หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 842-845
บทที่ 842 เวลาเหมาะเหม็ง!
หวังเป่าเล่อเพิ่งจะมาปรากฏตัวภายในสุสานหลวงและกำลังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ในตอนนั้นเอง บนจักรพิภพที่ห่างไกลออกไปจากระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ ที่ชั้นบนสุดของร้านค้าหนึ่งในตลาดแห่งหนึ่ง เซี่ยไห่หยาง ผู้ซึ่งเพิ่งจะเคลื่อนย้ายหวังเป่าเล่อเสร็จสิ้นกำลังนั่งอยู่ เขาเอื้อมมือไปคว้าถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบ รอยยิ้มพาดผ่านบนใบหน้าขณะที่ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เซี่ยไห่หยางคนนี้เป็นบุรุษที่จะต้องทำงานให้ลุล่วงและลุล่วงไปด้วยดี ราคาสามพันผลึกสีชาดที่เจ้าจ่ายนั้น ไม่ใช่เพียงเพื่อข้อมูลทรงคุณค่า หรือการเปิดประตูให้ หรือกระทั่งการเคลื่อนย้ายเจ้าไปที่นั่น…แต่ยังรวมไปถึงการส่งเจ้าไปในเวลาที่เหมาะเหม็งอีกด้วย!
“และเวลา…เป็นสิ่งที่ล้ำค่าเหนืออื่นใด การที่เจ้าไปปรากฏตัวในตอนนี้จะทำให้เจ้าได้ข้อมูลบางอย่าง…และให้โอกาสเจ้าได้เปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างต่อไปในอนาคต”
“ในฐานะนักลงทุนของเจ้า ข้าได้ทำให้เจ้าไปหมดแล้ว!” เซี่ยไห่หยางยิ้มแล้ววางถ้วยชาลง
ในวินาทีนั้นเอง หวังเป่าเล่อกำลังลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศภายในสุสานหลวงแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ประกายกล้าส่องสว่างอยู่ในแววตาขณะที่ชายหนุ่มกวาดตามองสิ่งรอบข้าง
เทพีแห่งโชคชะตาอำนวยพรให้ข้าแล้ว หวังเป่าเล่อคิดกับตนเองขณะที่มองไปรอบข้างอย่างเงียบงัน เซี่ยไห่หยางพูดอย่างมั่นใจว่าพลังการขวางกั้นอันรุนแรงนั้นจะรอหวังเป่าเล่ออยู่แน่นอน แต่คำเตือนนั้นขณะนี้ฟังดูเหมือนการพูดเกินจริง เมื่อชายหนุ่มเข้ามาอยู่ในสุสานนี้ เขากลับไม่รู้สึกถึงพลังใดๆ แม้สักนิด
หวังเป่าเล่อเข้าใจการที่พลังต่อต้านนั้นไม่ปรากฏ แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มสับสนคือความรู้สึกที่เขามีต่อสุสาน ในทุกๆ ใบหญ้า สรรพสัตว์ แม้กระทั่งในอากาศ…หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยและอบอุ่นอย่างไม่อาจอธิบายได้
ใบหญ้าบนท้องทุ่งตรงหน้าเขาโยกโอนอยู่ในสายลมราวกับว่ากำลังต้อนรับชายหนุ่มอย่างอบอุ่น สายลมหมุนวนอยู่ตรงเท้าเขาขณะที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ราวกับเป็นแท่นเหยียบที่ทำมาจากลม ราวกับว่าโลกนี้เป็นห่วงว่าหวังเป่าเล่อจะใช้พลังวิญญาณมากเกินไปกระนั้น
มีประกายแสงสะท้อนอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อขณะที่เขาทอดสายตาไปยังโลกเบื้องหน้า คำอธิบายที่เป็นไปได้อย่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาในใจ
หรือจะเป็นเพราะว่า…ข้าเป็นผู้ใช้วิชาดวงเนตรปีศาจ พวกมันจึงเข้าใจว่าข้าเป็นเชื้อพระวงศ์กระมัง หรืออาจเป็นเพราะ…การมีสายเลือดราชวงศ์ไม่เกี่ยวข้องเลยตั้งแต่ต้น ผู้ที่ฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจทุกคนสามารถเข้ามาที่นี่ได้อยู่แล้ว หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าการคาดเดาของตนถูกต้อง
“แต่ทำไมข้าจึงยังมีความรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ กันนะ…” ความเคลือบแคลงสงสัยปรากฏขึ้นในแววตาของหวังเป่าเล่อขณะที่ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เขาก็กระโจนมาบนพื้นที่ที่มีหญ้าปกคลุม หวังเป่าเล่อจ้องมองใบหญ้าโบกไหวตามสายลม ก่อนจะหันไปมองต้นไม้ที่รายรอบ จนในที่สุด ชายหนุ่มก็เดินไปถึงต้นไม้ใหญ่ยักษ์ที่มีผลลูกเล็กๆ ห้อยอยู่บนกิ่ง เขายืนอยู่หน้าต้นไม้ก่อนจะพูดออกมา
“หากมีผลไม้ลูกใหญ่กว่านี้ก็คงจะดี”
ต้นไม้สั่นไหวทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ ผลไม้ที่ห้อยอยู่บนกิ่งเหี่ยวแห้งไปทันตา มีเพียงลูกเดียว ลูกที่ห้อยอยู่ใกล้มือชายหนุ่มที่สุดเท่านั้นที่ยังคงอยู่ แทนที่จะหายไป ผลไม้นั้นกลับเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่วินาที มันก็โตจากขนาดเท่าเล็บมือจนใหญ่เท่ากำปั้น
หวังเป่าเล่อถึงกับผงะเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงตรงหน้า
อย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด มีบางอย่างผิดปรกติ แม้ว่าข้าจะเป็นผู้ฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจ ก็ไม่ควรจะทำให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ได้ ประกายเย็นยะเยือกพาดผ่านดวงตาของหวังเป่าเล่อ ปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดทำเอาใจของหวังเป่าเล่อตื่นเต้น ชายหนุ่มพอจะมีความเข้าใจเรื่องนี้อยู่เลาๆ แต่เป็นความเข้าใจที่ผุดโผล่ขึ้นมาเพียงชั่วครู่ก่อนจะจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของจิตใจ เขาทำกระทั่งปิดบังความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยในใจไปเสียสิ้น หวังเป่าเล่อพยายามจะลบความคิดทุกสิ่งออกไปจากใจ เหลือเอาไว้เพียงใบหน้าเรียบเฉยเท่านั้น
กลับกัน ชายหนุ่มกระแอมกระไอ และปล่อยให้ความรู้สึกพึงใจนั้นไหลบ่าท่วมกายใจของตน ให้ความอบอุ่นมาจากภายใน
เทพีแห่งโชคชะตาต้องอำนวยพรให้ข้าด้วยตัวเองเป็นแน่แท้ หวังเป่าเล่อทอดถอนใจ ชายหนุ่มไม่อาจทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ เขาพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่ทำตัวเด่น แต่แล้วโชคชะตาก็ดูเหมือนจะตกหลุมรักเขาเข้าเสียได้ เทพีแห่งโชคชะตาได้ปรากฏตัวขึ้นและติดตามหวังเป่าเล่อไปในที่ต่างๆ ก่อนจะอำนวยพรให้เขาไม่ว่าเขาจะไปอยู่ที่ใดก็ตาม
ถ้าเป็นเช่นนั้น…กำหนดเวลาก็ไม่น่าจะมีผลกับข้าเช่นกัน…หวังเป่าเล่อยกมือตบท้องเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจแล้วจึงเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ชายหนุ่มเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วด้วยความช่วยเหลือจากลมที่ใต้ฝ่าเท้า สัมผัสเทพของเขาแผ่ออกไปขณะที่ตัวเขาเองพุ่งทะยานไปข้างหน้า
ในใจของหวังเป่าเล่อขณะนี้เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งผยอง มีความไม่แน่นอนเหลืออยู่บางๆ เท่านั้น ต่อให้มีใครสักคนสามารถอ่านใจชายหนุ่มได้ ก็คงไม่พบอะไรผิดปรกติ สิ่งที่แตกต่างกับฉากภายนอกที่มั่นใจและสงบ…ก็คือฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ในกายเขา ซึ่งถูกหล่อเลี้ยงอยู่ด้วยเปลวเพลิงดารานิรันดร์ ฝ่ามือนั้นพร้อมจะปลดปล่อยพลังออกมาทุกขณะจิต
แปลว่าแท้จริงแล้วหวังเป่าเล่อก็พร้อมต่อสู้…อยู่ลับๆ!
