ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 842-843

 ตอนที่ 842 สู้กับระดับดาราพยากรณ์อีกครั้ง (ปลาย)

แสงสีน้ำเงินลี้ลับปกคลุมหัวไหล่ของหลิ่วหมิง เงาวัวสีน้ำเงินประหนึ่งมีชีวิตแหงนหน้ากู่ร้องแล้วหายวับจมลงไปในร่างของเขา


เขากระตุ้นพลังกลืนฟ้าของภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนทันเส้นยาแดงผ่าแปด กลืนพลังอสนีบาตส่วนใหญ่ที่เดิมตกต้องบนร่างไป


เวลานี้แม้หลิ่วหมิงจะใบหน้าเปื้อนดินมอมแมม แต่อาการบาดเจ็บไม่นับว่าหนักหนา ปราณดำบนร่างพลุ่งพล่านออกมาหนหนึ่งก็พุ่งเร็วจี๋ไปไกลต่อ


“โฮก!”


หลังหลิ่วหมิงลุกขึ้นได้ไม่นาน ปีศาจสายฟ้าก็เหาะไล่ตามมาพร้อมเสียงคำรามโกรธเกรี้ยว


เขามองแผ่นหลังของหลิ่วหมิง ดวงตาฉายประกายดุร้าย มือข้างหนึ่งยกขึ้นฟันอากาศ


เสียง “เปรี๊ยะๆ” ดังลอยออกมา!


ชั่วขณะที่แสงสีม่วงส่องสว่าง ฝ่ามือยักษ์เต็มฟ้าขนาดถึงเจ็ดแปดสิบจั้งข้างหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นเหนือศีรษะของหลิ่วหมิง บนผิวคืออสรพิษสายฟ้ายุ่บยั่บ กดทับลงมาประหนึ่งเขาไท่ซานทับศีรษะ พลังน่าตะลึงอย่างที่สุด


สายตาหลิ่วหมิงเปล่งประกาย ปราณดำรอบร่างพลุ่งพล่านครั้งหนึ่งแล้วจมลงไปในร่าง จากนั้นเสียงป้าบแผ่วเบาก็ดังขึ้น ปราณสีดำแผ่ออกมา


“แยก!”


เขาเอ่ยเบาๆ คำหนึ่ง เงาคนสีดำสนิทเหมือนกันทุกประการสี่ร่างก็พุ่งเร็วรี่ออกมาจากที่เดิมบินหลบหนีไปสี่ด้านแปดทิศ


แม้เงาคนมีเพียงสี่ร่าง แต่ไม่ว่าคลื่นพลังจิตวิญญาณที่แผ่ออกมาหรือการเคลื่อนไหวล้วนเหมือนกันทุกประการ นอกจากนี้ความเร็วยังเร็วอย่างที่สุด จุดที่พุ่งผ่านทิ้งเงาติดตายาวเป็นสายไว้ ทำให้คนตาลายสับสน ไม่อาจแยกแยะจริงปลอมได้


ฝ่ามือยักษ์ระดับดาราพยากรณ์นี้แม้ขอบเขตที่คว้าลงมากว้างใหญ่ แต่ไม่อาจครอบคลุมเงาทั้งสี่ร่างไว้ในฝ่ามือเดียวได้


ลูกตาทั้งคู่ของปีศาจสายฟ้าฉับพลันเผยแววตาร้อนรนเล็กน้อย พลังแยกร่างที่เผ่ามนุษย์น่าตายคนนี้ตรงหน้าใช้ช่างว่องไวสมจริง กระทั่งเขายังไม่อาจมองออกว่าคนไหนคือร่างต้นในเวลาอันรวดเร็ว


ฝ่ามือสายฟ้าสีม่วงยักษ์เอนมาทางตะวันออกเฉียงใต้เล็กน้อยจากนั้นคว้าลงมาประหนึ่งสายฟ้าแลบ จับเงาสีดำสองร่างไว้กลางฝ่ามือในทันใด แสงสีม่วงฉายวูบหนึ่ง เงาดำสองร่างพลันกลายเป็นปราณดำก้อนหนึ่งแล้วสลายไป


“โชคดี!”


เงาสีดำอีกสองร่างผสานกลายเป็นร่างเดียวกลางอากาศอีกครั้ง แสงสีดำรอบนอกดับลงเผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิงที่ลอบพรูลมหายใจ


หลังจากนั้นเขาก็ตั้งท่าเคล็ดวิชาด้วยมือข้างหนึ่งอย่างไม่รีรอแม้แต่น้อย แสงสีทองสายหนึ่งยกร่างกายเขาลอยขึ้นอีกครั้ง กำลังจะใช้วิชาขี่กระบี่เหาะเหิน


“บึ๊ม!”


