ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 844-845
ตอนที่ 844 ปะการังวิญญาณโลหิตกับโอสถหยกพิสุทธิ์
“หากในหมู่ทายาทรุ่นหลังของตระกูลอินมีสักคนสองคนที่มีแวว โอกาสนี้ข้าย่อมเก็บเอาไว้ แต่พวกเขาไม่เอาไหน จนถึงตอนนี้กระทั่งพลังทะลวงถึงระดับผลึกก็ไม่มีเลยสักคน โอกาสนี้เก็บไว้ก็มีแต่เสียเปล่าเท่านั้น ถึงขนาดที่หากเวลาเนิ่นนานไป ข้าก็ไม่แน่ใจว่ามิตรภาพนี้ยังจะใช้ประโยชน์ได้อีกไหม” อินจิ่วหลิงแค่นเสียงหยันแล้วเอ่ยขึ้นนิ่งๆ
“ท่านผู้ควบคุมยอดเขาเห็นค่าหลิ่วหมิงผู้นี้เช่นนี้เชียว? แม้พลังของเขาไม่เลว แต่อย่างไรก็มีเพียงสามชีพจร เกรงว่าความหวังที่จะเข้าสู่ระดับแก่นแท้คงไม่ถึงหนึ่งในหมื่นกระมัง มอบโอกาสใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ครั้งสุดท้ายแก่เขา น่าเสียดายเกินไปหรือเปล่า?” ผู้อาวุโสเถียนถอนหายใจเอ่ยขึ้น
“ตอนที่หลิ่วหมิงผู้นี้มายังนิกายยอดบริสุทธิ์ หลูจิ้งเยว่แห่งยอดเขาลั่วโยวก็คล้ายจะคิดเช่นนี้กระมัง ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้ควบคุมยอดเขาหลูหลังได้ยินข่าวงานประตูสวรรค์ครั้งนี้ในใจรู้สึกอย่างไร?” อินจิ่วหลิงเวลานี้กลับไม่ได้ตอบคำถามของเขาตรงๆ ตรงกันข้ามรำพึงออกมาประโยคหนึ่งคล้ายเจตนาแต่ก็ไม่เจตนา
ผู้อาวุโสเถียนได้ยินก็อึ้ง เงียบงันไม่พูดจาในทันใด
“เข้าสู่ระดับแก่นแท้ พรสวรรค์ โชค สติปัญญาสักอย่างก็ขาดไม่ได้ หลิ่วหมิงผู้นี้ในด้านพรสวรรค์อาจด้อยไปบ้าง แต่ด้านอื่นกระทั่งข้าผู้เป็นอาจารย์คนนี้ก็มองไม่ขาด แต่ข้าไม่เคยเสียใจที่รับเขาเป็นศิษย์สายตรง” อินจิ่วหลิงยิ้มน้อยๆ เอ่ยต่อ
“ในเมื่อศิษย์พี่มั่นใจเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นก็ดูกันว่าหลิ่วหมิงผู้นี้ครั้งนี้จะเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนได้หรือไม่” หลังผู้อาวุโสเถียนเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นช้าๆ
อินจิ่วหลิงได้ยินก็ยิ้ม นิ้วมือจิ้มพนักพิงของเก้าอี้เบาๆ สายตาสงบนิ่งดุจสายน้ำ ไม่รู้ขบคิดสิ่งใดอยู่
หลิ่วหมิงย่อมไม่รับรู้บทสนทนาที่วิหารหลักของยอดเขาลั่วโยว เวลานั้นเขาไม่ได้กลับไปยังถ้ำที่พัก แต่ตรงไปยังวิหารส่งตัวของนิกาย
หนึ่งชั่วยามให้หลังเขาก็ปรากฏตัวในตลาดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งใกล้ๆ เทือกเขาหมื่นวิญญาณ
หลังได้ข่าวดีเกี่ยวกับกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ของตระกูลโอวหยางจากอินจิ่วหลิง เขาก็วางแผนการคร่าวๆ สำหรับการฝึกฝนต่อไปเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ภารกิจหลักของเขาก็คือฝึกฝนจนไปถึงจุดสูงสุดของระดับผลึกขั้นปลายให้เร็วที่สุด เช่นนี้ถึงจะทะลวงสู่ระดับแก่นเสมือนได้
จะบรรลุเป้าหมายนี้ เขาจำต้องเก็บตัวตรากตรำฝึกฝนช่วงระยะเวลาหนึ่งโดยที่ใจไม่วอกแวก แต่ก่อนหน้านั้นต้องจัดการของที่ไม่ได้ใช้จำนวนหนึ่งที่ตัวเสีย
ของเหล่านี้ล้วนเป็นของที่หลิ่วหมิงได้มาจากผู้ฝึกฝนที่สังหารไปในแดนลึกลับประตูสวรรค์และจากประมุขน้อยกับผู้อาวุโสจากนิกายหยกทอง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาวุธจิตวิญญาณ ต้นแบบอาวุธเวทโอสถกับหินแร่หญ้าจิตวิญญาณที่ไม่ได้ใช้จำนวนหนึ่ง
เจ็ดวันให้หลังหลิ่วหมิงปลอมตัวเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำคนหนึ่งเดินอาดๆ ออกมาจากตลาดขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่ง