สถานะของชายหนุ่มในตอนนี้คล้ายคนที่เพิ่งจะสะกดจิตตนเองเสร็จ ในตอนนั้นเขาหลอกกระทั่งตนเอง เป็นวิธีเดียวที่จะเตรียมพร้อมต่อสู้อยู่เสมอโดยไม่แสดงความระแวดระวังออกมา อันที่จริงแล้ว ท่าทีที่หวังเป่าเล่อแสดงให้คนอื่นเห็นก็คือความมั่นอกมั่นใจจนเกินตัวนั่นเอง
หวังเป่าเล่อยังคงมีท่าทีหยิ่งผยองต่อไป พลางเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง สุสานหลวงกินพื้นที่มหาศาล ต่อให้วิ่งด้วยความเร็วเท่านี้ ชายหนุ่มก็ยังต้องใช้เวลาราวๆ ครึ่งชั่วโมงในการเดินทางไปจนทั่ว ถึงกระนั้น เพียงไม่กี่อึดใจตั้งแต่ที่เขาเริ่มเคลื่อนไหว หวังเป่าเล่อก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนประกายแสงแรงกล้าจะสะท้อนวูบอยู่ในแววตา เขาเอียงศีรษะไปทางขวาก่อนที่ร่างจะค่อยๆ พร่าเลือนและหายไปในพริบตา
เพียงยี่สิบวินาทีหลังจากที่หวังเป่าเล่อหายไป กลุ่มคนราวเจ็ดถึงแปดคนก็พุ่งทะยายออกมาจากทิศทางที่ชายหนุ่มมองไปเป็นครั้งสุดท้าย พวกเขาไม่ได้เคลื่อนที่เร็วนัก พลังวิญญาณที่ปล่อยออกมาก็อยู่ในขั้นจุติวิญญาณเท่านั้นทุกคนในกลุ่มต่างแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา ดวงตาของพวกเขาต่างส่องประกายด้วยความยโส มีรัศมีจางๆ ของวิชาดวงเนตรสวรรค์แผ่ออกมาจากตัวขณะที่วิ่งผ่านบริเวณที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัวเป็นครั้งสุดท้าย
ขณะที่ผู้ฝึกตนคนสุดท้ายวิ่งผ่านไป เศษเสี้ยวหมอกสีดำก็ปรากฏขึ้นบนไรผมของเขา ก่อนจะไถลผ่านไรผมเข้าไปในหูของผู้ฝึกตนวัยกลางคน ชายคนนั้นตัวสั่นขึ้นมาในทันใด อากาศรอบกายบิดเบี้ยวไปชั่วขณะ ไม่มีใครในกลุ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ
ไม่มีใครเบื้องหน้าผู้ฝึกตนวัยกลางคนสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ไม่มีใครเห็นการบิดเบี้ยวชั่วขณะซึ่งเป็นผลมาจากการที่หวังเป่าเล่อแปลงกายเป็นผู้ฝึกตนวัยกลางคนๆ นั้น ก่อนจะผนึกเจ้าของร่างแล้วขังเอาไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ
อีกทั้งชายหนุ่มยังค้นวิญญาณอย่างลวกๆ จนสำเร็จลุล่วงไปแล้วด้วย
ราชวงศ์หรือ…หวังเป่าเล่อในคราบผู้ฝึกตนวัยกลางคนเร่งฝีเท้าตามบรรดาผู้ฝึกตนเบื้องหน้าของเขาข้ามท้องฟ้าไป นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายแวววาวอยู่เงียบๆ การค้นวิญญาณทำให้เขารู้ว่าผู้ฝึกตนกลุ่มนี้มาจากราชวงศ์ ทั้งยังรู้อีกด้วยว่าพวกเขามาทำอะไรและจะทำสิ่งใดต่อไป
จักรพรรดิดวงเนตรสวรรค์องค์ปัจจุบันจะปลดผนึกประตูสู่สุสานหลวง ผู้ฝึกตนทุกคนจากราชวงศ์กำลังมุ่งหน้าไปยังสุสานหลวง น่าสนใจดีนี่ โอกาสทองที่เซี่ยไห่หยางมอบให้นี้ช่างดีเกินจริง…หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ผู้ฝึกตนคนที่ถูกชายหนุ่มค้นวิญญาณไปไม่รู้อะไรมากนัก เพราะเหตุนั้นหวังเป่าเล่อจึงรู้เรื่องต่างๆ เพียงผิวเผินเท่านั้น แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เขาตามกลุ่มนั้นไปเงียบๆ ขณะที่ทุกคนพุ่งทะยานผ่านเขตสุสาน ครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเขาก็มาถึงใจกลางของสุสานหลวงเป็นที่เรียบร้อย!
หวังเป่าเล่อมองเห็นรูปปั้นขนาดมหึมาทั้งๆ ที่พวกเขายังอยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่ง รูปปั้นนั้นยืนตระหง่านเหนือพื้นดิน ลูกตาเพียงดวงเดียวมองลงต่ำจากใบหน้าที่ไม่มีองค์ประกอบอื่นใดอีก!
รูปปั้นนั้นทำมาจากศิลา ดวงเนตรปีศาจในกายหวังเป่าเล่อตื่นขึ้นโดยปราศจากคำสั่งจากหวังเป่าเล่อทันทีที่ชายหนุ่มมองไปยังดวงตาขนาดยักษ์ของรูปปั้น เขาต้องเก็บงำดวงเนตรปีศาจเอาไว้ด้วยความลำบากยากเย็น ไม่แสดงออกสิ่งใดมาทางสีหน้า ก่อนจะเดินตามกลุ่มผู้ฝึกตนกลุ่มเดิมต่อไป พวกเขาเดินเข้าไปใกล้รูปปั้นขึ้นทุกที
ที่นั่น…มีผู้ฝึกตนนับร้อยยืนเรียงรายอยู่แล้ว
เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกตนเหล่านั้นไม่ใช่ชาวบ้านร้านตลาด พวกเขายืนแยกกันเป็นสองกลุ่มอย่างชัดเจน กลุ่มหนึ่งยืนอยู่บริเวณรอบนอก มีอยู่ราวๆ สามสิบคน ทุกคนสวมเสื้อคลุมสีรุ้ง และมีหน้ากากสีม่วงปกปิดใบหน้าเอาไว้ รัศมีอันรุนแรงที่แผ่ออกมาจากกลุ่มนั้นมีเศษเสี้ยวของความบ้าคลั่งปะปนอยู่ ทุกคนมีระดับพลังปราณที่กล้าแข็งยิ่ง นอกเหนือไปจากผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณห้าคน หวังเป่าเล่อก็มองเห็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนหนึ่งในกลุ่มได้แทบจะทันที!
ผู้ฝึกตนในกลุ่มนั้นมีอย่างหนึ่งเหมือนกัน นั่นคือรัศมีของพวกเขามีโลหิตปะปนอยู่ หากมองดูใกล้ๆ ก็จะเห็นจี้หยกสีเลือดในมือของพวกเขาทุกคน!
รัศมีเปื้อนเลือดที่แผ่ออกมาจากจี้หยกนั้นเหมือนจะต่อต้านพลังการขับไล่ของสถานที่นี้ไว้ได้ประมาณหนึ่ง ส่งผลให้ไม่มีการขับไล่เกิดขึ้นในบริเวณนั้น
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงเมื่อเห็นภาพดังกล่าว จากนั้นจึงรีบหันกลับไปมองอีกกลุ่มหนึ่ง
อีกกลุ่มนั้นยืนอยู่ใกล้รูปปั้นมากกว่า ต่างก็สวมใส่เสื้อผ้าหรูหราและมีคลื่นพลังวิชาดวงเนตรสวรรค์แผ่ออกมาจากกาย เห็นได้ชัดว่าเป็นสมาชิกราชวงศ์ จากทั้งกลุ่มนั้น มีผู้ฝึกตนสี่คนที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งกว่าที่เหลือ
ทั้งสี่ต่างก็เป็นผู้อาวุโส สามจากสี่คนสวมเสื้อคลุมสีม่วงและดูเหมือนจะอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ แววตาของพวกเขาเย็นชา และต่างก็พากันจ้องมองชายชราในชุดสีเหลืองไม่วางตา บนศีรษะของผู้อาวุโสในชุดเหลืองมีมงกุฎวางอยู่ ชุดที่สวมทำให้ชายชราดูเหมือนเป็นจักรพรรดิหรืออะไรสักอย่างหนึ่ง
“ท่านพี่ผู้เป็นที่รักยิ่งของข้า นี่แปลว่า…ท่านจะไม่ทำอย่างนั้นหรือ” หนึ่งในสามผู้อาวุโสชุดม่วงเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น
ร่างคล้ายจักรพรรดิตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงนั้น เผยให้เห็นสีหน้าไร้ทางสู้ เขาจ้องมองผู้อาวุโสทั้งสามที่อยู่รอบกายด้วยความกลัวในแววตาก่อนจะเอ่ยอย่างขมขื่น “ข้าทำดีที่สุดแล้ว ข้าก็หวังว่าจะเปิดมันออกเช่นกัน…แต่เลือดของข้าไม่บริสุทธิ์พอที่จะปลดผนึกประตูได้ ต่อให้เจ้ากรอกโอสถสายโลหิตลงคอข้าไปก็ไร้ผล ข้าไม่มีทางทำได้แน่นอน”
บทที่ 843 ใครจะไปคิดว่าจะสูงถึงเพียงนี้
ชายชราในชุดหรูหราจ้องมองบุรุษทั้งสามอย่างสิ้นหวัง ความกลัวที่สะท้อนชัดอยู่ในแววตาดูเหมือนจะแสดงสิ่งที่เขารู้สึกลึกๆ ลงไปในวิญญาณออกมาได้อย่างชัดเจน
แต่หวังเป่าเล่ออ่านอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมามากเกินไป ชายหนุ่มเชื่อว่าไม่ควรตัดสินใครจากรูปลักษณ์ภายนอก คนเช่นชายชราผู้นั้นมักเป็นคนที่ทำสิ่งเกินคาดได้เสมอ ยิ่งดูหวาดกลัวและไร้ทางสู้เพียงใด ก็ยิ่งเป็นไปได้ว่าจะลอบโจมตีอีกฝ่ายทันทีเมื่อคล้อยหลังมา
เห็นได้ชัดจากเสื้อผ้าและคำพูดของคนอื่นๆ ว่าชายชราผู้นั้นคือจักรพรรดิแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อกะพริบตาก่อนจะจับตามองภาพตรงหน้าต่อไป
ชายหนุ่มจ้องมองขณะที่จักรพรรดิพูดจนจบ และผู้อาวุโสในชุดสีม่วงที่ยืนรายล้อมอยู่มีสีหน้าหม่นหมองลง คนที่พูดก่อนหน้านี้จ้องมององค์จักรพรรดิด้วยสายตาเย็นชา เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่จะได้เปิดปากพูดนั่นเอง จู่ๆ ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงริมกลุ่ม ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ก็หัวเราะขึ้นมา
“ศิษย์ร่วมสำนักเต๋าเหออวิ๋นจื่อ พี่ชายของท่าน จักรพรรดิองค์ปัจจุบันแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…ดูท่าจะไม่ทรงให้ความร่วมมือเท่าที่ควรเลย”
“ใจเย็นก่อน ศิษย์ร่วมสำนักเต๋าจื่อหลัว!” ชายชราในชุดคลุมสีม่วง ที่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะผู้นั้นเรียกว่าเหออวิ๋นจื่อ รีบยกมือประสานเร็วๆ ไปทางอีกฝ่ายเมื่อได้ยิน จากนั้นจึงหันกลับไปมองจักรพรรดิแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ท่านพี่ โปรดหยุดการเพ้อฝันไร้แก่นสารของท่านและเลิกทดสอบความอดทนของข้าเสียทีเถิด อีกอย่างหนึ่ง…สิ่งที่พวกเรากำลังทำนี้ก็เพื่อความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ตระกูลดวงเนตรสวรรค์ โปรดมองดูสิ่งที่สมาชิกครอบครัวของเรากำลังทำอยู่เถิด นี่คืออนาคตที่พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปหา!”
