวนโจวถึงกับพูดไม่ออกกับการกระทำอันปุบปับฉับพลันเช่นนี้


“นายคงมีเรื่องที่อยากจะถามฉันแน่ๆเลย ถ้างั้นนายก็ต้องเลี้ยงอาหารฉันด้วย ไม่งั้นไม่ว่าจะเป็นคำถามอะไรฉันก็ไม่ตอบหรอกนะ” อู๋ไห่กล่าวด้วยสีหน้าราวกับจะบอกว่า ‘แผนการของนายถูกฉันมองออกแล้วล่ะ’


“นายนี่มันสนใจแต่เรื่องกินจริงๆเลยนะ” หยวนโจวตะลึงงันไปวูบหนึ่งกับเหตุผลของอู๋ไห่ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบ


“แหงล่ะ ไม่มีอะไรในชีวิตที่สำคัญไปกว่าเรื่องกินอีกแล้ว” อู๋ไห่พยักหน้า


“ก็ได้ๆ ฉันจะเลี้ยงอาหารนายเอง เพื่อตอบแทนเรื่องที่นายจะบอกเรื่องก้อนเมฆกับฉันก็แล้วกัน” หยวนโจวมองไปรอบๆแล้วตอบตกลง


“โอเค ฉันอยากจะกิน…” อู๋ไห่ลูบหนวดเคราด้วยความตื่นเต้นขณะที่เตรียมจะสั่งอาหารของตนเอง


“งั้นก็เอาเป็นหมี่หวานกับหมี่เผ็ดที่แผงลอยตรงนั้นขายก็แล้วกัน ดูท่าทางน่ากินเชียวล่ะ” หยวนโจวชี้ไปทางแผงลอยที่อยู่ข้างผับ


แผงลอยประกอบขึ้นมาจากรถเข็นธรรมดาๆกับถังน้ำร้อนสองใบที่ผลิตขึ้นมาจากเหล็กกล้าไร้สนิมบนรถเข็น ระหว่างถังทั้งสองใบนั้นสามารถมองเห็นขวดเครื่องปรุงรสเป็นจำนวนมากได้เลย


และสิ่งที่ห้อยแขวนอยู่บรรถเข็นก็คือผ้าไนล่อนสีแดงที่เขียนว่าหมี่หวานกับหมี่เผ็ด


“เถ้าแก่หยวน คุณมีรสนิยมดีนี่นา บะหมี่เผ็ดและหวานเป็นที่เลื่องลือเรื่องรสชาติอร่อย คุณอยากได้สักสองชามหน่อยไหมล่ะ?” พ่อค้าเร่ตอบก่อนที่อู๋ไห่จะทันได้ตอบอะไรขึ้นมา


“ครับ” หยวนโจวพยักหน้า


“เจ้าเข็มทิศ!” อู๋ไห่รู้สึกโมโหและหงุดหงิดมากเสียจนเลิกลูบหนวดเคราเสียแล้ว


“ฉันจะเลี้ยงบะหมี่นายเอง กลิ่นหอมชะมัดเลย” หยวนโจวกล่าวขณะที่เขาหันไปมองอู๋ไห่เพียงแวบเดียว


ดูเหมือนว่าเขาจะปราศจากความหวาดกลัวโดยสิ้นเชิงถึงแม้ว่าอู๋ไห่ดูเหมือนชักอยากจะกัดเขาขึ้นมาแล้ว


ถึงอย่างไรหยวนโจวก็เป็นคนที่เลี้ยงเจ้าซุปมา แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กลัวอู๋ไห่ที่ย่อมมิใช่คู่ประมือของเจ้าซุปในด้านการกัดแน่ๆ


“เอาล่ะ เอาล่ะ ลืมมันไปเสียเถอะ ฉันจะรับไว้ก็แล้วกัน ฉันก็แค่แกล้งทำเป็นกินขนมด้วยเงินของเจ้าเข็มทิศเสียก็สิ้นเรื่อง” อู๋ไห่ปลอบใจตัวเองเมื่อพบว่าเหลือเวลาอีกตั้งสองชั่วโมงกว่าจะถึงมื้อกลางวัน


“ผมไม่ได้โม้นะ แต่หมี่หวานกับหมี่เผ็ดมีรสชาติที่พวกคุณต้องไม่เคยลิ้มลองมาก่อนอย่างแน่นอน พวกมันอร่อยมากเชียวล่ะ ไม่มีใครพูดเป็นอื่นได้เลยหลังจากได้ลองชิมดูแล้ว” เถ้าแก่กล่าวขึ้นระหว่างที่เติมเครื่องปรุงลงในบะหมี่ เขาพูดขณะที่สวมหน้ากากอนามัยอยู่ แต่หน้ากากกลับไม่สามารถปิดกั้นเสียงอันชัดเจนของเขาได้