เขาในตอนนี้ นอกจากทรายธารดาราถุงนั้น ของที่เหลือแทบจะกำจัดไปเกลี้ยงแล้ว แลกหินจิตวิญญาณมาได้จำนวนมหาศาล
หินจิตวิญญาณจำนวนนี้ สำหรับตระกูลผู้ฝึกฝนระดับกลางบางแห่งแม้จะเป็นจำนวนเงินก้อนโตก้อนหนึ่ง แต่หลิ่วหมิงไม่ได้ใส่ใจนัก
ยามปกติโอสถที่เขาใช้โดยทั่วไปก็ทำเองใช้เอง เมื่อเทียบกันแล้วเรื่องที่ต้องใช้หินจิตวิญญาณจึงน้อยกว่าอยู่บ้าง อีกประการหนึ่งเนื่องจากมีฟองอากาศลึกลับไล่เอาชีวิตอยู่เบื้องหลังเขาจึงไม่มีกะจิตกะใจขบคิดเรื่องหินจิตวิญญาณแม้แต่น้อย…
นอกเหนือจากนี้สิ่งอื่นที่หลิ่วหมิงได้มาก็ไม่น้อย ในร้านหลอมอาวุธที่ไม่สะดุดตาร้านหนึ่งในตลาดแห่งนี้เขาโชคดีอย่างที่สุดหากระดองเต่าลู่อู๋ชิ้นน้อยชิ้นหนึ่งพบ
เทียบกับกระดองชิ้นนั้นที่ประมุขน้อยแห่งนิกายหยกทองรวบรวมมาได้ ชิ้นนี้รูปร่างลักษณะด้อยกว่าไม่น้อย ขนาดก็เล็กกว่าอยู่บ้าง หากหลอมโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ประสิทธิภาพคงด้อยกว่าอยู่บ้างเช่นกัน
ถึงจะเป็นเช่นนี้เขาก็ซื้อมันมาด้วยหินจิตวิญญาณห้าล้านก้อนอย่างไม่ลังเลสักนิด หลังจากนั้นจึงรวบรวมวัตถุดิบอื่นๆ สำหรับปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์อีกจำนวนหนึ่ง
เมื่อกลับไปถึงยอดเขาลั่วโยว หลิ่วหมิงแวะไปคารวะอินจิ่วหลิงแล้วกลับไปยังถ้ำที่พัก ปิดประตูใหญ่สนิท
ยังฝึกฝนไม่ถึงจุดสูงสุดของระดับผลึก เขาไม่คิดออกจากถ้ำที่พักง่ายๆ อีก
เวลาผ่านไปทีละเล็กทีละน้อย
ศิษย์สายในทั้งหลายแห่งยอดเขาลั่วโยวค้นพบว่าถ้ำของหลิ่วหมิงปิดแน่นสนิทอีกครั้งไม่รู้เริ่มตั้งแต่เมื่อไร กระทั่งชั้นจำกัดปกป้องถ้ำที่พักก็เปิดทั้งหมด
ยันต์ถ่ายทอดเสียงที่ส่งเข้ามาในถ้ำที่พักก็ไม่ได้ตอบ นี่ทำให้คนมากมายที่ชื่นชมชื่อเสียงเดินทางมาเยี่ยมเยือนอดไม่ได้ผิดหวังอย่างยิ่ง
คนที่ข่าวสารฉับไว ย่อมสืบได้ว่าหลิ่วหมิงเริ่มเก็บตัวตรากตรำฝึกฝนอีกแล้ว
จะว่าไปแล้วหลิ่วหมิงเข้ามาในยอดเขาลั่วโยวได้ยี่สิบสามสิบปี แต่เขาไม่สนิทกับศิษย์ยอดเขาลั่วโยวทั้งหลายเลย ถ้ำที่พักมักจะอยู่ในสภาพปิดสนิทเสมอ ไม่ออกเดินทางฝึกปรือฝีมือก็เก็บตัวตรากตรำฝึกฝน
ศิษย์มากมายของยอดเขาลั่วโยวนอกจากนับถือหลิ่วหมิง ก็รู้สึกว่าเข้ากับเขาไม่ได้อย่างไร้สาเหตุ นี่ก็คือสาเหตุที่หลิ่วหมิงมีสหายที่คบหาไม่กี่คน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายในนิกายยอดบริสุทธิ์ฟื้นกลับมาสงบดังก่อนหน้าอีกครั้ง ข่าวลือเกี่ยวกับหลิ่วหมิงค่อยๆ จางหายไปจากสายตาของศิษย์สายในทั้งหลาย
อย่างไรเสียในนิกายยอดบริสุทธิ์นิกายใหญ่ระดับนี้ทุกปีล้วนไม่ขาดแคลนเรื่องที่ดึงดูดสายตาของผู้คน
เวลาสิบปีพริบตาก็ผ่านไป
วันนี้ประตูใหญ่ของห้องลับในถ้ำที่พักของหลิ่วหมิงก็เปิดออกดังปัง บุรุษชุดน้ำเงินคนหนึ่งก้าวออกมาช้าๆ
เทียบกับก่อนหน้าเก็บตัว ร่างกายของหลิ่วหมิงสูงขึ้นครึ่งศีรษะอย่างเห็นได้ชัด โครงร่างก็แลดูผอมเพรียวขึ้นอยู่บ้าง ชุดยาวที่สวมก็แลดูหลวมขึ้นบ้าง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่ได้เห็นแสงตะวันมานานปีหรือก่อนหน้านี้เสียอายุขัยไปหลายสิบปี เวลานี้ผิวหนังของเขาจึงดูซีดขาวเล็กน้อย ตรงกลางคิ้วคล้ายมีร่องรอยของวันเวลาเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย แต่สองแขนเรียวยาวขาวผ่องประหนึ่งหยกขาวทำให้คนรู้สึกว่าแข็งแกร่งอย่างที่สุด