“เหออวิ๋นจื่อ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้าทำอะไรไม่ได้เลย ข้ารู้ดีว่าสมาชิกแทบทุกคนในตระกูลของเราสนับสนุนการเข้าเป็นพันธมิตรกับอารยธรรมครามทองคำ ข้าเองไม่อาจทำใจเห็นด้วยได้ แต่รู้ดีว่าตัวข้าเป็นจักรพรรดิเพียงในนามเท่านั้น ข้าไม่มีอำนาจจะไปขัดขวางการเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ได้” จักรพรรดิพูดกับเหออวิ๋นจื่อด้วยใบหน้าบูดเบี้ยว
“ข้าดีใจที่ท่านเข้าใจ เปิดสุสานบรรพชนเสีย พวกเราจะได้ปลดผนึกประตูสู่ดวงเนตรสวรรค์โดยสมบูรณ์ จากนั้น ตามข้อตกลงที่มีกับอารยธรรมครามทองคำ พวกเขาก็จะมาเยือนอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ทำลายสำนักหลักทั้งสาม และนำพาราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์กลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครา พี่ชายที่รัก ท่านไม่อยากให้พวกเรากลับไปครองอำนาจอีกอย่างนั้นหรือ” เหออวิ๋นจื่อจ้องมองจักรพรรดิตาไม่กะพริบขณะที่พูดทุกถ้อยคำอย่างชัดเจน มีประกายแรงกล้าลุกโชนอยู่ในแววตาขณะที่พูด
“กลับสู่อำนาจอีกครั้ง…” จักรพรรดิยิ้มอย่างอ่อนใจ นัยน์ตาแห้งผากไม่เหลือร่องรอยความหวังหรือกระทั่งชีวิต ชายชรานิ่งเงียบไปหลายอึดใจก่อนจะถอนใจออกมายกใหญ่
“ข้าต้องการให้ราชวงศ์ของเรากลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่เช่นกัน แต่การจะทำเช่นนั้นโดยหยิบยืมมือชาวต่างถิ่น ก็เหมือนเป็นการเชื้อเชิญฝูงสุนัขป่าดุร้ายเข้ามาในบ้าน ต่อให้เราประสบความสำเร็จ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะเป็นเช่นเดิมอยู่หรือ ยิ่งไปกว่านั้น อารยธรรมครามทองคำก็ทรงพลังยิ่งนัก เหตุใด…พวกเขาจะต้องมาร่วมมือกับเราด้วย พวกเราทุกคนรู้คำตอบนั้นดีอยู่แก่ใจ!”
“ถึงข้าจะคิดเช่นนั้น ก็ไม่ได้แปลว่าข้าไม่ตั้งใจช่วย เหออวิ๋นจื่อ ทำไมเจ้าจึงไม่ยอมรับราชบังลังก์จากข้าไปเล่า ข้าทำดีที่สุดแล้ว แต่เลือดในกายข้านั้นไม่บริสุทธิ์พอ เรื่องนั้นข้าแก้ไขอะไรไม่ได้” จักรพรรดิดูราวกับว่าร่ำๆ จะร้องไห้ออกมาอยู่เต็มที ความตื่นตะลึงและวิตกไหลบ่าเข้ามาในกายหวังเป่าเล่อที่มองดูอยู่จากที่ไกลๆ
ชายหนุ่มเหมือนมาพบเข้ากับข้อมูลชิ้นสำคัญ ตอนนี้เขารู้แล้วว่ากลุ่มผู้ฝึกตนในชุดสีรุ้ง ซึ่งซุกซ่อนใบหน้าเอาไว้เบื้องหลังหน้ากากสีม่วงเป็นใครกันแน่ พวกเขาเหล่านั้นเป็นคนของอารยธรรมครามทองคำ
ความไม่สบายใจของหวังเป่าเล่อมีเหตุมาจากองค์จักรพรรดิเอง ชายหนุ่มอ่านชายชราผู้นี้ไม่ออกจริงๆ ประสบการณ์บอกเขาว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับจักรพรรดิองค์นี้
ไม่ใช่เพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ เหออวิ๋นจื่อเองก็คิดแบบเดียวกัน ชายชราจ้องมองไปยังจักรพรรดิชราตาไม่กะพริบ จิตสังหารทอประกายวาบบนแววตาอีกครั้งหนึ่ง
“ท่านพี่ ท่านอาจจะแสร้งทำตัวโง่เขลาตลอดเวลาหลายปีมานี้ แต่ข้ารู้ดีว่าความเจ้าเล่ห์เพทุบายของท่านนั้นเหนือกว่าพวกเราหลายขุมนัก ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม หากท่านไม่ปลดผนึกประตู ข้าก็ต้องขออภัยท่านล่วงหน้า ที่จะลืมสายสัมพันธ์ครอบครัวของเราและทำการล่วงเกินท่าน!” น้ำเสียงบ้าคลั่งสะท้อนอยู่ภายในถ้อยคำสุดท้ายจากปากเขา ชายชรายกมือขวาขึ้นช้าๆ บังเกิดเสียงสายฟ้าดังครั่นครืนอยู่ไกลๆ และสายลมก็เริ่มพัดแรงอย่างบ้าคลั่ง ในเวลาเดียวกัน ผนึกขนาดมโหฬารก็ก่อตัวขึ้นเหนือศีรษะเขา
“หนึ่ง!”
“ข้าพูดความจริง…”
“สอง!”
“สวรรค์ ทำไมเจ้าจึงไม่ยอมเชื่อข้าเลย!”
“สาม!” เส้นเลือดบนใบหน้าของเหออวิ๋นจื่อบวมปูดขึ้นมาขณะที่เขาส่งเสียงคำราม ชายชราพร้อมแล้วที่จะส่งมือขวาของตัวเองไปโจมตีในชั่วพริบตา
“ข้าเปิดแล้ว! ข้าเปิดแล้ว!” ใบหน้าของจักรพรรดิชราซีดขาวราวศพ สีหน้าของเขาแสดงความหวาดกลัวสุดขีดขณะตะเกียกตะกายไปหารูปปั้น มงกุฎหลุดร่วงหายไประหว่างทาง แต่ชายชราก็ไม่มีเวลาแม้จะหันกลับมาหยิบ ใบหน้าของเขายู่ยี่เพราะความกลัวขณะที่เนื้อตัวก็สั่นเทา ชายชรากัดนิ้วที่บาดเจ็บของตนเองไว้ ก่อนจะใช้พลังปราณบังคับให้เลือดขึ้นมาอยู่บริเวณผิวหนัง จากนั้นก็สะบัดเลือดนั้นไปทางดวงตาของรูปปั้น
“จงเปิดออก! ข้าขอสั่งเจ้า!”