หลิ่วหมิงยังไม่ทันหนีไปไกล ฝ่ามือยักษ์ค้ำฟ้าขนาดหนึ่งหมู่กว่าก็ไล่ตามโจมตีลงมาอีกครั้ง เสียงชี่ๆ ดังขึ้นแล้วตบลงมาอย่างแรง


กระแสลมที่พัดโถมออกไปรอบด้านฝ่ามือยักษ์ทำให้ป่าศิลาเบื้องล่างทยอยพังทลาย ฝุ่นทรายเศษหินปลิวฟุ้งพักหนึ่ง กระทั่งยอดเขาที่ตั้งตระหง่านบนพื้นก็สั่นไหวส่งเสียงคล้ายจะถล่ม


หลิ่วหมิงไม่เหลียวหลัง เคล็ดวิชาในมือสั่นวูบหนึ่ง รอบเงากระบี่ใต้เท้าก็ปรากฏแสงดาราสีขาวแถบหนึ่งออกมา มันก่อตัวขึ้นเป็นสายแวววาวเส้นแล้วเส้นเล่าแล้วสะบัดอย่างบ้าคลั่ง


“ฟึบ”


หลิ่วหมิงกลายเป็นแสงกระบี่สีทองสายหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกไป หนีพ้นมือยักษ์ที่ตบลงมาอย่างหวุดหวิดเพียงเสี้ยววินาที


เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเสียงหนึ่งดังลอยมา!


พื้นของป่าศิลาปรากฏรอยฝ่ามือใหญ่หนึ่งหมู่กว่าข้างหนึ่งเพิ่มขึ้น


กระแสลมโถมมาจากเบื้องหลัง ลำแสงของหลิ่วหมิงเร็วขึ้นอีกเล็กน้อย พริบตาก็บินออกไปได้มากกว่าหลายสิบจั้ง


ปีศาจสายฟ้าคำรามเกรี้ยวกราดไม่หยุดแล้วรีบร้อนไล่ตามไป


ทั้งสองคนหนึ่งคนไล่ตามหนึ่งคนหนีได้ไม่นาน หลิ่วหมิงก็ถูกปีศาจสายฟ้าไล่ต้อนเข้ามายังเขตลึกของเทือกเขามโหฬารแห่งหนึ่งอีกครั้ง


หมู่เทือกเขาแห่งนี้สูงตระหง่านเทียมเมฆแทบจะบดบังท้องนภาไปครึ่งหนึ่ง เมื่อลำแสงดับลง หลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวออกมาชะเง้อมองรอบด้าน ไม่มีหนทางให้หนีได้แล้ว นอกจากใช้ยันต์ดำดินหนีลงไปใต้ดิน


แต่พลังเวทแห่งฟ้าดินของระดับดาราพยากรณ์เป็นสิ่งที่ไร้รูปลักษณ์ ลงใต้ดินมีแต่รนหาที่ตายเท่านั้น


ชั่วขณะที่ครุ่นคิดเสียงแหวกอากาศดังครืนเบื้องหลังก็ใกล้เข้ามา เงาร่างของปีศาจสายฟ้าบีบเข้ามาแล้ว ทั้งยังตวาดเสียงเย็นเยียบแต่ไกล บนร่างเขาแสงอสนีบาตสีม่วงดวงหนึ่งผุดออกมา พร้อมกันนั้นเสียงอสนีบาตคำรนดังเปรี้ยงปร้างก็ดังลั่น!


แสงอสนีบาตสีม่วงผนึกรวมกันกลายเป็นฝ่ามือยักษ์สีม่วงขนาดร้อยจั้งข้างหนึ่งในพริบตา จากนั้นโจมตีเสียงดังเปรี้ยงเข้าใส่หลิ่วหมิงแต่ไกล


หลิ่วหมิงเห็นว่าหลบก็หลบไม่พ้น จึงทำหน้าเคร่งขรึม ร่างกายหมุนกลางอากาศรอบหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็โคจรวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬถึงที่สุด ปราณดำรอบร่างรวมตัวกันกลายเป็นวังน้ำวนสีดำประหนึ่งของจริงอันหนึ่ง ดึงร่างกายจมลงไปด้านในจนหมด


วังน้ำวนสีดำหมุนเร็วจี๋ขยายใหญ่ขึ้นไม่หยุด ตรงใจกลางมีเสียงมังกรกู่ร้องพยัคฆ์คำรามดังออกมาเป็นพักๆ เพียงครู่เดียวก็ใหญ่จนมีขนาดร้อยจั้งประหนึ่งเป็นพายุหมุนมหึมาลูกหนึ่ง กระแสลมแรงซัดรอบด้านพัดหน้าผาใกล้ๆ จนส่งเสียงดังฮู่ๆ


“ไป!”


เสียงตวาดลั่นดังออกมาจากในวังน้ำวน กำปั้นมหึมาที่มีปราณดำวนล้อมหมัดหนึ่งแหวกอากาศออกมา ประจันเข้าใส่หมัดยักษ์สีม่วง


ทว่าแม้หลิ่วหมิงผนึกพลังเวททั่วร่าง ขนาดของเงาหมัดสีดำที่ก่อตัวขึ้นเทียบกับหมัดยักษ์สีม่วงที่ปีศาจสายฟ้าสร้างขึ้นก็ยังเหมือนรุ่นเล็กเจอรุ่นใหญ่


หลังเสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้นทีหนึ่ง เงาหมัดทั้งสองก็ปะทะเข้าหากัน!