แน่นอนหากใช้จิตสัมผัสสำรวจในร่างหลิ่วหมิงก็จะพบว่ากระดูกในร่างเขาหนากว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย แม้เป็นกระดูกชิ้นเรียวเล็กที่สุดก็แวววาวประหนึ่งโลหะ
ที่เกิดผลประการนี้ได้ย่อมเพราะสิบปีนี้เขากินโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ไปไม่น้อย
โอสถนี้ไม่เสียทีเป็นโอสถระดับสูงของการชุบหลอมร่างกาย พละกำลังกายเนื้อเวลานี้ของหลิ่วหมิงเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน แทบจะเป็นการเปลี่ยนแปลงราวกับผลัดกระดูกเกิดใหม่
หลิ่วหมิงถึงขั้นรู้สึกว่าตอนนี้อาศัยเพียงพลังกายเนื้ออย่างเดียวก็สู้กับตนเองก่อนหน้านี้ได้อย่างไม่เป็นรอง
กระดองของเต่าลู่อู๋สองชิ้นทำให้เขาปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ออกมาได้สิบกว่าเม็ด หลังกินอย่างต่อเนื่องตอนนี้โอสถนี้ไม่ค่อยได้ผลกับเขามากนักแล้ว
หลิ่วหมิงขยับมือเท้าพักหนึ่ง ร่างกายส่งเสียงเปรี๊ยะแผ่วเบาดังขึ้นสองสามหน หลังจากนั้นจึงยกมือขึ้น งอนิ้วดีดหนึ่งครั้งโดยไม่ได้กระตุ้นพลังเวทใดๆ
ฟุบ!
เสียงแผ่วเบาดังขึ้น ปราณที่ตาเปล่ามองเห็นก้อนหนึ่งดีดออกมาโจมตีบนผนังหินของถ้ำที่พัก กรีดเป็นรอยตื้นๆ รอยหนึ่ง
“ไม่เลว”
สายตาของหลิ่วหมิงกวาดผ่านบนผนังหินแล้วเอ่ยพึมพำกับตนเอง จากนั้นเขาก็คิดบางอย่างขึ้นได้ รอบร่างปราณดำสายหนึ่งผุดออกมาทันที มันไหลเคลื่อนรอบกายไม่หยุด แม้มองดูแล้วบางเบา แต่ความจริงมืดดำเข้มทึบประหนึ่งของเหลว
สิบปีนี้เขากินโอสถปริมาณมากเป็นตัวช่วย ในที่สุดก็ฝึกฝนถึงจุดสูงสุดของระดับผลึกแล้ว
หรือกล่าวได้อีกอย่างว่าเขาเริ่มทะลวงระดับแก่นเสมือนได้แล้ว!
“นายท่าน!”
เงาที่ล้อมด้วยปราณดำสองร่างพุ่งออกมาจากด้านนอก เมื่อปราณดำดับลงก็เผยสตรีสะสวยสวมชุดตาข่ายดำคนหนึ่งกับเด็กน้อยชุดเขียวที่ส่ายหัวไปมาคนหนึ่ง
เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์นั่นเอง
สายตาของหลิ่วหมิงกวาดผ่านบนร่างทั้งสองครั้งหนึ่ง บนใบหน้าก็เผยสีหน้ายินดีเล็กน้อย
จากการที่เขามอบโอสถให้อย่างไม่เสียดาย และในสิบปีนี้เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ก็ทุ่มเทตรากตรำฝึกฝนอยู่ตลอด พลังเวทจึงก้าวหน้ากว่าสิบปีก่อนมากเช่นกัน
“พวกเจ้าสองตัวอยู่ในถ้ำที่พักหลายปีเช่นนี้คงเบื่อหน่ายอยู่บ้างแล้วกระมัง” หลิ่วหมิงยื่นมือมาลูบศีรษะของเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์เบาๆ แล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน
“ไม่เจ้าค่ะ ขอเพียงอยู่กับนายท่าน นานอีกเท่าใดก็ไม่เบื่อ” สีหน้าของเซียเอ๋อร์แดงเรื่อ นางก้มศีรษะเอ่ยขึ้นมา
“ใช่แล้ว ขอเพียงอยู่กับนายท่าน ที่ใดล้วนไม่สำคัญ”
เด็กน้อยส่ายศีรษะไปมาแล้วเอ่ยขึ้นบ้างจากนั้นก็ทรุดลงนั่ง
หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่าๆ พลางตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณที่ข้างเอวเก็บอสูรเลี้ยงทั้งสองตัวเข้าไป จากนั้นจึงก้าวยาวเดินออกไปจากถ้ำที่พัก
หนึ่งเค่อให้หลังเขาก็ยืนอยู่ในวิหารหลักของยอดเขาลั่วโยว
ในวิหารหลักเวลานี้ยังคงมีเพียงเขากับอินจิ่วหลิงสองคน
อินจิ่วหลิงมองสำรวจหลิ่วหมิงหลายที สีหน้าคล้ายไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
ครู่หนึ่งเขาถึงละสายตาไปแล้วเอ่ยปากขึ้นช้าๆ