รูปปั้นสั่นคลอนเล็กน้อยอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะกลับมาสนิทนิ่งอีกครั้ง…
สีหน้าของเหออวิ๋นจื่อและผู้อาวุโสในชุดคลุมสีม่วงอีกสองคนมืดหม่น ก่อนที่เหออวิ๋นจื่อจะระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา จิตสังหารทอประกายอยู่ในดวงตาของเขาอีกครั้ง ชายชราลดมือขวาลงมา ผนึกขนาดยักษ์ส่งเสียงคำรามลั่นก่อนจะพุ่งเข้าไปทางจักรพรรดิชราอย่างรวดเร็ว
รัศมีแห่งความตายแผ่ออกมาจากผนึกที่มุ่งหน้าไปหาเป้าหมายราวกับเป็นพลังซึ่งไร้ทางต่อต้าน สายลมส่งเสียงลือลั่นระหว่างที่มันเคลื่อนที่ไป ขณะที่ผนึกนั้นกำลังจะปะทะเข้ากับกายของจักรพรรดิชรานั้นเอง ชายชราก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความกลัวก่อนจะร่วงลงไปนั่งคุกเข่าเสียงดัง น้ำตาไหลอาบแก้มขณะส่งเสียงครวญครางต่อหน้ารูปปั้น
“ปรมาจารย์ ได้โปรด เมตตาข้าด้วย ข้าน้อยวอนขอให้ท่านเปิดประตูสู่สุสานบรรพชน… ข้า…ข้า…” ความกลัวไหลบ่าผ่านเส้นเลือดเข้าท่วมจิตใจเขา จักรพรรดิตัวสั่นก่อนจะปัสสาวะรดกางเกง…เขาหยุดนิ่งไปชั่วครู่ก้มลงมองและระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็ล้มตัวลงกับพื้นแล้วเริ่มสะอื้นเสียงดังสนั่น
เสียงร้องไห้คร่ำครวญน่าเวทนามีผลกับทุกๆ คนในที่นั้นโดยทั่วถึงกัน
หวังเป่าเล่อถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น ลูกนัยน์ตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า ชายหนุ่มจ้องมองจักรพรรดิชราอย่างถี่ถ้วนก่อนจะอ้าปากค้าง หากชายชราไม่ใช่คนที่ทั้งเจ้าเล่ห์แสนกลอย่างยิ่ง…ก็ต้องมีการเข้าใจผิดกันเกิดขึ้นจริงๆ เป็นแน่
เหออวิ๋นจื่อเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน ชายชราจ้องมองจักรพรรดิผู้กำลังร้องไห้คร่ำครวญ จากนั้นเขาจึงหันไปมองกลุ่มผู้ฝึกตนที่อยู่ขอบกลุ่มด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย
“สหายร่วมสำนักเต๋าจื่อหลัว ข้าขออภัยที่ท่านต้องมาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้”
จื่อหลัวผู้อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ หัวเราะขณะยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนจากอารยธรรมครามทองคำ นัยน์ตาของเขาส่องประกายพลางจ้องมองไปรอบกายก่อนจะหันไปหาเหออวิ๋นจื่อ และกล่าวอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่ถือสาแม้แต่น้อย ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจัดการกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ ในเมื่อเลือดจักรพรรดิของท่านดูจะไม่บริสุทธิ์พอ เช่นนั้น…พวกเราควรรวมเอาเลือดของทุกคนในราชวงศ์มาเก็บเอาไว้ในภาชนะ วิธีนี้อาจจะได้ผลก็เป็นได้”
“ข้ามีสมบัติเวทที่ปรมาจารย์ของเรามอบไว้ให้อยู่กับตัว มันสามารถจุดไฟในสายโลหิตของทุกคนในบริเวณใกล้เคียงและแสดงสายเลือดแฝงของพวกเขาออกมาพร้อมกัน ด้วยการรวมพลังของทุกคนในตระกูลเช่นนี้ ย่อมต้องทำให้เราเปิดผนึกประตูได้สำเร็จเป็นแน่!” ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะพูดไปก็พลิกฝ่ามือขวาไปด้วย กระทั่งตะเกียงทองแดงปรากฏขึ้นบนฝ่ามือเขา เขาเหวี่ยงตะเกียงนั้นไปทางเหออวิ๋นจื่อ
“เหออวิ๋นจื่อ ยกตะเกียงขึ้น แล้วจงใช้พลังปราณทั้งหมดของเจ้าจุดมัน มันจะช่วยให้เจ้าเปิดผนึกสายโลหิตของสมาชิกราชวงศ์ทุกคนที่นี่!”
รัศมีเก่าแก่แผ่ออกมาจากตะเกียงขณะที่มันลอยละล่องไปหาเหออวิ๋นจื่อ การเดินทางแหวกอากาศนั้นมองดูคล้ายการเคลื่อนคล้อยของกาลเวลา ตะเกียงพุ่งไปหาเหออวิ๋นจื่อ ผู้ซึ่งรับมันไว้ด้วยมือที่สั่นเทา โลหิตในกายเขาพลันปั่นป่วนขึ้นมาทันที ก่อนจะไหลมารวมกันอยู่ในฝ่ามือและพวยพุ่งเข้าไปยังตะเกียงทองแดง ชายชราไม่อาจควบคุมพลังปราณที่จู่ๆ ก็ไหลบ่าออกมาอย่างไม่บอกไม่กล่าวได้
ภาพมายาของดวงเนตรสวรรค์ปรากฏขึ้นด้านหลังเขาก่อนจะถูกดูดเข้าไปในตะเกียงทองแดง ประกายแสงปรากฏขึ้นในไส้ตะเกียงด้านในทันที มันค่อยๆ ส่องสว่างก่อนจะกลายเป็นเปลวไฟ เสียงระเบิดดังขึ้นเมื่อไฟในตะเกียงลุกท่วมขึ้นมา!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ประกายไฟก็ปะทุขึ้นจากไส้ตะเกียงก่อนจะหลั่งไหลออกมาภายนอก และท่วมไปทั้งบริเวณทันที ใบหน้าของสมาชิกราชวงศ์ทุกคนแสดงอารมณ์อันหลากหลาย ร่างกายของพวกเขาสั่นเทา ร่องรอยรูปดวงตาปรากฏขึ้นบนหน้าผากของทุกคน ทั้งพลังปราณและโลหิตในกายของพวกเขาต่างก็พวยพุ่งออกมาจากทางด้านบนศีรษะ
เริ่มที่เหออวิ๋นจื่อ แสงสีโลหิตติดขึ้นบนศีรษะเขา ก่อนจะพวยพุ่งขึ้นไปสูงร่วมยี่สิบเมตร เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง เช่นเดียวกับผู้อาวุโสในชุดม่วงอีกสองคน หอคอยสีแดงฉานของพวกเขาไม่ได้ขึ้นไปสูงเท่า สูงแค่ราวๆ สิบห้าเมตรเท่านั้น
แต่ภาพนั้นก็ยังดูยิ่งใหญ่ไม่ใช่น้อย สมาชิกราชวงศ์คนอื่นๆ ต่างก็ตัวสั่นก่อนจะปล่อยแสงสีแดงคล้ายกันออกมา แสงของแต่ละคนสูงต่ำไม่เท่ากัน บ้างก็สูงร่วมสิบเมตร ของบ้างคนก็แค่ไม่กี่เซนติเมตร หวังเป่าเล่อมีอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลาย วิชาดวงเนตรปีศาจในกายเขาตื่นขึ้นด้วยตัวเองอีกครั้ง เจตจำนงภายในดวงเนตรปีศาจที่ถูกกักเก็บเอาไว้ในกายเขานั้นจู่ๆ ก็ปะทุขึ้นมา ดูราวกับว่ากำลังจะหาทางหลุดรอดออกมาจากกายกระนั้น
ไม่นะ! หวังเป่าเล่อตัวแข็ง
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังพยายามสะกดเจตจำนงอยู่นั่นเอง ลำแสงสีแดงจำนวนมากก็พวยพุ่งขึ้นไปสู่สวรรค์ราวกับเป็นเสาขนาดมหึมาเสาที่สูงที่สุด…มาจากจักรพรรดิชราขี้แย เสาสีแดงเหนือศีรษะเขาสูงร่วมร้อยเมตร ดึงดูดทุกสายตาให้หันไปจับจ้อง
เมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามแผน เหออวิ๋นจื่อก็ระเบิดเสียงหัวเราะ ชายชราหันไปหาจักรพรรดิชราก่อนจะกล่าวว่า “ตอนนี้เราก็สามารถ…”
ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนก่อนที่ชายชราจะทันพูดจบ สายลมเริ่มคำราม ก้อนเมฆบนสรวงสวรรค์หมุนวน สายฟ้าส่งเสียงครั่นครืน ทันใดนั้นเอง ม่านหมอกสีแดงก็ระเบิดออกมาท่ามกลางสมาชิกราชวงศ์และพวยพุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ก่อนจะไหลบ่าเข้าท่วมทุกมุมของอาณาเขตสุสาน ราวกับเป็นผ้าคลุมสีแดงที่ปกคลุมท้องฟ้าและผืนปฐพีไว้!
ทุกคนต่างก็ใบ้เบื้อเมื่อได้เห็น เหออวิ๋นจื่อ ผู้อาวุโสในชุดคลุมม่วงอีกสองคน จักรพรรดิชรา และราชวงศ์ที่เหลือ รวมไปถึงบรรดาผู้ฝึกตนจากอารยธรรมครามทองดำ ต่างก็เบนสายตาไปมองในทิศทางเดียวกัน ก่อนจะเห็นหวังเป่าเล่อ…และแสงสว่างสุดยอดจากเสาสีโลหิตที่ออกมาจากเหนือศีรษะเขาพวยพุ่งขึ้นไปสู่สวรรค์!