เงาหมัดสีดำฉับพลันส่งเสียงระเบิดกระจายออกไปสี่ด้าน วังน้ำวนสีดำส่องแสงวูบหนึ่งก็ดับลง เงาร่างของหลิ่วหมิงโซซัดโซเซถูกกระแทกปลิวออกมา ปากพ่นเลือดออกมาติดกันหลายคำ


ในดวงตาปีศาจสายฟ้าฉายแววตาเย้ยหยันจางๆ มือข้างหนึ่งยกขึ้น ฝ่ามือยักษ์สีม่วงเหนือศีรษะหลิ่วหมิงกางห้านิ้วออกกลายเป็นมือใหญ่ที่ส่องแสงสีม่วงข้างหนึ่งล้วงลงไป


หลิ่วหมิงโซเซกลิ้งอยู่กลางอากาศ ตอนที่ฝ่ามือมหึมากำลังจะจับเขาได้อยู่แล้วนั้น ในดวงตาเขาฉับพลันมีแววตาประหลาดแล่นผ่าน ร่างกายม้วนกลิ้งทีหนึ่ง แสงกระบี่สีทองสายแล้วสายเล่าก็ปรากฏขึ้น ล้อมร่างเขาไว้ในชั่วพริบตา


เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง!


ทั้งร่างกลายเป็นแถบแสงสีทองสายหนึ่ง ส่องสว่างวูบกลางอากาศบินออกมาจากร่องนิ้วของมือยักษ์ที่ส่องแสงสีม่วง


แถบแสงสีทองส่องสว่างอีกหนแล้วหายวับไป จากนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้งเบื้องหน้าปีศาจสายฟ้า วนล้อมรอบร่างเขารอบหนึ่ง


ปีศาจสายฟ้าตะลึงแต่ปฏิกิริยาก็ไวอย่างที่สุด หลังสองแขนสั่นวูบหนึ่ง ม่านแสงสีม่วงชั้นหนึ่งก็ลอยออกมาจากร่าง ปกป้องร่างกายตนไว้ด้านในทันที


เสียงติงๆ ดังขึ้นต่อเนื่อง แถบแสงสีทองโจมตีลงบนม่านแสงสีม่วงจนเกิดแรงกระเพื่อมแผ่วเบา


ในดวงตาปีศาจสายฟ้าฉายแววโกรธเกรี้ยวจางๆ บนร่างแสงอสนีบาตสีม่วงสว่างวูบ เงาสีม่วงมหึมาร่างหนึ่งลอยขึ้นมาจากบนแผ่นหลังมัน ใบหน้าเป็นวานร ตัวเป็นมนุษย์ บนร่างมีแขนมหึมาสี่ข้าง


ปีศาจสายฟ้าปล่อยเงาร่างพลังเวทออกมาแล้ว ไม่เสียเวลาพูดพร่ำแขนมหึมาสี่ข้างคว้ามาหาหลิ่วหมิงแล้วจับขึ้นไป


หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แถบแสงสีทองม้วนกลับมาในพริบตา จากนั้นพุ่งจากไปไกลเร็วจี๋อย่างไม่ลังเลสักนิด


ปีศาจสายฟ้าคำรามเกรี้ยวกราด เงาร่างพลังเวทหายวับไป จากนั้นโผล่ขึ้นมาขวางเบื้องหน้าแถบแสงสีทอง แขนสี่ข้างเคลื่อนมืดฟ้ามัวดินลงมา


หลิ่วหมิงพยามสุดความสามารถจึงหลบการคว้าจับของฝ่ามือยักษ์สองข้างได้หวุดหวิด แต่ที่สุดแล้วก็ยังคงถูกฝ่ามือข้างที่สามจับไว้ในมือ


แสงกระบี่สีทองฉีกขาดดังแครกๆ จากนั้นเสียงปึงก็ดังขึ้นแผ่วเบาหนึ่งหน ทั้งร่างเขาถูกบีบระเบิดเป็นฝนโลหิต


……


แสงสว่างฉายวูบ เงาร่างของหลิ่วหมิงปรากฏขึ้นในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง แม้ปราณไม่ลดลงสักนิด แต่สีหน้าหดหู่เล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด


นี่เป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้แล้วที่เขาถูกปีศาจสายฟ้าสังหาร ทว่าครั้งนี้ก้าวหน้าไม่น้อย


เขาในวันนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันของปราณระดับดาราพยากรณ์แม้แต่น้อยแล้ว เวลาที่ต้านทานได้ก็ยิ่งนานขึ้นทุกที


ในเวลาเดียวกันวิชาเงาสามส่วนของเขาที่ฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบก็บรรลุถึงขั้นใช้เท็จลวงจริงได้แล้ว แม้เป็นปีศาจสายฟ้าผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์เช่นนี้ ระหว่างรีบร้อนก็ยังมองการสับเปลี่ยนระหว่างตัวจริงตัวปลอมไม่ออกในคราวเดียว…


แน่นอนตัวปลอมอย่างไรก็เป็นตัวปลอม ขอเพียงระดับดาราพยากรณ์ตั้งใจสักหน่อยก็ยังมองออกได้ แต่ในการต่อสู้จริงความลังเลพริบตานี้ก็เพียงพอแล้ว


หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็พลิกมือล้วงโอสถจินหยวนเม็ดหนึ่งออกมา นั่งขัดสมาธิเริ่มทำสมาธิ เตรียมฟื้นฟูพลังจิตสักเล็กน้อยแล้วจะเข้าไปฝึกซ้อมในแดนมายาอีกครั้ง


………


เวลาปีแล้วปีเล่าผ่านไป


วันนี้หลิ่วหมิงกำลังทำสมาธิฟื้นพลังเวทอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับ


ทันใดนั้นมิติรอบด้านก็สั่นสะเทือน สรรพสิ่งเบื้องหน้าค่อยๆ พร่ามัว


ในหูเขาได้ยินเสียงดังวิ้ง หลังเบื้องหน้ามืดดับไปวูบหนึ่ง เขาก็นั่งอยู่ที่ห้องลับในถ้ำที่พักแล้ว


เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ปรากฏตัวขึ้นข้างกายเขาเช่นเดียวกัน แต่ละตัวใช้มือจับแขนเสื้อของเขาอยู่


“สามสิบสองปีแล้ว…”


หลังหลิ่วหมิงมองสำรวจรอบด้านครู่หนึ่งก็ถอนหายใจออกมาประโยคหนึ่งอย่างไร้สาเหตุ


เพิ่งเอ่ยจบ ทันใดนั้นทะเลจิตวิญญาณของเขาก็สั่นสะท้าน ฟองอากาศใสใบน้อยก็ปรากฏขึ้น พลังเวทบริสุทธิ์อย่างที่สุดสายหนึ่งทะลักออกมาจากด้านใน ทยอยโถมเข้าไปในผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดนั้นที่ลอยอยู่ในทะเลจิตวิญญาณทันที


หลิ่วหมิงใจสะท้าน หลับตาลงสงบใจทันที ยอมรับพลังเวทบริสุทธิ์สายนี้ที่ส่งกลับมาจากฟองอากาศลึกลับอย่างเงียบๆ


เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ย่อมคุ้นเคยกับภาพนี้ พวกมันจึงแยกไปยืนสองฝั่งรอคอยอยู่เงียบๆ


หลังผ่านไปครึ่งค่อนชั่วยามเต็มๆ หลิ่วหมิงถึงพรูลมหายใจแผ่วเบา ค่อยๆ ลืมตาขึ้น


ในทะเลจิตวิญญาณฟองอากาศลึกลับส่องแสงวูบหนึ่งแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง


หลิ่วหมิงสัมผัสพลังเวทในร่างเล็กน้อย มันบริสุทธิ์กว่าเดิมมากจริงๆ แต่พลังก็เหมือนลดจากระดับผลึกขั้นปลายมาถึงระดับผลึกขั้นกลางด้วย


ทว่านี่ก็ไม่มีอะไร ระดับเดิมของเขายังคงอยู่ที่นั่น เก็บตัวกินโอสถตรากตรำฝึกฝนช่วงเวลาหนึ่งย่อมเติมพลังเวทกลับไปได้อย่างรวดเร็วยิ่ง ไม่ส่งผลกับการเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนสักเท่าไร


แต่ร่างกายของเขายังคงอ่อนแรงอย่างที่สุด เลือดและปราณค่อนครึ่งที่ถูกฟองอากาศลึกลับดูดเอาไปฟื้นฟูจากโอสถและการโคจรปราณได้ แต่อายุขัยไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้แล้ว นอกจากเขาจะหาโอสถยืดอายุขัยอันล้ำค่าอย่างที่สุดบางชนิดมาได้


คิดถึงตรงนี้คำพูดของหลัวโหวก็ผุดขึ้นในสมองของเขาอีกหน ทำให้ปากของเขาอดไม่ได้รู้สึกขมขึ้นมาอีกครั้ง


หกสิบปีเข้าสู่ระดับแก่นแท้! ตอนนี้ดูแล้วเขาคงได้แต่ตรากตรำฝึกฝนสุดชีวิตไปตลอดทางเท่านั้น


แต่ก่อนหน้านั้นเขาคิดจะไปหอเก็บคัมภีร์ของนิกายสักเที่ยว สำรวจดูว่ายังมีวิชาอื่นสำหรับรับมือการเสียเลือดปราณและอายุขัยหรือไม่


หลิ่วหมิงวางแผนในใจเสร็จเรียบร้อยก็ไม่ได้ขยับตัวทันที แต่สั่งอสูรเลี้ยงสองตัวให้ไปฝึกฝนที่ห้องศิลาด้านข้างก่อน ส่วนตนเองเก็บตัวกินอาหารและโอสถแฝงจิตวิญญาณฟื้นสภาพต่อ


เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าเช่นนี้ ครึ่งปีให้หลังในที่สุดพลังของหลิ่วหมิงก็ฟื้นกลับมาถึงระดับผลึกขั้นปลายอีกครั้ง เลือดและปราณถูกเติมจนเต็มกลับมา


วันนี้หลังเขารู้สึกว่าร่างกายของตนไม่มีปัญหาอีกต่อไปก็ลุกขึ้นออกจากห้องลับไปยังห้องศิลาด้านข้างเพื่อสำรวจสภาพการฝึกฝนของเซียเอ๋อร์และเฟยเอ๋อร์สักหน่อย


อสูรเลี้ยงทั้งสองกำลังถูกปราณหยินจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ตรงกลางประหนึ่งวังน้ำวน ปราณหยินดำสนิทประหนึ่งหมึก เข้มข้นดั่งปรอท ปราณเย็นเยียบรุนแรงสายหนึ่งแผ่ออกมา บนพื้นดินปกคลุมไปด้วยหิมะขาวหนา


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้พลันยินดี เขาไม่ได้รบกวนพวกมัน แต่หันกายออกจากถ้ำที่พัก แปลงเป็นแสงสีทองสายหนึ่งแหวกอากาศจากไป


ตอนที่ 843 ด่านเคราะห์จิตมาร

หลังเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย หลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวในห้องโถงชั้นที่หนึ่งของหอเก็บคัมภีร์