“เจ้าใช้เวลาสิบปีก็ฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุดของระดับผลึกได้? แล้วปราณบนร่างเจ้ายังพิเศษอยู่บ้างอีก คล้ายไม่ใช่เพราะพลังเวทก้าวหน้าเพียงอย่างเดียว…”
“สิบปีนี้ศิษย์เก็บตัวตรากตรำฝึกฝน ไม่กล้าชักช้าสักเพลา ในที่สุดจึงไม่ทรยศความคาดหวังของอาจารย์ พอจะเริ่มทะลวงสู่ระดับแก่นเสมือนได้แล้ว” หลังหลิ่วหมิงค้อมกายก็เอ่ยตอบอย่างคลุมเครือ
“ช่างเถิด เจ้าเคยทำให้ข้าตกตะลึงมามากแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็พิสูจน์ว่าข้าไม่ได้มองคนผิด” อินจิ่วหลิงเอ่ยพึมพำกับตนเอง เสียงที่เขาพูดประโยคสุดท้ายเบาอย่างที่สุดคล้ายพูดให้ตนเองฟัง
“ในเมื่อเจ้าฝึกฝนจนถึงระดับนี้แล้ว วันนี้คงจะตั้งใจเริ่มทะลวงสู่ระดับแก่นเสมือนทันทีกระมัง?” สีหน้าของอินจิ่วหลิงฟื้นกลับมานิ่งสงบอย่างรวดเร็วยิ่งแล้วเอ่ยถามขึ้นนิ่งๆ
“อาจารย์ช่างปราดเปรื่อง ศิษย์กำลังคิดเช่นนั้น” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นเช่นนี้
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี นี่คือสิ่งที่ข้าเคยรับปากเจ้าไว้ ปะการังวิญญาณโลหิตกับโอสถหยกพิสุทธิ์ สมบัติลับสองชิ้นที่เร่งให้เข้าสู่ระดับแก่นเสมือนสำเร็จซึ่งยื่นขอมาจากนิกาย อาจารย์เตรียมไว้ให้เจ้าพร้อมแล้ว แค่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเร็วเช่นนี้” อินจิ่วหลิงเอ่ยขึ้นแล้วพลิกมือเรียกยันต์เก็บของแผ่นหนึ่งออกมาโยนไป ยันต์เก็บของพลันกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งบินไปเบื้องหน้าหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นกวักรับยันต์เก็บของมา จิตสัมผัสกวาดแผ่วเบาทีหนึ่ง ปะการังสีแดงเลือดกิ่งหนึ่งกับโอสถที่ส่องแสงสีเขียวแวววาวเม็ดหนึ่งนอนนิ่งอยู่ในยันต์เก็บของ
ปะการังสีเลือดขนาดเพียงฝ่ามือ เนื้อนุ่มนิ่มประหนึ่งก้อนแป้ง แผ่กลิ่นหอมพิสุทธิ์จางๆ ระลอกแล้วระลอกเล่าออกมา
ส่วนโอสถหยกพิสุทธิ์เม็ดนั้นมีลวดลายโอสถชัดเจนหลายสาย เป็นโอสถระดับสูงเม็ดหนึ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่ามูลค่าไม่ธรรมดา
“ยามใช้ให้วางปะการังวิญญาณโลหิตไว้ในห้องดมกลิ่นของมัน ส่วนโอสถหยกพิสุทธิ์ให้กินล่วงหน้าช่วยสลายผลึกได้” เสียงของอินจิ่วหลิงดังขึ้นช้าๆ
“ขอบคุณอาจารย์ยิ่ง!” หลิ่วหมิงค้อมกายคำนับพร้อมกับที่ในใจรู้สึกอบอุ่นวูบหนึ่ง สองสิ่งนี้ไม่รู้ว่าอินจิ่วหลิงต้องทุ่มเทกำลังไปเท่าไร คงไม่ใช่ได้มาง่ายดายอย่างที่ปากเขาบอกประโยคเดียวว่า ‘ยื่นขอมาจากนิกาย’ แน่นอน
“นอกจากนี้ยังมีป้ายของตระกูลโอวหยางชิ้นนี้ด้วย เจ้าถือมันไปหาผู้อาวุโสโอวหยางอิงแห่งตระกูลโอวหยาง เขาจะจัดการเอง” อินจิ่วหลิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นหยิบป้ายคำสั่งสีม่วงขนาดเท่าฝ่ามือแผ่นหนึ่งออกมาโยนให้หลิ่วหมิงอีก
ตอนที่ 845 เขาสันเขียว
หลังหลิ่วหมิงรับมาอย่างนอบน้อมก็มองสำรวจครู่หนึ่ง เขาเห็นบนป้ายคำสั่งวาดรูปอสูรประหลาดที่หน้าตามีเอกลักษณ์ตัวหนึ่งไว้ ลำตัวยาวเรียว บนแผ่นหลังมีปีกคู่หนึ่ง ดูแล้วหน้าตาเหมือนกิเลนเทพอสูรในตำนานอยู่บ้าง อีกด้านหนึ่งคล้ายสลักภาพดวงดาราเจ็ดดวงไว้ เรียงเป็นแถวด้านบนสามด้านล่างสี่ราวกับว่าแฝงความลับพิเศษบางอย่างอยู่
หลิ่วหมิงไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดมากนัก เขาเก็บมันเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างระมัดระวัง