“ผมเคยขายอยู่ที่อ่าวแล้วค่อยย้ายมาที่นี่เมื่อไม่นานมานี้เอง คนส่วนใหญ่ที่ตามฉันมาที่นี่ก็คือบรรดาลูกค้าขาประจำของผมเองแหละ หลังจากได้ลองชิมดูแล้วไม่มีใครบอกเลยว่าบะหมี่ของผมรสชาติแย่ คุณอยากลองชิมแบบเผ็ดหรือหวานดีล่ะ?” เถ้าแก่ถามขึ้นมา


“หวานแล้วก็เผ็ดกลางๆ”


“หวานแล้วก็เผ็ดจัด”


หยวนโจวเป็นคนที่ต้องการรสชาติกลางๆส่วนอู๋ไห่เป็นคนที่ต้องการรสชาติจัดจ้านนั่นเอง


“ได้เลย ไม่มีปัญหา แต่ผมไม่มีโต๊ะเก้าอี้นะ คุณต้องห่ออาหารกลับไป” เถ้าแก่จัดการอย่างคล่องแคล่วว่องไวจนเสร็จไปชามหนึ่งแล้ว


“ได้ครับ คุณไม่ต้องให้ตะเกียบเราก็ได้” หยวนโจวกล่าวขึ้นมา


“ใช่ครับ ผมด้วย” อู๋ไห่กล่าวขึ้นบ้าง


“โอเค งั้นผมก็จะได้ประหยัดต้นทุน ถึงยังไงนี่ก็เป็นแค่กิจการเล็กๆ ต้องขอบคุณทั้งสองท่านด้วยนะครับ” เถ้าแก่กล่าวด้วยความเบิกบานใจขณะที่เขายื่นบะหมี่ให้อู๋ไห่


“ด้วยความยินดีครับ” หยวนโจวกล่าว


“ว่าแต่ทำไมคุณถึงมาที่นี่เอาป่านนี้ล่ะครับ?” อู๋ไห่ถามขึ้นมา เขายังรู้สึกไม่พอใจกับความจริงที่ว่าเขาเพียงแค่สามารถขโมยชามบะหมี่จากหยวนโจวได้


“เอ่อ ผมมาตั้งแผงแค่คนเดียวก็เลยทำได้ไม่เร็วนัก ผมจะมาวันละสองครั้งตอนสิบโมงเช้าและห้าโมงเย็น” เถ้าแก่กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ถึงตอนนี้คนก็จะหายไปหมดแล้วนะครับ” อู๋ไห่ต่อว่าเข้าให้


นั่นเป็นเรื่องจริง แผงลอยอื่นๆที่นี่จะเฝ้าติดตามช่วงเวลาอาหารสามมื้อที่ร้านหยวนโจว พวกเขาเพิ่งจะมาถึงก่อนหน้านี้และไม่มีใครจะออกมาระหว่างทั้งสองช่วงเวลาอย่างที่เถ้าแก่ผู้นี้มาที่นี่


“เอ่อ ผมได้พวกคุณเป็นลูกค้าแล้วใช่ไหม? ไม่เลวเลยทีเดียว” เถ้าแก่กล่าวด้วยรอยยิ้ม


สิ่งนี้ทำให้อู๋ไห่ถึงกับพูดไม่ออกไปแล้ว เขายืนถือชามบะหมี่อยู่ตรงนั้นโดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี


“กลิ่นหอมชะมัดเลย” หยวนโจวกล่าวพลางสูดกลิ่นบะหมี่


“แน่นอนว่าฉันย่อมเป็นคนเตรียมเครื่องปรุงรสขึ้นมาเอง” เถ้าแก่กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ


“อืม แม้แต่บะหมี่และพริกคุณก็เป็นคนเตรียมขึ้นมาเองด้วยสินะครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วกล่าวขึ้นมา


“ถูกต้องแล้วครับ สมกับที่เป็นเถ้าแก่หยวนจริงๆ สามารถมองออกเพียงการมองแค่ปราดเดียวเท่านั้น” เถ้าแก่กล่าวโดยที่รอยยิ้มหาได้เลือนหายไปจากใบหน้าเลย ดูเหมือนว่าเถ้าแก่จะเบิกบานใจมากทีเดียวที่หยวนโจวมาซื้อบะหมี่ของเขา ถึงอย่างไรท่ามกลางบรรดาพ่อค้าเร่ที่นี่ หยวนโจวก็มีตำแหน่งค่อนข้างสูง


ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถพิจารณาบะหมี่ที่ได้รับการยอมรับของหยวนโจวได้