ความสูงของเสาสีแดงของหวังเป่าเล่อนั้น…ไม่สามารถวัดเป็นหน่วยเมตรได้อีกต่อไป มันสูง…ขึ้นไปจนเสียดฟ้า ประมาณราวๆ หลายร้อยกิโลเมตร และเข้าไปผสานรวมอยู่กับขอบของชั้นบรรยากาศ…ไม่มีใครบอกได้ว่ามันสูงขนาดไหน
“นี่มันอะไรกัน…” เหออวิ๋นจื่อพึมพำด้วยความตกตะลึง พลางรู้สึกมึนชาศีรษะ
บทที่ 844 พ่อค้าเจ้าเล่ห์!
“เป็นไปได้อย่างไรกัน” ไม่ใช่เพียงเหออวิ๋นจื่อที่ตื่นตะลึงกับภาพที่ได้เห็น ผู้อาวุโสในชุดคลุมสีม่วงซึ่งเป็นองค์ชายแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อีกสองคน ต่างก็พากันอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึงเช่นกัน
เชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ก็จับจ้องตาไม่กะพริบเช่นกัน ประกายความไม่อยากเชื่อสะท้อนอยู่ในแววตาของทุกคน สีหน้าพลางแสดงอารมณ์อันหลากหลาย ราวกับว่าไม่อาจควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ในวินาทีนั้น
เสาของแสงสีแดงที่พวยพุ่งออกมาจากศีรษะของหวังเป่าเล่อพุ่งไปถึงขอบชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ดวงนี้และแทบจะหลุดออกไปถึงชั้นอวกาศภายนอก หากมองจากที่ไกลๆ ก็ดูคล้ายว่าสวรรค์ได้เปิดดวงเนตร แสดงให้เห็นถึงดวงตาสีแดงก่ำที่จับจ้องมองลงมายังสรรพชีวิตบนพื้นดิน
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีผู้ปล่อยพลังได้เช่นนั้น ทำเอาทั้งสรวงสวรรค์และผืนปฐพีสั่นไหว คลื่นพลังงานไหลบ่าสะท้อนไปทั่วแผ่นดิน แถมยังมีคลื่นสีแดงไหลบ่าออกมา พายุหมุนขนาดยักษ์ก่อตัวขึ้นโดยมีหวังเป่าเล่อเป็นจุดศูนย์กลาง สายลมที่พัดออกจากกายชายหนุ่มรุนแรงพอที่จะถล่มภูเขาหรือพาให้มหาสมุทรเหือดแห้งไปได้
ทุกคนที่อยู่รอบกายเขาพากับถอยกรูด เสียงร้องอุทานด้วยความกลัวดังลั่นไปทั่ว ราวกับว่าทุกคนเพิ่งเห็นผีกระนั้น
“สวรรค์…สูงสักเท่าใดกัน…สามสิบกิโลเมตร หรือสามร้อยกิโลเมตรกันแน่”
“ข้าต้องหลอนไปแล้วแน่ๆ…เมื่อวานคงกินสมุนไพรวิญญาณมากไป…”
“แล้ว…คนไหนคือจักรพรรดิตัวจริงกันแน่”
เกิดความโกลาหลขึ้นในฝูงชน ผู้ฝึกตนจากอารยธรรมครามทองคำยืนอยู่ห่างออกไป ผู้ฝึกตนในชุดสีรุ้งและหน้ากากสีม่วงเหล่านั้นต่างก็ผงะด้วยกันทั้งสิ้น ความรู้สึกตื่นตะลึงที่พวกเขากำลังรู้สึกในตอนนี้ไม่อาจเทียบกับที่บรรดาเชื้อพระวงศ์รู้สึกอยู่อย่างแน่นอน ทว่าเหตุการณ์ที่กลับตาลปัตรนี้ก็ทำเอาพวกเขาตกใจไม่น้อยเช่นกัน คนๆ เดียวที่ดูจะไม่อนาทรกับเหตุการณ์นี้มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่มเท่านั้น นัยน์ตาของเขาส่องประกายประหลาดขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจะจางหายไป
เห็นได้ชัดว่าเสาสีแดงที่พุ่งออกมาจากศีรษะของหวังเป่าเล่อนั้นไม่ธรรมดา เมื่อนำมาเทียบกับแสงสีแดงที่ออกมาจากศีรษะของคนอื่นแล้วก็เหมือนเห็นยักษ์ยืนคู่กับไก่กระนั้น
หวังเป่าเล่อเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยตอนที่เห็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะหยิบตะเกียงทองแดงออกมา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกถึงความผูกพันอย่างประหลาดกับสุสานแห่งนี้ตั้งแต่แรกมาถึง แต่ก็ทำได้เพียงทำใจเย็นๆ เท่านั้น
แม้แต่องค์จักรพรรดิเองยังต้องใช้เลือดของตนเพื่อพยายามจะปลดผนึกประตู ร่างของหวังเป่าเล่อตอนนี้เป็นร่างอวตารที่หลอมขึ้นมาด้วยกระบวนท่าสารัตถะ จึงไม่มีเลือดอยู่ในกายสักหยด เป็นเหตุให้ชายหนุ่มคิดว่าหลักการเรื่องสายโลหิตคงใช้ไม่ได้ หวังเป่าเล่อจะไม่ยอมถูกเปิดโปง ชายหนุ่มยังมีความคิดอีกอย่างหนึ่งที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ และต้องการจะ…ทดสอบมันดูเสียก่อน
ขณะที่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทำให้สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึม แต่ก็ยังทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกายเยือกเย็นด้วย สมมติฐานที่เขาคิดมาโดยตลอดเป็นความจริง!
การที่ข้าไม่รู้สึกถึงพลังต่อต้านใดๆ ขณะที่อยู่ในสุสานหลวง และการที่ข้ารู้สึกถึงสายสัมพันธ์ที่มีต่อสถานที่แห่งนี้…มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนวิชาดวงเนตรปีศาจของข้าอย่างแน่นอน แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลัก เหตุผลหลักก็คือ…เจตจำนงลับๆ ภายในวิชาดวงเนตรปีศาจ!
สิ่งนี้จะต้อง…มีความเกี่ยวข้องกับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อย่างแน่นอน ข้าพอจะเดาได้ว่ามันเป็นของใคร…มีโอกาสมากที่มันเป็นของปรมาจารย์ผู้ที่สร้างวิชาดวงเนตรสวรรค์ขึ้นมา ผู้ซึ่งน่าจะเป็น…จักรพรรดิองค์แรงของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!
หวังเป่าเล่อได้พินิจพิจารณาผ่านการวิเคราะห์และการตีความอย่างหลากหลายกระทั่งได้บทสรุปในชั่วพริบตา ขณะที่ชายหนุ่มเพิ่งได้บทสรุปนั่นเอง จักรพรรดิชราผู้ซึ่งร้องไห้ครวญครางอยู่เมื่อครู่ ก็ลืมตาโพลงขึ้นก่อนจะจับจ้องมาที่หวังเป่าเล่อท่ามกลางเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึงจากฝูงชน ผ่านไปชั่วครู่ ชายชราก็ผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วก่อนล้มตัวลงคุกเข่าแล้วก้มศีรษะคารวะหวังเป่าเล่อต่ำ
“ท่านปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ นี่มันท่านปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ ด้วย เขาได้มาแสดงตัวแล้ว เขากลับมาหาพวกเราแล้ว!” จักรพรรดิชราตื่นตะลึงอย่างเห็นได้ชัด เขาส่งเสียงดัง แทบจะเรียกได้ว่าตะโกนสุดเสียง เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าเขาตื่นเต้นเพียงใด การโค้งคำนับดูเหมือนไม่พอที่จะแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นกับการกลับมาของท่านปรมาจารย์ จักรพรรดิชราจึงก้มศีรษะคำนับอยู่เช่นนั้น หน้าผากของเขากระทบพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ความกระตือรือร้นในน้ำเสียงของเขาเข้าไปกระตุ้นปราณกังวานในกระแสโลหิตของเชื้อพระวงศ์ทุกคน ทุกคนที่ถูกบังคับหรือถูกกดดันให้สนับสนุนเหออวิ๋นจื่อต่างก็พากันทรุดตัวลงคุกเข่า พลางเปล่งเสียงประสานกับจักรพรรดิชรา
“ข้าน้อยคารวะท่านปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่!”