สิ่งนี้สำคัญยิ่งกว่าสมบัติลับสองชิ้นด้านในยันต์เก็บของมาก
“ขอบคุณท่านอาจารย์ยิ่งที่ช่วยเหลือ ศิษย์จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังโดยเด็ดขาด จะทะลวงเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนสำเร็จให้จงได้” หลิ่วหมิงคำนับอย่างเคร่งขรึมครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“เจ้ามีความตั้งใจแน่วแน่เช่นนี้ดียิ่งนัก แต่ก็ต้องรักษาจิตใจให้มั่นคงด้วย เช่นนี้ถึงจะเป็นประโยชน์ในการทะลวงผ่านอุปสรรค หากพบปัญหายุ่งยากที่ไม่อาจจัดการได้จริงๆ ที่ตระกูลโอวหยางก็กระตุ้นยันต์แผ่นนี้ได้” หลังอินจิ่วหลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบยันต์สีเหลืองอ่อนแผ่นหนึ่งออกมาส่งให้หลิ่วหมิงด้วยสีหน้าจริงจัง
“ศิษย์จะจำไว้”
หลิ่วหมิงเห็นสีหน้าจริงจังของอินจิ่วหลิงไหนเลยยังจะไม่ทราบมูลค่าของสิ่งนี้ รีบร้อนเก็บไปอย่างทะนุถนอม
บนยันต์สีเหลืองอ่อนแผ่นนี้มียันต์เรียบง่ายเพียงไม่กี่เส้น ดูแล้วไม่สะดุดตาคล้ายเป็นเพียงยันต์สื่อสารแผ่นหนึ่งเท่านั้น
“หรือยันต์นี่จะเป็นยันต์สื่อสารกับคนใหญ่คนโตสักคนในตระกูลโอวหยาง…”
หลิ่วหมิงลอบคาดเดาในใจ อินจิ่วหลิงไม่อธิบายประโยชน์ของยันต์นี้ เขาก็ไม่สะดวกถามเช่นกัน
“เอาล่ะ เจ้าไปเถอะ!” อินจิ่วหลิงโบกมือเอ่ยนิ่งๆ
หลิ่วหมิงคำนับอีกครั้งถึงหมุนตัวเดินออกไป
…..
ครึ่งเดือนให้หลัง ลำแสงรูปเรือสีแดงฉานสายหนึ่งก็แหวกท้องฟ้าเหาะเร็วไวผ่านไป
จุดที่เขาผ่านมาถึงเบื้องล่างเป็นภูเขาเตี้ยๆ ทอดยาวเป็นผืนกับทุ่งราบสีเขียวสุดลูกหูลูกตา เบื้องล่างประหนึ่งไม่มีคนอาศัย
ที่นี่เห็นชัดว่าคือแคว้นฉีบนภาคกลางของแผ่นดินจงเทียนแล้ว
ตระกูลโอวหยางเป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ของหลิ่วหมิงอยู่ที่แคว้นเฉินซึ่งห่างไปไกลโพ้น เดินทางจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณกั้นกลางด้วยแคว้นใหญ่น้อยของมนุษย์ธรรมดาสิบกว่าแคว้น
แผ่นดินจงเทียนถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนที่มนุษย์ประชากรมาก แม้พื้นที่กว้างใหญ่ แต่สถานที่ซึ่งผู้ฝึกฝนรวมกันอยู่อย่างหนาแน่นจริงๆ กลับมีเพียงน้อยนิดส่วนหนึ่งในนั้นเท่านั้น สถานที่ซึ่งปราณจิตวิญญาณเบาบางส่วนใหญ่ย่อมมีผู้ฝึกฝนยินดีมาอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนั้นน้อย
แต่แผ่นดินจงเทียนแตกต่างจากแคว้นต้าเสวียนบนเกาะอวิ๋นชวนที่หลิ่วหมิงเคยอยู่ก่อนหน้านี้ แคว้นของมนุษย์ธรรมดาบนแผ่นดินจงเทียนมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับผู้ฝึกฝนมากกว่า หลายราชวงศ์ที่จริงก็มีนิกายสำนักรวมถึงตระกูลใหญ่ต่างๆ สนับสนุน ถึงขั้นที่บางพวกเป็นตระกูลสายรองโดยตรง
ในแปดตระกูลใหญ่ของของแผ่นดินจงเทียนมีตระกูลสายรองของสองตระกูลเป็นราชวงศ์ของแคว้นมนุษย์ธรรมดา
แม้ตระกูลโอวหยางไม่ใช่หนึ่งในนั้น แต่พวกเขาก็มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับแคว้นเฉินที่พวกเขาอยู่
ถึงหลิ่วหมิงจะบังคับเรือหยกจันทราเดินทางทั้งวันทั้งคืน แล้วยังเคลื่อนย้ายผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างทางอย่างไม่เสียดายค่าใช้จ่าย ตอนนี้ก็เพิ่งเดินทางมาได้ไม่ถึงสามในสิบของเส้นทาง
วันนี้ระหว่างที่เขากำลังรีบเร่งเดินทางอยู่นั้น ถุงหนังบางถุงข้างเอวพลันขยับยุกยิกไม่นิ่งพักหนึ่ง