“ศิษย์พี่หลิ่วนี่เอง! ไม่พบกันนานเลย ศิษย์พี่มาหอเก็บคัมภีร์หาคัมภีร์อีกแล้ว” ผู้ดูแลอ้วนแซ่หลี่ว์เห็นหลิ่วหมิงเข้าประตูมาก็มาต้อนรับอย่างกระตือรือร้นทันที


หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย นับตั้งแต่เขากลับมาจากงานประตูสวรรค์ ทุกครั้งที่มาถึงหอเก็บคัมภีร์ รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้ดูแลหลี่ว์คนนี้ยิ่งกว้างขึ้นกว่าครั้งก่อน กระตือรือร้นกับเขายิ่งกว่าครั้งก่อนหน้า


หลังหลิ่วหมิงตอบรับง่ายๆ สองประโยคก็ก้าวเท้าเดินไปชั้นสอง


หลิ่วหมิงตรงไปยังชั้นที่สี่ของหอเก็บคัมภีร์ ภายในห้องมหึมาว่างเปล่าไม่มีใครสักคน ชั้นหนังสือไม้ไม่น้อยวางกระจัดกระจาย เทียบกับชั้นอื่นด้านล่างแลดูรกกว่าอยู่บ้าง บนชั้นฝุ่นจับตัวหนา


ก่อนหน้านี้เขาเคยมาที่นี่หลายครั้ง สิ่งที่เก็บอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่คือวิชาที่มีเงื่อนไขเข้มงวดจนไม่ได้รับความนิยมจำนวนหนึ่งและคัมภีร์ซึ่งมีอุปสรรคในการฝึกฝนที่ผู้อาวุโสนิกายยอดบริสุทธิ์จำนวนหนึ่งเหลือทิ้งไว้ แต่สิ่งที่ถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่ ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นสิ่งที่น้อยคนจะถามถึง


สภาพของเขาค่อนข้างพิเศษ คิดว่าคงได้แต่ค้นหาวิธีจัดการปัญหาจากในหมู่คัมภีร์ที่ไม่เป็นที่นิยมเหล่านี้


หลิ่วหมิงอยู่ที่นี่สามวัน


สามวันนี้เขาอ่านคัมภีร์หยกมาไม่น้อยกว่าห้าหกร้อยเล่ม หาวิธีชั่วคราวสำหรับจัดการพลังเวทที่ถูกกรงขังดูดไปพบอยู่บ้าง


แรกสุดเขาพบวิชาประหลาดวิชาหนึ่งที่กล่าวว่าตกทอดมาจากผู้ฝึกฝนยุคโบราณอยู่ในหลืบมุมที่ไม่มีใครสนใจมุมหนึ่ง มันชื่อว่าวิชาวิญญาณโลหิต


วิชานี้คล้ายคลึงกับวิชาประเภทฝึกร่าง ทว่าค่อนข้างแตกต่างจากวิชาฝึกร่างในปัจจุบัน หลังฝึกฝนวิชานี้จะเพิ่มเลือดและปราณจำนวนมากให้กับตัวผู้ฝึกฝนได้


สำหรับผู้ฝึกฝนจำนวนมากเพียงเลือดและปราณเพิ่มขึ้นอย่างเดียวย่อมมีประโยชน์สู้วิชาฝึกร่างทั่วไปวิชาอื่นที่ยกระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อไม่ได้ มันมีประโยชน์อย่างมากกับคนจำนวนหนึ่งที่ฝึกฝนวิชาลับสายโลหิตเท่านั้น


ทว่ายามที่หลิ่วหมิงพลังเวทไม่พอให้ฟองอากาศลึกลับดูดซับ บางทีมันอาจเพิ่มโอกาสรักษาชีวิตได้บ้าง


แต่การฝึกฝนวิชาวิญญาณโลหิตนี้ต้องใช้เวลาไม่น้อย นอกจากนี้ต้องฝึกฝนจนถึงขั้นปลายถึงจะช่วยเขาได้


หลิ่วหมิงคำนวณครู่หนึ่ง จะฝึกฝนวิชานี้ไปถึงขั้นปลายอย่างน้อยก็ต้องการเวลายี่สิบสามสิบปี ตอนนี้เขาถูกเวลาบีบคั้น วิชานี้ย่อมได้แต่ตัดทิ้ง


นอกเหนือจากนี้เขายังพบบันทึกฉบับหนึ่งในคัมภีร์เล่มหนึ่ง เล่าว่าในนิกายยันต์ลี้ลับซึ่งเป็นนิกายใหญ่อายุหมื่นปีที่โด่งดังด้านการสร้างยันต์นิกายหนึ่งบนแผ่นดินจงเทียนมียันต์ชนิดหนึ่งที่สืบทอดมาจากสมัยโบราณชื่อว่ายันต์ผสานวิญญาณ


ยันต์นี้ต้องใช้วิญญาณทั้งดวงของปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ผนึกไว้ด้านใน ผู้ฝึกฝนต่ำกว่าระดับแก่นแท้เมื่อใช้ยันต์นี้จะดึงวิญญาณของปีศาจอสูรมาผสานเป็นหนึ่งกับตนเองได้ ว่ากันว่าทำให้พลังของตนแข็งแกร่งขึ้นจนไปถึงระดับเดียวกับปีศาจอสูรได้เจ็ดวัน แม้ผู้ฝึกฝนระดับสูงกว่าระดับแก่นแท้ใช้ก็เพิ่มพลังเวทได้เท่าหนึ่ง พลังเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน


แน่นอนทำเช่นนี้ย่อมมีผลเสียตามหลังหนักหนายิ่ง สร้างความเสียหายให้ร่างกายและเส้นลมปราณมากอย่างที่สุด


หลังการผสานวิญญาณจบลง พลังของผู้ฝึกฝนจะลดฮวบลงมาอย่างน้อยหนึ่งขั้น และหลังจากนั้นหากคิดจะก้าวหน้าอีกครั้งก็จะยากกว่าเดิม


วิธีฆ่าไก่เอาไข่เช่นนี้ย่อมไม่อยู่ในการพิจารณาของหลิ่วหมิง อีกอย่างยันต์ผสานวิญญาณนี้ก็เป็นยันต์ที่สืบทอดกันอย่างลับๆ ของนิกายยันต์ลี้ลับ ไม่ใช่สิ่งที่อยากได้ก็จะเอามาได้


วิธีอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งโดยทั่วไปก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่เป็นน้ำที่อยู่ไกลจนมิอาจแก้กระหายก็เป็นการรักษายอดไม่รักษาราก ล้วนไม่ใช่วิธีที่จัดการปัญหาได้อย่างสิ้นเชิง


“ช่างเถิด ดูท่าอาศัยกลโกงคงไม่ได้ ได้แต่ทำตามที่หลัวโหวว่าฝึกฝนอย่างซื่อตรง” หลิ่วหมิงวางคัมภีร์หยกที่ส่องแสงสีฟ้าอ่อนเล่มหนึ่งในมือลง ความหวังที่จะเจอโชคสายสุดท้ายดับลงไปด้วย


เขาเริ่มตั้งใจอ่านคัมภีร์เกี่ยวกับแก่นเสมือนต่อทันที จากนั้นก็คิ้วขมวดออกจากหอเก็บคัมภีร์ไป


แต่ระหว่างทางกลับถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงไม่รู้คิดสิ่งใดได้ หลังกลับมาถึงยอดเขาลั่วโยวจึงไม่ได้ตรงกลับถ้ำที่พักทันที แต่เหาะตรงไปที่ยอดเขา


ครู่หนึ่งให้หลังหน้าประตูวิหารหลักของยอดเขาลั่วโยว แสงสีทองก็ดับลงเผยร่างของหลิ่วหมิงออกมา


“ศิษย์พี่หลิ่วมา!” ศิษย์ที่เฝ้าประตูเห็นร่างของหลิ่วหมิงปุบก็รีบร้อนเข้ามาต้อนรับ คำนับอย่างนอบน้อมหนึ่งครั้ง


ศิษย์ทั้งหมดบนยอดเขาลั่วโยวต่างรู้ว่าหลิ่วหมิงเป็นศิษย์ที่โด่งดังที่สุดบนยอดเขาลั่วโยวตอนนี้ เขาคว้าอันดับหนึ่งในงานประตูสวรรค์มาได้ ไม่เพียงได้รับความสำคัญจากอินจิ่วหลิงผู้ควบคุมยอดเขาอย่างมาก กระทั่งเทียนเกอเจินเหรินก็ชื่นชมเขายิ่งนัก


ไม่ว่าเหตุผลไหน เขาล้วนเป็นเป้าหมายที่ศิษย์ทั่วไปแหงนหน้ามอง


“ไม่ทราบอาจารย์อยู่ในวิหารหรือไม่?” หลิ่วหมิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ


“ศิษย์พี่มาได้เวลาจริงๆ ผู้ควบคุมยอดเขาอินตอนนี้อยู่ในวิหาร ศิษย์พี่หลิ่วรอสักครู่ ข้าจะไปแจ้งให้ท่านเดี๋ยวนี้” ศิษย์ที่เฝ้าประตูรีบร้อนเอ่ยตอบแล้วหมุนตัวจะเดินเข้าไปในวิหาร


“ไม่ต้องแจ้ง เข้ามาเลย” ทันใดนั้นเสียงของอินจิ่วหลิงก็ดังออกมาจากในวิหาร


หลิ่วหมิงได้ยินก็จัดเสื้อผ้าเล็กน้อยจากนั้นเดินเข้าไปด้วยสีหน้านิ่งสงบ


ศิษย์ที่เฝ้าประตูชะงักเท้า เขามองแผ่นหลังของหลิ่วหมิงอย่างอิจฉาหนหนึ่งแล้วเดินมายืนนิ่งด้านข้าง เฝ้าประตูต่อไป


ในห้องโถงอันกว้างขวางโอ่อ่า อินจิ่วหลิงนั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง บนใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ มองมาคล้ายอารมณ์ดียิ่ง


“ศิษย์หลิ่วหมิง คารวะอาจารย์” หลิ่วหมิงเดินเข้ามาใกล้จากนั้นก็ก้มต่ำคำนับทักทาย


“ไม่ต้องมากพิธี” อินจิ่วหลิงลูบเคราพลางแย้มยิ้ม พูดจบก็มองสำรวจหลิ่วหมิงรอบหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้างกว่าเดิม


“หลังงานประตูสวรรค์ ข้าได้ยินว่าเจ้าเก็บตัวตรากตรำฝึกฝนมาตลอด ตอนนี้ดูแล้วพลังเวท ลึกล้ำบริสุทธิ์ขึ้นอีกขั้นแล้วจริงๆ อาจารย์รู้สึกพอใจนัก ดูท่าใช้เวลาอีกไม่นานเจ้าคงจะลองเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนได้แล้ว”