“ปรมาจารย์เช่นนั้นหรือ” ยังมีราชวงศ์หลายคนที่ยืนอยู่ทั้งๆ ที่คนอื่นๆ พากันหันไปคารวะปรมาจารย์ เหออวิ๋นจื่อและองค์ชายอีกสองคนก็ยังยืนอยู่เช่นนั้น แววตาของพวกเขาส่องประกายด้วยจิตสังหารและความโลภ
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงทันทีขณะเฝ้ามองไปทางจักรพรรดิที่ยังคำนับอยู่ไม่หยุดหย่อนรวมถึงสมาชิกราชวงศ์ที่อยู่ตรงหน้า กริยาของจักรพรรดิชราแม้จะดูปกติธรรมดา แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาด การมาถึงของหวังเป่าเล่อในครั้งนี้ดูเหมาะเหม็งเกินไป
จังหวะเวลาช่างสมบูรณ์แบบเกินเหตุ หวังเป่าเล่อมาถึงทันเวลาได้รู้ความลับของราชวงศ์ แถมยังได้รู้ว่าอารยธรรมครามทองคำเป็นใคร การส่งเสียงร้องเรียกปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิชราทำให้หวังเป่าเล่อเริ่มเข้าใจเรื่องขึ้นมาเลาๆ
ข้าไม่เชื่อว่าเซี่ยไห่หยางจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น…เซี่ยไห่หยางได้อะไรจากการที่ข้ามาปรากฏตัวในตอนนี้กัน
บางที…เซี่ยไห่หยางอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิชราด้วย เขาพูดบางอย่างเกี่ยวกับปรมาจารย์มาปรากฏตัวและหวนคืนสู่ครอบครัว หรือว่า…เขาเองก็มีข้อตกลงกับเซี่ยไห่หยางและกำลังรอให้ปรมาจารย์กลับมา
เซี่ยไห่หยางทำข้อตกลงกับทั้งสองฝ่ายสินะ ก็ดี ถ้าอย่างนั้นมาดูกันว่าใครจะเป็นการลงทุนที่สำคัญกว่ากัน…หวังเป่าเล่อจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา ไม่ใช่ครั้งแรกที่เซี่ยไห่หยางทำเรื่องคล้ายๆ อย่างนี้ ชายหนุ่มเคยทำอะไรพรรค์นี้มาแล้วช่วงที่หวังเป่าเล่ออยู่บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ เซี่ยไห่หยางขายข้อมูลตำแหน่งที่อยู่ของหวังเป่าเล่อให้ใครสักคนที่หมายจะสังหารเขา จากนั้นก็ช่วยหวังเป่าเล่อฆ่าเจ้าคนนั้นแทน จากนั้นก็แบ่งรายได้กัน
หวังเป่าเล่อเปลี่ยนแผนทันที ชายหนุ่มวางแผนจะเข้าไปยังสุสานบรรพชนหลวงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เมื่อเขาไม่รู้สึกถึงพลังต่อต้านและอาจจะต้องเผชิญปัญหาจากเจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจ จึงไม่จำเป็นต้องรีบอย่างที่ตั้งใจไว้
หวังเป่าเล่อไม่ได้จะยอมปล่อยโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้ไป แต่ก่อนที่จะยื่นมือไปจับตั๋วทองคำใบนั้น ชายหนุ่มจำเป็นต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้เสียก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อคิดได้เช่นนั้น ชายหนุ่มจึงปลดปล่อยพลังปราณออกมาทั้งหมด เกราะมหาจักรพรรดิปรากฏออกมาในนั้นที แผ่พลังมหาศาลที่กวาดไปทั่วแผ่นดินและสร้างแรงกดดันมหาศาลที่กดทับทุกคนเอาไว้
ราวกับว่ามีคลื่นยักษ์ซัดผ่านกายราชวงศ์ที่ไม่ได้คุกเข่า ทุกคนล้วนมีเลือดไหลออกมาจากปากก่อนที่ร่างกายจะสั่นไหวอย่างรุนแรง หวังเป่าเล่อไม่รอช้ารีบกระโจนขึ้นไปในอากาศก่อนจะพุ่งตรงไปยังองค์ชายทั้งสามทันที!
ชายหนุ่มเคลื่อนที่รวดเร็วราวสายฟ้า ทั้งเหออวิ๋นจื่อและองค์ชายทั้งสองต่างมีสีหน้าแปลกใจ พวกเขาไม่มีเวลาถอยหนี หวังเป่าเล่อมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าทั้งสาม ยกมือขวาขึ้นฟ้า ก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะใส่
ในวินาทีเดียวกันนั้น ชายหนุ่มก็โจมตีออกไป แสงในตะเกียงทองแดงที่เหออวิ๋นจื่อถืออยู่พลันลุกโชนขึ้นมา ใครสักคนที่อยู่ภายในตะเกียงส่งเสียงเยาะ มีนิ้วมายายื่นออกมาจากตะเกียงก่อนจะชี้ไปยังหวังเป่าเล่อ
พลังระดับดาวพระเคราะห์ระเบิดออกมาจากนิ้วดังกล่าวในบัดดล นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อกระตุกก่อนที่พลังทั้งสองจะปะทะกัน
หวังเป่าเล่อตัวสั่นขณะที่เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วท้องฟ้า ชายหนุ่มถอยกรูดอย่างรวดเร็ว เปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายไหลบ่าออกมาและลดทอนพลังโจมตีของนิ้วจนกระทั่งมันจางหายไป แม้จะได้รับการช่วยเหลือจากเปลวเพลิงนิรันดร์ หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกว่าสารัตถะของตนหมุนวนอย่างเจ็บปวดอยู่ภายใน สีหน้าของชายหนุ่มเคร่งขรึมขณะที่รีบถอยหนี ดวงตาของเขาจ้องไปยังนิ้วมือที่ออกมาจากตะเกียงตาไม่กะพริบ
เหตุการณ์นี้ทำเอาเหออวิ๋นจื่อและองค์ชายทั้งสองตกตะลึงไปเช่นกัน เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นบนหน้าผาก พวกเขาสัมผัสถึงความตายที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วเมื่อหวังเป่าเล่อพุ่งเข้าใส่ หากไม่ใช่เพราะตะเกียงทองแดง ทั้งร่างกายและวิญญาณคงถูกทำลายไปแล้ว
“เจ้าเป็นใครกัน” เหออวิ๋นจื่อหายใจหอบถี่ขณะมองไปยังหวังเป่าเล่อ
บรรดาองค์ชายไม่มีความหมายกับชายหนุ่มแม้แต่น้อย สายตาของเขาจับจ้องไปยังตะเกียงทองแดงเท่านั้น ชายหนุ่มหรี่ตาลง พวกเขาถึงขนาดต้องกักขังสัมผัสสวรรค์ของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เอาไว้ในตะเกียง อารยธรรมครามทองคำต้องวางแผนที่ยิ่งใหญ่เอาไว้แน่ หวังเป่าเล่อยิ่งอยากรู้มากขึ้นว่าในสุสานบรรพชนหลวงมีสิ่งใดซ่อนไว้กันแน่!
“เจ้าไม่เพียงรอดการโจมตีจากข้าไปได้ ยังปล่อยแสงสีแดงที่รุนแรงออกมาด้วย แสดงให้เห็นถึงสายโลหิตที่แข็งแกร่งในกาย ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นใคร การคาดเดาของข้าถูกต้อง พวกเราสบโอกาสที่จะปลดผนึกสุสานบรรพชนแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว จื่อหลัว จงปลดผนึกของเจ้าและจับชายผู้นี้เอาไว้ เราจะใช้เขาเป็นเครื่องสังเวย!” เสียงที่ดุร้ายและเย็นชาดังออกมาจากภายในตะเกียง คำพูดทุกคำแฝงไปด้วยจิตสังหารอันไร้เมตตา
ทันทีที่คำสั่งนั้นดังขึ้น จื่อหลัว ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น ก็หันไปหาตะเกียงแล้วยกมือประสาน
“ขอรับ นายท่าน!”
เขาเงยหน้าขึ้นมาทันที ก่อนจะมีเสียงกัมปนาทดังกึกก้องขึ้นภายในกาย เสียงนั้นเหมือนการปลดผนึกอะไรบางอย่าง ก่อนที่พลังปราณของจื่อหลัวจะไหลทะลักออกมา จากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นไปสู่ชั้นกลางทันที และไม่หยุดเพียงเท่านั้น แต่กลับเพิ่มสูงขึ้นจนถึงขั้นสมบูรณ์ จื่อหลัวยืนตระหง่านราวองค์เทพ จากนั้นจึงหันกลับมาหาหวังเป่าเล่อแล้วแสยะยิ้ม
“ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าเป็นใคร แต่เจ้า…คือเหตุผลที่ข้าอยู่ที่นี่”
นัยน์ตาของชายหนุ่มกระตุก ก่อนที่จะล่าถอยตามสัญชาตญาณอย่างไม่รีรอ พลางสบถอยู่ในใจไปด้วย
“การคาดเดาบ้าบออะไรกัน ไร้สาระสิ้นดี ไอ้เซี่ยไห่หยางบัดซบ เจ้าคงวางเงินไว้กับผลลัพธ์ทุกแบบเลยสินะ ไอ้คนระยำ!”
บทที่ 845 การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม!
ขณะที่หวังเป่าเล่อล่าถอย จื่อหลัวก็เข้าถึงตัว ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตะเกียงในมือของเหออวิ๋นจื่อส่งเสียงเย้ยหยันออกมา
เปลวไฟภายในตะเกียงทองแดงพวยพุ่งขึ้นมาในทันใด ด้วยวิธีใดไม่ทราบได้ ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ส่งแรงกดดันของเขาออกมาจากตะเกียง แรงกดดันเข้าปกคลุมทั้งบริเวณทันที ก่อกำเนิดเป็นผนึกที่ขังหวังเป่าเล่อเอาไว้ด้านใน!
ผนึกนั้นดูจากที่ไกลๆ นั้นคล้ายครอบสีใสที่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างสวรรค์และพื้นดิน จำกัดการเคลื่อนที่ของหวังเป่าเล่อเอาไว้ในอาณาเขตที่กว้างราวๆ สามร้อยเมตร!