หลิ่วหมิงแผ่จิตออกไป ถุงใบนี้คือถุงใบนั้นที่หัวบินอยู่นั่นเอง
“เฟยเอ๋อร์ เป็นอะไร?” หลิ่วหมิงยกมือข้างหนึ่งลูบถุงแล้วเอ่ยถามผ่านการเชื่อมจิต
“นายท่าน ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ ก็รู้สึกหวั่นใจ” เสียงวิตกกังวลของหัวบินดังออกมาจากในถุง
หลิ่วหมิงได้ยินพลันขมวดคิ้ว หลังขบคิดครู่หนึ่งจึงยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งใส่เรือเหาะ
ลำแสงของเรือหยกจันทราช้าลงทันที
ในเวลาเดียวกันหลิ่วหมิงก็ปล่อยจิตสัมผัสออกไปรอบด้าน
แมงป่องกระดูกกับหัวบินล้วนเป็นอสูรเลี้ยงที่ไม่ธรรมดา ในบางแง่ญาณวิเศษของพวกมันเฉียบคมยิ่งกว่าจิตสัมผัสของเขาเสียอีก ในเมื่อหัวบินเอ่ยเช่นนี้คิดว่าคงไม่ได้พูดเรื่อยเปื่อยแน่นอน
หรือจะมีคนซุ่มลอบโจมตีเขาอยู่ที่นี่?
เรื่องที่สองคนนั้นจากนิกายหยกทองวางกับดักเขายังจำได้ชัดเจนเหมือนอยู่ตรงหน้า ปรมาจารย์อู๋กวงแห่งนิกายปีศาจลี้ลับหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ออกคำสั่งปีศาจลี้ลับเรื่องเขาอยู่เชียวนะ
สุดท้ายเมื่อหลิ่วหมิงขยายจิตสัมผัสจนครอบคลุมบริเวณหลายสิบกิโลเมตร ในขอบเขตนี้ก็พบเพียงเมืองเล็กๆ ธรรมดาๆ ของมนุษย์ธรรมดาซึ่งปราณจิตวิญญาณเบาบางแห่งหนึ่งเท่านั้น
สถานที่เช่นนี้ตามหลักแล้วย่อมไม่มีทางมีผู้ฝึกฝนระดับสูงอันใด
เขาไม่ได้เลิกล้มเท่านี้แต่ใช้จิตสัมผัสกวาดไปมาอีกหลายรอบ ทว่าก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติอันใดบริเวณใกล้ๆ
หลังหลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ยกมือข้างหนึ่งตบถุงหนังข้างเอว ปล่อยหัวบินออกมา
ปราณดำสายหนึ่งม้วนออกมากลายเป็นเด็กน้อยชุดเขียวคนหนึ่ง
“นายท่าน ความรู้สึกนั่นเหมือนจะ…เหมือนจะส่งมาจากใต้ดิน คล้ายกับจะเกี่ยวพันบางอย่างกับข้า นอกจากนี้ยังสำคัญยิ่ง” ไม่รอหลิ่วหมิงเอ่ยปาก หลังหัวบินขยับจมูกยุกยิกเหมือนได้กลิ่นอะไรบางอย่าง บนใบหน้าก็เผยสีหน้างงงวยเล็กน้อยออกมาขณะที่เอ่ยบอก
หลิ่วหมิงสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย บนหน้าเผยสีหน้าใคร่ครวญ
แม้เขากำลังรีบเดินทางไปตระกูลโอวหยาง แต่หัวบินก็เป็นอสูรเลี้ยงตัวสำคัญของเขา เขาย่อมไม่อาจเมินเฉยความรู้สึกของมันได้
หลังเขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก็กระตุ้นเคล็ดวิชาบังคับเรือหยกจันทราให้ร่อนลงไป
เบื้องหน้าไม่ไกลคือเมืองเล็กของมนุษย์ธรรมดาแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงไม่อยากดึงดูดสายตาคนจึงจอดเรือบินในป่าต้นเฟิงโหรงแถบหนึ่งเบื้องล่าง
แสงสีแดงฉายวาบ เขาเก็บเรือบินไปจากนั้นเท้าเหยียบเมฆดำก้อนหนึ่ง กะพริบวูบวาบไม่กี่หนก็ออกจากป่า ร่อนลงบนภูเขาเตี้ยๆ ลูกหนึ่งห่างจากเมืองน้อยไม่กี่ร้อยจั้ง
“นี่คือ…”
ก่อนหน้านี้อยู่กลางท้องฟ้ายังสัมผัสอะไรไม่ได้ เวลานี้ลงมาบนพื้น สัมผัสอันเฉียบคมของหลิ่วหมิงก็สัมผัสได้ว่าในชีพจรปฐพีของที่แห่งนี้มีปราณหยินเข้มข้นอยู่จำนวนไม่น้อย
สองขาของหลิ่วหมิงเหยียบบนพื้น ปากท่องมนตร์แผ่วเบาหลายประโยค คลื่นแสงสีดำอ่อนวงหนึ่งแผ่ออกไปจากมือเขาจมลงไปใต้ดินอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันนี้ดวงตาของเขาก็เปล่งแสงสีดำอ่อนวงหนึ่งขึ้นมาเลือนราง
นี่ก็คือวิชาลับใหม่ของวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่เขาเพิ่งบรรลุระหว่างเก็บตัวสิบปีนี้ วิชาอนธการค้นวิญญาณ!