หลิ่วหมิงได้ยินในใจพลางยิ้มขมขื่น ตนไม่ตรากตรำฝึกฝนได้หรือ? ฟองอากาศลึกลับไล่ตามอยู่เบื้องหลังเขาประหนึ่งวิญญาณอาฆาต นับแต่เหยียบเข้าสู่โลกแห่งการฝึกฝน พูดได้ว่าเขาไม่เคยผ่อนคลายสักเพลา


ใจเขาคิดเช่นนี้แต่ปากเอ่ยอย่างถ่อมตัว


“อาจารย์ชมเกินไปแล้ว แต่ศิษย์มาครั้งนี้ก็เพราะเรื่องแก่นเสมือน ตั้งใจมาขอคำชี้แนะจากอาจารย์สักหน่อย”


หลิ่วหมิงไม่อ้อมค้อม ชี้แจงจุดประสงค์ที่เขามาทันที


“ทะลวงระดับแก่นเสมือน? พลังของเจ้าไปถึงระดับนี้แล้วหรือ?” ใบหน้าก้ำกึ่งระหว่างเยาว์วัยกับเฒ่าชราของอินจิ่วหลิงแรกสุดตกตะลึงจากนั้นเอ่ยถามอย่างยินดียิ่ง


แม้เขารู้สึกว่าปราณของศิษย์ผู้นี้ลึกล้ำกว่าก่อนหน้านี้มาก แต่อย่างไรหลิ่วหมิงก็เพิ่งเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลายไม่นาน หากตอนนี้จะทะลวงเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนจริง นั่นก็เป็นผู้ที่ร้ายกาจผิดธรรมดาจริงๆ แล้ว


“ตอบอาจารย์ พลังของศิษย์ยังขาดอีกเล็กน้อย แต่ก็ไม่ไกลแล้ว ครั้งนี้ได้สมบัติล้ำค่ามาจากในงานประตูสวรรค์ไม่น้อย ด้านหินจิตวิญญาณก็ยังนับว่าเหลือเฟือ ดังนั้นจึงคิดจะทำความเข้าใจเรื่องการทะลวงระดับแก่นเสมือนล่วงหน้าสักเล็กน้อย เพื่อเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ล่วงหน้า” หลิ่วหมิงเอ่ยถามอย่างนอบน้อม


“อืม ซ่อมเรือนก่อนฝน เจ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดี! แต่ระดับแก่นเสมือนไม่อาจเทียบกับการเลื่อนระดับก่อนหน้านี้ได้ อาจารย์ก็ได้แต่ชี้แนะเจ้าบางอย่างเท่านั้น” อินจิ่วหลิงตอนนี้ถึงเข้าใจอยู่บ้าง พยักหน้าเอ่ยขึ้น


“ขอบคุณท่านอาจารย์” หลิ่วหมิงยินดียิ่งรีบค้อมกายเอ่ยขอบคุณ


“เมื่อเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน เรียกได้ว่าก้าวเข้าสู่ระดับแก่นแท้ครึ่งก้าว พลังเวทพลังจิตวิญญาณทั้งร่างจะเริ่มผนึกรวมเป็นก้อน จะบรรลุก้าวนี้ ไม่เพียงต้องสั่งสมพลังเวทให้ลึกล้ำอย่างยิ่ง สิ่งที่ยากที่สุดยังต้องผ่านด่านเคราะห์จิตมารด้วย” อินจิ่วหลิงสีหน้าเหม่อลอยนิดๆ คล้ายนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตก่อนหน้านี้


“ด่านเคราะห์จิตมาร?”


หลิ่วหมิงตั้งใจฟังถ้อยคำของอินจิ่วหลิงอย่างละเอียด เมื่อได้ยินคำว่า ‘ด่านเคราะห์จิตมาร’ ก็เอ่ยพึมพำกับตนเอง


ก็เพราะเขาอ่านพบข้อมูลเกี่ยวกับด่านเคราะห์จิตมารในคัมภีร์ที่หอเก็บคัมภีร์นี่แหละ ถึงรู้สึกว่าเป็นปัญหาจนตั้งใจมาหาอาจารย์ของตนเองผู้นี้


“ไม่ผิด มารกำเนิดจากจิตใจ ไม่ว่าคนผู้หนึ่งพลังสูงเท่าใด ในใจย่อมมีจิตมารอยู่ หากไม่ผ่านด่านเคราะห์จิตมารนี้ย่อมไม่อาจสลายผลึกก่อเกิดแก่นได้อย่างสมบูรณ์ ไม่เพียงไม่อาจเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน อาจถึงขั้นพลังร่วงหล่นลงมาหนึ่งขั้น ทว่าด่านเคราะห์นี้แตกต่างไปตามแต่ละคน มีน้อยคนที่จะผ่านไปได้อย่างสบายๆ สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วเป็นดั่งอุปสรรคที่ชั่วชีวิตไม่อาจก้าวผ่าน!”