ผนึกไม่เพียงจำกัดการเคลื่อนที่ของชายหนุ่มเท่านั้น แต่ยังกั้นขวางระหว่างตัวเขาและประตูเข้าสุสานบรรพชนอีกด้วย!
หวังเป่าเล่อมีสีหน้าตกตะลึง หากว่ามีใครได้ยินเสียงในใจของเขาตอนนี้ก็คงจะต้องหูหนวกเพราะเสียงก่นด่าดังสนั่นแน่นอน
ไอ้เซี่ยไห่หยางคนบัดซบ คอยก่อนเถิด เจ้าสุนัข…การที่เขาลงทุนกับทุกฝ่ายเช่นนี้แปลว่าเขาต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่าข้าฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจ เขารู้ว่าข้าไม่ต้องรับพลังต่อต้านใดๆ ที่นี่ สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น เจ้าจิ้งจอกร้าย เขาต้องรู้ด้วยว่าข้าเหลือผลึกสีชาดอีกกี่ชิ้น จึงพยายามสร้างสถานการณ์ให้ข้าขอความช่วยเหลือ เพื่อจะได้เรียกเก็บราคาแพงๆ!
ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นขณะที่กำลังล่าถอย แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนั้น เขาไม่ได้วางแผนที่จะติดกับเซี่ยไห่หยางและต้องเสียเงินให้อีกฝ่ายเป็นจำนวนมาก หวังเป่าเล่อเร่งฝีเท้าหนีเต็มที่ขณะที่คิดหนักไปพร้อมๆ กัน พลางหลบการโจมตีของจื่อหลัวไปมาอยู่ภายในพื้นที่สามร้อยเมตรใต้ผนึกนั้น
หวังเป่าเล่อเพิ่งจะเดาได้ว่าพ่อค้าเจ้าเล่ห์เซี่ยไห่หยางได้ขายข้อมูลให้เขาด้วยราคาแพงระยับ ช่วยให้ความหวังของจักรพรรดิแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แถมยังทำตามคำขอของอารยธรรมครามทองคำในคราวเดียวกัน ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังติดอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ในจักรพิภพที่ห่างไกลออกไปจากระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ เซี่ยไห่หยางนั่งอยู่ในร้านค้าแห่งหนึ่งของตระกูลเซี่ยใจกลางตลาด เขากำลังฟังลูกน้องรายงานเรื่องธุรกิจแล้วจู่ๆ ก็เกิดจามขึ้นมา
“มีคนกำลังสาปแช่งข้า!” เซี่ยไห่หยางไอ จากนั้นจึงยกมือขวาขึ้นวาดเป็นผนึกฝ่ามือ ก่อนจะมีแววตาเข้าใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกไม่กี่อึดใจต่อมา
“ต้องเป็นเจ้าอ้วนหวังเป่าเล่อแน่ๆ!”
“นายน้อยขอรับ…ท่านเห็นกับตาว่าเขาเป็นคนทำ ทำไมท่านต้องแสร้งทำเป็นอ่านอนาคตเพื่อจะทราบด้วยเล่าขอรับ” บุรุษผู้ที่กำลังอ่านรายงานให้เซี่ยไห่หยางฟังอยู่ตอนนี้เป็นชายชราสวมเสื้อคลุมจีนแบบดั้งเดิม เห็นได้ชัดว่าเป็นบุคคลที่มีฐานะและยศถาสูงยิ่ง เขาก็นั่งอยู่เช่นกัน มีแววตาเหย้าแหย่ปรากฏอยู่บนดวงตาของชายชราขณะที่อมยิ้มแล้วพูดกับอีกฝ่าย
เซี่ยไห่หยางกะพริบตา จากนั้นจึงก้มหน้าลงมองโต๊ะตรงหน้า มีแผ่นหยกวางอยู่แผ่นหนึ่ง เหนือแผ่นหยกนั้นมีภาพสถานการณ์ฉายอยู่…
ภาพที่ฉายอยู่นั้นแสดงให้เห็นเหตุการณ์ล่าสุดในสุสานหลวงแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ พวกเขาไม่ได้ดูผ่านดวงตาของหวังเป่าเล่อแต่อย่างใด แต่…ผ่านดวงตาของจักรพรรดิชรา!
ภาพนั้นชัดเจนยิ่ง และเสียงที่เข้ามาก็ชัดเจนไม่มีการแตกพร่า คำพูดของชายชราทำเอาเซี่ยไห่หยางเขินอายไปเล็กน้อย แม้จะเป็นเรื่องจริงว่าชายหนุ่มไม่รู้วิธีการอ่านดวงชะตา แต่จะขอแสร้งทำเป็นรู้สักหน่อยไม่ได้เลยหรือ แค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น
ชายชราสัมผัสได้ว่าเซี่ยไห่หยางรู้สึกเสียหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจึงเลือนหายไป หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่หนึ่งอึดใจจึงเอ่ยถามออกมา “นายน้อย พวกเราควรช่วยหวังเป่าเล่อหรือไม่”
“แม้ว่าเจ้าอ้วนนั่นจะดื้อดานนัก แต่เดี๋ยวทุกอย่างก็จบลงด้วยดี เขาอาจมีไพ่ตายที่ช่วยทำลายผนึกนั้นแอบซ่อนเอาไว้ แต่ก็คงต้องเสียอะไรไปมากมายทีเดียว อีกประเดี๋ยว เขาจะส่งข้อความเสียงมาด่าข้า จากนั้นเขาก็จะยอมจ่ายเงินเพื่อขอให้ข้าช่วยเหลือ เขาคงไม่ต้องการแผ่นหยกของข้าเพื่อจะเปิดประตูสู่สุสานหลวงหรอก แผ่นหยกที่ข้ามอบให้เขาไปนั้นไม่ใช่เพื่อการนี้ แต่เอาไว้ใช้ขอความช่วยเหลือ ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่เขาเข้าไปในสุสานแล้ว…ข้าก็จะมีโอกาสได้รีดเงินจากเขาอีกครั้ง หากไม่มีการช่วยเหลือจากข้า ด้วยระดับปราณของเขาในปัจจุบัน เขาไม่มีทางได้พบโอกาสเปลี่ยนชีวิตอย่างที่เขาตามหาหรอก” เซี่ยไห่หยางยิ้มอย่างมั่นใจ ก่อนจะหยิบแผ่นหยกสื่อสารมาวางไว้ข้างกาย
“สิ่งที่เรากำลังรออยู่คือให้หมอนั่นขอให้ข้าช่วยพังผนึกระดับดาวพระเคราะห์และช่วยเขาหนี!”
ในวินาทีนั้น ภายในสุสานหลวงแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อกำลังถอยหนีอย่างสิ้นหวัง ความคิดมากมายผุดขึ้นมาในใจของชายหนุ่ม เขาพยายามคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ไร้ทางออกนี้
ทว่า…วิธีการแต่ละอย่างนั้นก็ล้วนทิ้งให้หวังเป่าเล่อต้องผิดหวังไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ชายหนุ่มรู้สึกเสียดายราคาที่ต้องจ่ายเป็นอย่างยิ่ง การใช้แผ่นหยกต้องสาปของปรมาจารย์แห่งไฟหรือฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ภายในกายก็แพงเกินกว่าที่จะยอมรับได้ ไม่คุ้มกันเลยสักนิด
ชายหนุ่มสามารถใช้แผ่นหยกต้องสาปได้เพียงครั้งเดียว ส่วนฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์นั้นอาจทนการใช้งานได้ราวครั้งสองครั้ง แต่เขาเพิ่งจะเริ่มหล่อเลี้ยงมันไม่นาน หวังเป่าเล่อกังวลว่าพลังจากฝ่ามือจะรุนแรงไม่พอหากใช้ในตอนนี้ ชายหนุ่มอาจต้องเสียหายหนักขึ้นกว่าจะโจมตีได้รุนแรงตามต้องการ
รวมไปถึงการระเบิดเปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายด้วย หากทำเช่นนั้นก็คงคล้ายกับการระเบิดตัวเองไปพร้อมศัตรู อาการบาดเจ็บของเขาจะต้องรุนแรงไม่น้อย
ไอ้บัดซบเซี่ยไห่หยางบีบบังคับให้ข้าขอความช่วยเหลือ! ความยากลำบากที่หวังเป่าเล่อกำลังประสบอยู่ในตอนนี้สะท้อนออกมาชัดเจนทางแววตาของชายหนุ่ม เขาหลบการโจมตีจากจื่อหลัวไปได้อย่างฉิวเฉียดอีกครั้ง จื่อหลัวเองก็ใกล้จะหมดความอดทนเพราะอีกฝ่ายหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่ว แม้ว่าระดับพลังปราณจะต่ำกว่าและขนาดของสนามรบจะเล็ก แต่หวังเป่าเล่อก็ยังหลบการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักของเรื่องนี้เป็นเพราะพวกเขาต้องการจับเป็นชายหนุ่ม แต่ถึงกระนั้น ทุกครั้งที่โจมตีพลาด จื่อหลัวก็ยิ่งดูไม่ดีในสายตาของผู้บังคับบัญชา
“ไม่มีความจำเป็นต้องจับเป็น ฆ่าเขาเสีย เราใช้ศพเขาในการสังเวยได้!” ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่ซ่อนอยู่ในตะเกียงทองแดงเพิ่งจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงตะคอกสั่งการออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นไร้ปรานีทันที
“ขอรับนายท่าน!” รอยยิ้มแสยะอย่างน่าสะพรึงปรากฏบนใบหน้าของจื่อหลัวทันทีที่ได้ยิน เขายกมือขวาขึ้น พลังวิญญาณสีดำสนิทพวยพุ่งออกมาจากกายแล้วมารวมอยู่รอบๆ มือขวา ก่อนแปรสภาพเป็นกะโหลกจระเข้ในฝ่ามือ กะโหลกนั้นขยายขึ้นครอบกายจื่อหลัวเอาไว้ รวมทั้งตัวมันและตัวเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน!