วิชาลับนี้ตัวมันไม่มีพลังโจมตีอันใด แต่มีประสิทธิภาพในการตรวจจับร่องรอยคลื่นพลังเวทโดยรอบ แม้เป็นคลื่นพลังเวทแผ่วจางอย่างที่สุดก็สัมผัสได้
วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเป็นวิชาสายวิญญาณ เมื่อใช้พลังหยินสำรวจซึ่งเป็นธาตุเดียวกันจึงทำให้ลงแรงครึ่งเดียวได้ผลลัพธ์เท่าทวี
จะว่าไปเดิมทีวิชาอนธการค้นวิญญาณนี่ไม่ได้ใช้เช่นนี้ แก่นของวิชานี้คือการตามรอย
จากที่บันทึกไว้ในคัมภีร์วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ วิชานี้เมื่อฝึกฝนถึงระดับสูงสุด ขอเพียงมีพลังเวทเล็กน้อยของอีกฝ่ายหลงเหลืออยู่ ต่อให้อยู่ห่างกันพันลี้ก็ตามรอยไปถึงตำแหน่งคร่าวๆ ที่อีกฝ่ายอยู่ได้
“ตะวันออก…”
เมื่อหลิ่วหมิงสลายแสงสีดำมืดทึมในดวงตาไป สายตาก็ทอดมองไปยังทิศตะวันออก
กลางท้องฟ้าทิศตะวันออกของภูเขาเตี้ย พินิจมองให้ดีจะรู้สึกมืดทึมอยู่บ้าง กลุ่มเมฆกลางท้องฟ้าคล้ายถูกหมึกอึมครึมสายแล้วสายเล่าย้อมดั่งเมฆดำก่อนฝนตก
“เฟยเอ๋อร์ กลิ่นอายประหลาดที่เจ้าสัมผัสได้มาจากทิศตะวันออกใช่หรือไม่?” หลิ่วหมิงมองเด็กน้อยด้านหลังร่างแล้วเอ่ยถาม
เฟยเอ๋อร์ได้ยินก็หลับตาลงทันที ผ่านไปครู่หนึ่งถึงลืมตาสองข้างขึ้นอีกหนแล้วเอ่ยตอบ
“นายท่านปราดเปรื่อง ทิศนี้ไม่ผิดแน่นอน”
หลิ่วหมิงพยักหน้าเงียบๆ หลังขบคิดครู่หนึ่งก็ไม่ได้บินตรงไปยังต้นกำเนิดการรวมตัวของพลังหยินทางทิศตะวันออก แต่เดินไปยังประตูเมืองของเมืองน้อย
เดินไปพลาง มือข้างหนึ่งก็กวักเล็กน้อย เฟยเอ๋อร์พลันกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งบินเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวเขา
ส่วนปราณดำรอบร่างเขาก็พุ่งออกมาไหววนอยู่บนใบหน้าครู่หนึ่งแล้วดับหายไป เผยใบหน้าดำปิดปี๋ดวงหนึ่งออกมา
แม้หลิ่วหมิงเพียงแค่จะสืบหาคร่าวๆ แต่คิดว่าต้นกำเนิดพลังหยินนี้คงไม่ธรรมดา พลังระดับหัวบินยังสัมผัสได้ถึงความหวั่นใจ เขาย่อมไม่มีทางบุ่มบ่ามแหวกหญ้าให้งูตื่นโดยไม่รู้สถานการณ์ได้
เมืองน้อยที่ตีนเขาเล็กมาก กำแพงเมืองก่อขึ้นจากศิลายักษ์หยาบๆ จำนวนหนึ่ง ในเมืองมีประชากรพันกว่าครัวเรือน มีถนนหลักเพียงหนึ่งสายพาดจากตะวันออกไปตะวันตก มองดูแล้วไม่มีชีวิตชีวาเท่าไร แทนที่จะเรียกว่าเมืองขนาดเล็ก เรียกว่าอำเภอขนาดเล็กยังจะเหมาะกว่า
เมื่อครู่ที่เขากวาดจิตสัมผัสจากบนท้องฟ้า เขาพบว่าบริเวณไม่กี่สิบลี้รอบเมืองน้อยแห่งนี้เหมือนจะรกร้างอย่างยิ่ง แม้ผืนดินที่นี่ไม่แห้งแล้ง แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดกลับแทบไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่
หลิ่วหมิงเดินเรื่อยเปื่อยในเมืองรอบหนึ่งแล้วจึงเสกเงินสองสามตำลึงขึ้นมาในแขนเสื้อ จากนั้นหาเหลาสุราแห่งหนึ่งบนถนนหลักแล้วเดินเข้าไป
ยามนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน กิจการของเหลาสุราไม่ดีนัก มีแขกเพียงสองสามโต๊ะ หลิ่วหมิงนั่งลงที่ริมหน้าต่างชั้นสอง