หลิ่วหมิงได้ฟังก็นิ่งไป


เห็นชัดมากว่าเขาไม่มีทางเป็นคนส่วนน้อยนั่น เกรงว่าบนโลกใบนี้คงมีแต่พระชั้นสูงที่บรรลุธรรมสายพุทธเหล่านั้นจึงจะมองโลกถ่องแท้ จิตใจไร้กิเลสจนอาจไม่มีจิตมาร


อินจิ่วหลิงกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าก็เคร่งขรึมอย่างยิ่ง หลังชะงักไปหนหนึ่งก็อ้าปากเอ่ยต่อ


“หลิ่วหมิง เสี่ยวอู่ศิษย์พี่ของเจ้าเข้าไปในทางปีศาจร้ายจนวันนี้ยังไม่กลับมา แต่ก่อนหน้านี้นางส่งข่าวกลับมาว่านางเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนแล้ว จะรั้งอยู่ในทางปีศาจร้ายฝึกฝนต่อ พยายามตามหาโอกาสที่จะทะลวงสู่ระดับแก่นแท้ ตอนนี้ข้างนอกนี่เจ้าเป็นศิษย์คนสำคัญที่สุดของยอดเขาลั่วโยวของเรา วันหน้ายามเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน อาจารย์ย่อมช่วยเจ้าร้องขอสมบัติลับรวมถึงโอสถหลายๆ ชิ้นจากนิกายมาให้เจ้า แต่พวกมันมีผลกับด่านเคราะห์จิตมารไม่มากนัก”


“ขอบคุณท่านอาจารย์ แม้ด่านเคราะห์จิตมารจะยากอีกเท่าใด ศิษย์ก็จะทะลวงสู่ระดับแก่นเสมือนให้จงได้” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูท่าการเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนจะยากเย็นกว่าที่คาดไว้ไม่น้อย แต่เขายังคงยืนตัวตรง ในดวงตาฉายแววแน่วแน่เอ่ยขึ้น


อินจิ่วหลิงเห็นความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของหลิ่วหมิงอยู่ในสายตา ดวงตาเผยความรู้สึกชื่นชมจางๆ หลังครุ่นคิดในใจซ้ำไปมาก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง


“เจ้ามีความเชื่อมั่นเช่นนี้ย่อมดีที่สุด แต่อาจารย์ยังมีอีกวิธีหนึ่งบางทีอาจช่วยเจ้าได้อีกแรง”


“ขออาจารย์โปรดชี้แนะ” หลิ่วหมิงได้ยินสองตาพลันเป็นประกายประสานมือเอ่ยขึ้นทันที


“ตระกูลโอวหยางแห่งแปดตระกูลใหญ่มีสมบัติประหลาดชิ้นหนึ่งชื่อว่ากำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ สมบัติชิ้นนี้ทำให้จิตใจคนสงบกำจัดกิเลสได้ มีประโยชน์อย่างยิ่งในการต่อต้านจิตมาร หากเจ้าได้สมบัติชิ้นนี้ช่วยเหลือ เจ้าก็มีหวังกับการผนึกแก่นเสมือนมากแล้ว” อินจิ่วหลิงเอ่ยช้าๆ


“ในเมื่อสมบัติชิ้นนี้เป็นของตระกูลโอวหยาง แล้วยังมีประโยชน์มหัศจรรย์เช่นนี้ ศิษย์คนนอกคนหนึ่งจะยืมใช้ได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงแรกเริ่มยินดี แต่จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างสงสัยอยู่บ้าง


“ฮ่ะๆ กำแพงหลิงหลงผืนนี้ให้ศิษย์แกนนำของตระกูลโอวหยางใช้ยามเลื่อนระดับได้เท่านั้น แต่อาจารย์มีมิตรภาพอันดีกับผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลโอวหยาง วันหน้ายามเจ้าจะเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน จงถือของแทนตัวของข้าเดินทางไป บางทีอาจยืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ได้สักหน” อินจิ่วหลิงหัวเราะฮ่ะๆ เอ่ยขึ้น


“ขอบคุณอาจารย์ยิ่ง!” หลิ่วหมิงได้ยินถึงตรงนี้ก็ดีใจเกินกว่าที่หวังจริงๆ คำนับเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง


ขอเพียงผ่านด่านเคราะห์จิตมารได้ ด้วยผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดของเขารวมถึงพลังเวทที่กลั่นให้พิสุทธิ์ซ้ำไปมาซึ่งบรรจุอยู่ในนั้น เขามั่นใจว่าจะทะลวงเข้าระดับแก่นเสมือนได้อย่างง่ายดาย


หลังจากนั้นทั้งสองคนก็สนทนาสัพเพเหระกันพักหนึ่ง หลิ่วหมิงถึงลุกขึ้นขอตัวลา


อินจิ่วหลิงนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าเปลี่ยนไปมาพักหนึ่งแล้วถอนหายใจยาวออกมา


“เมื่อตอนนั้นเจ้าใช้ตราคำสั่งผีร้ายสามแผ่นทำสัญญากับโอวหยางอิง แลกสิทธิการใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์มาสามครั้ง เจ้าใช้ไปเองครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งเสี่ยวอู่เข้าสู่ระดับแก่นเสมือนใช้ไปอีกครั้งหนึ่ง เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าจะเก็บโอกาสครั้งสุดท้ายนี้ไว้ให้ทายาทของตนเองเสียอีก” ประตูข้างของวิหาร ฉับพลันมีผู้เฒ่าชุดเทาคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วเอ่ยปาก


ผู้อาวุโสเถียนแห่งยอดเขาลั่วโยวนั่นเอง


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)