หยวนโจวพยักหน้าแล้วไม่ได้พูดอะไร


บางทีอาจเป็นผลมาจากชื่อเสียงของหยวนโจว แต่ผู้คนกลับเริ่มทยอยกันมาตั้งแผงลอยเช่นนี้ เนื่องจากตั้งร้านเพียงคนเดียว เขาจึงเริ่มยุ่งง่วนมาก


“ฉันจ่ายด้วยวีแชทเพย์ได้ไหม?”, “มีรสอะไรบ้างล่ะเถ้าแก่?”, “ในเมื่อแม้แต่เถ้าแก่หยวนก็ยังมาซื้อจากที่นี่เลย รสชาติต้องอร่อยแหงๆ”, “หายากนะเนี่ยที่เถ้าแก่หยวนจะออกมากินอาหารข้างนอกน่ะ” …


ไม่นานบะหมี่ของหยวนโจวก็เสร็จเช่นกัน หลังจากได้รับบะหมี่ของตนเองแล้ว หยวนโจวก็ถามราคาขึ้นมา


“ทั้งหมดสิบแปดหยวน ขอบคุณครับ” เถ้าแก่กล่าวขึ้นมา เห็นได้ชัดเลยว่าเถ้าแก่ยังด้อยประสบการณ์อยู่ ทันทีที่ผู้คนมากขึ้น เขาก็เริ่มสับสน เขารีบหยิบป้ายที่มีบาร์โค้ดสำหรับทางเลือกในการชำระเงินแบบออนไลน์ขึ้นมาสองแบบ


“โอเคครับ” หยวนโจวหยิบธนบัตร 20 หยวนออกมาแล้วยื่นส่งให้


“ทอนสองหยวน ขอบคุณครับ” เถ้าแก่กล่าวขณะที่เขากลับมาทอนเงินให้อย่างรวดเร็ว


“อืม” หยวนโจวพยักหน้าแล้วรับเงินทอนขณะที่เขาเตรียมตัวจะพาอู๋ไห่กลับร้าน


“แล้วก็คราวหน้าถ้ารู้สึกอยากกินบะหมี่ คุณก็สามารถเอาชามมาเองได้เลยนะเถ้าแก่หยวน ด้วยชามที่มีขนาดพอเหมาะพอดี บะหมี่จะให้รสชาติดีขึ้นเนื่องจากสามารถผสมเครื่องปรุงรสให้ดีกว่าเดิมได้” จู่ๆเถ้าแก่ก็กล่าวขึ้นมา


“ครับ คราวหน้าผมจะเอาชามมาเองนะครับ” หยวนโจวกล่าวขึ้นมา


“ไว้เจอกันครับ” เถ้าแก่กล่าวขึ้นมา จากนั้นเขาก็ไปให้บริการบรรดาลูกค้าของเขาต่อไป หลังจากนั้นก็เสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าทั้งหมดแล้วเขาก็สังเกตพบว่าคนที่ขอวีแชทเพย์เมื่อก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ชำระเงินเลย แถมเขายังยุ่งเกินกว่าจะทันสังเกตเห็นอีกต่างหาก


เถ้าแก่เลยสงสัยว่าเป็นเพราะปัญหาทางเทคนิคบางอย่างหรือไม่ เขาพบว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีคนกำลังขโมยแปดหยวนไปจากเขา จากนั้นเขาก็กลับไปทำงานต่อ


“คราวหน้านายคงไม่เลี้ยงบะหมี่ฉันอีกใช่ไหม?” อู๋ไห่ถามขึ้นมา เขาแน่ใจว่าได้ยินบทสนทนาเกี่ยวกับการเอาชามมาเองคราวหน้าอย่างชัดเจน เรื่องมันชักจะอันตรายไปกันใหญ่แล้วทำให้อู๋ไห่ถึงกับต้องจ้องมองหยวนโจวด้วยความระแวดระวัง


“เจ้าหมอนี่ขี้เหนียวเกินไปหน่อยแล้ว” อู๋ไห่บ่นพึมพำอยู่ในใจ


“ฉันก็ไม่แน่ใจนะ” หยวนโจวตอบตามตรง


“ฉันขอปฏิเสธ ฉันขอปฏิเสธบะหมี่” อู๋ไห่กล่าวด้วยความฉุนเฉียว


“พวกเรามากินกันก่อนเถอะ” หยวนโจวกล่าวพลางยื่นตะเกียบให้อู๋ไห่


แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ตะเกียบที่เจ้าระบบจัดเตรียมเอาไว้ให้แต่อย่างใด แต่เป็นตะเกียบสำรองที่หยวนโจวเตรียมเอาไว้ให้ตัวเอง ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาเปิดร้านนี่นา


อู๋ไห่กำลังโมโหใหญ่แล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)