“ลูกค้าท่านนี้ รับประทานอะไรดีขอรับ?” เสี่ยวเอ้อร์ของร้านเข้ามาต้อนรับอย่างรวดเร็ว
ในใจหลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดวูบหนึ่ง เขาไม่ได้ลิ้มรสชีวิตมนุษย์ธรรมดามานานมากแล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใดทันใดนั้นก็เกิดความต้องการอยากลิ้มลองขึ้นมา
เขาก็ไม่ได้หักห้ามความปรารถนานี้ สั่งเนื้อผักและของว่างหลายอย่างมาทันที แล้วยังสั่งสุราชิงจิ่วไหหนึ่งมาด้วย
ลิ้มรสสองสามคำ ของว่างของเหลาสุรารสชาติธรรมดา รสชาติค่อนข้างจะพื้นๆ แต่สุราชิงจิ่วของที่นี่ไหลลงคอเย็นสดชื่นซาบซ่านหัวใจ หวานไม่ธรรมดา แทบจะเทียบได้กับชาจิตวิญญาณกับสุราจิตวิญญาณบางชนิดที่เขาเคยดื่ม
“ดูจากการแต่งกายของท่านลูกค้าคงเป็นคนต่างถิ่น พักนี้คนต่างถิ่นมาเยือนเมืองชิงเชวี่ยแห่งนี้ของพวกเราน้อยลงทุกที แต่ในบริเวณพันลี้นี่ เมื่อเอ่ยถึง ‘เมาร้อยลี้’ นี่ของพวกเราล้วนต้องยกนิ้วโป้งให้ทั้งนั้น! วันนี้บังเอิญเป็นต้นเดือนถึงมีขายให้ ถ้าท่านมาช้าอีกสักสองสามวันก็ไม่ได้ลิ้มรสสุราเลิศรสชนิดนี้แล้ว” เสี่ยวเอ้อร์ด้านข้างเห็นหลิ่วหมิงเผยสีหน้าอิ่มเอมออกมาจึงยิ้มแย้มเอ่ยขึ้นทันที
“อ้อ? นี่เพราะเหตุใดหรือ?” หลิ่วหมิงกลับสนใจขึ้นมาเล็กน้อย
“เมาร้อยลี้สุราชิงจิ่วชนิดนี้บ่มจากผลส้มเขียวบนเขาสันเขียวที่ห่างจากประตูตะวันออกของเมืองเราสองร้อยกว่าลี้ ผลไม้ชนิดนี้ผลผลิตน้อยนัก ดังนั้นสุราชิงจิ่วจึงหาดื่มได้ยากยิ่งเช่นกัน ทั้งเมืองมีแต่ร้านของเราเท่านั้นที่จัดหาสุราเลิศรสชนิดนี้ให้ได้” เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยอย่างค่อนข้างภาคภูมิ
หลิ่วหมิงได้ยินก็คิดบางอย่างขึ้นได้ ต้นกำเนิดของปราณหยินในที่แห่งนี้ก็เหมือนจะอยู่ห่างไปทางตะวันออกสองร้อยกว่าลี้ของเมือง
เขาเอ่ยขึ้นเหมือนไม่ได้ใส่ใจทันที
“ผลส้มเขียว ไม่เคยได้ยินชื่อผลไม้ชนิดนี้มาก่อน แต่สุราชิงจิ่วนี้เลิศรสจริงแท้ ไม่ทราบเขาสันเขียวตั้งอยู่ที่ใด ข้าอยากจะไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย”
เสี่ยวเอ้อร์ของร้านได้ยินคำนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปในพริบตา เขาโบกมือรัวใส่หลิ่วหมิงแล้วเอ่ยว่า
“ท่านลูกค้า เขาสันเขียวนี่ไปไม่ได้เด็ดขาดเชียว!”
“ทำไมเล่า? หรือบนเขานี่มีเสือมีหมาป่าอะไรอยู่?” หลิ่วหมิงเอ่ยเรียบๆ
“เฮ้อ ถ้าเป็นแค่สัตว์ป่าเหล่านี้ก็แล้วไป! คนท้องถิ่นเรียกที่นั่นว่าช่องเขาเขียวสังหาร ตลอดทั้งปีล้วนมีหมอกหนาปกคลุม มีเพียงไม่กี่วันช่วงกลางเดือนจึงลดลงไปบ้าง แม้เป็นเช่นนี้ก็มีเพียงคนของหุบเขาตระกูลเยี่ยเท่านั้นที่เดินไปเก็บผลส้มเขียวตรงขอบได้ คนอื่นใครเข้าไปแล้วล้วนไม่ได้ออกมา” เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยอย่างค่อนข้างหวาดกลัว
“อ้อ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย ข้ากลับรู้สึกสนใจอยากลองฟังสักหน่อย” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วพลางแย้มยิ้ม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น