พลังวิญญาณสีดำสนิทล้อมรอบกะโหลกที่กำลังเน่าเปื่อยเอาไว้ ส่งเอาคลื่นพลังแห่งความตายและความเน่าเปื่อยออกมา มีความรู้สึกอันอธิบายไม่ได้ของบางสิ่งที่เลวร้ายแผ่มาจากกะโหลกนั้น เมื่อมันปรากฏขึ้น ก็พารอยฉีกขาดของอวกาศให้มาปรากฏภายในบริเวณอันจำกัดดังกล่าว พลังน่าสะพรึงระเบิดออกมาจากกะโหลก และสัมผัสอันตรายใหญ่หลวงก็ระเบิดขึ้นภายในศีรษะหวังเป่าเล่อแทบจะพร้อมๆ กัน
ทว่า…ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ขณะที่ความตื่นตระหนกเพิ่งจะปรากฏในศีรษะของหวังเป่าเล่อ ประกายประหลาดก็สะท้อนขึ้นในดวงตาของเขา ชายหนุ่มนึกถึงสิ่งที่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เพิ่งจะพูดไป
พวกเขาจะใช้ศพข้าเป็นเครื่องสังเวย ศพ…สังเวย…นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อทอประกาย ความคิดสุดบ้าคลั่งผุดขึ้นมาในหัว
ลองดูก็แล้วกัน หากว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล ข้าคงต้องยอมให้เจ้าสุนัขสกปรกเซี่ยไห่หยางได้โอกาสทำเงิน!
ประกายความบ้าคลั่งสะท้อนอยู่ในแววตาของหวังเป่าเล่อเมื่อเขาคิดได้เช่นนั้น ชายหนุ่มหันกลับมาร้องตะโกนแล้วหยุดวิ่ง จากนั้นเขาก็วิ่งเข้าใส่จื่อหลัวโดยไม่ได้เรียกเกราะป้องกันใดๆ ขึ้นมาทั้งสิ้น ราวกับกำลังวิ่งเข้าไปหาความตายก็ไม่ปาน
การพุ่งเข้าใส่ที่ไม่คาดฝันของหวังเป่าเล่อทำให้จื่อหลัวชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นประกายสังหารก็ส่องสว่างขึ้นในแววตา ก่อนที่เขาเองจะเร่งความเร็วพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มเช่นกัน จื่อหลัวมาปรากฏตัวตรงหน้าหวังเป่าเล่อในพริบตา เขาแสยะยิ้มกว้างขณะที่จระเข้เปิดปากและพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ พร้อมที่จะกลืนกินชายหนุ่มเข้าไปทั้งตัว
หวังเป่าเล่อไม่ได้ป้องกันตนเองแต่อย่างใดเมื่อเห็นกรามใหญ่ยักษ์ของจระเข้พุ่งเข้ามาใส่ ชายหนุ่มดูเหมือนทำใจที่จะตายไปพร้อมศัตรู จักรพรรดิชรายืนอยู่ด้านนอกพื้นที่ที่ถูกผนึกและกำลังเฝ้าดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า จู่ๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป ความกลัวอย่างแท้จริงปรากฏขึ้นบนแววตาของชายชราเป็นครั้งแรก
สีหน้าคล้ายกันนี้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซี่ยไห่หยาง ผู้ที่กำลังเฝ้าดูผ่านสายตาของจักรพรรดิชรา เขานั่งดูด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจมาตลอด แต่จู่ๆ กลับต้องผุดลุกขึ้นยืน
“ไม่นะ!”
เสียงคำรามระเบิดออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อทันทีที่เซี่ยไห่หยางพูด วิชาดวงเนตรปีศาจเริ่มทำงานแม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ได้เรียก ดวงตาขนาดมหึมาปรากฏขึ้นเบื้องหลังชายหนุ่ม มีใบหน้าของชายชราฉายอยู่ข้างในดวงตานั้น
ชายชราคนดังกล่าว คือเจตจำนงที่ซ่อนอยู่ภายในวิชาดวงเนตรปีศาจ!
ความคิดที่หวังเป่าเล่อนึกขึ้นได้ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ตอนนี้เขาอยู่ในร่างอวตารซึ่งหลอมขึ้นมาจากกระบวนท่าสารัตถะแม้แต่น้อย แต่เกี่ยวกับสิ่งที่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์พูดเรื่องศพและการสังเวย!
เกี่ยวกับเรื่องที่ว่า…มีใครสักคนที่ต้องการตัวเขาแบบเป็นๆ และใครคนนั้นก็คือจักรพรรดิชรา และ…เจตจำนงที่อาศัยอยู่ภายในกายของเขา เจตจำนงที่เคยเป็นของปรมาจารย์แห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!
หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าปรมาจารย์ผู้นี้ต้องการอะไร ชายหนุ่มรู้ดีว่า แม้เจ้าแก่นั่นจะต้องการให้เขาเหนื่อยอ่อนและบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ต้องการให้เขาถูกจับได้ และแน่นอนว่าไม่ต้องการให้เขาตายที่นี่
ด้วยเหตุนี้…ข้าจึงยังสามารถใช้แผนอันชาญฉลาดของเซี่ยไห่หยางที่วางเดิมพันไว้กับทุกผลลัพธ์ในการต่อสู้ครั้งนี้ เพื่อหลุดออกจากความยากลำบากนี้ได้ และข้าจะหลุดออกไปด้วยวิธีการแบบของข้าเอง!
อัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงพูดเรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว อย่าได้ดูถูกผู้ใดเป็นอันขาด เซี่ยไห่หยาง…เจ้าทำพลาดครั้งใหญ่แล้ว…ที่บังอาจมาสบประมาทข้า!
ความคิดเหล่านี้วิ่งผ่านศีรษะของหวังเป่าเล่อขณะที่ดวงตาขนาดยักษ์มาปรากฏอยู่ด้านหลังเขา ภายในดวงตานั้นสะท้อนใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังของชายชรา เขาไม่ได้ตั้งใจจะมาขัดขวางการต่อสู้ แต่ก็ไม่มีทางเลือก เมื่อถูกต้อนจนมุม เขาจึงตะโกนออกมาสองคำ
“ดวงเนตร! สวรรค์!”
จื่อหลัวตัวสั่นอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินสองคำนั้น ดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนจระเข้ที่เขาเรียกออกมาแล้วระเบิดทันที เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังออกมาจากริมฝีปากของจื่อหลัว ดูเหมือนว่าเขาจะติดอยู่ในภาพมายาและไม่อาจสัมผัสถึงตำแหน่งของหวังเป่าเล่อได้อีกต่อไป เมื่อเขาออกตัววิ่งเต็มฝีเท้าไปในทิศทางตรงกันข้าม
ภายนอกบริเวณที่ถูกผนึก นัยน์ตาของจักรพรรดิชราบัดนี้แดงก่ำ เขากระโจนขึ้นไปบนฟ้าด้วยแววตาบ้าระห่ำ ก่อนจะตะโกน “ดวงเนตร! สวรรค์!”
ดวงตาจำนวนมหาศาลปรากฏขึ้นปกคลุมกายเขาเอาไว้ก่อนจะระเบิด ฉีกร่างของชายชราเป็นชิ้นๆ เลือดของเขารวมตัวกันเป็นดวงตาโลหิตขนาดมหึมาที่พุ่งเข้าชนผนึกอย่างรุนแรง ส่งเสียงดังสนั่นสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ ไม่มีใครรู้ว่าจักพรรดิชราทำสิ่งใด แต่เขาก็สามารถทำให้ผนึกที่หลอมขึ้นมาจากสัมผัสสวรรค์ของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เป็นรอยร้าวได้ ผนึกนั้นสั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่จักรพรรดิชราจางหายไป รอยร้าวปรากฏขึ้นบนกำแพง
นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายเมื่อรอยร้าวปรากฏขึ้น ชายหนุ่มรีบฉวยโอกาสนั้นทันที เขาถอยหลังอย่างรวดเร็วก่อนจะเร่งฝีเท้าพุ่งเข้าไปทางรอยร้าวนั้น ขณะที่ชายหนุ่มเหยียบรอยร้าวออกไป เขาก็กวาดสายตาไปมองกองเลือดเนื้อ มีประกายความหยามเหยียดสะท้อนอยู่ภายใน!
หวังเป่าเล่อ…
ที่สักที่ในตลาด เซี่ยไห่หยางผุดลุกขึ้นยืน เขามองเห็นแววตาเย้ยหยันบนใบหน้าของหวังเป่าเล่อจากเครื่องฉายภาพที่ลอยอยู่ตรงหน้า ลมหายใจของเซี่ยไห่หยางถี่เร็วขึ้น เขานิ่งงันไปชั่วอึดใจก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง
เจ้านี่มันร้ายกาจจริงๆ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น